เอ่อ…ขอโทษนะ แต่แกจะขโมยสกิลแบบนี้ไม่ได้นะ 233 : ความประหลาดของชั้นที่คนไม่มีทางมาถึง – หอคอย 101

ตอนที่ 233 : ความประหลาดของชั้นที่คนไม่มีทางมาถึง - หอคอย 101

แซก แซก

“ นั้นคือทางลงไปยังหมู่บ้านครับ… ”

“ อ่า… เปลี่ยนไปจริงๆแหะ ”

เจ้าลิงที่ถูกมาสั่งนั้นก็ได้พาเขามายังทางลงไปยังชั้นที่ 100 ทว่าทันทีที่มาถึงเขาก็เห็นว่าอะไรหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปจากแบบแปลนที่มาร์จำได้ เพราะในตอนที่เขาสร้างทางลงนี้นั้นมันควรจะเป็นเพียงซุ้มประตูหินขนาดใหญ่คล้ายประตูทางเข้าศาลเจ้า ทว่าตอนนี้มันกลับมีการตั้งแนวป้องกันไว้อย่างแน่นหนา เป็นกำแพงล้อมรอบทางลง แถมตรงซุ้มประตูก็มีประตูไม้ขนาดใหญ่มายึดติดไว้อีก

เจี๊ยกๆๆๆ อูก้า อูก้าอู้!!

[ อืม… อืม… แบบนี้ถ้าบุกเข้าไปตรงๆ ยังไง คอนเซนเทลก็ตายแหงๆ ]

และนอกจากกำแพงไม้พวกนั้น มาร์ก็ได้เห็นว่าบนกำแพงเองก็กำลังมีฝูงลิงลาดตระเวนอยู่อีกด้วย โดยพวกมันทุกตัวล้วนแล้วแต่ถือปืนมากมายหลายชนิดเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะชนิดไหนเกราะกับอุปกรณ์ที่คอนเซนเทลมีตอนนี้ถ้าโดนเข้าไปก็ไม่รอดอย่างที่เขาว่าแน่ๆ

“ อึก…มีปืนกันหมดแบบนั้น ”

คอนเซนเทลที่ตามมาห่างๆก็มองดูพวกนั้นด้วยความระวัง เขารู้ดีถึงพลังอำนาจของอาวุธปืนประกอบกับจำนวนที่มีอยู่บนนั้นหากเขาวิ่งออกไปตอนนี้คงโดนยิงพรุนเป็นเศษกระดาษแน่ๆ ทว่าอคโตที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่ข้างหลังมาร์ เธอเองก็มองดูพวกมันด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่เธอจะกระซิบถามกับนายท่านด้วยเสียงที่เบาแสนเบา

“ นายท่านคะ…คิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อดีคะ ”

“ นั้นสินะ ถ้าบุกเข้าไปผมกับอคโตน่ะไม่น่ามีปัญหาหรอก แต่นั้นน่ะ…อืม นั้นแหล่ะ ต่อให้หลบอยู่แถวนี้ก็มีโอกาสโดนลูกหลงตายอยู่ดี แบบนี้คงต้องเข้าไปแบบ… ”

ฉึบ

“ ท่านมาร์จะ…อุ๊!! ”

“ เงียบๆ… ”

มาร์เขามีแผนอะไรบางอย่าง และแผนนั้นก็ทำให้เขาลุกขึ้นเดินไปตัดพันธนาการของเจ้าลิงที่ยืนเหม่อไม่ได้สติออกแล้วเอาปืนที่เขายึดมายัดใส่มือของมัน ก่อนจะค่อยๆเดินถอยห่างกลับมาซ่อนตัวยังจุดที่อคโตอยู่ ส่วนคอนเซนเทลที่เห็นก็หลุดปากถามทว่าก็ไม่ทันจะได้พูดจบก็ถูกอคโตใช้ปลอกดาบแทงยัดปากจนเขาล้มลงไป

“ …ห๊ะ?!? เห?!? อ่าา… ที่นี้ ที่ไหน เดี๋ยวนะ ทางลงหมู่บ้าน?! ไหงเรามาอยู่นี้ได้ล่ะ?? ”

และเพียงไม่นานเจ้าลิงนั้นก็ได้สติกลับมา ทว่า…มันมองไปรอบๆด้วยความสับสน ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะเป็นแบบนั้นเพราะจู่ๆตัวเองมายืนงงๆอยู่ที่ทางลงหมู่บ้าน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไปเจอกับอะไรมาก็ไม่รู้ เป็นใครก็สับสน อย่างไรก็ตามเจ้าลิงนั้นก้มหน้าลงแล้วใช้มือกุมขมับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดออกมาว่า

“ ฝันกลางวันไปเองล่ะมั้ง…นะ? เห้ออ แต่ช่างเหอะ ยังไงวันนี้ก็รอดมาได้ยังไงกลับก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร? ”

เจ้าลิงนี้ พอหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้ว ก็เริ่มจะเดินตรงไปยังแนวป้องกันในทันที โดยในระหว่างที่เดินเข้าไป มันก็ได้เก็บเอาปืนที่อยู่ในมือสะพายไปไว้ด้านหลัง แถมยังโบกมือให้กับแนวป้องกันนั้นอีก

“ โอ้ย!! ข้ากลับมาแล้ว!! ”

อูก้า อูก้า อู้?

“ เห้ย! ไอ้เลโอมันกลับมาแล้วเว้ย!! เปิดประตู เปิดประตู! ”

“ อู้ อู้! ”

“ เปิดประตู!!! ”

แกร็ก แกร็ก แกร็ก แกร็ก

“ กลับมาแล้วเหรอวะเลโอ! ”

“ มือเปล่าแบบนี้ แสดงว่าซวยอ่ะเด้! ”

“ อย่าทักงั้นดิวะ ฮ่าๆๆๆ ”

และทันทีที่เห็น พวกมันก็รีบเปิดประตูก่อนจะเข้ามาทักทายกันกับลิงที่มาร์เพิ่งจะได้ปล่อยไป ดูเหมือนว่ามันจะชื่อว่า เลโอ โดยลิงที่เฝ้ายามนั้นก็มีอีกมากมายหลายรูปแบบทั้งขนาดตัวที่ใหญ่เหมือนกอริล้า หรือแม้แต่บางตัวที่มีขนสีแดงคล้ายอุรังอุตัง

แก็ง กึก กึก กึก

“ อ้าว ชิบหาย? ประตูเป็นอะไรวะนั้น ”

“ อืม… เชี้ย เฟืองโดนงัดเห้ย!! ปิดระบบก่อน! เดี๋ยวประตูพังไอชิบหาย!! ”

“ อ้าวๆๆ เออๆ!! ปิดแล้ว! ”

ทว่าทันทีที่ประตูเปิดออกปัญหาบางอย่างก็เกิดขึ้น เพราะแทนที่กลไกของมันจะปิดประตูตามปกติ ก็ต้องสะดุดหยุดลงราวกับว่ามีบางอย่างไปงัดเอาไว้ พวกลิงที่เฝ้ายามพอเห็นเช่นนั้นก็ต่างพากันไปดูแล้วตรวจสอบก็พบว่ามันมีแท่งเหล็กบางอย่างเสียบงัดกับกลไกเอาไว้ พวกลิงก็เลยต้องรีบช่วยกันเอาแท่งเหล็กเล็กๆนี้ออก โดยที่เลโอก็ยืนมองดูอยู่ด้วย

“ ไหนๆ ไปเอาคีมมาซิ ”

“ เห้ออ ไหงมีเหล็กเส้นมางัดได้ล่ะนั้น ”

“ ไม่รู้สิ แต่ว่า ฟืด ฟืด พวกแกไม่ได้กลิ่นอะไรแปลกๆบ้างเหรอวะ? ”

“ กลิ่นอะไรล่ะเลโอ? กลิ่นตัวแกหรือ… เอ่อ ว่ะ กลิ่นไหม้ๆ แหะ ”

“ !!! ”

ตึก ตึก ตึก

“ ไฟไหม้!!! ไฟไหม้กำแพงเว้ย!! ”

อย่างไรเสียความซวยก็เหมือนจะไม่จบเมื่อระหว่างที่แท่งเหล็กนั้นกำลังจะหลุดออกมาได้ กลิ่นไหม้ก็ลอยโชยมาจากด้านนอก นั้นทำให้เลโอรีบวิ่งออกไปดูแล้วก็พบกับไฟที่กำลังไหม้อยู่ตรงแนวป้องกันด้านขวา ห่างออกไปไม่มาก นั้นทำให้เลโอ รีบวิ่งเข้าไปจัดการหาทางดับไฟทันที เช่นกันพวกลิงยามก็กรูกันไปหยิบเอาถังใส่น้ำแล้วก็เริ่มลงมือดับไฟจากด้านในของกำแพง

“ เอาล่ะ ไปกันเลยดีกว่า ”

“ ค่ะ… ”

“ ครับผม! ”

แต่การที่พวกลิงไปรุมกันไปจัดการกับความวุ่นวายอยู่นี้นั้นก็เป็นการเปิดช่องว่างให้กับคนนอก 3 คน ที่ตอนนี้ได้เดินผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย โดยอาศัยมุมอับสายตาจากฝั่งซ้ายของกำแพง

[ อืม ดูถ้าจะวุ่นวายตามที่คิดไว้เลยแหะ ก็นะถ้าไม่รีบดับมีหวังกำแพงไหม้หมดแหง ]

มาร์ที่เดินนำอยู่หน้าสุด ก็คอยหันไปมองรอบๆเพื่อดูสถานการณ์ว่าพวกลิงจะรับรู้ได้หรือไม่ ซึ่งก็ตามที่ได้เห็นพวกลิงไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวของผู้บุกรุกทั้ง 3 เลย อันเกิดจากกลิ่นควันไฟได้กลบกลิ่นของทั้ง 3 คน ไหนจะเสียงของการตักน้ำและการเดินไปเพื่อดับไฟอีก มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะรับรู้ได้

“ โอ ทางลงก็ไม่มีลิงมากันด้วย เยี่ยม! ”

ตึก ตึก ตึก

จนกระทั่งทุกคนนั้นมาถึงยังทางลง มาร์ก็รีบให้ทั้งสองคนเดินนำไปก่อน ส่วนเจ้าตัวก็เดินตามไปติดๆ แต่ว่าระหว่างที่กำลังจะเดินลงบันได้ไปยังชั้นถัดไปนั้น มาร์ก็แอบหัวเราะอยู่ในใจพร้อมกับหันไปมองยังจุดที่ไฟกำลังไหม้อยู่

[ พวกลิงนั้น คงต้องลำบากหน่อยนะ ถ้ายังเอาน้ำดับไฟนาปาล์มแบบนั้น ]

อธิบายง่ายๆ ตัวเชื้อเพลิงที่มาร์ใช้จุด มันไม่ใช่น้ำมันหรือเชื้อไฟธรรมดา แต่มันคือนาปาล์มสีส้มที่เขาเคยใช้ตอนไปบุกฐานของอัลฟ่า สิ่งนี้นั้นจะเผาไหม้ทุกอย่างที่มันจะเผาหรือเป็นเชื้อเพลิงให้มันได้ และมันก็นาปาล์มเวอร์ชั่นปรับปรุงที่แม้แต่อยู่ในน้ำก็สามารถจุดติดได้ ดังนั้นการเทน้ำดับนาปาล์มจึงไม่ใช่คำตอบที่ดีเลยสักนิด วิธีทีที่ดีที่สุดคงเป็นการหาดินหาทรายมาโปะต่างหาก

ตึก ตึก ตึก

[ ข้างในเองก็ด้วยสินะเนี่ย?? แถมยังมาเป็นเรื่องราวเลยนะ ]

กระนั้นก็ดีระหว่างที่กำลังเดินลงไปยังข้างล่างนั้น มาร์ก็ยังคอยสังเกตุรอบๆแล้วก็ได้เห็นว่าผนังของชั้นบันไดนี้มันไม่เหมือนกับผนังในชั้นก่อนๆ พวกมันที่ควรจะเป็นหินอ่อนเดิมๆ ตอนนี้กลับปรากฎไปด้วยภาพวาดมากมายที่บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยขนทั้งตัว ที่กำลังค่อยๆลุกขึ้นยืน 2 ขาพร้อมกับจับอาวุธต่อสู้กับมอนสเตอร์มากมายโดยไล่เรียงจากสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายๆกับตน ไปจนถึงเสือ และหมีที่มีอยู่ในชั้นที่ 80 โดยพวกลิงนี้นั้นต่างก็ใช้หอก ใช้ธนูมาจนสุดท้ายปลายทางภาพวาดทั้งหลายก็เปลี่ยนมาเป็นเหล่าลิงกำลังถือปืนอยู่

[ แบบนี้มัน…หมายความว่ายังไงกัน หรือว่าพวกนี้จะไม่ใช่มอนสเตอร์?? ไม่สิ? ก็ตอนเราสร้างมามันก็… ยังไงกันแน่นะ ]

มาร์เริ่มกังวลใจแล้วว่ามีบางอย่างที่มันแปลกประหลาดเกินไป เพราะยิ่งมองสิ่งที่เกิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกลิงนั้นมันไม่ใช่มอนสเตอร์ในแบบที่โลกนี้เป็นเลย พวกมันมีอารยธรรม มีการสร้างศิลปะ แต่ในใจลึกๆมาร์ก็มั่นใจว่า พวกนั้นไม่ใช่บีสต์โฟค หรือ วอร์บีสต์แน่ๆ

ต้องอธิบายก่อนว่า บีสต์โฟคนั้นจะมีรูปร่างคลายมนุษย์กึ่งสัตว์ เช่นอาจจะมีหูแมว หางแมว แต่รูปลักษณ์หลายๆอย่าง อาทิใบหน้าก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ กระนั้นก็ดีก็มีบางที่ใบหน้าจะออกไปตามสัตว์เหล่านั้น ซึ่งนั้นก็จะทำให้ใกล้เคียงกับการเป็นวอร์บีสต์ เพราะวอร์บีสต์จะมีรูปลักษณ์เป็นสัตว์มากกว่าความเป็นมนุษย์นั้นทำให้ยีนกับทักษะของความเป็นสัตว์โดดเด่น ร่างกายเลยแข็งแกร่งกว่าในทางกายภาพ

ทว่า ลิง พวกนี้นั้นไม่ใช่ พวกมันไม่ได้มีส่วนใดเป็นมนุษย์หรือเหมือนมีส่วนใดเป็นมนุษย์เลย ทั้งแขนที่ยาวกว่า ทั้งใบหน้าที่เป็นลิงอย่างชัดเจน ในจะการเดิน การปีนป่าย ล้วนแล้วแต่ไม่ใกล้เคียงกับวอร์บีสต์เลย ไหนจะเรื่องภาษาที่พวกมันสามารถพูดภาษากลางของโลกนี้ได้อีก มันยิ่งทำให้มาร์สับสน เช่นกันเขาที่มองไปยังอคโตเองก็ได้เห็นริมฝีปากที่กำลังอ้าค้างไวแสดงออกถึงความสับสนบางอย่าง

“ นายท่านคะ ถึงแล้วค่ะ…แต่ว่า ”

แต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดอีกต่อไป เพราะไม่นานทั้ง 3 ก็ออกมาจากบันไดทางลง แล้วก็ได้พบกับสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดได้ในหอคอยนี้ สิ่งที่มาร์ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ อย่างสิ่งที่เรียกว่า…เมือง เมืองขนาดใหญ่ที่ทำจากต้นไม้ ไม่สิ เมืองที่อยู่ในต้นไม้และในเมืองนั้นก็เต็มไปด้วยฝูงลิงมากมายปีนป่ายไปมาราวกับว่านี้เป็นเมืองของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาจากด้านบน นั้นทำให้มาร์เดินเข้าไปหาอคโตแล้วกระซิบบอกกับเธอด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า

“ อืม ไว้หลังจากนี้เราคงต้องคุยกันเพิ่มถึงเรื่องในทางลงแล้วล่ะนะอคโต ”

“ รับทราบเจ้าค่ะ ”

………

ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ

“ ข้างหน้าแล้วนะดีย์โอะ ”

“ ค ค่ะ!! ”

“ งั้นก็ได้้เวลาพรางหน้า ”

มาเร่กับดีย์โอะ เดินทางขึ้นไปยังด้านบนด้วยการวิ่ง วิ่งฝ่าทุกอย่างไปอย่างรวดเร็วจนผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน โดยตอนที่วิ่งมาจะถึงนั้นมาเร่ก็เปลี่ยนหน้ากากมาเป็นหน้ากากกันแก็สพิษเต็มใบ ทั้งยังสวมผ้าคลุมลายพรางสีดำขาวเอาไว้ จนมองจากข้างนอกแล้วไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนที่ใส่อยู่คือใคร

ฟุ่มมม

“ อย่ามาขวางทางดิ๊!! ”

“ อี๊!! ”

ตึก ตึก ตึก

“ ก ก เกิดอะไรขึ้นน่ะ!! ”

อย่างไรก็ตามพอขึ้นมาถึงด้านบนได้ ดีย์โอะก็ไล่คนที่ขวางทางเธอกับมาเร่ในทันที ทำให้นักพจญภัยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรถึงกับร้องเสียงหลง แล้วนักพจญภัยคนอื่นๆที่อยู่แถวนั้นก็ต่างหลีกทางให้ไม่ใช่เพราะโดนไล่แต่เป็นเพราะพวกเขาตกใจกับเลือดที่ไหลออกมาจากกรงเล็บเหล็กนั้น เลือดที่ไหลจนนองเต็มพื้นรอบๆตัวดีย์โอะ และด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจนเหมือนจะวุ่นวาย วัลคีย์ หัวหน้ากิลล์ก็ได้วิ่งออกมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ อ๊ะ! วัลคีย์!! ผู้ชายที่บาดเจ็บหนักที่แขนไปอยู่ไหนแล้ว!!? ”

“ อะไรนะคะ?!? ”

ดีย์โอะพอเห็นหัวหน้ากิลล์ปุ๊บ เธอก็ถามทันทีทำให้วัลคีย์ที่ได้ยินได้แต่ยืนสับสน เพราะเธอที่นั่งทำงานเอกสารอยู่ตลอดจะไปเห็นผู้ชายที่บาดเจ็บหนักที่แขนได้อย่างไร ทว่าท่ามกลางความสับสนนั้นพนักงานที่อยู่ตรงทางออกก็ได้ยกมือขึ้นแล้วรายงานว่า

“ ขออนุญาตครับ!! ผมจ่าสิบเอกนัตสังกัดทหารกองเกินที่ 1 ขอรายงานให้ท่านทราบว่า ชายผมมดำที่มีบาดแผลใหญ่ที่แขนรีบวิ่งออกจากสำนักงานกิลล์ไปเมื่อราวๆ 4 ชั่วโมงที่แล้วครับ ”

“ อึก…. 4 ชั่วโมง ”

ดีย์โอะที่ได้ยินก็แสดงสีหน้าเป็นกังวัลอย่างมาก เพราะเธอคิดว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ สปายนั้นคงหนีไปไกลแล้วตามไม่ได้แน่ๆ ซึ่งนั้นก็จะกลายมาเป็นความผิดของเธอเพราะตลอดทางที่วิ่งมานั้นดีย์โอะไม่สามารถจะวิ่งตามนายท่านของเธอได้ทันจนเขาต้องลดความเร็วลง

“ ยังไม่ต้องกังวลหรอกนะ เค้ารู้สึกได้นะว่ายัยนั้นน่ะหนีออกไปได้ไม่ไกลหรอก ตอนนี้รีบไปขึ้นรถแล้วตามล่าต่อกันดีกว่า ”

แต่ว่ามาเร่ที่ได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของดีย์โอะ เธอก็เดินเข้ามากระซิบด้วยเสียงที่ยังดูไร้กังวลใดๆ เพราะในหัวของเธอตอนนี้ยังรับรู้ตำแหน่งของผู้หญิงนั้นได้ผ่านมานาที่เป้าหมายส่งออกมาอยู่เรื่อยๆ แม้จะเบาบางลงก็ตาม

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ค่ะ!! ”

ซึ่งพอมาเร่บอกกับดีย์โอะแล้ว เธอก็เดินออกไปในทันที ซึ่งดีย์โอะก็ตามไปติดๆ ทิ่งให้คนในกิลล์ยังงงกันต่อไปว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทว่าวัลคีย์ที่ไม่แปลกใจอะไรกับการทำตัวอย่างนี้ของกลุ่มที่เรียกว่าเมด กับพนักงานของยูโทเปีย ทำให้เธอมองยังพื้นที่ที่ดีย์โอะเคยยืนอยู่ ก่อนจะหันไปมองยังพนักงานใต้บังคับบัญชาของเธอ

“ เมดลำดับที่ 2 ออกทำงานที่ไหนต้องมีนองเลือดทุกทีจริงๆสินะ เห้ออออออ เธอน่ะ…รบกวนไปตามพนักงานทำความสะอาดมาที ”

……

แซก แซก แซก

“ อึก!! กรอด…แค่นิดเดียว นิดเดียว… ”

เช่นกันทางด้านของรินรินเท เธอกำลังเดินผ่านป่าไม้ เพื่อมุ่งไปยังที่หลบภัยที่กลุ่มสปายของกองทัพจอมมารได้สร้างเอาไว้เป็นจุดๆตลอดเส้นทางระหว่างเมือง 01 ไปยังเขตเมืองคนนอก แล้วที่นี้ก็เป็นที่เก็บยากับอาหารหรืออุปกรณ์ต่างๆอีกด้วย ซึ่งมันก็ไม่ไกลจากที่เธออยู่ในตอนนี้เลย

แหมะ แหมะ

" กรอดดดด… *

กึก กึก กึก

“ ยาจะหมดฤทธิ์เร็วไปไหนกัน… ”

ทว่าด้วยบาดแผลที่ได้มามันก็ยากที่จะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอย่างที่เคย รินรินเทต้องคอยดูอาการของตนเองเสมอเพราะทุกวินาทีที่ผ่านไปยาก็ยิ่งจะอ่อนฤทธิ์ลงแล้วมันก็ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงเนื้อหนังที่ขาดรุ่งริ่งของเธอมากขึ้น แล้วก็เลือดที่เริ่มจะกลับมาไหลเป็นปกติอีกครั้ง ทำให้ถ้าไม่มัดด้วยผ้าเอาไว้แน่นพอมันก็คงจะฉีกขาดและเสียเลือดมากกว่านี้

“ น น นั้นไง… ”

เสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานของกลุ่มคน

โดยเพียงไม่นานหลังจากที่เธอก้มลงไปพันแขนของตน รินรินเทก็มองเห็นจุดพักที่ว่า มันซ่อนอยู่ใต้หินก้อนใหญ่พร้อมกันนั้น ที่นั้นเองก็มีกลุ่มชายหญิงจำนวนหนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วย เธอรู้ได้ทันทีว่านั้นน่ะคือกองสปายของกองทัพจอมมารผ่านการที่ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมแหวนสีแดงที่มีตราซึ่งคนของกองทัพจอมมารเท่านั้นจะเห็นได้

“ ท่านรินรินเท!! ”

“ รีบเปิดทางให้พาท่านเข้าไปรักษาเร็วเข้า!! ”

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในนั้นเห็นรินรินเทที่กำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่สุดๆก็ได้ลุกแล้ววิ่งมาช่วยพยุงร่างของรินรินเท ก่อนจะพาเข้าไปยังจุดซ่อนตัว ซึ่งในระหว่างที่รินรินเทกำลังนอนลงรับการรักษาอยู่นั้น เธอก็ได้พยายามคงสติของตนเอาไว้ด้วยการเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น

“ พว..กเม…ด พวก…มัน..รู้.ตั..วพ…ว..กเ..ร..า..แ..ล้..ว ร ร รี..บ..ไป..บอ…กค..นอื่…น ไป ไปบอก…พว..กนั้น ระ..วั…ง… อึก…อ๊ากก พ..ว..ก… อัน…ต..ร…า..ย… อย่า…หาย…ใจ..ผ…ง.. อึก.. ”

“ เก็บแรงไว้ก่อนเถอะค่ะท่านรินรินเท! เห้ย!! แกน่ะตรวจดูกระเป๋ายาประจำตัวเร็วเข้า!! ”

“ อ..อ่า!! ไม่มี ไม่มี!! ท่านรินรินเทกินยาหยาดน้ำตาวิญญาณไปแล้ว!! ”

“ ชิ!! เปลี่ยนแผน!! ไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลมา!! ส่วนพวกยารักษาอื่นๆ!! เอาไปเก็บซะ!! ”

ในระหว่างรักษา หนึ่งในนั้นก็ได้สั่งให้อีกคนตรวจดูกระเป๋ายาของรินรินเท ซึ่งก็พบว่ามีตลับยาอันนึงได้ถูกเปิดออก ทุกคนจึงรู้ได้ทันทีว่า ยาที่ชื่อว่า [ หยาดน้ำตาวิญญาณ ] นั้นรินรินเทได้ทานมันเข้าไปแล้ว และความจริงนั้นก็ทำให้ทุกคนในนั้นถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียว เพราะมันเป็นยาที่ทำให้การฟื้นฟูร่างกายหลังจากที่ใช้นั้นช้าลงกว่าครึ่งแถมยังสร้างภาระกับร่างกายจนไม่อาจจะทานยาตัวอื่นได้ เพื่อแลกกับตอนใช้ บาดแผลกับอาการเจ็บทั้งหลายในร่างกายจะถูกหยุดเวลาเอาไว้ชั่วขณะ หมายความว่าแผลจะไม่ฉีกขาด และร่างกายจะยังทำงานเป็นปกติ

ตึก ตึก ตึก

“ เชี่ยเอ้ย!! ข้างนอกนั้นจู่ๆพวกทหารกำลังจะผ่านมาที่นี้แล้ว!! ”

“ อะไรนะ!! แต่ที่นี้มันอยู่นอกเส้นทางปกติไม่ใช่เรอะวะ!! ”

“ ใจเย็นๆ!! ตอนนี้ชั้นต้องประคองอาการของท่านรินรินเทเอาไว้ก่อน!! ถ้าพวกแกจะโวยวายก็ออกไปข้างนอกแล้วพรางที่นี้ซะ! อ่า ไอกองไฟที่จุดไว้ก็ด้วยรีบๆดับแล้วกลบทิ้งเดี๋ยวนี้เลย!! ”

ทว่าแทนที่การรักษาจะเป็นไปได้ด้วยดี สปายที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็วิ่งลงมาด้วยสีหน้าที่แตกตื่นพร้อมกับแจ้งให้ทุกคนข้างในรู้ถึงสถานการณ์ข้างนอก ซึ่งสปายสาวที่กำลังรักษารินรินเทอยู่ก็รู้สึกตัวได้มันเห็นได้ว่านี้เป็นการออกตามหาอะไรบางอย่าง  เลยสั่งให้พวกที่เหลือออกไปจัดการลบร่องรอยการมาของเธอและรีบไปหาอะไรมากำบังที่นี้

“ อ่า!! เข้าใจแล้ว!! ”

“ เดี๋ยวข้าไปจัดการเรื่องพรางทางเข้าเอง!! ”

“ งั้นเดี๋ยวเราไปกลบไฟ!! ”

ทุกคนนั้นทำตามในทันที ส่วนรินรินเทก็เอาแต่นอนมองเพดานห้องพร้อมกับสวดภาวนาด้วยเสียงที่เบาจนไม่มีใครอาจจะได้ยิน เสียงนั้นกล่าวถึงชื่อๆหนึ่ง ซึ่งกว่าเธอจะได้พูดออกมา สติของเธอก็เลือนลางแล้วหลับลงในที่สุด

……

“ นายท่านคะตอนนี้พนักงานของพวกเราได้เข้าล้อมพื้นที่ที่นายท่านได้ระบุไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ”

“ อื้ม อื้ม ยังไงอย่าพึ่งเข้าไปล่ะ แล้วก็ถ้าเจอศัตรูก็ให้ถอยออกมาเลยนะ ”

ภายในรถยนต์หรูขนาดใหญ่ทีมีสีดำและตราประทับหัวกะโหลกผีที่ติดอยู่ข้างตัวรถ โดยในนั้นนอกจากขนขับที่โดนขังไว้ในห้องคนขับที่ติดตั้งกระจกกั้นเสียงกับภาพแล้วก็มี มาเร่ อคโต และดีย์โอะนั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งปัจจุบันอคโตก็กำลังแจ้งผลลัพธ์ของคำสั่งให้กับมาเร่ได้ทราบ ว่าตอนนี้พนักงานภาคสนามกำลังออกตระเวนในพื้นที่ที่มาเร่ระบุไว้มันคือสถานที่ที่เป้าหมายเคลื่อนที่ไปถึงแล้วหยุดไม่ได้ไปไหน

“ รับทราบค่ะนายท่าน เช่นนั้นดิชั้นขอกระจายคำสั่งก่อนนะคะ ”

“ เอ่อ…เดี๋ยวนะคะนายท่าน? ทำไมถึงไม่บุกเข้าไปเลยล่ะคะทั้งๆที่พวกเราได้เปรียบขนาดนี้แล้วแท้ๆ? ”

คำสั่งนั้นอคโตรับทราบแล้วส่งต่อในทันที ทว่าดีย์โอะนั้นสงสัยว่าทำไมถึงไม่บุกเข้าไปเลยเพราะอีกฝั่งก็บาดเจ็บอยู่ น่าจะไม่ยากที่จะจับกุมแบบเป็นๆ แต่มาเร่ก็ส่ายหน้าก่อนจะพูดออกมาผ่านหน้ากันแก๊สพิษของเธออย่างช้าๆว่า

“ ก็เพื่อไว้น่ะ…เพื่อยัยนั้นมาถึงก่อนที่เค้าคิดไว้ หยึยย หนาวววจัง ”

“ ค ค คะ? ”

ดีย์โอะที่ฟังก็ได้แต่นั่งงงอยู่ในรถต่อไป โดยไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะที่ไม่ถามไม่ได้มาจากเกรงใจนะ แต่เป็นการวนอยู่กับคำว่า “ยัยนั้น” ต่างหาก และเมื่อรถมาถึงยังที่หมาย มาเร่ก็ยังคงสวมบทบาทเป็นคนที่ต่ำต้อยกว่าด้วยการให้ดีย์โอะ อคโตเดินนำลงจากรถ สวนเธอก็เดินตามหลังไปติดๆโดยที่พวกพนักงานได้แต่มองดูอยู่ด้วยความสงสัย

“ นั้นเมดคนใหม่ของนายท่านงั้นเหรอ? ”

“ เห… คงงั้นล่ะมั้ง ไม่งั้น ไม่เดินตามท่านดีย์โอะกับท่านอคโตหรอก ”

“ แต่น่าเสียดายเหมือนกันนะที่ใส่หน้ากากปิดบังหน้าแบบนั้นน่ะ ”

“ เอ? ก็ดูมีเสน่ห์ดีนิ แบบท่านอคโตเองก็สวมผ้าปิดบังตาเอาไว้ตลอดเลยนี้ หรือแม้แต่ท่านเตนโทรเองก็สวมหน้ากากตลอดไม่ใช่เหรอ? ”

ทว่าพนักงานบางคนก็อดจะพูดคุยกันไม่ได้ว่า ผู้หญิงที่เดินตามไป(มาเร่) น่าจะเป็นเมดฝึกหัดคนใหม่ ซึ่งทางด้านอคโตกับดีย์โอะที่ได้ยินก็ไม่ได้จะสนใจอะไร จนกระทั้งมาเร่พูดอย่างร่าเริงว่า

“ แหะ แหะ โดนเข้าใจว่าเป็นเมดด้วย ดีใจจัง ”

“ เดี๋ยวนะคะนายท่าน เดี๋ยว… ”

“ ถึงดิชั้นจะรู้ว่านายท่านชอบร่างนี้มากๆ แต่ได้โปรดเถอะนะคะ อย่าหลงไปกับร่างนี้มากเลยค่ะ ”

ซึ่งทันทีที่ทั้ง 3 คนเดินออกมาได้สักพักแล้ว มาเร่ก็กลับมาเดินนำอีกครั้ง พร้อมทั้งยังส่งสัญญาณให้กับดีย์โอะและอคโตทราบด้วยว่าให้เตรียมตัวไว้ตลอด ซึ่งทั้งสองก็รับทราบด้วยการเตรียมอาวุธของตนเองในทันที และก็ไม่นานนักที่มาเร่จะพาทั้งคู่มาถึงยังที่หมาย หินขนาดใหญ่ที่มีพุ่มไม้ขึ้นบังอยู่

“ ให้กี่คะแนนดีล่ะ? ”

มาเร่หันไปมองเมดทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลัง พร้อมกับถามคำถามสั้นๆ ซึ่งทั้งคู่ก็รู้ว่ามาเร่ถามถึงหินก้อนใหญ่ที่มีพุ่มไม้บังนั้น พุ่มไม้ที่บังอย่างผิดธรรมชาติไม่เหมือนกับต้นไม้ที่เติบโตบนหินที่ตามปกติมันจะต้องมีร่องรอยรากไชผ่านทำให้เกิดรอยหินแตกเสมอ แถมที่พื้นรอบๆก็ไม่มีต้นหญ้าใดๆอีก เห็นได้ชัดเลยว่าที่นี้ต้องมีคนเคยพักมาก่อนแล้วแน่ อคโตที่เห็นนั้นส่ายหน้าพร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆไร้อารมณ์ใดของเธอ

“ ถ้าดิชั้นให้คะแนนสักคะแนนเดียวมันจะเป็นการดูถูกนักเรียนที่เรียนวิชาอำพรางได้นะคะ ”

“ นั้นสิน้า อย่างที่อคโตว่าเลย จะอำพรางแต่ถ้ากลิ่นเลือดยังคลุ้งซะขนาดนี้ แล้วนั้นอะไรน่ะ เขม่า? กองเพลิงพึ่งดับอีก? เห้ออ… พรางไปก็ไม่ได้จะช่วยอะไรนักหรอก ”

“ เนอะ? ”

ดีย์โอะเองก็พูดเสริมขึ้นมาอย่างไม่พอใจด้วย มาเร่เองก็คิดแบบนั้น ทว่าเธอไม่ได้คิดจะวิจารณ์ให้เสียเวลาอีก มาเร่หันไปมองกับทั้งสองพร้อมกับส่งสายตาบอกให้ทั้งคู่เข้าไปจัดการเลยส่วนเธอจะคอยระวังจากข้างนอกไว้ให้

“ เข้าใจแล้วค่ะนายท่าน เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับมานะคะ! ”

“ น้อมรับบัญชาค่ะนายท่าน ”

ฉัวะ อ๊ากกกกกกกกก กรี๊ดดดด!!

[ แปป เดียวจริงๆสินะ ก็สมกับเป็นทั้งสองคนดีแหล่ะ อีกฝั่งฝีมือสปายจะมาสู้กับนักดาบแล้วก็เบอร์เซิร์กได้ยังไงกัน แต่ดีนะเนี่ยที่ให้อคโตลงไปด้วยไม่งั้นมีหวังไม่เหลืออะไรให้เอากลับแน่เลย ]

ซึ่งทันทีที่ทั้งสองเข้าไปยังด้านในนั้น เสียงของการฆ่าฟันก็ดังก้องออกมาจากใต้หิน มาเร่ที่นั่งๆอยู่ก็รู้ได้เลยว่ามีคนตายไปเรียบร้อยแล้ว 4 คน แถมอีก 2 คนก็กำลังนอนหมดสภาพไร้สติอยู่ 1 ในนั้นต้องเป็นรินรินเทแน่ๆ โดยไม่ต้องมองดูหรือสัมผัสถึงมานาเลยสักนิด

“ กลับมาแล้วค่า! ”

“ นายท่านคะ ดิชั้นจับกุมสปายได้ 2 คนเจ้าค่ะ คนหนึ่งเป็นเป้่าหมายหลักของภารกิจ ชื่อรินรินเท ส่วนอีกคนยังไม่ทราบชื่อ แต่ดูเหมือนจะเป็นหมอของพวกสปายค่ะ ”

เพียงไม่นานหลังจากที่อคโต กับดีย์โอะลงไป ทั้งคู่ก็กลับขึ้นมาพร้อมกับแบกร่างของคน 2 คนมาด้วย 1 ในนั้นเป็นรินรินเทอย่างที่มาเร่คิด ส่วนอีกร่างก็ดูเหมือนจะเป็นสปายสาวอีกคนที่พึ่งได้รับบาดเจ็บมาหมาดๆและคงจะเป็นฝีมือของอคโต เพราะแขนของสปายคนนั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยหนามหินมากมายที่แทงสวนออกมาจากด้านใน

“ เก่งจริงๆเลยน้าทั้งสองคน แต่ว่าพวกเราก็รีบกลับรถกันเถอะ ยิ่งช้าเดี๋ยวจะแย่เอา ”

“ อุ…รอยยิ้มนั้น!! ”

“ น น นายท่านคะ…ได้โปรดเถอะค่ะ ได้โปรดกลับร่างเดิมเถอะนะ..คะ ดิชั้นจะ..ต..ต้านไม่อยู่แล้ว… ”

มาเร่ที่เห็นผลงานของทั้งสองก็ได้ชมทั้งคู่ด้วยการถอดหน้ากากก่อนจะส่งรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาให้ได้ชมกันชั่วครู่แล้วก็กลับไปใส่หน้ากากเหมือนเดิม ก่อนจะหันหลังแล้วเดินนำกลับออกไป ทว่าทั้นคู่พอเจอรอยยิ้มของหญิงสาวผู้นั้นเข้าไปก็ทำเอาหลงทางกันเลยทีเดียว ดีย์โอะเกือบจะเลือดกำเดาไหลส่วนอคโตก็หน้าแดงขึ้นมาแถมยังแสดงอารมณ์ออกมาอีก ยังไงก็ตามพอทั้ง 3 มาถึงยังรถแล้วมาเร่ก็ได้ทำในสิ่งที่ทุกคนไม่ได้คิดเอาไว้

“ เอ่อ คุณคนขับคะ? รบกวนช่วยลงจากรถแล้วไปรวมตัวกับคนอื่นได้หรือเปล่าคะ? ”

“ อ อ อ่า ว่ายังไงนะครับ? ”

“ ก็บอกว่า รบกวน ช่วย ลง จาก รถ แล้วไปนั่งรถคันอื่นน่ะค่ะ? ”

“ ข ข ข เข้าใจแล้วครับผม!! ”

ใช่…เธอไล่ให้คนขับลงก่อนที่เธอจะขึ้นไปขับเอง ทำให้ทั้งอคโตกับดีย์โอะได้แต่ยืนงงไปชั่วครู่ ซึ่งพวกเธอที่จะเข้าไปถามก็ถามไม่ได้เพราะมาเร่นั้นขึ้นรถไปแล้วปิดประตูทันทีทำให้ทั้งสองต้องจำใจพาตัวนักโทษที่จับมาได้ขึ้นรถพร้อมกับปฐมพยาบาลไปด้วย ส่วนมาเร่พอสำรวจในที่นั่งคนขับเสร็จเธอก็หยิบเอาวิทยุในรถขึ้นมาพูดส่งข้อความออกไปยังรถทุกคนในขบวนพร้อมกับมองดูท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป

“ ต่อจากนี้ให้ขับนำและตามรถ VIP เป็นระยะห่าง 200 เมตร ย้ำอีกครั้ง ขับห่างจากรถ VIP 200 เมตร ”

บรืนนนนน ครึก ครึก ครืนนน

โดยระหว่างที่ขับไปนั้นจู่ๆท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ทั้งๆที่ก่อนหน้าท้องฟ้ายังปลอดโปร่งอยู่แท้ๆ มาเร่ ที่เห็นไม่ได้มีสีหน้าที่ตกใจอะไรเลยสักนิด เธอวิทยุบอกกับรถทุกคันอีกครั้งโดยคราวนี้น้ำเสียงของเธอจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน

“ ถึงรถทุกคันขับออกไปที่ระยะ 400 เมตร ”

แกร็ก

ซึ่งพอเธอพูดจบ มาเร่ก็เปิดหน้าต่างกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสารออกก่อนจะมามองที่อคโตอย่างเร่งรีบ แล้วตะโกนสั่งออกมาพร้อมกับมองไปที่นักโทษทั้งสองซึ่งกำลังนอนหมดสติอยู่

“ อคโต!! สร้างเกราะหุ้มร่างของสปายทั้งสองคนเอาไว้เร็วเข้า!! ”

“ รับทราบค่ะ!! ”

อคโตนั้นตอบสนองในทันที เธอใช้ปลอกดาบสัมผัสกับร่างของทั้งสองก่อนที่เพียงเสี้ยวพริบตาเดียวร่างของทั้งคู่ก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเหล็กจนคล้ายกับโลงศพรูปร่างคน 2 โลงวางข้างๆกัน และในตอนนั้นเองมาเร่ก็หันกลับไปมองยังบนท้องฟ้องแล้วเธอก็ได้เห็นแสงสีแดงบางอย่างพุ่งลงมา

กึง ตู้มมมมมมม!!

แสงนั้นปะทะเข้าตัวรถก็จนทำให้ตัวรถขาดออกจากกัน ฝั่งคนขับกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร ส่วนฝั่งคนนั่งด้านหลังที่ดีย์โอะกับอคโตอยู่กลับไม่ได้กระเด็นไปไหน เพราะว่าสิ่งที่ทำให้รถขาดครึ่งนั้นก็ได้ยืนเหยียบตัวรถเอาไว้ พร้อมกับจ้องมองมายังทั้งสอง

“ พวกแก… ”

“ ยัยนี้ คือคนที่นายท่านว่าสินะ ”

“ น่าจะล่ะนะคะ ”

หญิงสาวสวมชุดเดรสและถุงมือลายลูกไม้สีดำสนิทตรงหน้า เธอเป็นหญิงตัวไม่สูงเสียเท่าไหร่ อาจเรียกได้ว่าขนาดเท่ากับเด็กเลยก็ว่าได้ เธอมีสีขาวซีดผมสีดำและดวงตาที่เบิกกว้างซึ่งมีถุงไต้ตาเป็นสีแดง ใบหน้านั้นแม้จะงดงามแต่รอยยิ้มที่ปรากฎก็ให้ความรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่อาจจะอธิบายได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มของคนโรคจิตก็ไม่เกินเลยไปเลย

“ พวกแกสองตัวเองสินะ!! ”

ฟุบ แก็ง แก๋ง!!

หันมามองทั้งสองก่อนจะหยิบเอาดาบเรเปียร์ออกมาแล้วกระโจนเข้าใส่ อคโตสามารถป้องกันได้ด้วยการปัดออกแม้ว่าการปัดออกนั้นมือของเธอจะสั่นอย่างรุนแรงพอแรงปะทะก็ตาม ส่วนดีย์โอะก็สามารถใช้กรงเล็บของเธอขึ้นมาป้องกันได้ แต่ก็ไม่อาจจะพลักดาบเล็กนั้นออกไปได้ เธอได้แต่พยายามต้านมันเอาไว้

“ หึ มัวแต่กดดันชั้นจนลืมอะไรไปหรือเปล่า? ”

“ หา? หมายถึงยัยโกเล็มนี้อ่ะนะ? ”

แก๋ง!!

“ ปัดการแทงของดิชั้นได้โดยไม่แม้แต่จะมองแบบนี้ สมกับเป็นผู้ใช้เรเปียร์เหมือนกันเลยนะคะ ”

“ แก…อย่าเอาชั้นไปเทียบกับพวกต่ำอย่างพวกแกสิ ”

แก๋ง แก๋ง!!!

“ อึก!! เร็ว!! ”

“ ดูท่าขนาดชั้นกับอคโตร่วมมือกันก็ยังจะตึงมือสินะ งั้นชั้นขอเปิดโหมดเลยละกัน ฮ่าห์…เลือด ”

ฟุบ เก๋ง เก๋ง ควับ ฉัวะ แก๋ง กึ้ง

ทั้งสามสู้กันโดยเป็นรูปแบบ 2 ต่อ 1 ฝั่งของอคโตกับดีย์โอะ พอร่วมมือกันแบบนี้แล้วก็พอจะตอบโต้กลับไปได้ โดยตอนต้นทั้งสองเข้าโจมตีพร้อมกันเพื่อจะทำให้ ศัตรูไม่สามารถปัดป้องได้ แต่ก็นะเธอไม่ได้จะปัดป้องเลย หญิงสาวนั้นหลบอย่างง่ายดายแถมยังสวนกลับจนทำให้ ดีย์โอะได้แผลอีกต่างหาก

“ หึ! คิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะจัดการชั้นได้หรือยังไงยะ? อ่อนหัด กระจอก กากเดนสิ้นดี!! ”

“ กรรรร!! ”

“ ดีย์โอะ…แผลไม่ลึกสินะ แต่ถึงกับเจาะผ่านเกล็ดบนตัวของดีย์โอะได้ ดาบนั้น…อันตราย ”

หญิงปริศนานั้น เริ่มดูถูกทั้งสองอย่างสบายใจ ซึ่งดีย์โอะพอได้ยินก็คำรามออกมา ทว่าอคโตนั้นไม่ได้สนใจในคำพูดของศัตรูเลย เธอดูแผลของดีย์โอะ แผลบนไหล่ของเธอมันเป็นแผลตื้นๆ ไม่ได้ลึกมากแต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ทำให้อคโตต้องระวังมากขึ้น เพราะร่างกายของดีย์โอะที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดเล็กๆที่แข็งราวกับเหล็ก ถูกตัดได้อย่างง่ายดายแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นเลย

“ กรรรร!! ”

“ ฺฮ่าๆๆๆ ดุเป็นหมาเลยนะยัยเงือกฉลาม!! ”

ฉัวะ

“ ย๊า!! ”

“ โอะ? อะไรล่ะ? แรงเบาขนาดนี้คิดจะมาเป็นของว่างให้ชั้นหรือไง? ”

แก๋ง ฉึก

“ อึก!! ”

อย่างไรก็ตามยิ่งสู้ ฝ่ายที่ดูจะได้เปรียบก็คือหญิงสาวปริศนานี้ เธอสามารถสวนกลับการโจมตีอันรุนแรงของดีย์โอะในโหมดเบอเซิร์ก แถมยังปัดป้องแล้วยังแทงสวนกลับเข้าไปโดนร่างกายของอคโตที่เอาจริงได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยใดๆ ผิดกับทั้งสองที่ยิ่งเวลาผ่านไปอาการเหนื่อยก็ยิ่งมีออกมาให้เห็นได้ชัดขึ้น อคโตเคลื่อนที่ได้ช้าลง ส่วนดีย์โอะก็หอบออกมาทั้งๆที่เธอไม่เคยจะเป็นแบบนั้น

แก๋ง เก๋ง ฉัวะ ฉึก แก๋ง แก๋ง แก๋ง แก๋ง ฉึก!

“ ฮ่าๆๆ ฝีมือมีกันแค่นี้เหรอ? ไหนล่ะ? ไหนฝีมือที่ทำให้ข้ารับใช้ของชั้นต้องส่งจดหมายเตือนด่วนมาน่ะ หาาา??! แสดงออกมาสักทีสิ!! แสดงออกมา! ”

ซึ่งพอนานเข้า นานเข้า ศัตรูคนนี้ก็เริ่มจะกดทั้งสองได้ อคโตจากบุกกลายมาเป็นป้องกัน ดีย์โอะที่แม้จะเปิดเบอเซิร์กก็ไม่สามารถจะใช้กำลังสยบศัตรูได้อีกต่อไปแล้วกลายมาเป็นตัวเธอเองต้องคอยรับการโจมตีแบบเฉียดจุดตายอยู่เสมอ ในขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่พูดเยาะเย้ยสนุกปากอยู่ฝ่ายเดียว

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ฟุบ ฟุก ฟุบ

“ คิดว่าปืนจะทำอะไรชั้… ผงอะไ.. อึก..ตาชั้น!! ”

ทว่าในระหว่างที่สู้อยู่ ก็มีเสียงปืนดังขึ้น ผู้หญิงลึกลับนี้จึงหันไปมองแล้วกระสุนพวกนั้นก็แตกออกกลางอากาศอย่างง่ายดาย ทว่าแทนที่กระสุนไร้ผล ตอนที่มันแตกออกก็ได้กระจายผงบางอย่างออกมาใส่เธอทำให้ เธอนั้นแสบคันแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทนไม่ได้

“ โห่? ผงแก็สน้ำตาเข้มข้นพรมหน้าไปขนาดนั้นยังไม่เป็นอะไรอีกเหรอคะเนี่ย? หน้าหนาจริงเลยนะคะ ”

“ น น หน้าหนา…ก ก แก!!? ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้่ง ปั้ง ฟุบ

คนที่ลงมือนั้นก็คือ มาเร่ เธอปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับสภาพชุดคลุมของตนเองที่ขาดรุ่งริ่ง แน่นอนการมาของเธอนั้นมาพร้อมกับคำพูดที่แสนจะใสๆ ที่แสดงออกถึงความเธอประทับใจเป็นอย่างมากแม้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดก็ตาม ซึ่งเธอก็ไม่ได้จะพูดมากนั้น เพราะพูดจบก็กระหน่ำยิงใส่อย่างไม่หยุด ทำเอาฟิเรนต้องกระโดดถอยกลับ

“ ตอนนี้แหล่ะดีย์โอะ!! ”

“ กรรร!! ”

แก๋ง แก๋ง

“ คิดว่าจะลอบกัดชั้นได้หรือยังไงยะ?? คิดสิคิด!! ”

ซึ่งในจังหวะนี้ทั้งอคโตทั้งดีย์โอะก็พุ่งเข้าใส่เพื่อกดดันศัตรู ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงปัดป้องเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาด ผู้หญิงปริศนานี้ก็ใช้ฝักดาบกับดาบของเธอกันเอาไว้ แถมยังจะสวนกลับอีกด้วย แต่…

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ โอ้ยยย!! หยุดได้แล้ว!! ทำไมพวกที่ใช้ปืนมันถึงได้น่ารำคาญแบบนี้!! ตั้งแต่ตอนอาทีย่อมนั้นแล้วนะ!! ”

ฟุบ

“ โอ๊ะ!! เกือบละ!! ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ กรี๊ดดดดด!! ตาชั้น!! แก!! หยุดสักที!!! ”

ทว่าพอโดนยิงกดไปแบบนี้ก็โมโห เธอบ่นออกมาอย่างเกรี้่ยวกราดอีกทั้งเธอก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าใส่มาเร่ในทันที แน่นอนมาเร่ก็หลบได้อย่างเฉียดชิว ก่อนจะถมกระสุนยัดหน้าของศัตรู กระสุนที่แม้จะไปไม่ถึงก็ก่อความรำคาญได้สุดๆ

[ ชิ!! หัวกระสุนแตกออกตอนกระทบกับม่านป้องกันของเรา แบบนี้ก็มีแต่ต้องปิดมันก่อนสินะ!! ไม่งั้นตาพังหมดก่อนแน่!! แล้วก็ยัยนั้นถ้าไม่ฆ่าทิ้งเราเองนี้แหล่ะ จะเสียเปรียบ!! ]

อย่างไรก็ดีหญิงสาวเริ่มจะจับทางได้ เธอได้ปิดการทำงานของบางสิ่งที่กันกระสุนไม่ให้เข้ามาใกล้เธอลง แล้วเปลี่ยนมาเป็นหลบก่อนจะเข้าไปใช้ดาบฟันไปที่ปืนหวังจะทำลายมันแล้วปลิดชีพผุ้ใช้ซะ

ควับ ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ ALL ALPHA!! ”

“ กรี๊ดดด คันนน คันนน!! ”

ทว่ามาเร่ก็เดาทางออก เธอหลบอีกครั้งก่อนจะยิงสวนกลับอีกหนในระยะประชิด คราวนี้ด้วยระยะที่ใกล้ กระสุนก็ปะทะเข้ากับร่างของฟิเรน แต่มันไม่ได้ทำให้เธอบาดเจ็บหนัก ร่างกายของเธอรับมันไว้ได้แต่แลกมากับความแสบคันอย่างถึงที่สุด

“ ตายซะ!! ยัยตัวน่ารำคาญ!! ”

ฟุบ ควับ

“ แหมๆ เล็งปืนยาวเค้าอีกแล้วน้าาา แย่ที่สุดเลย!! แสดงว่าไม่ชอบใหญ่ๆยาวๆ งั้นก็เอาสั้นๆไปลองก็แล้วกัน!! ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ฉัวะ ฉัวะ

อย่างไรเสียด้วยระยะที่ห่างกันไม่มากนี้ ฟิเรนก็ได้ตวัดดาบมาหวังจะทำลายปืนของมาเร่ซะ แต่มาเร่ที่รับรู้ได้ก็เก็บปืนยาวของเธอก่อนจะชักปืนพกยิงอัดในระยะใกล้ซึ่งฟิเรนก็ยังปัดป้องได้ด้วยดาบของตนเอง

ฟุบ ฟุบ

[ ตอนนิ่งๆนี้แหล่ะ… แก!! ]

ทั้งสองกระโดดถอยห่างออกจากกัน และฟิเรนที่เห็นว่าอีกฝ่ายพึ่งลงถึงพื้นหลังจากเธอ เธอก็ได้ยกมือขึ้นทำเป็นบีบคอของมาเร่ เธอทำท่านั้นด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจว่าตนเองชนะแล้ว ทว่า…

“ ทำอะไรคะนั้น? เก๊กท่างั้นเหรอ? เฉิ่มชะมัดเลย ”

“ ด ด ได้ยัง… ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ อ๊ากกก!! ตาชั้นนน!! ยัยนี้ เหมือนกับไอหมอนั้น พลังของชั้น!! ”

อืม…มันไร้ผล พลังของหญิงสาวปริศนานี้ไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวของมาเร่เลย แถมเธอยังยิงสวนยัดหน้าของของผู้ใช้อีกทำให้เห็นผงฝุ่นสีขาวกระจายไปทั่ว หญิงสาวผมดำผู้นี้ตกอยู่ในความสับสนก่อนจะบ่นออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ หมอนั้นนี้ หมอไหนคะ? ชั้นเป็นผู้หญิ..ง แค่ก แค่ก จะไปเหมือนกับผู้ชายได้ยังไงล่ะคะ? ”

แกร็ก ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ หนอย!! ”

มาเร่พอได้ยินก็เลยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มใต้หน้ากากของเธอ ก่อนจะเปลี่ยนแม็กแล้วยิงใส่อีกที หญิงสาวที่โดนกระสุนแก็สน้ำตายิงถล่มใส่ก็เลยต้องหลบอย่างต่อเนื่องจนไม่มีเวลาได้สังเกตุว่า ด้านหลังของเธอก็มีศัตรูมาเพิ่ม นักดาบ กับผู้ใช้กรงเล็บ

ฟุบ แก๋ง แก๋ง

“ อึก…ขนาดเราลอบเข้ามาก็ยัง ”

“ ก ก กรร.. เลือด เลือด จะหมดกลิ่น… ”

“ ชิ!! เผลอแปปเดียวก็แอบไปฟื้นตัวกันมาแบบนี้!! ขี้โกงดีนี้!! ”

จังหวะนั้นหญิงสาวปริศนาได้แต่ต้องปัดป้องก่อนจะส่วนกลับเพื่อจะจัดการ ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดา ทั้งคู่ที่ได้พักฟื้นร่างกายแม้จะระยะสั้นแต่ก็ทำให้ได้แรงมากพอกลับมาที่จะปัดการโจมตีได้

[ สถานการณ์แบบนี้ ยิ่งอยู่นานเรายิ่งจะแย่เอานะฟิเรน ศัตรูที่ใช้ปืนนอกจากจะไม่ได้รับผลกระทบของสกิลพิเศษแล้ว ยังจะยิงใส่เราอย่างไม่หยุดด้วยกระสุนแก็สน้ำตาอีก ถ้าเผลอก็เสี่ยงโดนนักรบอีก 2 คน ลอบโจมตี นี้ไม่นับเรื่องที่เราอยู่ในพื้นที่ศัตรูอีกนะ ยังไงรีบพารินกลับก่อนเถอะ ]

[ ค ค ค่ะ… เข้าใจแล้วค่ะพี่ฟารูน ]

หญิงสาวตัดสินใจจะถอย เธอที่ได้ทบทวนในหัวของตนเองแล้วก็รู้ว่าศัตรูนั้นแม้จะไม่ได้เก่งกว่าเธอแต่ด้วยจำนวน กับการทำงานเป็นทีม มันทำให้เธอต่อกรยากมาก ยิ่งการจะเข้าไปจัดการกับพลปืนก็ลำบากอีก ยัยนั้นไม่มีช่องว่างแถมสกิลที่จะใช้บังคับให้อยู่เฉยๆก็ไม่มีผลอีก เธอจึงหันไปมองยังโลงเหล็ก 1 โลงวางไว้อยู่ในพื้นที่ที่ใกล้กับซากรถสีดำนั้น

“ ริน!! ได้เวลากลับแล้วนะ!! ”

“ ชิ!! ใครจะไปยอมกัน!! ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

มาเร่ที่เห็นก็ไม่ยอมให้ศัตรูได้พาตัวคนที่อยู่ในโลงเหล็กนั้นไป เธอยิงใส่หวังจะสกัดกั้นไม่ให้ศัตรูวิ่งเข้าไปถึงได้ แต่ก็ด้วยความที่โหลดกระสุนผงแก็สน้ำตาไว้ มันเลยไม่ได้สร้างความเสียหายมากไปกว่าการทำให้เป้าหมายแสบคันเป็นพิเศษ เช่นกัน ทั้งอคโตกับดีย์โอะก็พยายามจะเข้าไปสกัดกั้น แต่พวกเธอที่ยังบาดเจ็บอยู่ไม่อาจจะตามความเร็วของผู้หญิงคนนั้นได้

แกร็ก กึง

“ เอาล่ะ วันนี้ ชั้นหมดสนุกแล้ว! ไปก่อนนะ ยูโทเปีย!! ”

ฟุบ ฟู่มมมม

ซึ่งทัันทีที่มาถึง หญิงสาวก็ใช้มือจับโลงเหล็กนั้นก่อนจะยกขึ้นแล้วกระโดดแล้วพุ่งหายไปในอากาศไปพร้อมกับโลงเหล็ก ทิ้งให้ทั้งสามคนได้แต่ยืนมองอยู่ด้านล่างนั้น ซึ่งอคโตที่เห็นก็พยายามจะหยิบวิทยุติดตัวออกมาเพื่อใช้มันทว่ามาเร่ก็เดินเข้ามาห้ามเอาไว้ก่อน

“ น น นายท่าน?!? ”

“ ไม่ต้องหรอกดีย์โอะ ต่อให้เราเอาเครื่องเจ็ตบินตามก็คงไม่ทันความเร็วยัยนั้นหรอกนะ ”

กึก กึก

“ ดิชั้นขออภัยเป็นอย่างยิ่งจริงๆค่ะนายท่านที่ไม่มีพลังพอจะกำจัดศัตรูของพวกเราลงได้แบบนี้… ”

“ น น นายท่านคะ ดิชั้นเองก็ต้องขออภัยเช่นกันค่ะ ที่แม้จะใช้โหมดเบอร์เซิร์กแล้วแต่ก็ยัง… ”

อย่างไรก็ตามอคโตกับดีย์โอะก็ได้คุกเข่าก้มหัวลงขอโทษ ที่ไม่สามารถกำจัดเป้าหมายได้ ทั้งคู่นั้นรู้สึกผิดเป็นอย่างมากและยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อความผิดพลาดนั้นเกิดต่อหน้านายท่านผู้เป็นที่รักของพวกเธอ แต่มาเร่ก็ส่ายหน้าก่อนจะถอดหน้ากากแล้วก็ยิ้มให้กับทั้งสองคนอย่างอ่อนโยน

“ ไม่เป็นไรหรอก อีกฝั่งต่อให้เป็นเราตอนนี้ก็ยังหาทางกำจัดไม่ได้เลย ผู้หญิงที่ชื่อฟิเรนนั้น ทั้งลึกลับและอันตรายขนาดที่เราซึ่งได้เจอถึง 2 ครั้งก็ได้แต่เพียงหาทางก่อกวน ไม่ถึงขั้นทำร้ายได้แบบนี้ เพราะฉะนั้นดีย์โอะ อคโตทั้งสองคนทำได้ดีแล้วล่ะที่ยืนหยัดสู้ได้แบบนั้น ”

“ แต่ว่านายท่านคะ ผู้หญิงนั้นเอาแหล่งข้อมูลสำคัญที่นายท่านต้องการไปยังไงดิชั้นก็… ”

“ จุจุ ”

มาเร่แม้ว่าจะให้อภัยกับทั้งสองแล้ว แต่เหมือนอคโตนั้นจะยังไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอมองว่าภารกิจไม่ได้มีเพียงกำจัดแต่รวมถึงปกป้องแหล่งข้อมูลที่เธอจับมาได้ แหล่งข้อมูลระดับสูงอย่าง คนที่ชื่อรินรินเท ทว่าก่อนที่จะได้พูดจนจบ มาเร่ก็ได้ใช้นิ้วชึ้เข้ามาแตะที่ริมฝีปากของเธอก่อนจะพูดออกมาช้าๆแล้วชี้ไปยังใต้ซากรถนั้น

“ เรื่องนั้นน่ะไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตอนที่ทั้งสองสู้แล้วดึงความสนใจน่ะนะ เราเอาอันที่ใช่ไปซ่อนไว้แล้วล่ะ ดังนั้นไอที่ยัยนั้นเอาไป ไม่ใช่ตัวสำคัญซะหน่อย ปะ ปะ รีบกลับไปให้เอเนอารักษาแล้วก็ลงมือสอบปากคำได้เลย ”

………

“ หึ!! รู้ตัวแล้วสินะ แบบนี้ก็คงมีแต่ต้องขัดขืนนั้นแหล่ะ จริงไหมล่ะคุณเมด? ยิ่งคนระดับคุณมาเจอผมแบบนี้อีก จะให้แก้ต่างหรือแถเอาชีวิตรอดก็คงไม่มีทางหรอก!! ”

ท่ามกลางป่าไม้มากมาย รินรินเทโดนจับได้โดยหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเมด ก็ไม่คิดจะแก้ต่างเลย เธอหยิบเอามีดออกมา มีดที่ได้จากมอนสเตอร์ในชั้นก่อนหน้า แล้วเตรียมพร้อมที่จะขัดขืน เนื่องจากเธอไม่คิดจะยอมจำนนโดนจับแล้วเอาไปทรมานเพื่อให้คายข้อมูลออกมาเด็ดขาด อย่างไรเสียเธอก็ไม่คิดที่จะมาตายที่นี้ด้วย

“ ยืนยันเป้าหมายขัดขืน คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกำจัดตามคำสั่งสินะคะเนี่ย แย่จัง! แย่จัง!!! ”

กริ๊ก

“ ฮื่อออ ฮ่าาาห์!!! กลิ่นเลือดนี้แหล่ะ!! กลิ่นพวกนี้แหล่ะ!! น่าตื่นเต้นจริงๆ!! ”

ดีย์โอะเลยยืนยันแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแน่ๆ เธอเลยขยับกรงเล็บของเธอ ก่อนที่ไอหมอกสีแดงจะถูกขับออกมาจากหน้ากากใสนั้น แล้วมันก็ทำให้ดวงตาที่ดูน่ากลัวอยู่แล้วของผู้หญิงคนนี้ น่าหวาดกลัวขึ้นไปอีกหลายเท่าดวงตาสีแดงก่ำราวกับสัตว์ร้ายนั้น

“ แย่ล่ะสิ เล่นเปิดโหมดกระหายเลือดแบบนั้น!! ทุกคนคะ!! รีบย้ายมาอยู่ฝั่งมาเร่เร็วเข้า!! ท่านดีย์โอะเปิดโหมดเบอเซิร์กแล้ว อะไรที่อยู่ในสายตาท่านตอนนี้จะกลายเป็นเป้าหมายนะคะ!! ”

“ อึก อะไรนะ!! แต่ฟูฟุนยังไม่รู้สึกตัวเล…. ”

“ ไม่เป็นไร!! เดี๋ยวผมช่วยพยุงเอง ตอนนี้คุณฟิโอเน่กับลังก้ารีบไปหลบตรงที่มาเร่อยู่ก่อนเถอะ!! ”

“ อ อื้อ!! ”

“ เข้าใจแล้วฮะ!! ”

มาเร่ที่เห็นสถานการณ์การเปิดทำงานอาวุธของดีย์โอะก็ได้ตะโกนบอกทุกคนที่อยู่แถวนั้นว่าให้รีบหลบมาฝั่งของเธอ เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะโดนลูกหลงไปด้วย เคนโตเลยรีบพยุงฟูฟุนพร้อมกับพาเขาเดินข้ามมาหลบฝั่งเดียวกับที่มาเร่อยู่ เช่นกันลังก้ากับฟิโอเน่ก็ได้เดินนำไปก่อนแล้ว ทั้งสองที่มาถึงก่อนก็เตรียมพื้นที่รักษาฟูฟุนในไว้อีกด้วย

ฟุบ

“ หึ สัตว์ประหลาดชัดๆ!! ”

“ กรรรร!! ”

การปะทะได้เริ่มขึ้น ดีย์โอะพุ่งเข้าใส่เป้าหมายตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนสายตาของเคนโตหรือคนอื่นๆเองก็ยังมองไม่ทัน เพราะเพียงกระพริบตาหนเดียว ผู้หญิงที่แสนน่ากลัวนั้นก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าของรินรินเทพร้อมทั้งง้างกรงเล็บที่จะกระซวกใส่ ซึ่งรินรินเทเองก็ไม่ใช่ธรรมดาเธอจับความเคลื่อนไหวได้ทันก่อนจะกระโดดถอยหลังออกไปแล้วใช้มีดที่เธอถืออยู่ปาใส่ศัตรูของเธอ

ฟุบ เฟี้ยววว เก๋ง!

“ หึ สมกับเป็นสัตว์ประหลาด ”

ทว่าทางด้านของดีย์โอะ เธอไม่แม้แต่จะหลบเลย เธอพุ่งเข้าใส่ต่อแล้วปล่อยให้มีดนั้นพุ่งเข้าใส่เธออย่างเต็มๆ แต่ว่าแทนที่มีดจะฝังลงไปยังบริเวณใบหน้าของดีย์โอะ มันกลับกระเด็นออกข้างหน้าตาเฉย ไม่มีแม้แต่จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ราวกับว่าสิ่งที่มีดนั้นปะทะไม่ใช่เนื้อหนังของสิ่งมีชีวิตแต่เป็นบางอย่างที่แข็งเกินจะเจาะได้

“ กรรรรรรรรร!! ”

ดีย์โอะไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอยังคงพุ่งต่อเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งแล้วกวัดแกว่งกรงเล็บของเธอไปรอบๆ ตัดผ่านทุกอย่างราวกับมีดร้อนที่ตัดผ่านเนย ไม่ว่าจะต้นไม้ หิน หรือมอนสเตอร์ที่ปรากฎขึ้นแถวนั้นทุกอย่างถูกหั่นเป็นส่วนๆด้วยการตวัดผ่านเพียงครั้งเดียว

[ ยัยนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะมาสู้ด้วยแล้ว!! ทั้งพลังทำลายนั้น ทั้งร่างกายที่ทนได้แม้แต่มีดที่เจาะทะลุหนังมอนสเตอร์…นี้สินะเมดของยูโทเปีย! ]

รินรินเทรู้ตัวเลยว่า ศัตรูตรงหน้าไม่ใช่อะไรที่เธอจะสู้ได้ในตอนนี้ นั้นทำให้เธอรีบถอยห่างอย่างที่สุดพร้อมทั้งถ่วงเวลาด้วยการเอาอาวุธที่ดรอปได้มาจากมอนสเตอร์หรือแม้แต่อุปกรณ์ของมีคมที่เธอพกมาปาใส่ดีย์โอะ ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไหนก็ไม่อาจจะสร้างบาดแผลให้กับร่างกายของศัตรูตรงหน้าได้เลย

[ อึก…ถึงจะไม่อยากก็เถอะ แต่สถานการณ์แบบนี้ต้องใช้แล้วล่ะนะ!!! ]

แควก

ทว่าเธอนั้นไม่ได้สักแต่จะปาไปอย่างเดียว รินรินเทได้หยิบเอากระดาษบางอย่างขึ้นมาแล้วฉีกมันทิ้งซึ่งทันทีที่ทำแบบนั้นกระดาษที่ว่าแทนที่จะขาดแล้วร่วงลงสู่พื้นมันก็ค่อยๆสลายหายไปด้วยเปลวเพลิงสีดำแล้วลอยร่องหายไปในอากาศ ซึ่งคนที่สังเกตุเห็นก็มีอยู่แค่คนเดียว มาเร่

[ แหมๆ ส่งไปหาใครล่ะนั้น ]

ติ๊ดๆ ติ๊ด

เธอที่เห็นเช่นนั้นก็ได้เตรียมการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือแบบพับนั้นไปให้กับคนด้านบน ข้อความที่มีเพียงแค่เธอที่คาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สิ อีกคนเองก็เห็นคล้ายๆกัน ฟิโอเน่ เธอเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าในหอคอยชั้นนี้ก่อนจะพูดออกมาถึงสิ่งที่เธอเห็น

“ ม ม ม ไม่!?? ท้องฟ้าที่ด้านนอกนั้นกำลังจะมืดมิด อสูรกายจะปะทะกัน พวกเราไม่ควรขึ้นไป ไม่!! ไม่ควรขึ้นไปบนพื้นดินนั้น! ลังก้า!! พาชั้นหนีไปที!! พาชั้นหนีลงไปเร็วเข้า!! ”

“ อึก!! เข้าใจแล้ว! ฟูฟุน เคนโต มาเร่ พวกเรารีบหนีลงไปข้างล่างกันเถอะฮะ!! ส่วนนายจ้างไว้พวกเรารอดจากอะไรสักอย่างที่กำลังเข้ามาที่นี้!! ก็ค่อยไปแจ้งให้กิลล์ทราบก็ได้ฮะ!! ”

คำพูดนั้นทำให้ทุกคนยกเว้นมาเร่ตกอยู่ในความกังวล โดยเฉพาะลังก้าที่สนิทกับฟิโอเน่ เขาถึงกับหันมาบอกทุกคนให้ลงไปยังชั้นถัดไปแล้วหาที่หลบพักก่อน ส่วนเรื่องที่รินรินเทเป็นสปายนั้น ถ้ากิลล์รู้ว่านายจ้างนั้นฝ่าฝืนกฎหมายแล้วเป็นคนที่รัฐต้องการตัว กิลล์ก็จะไม่เข้าขัดขวางแล้วก็ไม่คาดโทษให้กับนักพจญภัยที่ทำงานให้กับผู้ว่าจ้างนั้นอย่างสุจริต

“ เห้อ… ฮึบ!! ”

ซึ่งในระหว่างที่ทั้ง 4 คนนั้นกำลังตกลงกันว่าจะทำยังไงต่อ มาเร่ก็ได้ลุกขึ้นก่อนจะหันไปมองยังนักพจญภัยแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงที่เรียบและไร้ความรู้สึกใด มันช่างผิดจากปกติที่เธอเป็นแล้วให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไม่อาจจะอธิบายได้

“ ทุกคน… จงลงไปยังชั้นถัดไปแล้วหลบซ่อนอยู่ที่นั้นเป็นเวลา 1 วัน แล้วก็จงจำเรื่องเรื่องของชั้นก็ให้จำไว้ว่าถูกผู้หญิงที่ชื่อว่าดีย์โอะช่วยพากลับไป ”

“ ครับ… ”

“ ค่ะ… ”

“ เข้าใจแล้วฮะ… ”

คำพูดนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินพยักหน้าก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินจากออกไปโดยไม่มีใครขัดขืนหรือสงสัย ไม่สิเดินออกไปราวกับคนไร้สติ เหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกเชิดเอาไว้

“ ไม่มีคนอยู่แถวนี้แล้วสินะ อ๊ะ มีอีกสองคนนี่น่า… แต่คงไม่สนใจเราหรอกมั้ง งั้นขออนุญาตนะค๊า ”

ซึ่งพอทั้ง 4 คนหายไปจากสายตาของมาเร่แล้ว เธอก็จัดการเปลี่ยนชุดของตนเองโดยอาศัยเงาสีดำเข้าห่อหุ้มร่างของตน เงานั้นเปลี่ยนให้ชุดที่ดูเรียบร้อยของเธอเป็นชุดทางรัดรูปทำจากผ้าไนล่อนสีดำ โดยนอกจากชุดที่ว่าเธอก็สวมเกราะที่แขนและขาที่เป็นเครื่องจักรบางอย่างที่กำลังปล่อยแสงสีดำออกมาเป็นช่วงๆ ส่วนบริเวณหน้าอกกับสะโพกนั้นเธอก็ใส่เวสทหารที่มีกระเป๋าใส่แม็กเอาไว้ ส่วนที่เอวก็ใส่เข็มขัดรณยุทธ์ที่มีซองปืนพก ซองแม็กและก็ถุงทิ้งแม็ก

“ ร่างผู้หญิงนี้ก็ดีจังเลยน้า ทั้งเบากว่า ทั้งคล่องกว่าเยอะเลย ฮึบ แต่ผมยาวๆนี้สิ ถ้าไม่รวบไว้ล่ะก็รำคาญแย่เลยเนอะ ”

มาเร่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะรวบผมของตนไว้ที่ด้านหลัง เธอเดินตรงไปข้างหน้ายังสถานที่ที่ดีย์โอะกับไล่ล่ารินรินเทอยู่ โดยในมือของเธอนั้นก็ไม่ได้มีอะไรนอกไปจากปืนกลกระบอกเดิม กับหน้ากากกันแก็สพิษสีแดงครึ่งใบ ซึ่งพอเธอเข้าใกล้ทั้งสองได้มากพอแล้ว มาเร่ก็สวมหน้ากากนั้นแล้วเล็งปืนไปยังรินรินเทในทันที

ปั้ง

“ อัค!! น น นี้เรา!? มาเร่?!? ทำไมล่ะ?!? ”

หัวกระสุนพุ่งออกจากปืน วิ่งตัดผ่านอากาศแล้วเฉียดผ่านยังข้างๆหูของดีย์โอะ และในที่สุดหัวกระสุนนั้นก็พุ่งเข้าใส่รินรินเท ทำให้เธอที่โดนเข้าไปนั้นถึงกับตกใจแล้วมองดูมาเร่ที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตที่เต็มไปด้วยความสบสน ก่อนจะก้มมองดูบาดแผลบนหน้าอกของตน ทว่า…เมื่อมองดูแล้วเธอก็ไม่พบกับบาดแผลอะไรเลย แต่นั้นก็เป็นการเห็นได้ในสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น

“ แคก แคก อึก อ…อะไร…. ท… แคก แคก ”

รินรินเทจู่ๆก็เริ่มจะไอแถมรู้สึกได้ว่าเธอนั้นแสบคันไปทั่วบริเวณที่กระสุนนั้นปะทะเข้า มิหนำซ้ำยิ่งเวลาผ่านไปเธอก็เริ่มจะหายใจลำบากมากขึ้น เพราะทุกครั้งที่หายใจเข้าออกในปอดนั้นจะแสบไปหมดไหนจะน้ำมูกที่ไหลออกมาไม่หยุดจนเริ่มจะหายใจไม่ได้ ดวงตาของเธอเองก็ด้วยมันเริ่มจะไม่สามารถลืมตาได้แบบปกติ มันทั้งแสบและคันไปหมด

“ กรรรร!! ”

ฉัวะ!!

“ กรี๊ดดดด!! แขนชั้น!! แก แก!! ”

อย่างไรเสียการที่เธอตกอยู่ในสภาพนั้นมันก็ทำให้เธอ ไม่สามารถจับตามองดูศัตรูที่เป็นอสูรร้ายตรงหน้าได้ แล้วมันก็ทำให้เธอพลาดจนโดนกรงเล็บของศัตรูตัดเข้าที่แขน เกิดเป็นแผลที่ใหญ่จนสามารถมองเห็นกระดูกได้ ทว่ารินรินเทนั้นก็ใช่จะลงไปนอนกรีดร้องเธอหยิบยาบางอย่างขึ้นมากินก่อนจะกลับมาขยับได้แบบเดิม แม้ว่าแขนนั้นจะเวอะไปแล้วก็ตาม

[ ยาออกฤทธิ์ได้อีก 30 นาที แต่ 2 ต่อ 1 แบบนี้ โอกาสรอดก็ใกล้ศูนย์สุดๆแล้วสินะ!! ถึงจะอยากเอาของที่ได้มาขึ้นไปก็เถอะ แต่ถ้าไม่ใช้มันตอนนี้ก็คงไม่รอดแล้ว!! ]

กระนั้นก็ดี รินรินเทรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ดีเลยสักนิด เธอกำลังถูกรุมอยู่แถมอีกฝ่ายก็เป็นสัตว์ประหลาดกับพลปืนที่ใช้กระสุนบางพิษบางอย่างที่มากพอจะทำให้เธอเคลื่อนไหวช้าลงและอ่อนแอลงด้วย นั้นเองทำให้รินรินเทตัดสินใจใช้มือจับไปที่กำไลของตน แล้วเปิดการใช้งานอุปกรณ์ช่วยเหลือทันที

“ วันนี้คงได้เท่านี้ล่ะนะ!! ”

ฟุบ

“ นั้นไง นั้นไง!! ว่าแล้ว!! ”

“ กรรรรรร!! ”

รินรินเทกล่าวลากับทั้งสองคน ก่อนจะหายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งให้ดีย์โอะมองหาเหยื่ออยู่อย่างสับสน ส่วนมาเร่นั้นก็เดินเข้ามาหาดีย์โอะอย่างช้าๆ ก่อนจะใช้มีดจิ้มเข้าที่ปลายนิ้วของตนเอง

“ ฮ่าห์ ฮ่าห์ นายท่านคะ นายท่าน กลิ่นนี้ อึก… ”

“ ได้สติกลับมาสักทีสินะ วันหลังอย่าใช้โหมดเบอเซิร์กโดยไม่ดูว่าศัตรูก่อนแบบนั้นอีกล่ะ ดีย์โอะ เนี่ย…เกินจำเป็นเกินไปเห็นไหม? ”

“ ค ค๊า… ขออภัยเป็นอย่างยิ่งค่ะนายท่าน ”

ซึ่งการทำแบบนั้นก็ทำให้ดีย์โอะที่ตกอยู่ในสภาวะของนักล่า ได้กลิ่นเลือดที่แสนจะอบอุ่นและคุ้นเคย มันค่อยๆเรียกสติของเธอให้กลับมาอีกครั้ง ทว่าเมื่อได้สติกลับมาแล้วพร้อมทั้งหันมามองมาเร่ด้วยสายตาที่สับสน มาเร่เองที่เห็นก็ค่อยๆเดินเข้ามาก่อนจะพูดกับดีย์โอะว่า

“ ยัยนั้นหนีไปแล้วล่ะ เห้ออ! ลำบากแท้ รู้งี้ยิงเป็นแบบสลบไปเลยดีกว่า ไม่น่าใช้แก็สน้ำตาเล้ย ผับผ่าสิ!! แต่ ช่างเหอะ… ปะ!! ขึ้นไปล่าเหยื่อของพวกเราต่อกันดีกว่านะ นี่ติดต่อให้อคโตขับรถมารับแล้วล่ะ…โอ๊ะ!! ไม่สิ ดูเหมือนจะมีอย่างอื่นมุ่งตรงมาที้นี้ซะด้วยแหะ แย่จัง แย่จัง… ”

“ อะไรมุ่งตรงมาอย่างงั้นเหรอคะนายท่าน?! ”

“ น่า…ขึ้นไปก็คงได้เจอเองนั้นแหล่ะ ยัยนั้นน่ะนะ ”

……..

ฟู่… ฟุบ

“ จดหมายด่วนสีดำ…ริน สินะ ”

ภายในห้องนอนโทนสีน้ำตาลที่ด้านในนั้นแสนจะเป็นระเบียบ หญิงสาวผมสีขาวหน้าตายและเบื่อโลกผู้สวมชุดเดรสสีดำ หรือก็คือ ฟารูน พี่สาวของจอมมารผู้เอาเข้าจริงแล้วก็น่าจะเป็นคนที่อยู่สูงสุดในโลกของกองทัพจอมมาร เธอนั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำที่ขัดเงาเป็นอย่างดี โดยในมือข้างซ้ายนั้นถือแก้วชา และข้างขวาถือซองจดหมายเอาไว้

ฉับ

“ อืม…ยูโทเปีย เห็นชื่อนี้ทีไรก็อดนึกถึงโลกเก่าไม่ได้เลยเนอะฟิเรน ”

ฟารูนนั้นวางแก้วชาของตนเองลงบนโต๊ะเล็กๆข้างเธอ ก่อนจะใช้ปลายเล็บจากนิ้วชี้ของตน ตวัดตัดขาดซองจดหมายเพื่อเปิดผนึกมันออก แล้วนำกระดาษข้อความนั้นมานั่งอ่านอย่างเงียบๆ โดยที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นได้ว่าสายตาของเธอนั้นจ้องมาแล้วเพ่งดูขึ้นเรื่อยๆ

“ ถ้าเป็นอย่างที่รินว่า นี้ก็คงเป็นเหตุว่าทำไมทำไมยูโทเปียถึงมีปืนกับของแปลกๆ แสดงว่าทวีปนั้นต้องมีอดีตกับผู้มาจากต่างโลกแน่ๆ ไม่ได้การละ… ”

เธอพูดออกเช่นนั้นด้วยเสียงที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ทว่ากริยาที่ทำนั้นตรงกันข้าม เธอลุกขึ้นแล้วเดินตรงออกจากห้องของตนไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ตอนนี้นั้นกำลังรวบรวมเหล่านายพลของกองทัพจอมมารเอาไว้ มันคือห้องโถงของปราสาทหลังนี้และก่อนจะมาถึงยังที่นี้ได้ก็ต้องผ่านเหล่าทหารระดับสูงที่คอยเฝ้าระวังเอาไว้

“ !! เชิญเลยครับท่านฟารูน !! ”

“ ท่านฟารูนเสด็จ!! ”

“ หลีกทาง หลีกทางเร็วเข้า!! ”

ซึ่งสมมุติว่าเป็นคนทั่วไปก็คงผ่านไปไม่ได้แน่ๆ แต่ฟารูนน่ะไม่ใช่ เธอเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะต้องรับการตรวจสอบ เพราะทุกคนรู้ดีว่าใครที่กล้าขวางฟารูนผู้นี้ก็มักจะเจอจุดจบที่ไม่สวยสักเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าเธอจะทำอะไรก็อย่าคิดไปขวางเด็ดขาด

“ ประตูยังไม่เปิดอีก ชักช้า… ”

กึง ฟู่…..

และเมื่อฟารูนที่มาถึงยังประตูทางเข้าที่เป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่ เธอก็ไม่รอที่จะให้กลไกของมันได้ทำงานแล้วเปิดออกตามปกติ เพราะถ้าจะรอให้มันเปิดได้ก็ต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบนาที ฟารูนจึงใช้ฝ่ามือของเธอประทับลงไปบนประตูนั้นแล้วทันใดนั้นเองมันก็หลอมละลายเป็นช่องว่างขนาดพอดีกับตัวของเธอให้สามารถเดินผ่านเข้าไปได้

“ อะไรกันวะ?!? ”

“ ศัตรูบุกงั้นเหรอ!! ”

“ เห้ย!! ประตูศิลาเหล็กทำไมจู่ๆถึงละลาย ด ด เดี๋ยวนะ!! ”

โดยทันทีที่ประตูกำลังละลายนั้น เหล่านายพลของกองทัพจอมมารก็หันมาดูกันด้วยท่าทีตื่นตระหนก บางคนก็ถึงกับเตรียมตัวจะปะทะกับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาในห้อง เว้นเสียแต่คนคนหนึ่ง พ่อบ้านผู้มีทุกอย่างตรงข้ามกัน เซบาตุน เขาเดินมาที่ประตูแล้วก็คุกเข่าลงอย่างช้าๆ

“ ท่านหญิงฟารูน เดอรัน ออฟลิ่งวิ่งเดท อินเดอะเอ็าส์ โฮลล์จูเนียเอ็ตต้ามาถึงแล้ว!! ”

“ อะไรนะท่านฟารูน?!? ”

“ ท ท ทำไมท่านฟารูนถึงมาร่วมประชุมล่ะ?! ”

“ อึก… แบบนี้คงมีเรื่องอะไรแล้วล่ะสิ?!? ชิบหาย!! ”

เซบาตุนกล่าวออกมาด้วยเสียงที่สุภาพ คำพูดนั้นทำให้เหล่านายพลถึงกับหน้าซีด อย่างไรก็ตามบางคนที่ยังมีสติอยู่ก็พยายามหาสาเหตุว่าทำไมนายหญิงผู้นี้ถึงได้มาประชุมทั้งๆที่ปกติเธอแทบจะไม่ปรากฎตัวเลยด้วยซ้ำ ทว่าก็ไม่นานนักที่ฟารูนจะเดินทะลุประตูเหล็กออกมาพร้อมกับมองไปบนบัลลังจอมมารนั้นเพื่อดูน้องชายของเธอเอง

“ ZzzZzzZZ zzz คร่อกก…งืมๆ ”

“ โฮ่… เวลาประชุมแล้วยังจะกล้างีบอีกนะ ทั้งๆที่แกเป็นถึงคนนัดประชุมแท้ๆ เซบาตุน ช่วยไปตบหัวให้ไอน้องชายไร้สาระของชั้นตื่นหน่อยสิ ”

“ รับทราบขอรับท่านหญิงฟารูน เดอรัน ออฟลิ่งวิ่งเดท อินเดอะเอ็าส์ โฮลล์จูเนียเอ็ตต้า ”

ฟารูนที่ได้เห็นว่าน้องชายของเธอกำลังหลับอยู่บนบัลลัง น้องชายที่เป็นถึงจอมมารก็อดไม่ได้ที่จะมีโมโห ทว่าเธอไม่ลงมือเองแต่ใช้ให้เซบาตุนแทน โดยระหว่างที่เซบาตุนกำลังเดินไปอย่างช้าๆนั้น ฟารูนก็ได้เดินมายืนอยู่ที่ปลายโต๊ะประชุมแล้วหันไปมองรอบๆก่อนที่จะถามด้วยเสียงที่เย็นชา

“ ตอนนี้ประชุมถึงแผนการบุกที่ไหนกันแล้ว? ”

“ ขอรับนายหญิง ตอนนี้พึ่งถึงส่วนของแผนการบุกเข้าตีทวีปตะวันออกอยู่ครับ ”

“ ดี…ที่ยังไม่ถึงส่วนของยูโทเปีย ”

เพียะ ผัวะ

“ เห้ย!! ทำเชี้ยไรวะไอเซบา…ตุน อ อ อ้าว ไหงมาอยู่นี้ได้?? ”

นายพลคนหนึ่งลุกขึ้นตอบคำถามของฟารูนอย่างแข็งขัน ส่วนฟารูนพอรู้ว่าสิ่งที่ประชุมอยู่ไม่ใช่เรื่องของยูโทเปีย เธอก็พยักหน้าเบาๆ ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเซบาตุนที่ไปถึงยังบัลลังก็ได้ลงมืดตบหัวจอมมารจนเสียงดังลั่นไปทั่วห้องโถง ก่อนจะหยิบเอาท่อนไม้ออกมาฝาดซ้ำไปอีกที ทำให้จอมมารตื่นขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เดือดในตอนแรกแล้วกลายมาเป็นหมาหงอยเมื่อเห็นพี่สาวของเขายืนอยู่ปลายสุดของโต๊ะ

“ ตื่นแล้วก็ดี เอาล่ะ พวกแกทุกคนจงฟัง… ชั้นจะรีบๆพูดแล้วรีบกลับไปพัก เรื่องประชุมเกี่ยวกับยูโทเปีย ให้ปัดตกไปเพราะชั้นจะเป็นคนคุมเอง ขืนให้พวกแกคุมมีหวังได้ไปตายกันหมดแน่ ดังนั้นถ้าไม่อยากมีปัญหาก็ส่งพวกนักเวทย์สายควบคุมมอนสเตอร์มาให้ชั้นภายในวันพรุ่งนี้ เข้าใจหรือเปล่า? ”

“ … … ”

“ ดี… หวังว่าวันพรุ่งนี้ชั้นจะได้ทรัพยากรนักเวทย์ล่ะ ”

คำพูดของฟารูนนั้นเย็นชาและเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล จนขนาดที่เหล่านายพลไม่อาจจะตอบกลับหรือโต้แย้งใดๆได้ พวกเขาได้แต่นั่งฟังอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าที่ดูหวาดกลัว ซึ่งพอฟารูนพูดจบเธอก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับบ่นพึมพำอีกด้วยว่า

“ ถ้าปล่อยให้ใช้วิธีแบบที่พวกมันทำมาตลอด ก็ไม่ต่างกับไปตายนั้นแหล่ะ ทั้งปืน ทั้งรถถัง ทั้งทรัพยากรสำหรับผลิตที่ไม่จำกัด ศัตรูแบบนี้สู้ซึ่งหน้ายังไงก็แพ้ ”

…….

….

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

“ เสียงอะไรน่ะ!! ”

เวลาล่วงเลยไปได้ราวๆ 5 วันนับจากการประชุมของกองทัพจอมมาร ตอนนี้ในสถานที่ที่เรียกว่าหอคอยหรือดันเจี้ยนนั้น มาเร่ หญิงสาวกำลังเดินร่วมอยู่กับกลุ่มผู้สำรวจอันประกอบไปด้วยนักพจญภัยระดับสูงและผู้ว่าจ้างของพวกเขา ทว่าในระหว่างที่กำลังเดินอยู่ในชั้นที่ 16 นั้น ก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นทำให้ฟารูนรีบหันมามองแล้วก็พบว่าเสียงดังกล่าวมาจากตัวของมาเร่เอง

“ ขอโทษค่าาา!! เสียงโทรศัพท์ของหนูเอง!! ”

“ โทรศัพท์??? ”

กริ๊ก ติ๊ด

มาเร่นั้นรีบขอโทษกับทุกคนรอบๆ ก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์แบบพับขึ้นมา ทว่าสำหรับคนนอกยูโทเปียแล้วสิ่งนี้มันเป็นสิ่งใหม่ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ทุกคนดูสนอกสนใจแล้วมองดูเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมขนาดเหล็กสีชมพูที่มีเครื่องประดับมากมายและพวงกุญแจเป็นตุ๊กตาห้อยเอาไว้ มาเร่เมื่อหยิบมันขึ้นมาได้แล้วก็กางมันออกก่อนจะรับสายแล้วยกมันขึ้นแนบหู

“ ฮาโหลลลล!! มาเร่เองค๊าา!! ”

“ นายท่านเจ้าคะ ทิเรียเองเจ้าค่ะ ”

“ เอ? มีอะไรงั้นเหรออ? ”

“ เจ้าค่ะ ตอนนี้มีเรื่องจะเรียนให้ทราบว่ากลุ่มสายข่าวของน้องเพนเทและน้องเอปต้าได้ระบุตำแหน่งสปายที่แฝงตัวได้ครบทุกคนแล้วเจ้าค่ะ จะให้ดำเนินการอย่างไรดีเจ้าคะ? นายท่าน ”

การรับสายของมาเร่นั้นยังคงพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงร่าเริง ผิดกับปลายสายที่เสียงไร้อารมณ์สุดๆ เสียงของทิเรียเมดลำดับที่ 3 ของเขา เธอพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันเช่นกันมาเร่ก็ตอบกลับด้วยวิธีการที่เป็นเธอ(เขา?) ที่ข้อความที่พูดนั้นดูเหมือนจะไม่ตรงกับเนื้อหา แต่ก็พอให้ทิเรียเข้าใจได้ว่านายท่านของเธอต้องการจะสื่ออะไร

“ อืม อื้ม? งานกลุ่มสินะ ก็ถ้าอะไรที่เก็บมาได้ง่ายๆก็เก็บมาเนอะ ส่วนอันไหนไม่ไหวหรือยุ่งยากก็กำจัดๆไปเลยแล้วกัน อ๊ะ?? แต่ว่าครบแน่นะ?? ”

“ ครบเจ้าค่ะนายท่าน อย่างตอนนี้ตัวรินรินเทที่นายท่านไปตามตรวจดูอยู่ก็ตรงตามที่นายท่านบอกไว้เลยเจ้าค่ะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพจอมมารเจ้าค่ะ ส่วนการลงมือกับสปาย เพื่อการยืนยันดิชั้นขอทวนคำสั่งดังนี้นะเจ้าคะว่า นายท่านต้องการให้พวกเรา จัดการจับเป็นคนที่มอบตัว แล้วเก็บกวาดทุกคนที่ขัดขืนสินะเจ้าคะ ”

“ ใช่แล้วล่ะ ใช่แล้วล่ะ เอาตามนั้นเลย ”

คำพูดของมาเร่ในตอนนี้ สำหรับสมาชิกกลุ่มที่เดินอยู่ก็คงไม่รู้สึกว่าเธอกำลังพูดเรื่องเลวร้ายอะไร เพราะเธอก็บอกเองว่านี้เป็นการคุยงานกลุ่ม ทำให้ไม่มีใครระวังตัวเลยโดยเฉพาะรินรินเทที่แม้จะปรากฎอยู่ในบทสนทนาอยู่ก็ตาม ส่วนทิเรียที่คุยกับมาเร่ตรงๆ เพื่อให้การสั่งเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเธอจึงทวนคำสั่ง แน่นอนว่าการตีความของเธอไม่ผิดแต่อย่างใด

ปิ๊บ ปิ๊บๆ

“ อ๊ะ!! เดี๋ยวนะ!! สายซ้อน!! ติ๊ด…”

โดยระหว่างที่พูดคุยเองนั้น มาเร่ก็ได้แอบมองดูรินรินเทอย่างระมัดระวัง ดูทุกท่าทางและการกระทำของเธอว่าจะทำยังไงต่อดี แต่แล้วในตอนที่กำลังมองดูอยู่นั้น ก็มีสัญญาเตือนดังเข้ามาอีก มาเร่จึงต้องเปิดสายรวบเป็นห้องสนทนาแทน และคนที่เข้ามาใหม่ก็คือ…

“ นายท่านคะ!! ทำไมจู่ทะเลของพวกเราถึงมีมอนสเตอร์เยอะขึ้นแบบนี้ล่ะคะ!! แถมบางตัวก็มุ่งจะขึ้นฝั่งที่บ้านให้ได้ซะอย่างงั้นน่ะค่ะ!! ดีนะที่กองเรือที่ 1 ของผู้การปิป้องกันเอาไว้ได้ เพราะถ้าไม่ได้มีหวังชุดโปรดของดิชั้นได้เลอะก่อนถึงบ้านแน่ๆเลยค่ะ!! ”

“ ท่านพี่ดีย์โอะอย่างงั้นเหรอเจ้าคะ? ”

“ อ้าว น้องทิเรีย! อยู่ในสายด้วยอย่างงั้นเหรอ??? ”

เสียงของคนที่พูดนั้น ก็คือดีย์โอะที่โทรเข้ามารายงานเรื่องด่วนให้นายท่านของเธอได้ทราบ ทว่าทิเรียที่ฟังอยู่ด้วยเพื่อยืนยันจึงได้ถามออกไป และฝ่ายของดีย์โอะเองก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามไม่ได้มีฝ่ายใดตอบว่าตนเองเป็นใครเพราะเพียงน้ำเสียงก็พอจะรู้ได้แล้วว่าคนที่คุยนั้นคือใคร

“ พอดีเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่ดีย์โอะ ถึงฝั่งหรือยังเจ้าคะ? ”

“ อื้ม! ถึงฝั่งแล้วล่ะ นี้กำลังจะเก็บอาวุธน่ะ ”

“ ท่านพี่ดีย์โอะเจ้าคะ ตอนนี้อย่าพึ่งเก็บอาวุธนะเจ้าคะ เพราะว่านายท่านพึ่งออกคำสั่งให้ล่าพวกสปายที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนของเราเจ้าค่ะ ดังนั้น… ”

“ พี่ขอปฏิเสธงานนี้นะน้องทิเรีย ”

“ เจ้าคะ? ”

ทิเรียถามถึงสถานะของดีย์โอะในปัจจุบันด้วยเสียงเรียบๆ ก่อนจะพูดเกริ่นงานที่เธอกำลังจะมอบหมายให้ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบ ดีย์โอะก็ปฏิเสธในทันที ทำเอาทิเรียถึงกับสับสนไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะถามต่อด้วยความสงสัยว่า

“ มีธุระอะไรหรือเปล่าเจ้าคะท่านพี่ดีย์โอะ หรือว่าเหนื่อยจากการเดินทางอย่างงั้นเหรอเจ้าคะ? ”

“ ไม่ใช่ ไม่ใช่ คือพี่น่ะ กะจะไปหานายท่านแล้วรับภารกิจใหม่ที่นายท่านได้สัญญาไว้น่ะนะ ”

“ เห…เช่นนั้นเองสินะเจ้าคะ แบบนี้ดิชั้นพอจะเข้าใจได้แล้วเจ้าค่ะ ”

เธอถามไปด้วยความเป็นห่วงมากกว่าความสงสัย แน่นอนว่าดีย์โอะก็ตอบกลับตามปกติโดยไม่ได้โกรธอะไร และคำตอบนั้นก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน โดยเฉพาะฝ่ายทิเรีย เธอพอรู้ว่านายท่านได้สัญญาจะมอบภารกิจใหม่ให้เป็นการพิเศษ เธอก็ตัดเรื่องการให้พี่สาวคนนี้ของเธอเข้าร่วมปฏิบัติการณ์ล่าสปายทันที เพราะคำพูด คำสัญญาของนายท่าน มีค่าและไม่ควรเข้าไปแทรกแซง อย่างไรก็ตามมาเร่ที่เงียบฟังอยู่ก็ถือโอกาสพูดขึ้นมาในทันที

“ ไหนๆก็ไหน ไว้แวะมาเอาของจากมาเร่หน่อยได้ไหมอ่ะ แต่ตอนนี้เค้าอยู่ที่ชั้นที่ 16 อ่า ของหอคอยที่ 1 ถ้าจะรีบมาหน่อยก็ดีน้าา ฮะๆๆ เป็นไปไม่ได้หรอกเนอะ ”

“ เดี๋ยวนะ…เสียงผู้หญิงนี้ใครกัน? นายท่าน อย่าบอกนะว่านายท่านมี… ”

ดีย์โอะพอได้ยินก็ถามอย่างเร่งรีบว่าเสียงปลายสายจากเบอร์ของนายท่านนั้นเป็นใคร เธอไม่คุ้นเสียงนี้เลยแม้แต่น้อย นั้นทำให้เธอเริ่มจินตนาการไปไกลว่านายท่านของเธอมีอะไรหรือเปล่า ทว่ามาเร่ที่รู้ตัวว่าถูกเข้าใจผิดจึงได้ตอบกลับเป็นการพิสูจน์ด้วยการพูดอย่างช้าๆว่า

“ เอ๋!!!? จำเค้าไม่ได้แบบนี้ สงสัยตอนกลับไปคงต้องยึดชุดว่ายน้ำที่สั่งตัดทั้งหมดแล้วล่ะมั้ง อ๋อ?? ไม่ต้องกลัวน้า มาเร่ไม่ใจร้ายพอจะเอาชุดทั้งหมดไปหรอก เดี๋ยวเหลือชุดฤดูหนาวหนาๆไว้ให้ใส่ตอนร้อนๆแหล่ะ ”

“ อ อ อึก!! ขออภัยเจ้าค่ะนายท่าน!! ”

พอได้ยินแบบนั้นดีย์โอะก็รีบขอโทษทันที คนที่จะรู้เรื่องที่ว่าในตู้เสื้อผ้าของเธอนั้นมีแต่ชุดว่ายน้ำสั่งตัดมีไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือนายท่านของเธอ ทำให้เธอรีบพูดขอโทษไปแบบนั้น แถมตอนนี้ที่ฝั่งของเธอเองดีย์โอะก็กำลังคุกเข่าก้มหัวขอโทษให้กับอะไรอยู่ก็ไม่รู้

“ ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า ล้อเล่น ใครจะไปทำกันล่ะ อ๋อ แต่ยังไงก็รบกวนด้วยนะ เค้าไปละ บับบัย ”

ติ๊ด

มาเร่พอได้ยินแบบนั้น ก็ยิ้มก่อนจะหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตัดสายไป ทิ้งให้ทิเรียกับดีย์โอะคุยกันต่อสองคน แน่นอนว่าทิเรียน่ะไม่ได้จะคุยเล่นหรอก เธอที่ฟังนายท่านของเธอพูดมาตั้งแต่แรกก็รู้ว่าเขาได้มอบคำสั่งใหม่ให้ดีย์โอะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ ท่านพี่ดีย์โอะเจ้าคะ นายท่านได้มอบคำสั่งให้แล้ว ดิชั้นจะแจกแจงให้ฟังเองนะเจ้าคะ ”

“ เอ๋?? ตอนที่บอกให้มาหานั้นน่ะนะ?? ”

“ เจ้าค่ะ ยังไงตั้งใจฟังแล้วเตรียมของให้พร้อมนะเจ้าคะ ”

“ อื้ม!! ”

…….

….

“ เซ็งง่าาา ”

“ สภาพเงียบๆแบบนี้ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับคุณมาเร่? ”

“ แต่มันเงียบเกินไปนะคะ!! ดูสิไม่มีมอนสเตอร์เลย ทั้งๆที่ลงมาลึกขนาดนี้แล้วแท้ๆ ”

“ เอ่อ… จะว่าไปก็จริงแหะ อย่างที่มาเร่ว่าเลย พวกเดินมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ยังไม่เห็นจะมีมอนสเตอร์หรืออะไรเลย ”

และหลังจากการติดต่อนั้นเวลาก็ผ่านไปได้ราวๆ 5 ชั่วโมงหลังจากการติดต่อ มาเร่ก็ยังคงเดินตามกลุ่มของเธอไปอยู่เรื่อยๆ ทว่ามันก็น่าแปลก เพราะเดินกันมานานจะได้ครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เจอมอนสเตอร์เลยสักตัวทั้งๆที่ปกติจะต้องมีออกมาโจมตีพวกเขาบ้างแล้วแท้ๆ มันช่างน่าแปลก…

“ ทุกคนอันตราย!! ”

“ จู่ๆเป็นอะไรน่ะครับคุณฟิโอเน่?? ”

“ ร ร หรือว่า!! ทุกคนแย่แล้วฮะ รีบหาที่หลบเร็วเข้า!! ”

กึก กึก กึก กึก

แต่แล้วจู่ๆ ฟิโอเน่ก็ตะโกนออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ซีดเซียวลงอย่างรวดเร็ว การตะโกนนั้นทำให้เคนโตสับสนว่าเธอจะตะโกนทำไม ทว่าลังก้าที่อยู่กับเธอมาตลอดก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง และเขาก็รีบบอกกับทุกคนแบบนั้น แต่…มันก็สายเกินไปแล้ว แผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือนและยิ่งแรงขึ้นในทุกวินาทีที่ผ่านไป

กึง กึง กึง แบ~~~~

“ ตัวอะไรวะนั้น!! ”

“ หลบเร็วเข้า ไอบ้าเคนโต นั้นมันผู้พิทักษ์ชั้น!! ”

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ได้พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ มันมีสี่ขา ดวงตาสีเหลืองที่มีนัยตาขีดเป็นเหมือนกับกบ ทว่าร่างกายของมันนั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยขนหนาสีขาวและกีบเท้าของมันก็เป็นเหล็กหนาขนาดใหญ่ แม้ร่างกายจะดูไม่เป็นพิษภัย ทว่ารอยเท้าด้านหลังของมันก็ทำให้รับรู้ได้เลยว่าตัวของมันนั้นหนักขนาดไหน

แบ~~~

“ ระวัง!! ”

กึ้ง!!

“ อัค!! ”

“ ฟูฟุน!! ”

มันส่งเสียงอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าใส่ นักเวทย์สาวในทันที มันพุ่งมาอย่างรวดเร็วผิดกับขนาดตัวของมันสุดๆ ดีที่ว่าฟูฟุนที่ยังมีสติอยู่ก็ได้เข้าไปใช้ดาบของเขาขวางระหว่างมันกับฟิโอเน่ ทำให้เธอมีโอกาสที่จะหนีห่างออกมาได้ แต่ด้วยแรงกระแทกนั้นมันก็ทำให้ตัวของฟูฟุนกระเด็นไปชนกับต้นไม้ที่ห่างไปเกือบ 10 เมตร

“ หึ! แค่นี้น่ะไม่เท่าไหร่หรอกเว้ย!! ”

“ อย่าพึ่งนะฟูฟุน!! แผลนายยังฟื้นตัวอยู่นะ!! ”

“ ไม่เอาน่าฟิโอเน่ ตอนนี้ขืนรอแผลแห้งได้ตายกันพอดี!! ยังไงตอนผมสู้ก็ช่วยบัฟให้ผมหน่อยล่ะ! ”

“ เดี๋ยว! ”

ฟูฟุนแม้ว่าจะโดนหนักแบบนั้น แต่ก็ได้ได้ฟิโอเน่คอยซัพพอร์ตไว้ให้ทว่าการรักษาของเธอก็ไม่ได้จะออกผลทีเดียว มันต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตามฟูฟุนนั้นไม่ได้สนใจเลยเพราะเขารู้ตัวดีว่าตอนนี้ถ้าไม่ทุ่มสุดตัวก็คงไม่รอด เช่นกันฝั่งของเคนโตเขาถอยออกมาพร้อมกับพยายามจะหาสถานที่สำหรับยิงสู้จากระยะไกลด้วยธนูขนาดใหญ่ของเขา โดยได้เงาของลังก้ามาบังตนเองไว้

“ คุณรินรินเท!! ทางนี้ค่ะ!! ”

“ ครับ!!? ”

ทว่าฝั่งของรินรินเทนั้นมีมาเร่คอยดูแล ทำให้ทั้งสองรีบพากันไปหลบอยู่ห่างจากจุดปะทะไปไกลพอตัว ทว่าก็ใช่จะหนีหายไปเลย ทำให้ตอนนี้รินรินเทหลบอยู่หลังพุ่มไม้ส่วนมาเร่ก็อยู่ข้างๆเขา ในระหว่างที่ทั้ง 4 คนนั้นกำลังต่อสู้กับผู้พิทักษ์ชั้น

ฟุ่ม เปรี้ยง สุบ สุบ

“ อึก!! อยู่เฉยๆสิวะ!! ”

“ ทำไมมันถึงเล็งแค่ชั้นล่ะ!! ทำไม?!? ”

“ ฟิโอเน่!! หยุดใช้เวทย์แล้วซ่อนตัวเร็วเข้า มันอาจจะเล็งคนที่ใช้เวทย์เป็นหลักก็ได้!! ”

“ ขนมันหนาเกินไป…ธนูผมยิงไปไม่มีผลเลย!! ”

แบ~~~

อย่างไรเสียทั้ง 4 สู้กับมันได้แต่ยากลำบากมาก เพราะมอนสเตอร์นี้จ้องแต่จะพุ่งเข้าใส่ฟิโอเน่เป็นหลัก ทำให้ภาระการปะทะอยู่กับฟูฟุนที่ต่อยคอยวิ่งไล่แล้วดึงความสนใจจากมัน ส่วนลังก้าก็พยายามจะหาจุดอ่อนแล้ววิเคราะห์แต่ด้วยความที่มันโจมตีแต่ฟิโอเน่ก็ทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาเป็นอย่างอื่นได้นอกจากมันโจมตีคนใช้เวทย์ และทางด้านเคนโตเขาต้องเจอกับปัญหาใหญ่ ศัตรูนั้นมีขนที่หนาจนลูกธนูของเขาไม่สามารถฝังทะลุไปโดนร่างกายใต้ขนนั้นได้

“ รินรินเท!! ดูแลตัวเองดีๆนะคะ!! ”

“ เดี๋ยว! คุณมาเร่!! จะเข้าไปไม่ได้นะครับ!! ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

แบ!!~~~

ทว่าในสถานการณ์นี้มาเร่ก็ตัดสินใจ แสดงบทบาทให้ตนมีประโยชน์ ด้วยการพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยผ่านการยิงล่อแล้ววิ่งหลบ ไปตามจุดต่างๆเพื่อให้ผู้พิทักษ์ชั้นนั้นหันมาสนใจเธอ ซึ่งมันก็ได้ผล ปืนกลมือที่เธอใช้ยิงอยู่ดึงความสนใจมันไว้ได้ จนมันเริ่มจะเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นมาเร่แทน

“ ชิ!! รู้งี้ไม่งกแล้วขอเบิกกระสุนตัวท็อปๆมาดีกว่า!! ยิงไม่เข้าเลยเนี่ย!! ”

ในระหว่างที่มาเร่กำลังยิงล่อมันอยู่นั้น เธอก็บ่นออกมา เพราะกระสุนจากปืนกลที่เธอใช้มันไม่ได้สร้างความเสียหายมากนักจากการที่มันเป็นกระสุนปืนราคาสำหรับนักศึกษา กระสุนที่ใช้เลยไม่ได้ออกแบบมาให้เจาะเท่ากับของที่พนักงานหรือทหารใช้กัน

[ หึ!! ถ้าไม่ติดว่าเป็นมาเร่ละก็ จะซัดให้ยู่เลย!! ]

ซึ่งถ้าเอาเข้าจริง มาเร่ไม่จำเป็นต้องใช้ปืนเลยด้วยซ้ำ เธอแค่วิ่งเข้าไปต่อยมันซักหมัดก็ตายแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์กับสถานะของเธอ มาเร่ไม่อาจจะทำแบบนั้นได้แล้วต้องทำตัวอ่อนแอกว่าปกติเพื่อปกปิดพลังของตนไว้

“ กรี๊ดดด!! ฮ่าห์ ฮ่าห์ ฮ่าห์!! เกือบไปแล้ว!! ”

“ ข้ามาแล้วมาเร่!! ”

“ อ๊ะ! รบกวนด้วยนะคะฟูฟุน!! ”

ด้วยการทำตัวอ่อนแบบนั้น มาเร่เลยเกือบจะโดนมอนสเตอร์นี้กระทืบตายอยู่หลายหน แต่เธอก็สามารถหลบมันได้ ทั้งเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ฟูฟุนก็ได้วิ่งเข้ามาช่วยโดยตัวของเขาเองก็มีสภาพดีขึ้นมากแล้ว แถมการสนับสนุนจากเวทย์รอบนอกเองก็ต่อเนื่องขึ้นอีกต่างหาก ทว่าการมาช่วยของฟูฟุนก็มีปัญหาอยู่อย่าง

“ คุณฟูฟุน!! จะวิ่งเข้าจากข้างหลังของมันไม่ได้นะคะ!! ”

“ อะไรนะ?!? ”

แบ!!~~~ผัวะ!!

“ ฟูฟุน!! อย่าพึ่งเป็นอะไรนะ!! ”

“ มาเร่!! ฝากดึงความสนใจก่อนนะฮะ! เดี๋ยวผมจะคอยสนับสนุนให้!! ”

ผัวะ!!

“ อึก แรงของมันถึงกับ… ”

มาเร่นั้นเตือนไม่ทัน เธอรู้ว่าการเข้าจากข้างหลังของมันไม่ใช่เรื่องที่ดี แล้วฟูฟุนก็พลาด เขาโดนมันเตะข้างหลังใส่เข้าให้ทำให้ร่างกระเด็นปลิวไปชนกับต้นไม้ ก่อนจะลงไปนอนกอดร่างของตน ร่างที่เต็มไปด้วยรอยช้ำมากมายจนขยับไม่ได้ ฟิโอเน่ที่เห็นจึงวิ่งเข้าไปดูอาการแล้วลงมือรักษา ส่วนลังก้าก็พยายามจะเอาเงาเข้าไปช่วยแต่พวกมันก็โดนผู้พิทักษ์ชั้นตบสลายไปจนหมด

แบ!!!~~~

“ กรี๊ด!!! ”

“ มาเร่!!! ”

แล้วพอไม่มีคนมาช่วยดึงความสนใจ ผู้พิทักษ์ชั้นก็เล็งมาที่มาเร่ในทันที มันพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วพร้อมจะขยี้ร่างเล็กๆของหญิงสาวให้หายไปในคราเดียว และรินรินเทที่เห็นก็คิดจะเข้าไปช่วย เธอวิ่งออกมาจากที่หลบพุ่งตรงไปหาหญิงสาวคนนั้นอย่างสุดกำลัง แต่นั้นก็คงไม่ทันแล้วแน่ๆ ใช่ แค่สำหรับรินรินเท

ฉัวะ

บ บ แบ~ ~

ร่างของผู้พิทักษ์ชั้นนั้นหยุดขยับก่อนจะค่อยๆล้มลงไปนอนกับพื้น แล้วทำให้ทุกคนที่ยังมีสติอยู่ได้เห็นสิ่งที่จัดการมัน หญิงสาวเผ่าคล้ายเงือกผิวสีฟ้าผมสีน้ำเงิน ผู้มีดวงตาสีเลือดดุร้ายราวกับนักล่า และรอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันที่จัดเรียงกันเหมือนกับใบมีดที่เห็นได้ผ่านหน้ากากใสครึ่งใบที่เธอสวมอยู่ นอกจากนี้เธอยังสวมชุดผ้ารัดรูปสีดำที่มีการลงลวดลายลูกไม้เอาไว้แถมบางจุดเองก็เป็นผ้าบางจนมองเห็นผิวหนังของเธอและเธอเองก็ยังสวมผ้าคลุมไหล่สีขาวประทับตาของสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลที่ถูกเรียกว่าฉลาม

“ หึ… ยังอยู่ชั้นแรกก็เป็นแบบนี้กันหมดสินะ แต่ช่างเถอะกลิ่นเลือดของเจ้านี้หอมกว่าพวกสี่ขาก่อนหน้าล่ะนะ ”

โดยอาวุธที่เธอใช้นั้นมันเป็นถุงมือกรงเล็บขนาดใหญ่ที่มือขวา กรงเล็บของมันนั้นชุ่มไปด้วยเลือดจนไหลเอ่อออกมา ถุงมือนั้นมีอุปกรณ์ประหลาดต่อสายจากตัวถุงมือมายังหน้ากากใสที่เธอใส่ โดยในท่อที่ใช้นั้นมันก็มีของเหลวสีแดงมากมายไหลอยู่ตลอดเวลา

“ ท ท ท่านดีย์โอะ!! ม ม เมดแห่งยูโทเปีย ท ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี้ได้ล่ะคะ!! ”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แม้แต่รินรินเทเองก็ตามเธอไม่มีข้อมูลของผู้หญิงคนนี้ ทว่ามาเร่นั้นกลับพูดออกมาพร้อมกับยืนตรงทำความเคารพหญิงสาวผู้นี้ ดีย์โอะ 1 ใน เมดผู้รับใช้ บุคคลที่ถูกจัดว่าอยู่ในระดับสูงของยูโทเปีย สูงรองจากราชินีลงมาเพียงขั้นเดียว

“ เหะๆ โดนเรียกว่าท่านด้วยอ่า… ”

ดีย์โอะหันมามองยังมาเร่ตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ราวกับนักล่ากำลังจะเขมือบเหยื่อ แถมเธอยังจ้องมองดูเรือนร่างของหญิงสาวตรงหน้าอีกครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า

“ หน้าตาแถมเสียงเองก็น่ารักดีนะคะ แบบนี้ก็ไม่เลวเลยล่ะ อื้มมม แต่แบบบอริสก็ อ๊าย… ค ค ค่ะ!! ไหนเอ่ย…ของที่ว่า เห ตรงนั้นสินะ! ”

“ อึก… ”

[ ทำไมจู่ๆถึงมองมาที่เราแบบนั้นล่ะ! ]

ทว่าคำพูดนั้นก็เบาจนมีเพียงแค่มาเร่เท่านั้นที่ได้ยิน อย่างไรเสีย มาเร่ที่ยืนอยู่ก็จ้องสวนการมองของดีย์โอะ ทำให้เธอได้สติกลับมาก่อนจะหันไปมองหาบางสิ่งรอบๆแล้วจบลงด้วยการมาหยุดที่รินรินเท ซึ่งรินรินเทเองพอโดนมองแบบนี้แล้วก็สัมผัสได้ถึงความอันตรายบางอย่าง ความอันตรายที่ถึงกับทำให้เธอเดินถอยหลัง และความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้โกหกเธอ

“ เราในนามของผู้รับใช้ผู้อยู่บนจุดสูงสุดแห่งยูโทเปีย จะเข้าทำการจับกุมคุณ ในฐานสปาย และหัวหน้าองค์กรสปายของกองทัพจอมมารที่ปฏิบัติงานในดินแดนของพวกเรา อย่าขัดขืนแล้วมอบตัวแต่โดยดี มิเช่นนั้นทางเราจะเข้าใช้กำลังจับตาย… แบบนี้สินะ? เอาล่ะ ว่ายังไง จะยอมมอบตัวดีๆหรือเปล่า? ”

………..

ครึก ครึก ครืนนน ฉัวะ!!

นับจากวันที่ผู้ว่าจ้างและเหล่าผู้ถูกจ้างได้มาเจอกันนั้นก็ผ่านไปได้ 10 กว่าวันแล้ว และผลลัพธ์ของราคาที่รินรินเทได้จ่ายไปนั้นก็เกินกว่าที่เธอคาดหวังไว้มาก มากขนาดที่ตอนนี้เธอได้แต่เดินยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ข้างหลังเหล่าโล่เนื้อทั้ง 5 นี้ โล่เนื้อที่เธอจ้างมาด้วยเงินของกองทัพจอมมาร

[ สมกับเป็นพวกแรงก์สูงจริงๆ ผ่านมอนสเตอร์พวกนั้นมาได้ง่ายดายแถมไม่มีใครบาดเจ็บอีก แม้แต่บอสที่ชั้น 5 ก็โดนกำจัดง่ายๆด้วยเวทย์กับดาบ แถมพอมันจะฝ่าเข้ามาก็ถูกมอนสเตอร์เงารุมตายอย่างง่ายดายอีก ดูท่าสิ่งที่เราต้องระวังนอกจากยูโทเปียก็คงเป็นกลุ่มคนพวกนี้ล่ะนะ ฟูฟุน เคนโต ฟิโอเน่ ลังก้า ]

ในระหว่างที่รินรินเทกำลังจับตาดูนักพจญภัยนั้น เธอก็ได้คอยจดชื่อและวิธีการต่อสู้ของพวกเขาลงไปในสมุดที่ตนพกมาด้วย ไม่ว่าจะสไตล์การฟันดาบที่เน้นป้องกันของฟูฟุน ทักษะการยืนยิงจากระยะไกลของเคนโตที่กว่าจะยิงก็นานแสนนาน แต่ผลลัพธ์ก็การันตีความตายในนัดเดียว หรือจะเป็นการร่ายเวทย์ผสมปนเปมากมายที่ทำให้ศัตรูอ่อนแอและพรรคพวกแข็งแกร่งโดยฟิโอเน่ และการสั่งของลังก้าที่ทำให้มอนสเตอร์เงารุมโจมตี มอนสเตอร์เงาที่มีรูปร่างมากมายไม่ว่าจะเป็นสี่ขา หรือสองขาก็ตาม ทั้งหมดนั้นเธอจดไว้อย่างละเอียด

[ แต่จะว่าไปแล้วตั้งแต่ตอนลงมา มาเร่ ก็ไม่ได้จะทำอะไรเลย ไม่สิ น่าจะต้องเรียกว่าไม่มีโอกาสมากกว่าล่ะ ก็นะ…พวกนักพจญภัยระดับสูงพวกนั้นเก็บหมดแบบนี้นี่น่า ]

โดยระหว่างที่จดอยู่นั้นเธอก็แอบหันไปมองยังมาเร่ หญิงสาวที่เดินอยู่ห่างจากเธอไปไม่มากนัก ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่นักพจญภัยเหมือนกับ 4 คนที่เธอจดชื่อ เธอเป็นเพียงนักเรียนจากยูโทเปียเท่านั้นและมาที่นี้ด้วยเหตุผลทางการศึกษาเป็นส่วนใหญ่

“ งือ… โดนแย่งหมดเลย แบบนี้จะได้ยิงไหมอ่าาา!! ”

[ อึก…ดูทำหน้าสิ สีหน้าเซ็งๆนั้น แก้มป่องเลยนะ น่ารั… ไม่ ไม่ ไม่! เกืิอบไปแล้วไหมล่ะเรา!! ]

อย่างไรก็ตามอย่างที่รินรินเทเห็น เธอดูเซ็งกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากจนแสดงออกมาด้วยการทำหน้าบึ้งแก้มป่อง ไม่พอใจที่ตนไม่ได้ทำอะไรนอกจากแบกปืนแล้วเดินตาม ซึ่งการได้เห็นสีหน้านั้นของมาเร่ก็เกือบทำให้รินรินเทหลุดยิ้มออกมาเลยทีเดียว

[ สติสิชั้น!! สติ!! อีกแล้วนะตัวชั้น!! นั้นผู้หญิงเหมือนกันกับเรานะ!! ไม่ได้จะมาหลงไปไปไม่ได้!! ใช่!! ตอนนี้เราอยู่ไหน เราอยู่ในดินแดนศัตรู!! แถมยังลึกลงมา 10 กว่าชั้นอีก!! จะมามัว อึก… แต่… ไม่ ไม่ ไม่!! พอๆๆๆ อย่าไปมอง!! ]

ซึ่งพอคิดได้แบบนั้น รินรินเทก็พยายามจะดึงสติกลับมาด้วยการหันไปมองยังที่อื่น พร้อมกับคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามไอการที่เธอพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากรินรินเทแล้วเอาแต่คิดถึงเรื่องอื่นก็ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่น้อย เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะตลอดทางที่มานี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเกือบจะหลงไปในตัวของมาเร่

ฉัวะ กึก… !!

“ เดี๋ยว!! ใครก็ได้ดึงตัวคุณรินรินเทไว้เร็วเข้า!! ”

“ อะไรนะ!! นี้เดินเข้ามาอีกแล้วเหรอ!! ”

“ มาเร่!! จับคุณรินรินเทไว้ที!! ”

“ ค ค่าาาาาา!! ”

ด้วยการที่รินรินเทพยายามคิดเรื่องอื่นมากไปนั้นแหล่ะ ทำให้หลายครั้ง เธอจะไม่สนใจอะไรรอบข้างแล้วมักจะเดินเข้าไปยังบริเวณที่มีการต่อสู้เพื่อจับตาดูทุกอย่างใกล้ๆ จนเกือบจะทำให้เธอดูลูกหลง ไม่ก็เกือบจะโดนมอนสเตอร์ที่ซ่อนตัวอยู่เข้ามาโจมตี

“ นี้!! อย่ามัวแต่สนใจไอเทมดรอปสิคะ!! เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก!! ”

“ อ๊ะ… ขอบคุณครับ! คุณมาเร่ ”

แน่นอนว่าคนที่อยู่แนวหลังอย่างมาเร่ แล้วเป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไร ก็เลยต้องรับผิดชอบคอยห้ามกับวิ่งเข้าไปรวบตัวไม่ให้รินรินเทเดินเข้าไป อย่างไรก็ตามพอโดนจับเนื้อต้องตัวโดยคนที่เธอพยายามจะไม่สนใจแบบนี้ ก็ทำให้รินรินเทต้องหน้าแดงด้วยความเขินอายไปซะทุกครั้ง

“ แหมๆ ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ นี้น่ะหน้าที่นะ!! หน้าที่!! เนอะะะะ!! ”

[ ฮึก…ฮื่อ…. อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นน้าาา อื้ออออออ ]

มาเร่นั้นนอกจากเธอจะรับคำขอบคุณที่เต็มไปด้วยความเขินอายของรินรินเทแล้ว เธอยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่แสนจะสดใสและเจิดจ้าจนทำให้รินรินเทถึงกับตั้งหรี่ตาและพยายามหลบหน้าเลยทีเดียว โดยในใจของเธอตอนนี้ก็เต้นแรงจนไม่รู้จะแรงยังไงแล้ว

“ คุณรินรินเทฮะ มอนสเตอร์ตรงนี้ดรอปไอเทมแล้ว มาเอาไปได้เลยนะฮะ เดี๋ยวผมจะสั่งให้เหล่าเงาของผมคอยระวังรอบๆไว้ให้ ดังนั้นปลอดภัยแน่นอนฮะ ”

“ ครับ!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะครับ! รบกวนด้วยนะครับคุณลังก้า ”

และนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอีกอย่างของการสำรวจหอคอย หรือดันเจี้ยนนี้ เพราะเมื่อใดที่มอนสเตอร์ดรอปของ หรืออะไรก็ตาม ลังก้าจะจัดการเอาเงาของเขาไปยืินล้อมเอาไว้เพื่อให้รินรินเทเข้าไปเก็บของเหล่านั้นได้อย่างสบาย โดยตอนแรกก็ไม่ได้มีมาตราการป้องกันอะไรพวกนี้หรอก แต่ก็ต้องมีเพราะหลายหนที่ไอเทมดรอปรินรินเทมักจะเดินเข้าไปหยิบมาดื้อๆเลย โดยไม่สนสถานการณ์รอบๆ

“ ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรหรอกฮะ อ๋อ!! มาเร่เองก็คอยดูคุณรินรินเทด้วยล่ะ เดี๋ยวผมไปช่วยคุณฟูฟุนก่อนนะ ”

“ อื้อออ ไว้ใจได้เลย!! โอ้ แล้วก็พยายามเข้านะคะ!! ”

การทำแบบนั้นของรินรินเท ผู้เป็นผู้ว่าจ้างทำให้สมาชิกปาร์ตี้นั้นดูจะให้ความเป็นห่วงไม่ใช่น้อย เพราะความสนอกสนใจนั้นทำให้รินรินเทมักจะไม่ระวังตัวเลย ยิ่งผสมกับการพยายามไม่สนใจมาเร่อีก ยิ่งทำให้เธอมักจะเผลอไปยืนใกล้ๆจุดปะทะเสียทุกที จนทุกคนกลัวว่านายจ้างคนนี้จะบาดเจ็บ

[ โห… ขนนี้เรียบดีจังแหะ แต่สีน้ำตาลแบบนี้ อืมม เหมาะกับการเอาไปทำเป็นพรมไม่ก็เกราะหนังจังแหะ ไหนๆ มีดก็… อ่า แทงไม่เข้าเลยแหะ ]

ทว่าจริงๆแล้วถ้าทุกคนได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของรินรินเท จะรู้ได้เลยว่าเธอนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับมอนสเตอร์พวกนี้ เพราะเธอที่เป็นถึงมือสังหารอันดับต้นๆของกองทัพจอมมารนั้น สามารถกำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดายแถมเผลอๆอาจจะเร็วกว่าที่ฟูฟุน หรือเคนโตทำได้เสียอีก นั้นทำให้เธอไม่รู้สึกถึงอันตรายเลยจนเป็นเหตุให้เผลอทำตัวแบบนั้นไป แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจะลงไม้ลงมือได้เองในตอนนี้ ไม่งั้นจะเป็นที่สงสัยเอา ทำให้ถ้าหากจะโดนโจมตีเธอก็ต้องเนียนรับเสียตลอด

“ นี้ นี่? คุณรินรินเทคะ? ”

“ ค ค ครับคุณมาเร่ มีอะไรอย่างงั้นเหรอครับ? ”

“ ก็ อือออ ก็เป็นห่วงนี้คะ!! แบบว่าไงดีล่ะ คุณรินรินเทชอบเดินเข้าไปแบบนั้นมันอันตรายนะคะ!! ถ้าเกิดเป็นอะไรไปล่ะ…ก็…งืออ ”

[ อึก… ใจชั้น ไม่นะ อย่า อย่าเผลอเด็ดขาด อดกลั้นไว้… อดกลั้นไว้… ]

ซึ่งด้วยความเป็นห่วงนี้เอง ทุกคนจึงวนเวียนเข้ามาเตือนอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะมาเร่ ที่อยู่เป็นแนวหลังซึ่งใกล้ชิดกับรินรินเทมากที่สุด เธอมักจะเข้ามาหา มาถามตลอด ซึ่งนั้นก็ทำให้รินรินเทต้องพยายามอดกลั้นอีกเช่นเคย ทว่าผลลัพธ์ของการเข้ามาหาเอง ก็ทำให้คนอื่นนอกจากรินรินเทมีความรู้สึกที่แตกแยกออกไป

[ โธ่เว้ย!! ถ้าเรารวยล่ะก็ มาเร่ต้องหันมาสนใจเราแน่ๆ!! ใช่ ไว้จบจากนี้เราจะเอาเงินที่ได้ให้เธอสักครึ่งนึงก็แล้วกัน! ]

อย่างเคนโตนั้น เขาอิจฉานายจ้างตนเองที่มีสาวสวยฐานะดีมาคอยเป็นห่วงเป็นใยอยู่เสมอ จนเวลาที่มาเร่เดินเข้าไปหารินรินเท เคนโตก็จะหันไปมองเสียทุกทีจนแทนที่จะยิงธนูก็มักจะง้างไว้นานกว่าปกติเสมอ ซึ่งด้วยความที่เขายิงช้าอยู่แล้วทุกคนในกลุ่มจึงไม่ได้เอะใจถึงตรงนี้แม้แต่น้อย

“ ยัยมาเร่นั้นเอาอีกแล้วนะ! ทั้งๆที่ชั้นสวยกว่าขนาดนี้แท้ๆ ถ้าไม่ติดเรื่องต้องมาคอยดูแลแนวหน้่าล่ะก็นะ!! ”

“ น่า น่า ใจเย็นๆหน่อยสิฮะฟิโอเน่ เห็นคนหล่อรวยแล้วก็เป็นซะแบบนี้ทุกทีเลยนะฮะเนี่ย ”

“ เดี๋ยวนะเดี๋ยว!! นี้นายจะบอกว่าชั้นเลือกคนเพราะแค่หล่อรวยงั้นเหรอยะลังก้า!! ”

“ อืมม… แล้วมันไม่จริงอย่างงั้นเหรอฮะ ”

“ ชิ!!! ไม่น่าเป็นเพื่อนสนิทกับแกเล้ยย!! ”

เช่นกันกับฟิโอเน่ที่แอบหมั่นไส้มาเร่ จากการที่เธอเข้าไปหารินรินเทคนเธอที่หมายตาไว้ จนทำให้ในสายตาของฟิโอเน่นั้น มาเร่เหมือนกำลังเกาะแกะรินรินเท และไม่มีช่องว่างให้เธอเข้าไปตีสนิทเลย ซึ่งนั้นก็แค่ในสายตาของเธอล่ะนะ เพราะเพื่อนสนิทอย่างลังก้านั้นไม่ยักกะมองเห็นอะไรแบบนั้นเลยสักนิด

“ หึ ตอนนี้ช่างมันก่อนละกัน!! งานต้องมาก่อนนี้เนอะลังก้า ”

“ แหมๆ อย่างน้อยคุณภาพงานยังเหมือนเดิมสินะฮะ นึกว่าจะมัวแต่ส่องผู้อย่างเดียวซะแล้ว ”

“ โหหห นั้นปากเหรอยะ!! ”

อย่างไรเสียความไม่พอใจเหล่านี้ก็ต้องเก็บไว้ เพราะพวกเขานั้นมาในฐานะผู้ถูกว่าจ้างแถมยังเป็นระดับสูงอีก ความสัมพันธ์นั้นจึงไม่ใช่เพื่อนหรือคนรู้จัก จะให้มาแสดงอาการเอาแต่ใจหรือทำอะไรตามใจชอบคงจะไม่ได้

[ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ยังน่าประหลาดใจเสมอเลยนะ ที่แบบนี้น่ะ ทั้งๆที่อยู่ใต้ดินแท้ๆ ]

ในระหว่างที่กลุ่มของรินรินเทกำลังเดินทางไปยังชั้นต่อๆอย่างเรื่อยๆนั้น แสงสว่างภายในชั้นที่พวกเขาอยู่ ก็ค่อยๆมืดลงพร้อมกับทำให้เห็นแสงไฟสีแดง แสงจากดวงตาของมอนสเตอร์อยู่รอบ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับรินรินเท เธอรู้ตัวดีว่าตนเองอยู่ที่ไหน และที่ที่ว่านั้นมันก็ไม่ควรจะมีพระอาทิตย์ขึ้นลงเลย แต่ที่นี้ก็สามารถจะมีอะไรแบบนี้ได้

“ ทุกคน!! เราต้องหยุดแล้วหาที่ตั้งแคมป์เดี๋ยวนี้เลย!! ”

ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้นั้น นักดาบหมีอย่างฟูฟุนก็ได้หันบอกกับทุกคนด้วยเสียงที่จริงจังตามปกติ เพราะเขาที่มีประสบการณ์ลงดันเจี้ยนนี้มาหลายหน เลยรู้ดีว่าการลุยในเวลากลางคืนในช่วงชั้นแรกๆไม่ใช่เรื่องดี จากการที่มอนสเตอร์มีขนาดเล็ก การลอบเข้ามาจึงง่ายและถ้าพลาดก็โดนล้อมปิดตายได้ด้วย ซึ่งต่อให้มีปาร์ตี้ที่เก่งแต่ด้วยความมืดก็เสี่ยงจะพลาดโจมตีโดนกันเอง แถมถ้ายิ่งถ้าใช้เวทย์แสงเปิดการมองเห็นก็กลายเป็นการล่อมอนสเตอร์อีก

“ นั้นสินะ งั้นเอาตรงนั้นเป็นไงล่ะ ”

“ สายตาไม่เลวเลยนี่เคนโต ”

“ ทุ่งโล่งๆงั้นเหรอ อืม ถ้ามีคนเฝ้าก็ไม่น่ามีปัญหาหรอกมั้ง ”

“ ดูพูดสิฮะแหม ยังไงตัวเองก็ไม่ได้เฝ้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอฮะ ”

“ บวก 1 เห็นด้วยค่าา!! ทุ่งโล่งๆลมจะได้พัดเย็นๆด้วย นอนสบาย!! ”

ทั้งหมดจึงได้ลงมือตั้งแคมป์กันในพื้นที่ที่มีเพียงหญ้าสั้นๆเท่านั้น ไม่มีต้นไม้หรือพุ่มไม้มาบังหรืออำพรางเลยสักนิด ทำให้เมื่อจัดแคมป์เสร็จแล้วสิ่งที่ได้คือ เต็นท์จำนวน 3 หลัง โดยแบ่งออกเป็นของชายหญิงและผู้ว่าจ้าง โดยตรงกลางมีกองไฟกองเล็กๆให้แสงสว่างตลอดเวลา

และในช่วงเวลานี้ทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปทำธุระของตนเอง บ้างก็หาที่อาบน้ำ บ้างก็ทำอาหาร ไม่ก็ยืนเฝ้าดูสถานการณ์รอบๆ อย่างไรก็ดีผู้ว่าจ้างอย่างรินรินเท ที่กำลังนั่งอยู่ในเต็นท์ของตนก็ได้เขียนบันทึกและข้อสรุปในสิ่งที่เจอในช่วงเวลาที่อยู่ด้านล่างนี้

“ บันทึกวันที่ 12 ชั้นกับพวกคนจากกิลล์นักพจญภัย ได้เดินทางลงมาถึงชั้นที่ 14 ชั้นพบว่ายิ่งลงมาลึกเท่าไหร่ พื้นที่ก็จะยิ่งขยายกว้างขึ้นแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม ส่วนมอนสเตอร์นั้นความอันตรายของพวกมันไม่ได้มากแต่จำนวนต่างหากที่ทำให้พวกมันอันตราย ยิ่งในชั้นหลังๆมานี้ ขนาดและจำนวนที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้เหล่านักพจญภัยกลุ่มอื่นดูลำบากที่จะจัดการมัน โดบมอนสเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งมีชีวิตสี่ขา ที่หน้าตาดูแล้วไม่ได้ดุร้ายอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า กวาง หรือแม้แต่เก้ง ที่น่าตาคล้ายๆกัน ”

โดยในสมุดนั้นเธอได้บรรยายถึงสภาพโดยรวมของมอนสเตอร์แบบคร่าวๆ ไม่มีความละเอียดใดๆเลย ยิ่งสภาพแวดล้อมของชั้นเอง มากสุดก็บอกแค่ว่าเป็นป่าไม้ ไม่ก็ที่โล่ง แต่ถ้าเป็นส่วนของไอเทมและทรัพยากรที่ได้จากการจำกัดมอนสเตอร์นั้น เธอเขียนมันอย่างระเอียดพร้อมกับวาดภาพประกอบอย่างตั้งใจ

“ ส่วนสิ่งที่ตกมาจากมอนสเตอร์พวกในชั้นที่ 10 ลงมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหนังของมันที่มีคุณภาพสูงพอจะป้องกันของมีคมที่ตีในทวีปตะวันตกเฉียงใต้ได้ ส่วนขนที่ได้มาก็สามารถนำมาทำเป็นเครื่องนุ่มห่มได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแท่งเหล็กขนาดเล็กที่มีความแข็งมากกว่ามีดทองแดง หรือมีดสมฤทธิ์หลายเท่าตัวอีกด้วย คาดว่าทำนำไปทำเป็นอาวุธจะสามารถสังหารหรือตัดผ่านชุดเกราะหนังได้ไม่ยากเลย ”

[ พอมาที่นี้เราก็พอจะเข้าใจได้แล้วล่ะนะว่า ทำไมยูโทเปียจึงเติบโตไวและทรงพลังขนาดนี้ หึ…ก็เล่นมีสถานที่ที่เรียกว่าดันเจี้ยนอยู่บนทวีปนี้ นี่แหล่ะที่ทำให้ทุกอย่างของที่นี้ไปได้ไกลกว่าโลกภายนอกมากเกินราวกับเป็นคนละโลก ทั้งทรัพยากร ทั้งวิทยาการลึกลับ แต่ว่า…ในเอกสารของกิลล์ก็บอกว่ายูโทเปียพึ่งพบหอคอยที่ด้านนอกนี่เมื่อปีที่แล้ว แบบนี้หมายความว่ายังไงกันล่ะ?? ]

ตึก ตึก ตึก

โดยยิ่งเขียนเธอก็ยิ่งตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาเกี่ยวกับความเจริญของยูโทเปีย ทว่ามันก็มีหลายส่วนที่ทำให้เธอไม่กล้าฟันธงไปว่าทั้งหมดเป็นเพราะดันเจี้ยนหรือหอคอยนี้ ทว่าระหว่างที่เขียนนั้นก็มีเสียงจากข้างนอกเสียงของใครบางคนกำลังเดินมาที่เต็นท์ของเธอ

“ เน่~~~ เค้าขอเข้าคุยด้วยไปได้หรือเปล่า? ”

“ อ๊ะ!! ช ช เชิญเลยครับ ”

เสียงกับวิธีการพูดนั้นมันเป็นของมาเร่แน่ๆ แน่นอนรินรินเทพอได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบรับพร้ัอมกับเชิญให้เธอเข้ามาด้วยท่าทีและคำพูดที่สุภาพแม้จะติดๆขัดๆไปบ้างก็ตาม ซึ่งพอได้รับอนุญาตแล้วมาเร่ก็เปิดม่านเต็นท์พร้อมกับเดินเข้ามานั่งข้างๆรินรินเทในทันที

“ ขอโทษที่มากวนเวลาส่วนตัวนะคะคุณรินรินเท แต่ว่าเค้าน่ะสงสัยเลยจะมาถามน่ะ ”

“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่จะถามเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอครับ? ”

“ ก็ มาเร่น่ะนะพึ่งเคยได้ลงมาในหอคอยเป็นครั้งแรกใช่ม้าา? รินรินเทเองก็ด้วยใช่ปะ? ”

“ ครับ นี้ก็เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน ”

รินรินเทตอบกลับคำถามของมาเร่ด้วยคำพูดช้าๆ และอบอุ่น ส่วนมาเร่นั้นเธอก็ยังคงยิ้มร่าเริง แถมพอได้ยินว่านี้เป็นครั้งแรกของรินรินเท เธอก็ยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่ก่อนจะถามต่อด้วยเสียงที่ไพเราะนั้น

“ แล้วรินรินเทรู้สึกยังไงบ้างอ่ะ อย่างของมาเร่อ่ะนะ รู้สึกขอบคุณทุกคนเพราะทำให้เธอได้เรียนรู้และเห็นสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะสกิล จะทักษะต่อสู้เอย ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยล่ะ ”

“ ผมเองก็เช่นกันครับ การได้ลงมายังข้างล่างนี้ได้เห็นอะไรใหม่ๆหลายอย่างเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะมอนสเตอร์ ทั้งบรรยากาศที่ไม่สามารถเห็นที่ไหนนอกจากที่นี้ได้ มันช่างน่าประทับใจสุดๆเลยล่ะครับ ”

“ เหหห ดีจังเลยเนอะ~~~ ”

รินรินเทเองก็ด้วย เธอรู้สึกคล้ายกันกับมาเร่ ทว่าต่างออกไปเล็กน้อยที่เธอนั้นไม่ได้เรียนรู้เพื่อเพียงแค่ตนเอง แต่เป็นการเรียนรู้ไว้เพื่อนำไปให้กับกองทัพจอมมารให้กับนายหญิงของเธอ แต่ว่าเมื่อมาเร่ได้ถามแล้ว รินรินเทก็ได้ใช้โอกาสเป็นฝ่ายถามเธอบ้างว่า

“ ว่าแต่คุณมาเร่ล่ะครับ ในเมืองหลวงที่คุรมาเร่อยู่เป็นยังไง เพราะผมเองก็หวังว่าสักวันจะได้เข้าไปข้างในบ้าง พอจะเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าครับชีวิตในเมืองหลวงของยูโทเปีย? ”

“ เห? ก็ด้านในกำแพงอ่ะนะ แตกต่างจากเมืองรอบนอกมากเลยล่ะ ทั้งความสะดวกสบาย กลิ่นอาย บรรยากาศ ว่ายังไงดีล่ะ ถ้าอยู่ในนั้นแล้วก็คงไม่อยากออกมาข้างนอกอีกเลยแหล่ะ เนี่ยอย่างตึกก็สูงลิบลิ่วเลย แบบบ้านของมาเร่เงี้ย ก็อยู่ตั้งชั้นที่ 70 แหน่ะ ”

“ โอ… ตึกสูงขนาดนั้น?? แสดงว่าผู้คนก็คงจะเยอะน่าดูเลยสินะครับ ”

“ ก็ไม่เยอะหรอกค่ะ อย่างตอนนี้ก็น่าจะราวๆ 2 ถึง 3 ล้านเอง ”

“ เยอะนะครับนั้น!!!! แบบนี้จะไปเอาทรัพยากรที่ไหนมาให้ผู้คนล่ะครับ?!? ทั้งสร้างตึก ทั้งอาหารการกิน ”

รินรินเทดูตื่นเต้นกับสิ่งที่มาเร่เล่า อย่างไรเธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าพัฒนาไปแบบนั้น ยูโทเปียทำได้ยังไงเพราะวิวทิวทัศน์ตั้งแต่เธอเข้ามาไม่เห็นมีร่องรอยของการทำเหมืองหรือการทำฟาร์มอะไรพวกนั้นเลย มาเร่ที่เห็นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“ ทรัพยากรก็หาไม่ยากนะ อย่างในตัวเมืองเองก็มีหอคอย อืม ถ้าภาษาคนนอกก็เรียกว่า ดันเจี้ยน ใช่ มีดันเจี้ยนอยู่ล่ะ อยากได้ทรัพยากรอะไรก็ลงไปตามชั้นได้เลย แต่ว่าหอคอยนี้น่ะอนุญาตให้เพียงทหาร และเจ้าหน้าที่ของยูโทเปียเท่านั้น ประชาชนทั่วไปลงไปไม่ได้ มาเร่เลยไม่ได้เห็นเลยว่าข้างล่างมีอะไรบ้างน่ะ ”

“ … ”

“ เห ทำไมเงียบแบบนั้นล่ะ?? ”

“ …ดีจริงเลยนะครับ ”

พอได้ยินเช่นนี้รินรินเทก็ถึงกับนิ่งไปเลย ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆด้วยเสียงที่แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรง มาเร่นั้นรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในคำพูดที่ดูอ่อนแรงของรินรินเท ทำให้เธอถามกลับด้วยสีหน้าที่ดูสงสัยปนเป็นห่วงเป็นใย

“ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ รินรินเท?? ”

“ ก็…พอได้ยินว่ายูโทเปียมีทรัพยากรมากมายจากดันเจี้ยนแบบนี้ ก็ทำให้ผมเข้าใจเลยว่าที่นี้่มีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ผมฝันมาตลอดเลยล่ะครับ เพราะในตอนที่ผมยังเป็นแค่เด็กน้อย ผมก็เป็นเพียงคนจรที่ไร้ซึ่งที่พักพิงแถมยังมีดวงตาสีดำแดงอีก ซึ่งในที่ที่ผมเกิดนั้นถูกมองว่าเป็นตัวต้องสาปเลยถูกขับไล่ให้เตร็ดเตร่พลัดหลงไปทั่วและต้องอยู่อย่างอดอยากมาตลอด

จนกระทั่งได้ถูกรับเข้าเป็นหนึ่งในตระครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง ชีวิตผมก็ดีขึ้นบ้าง แต่พอมาได้ยินเรื่องความสมบูรณ์จากคุณมาเร่ ผมก็เลยแอบคิดถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น ”

“ ฮึก ฮึก…ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ต้องนึกเรื่องในอดีต… ”

“ ไม่เป็นไรหรอกครับ แม้มันจะมันเจ็บปวดแต่ก็มีค่ามากเลยล่ะครับ ”

บรรยากาศภายในเต็นท์ตอนนี้นั้นดูน่าอึดอัดเล็กน้อย แต่ว่ารินรินเทก็ไม่ได้จะแสดงท่าทีเจ็บปวดอะไรอีก ผิดกับมาเร่ที่ดูจะหงอยๆลงไปเมื่อรู้ว่าตนเองไปพูดทำให้รินรินเทรำลึกความหลังที่เจ็บปวดขึ้นมา

“ คุณรินรินเท มาเร่ มื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคร้าบ!! ”

“ ค่าา!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะค่าา! ”

ทว่าในระหว่างที่บรรยากาศกำลังจะดีขึ้น เสียงของเคนโตก็ดังเข้ามา เขานั้นอยู่ที่หน้าเต็นท์แล้วและมาที่นี้เพื่อมาเรียกทั้งสองไปทานข้าว ซึ่งมาเร่ก็ขานรับก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มให้กับรินรินเทแล้วยื่นมือเข้ามาเพื่อจะรอดึงตัวเขาขึ้นไป

“ อ่า เชิญคุณมาเร่ไปทานก่อนได้เลยนะครับ คือผมจะต้องตรวจสอบของอีกนิดหน่อย แล้วก็จดบันทึกเพิ่มเติมด้วยน่ะครับ ”

“ เห~~~~~ อย่างงั้นเหรอคะ ถ้างั้นก็พยายามเข้านะคะ ”

อย่างไรก็ตามรินรินเทนั้นไม่ได้ตอบรับคำเชิญของมาเร่แต่อย่างใด เขากลับปฏิสเธด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนจะหยิบเอาหนังมอนสเตอร์กับสมุกขึ้นมาให้มาเร่ดู ซึ่งเธอพอเข้าใจแล้วก็ยิ้มก่อนจะหันหลังพร้อมกับเดินออกไปอย่างร่าเริง ทว่าทันทีที่ออกมานั้นมาเร่ก็ต้องเจอกับเคนโตที่ยืนยิ้มหื่นๆอยู่ด้านนอก

“ นี่ มาเร่? หลังจากจบภารกิจนี้สนใจไปดื่มฉลองกันหน่อยไหม? เดี๋ยวผมเลี้ยงเองน้า ”

“ เห? แต่ว่ามาเร่เป็นนักเรียนนะ ดื่มไม่ได้หรอกกกก~~~~~~(เสียงสูง) ”

“ เอ๋!! แย่จัง งั้นไปเดินซื้อของไหม? แบบเครื่องประดับอะไรพวกนี้น่ะ ”

“ เครื่องประดับเหรอ? มาเร่มีเยอะแล้วอ่ะ ถ้าซื้อมาเยอะกว่านี้คงไม่มีที่เก็บแล้วล่ะ แหะๆ ”

“ ถ้่างั้น… ”

“ โอ้!! วันนี้ลุงฟูฟุนทำอะไรอย่างงั้นเหรอค่าาา!! ”

“ อ่า มาเร่! วันนี้เป็นเนื้อมอนสเตอร์ชั้นนี้ย่างแล้วราดซอสจากสมุนไพรน่ะ ”

“ ว้าวว!! ”

ระหว่างที่มาเร่เดินออกจากเต็นท์ไป เคนโตก็ได้พูดกับเธอด้วยคำพูดเชื้อเชิญมากมายๆ แล้วก็พยายามจีบแต่มาเร่ก็ทำเป็นใสซื่อใส่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเธอไม่ได้ใสซื่อเลย อย่างบอกไม่ดื่มเนี้ยก็ตอแหลเลยล่ะ ทว่าการพยายามจีบนั้นก็ต้องสิ้นสุดลงเมื่อมาเร่เดินมาถึงยังแคมป์ไฟที่ตอนนี้ฟูฟุนกำลังทำอาหารอยู่

“ ไปกันแล้วสินะ ”

ทว่าทางด้านรินรินเท เธอที่เห็นว่ามาเร่ออกไปแล้วก็หยิบเอากระดาษขึ้นมาเขียนจดหมาย พร้อมกับใส่ซองกระดาษสีดำ และทันทีที่ปิดซองมันก็สลายหายไป โดยรินรินเทนั้นคิดในใจว่า

[ เรื่องทรัพยากรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้นมีค่าเกินไปจะช้าไม่ได้ล่ะนะ ยังไงตอนนี้ต้องรีบส่งให้นายหญิงฟารูนได้รับรู้โดยไวที่สุด แล้วแบบนั้นท่านจะได้ตัดสินใจได้ว่าจะบุกหรือไม่บุกสักที ]

“ หืม…? ”

“ มีอะไรหรือเปล่าฮะคุณมาเร่ ถึงได้หันไปมองเต็นท์ของคุณรินรินเทแบบนั้นน่ะฮะ ”

“ อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่มาเร่คงคิดไปเองล่ะมั้งคะ ฮ่าๆๆ ”

“ เหรอยะ?!? ไม่ใช่ว่ารอคุณรินรินเทอยู่หรือไง? ”

“ ฟิโอเน่ เป็นหญิงเป็นแส้กินข้าวทำตัวให้สำรวมหน่อยสิฮะ ”

“ นั้นสินะ อย่างที่ลังก้าว่านั้นแหล่ะ กินแบบนั้นเดี๋ยวก็หกหมดหรอก ”

“ ใช้ไม่ได้เลยน้า ”

“ เดี๋ยว!! ไหงชั้นโดนรุมแบบนี้ได้ล่ะ!! ”

อย่างไรเสียที่ข้างข้างนอกนั้น ในเวลาเดียวกันกับตอนที่จดหมายค่อยๆสลายไป มาเร่ก็ได้หันมามอง ทำให้สมาชิกที่นั่งกินข้าวกันอยู่หันมาดูด้วยความสงสัย ถึงขนาดที่ลังก้าถาม ทว่าเธอก็ตอบกลับด้วยเสียงเรียบก่อนจะกลับไปทานต่ออย่างช้าๆทีละนิด ทีละนิด แต่ทางด้านฟิโอเน่เธอก็แอบแซะไปเบาๆก่อนจะโดนลังก้า ฟุฟูนและเคนโต โดยที่มาเร่นั้นไม่ได้สนใจเลยเพราะเธอกำลังคิดในใจว่า

[ เริ่มทำอะไรแล้วสินะ งั้นเราเองก็ควรจะทำอะไรด้วยเนอะ อื้มมม แต่เนื้อกวางย่างนี้อร่อยสุดๆเลยแหะ โดยเฉพาะซอสจากสมุนไพรนี้หอม หวานแถมมีเผ็ดอ่อนๆปลายลิ้นอีก สงสัยต้องให้ทิเรียติดต่อมาจ้างฟูฟุนไปเป็นพ่อครัวแล้วล่ะมั้ง ]

…….

ซึ่งกลุ่มพวกนี้นั้นมีเป้าหมายก็คือสำรวจยูโทเปียและรายงานจุดอ่อน จุดแข็งรวมไปถึงข้อมูลสำคัญกลับไปให้กับฝ่ายที่ตนอยู่ และปัจจุบันนั้นก็มีกลุ่มสปาย กลุ่มหนึ่งที่หลุดรอดเข้ามาเยอะขึ้นเป็นอย่างมาก จนดูจะกลายเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ไปแล้วนั้นก็คือ กลุ่มของรินรินเท กลุ่มที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจอมมาร และในตอนนี้นั้นหัวหน้ากลุ่มก็กำลังนั่งอยู่ในจุดรับรองของกิลล์นักพจญภัยประเมืองนี้อีกต่างหาก เธอกำลังเดินไปหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นวาง

“ เงินก็จ่ายไปแล้วแถมจ่ายไปเยอะซะด้วยสิตั้งหลายแสนเครดิต แต่ว่าจู่ๆก็อนุญาตให้ใช้เงินเยอะขนาดนี้ แสดงว่าใกล้แล้วสินะ? ”

หญิงสาวในรูปลักษณ์ของหนุ่มรูปงามผมสีดำที่มีหูแมวและสวมชุดคล้ายพ่อบ้านนั้น ตอนแรกเธอคงไม่ได้มาที่นี้จากการที่เก็บเงินได้ยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่ด้วยเหตุการณ์ผู้คนต่างแห่กันเข้ามานี้เองทำให้การเข้ามาของสปายนั้นมากขึ้น และกลุ่มของเธอก็ได้ทยอยเอาเงินมาส่งตรงให้กับเธอ ทำให้รินรินเทเริ่มลงมือจะลงหอคอยที่ 1 แล้วนั้นเอง

ตึก ตึก ตึก ฟุบ

“ เอาล่ะ… ไหนดูสิ คำเล่าจากปากนักพจญภัยพวกนั้นจะตรงกับในหนังสือนี้หรือเปล่า ”

โดยพอเจอหนังสือที่เธอต้องการ รินรินเทก็เดินกลับไปนั่งที่โซฟาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนักเพื่ออ่านมันรอในระหว่างที่พนักงานประจำกิลล์จะติดต่อหานักพจญภัยมาคุ้มกันตามเงินที่เธอได้จ่ายไปเสร็จ ซึ่งระหว่างที่รอการดำเนินการเธอก็ได้เลือกหนังสือนี้มาอ่าน หนังสือที่มีเฉพาะในกิลล์นักพจญภัย มันคือ “บันทึกเรื่องราวการสำรวจหอคอยแห่งการทดสอบที่ 1 ของปาร์ตี้ผู้ตามหาทาง” เขียนโดยอัศวินดาบคู่ ทั้งหมดก็เพื่อจะนำเรื่องในนั้นส่งให้กับนายหญิงของเธอ

“ หึ แค่ภาพรองหน้าปกก็วาดซะเหมือนนิยาย แบบนี้ทั้งเล่มก็คงเป็นแค่เรื่องแต่งของชายช่างฝันที่ไม่ได้ลงไปข้างล่ะมั้ง ”

อย่างไรก็ตามตอนแรกก่อนที่เธอจะได้อ่านมัน รินรินเทก็ได้ฟังคำพูดจากนักพจญภัยมาบ้าง ซึ่งแน่นอนล่ะว่า เธอคิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องแต่ง จากการที่ทุกอย่างนั้นเกินจากสามัญสำนึกไปมาก เพราะนักพจญภัยต่างบอกเหมือนกันเลยว่า ปาร์ตี้นี้แข็งแกร่งจนจัดการทุกอย่างโดยง่ายราวกับ มอนสเตอร์แสนอันตรายพวกนี้นั้นเป็นเพียงสัตว์ป่าธรรมดา ทว่าพอเธอพลิกไปได้เพียงไม่กี่หน้า สีหน้าของเธอซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

“ม ม มันอยู่ที่นี้…อึก ถ้ามีไอเจ้าสัตว์ประหลาดนี้อยู่ล่ะก็… ”

รินรินเทนั้นเปลี่ยนความคิดก่อนหน้านี้ในทันที เธอหลุดปากพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทาเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ในภาพวาดเสมือนพร้อมชื่อประกอบของสมาชิกที่มีอยู่ของปาร์ตี้ผู้ตามหาทาง หนึ่งในนั้นคือคนที่เธอไม่อาจจะลืมลงได้ [ มาร์ ซันเบิร์น ] เป้าหมายที่เธอไม่อาจฆ่าได้เขาอยู่ในตำแหน่งของซัพพอร์ตเตอร์และหัวหน้าปาร์ตี้จากการที่มีแรงค์สูงที่สุด คือ S และนี้จึงทำให้เธอตั้งใจอ่านกว่าเดิมเป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่างในนี้ล้วนหน้าเชื่อถือทันทีที่มีชายคนนั้นปรากฎอยู่

[ นี้สินะ… หอคอยที่ 1 ]

โดยเธอยิ่งอ่านก็ยิ่งประหลาดใจ เพราะตอนต้นนั้นทุกอย่างมันน่าตื่นเต้นไปหมด ทั้งการมุ่งผ่านไม่เน้นหาของทั้งยังทิ้งสมบัติพวกนั้นไว้แบบไม่ใยดีใดๆซึ่งก็ตามคาดนี้เป็นการตัดสินของหัวหน้าปาร์ตี้อย่างมาร์ ที่เขาคนนี้เลือกที่จะฝ่าไปเพื่อไปให้ลึกที่สุดมากกว่ารางวัลที่จะได้ แต่ยังไงก็ตามความน่ากลัวที่ทำให้รินรินเทถึงกับสะดุ้งก็เกิดขึ้น เมื่อเธออ่านถึงส่วนของการเจอผู้เฝ้าชั้น

“ อึก… กรอด… สุดท้าย สัตว์ประหลาด ก ก ก็คือสัตว์ประหลาดสินะ ”

รินรินเทไม่ได้กลัว เจ้าผู้เฝ้าชั้นนั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าเป็นตัวของเด็กชายในบันทึกนั้นต่างหาก ภาพปรากฎที่ประกอบอยู่นั้นคือเขาใช้มือเพียงข้างเดียวฆ่ามัน ฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ดูอันตรายนั้น สำหรับคนอื่นนี้มันเป็นเรื่องโกหกไม่ก็สีสันในบันทึกเท่านั้น ทว่ารินรินเทรู้ดีว่ามันไม่ใช่ มันไม่ใช่เลย นั้นน่ะเป็นความจริงแน่ๆ ภาพในอดีตตอนที่เธอเกือบตายมันรื้อฟื้นกลับมา ภาพกับดัก ภาพรอยยิ้มจางๆของเด็กคนนั้นที่ยังหวนกลับมาหลอกหลอนในความฝันของเธอเป็นครั้งครา

“ ท่านรินรินเทครับ ท่านรินรินเท? ”

“ อ่ะ ค่… ครับ??? ”

“ ตอนนี้ทางเราได้รับการติดต่อจากนักพจญภัยที่สนใจมาเรียบร้อยแล้วนะครับ ยังไงเรียนเชิญรอนักพจญภัยที่ห้องรับแขกของพวกเราก่อนดีกว่านะครับ ”

“ งั้นเหรอครับ รบกวนด้วยนะครับคุณพนักงาน ”

ยังไงก็ตามระหว่างที่เธอกำลังตกอยู่ในความกลัวนี้ เสียงของพนักงานก็ได้เรียกสติเธอกลับมา เธอหันไปยิ้มให้ก่อนจะเก็บหนังสือแล้วลุกขึ้นเดินตามคำเชิญนั้น เพื่อไปยังห้องรับแขกพิเศษซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ซึ่งพอมาถึงรินรินเทก็นั่งลงยังที่นั่งรับรองพร้อมกับมีพนักงานสาวคนนึงก่อนได้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ รินรินเทไม่ได้พูดอะไรกับพนักงานคนนี้นอกจากยิ้มให้ ซึ่งพนักงานเองพอได้รับรอยยิ้มจากหนุ่มหล่อ(?) เธอก็เคลิ้มไปชั่วครู่ก่อนจะขอตัวออกไป

… … ก็อก ก็อก

“ ขออนุญาตนะครับท่านรินรินเท ”

แอ๊ดดดด

[ คนแรกก็ดูไว้ใจได้เลยนะ วอร์บีสต์สายกำลังแบบนั้น ]

โดยเวลาก็ผ่านไปไม่นานนัก พนักงานคนเดิมที่เชิญรินรินเทจะเปิดประตูพร้อมกับเชิญกลุ่มคนเข้ามาในห้องอีกครั้ง ซึ่งนั้นก็คือกลุ่มนักพจญภัยตามเข้ามาทีละคน โดยไล่เรียงจากที่เห็นคือ คนแรกเป็นชายผิวเข้มกล้ามโตผู้มีหูหมีที่และสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงสีดำ

[ เอล์ฟ? กับ เห…อิมพ์? ไม่สิ เขาเล็กๆนั้น ปีศาจชั้นบารอน? แล้วก็ อีกคนก็ชาโดว์ลิ่งสินะ ]

คนที่สองเป็นชายเผ่าเอล์ฟผมหยิกสีฟ้า สวมเสื้อผ้าธรรมดาที่ดูไม่น่าจดจำอะไรนอกจากรอยยิ้มที่สบายๆนั้น คนที่สามกับสี่เป็นชายหญิงที่เหมือนจะเป็นนักเวทย์จากคฑาที่ทั้งคู่ถือ โดยทางด้านของผู้หญิงนั้น เธอเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆที่มีเขาสีดำสนิทคู่หนึ่ง เธอนั้นตัวเล็กเกือบจะเท่าเด็กประถมทว่าเธอนั้นมีผมยาวสีชมพูที่มีปลายผมด้านหน้าสีขาวสองข้างและใบหน้าที่งดงาม แต่ชุดที่เธอสวมใส่นั้นก็แสนจะเปิดเผยผิวอันอ่อนวัยสุดๆ ไม่ว่าจะชุดผ้าบางลายลูกไม้ รองเท้ายาวที่รัดยาวจนถึงต้นขาทำให้เห็นขาอ่อนได้อย่างง่ายดาย ยังไงก็ตามผู้หญิงคนนี้นั้นเธอดูจะสนใจรินรินเทอย่างประหลาดผ่านสายตาที่มองผ่านแว่นกลมสีดำ

ส่วนฝั่งผู้ชายเองก็เป็นเผ่าปีศาจที่มีหูยาวและผมดำทักเปียยาวโดยผมที่ถูกทักไว้นั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นสีน้ำตาล เขาสวมชุดสีเทากับผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินขอบสีเหลืองอ่อน โดยใบหน้านั้นดูอ่อนวัยมาก ทว่าพอมองดูดีๆจะเห็นว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว เพราะบนไหล่ บนหัวและบนมือนั้นกำลังมีสิ่งมีชีวิตเป็นเงาสีดำวิ่งเล่นอยู่ พวกมันมีหูยาวคล้ายกระต่ายแต่รูปร่างเหมือนตุ๊กตาเสียมากกว่า

“ อ๊ะ!!! เธอ?!?! ”

ทว่าพอมาถึงคนสุดท้ายนั้นก็ทำให้รินรินเทถึงกับกระพริบตามองดูแล้วมองดูอีก เธอจำหน้านั้นกับท่าทางที่ดูมั่นใจในตัวเองสุดๆได้ หญิงสาวผิวสีช็อกโกแลตตัวสูงไม่มากราว 165 เซนติเมตร ตาเธอนั้นช่างฟ้าเปร่งประกายระยิบระยับราวกับดวงดาว โดยตัวของหญิงสาวผู้แสนงดงามนี้นั้นมีผมสีทองบลอนซ์ปลายสีชมพูไฮไลต์สีขาวไว้ทรงไซด์เทลที่ดูฟูฟ่อง เธอนั้นแต่งหน้าอย่างพอดี ขอบตาอายชาโดว์สีดำที่ทำให้ตาขมสวย ลิปสติกสีแดงที่ทำให้ปากเธอนั้นอิ่มเอมสุดๆ ไหนจะบลัชอ่อนๆที่ทำให้แก้มนั้นดูอิ่มเอม พร้อมกับชุดเสื้อเชิร์ตสีขาวหรูหราและกระโปรงเอี้ยมสั้นๆสีดำที่ดันหน้าอกอันแสนจะพอดีของเธอเอาไว้ ถุงเท้ายาวสีดำและรองเท้าบู๊ทหนังสีเดียวกับถุงเท้าแต่ว่าเชือกที่ใช้ทักนั้นเป็นข้างละสี ซ้ายแดง ขวาชมพู

นอกจากนี้แล้วเธอยังสวมเครื่องประดับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสายรัดคอสีดำที่มีกางเขนเหล็กห้อยไว้ ต่างหูโซ่ที่เจาะไล่จากติ่งหูขึ้นไปถึงบนสุด และเด่นไม่แพ้กันคือเขาสีดำของเธอที่มีการลงลายวาดสวยงามด้วยสีชมพูเรืองแสง เธอที่เห็นรินรินเทก็หันหน้ามามองพร้อมกับโบกมือและส่งรอยยิ้มสุดแสนจะงดงามให้ก่อนจะกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะจนนักพจญภัยก่อนหน้าหันมามอง

“ โอ้! พี่ชายที่ทำงานร้านนั่งดริ๊งค์นี้ เอ? หรือจะเรียกว่าร้่านโฮสดีล่ะ ฮ่าๆๆ เจอกันอีกแล้วนะคะ ”

คำพูดกับท่าทางนั้น ขนาดผู้หญิงอย่างรินรินเทก็เกือบจะหลุดอาการหลงตามเลยทีเดียว ยังไงก็ตามพนักงานที่ตามเข้ามานั้นก็ปิดประตูแล้วเริ่มเดินผ่านทุกคนที่กำลังเหม่อเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของรินรินเท พร้อมกับโค้งคำนับและกล่าวแนะนำตัวทุกคนให้กับรินรินเทโดยไล่ไปตามลำดับของคนที่เดินเข้ามา

“ ท่านรินรินเทครับ ต่อจากนี้ผมจะขออนุญาตแนะนำสมาชิกนะครับ ท่านแรก วอร์บีสต์ นามว่า ฟูฟุน เป็นนักดาบใหญ่แนวหน้าสายปะทะ และเป็นนักพจญภัยระดับ B ที่มีประสบการณ์ลงดันเจี้ยนนี้ไม่น้อยกว่า 20 ครั้งครับ ”

“ อ่า ข้า ฟูฟุน ยินดีที่ได้รู้จัก ”

ชายร่างกำยำนั้น ทักทายด้วยเสียงที่เข้มและทุ้มต่ำจนทำเอาตอนที่พูดนั้นพื้นถึงกับสั่นสะเทิือนเลยทีเดียว ยังไงก็ตามเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นภัยหรือกร่าง หรือดูอันตรายแต่อย่างใด กลับกันสายตาของเขาดูให้ความรู้สึกปลอดภัยสุดๆเลยก็ว่าได้

“ ท่านถัดไปนะครับ มีนามว่า เคนโต เป็นนักธนูทลายปราการ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการกำจัดมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ผ่านลูกธนูอันทรงพลังของเขา ซึ่งคุณเคนโตเป็นนักพจญระดับ A- หน้าใหม่และมีประสบการณ์ลงดันเจี้ยนที่นี้รวม 10 ครั้ง ครับ ”

“ โอ้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณผู้ว่าจ้าง ”

คราวนี้เอล์ฟหนุ่มก็ได้กล่าวทักทาย รินรินเทด้วยท่าทางสบายๆตามบรรยากาศรอบตัวของเขา แต่ว่านะไม่รู้ทำไมเขาถึงจ้องมองมาที่หน้าอกของรินรินเท ก่อนจะเงยหน้ามองของเธอแล้วทำท่าทีสับสนก่อนจะหลับตาลงส่ายหน้าแล้วหันกลับไปมองหน้าต่างข้างหลังเธอแทน หน้าต่างที่สะท้อนให้เห็นภาพคนในห้องนี้…และสายตาของชายคนนี้ก็ไปจบลงที่หญิงสาวคนสุดท้าย

“ ส่วนคนถัดมาที่จะมารับหน้าที่คอยซัพพอร์ตก็คือ คุณ ฟิโอเน่ เป็นปีศาจชั้นบารอน ผู้มีอาชีพหายากอย่าง นักเวทย์ทำนาย ที่สามารถคาดการณ์ในอนาคตอันใกล้ล่วงหน้าได้ครับ เธอเป็นนักพจญภัยระดับ A- ประวัติการลงดันเจี้ยนนี้ก็รวมๆ 15 ครั้ง แต่ว่าสามารถไปได้ลึกถึงชั้นที่ 40 เลยล่ะครับ ”

“ เหะๆ ไม่เอาน่า ไม่เอาน่า ชั้น 40 นั้นไม่น่าภูมิใจหรอกเนอะ คุณรินรินเท ”

ปีศาจชั้นบารอนผู้นี้ เบือนหน้าหนีรินรินเท ก่อนจะแสยะยิ้มและมองด้วยหางตากลับมาที่ตัวของเธอ โดยท่าทีนั้นไม่อาจจะบอกได้ว่า เขินอายหรืออะไร แต่ที่แน่ๆ รินรินเทรู้สึกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้มีเป้าหมายอื่นนอกจากการคุ้มกันเธอ

“ ส่วนชายผู้นี้ก็เป็นสมาชิกและคู่หูของคุณฟิโอเน่ เขามีชื่อว่า ลังก้า และเป็นนักเวทย์สายจู่โจมกับสร้างดีบัฟ มีนามว่าลังก้าครับผม และแน่นอนว่าเขาเองก็เป็นนักพจญภัยระดับ A- ที่มีประสบการณ์การลงดันเจี้ยนนี้แบบเดียวกับคุณฟิโอเน่ครับท่านรินรินเท ”

“ อื้ม! ยินดีที่ได้รู้จักนะฮะ ยังไงก็มาพยายามไปด้วยกันนะ ”

ลังก้านั้นหยุดเล่นกับเหล่าตุ๊กตาเงาของเขา ก่อนจะหันมาทักทายรินรินเทด้วยการโบกมือและยิ้มจางๆให้ ทำให้รู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศรอบๆตัวชายคนนี้นั้นช่างจางและผ่อนคลายเสียเหลือเกินจนขนาดที่ถ้าเผลอตัวก็คงหลับได้เลยทีเดียว

“ คนสุดท้ายเธอมีชื่อว่า มาเร่ เป็นนักเรียนสายภาคสนาม ชั้นปีที่ 4 จากโรงเรียนหลวงประจำยูโทเปีย แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในส่วนที่ทางท่านรินรินเทได้ชำระมา แต่ทางเราก็ได้บรรจุเธอลงปาร์ตี้เนื่องจากโครงการฝึกงานที่ทางกิลล์ได้ทำไว้ แน่นอนว่าเพื่อความปลอดภัยพวกเราได้ทำการสอบวัดเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ คุณมาเร่นั้นมีระดับเทียบเท่ากับนักพจญภัยแรงค์ B และยังเป็นผู้ใช้ปืนอีกด้วย ดังนั้นมั่นใจได้ว่าเธอจะเป็นประโยชน์ได้แน่นอนครับ ”

“ เห่ะ เหะ!! มาเร่เองค๊า!! ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ แล้วก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะรุ่นพี่ แล้วก็คุณรินรินเท!! ”

“ โอ้! เช่นกันเช่นกัน! ”

“ แหมๆๆ สาวสวยมาขอจับมือแบบนี้่ผมก็เขินนะครับเนี่ย ฮ่าๆๆ ยินดีครับยินดี ”

“ หึ…แค่เป็นพิธีนะยะ อ่า แล้วก็อย่ามาเป็นภาระตอนลงไปข้างล่างล่ะ ”

“ นั้นสินะครับ ขอโทษแทนฟิโอเน่ด้วยน้า ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่จริงๆก็เป็นห่วงแหล่ะ ”

“ เดี๋ยวเถอะ!! ลังก้า!! ”

“ มาเร่สินะครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ต่อจากนี้ก็สู้ๆล่ะ อ๋อ แล้วถ้าฟิโอเน่แกล้งก็มาบอกผมได้เลยนา ”

เธอคนนี้นั้นต่างออกไปเพราะพอเธอกล่าวทักทายอย่างเป็นการเองสุดๆเสร็จ แล้วก็ไล่เดินจับมือกับทุกคนตั้งแต่ฟูฟุน ไปจนถึงลังก้า โดยแต่ละคนก็แสดงท่าทีต่างออกไป ฟูฟุนนั้นยิ้มให้อย่างอบอุ่นพร้อมกับจับมืออย่างเต็มใจ เคนโตหมอนี้ก็ยิ้มแบบเอ่อ…หื่นๆพร้อมกับจับมือไปด้วย ส่วนฟิโอเน่นั้นเธอยังคงเบินหน้าไม่มองตรงๆแล้วยื่นมือมาให้มาเร่ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดุ ทว่าคนข้างๆกันอย่างลังก้าก็พูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มจางๆประจำตัว คำพูดนั้นทำให้ฟิโอเน่หน้าแดงและรีบดึงมือกลับไป ส่วนลังก้านั้นก็เดินเข้ามาพร้อมกับเช็คแฮนด์กับมาเร่ด้วยท่าทีเป็นมิตรสุดๆ

“ รบกวนอีกแล้วนะคะเนี้่ย แหะๆ ”

“ อ๊ะ?!? ค่ะ… ครับ!! ”

โดยทางมาเร่นั้นพอจับมือกับทุกคนเสร็จแล้ว เธอก๋็มายืนอยู่ตรงหน้าของรินรินเท พร้อมยื่นมือเข้ามาหาเธอพร้อมกับจับมือเช็กแฮนด์ด้วยรอยยิ้มที่สดใส ทำเอารินรินเทถึงกับหน้าแดงจนลืมปล่อยมือมาเร่เลยทีเดียว และมาเร่ที่เห็นแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยเสียงที่เบาเหมือนกับกระซิบ คำพูดที่ไม่มีใครรับรู้ได้นอกจากมาเร่

“ แหมๆ ยืนเหม่อแบบนี้ไม่ดีเลยน้าา แต่ไม่เป็นไรยืนต่อไปก่อนก็ได้เพราะไม่นานหรอก…ก็จะไม่มีเวลาให้มายืนแบบนี้แล้วล่ะ ก็นะต้องเตรียมวิ่ง…หนีจากเรานี่น่า ”

…….

เจี๊ยกๆๆ อู้ อู้ อู้ก้าาาา

เสียงโห่ร้องของฝูงลิงนั้นยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และยังคงดังขึ้นเรื่อยๆในทุกวินาทีที่มาร์เดินเข้าใกล้ ซึ่งถ้าตอนนี้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เขาก็คงใจคอไม่ดีแน่ๆ ไม่สิ คงเข่าอ่อนเดินต่อไปไหว ง่ายๆก็ลองคิดภาพตามดู การที่จู่ๆต้องไปเดินคนเดียวในดินแดนที่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องของฝูงสัตว์ที่สามารถหยิบปืนมายิงคุณได้ แถมเสียงนั้นก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูอีก

“ นี้ก็ผ่านมาจะ 30 นาทีแล้วนะเออ ”

แต่สำหรับมาร์นั้นก็ต่างออกไป เจ้าตัวไม่ได้จะกลัวไอเสียงโห่ร้องของลิงพวกนี้เลย กลับกันเขานั้นรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า ทว่าด้วยความที่มีประสบการณ์จากการเป็นทหารรับจ้างในอดีต ทำให้มาร์ไม่ได้สติแตกหยิบปืนมากราดยิง หรือว่าทำอะไรห่ามๆ ตอนนี้เจ้าตัวเลยค่อยๆเคลื่อนตัวไปจนถึงด้านบน เหนือยอดหอคอย

“ หืมม นั้นอะไรล่ะนั้น? จะเริ่มทำพิธีอะไรหว่าถึงได้เงียบกันไปแบบนั้น?! ”

ยังไงก็ตามพอขึ้นมาถึงตรงจุดนั้นได้แล้ว มาร์ก็ก้มลงไปมองดูยังตัวหอคอยแล้วก็ได้เห็นว่าพวกลิงที่โห่ร้องอยู่ ได้หยุดทุกอย่างแล้วเริ่มนั่งลงก่อนจะเงยหน้ามองไปยังประตูของหอคอยนั้น และทันใดนั้นประตูที่ว่าก็ค่อยๆเลื่อนออกอย่างช้าๆ เปิดให้มีช่องว่างขนาดเล็กตรงกลางพอให้คนเดินลอดผ่านเข้าออกได้

[ โฮ่… ไหนจะมีอะไรเกิดขึ้นกันน้า ขออยู่ดูก่อนก็แล้วกัน ]

… … …

“ พี่น้องข้า!! ”

เสียงของบางอย่างดังก้องออกมาจากภายในหอคอย และไม่นานเจ้าของเสียงก็ปรากฎตัวขึ้น วานรที่ทาหน้าด้วยสีขาวเป็นรูปกระโหลกแบบเดียวกับกำแพงรอบๆนี้ นัยตาของมันมีสีเหลืองทองพร้อมทั้งสายตาเองก็ดูดุดัน มันค่อยๆเดินออกมาทีละก้าว ทีละก้าวอย่างช้าๆ พร้อมกับเผยให้เห็นร่างอันกำยำของลิงชีแปนซี

ซีซ่าห์ ซีซ่าห์! ซีซ่าห์!! ซีซ่าห์!!! ซีซ่าห์!!!!

เหล่าวานรโดยรอบเริ่มตะโกนถึงนามของ วานรตนนั้นด้วยเสียงที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ส่วนเจ้าลิงนั้น ซีซ่าห์ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเหล่าวานรที่นั่งรอเขา ซีซ่าห์ยกมือขึ้นชี้นิ้วไปยังบันไดทางมายังชั้นที่ 100 นี้ ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยเสียงที่น่าเกรงขาม

“ ดูนั้นเถิดพี่น้องของข้า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการสำรวจได้มาถึงแล้ว เหล่าวานรวัยฉกรรจ์ทั้งหลายนับ 500 ตน จะได้ฤกษ์ทำการบุกขยายออกสำรวจเพื่อก้าวข้ามขึ้นไปยังชั้นที่ 10 ในดินแดนแห่งการทดสอบเบื้องบนนั้น!! จงไปซะเหล่าวานร ไปให้ถึงยังปลายทางของการทดสอบนี้!!! ”

อูก้าาาา เจี๊ยกกกกกก ซีซ่าห์!!! เพื่อเราวานร!! วานร!!

“ โอ้ ซีซ่าห์!! ไม่มีท่านมาเชื่อมเรา เราคงไม่ได้ก้าวขึ้นบันไดสวรรค์!! ”

“ ปืน วิทยาการ เพราะมีซีซ่าาาาาห์!! ”

“ เพื่อพวกเราวานร ขอบคุณซีซ่าาาาาาห์!! ”

นั้นคือคำพูด ซีซ่าห์ มันทำให้เหล่าวานรโดยรอบต่างลุกขึ้นแล้วโห่ร้องดีใจกันอย่างยกใหญ่ พร้อมกับเริ่มตะโกนขอบคุณตัวซีซ่าห์กัน คำขอบคุณบูชาซีซ่าห์ว่าการมีเขาทำให้การก้าวขึ้นบันไดแห่งสวรรค์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และทำให้มีการค้นพบอะไรใหม่ๆอยู่ตลอด

“ ข้าขอขอบใจสำหรับคำสรรเสริญจากพวกเจ้า ยังไงเสียพี่น้องข้า อย่าลืมว่าพวกเราคงไม่มีวันนี่ถ้าเทพแห่งวิญญาณไม่ได้ให้พรแก่พวกเรา ไม่ได้มอบพลังจากคำพูดที่ว่า “วานรหนึ่งเดียวนั้นอ่อนแอ วานรรวมกัน แข็งแกร่ง!!” ดังนั้นจงเคารพบูชาท่าน เทพแห่งวิญญาณ!! ”

โอ้!!! ซีซ่า!! และเทพแห่งวิญญาณ!!!

เหล่าวานรตะโกนโห่ร้องอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ซีซ่าห์หันหลังกลับแล้วเข้าไปในหอคอยหินอ่อน ภาพที่เห็นด้านในนั้นไม่ได้มีอะไรมาก มีเปล มีโต๊ะทำงาน มีที่เก็บอาหาร และตรงกลางนั้นคือแกนทรงกลมสีฟ้า ซีซ่าห์เดินไปยังโต๊ะทำงานพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แล้วมองไปยังเบื้องหน้า ณ ใจกลางของหอคอย เขามองอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากบ่นออกมา

“ เห้อออ ซีซ่าห์เหนื่อย…อีก 90 กว่าชั้น เราวานรจึงจะออกไปโลกภายนอกได้ ดีแล้วที่ซีซ่าห์ห้ามไม่ให้เหล่าพี่น้องวานรไม่รู้ถึงสถานะของตัวเองในตอนนี้ สถานะของการที่ต้องเริ่มต้นจากจุดลึกสุดของสิ่งที่เรียกว่า หอคอยแห่งการทดสอบที่ 01 นี้… ”

แกร็ก

“ อ่า… ซีซ่าห์เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือยังไง ว่าวานรไม่ทำร้ายวานร แต่ดูเหมือนว่าวานรบางตนจะไม่เชื่อสินะ อืม…แต่ใจกล้าไม่เบาเลย ที่คิดจะมาปฏิวัติในวันประจำฤดูแบบนี้ ”

อย่างไรก็ตามในขณะที่ซีซ่าห์กำลังนั่งอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกดลงที่หลังหัวของเขา และเขาก็รู้ดีว่าสิ่งนั้นคือปืนแน่ๆ นั้นทำให้เขาพูดออกมาเช่นนั้น แต่ว่ามันก็เป็นการพูดที่ทรงพลังเพราะคำกล่าวพวกนั้นไร้ซึ่งความกลัวใดๆทั้งสิ้น

“ ปฏิวัติ? เหอะ ของแบบนั้นผมไม่สนหรอก ผมสนแค่นายรู้ได้ยังไงว่าตนอยู่ในหอคอยนี้ต่างหาก ”

ทว่าการตอบกลับนั้นเป็นอะไรที่น่าแปลกเพราะคนที่กำลังเอาปืนกดหัวซีซ่า เขาไม่ได้สนใจไอเรื่องปฏิวัติเลยแถมถามกลับพร้อมกับแบบนั้นด้วยเสียงที่ไพเราะแต่ไร้ความรู้สึกใดๆ นั้นทำให้ซีซ่าห์ยิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆพูดตอบอย่างช้าๆ

“ นาย ไม่ใช่วานรสินะ…คงเป็นคนที่มาจากข้างบนล่ะสิ ”

“ … … อย่ามาต่อให้มันยาวเลย แล้วรีบๆตอบผมมาว่า ทำไมนายถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในหอคอย ดีกว่านะ ”

คนที่ใช้ปืนจ่อหัวอยู่ก็ไม่ได้ตอบคำถามยืนยันในสิ่งที่ซีซ่าห์พูด แต่เขากลับถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น ทว่าซีซ่าห์ก็ก้มหน้าลงก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า

“ เช่นนั้น ซีซ่าห์ก็คงต้องขอโทษด้วย ซีซ่าห์บอกไม่ได้ ต่อให้ตายซีซ่าห์ก็จะไม่ให้ความลับนี้หลุดไปเด็ดขาด เพื่อพวกเราเหล่าวานร ”

“ เห้ออ… จง… ตอบ ทำไมนายถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในหอคอย … ”

กึก กึก

“ อ อ อ อึก… ร ร รับทราบ ”

คนที่ใช้ปืนจ่อหัวนั้นได้ถามอีกครั้งแบบช้าๆ และการถามครั้งนี้ก็ทำให้ร่างกายของซีซ่าห์เกร็งอย่างรุนแรง และปากของเขาก็เริ่มขยับ ตอบคำถามไปทั้ังๆที่ใจของซีซ่าห์พยายามจะฝืนเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

“ ซีซ่าห์รู้จากนิมิตในแกนแห่งหอคอย… ”

“ แค่นี้ไม่พอหรอกนะ ดังนั้น จง…เล่าเพิ่ม ”

“ ด ด ได้ …น น ในอดีต ตอนที่ซีซ่าห์ยังไม่รู้ว่าตนเองคืออะไรนั้น ซีซ่าห์ได้เตร็ดเตร่หลังจากออกไปรบกับวานรเผ่าอื่น แล้วระหว่างที่กำลังเตร็ดเตร่ไปเรื่อยบนต้นไม้ใหญ่ ซีซ่าห์ก็ถูกลอบโจมตีจากวานรคู่อริเข้า ทำให้ซีซ่าห์ตกลงไปในดินแดนต้องห้าม สถานที่ที่วานรทุกตัวกลัวจะเข้าไป พื้นที่รอบหอคอย… ”

ซีซ่าห์เริ่มเล่าให้ กับคนที่กำลังอยู่ด้านหลังของเขา โดยทุกคำพูดที่ออกมานั้นตัวของซีซ่าห์รู้ดีว่ากำลังพูดอะไร แต่ก็ไม่อาจจะควบคุมได้เลย เขาเอาแต่พูด พูด แล้วก็พูดเล่าต่อไป

“ …ยังไงก็ตามพอซีซ่าห์ตกลงมาในพื้นที่นั้นแล้ว ซีซ่าห์ก็รับรู้ได้ถึงความกลัว แต่ไม่ใช่ความกลัวในพื้นที่ศักดื์สิทธิ์นี้แต่เป็นความกลัวตายมากกว่า ทำให้ซีซ่าห์ที่ได้เห็นหอคอยหินอ่อนตั้งอยู่ในสุดเป็นทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ ซีซ่าห์จึงประคองร่างของ ซีซ่าห์เข้าไปยังข้างในหอคอย… ”

“ … ”

“ …ในหัวของซีซ่าห์นั้นหวังแค่ว่าในนี้จะมีสมุนไพรหรือที่ให้หลบซ่อนตัว ทว่าที่นี้นั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าและแกนทรงกลมสีฟ้าบางอย่างที่ตั้งอยู่ตรงใจกลาง ที่นั้นมันดึงดูดให้ซีซ่าห์เข้าไปหา และมันก็ยากที่จะต้านทาน ซีซ่าห์เดินเข้าไปพร้อมกับได้สัมผัสกับสิ่งนั้น… ”

ซีซ่าห์ ยกนิ้วชี้ไปยังแกนทรงกลมสีฟ้าที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะดึงมือข้างที่ใช้ชี้ไปกลับมาแบออกให้ได้เห็นถึงรอยไหม้บางอย่างบนมือนั้น รอยไหม้ที่เป็นรอยสลักอักษรประหลาดที่ยากจะเข้าใจได้ด้วยสามัญสำนึกของคนโลกนี้ มันเขียนไว้ว่า [ Warning Hot Surface. Contact may cause burn. Do not touch. ]

“ …ทันทีที่ซีซ่าห์ได้สัมผัส สิ่งนั้นก็ทำให้ตัวซีซ่าห์ได้เห็นนิมิตของ การมีอยู่ของหอคอยนี้ การมีตัวตนของซีซ่าห์คืออะไร เกิดขึ้นได้จากอะไร และการที่ซีซ่าห์ไม่สามารถพิชิตหอคอยนี้ได้ เพราะหอคอยไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้มาจากข้างนอกพิชิต ดังนั้นซีซ่าห์จึงได้แต่รับสิ่งที่สิ่งนั้นพอจะให้ได้ มานา มานาที่พัฒนาตัวตนของซีซ่าห์จากมอนสเตอร์ประจำชั้น กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาและหลุดพ้นจากวงจรนั้น ”

แกร็ก

“ แบบนี้เองสินะ ผลลัพธ์จากมานาที่มากเกินไป แสดงว่าพวกลิงนั้น นายก็พาเข้ามาจับแกนหอคอยด้วยล่ะสิ ”

คนที่เอาปืนจี้หัวของซีซ่าห์อยู่ค่อยๆ ยกปืนออกจากหัวของเขา พร้อมกับถามต่อด้วยเสียงที่เป็นปกติ ทว่าคำถามนั้นทำให้ซีซ่าห์เงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดออกมาในทันทีทันใดว่า

“ ไม่… ซีซ่าห์ไม่มีทางให้พี่น้องต้องมาพบความจริงที่โหดร้ายนี้! ซีซ่าห์แม้จะมีปัญญามากกว่าเดิมหลายเท่า ซีซ่าห์ก็รู้ได้ทันทีว่า หากปล่อยให้พี่น้องวานรตนอื่นได้มาสัมผัสเจ้าสิ่งนี้ ก็จะก่อให้เกิดปัญหา เพราะทุกตนจะรู้ว่าพวกเขาโดนขังอยู่ในชั้นล่างสุดแล้วต้องพยายามเริ่มทำอะไรไม่เข้าท่าแน่ๆ ไม่สิ…บางตนที่ใจไม่แข็งอาจจะกลายเป็นบ้าไปเลยก็ได้ ดังนั้นซีซ่าห์แบกรับมันไว้คนเดียวก็พอแล้ว! ”

“ อ่า แล้วนายทำให้ลิงพวกนั้นพูดกับมีความคิดแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ? ถ้าไม่ใช่การให้เข้ามสัมผัสกับแกนหอคอย นี่อย่าบอกนะว่า… ”

“ ซีซ่าห์ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง รวบร่วมเหล่าวานรเพื่อยุติสงครามระหว่างกลุ่มกัน พร้อมเริ่มพัฒนาให้ชั้นที่ 100 ที่วานรอยู่เป็นบ้านที่ดีกว่านี้ และซีซ่าห์ก็ค่อยๆสอนวานรเรื่องราวต่างๆทีละน้อย ทีละน้อย ทั้งภาษา ทั้งการใช้ชีวิตแบบที่ด้านนอกตามนิมิตเป็น แต่ซีซ่าห์ก็ยังคงให้ความสำคัญกับสิ่งหนึ่งมากที่สุด คือการป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ดังนั้นซีซ่าห์จึงห้ามวานรเข้ามาที่นี้เด็ดขาดโดยทำให้ที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ”

“ เห? ลำบากเลยนะนั้น ”

ตึก ตึก ตึก ตึก

ยังไงก็ตามเมื่อตอบไปแล้ว ซีซ่าห์ก็ไม่ได้จะหันกลับไปมองยังคนที่เอาปืนมาจี๋หัวเขา เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรต่อทั้งสิ้น ซึ่งก็ไม่นานเลยที่คนคนนั้นจะเดินมาข้างหน้าพร้อมกับเผยให้เห็นรูปลักษณ์ของเขา

“ เหนือความคาดหมายดีแหะ สมกับที่มีสเตตัส INT กับ WIS สูงกว่าวานรข้างนอกตั้ง 20 เท่า สูงพอๆกับเผ่ามังกรได้เลยนะเนี่ย แต่ว่านะยังไงก็เถอะ ผมก็ยังมีเรื่องที่สงสัย ทำไมสัญลักษณ์หน้ากากของผมถึงไปอยู่บนกำแพงพวกนั้นได้ล่ะ ไม่สิทำไมนายถึงต้องทามันบนหน้าของตนเองด้วยล่ะ? ”

รูปลักษณ์ของเด็กชายผู้สวมหน้ากากประหลาดที่มีภาพของหัวกระโหลกมนุษย์เคลื่อนไปมา เขาถามอย่างช้าๆ พร้อมก้มลงมามองซีซ่าห์ใกล้ๆ ทว่าแทนที่ซีซ่าห์จะตอบ เขากลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

“ เดี๋ยวๆ!?? จะก้มลงไปทำไมเนี่ย?!? ”

ใช่…ซีซ่าห์คุกเข่่าลงก้มหัวคารวะแนบไปกับพื้นในทันทีที่ได้เห็น ทั้งร่างของซีซ่าเองก็สั่นกลัวผิดกับตอนแรกเป็นอย่างมาก และชายคนนั้นที่ได้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปก็ถามด้วยเสียงที่ประหลาดใจเล็กน้อยซี่งตัวของซีซ่าห์ก็ให้คำตอบในทันที ด้วยเสียงที่สั่นเทาว่า

“ ท ท ท่านคือชายที่ซ ซ ซีซ่าห์เห็นในนิมิตจากแกนหอคอย ท ท ท่านคือผู้สร้างมัน ดังนั้นท ท ท่านก็คือพระเจ้าผู้ให้ชีวิตแก่พวกเรา วานร ท ท่าน เทพแห่งวิญญาณ!!! ”

“ เดี๋ยว? แล้วนายจะมั่นใจได้ยังไงว่าคนตรงหน้าคือพระเจ้าอะไรนั้นของนาย?? หน้ากากแบบนี้ใครใส่ลงมาก็เป็นพระเจ้าหมดน่ะสิ ”

ชายตรงหน้ายังคงถามต่อด้วยเสียงที่เย็นชา พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ซีซ่าห์จนห่างจากเขาไปเพียงช่วงมือเดียวเท่านั้น ซึ่งซีซ่าห์ก็ตอบกลับในทันที พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปยังหน้ากากที่ชายคนนี้ใส่อยู่

“ พระเจ้าที่ซีซ่าห์เห็นในนิมิต มีรูปร่างขนาดตรงกับท่านตรงหน้าทุกประการ และที่สำคัญหน้ากากที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีทางมีใครทำซ้ำได้ กระโหลกที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาและแรงกดดันจากสายตาที่มองทะลุออกมาจากในนั้น ท่าน ท่านคือเทพแห่งวิญญาณ!! ”

“ เห้ออ เอาเถอะ จะนับผมเป็นเทพหรืออะไรก็แล้วแต่นายเถอะ วันนี้ตอนแรกก็กะจะมาแค่สำรวจ แต่เป้าหมายก็อยู่ตรงหน้าแล้วรีบๆจัดการเลยก็แล้วกัน จะได้กลับไปพักสักที ”

“ ป ป เป้าหมายอย่างงั้นเหรอท่าน ท่านเทพแห่งวิญญาณ?!? ”

พอได้ยินแบบนั้นสีหน้าของซีซ่าห์ก็เต็มไปด้วยความสงสัยทันที เขาเอ่ยปากถามเทพที่อยู่ตรงหน้านั้น ซึ่งเทพก็ก้มหน้าชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบกลับอย่างเย็นชา แช้วเดินออกไปอย่างช้าๆ

“ อ่า ที่ผมลงมาที่นี้หลักๆก็คือ มาเพื่อจะพิสูจน์ว่าหอคอยนี้ลงมาถึงยังชั้นล่างสุดได้ ดังนั้นต่อจากนี้ผมจะเริ่มทำการพิชิตหอคอย แต่พิชิตไปแล้วที่นี้ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก ”

“ ช เช่นนั้นสินะท่าน ”

“ อืม แต่ว่า ไหนๆนายก็เป็นผู้นำพวกลิงนี้อยู่แล้ว ถ้างั้นผมฝากฝังงานนึงเอาไว้นะ ซีซ่าห์ งานนั้นคือการ ปกป้องไม่ให้ใครอื่นนอกจากเขาเข้ามาที่นี้ได้ ไม่สิ ไม่ให้เข้าผ่านลงมาถึงชั้นที่ 100 ได้ ”

“ ซีซ่าห์!! จะทำเต็มที่เพื่อประสงค์ของท่านเทพวิญญาณ!! ”

วู่มมมมม ฟุบ

ซีซ่าห์รับทราบพร้อมกับก้มหัวแนบไปกับพื้นอีกครั้ง ส่วนทางด้านชายคนนั้นก็เดินไปแตะกับแกนดังกล่าว ก่อให้เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะจางหายไป เช่นกันเบื้องหน้านั้น พระเจ้าของซีซ่าห์เองก็หายไปแล้วด้วย

… …

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ เอล่า 6 นาฬิกา!! ”

“ โอ๊สสุ!! ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

กึก

“ ก เกิดอะไรขึ้น?!? ทำไมจู่ๆ?!? ”

“ พี่คะ?!? พวกมอนสเตอร์มันหยุดนิ่งไปหมดเลยค่ะ!! ”

“ ทุกคนระวังตัวไว้ก่อนนะ!! ”

กึ้ง กึ้ง กึ้ง

ณ ชั้นที่ 78 กลุ่มนักพจญภัย อย่าง ปาร์ตี้ราชินีสีขาวที่กำลังเดินฝ่าป่าพร้อมกับยิงสู้กับมอนสเตอร์ในชั้นไปนั้น จู่ๆ พวกมอนสเตอร์ก็หยุดขยับ ไม่สิ เวลาในที่แห่งนี้ได้ถูกหยุดลง ก่อนที่เสียงบางอย่างจะดังขึ้นในหัว เสียงประกาศก้องอย่างไพเราะว่า

“ “ [ เรียนผู้เข้าร่วมทดสอบทุกท่าน บัดนี้ หอคอยแห่งการทดสอบที่ 1 ได้ถูกพิชิตลงแล้วโดย มาร์ ซันเบิร์น ท่านผู้นี้จะได้รับรางวัลอย่างงาม อย่างไรก็ตามในอีก 12 ชั่วโมงต่อจากนี้ หอคอยจะทำการเทเลพอร์ตผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคนพร้อมกับสมบัติที่พวกท่านได้มากลับขึ้นไปยังผืนดินเพื่อเริ่มต้นการพิชิตใหม่อีกครั้ง ] ” ”

ก๊าซ!!! ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ อึก เรียบร้อย!! ”

“ ทางนี้เองก็ด้วย!! ”

พอการประกาศสิ้นสุดลง มอนสเตอร์ก็เริ่มขยับต่อในทันที ทว่าปาร์ตี้นี้ก็สามารถจัดการพวกมันได้อย่างไม่ยากเพราะได้เล็งปืนรอยิงไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ยังไงก็ตามเมื่อมอนสเตอร์นั้นตายลง โซเฟีย กับ เอล่า ก็ต่างหันหน้ามามองพร้อมกับถามคำถามเดียวกันว่า ได้ยินเหมือนกันไหม

“ เมื่อกี้พี่ได้ยินใช่หรือเปล่าคะ!! ”

“ เมื่อกี้ได้ยินใช่หรือเปล่าเอล่า!! ”

“ เห!! นี่อย่าบอกนะว่าหัวหน้าก็ได้ยินน่ะ?!? ”

“ เดี๋ยวนะ นี้เธอก็ด้วยเหรอ?!? ”

“ แบบนี้ทุกคนก็คงได้ยินกันหมดแน่ๆล่ะ!! ”

ใช่ ทุกคนได้ยินเหมือนกันหมด เหล่าสมาชิกปาร์ตี้ราชินีสีขาวเองก็ด้วย พวกเธอต่างหันหน้ามามองกันแล้วเริ่มคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที คำประกาศนั้นมันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ มากจนถึงที่สุด โดยเฉพาะกับโซเฟียที่ชื่นชมมาร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอถึงกับกอดปืนเอาไว้

“ น่าเสียดายจังที่เราตาม ท่านมาร์ไปไม่ทัน… ไม่งั้นคงได้เห็นการต่อสู้ในตำนานแน่ๆเลย ”

“ นั้นสินะคะพี่ ท่านมาร์เขายังเด็กอยู่เลยถ้าเทียบกับพวกเรานี้ น่าอายจังเลยนะคะ ”

“ เห้ออ นั้นสินะเอล่า เอาเถอะ ยังไงครั้งนี้เราก็แอบมีโชคไม่ดีด้วยที่ท่านมาร์ลงดันเจี้ยนพร้อมกับเราแบบนี้ ”

พี่น้องคู่นี้ยืนคุยกันอย่างสบายใจ ในระหว่างที่เหล่าผู้ชายในทีมจะลงมือเก็บไอเทมเข้ากระเป๋าอยู่ ซึ่งก็ไม่นานที่ลูกทีมหญิงคนนึงจะวิ่งเข้ามาถามโซเฟีย พร้อมกับยืนตรงทำความเคารพอย่างเป็นระเบียบ และโซเฟียเองก็ตอบรับด้วยการยืนตรงตาม

“ วิ่งมาแบบนี้มีอะไรหล่ะแอช? ”

“ คืิอหัวหน้าคะ ถ้าเรายึดตามคำประกาศนั้นแสดงว่าอีกไม่นานเราก็จะถูกส่งกลับไปแล้วสินะคะ แบบนี้เราควรจะทำยังไงต่อดีคะ!! ”

“ นั้นสินะ งั้นลุยต่ออีกสัก 6 ชั่วโมงแล้วก็นั่งพักรอเวลากันดีกว่า เอ้า!!ไปกันได้แล้ว ”

โซเฟียนั้นออกคำสั่งในทันที และนั้นก็ทำให้สมาชิกหญิงทุกคน โหลดกระสุนเปลี่ยนแม็กและเช็คสภาพตัวเองกันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเริ่มเดินทางกันต่อไป โดยเอล่านั้นก็เดินตามมาพร้อมกับเงยหน้าคิดไปด้วยว่า

[ อืม… ที่ท่านมาร์เคลียร์ดันเจี้ยนนี้ได้แบบนั้น แสดงว่านอกจากอาวุธก็น่าจะมีเรื่องยุทธวิธีกับทักษะด้วยสินะ งืม งืม ขึ้นไปเมื่อไหร่คงต้องไปทำเรื่องขอเข้าเมืองหลวงแล้วไปศึกษาต่อในโรงเรียนของยูโทเปียแล้วล่ะ ]

… …

แซก แซก แซก

“ กลับมาแล้วครับผมม โอ้? เก็บของอยู่เหรออคโต ”

“ !! นายท่าน !! ”

ฝั่งของมาร์นั้นเขาเดินกลับไปยังฐานทัพ ซึ่งทันทีที่มาถึงเขาก็ได้เห็นว่าอคโตกำลังเก็บโดรนอยู่ ส่วนอคโตพอได้เห็นนายท่านของเธออยู่ตรงหน้า เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาเขาพร้อมกับก้มหัวย่อเข่าลงอย่างสง่างาม

“ ยินดีด้วยนะคะคุณมาร์ที่พิชิตหอคอยได้แบบนี้ ”

“ เห แสดงว่าระบบประกาศใช้ได้สินะ ”

“ ค่ะ ได้ยินชัดเจนเลยล่ะค่ะคุณมาร์ ”

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ท่่านมาร์!!! ยินดีด้วยนะครับ!!! ”

เช่นกันคอนเซนเทลก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาเพื่อจะแสดงความยินดีด้วย ทว่าสายตาของเขาก็แสดงออกได้ว่าไม่ได้มีแค่จะแสดงความยินดีอย่างเดียวแน่ๆ ซึ่งก็จริงเพราะเมื่อแสดงความยินดีเสร็จเจ้าตัวก็ถามต่อในทันทีด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นว่า

“ ท่านมาร์ครับ บอสประจำชั้น มอนสเตอร์ ที่เจอมา ก ก เก่งสุดๆไปเลยหรือเปล่าครับ??! ”

“ นั้นสินะ ก็จะว่ายังไงดีล่ะ บอสชั้นนี้เป็นวานรตัวใหญ่ที่ฉลาดแถมใช้ปืนด้วย นี้ยังไม่นับเรื่องว่ามีสติปัญญาระดับสูงอีก สูงขนาดบัญชาการให้พวกลิงโจมตีเป็นแบบแผนได้ แถมมีบัฟให้ร่างกายทนทานได้อีก ถ้าให้เทียบก็น่าจะมากกว่าระดับ SSS อีกมั้ง ดีนะว่าผมเร็วกว่าไม่งั้นคงเละไปแล้วแน่ๆเลย ”

“ โหหห!! แล้วของรางวัลที่ว่าตามประกาศนี้มันคืออะไรเหรอครับ!?!? ”

คอนเซนเทลนั้นยังคงถามต่อ อย่างตื่นเต้นสุดๆ ทำเอามาร์นั้นยิ้มออกมาเลย ซึ่งไอการยิ้มนี้ไม่ใช่อะไรหรอก ก็แค่เขาไม่ทันคิดว่าจะเล่นถามแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมเรื่องเล่า(ตอแหล)เอาไว้นอกจากเรื่องการสู้กับบอส ดังนั้นพอมาร์จะตอบมันก็เลยติดๆขัดๆนิดหน่อย

“ อ๋อ เอ่อ… นั้นก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ เอ่อ… แบบว่าไงดีล่ะ พอจัดการบอสได้แล้วก็สัมผัสกับแกนหอคอย มันก็เทเลพอร์ตผมไปห้อง ห้องหนึ่งน่ะ ห้องที่มีสมบัติเต็มไปหมดเลย แต่ให้เลือกได้แค่ 3 ชิ้นน่ะนะ ผมก็เลยเลือกเอา อืมม นี้มา วัตถุดิบจากผู้พิทักษ์ชั้นระดับสูงกว่า 80 ที่เราไม่ได้เจอกัน แต่ว่าพอขอมาน่ะ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นแบบไอเทมดร็อปเหมือนตอนผมจัดการมัน ดันกลายเป็นว่าได้มาเป็นตัวเลยแหล่ะ ฮะ ฮะ ฮ่า ”

“ ว้าวววว!! ขอดูได้หรือเปล่าครับ! ท่านมาร์!! ”

ยิ่งพูดเหมือนยิ่งราดน้ำมันลงบนกองไฟ คอนเซนเทลดูจะตื่นเต้นมากๆ เขาถึงกับหยิบเอาสมุดจดขึ้นมาบันทึกคำพูดของมาร์ไปด้วยในระหว่างที่ฟัง แถมเตรียมตัวจะร่างภาพของชัยชนะที่มาร์ได้มา ทว่าหญิงสาวที่ยืนดูอยู่ก็ได้เดินเข้ามาหามาร์จากข้างๆ

“ คุณมาร์คะ คือว่ายังไงตอนนี้ดูแล้วคุณน่าจะเหนื่อยนะคะ ยังไงลงไปนอนพักก่อนดีกว่านะคะ ไว้ขึ้นไปค่อยเอารางวัลให้พวกเราได้ดูก็ได้ค่ะ ”

“ อ อ อ่า นั้นสินะ ผมเองก็ เอ่อ…เหนื่อยจริงๆนั้นแหล่ะ ถ้างั้นขอตัวเลยแล้วกันเนอะ ”

อคโตแทรกเข้ามาได้ถูกจังหวะมาก แถมยังช่วยให้มาร์มีช่องว่างจะหนีไปเตรียมการได้ด้วย และมาร์เองก็สัมผัสได้ถึงจุดประสงค์นี้ เขาเลยเล่นตามอคโตได้ปูทางเอาไว้เป็นอย่างดี ทว่าคอนเซนเทลที่เห็นก็ยิ้มก่อนพูดต่ออย่างร่าเริงว่า

“ เหหห… ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมน้ำกับ… ”

“ คอนเซนเทล… ”

ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบ อคโตก็ได้พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับหันไปมองด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย ประกอบกับการที่ใบหน้าครึ่งบนโดนบังไว้ด้วยอุปกรณ์ที่เธอสวมไว้ ทำให้ไม่สามารถอ่านสีหน้าได้ แต่ที่แน่ๆมาร์น่ะรู้ได้เลยว่า อคโตเริ่มจะเดือดขึ้นมานิดๆแล้ว

“ ถ้าดิชั้นนับไม่ผิด คุณยังขาดการฝึกหวดดาบคู่สลับสองข้างและพร้อมกันอีกราวๆ 1542 ครั้งสินะคะ ”

“ ค ค คับผม… ”

“ ถ้างั้นก็ไปจัดการให้เรียบร้อยนะคะ ถ้ายังไม่เสร็จก็ห้ามพักเด็ดขาด ”

อคโตกล่าวถึงข้อเท็จจริงของการฝึกของคอนเซนเทล ทำเอาคอนเซนเทลนั้นยิ้มแห้งก่อนจะหันไปหามาร์เพื่อขอความช่วยเหลือผ่านการส่งสายตาอ้อนวอน ทว่ามาร์นั้นก็ยิ้มตอบกลับก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเดินเข้าไปในฐานทัพที่อคโตทำเอาไว้

“ อ้าว!? ยังฝึกไม่เสร็จเหรอ งั้นไปฝึกก่อนดีกว่านะคอนเซนเทล โชคดีล่ะ!! บัย!! ”

……….

ก๊า ก๊า ก๊า

“ แฮก แฮก แฮก อ่าาา ช ช ช เช้าสักที น น ในที่สุด ”

พระอาทิตย์ปลอมๆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าภายในชั้นที่ 100 ของหอคอยนี้ และเช่นกัน ใครบางคนเองก็กำลังลอยอยู่ด้วย หมายถึงหน้าลอย นอนตายอยู่ คนคนนั้นก็คือคอนเซนเทล อัศวินหนุ่มที่ร่างกายชโลมไปด้วยเหงื่อจากการที่ตลอดทั้งคืนนั้นเขาถูกอาจารย์สั่งให้ซ้อม ซ้อม ซ็อม แล้วก็ซ้อมโดยไม่รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำว่าทำไม

“ คอนเซนเทล รบกวนช่วยเบาๆเสียงหายใจลงหน่อยได้หรือเปล่าคะ? ”

“ น่าๆ คอนเซนเทลเขาฝึกมาทั้งคืนตามคำสั่งเธอเลยน้าอคโต ให้เจ้าตัวได้พักแบบบนี้เถอะ เห็นไหมนั้นน่ะไม่มีแรงลุกไปพักแบบอื่นแล้วนะ ”

กระนั้นก็ตามนอกจากเขาแล้วก็ยังมีหญิงชายคู่หนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่ที่โต๊ะ ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางห้อง โต๊ะหินขนาดใหญ่นั้น ซึ่งทั้งสองก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมาร์และอคโต โดยดูจากบรรยากาศในตอนนี้นั้นก็คงบอกได้เพียงว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ดูไม่ตรึงเครียดใดๆเลย ไม่สิดูสบายๆเสียมากกว่า

“ วันนี้รอดไปนะ… ”

ซึ่งอคโตพอได้ยินคำพูดของนายท่านของเธอ ที่ดูจะไม่ถือสาอะไรนั้นก็ทำให้เธอไม่กล้าที่จะออกคำสั่งหรือลงโทษคอนเซนเทลต่อ นั้นทำให้เธอพูดกระซิบออกมาด้วยเสียงที่เบาแสนเบา ทว่าคำพูดนี้มาร์นั้นก็ได้ยินแต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรนอกจากมองดูเฉยๆ

อ่า… ส่วนสาเหตุที่ทำให้คอนเซนเทลต้องมาเจอแบบนี้ก็เป็นเพราะ เมื่อวานนั้นตอนมาร์มาถึงยังที่นี้ โดยอาศัยการตามรอยมานั้น ทำให้อคโตที่ตอนแรกวางแผนไว้ระหว่างสร้างฐานว่า หากนายท่านจะมาแล้วต้องการตำแหน่งที่ตั้ง เธอก็จะเดินออกไปรับด้วยตัวเอง พร้อมกับชวนเขาคุยระหว่างกลับมาแบบสองต่อสอง ทว่าการที่คอนเซนเทลอำพรางได้ไม่ดีพอ ก็ส่งผลให้ความคิดนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้

“ ส่วนแผนสำหรับวันนี้ ไม่สิ สำหรับหลายๆวันนี้ ดูจากสภาพแล้วผมต้องไปต่อคนเดียวล่ะนะ ”

“ พอจะอธิบายให้ดิชั้นเข้าใจถึงการไปคนเดียวแบบนั้นได้หรือเปล่าคะ? คุณมาร์ ”

มาร์นั้นระหว่างที่มองดูอคโตอยู่ ก็ได้พูดต่อขึ้นมา ซึ่งแน่นอนล่ะว่าไอคำพูดนั้นถ้าเป็นเมดอย่างดีย์โอะ หรือน้องสาวอย่างยูเรย์คงตะโกนถามแล้วแน่ๆที่ถูกสั่งให้ต้องมาแยกกันแบบนี้ ทว่าอคโตนั้นไม่ใช่ เธอน่ะสุขุมอยู่พอตัวผนวกกับปกติที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เวลามีคนนอกอยู่ เธอจึงถามไปด้วยท่าทีที่เรียบร้อยเป็นอย่างมาก

“ อื้ม ก็ง่ายๆเลยละกัน คือศัตรูของพวกเราตอนนี้คือฝูงลิงราวๆ 5 พันกว่าๆ ถ้าให้บุกเข้าไปนี้เหมือนไปฆ่าตัวตายล่ะนะ ดังนั้นก็เหลือแค่แทรกซึมแต่จะเข้าไปกัน 3 คนก็คงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะนะ ด้วยความที่ทั้งอคโตเอง ทั้งคอนเซนเทลเองไม่ถนัดด้านนี้ใช่หรือเปล่าล่ะ จะให้ไปก็ได้นะแต่ผลก็คือ…นะ ”

“ เข้าใจแล้วค่ะ ตามที่คุณมาร์พูด ดิชั้นเห็นแล้วล่ะค่ะว่าถ้าให้ดิชั้นและคอนเซนเทลตามไปคงไม่พ้นตายแน่นอนค่ะ ไม่สิ อย่างมากดิชั้นก็คงบาดเจ็บสาหัส ส่วนคอนเซนเทลก็คงเป็นคนเดียวที่ตาย… ”

“ ฮี๊!! ”

อคโตหันไปมองอัศวิสหนุ่มที่นอนหมดสภาพอยู่ สายตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันมากมายจนทะลุออกจากอุปกรณ์ที่สวมไว้ ทำให้คอนเซนเทลถึงกับสะดุ้งพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมา ยังไงก็ตามมาร์ที่เห็นก็ยังคงเส้นคงวาไม่เข้าไปยุ่งเช่นเคย กลับกันเขาเริ่มหยิบอุปกรณ์ที่ใช้ตอนสอดแนมพวกลิงออกมาสวมใส่อีกครั้งจากในกระเป๋าที่แท้จริงแล้วข้างในมีเงาสีดำคอยส่งของออกมาต่างหาก

“ อ๋อ! ระหว่างที่ผมไม่อยู่ รบกวนฝึกคอนเซนเทลแล้วก็เอาโดรนบินขึ้นสำรวจชั้นนี้ทั้งหมดแบบระเอียดด้วยล่ะ ”

“ ค่ะ รับทราบค่ะคุณมาร์ ”

“ ถ้างั้นผมไปก่อนนะ ฝากด้วยล่ะ! ”

มาร์ในระหว่างที่สวมชุดอยู่ ก็ได้พูดกับอคโตถึงงานอีกอย่าง ซึ่งอคโตพอได้รับทราบเธอก็ก้มหัวรับในทันที อย่างไรก็ตามคนที่นอนอยู่ก็พยายามเงยหน้ามามองพร้อมกับพูดแต่ด้วยความที่ไม่มีแรงแล้ว สภาพก็เลยเป็นการขยับปากพะงาบๆ อยู่ตรงนั้น ทั้งนี้เมื่อมาร์สวมชุดเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินออกไปในทันทีพร้อมกับกล่าวลาให้กับอคโตด้วยรอยยิ้ม

แกร็ก ปึง

“ ไปดีมาดีนะคะคุณมาร์ …แล้วก็ เอาล่ะชั้นให้เวลานายพักอีก 30 นาทีนะคุณคอนเซนเทล ”

“ ค ค…ครับ ”

และทันทีที่มาร์ปิดประตูลง อคโตก็ได้แต่กล่าวกับเขาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ใช่ แค่ตอนต้นเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นอคโตก็หันไปมองบนโต๊ะก่อนจะเริ่มใช้สกิลของเธอในการสร้างโดรนไปพร้อมกับการพูดถึงคอนเซนเทลด้วยเสียงที่เย็นชาอย่างสุดๆ ดีว่าตัวอัศวินหนุ่มในตอนนี้เริ่มจะพูดออกมาได้บ้าง แต่ก็ได้แค่นั้นเพราะทันทีที่พูดจบเขาก็ไม่รอเลยที่จะหลับเพื่อเตรียมพร้อมฝึกต่อ

… …

แซก แซก แซก

[ หญ้าเยอะดีแหะ แบบนี้จะได้เคลื่อนตัวเข้าไปง่ายๆหน่อย ]

เวลานั้นผ่านมาไวมากนับตั้งแต่ที่มาร์เดินออกมาจากฐาน ตอนนี้เขาได้มาอยู่ในพงหญ้าสูงพร้อมกับหมอบคลานต่อไปอย่างช้าๆ ฝ่าแนวลาดตระเวนของพวกลิงที่ไม่เดินก็อยู่บนต้นไม้ โดยการนี้เป็นการเข้าไปอย่างแนบเนียนขนาดที่พวกลิงนั้นเองก็ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนผ่านไป

ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงตัวของเขานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ชุดพรางหรือการทำแบบนี้เลยก็ได้เพียงแค่ใช้สกิลปกปิดตัวตน ก็ทำให้ไม่มีใครรับรู้ถึงการมาของเขาแล้ว แต่มาร์น่ะไม่เหมือนคนปกติ เขาไม่ชอบทำอะไรให้มันง่าย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการทหาร ทั้งยิง ทั้งฆ่า หรืออำพราง เขามักจะใช้ทักษะเสียมากกว่า เพราะมันทำให้เจ้าตัวรู้สึกตื่นเต้นและไม่เบื่อสักที

[ อีก 100 เมตรก็จะถึงกำแพงเมืองแล้วสินะ ค่อยๆ ทีละนิด ทีละนิด ]

มาร์ยังคงคลานต่อไปเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิดด้วยการใช้นิ้วมือทั้ง 10 ฝังลงไปในดินก่อนจะดึงตัวไปข้างหน้า วิธีนี้ทำให้การเคลื่อนที่สามารถควบคุมได้ง่าย ทั้งความเร็วช้าขึ้นอยู่กับดึง ทั้งยังทำให้ตัวไม่ยกสูงจากพื้นมากอีกด้วย แต่ก็นะการคลานแบบนี้ก็มีข้อเสียอยู่ เพราะว่าต้องดึงร่างของตนเองขึ้นไปดังนั้นกล้ามเนื้อส่วนแขนทั้งหมดต้องรับภาระ

กึก กึก กึก กึก เจี๊ยกๆๆ อู้ๆๆๆ

[ แรงสั่นสะเทือนนี้ อะไรกันอีกล่ะ?!? ]

ทว่าระหว่างที่มาร์กำลังใกล้จะถึงกับตัวกำแพงเมืองนี้นั้น จู่ๆแผ่นดินก็สั่นไหวพร้อมกับเสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่ว มาร์นั้นไม่อาจรู้ได้ผ่านสายตาเพราะเขากำลังก้มหน้าอยู่ แต่กับสัมผัสที่เรียกว่าเซ้นท์ในการรับรู้มานานั้นก็ทำให้เขารู้ตัวได้อย่างรวดเร็วว่าอะไรกำลังมา

[ ชิบ…เอาล่ะ นิ่งไว้ นิ่ง…อึก เอาสิ ]

สิ่งที่เขาสัมผัสได้มันคือฝูงลิงจำนวนนับร้อยกำลังเดินแห่ออกมาจากกำแพง โดยพวกมันไม่ได้เดินสะเปะสะปะไร้ทิศทาง แต่เป็นการเดินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นแถวเป็นขบวนพร้อมเพรียงกัน กระนั้นก็ตามพวกมันเองก็เดินมุ่งตรงมาทางมาร์อีก แบบนี้จะให้เขาลุกแล้ววิ่งเลยก็คงจะยากเกินไป แถมจะใช้สกิลละก็มันจะง่ายเกิน

[ ใกล้เข้ามาแบบนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนคลานผ่านกองทหารเกณฑ์ลาดตระเวนพวกนั้น!!! ]

นั้นแหล่ะครับ ด้วยความที่มาร์เป็นมาร์ เขาไม่ได้ใช้สกิลหรืออะไร แต่ดันเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เจ้าตัวคลานต่อ คลานไปข้างหน้ามุ่งเข้าใส่กองทหารที่กำลังเดินมา โดยสิ่งที่กั้นเขาไว้กับพวกลิงก็คือพงหญ้าที่สูงกับชุดพรางของเขาเท่านั้น ซึ่งถ้าเขาพลาดโดนจับได้ก็ไม่พ้นทำให้พวกมันแตกตื่นจนเกิดเป็นความวุ่นวายแน่ๆ

แซก แซก แซก

มาร์ค่อยๆเคลื่อนเข้าไป เช่นกันพวกลิงนั้นก็เริ่มจะเดินผ่านเข้าไปทีละตัว ทีละตัว โดยเท้าของพวกมันนั้นก็ก้าวลงมาอยู่ห่างจากร่างของมาร์ไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งถ้าเป็นเขาในชาติก่อนคงโดนเหยียบไปแล้วแน่ๆ ยังไงก็ตามตอนนี้มาร์ก็ไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นได้เลย เพราะถ้าทำชุดที่พรางไว้ก็จะขยับมากเกินไปจนสังเกตุได้

ดังนั้นตอนนี้มาร์จึงได้แต่ก้มหน้าแล้วใช้สัมผัสในมานานำทางของตนไป อย่างไรเสียมานาที่เขารับรู้ได้ก็ไม่ใช่จะเป็นการช่วยเขาไปซะทั้งหมด เพราะว่ามานาจากพวกลิงนั้นมันน้อยมาก สิ่งที่รับรู้ได้จึงเป็นเพียงดวงไฟสีฟ้าเท่านั้น ปลายมือปลายเท้าของพวกมันมาร์ไม่อาจรับรู้ได้ด้วยมานา และจำเป็นต้องฟังเสียงเอาแทน

ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ

เสียงเท้าของพวกมันนั้นฝ่าลงมาในผงหญ้าอยู่อย่างเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย แถมเสียงนี้ก็ไม่แน่นอนเลย บางครั้งก็ใกล้ บางหนก็ไกล ประกอบกับสภาพหญ้าและสเตตัสของเขาที่ทำให้กับรับรู้นั้นกว้างก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะระบุได้อย่างชัดเจนว่าเท้ากำลังลงมาจากทางไหน

แซก แซก ฟุบ กึก

[ กรอด!!!! ]

ทว่าในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดีนั้น มือขวาของมาร์ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดจากอะไรบางอย่าง ซึ่งเจ้าตัวก็ใช่ว่าจะเงยหน้ามองดูหรือร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เขาอดทนเอาไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้เลยว่าไอสิ่งที่มาเหยียบเขาเมื่อกี้มันได้สร้างบาดแผลไว้ลึกพอตัวจากความเย็นที่แผ่ขยายจากมือของเขา ความเย็นของเลือด

[ อึก…อื้ออ…. ]

แต่ความเย็นจากเลือดนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเพราะร่างกายของมาร์นั้นไม่ธรรมดา มันเร่งฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็วจนเกิดควันเล็กๆออกมา ก่อนที่แผลที่มือขวาจะหายไปในที่สุด ยังไงก็ตามแม้แผลจะหายไปแล้วมาร์ก็ใช่ว่าจะเคลื่อนที่ต่อเลยเขาใช้มือนั้นควบคุมมานาของตนเพื่อขยับดินให้มาปิดคลุมมือขวาของเขาเอาไว้

แซก แซก แซก

… …

“ ฮ่าห์ โดนอะไรไปวะเนี่ย…ถุงมือขาดได้ขนาดนี้ ”

หลังจากเวลาแห่งความกดดันได้ผ่านไป มาร์ก็มาถึงใกล้กับกำแพงของตัวเมือง ซึ่งในจุดที่เขาอยู่นี้นั้นมันห่างออกมาเพียงไม่กี่่เมตรและก็ยังเป็นจุดเดียวที่มีมุมอับจากต้นไม้ใกล้ๆ แน่นอนว่าพอมาถึงเขาก็รีบดูมือของตัวเองแล้วก็พบว่าบนหลังถุงมือที่ใส่มีรอยของบางอย่างกดทับลงไป จนถุงมือมีสภาพเยินสุดๆ

“ ดูท่าจะไม่ได้ใช้ของธรรมดากันสินะ ก็แหงล่ะของที่ดรอปในชั้นช่วงนี้มันมีแต่ของดีๆนี่ เห้อ…แต่พอมาโดนแบบนี้ รู้งี้ใส่ถุงมือดีๆไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องเจ็บกับเกือบสะดุ้งแบบนั้น ”

มาร์บ่นออกมาก่อนจะถอดถุงมือที่พังเก็บใส่ในเงาสีดำ แล้วหยิบเอาถุงมือคู่ใหม่ออกมาใส่ ซึ่งหน้าตาของมันก็ไม่ได้ต่างจากเดิมไปซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองใกล้ๆก็จะเห็นเลยว่าบนนั้นมีแผ่นโลหะขนาดเล็กรูป 3 เหลี่ยมจำนวนมากเรียงรายทักทอกันอยู่

“ ทีนี้ก็เจ้านี้สินะ กำแพงไม้ที่ไม่เหมือนกำแพงไม้ ”

เมื่อสวมถุงมือเสร็จแล้ว เขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับเก็บชุดคลุมแล้วเดินตรงไปยังกำแพงที่อยู่ใกล้ ซึ่งมาร์ก็ตรวจดูรอบๆแล้วว่าไม่มีอะไรแน่นอนจากการสัมผัสมานาของเขา และเมื่อมาถึงยังตัวกำแพงมาร์ก็สำรวจในทันทีก่อนจะวางมือลงไปบนนั้น

“ เกิดจากการเติบโตตามธรรมชาติสินะ แต่ว่าเลี้ยงให้มาเรียงตัวกันเป็นกำแพงยาวแบบนี้ มันธรรมชาติจริงๆงั้นเหรอ?? ”

อย่างที่มาร์พูด สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือกำแพงที่ไม่ได้เกิดจากการเอาไม้หรือหินมาตัดวางเรียงประกอบกัน แต่เป็นต้นไม้ทั้งต้นที่โตทอดยาวเป็นแนวนอนซ้อนทับกันหลายชั้นจนสูงเกือบๆ 5 เมตร โดยไม่มีร่องรอยของการดัดหรือนำมาวางใดๆทั้งสิ้น แถมในต้นไม้เองก็มีกระแสมานาของสิ่งมีชีวิตไหลเวียนอยู่อีก

“ เห็นด้วยตา ไม่เท่ามาดูกับสัมผัสเองใกล้ๆสินะ อืม แต่ว่าถ้ากำแพงยังเป็นแบบนี้ตัวบ้านเมืองจะ… อ่า เข้าไปดูเลยดีกว่างั้น ”

ฟุบ ฟุบ

พูดจบเจ้าตัวก็เงยหน้ามองไปยังริมกำแพงด้านบน ก่อนจะปีนป่ายขึ้นไปด้วยการใช้เท้ายันตนเองไปกับไม้พวกนั้น ซึ่งพอขึ้นมาบนกำแพงได้เจ้าตัวก็ใช่จะยืนเฉย เขารีบกระโดดลงไปยังฝั่งด้านในก่อนจะมุ่งตรงไปหลบในมุมมืดของที่นี้ทันที ทว่ามันก็ยากพอตัวเนื่องจากเมืองนี้นั้นคือต้นไม้เรียงๆกันที่ที่จะไปหลบจึงไม่ใช่ตรอดซอกซอย แต่เป็นพุ่มไม้กับใต้ตัวบ้านแทน นั้นทำให้มาร์ต้องมาหลบใต้บ้านไม้หลังหนึ่งที่อยู่เกือบบนสุดของที่นี้

“ โอ้…ถึงจะดูเป็นเมืองที่รกๆ แต่ก็สมกับเป็นที่อยู่ของลิงล่ะนะ ทั้งตึก ทั้งอาคาร เรียงรายแบบไม่ต้องการถนนแบบนี้ จะไปไหนมาไหนก็ปีนไปเอา แถมบ้านบางหลังทางก็ไม่ได้อยู่ด้านหน้าแต่เป็นด้านบนซะงั้น ”

และสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากมีที่ซ่อนนั้นก็คือการกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วก็พบกับสภาพแวดล้อมของที่นี้เป็นอย่างดี ทว่าการมองนี้ก็ทำให้เขาเอะใจอะไรได้อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เขาใช้กล้องส่องมองดูทีนี้

[ แปลก พวกลิง…ไม่อยู่ในตัวอาคารเลย แต่กลับไปออกกันตรงนั้นเฉยเลยแหะ…อืม อืม ]

โดยสถานที่ที่มาร์ว่า ก็คือบริเวณทางยาวที่ลาดอยู่ตรงใจกลางเมือง โดยมันเชื่อมจากกำแพงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่อยู่ด้านในสุดของเมือง เมืองนี้ สถานที่ที่ว่าแตกต่างจากสิ่งปลูกสร้างโดยรอบมันไม่ได้ทำจากต้นไม้ แต่มันกลับทำด้วยหินอ่อนสีขาวและที่สำคัญมันถูกปกปิดไว้ด้วยต้นไม้ที่แทรกมาบังจากทั้งซ้ายและขวา

[ ที่แท้ก็โดนบังอยู่นี่เอง… ]

ซึ่งสิ่งนี้นั้นคือสิ่งที่มาร์มองหาด้วยกล้องไม่เห็นในตอนแรกเพราะถูกต้นไม้บังเอาไว้ มันคือหอคอยและเขาก็รู้ดี เพราะตัวเขานี้แหล่ะเป็นผู้สร้างมัน สิ่งที่สำคัญสำหรับหอคอยนี้ “แกนจำลอง” สถานที่เก็บพลังหล่อเลี้ยงหอคอยนี้เอาไว้ และยังเป็นตัวที่มีไว้เป็นเครื่องระบุการพิชิตหอคอย

“ เอาล่ะ เจอเป้าหมายแบบนี้ก็น่าอุ่นใจขึ้นหน่อย แต่สถานการณ์ตอนนี้…จะไปเลยดีไหมเนี่ย? ลิงหลายพันเลยนะนั้น อืม… เอาเถอะ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปละนะ แถมตอนนี้ก็เคลื่อนที่ผ่านในเมืองสะดวกด้วย ”

มาร์เริ่มเคลื่อนย้ายตำแหน่งของตนเองอีกครั้ง โดยคราวนี้ด้วยความที่รับรู้ได้แล้วว่าไม่มีลิงอยู่รอบๆการเดินของเขาจึงเป็นการไปให้ไวที่สุด นั้นทำให้มาร์เดินไปตามทางบนต้นไม้ที่เชื่อมโยงตรงเข้าไปยังหอคอยนั้น ทว่ายิ่งพอเดินเข้าใกล้มันเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเห็นอะไรหลายๆที่มันแปลกๆ รอยวาดสีขาวตลอดทางเดิน รอยวาดถึงสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง ที่เขาคุ้นเคย

“ เอ่อ…เดี๋ยวนะ เดี๋ยว Hold da F up ทำไมถึงมีรูปกระโหลกมนุษย์แบบเดียวกับหน้ากากของเราอยู่เต็มไปหมดเลยล่ะ?!? ”

………

“ อ่า…จะเอายังไงดีนะทีนี้ ”

หน้าทางออกของบันไดประจำชั้น 100 ชั้นสุดท้ายของหอคอยนี้ ปาร์ตี้ Pathfinder กำลังยืนมองดูภาพเมืองอันห่างออกไปหลายกิโลเมตรตรงหน้า แน่นอนแต่ละคนก็มีท่าทีต่างกันออกไป อคโตยืนดูอย่างเงียบสงบข้างๆนายท่านของเธอที่ตอนนี้กำลังใช้มือกุมคางของตนราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนคอนเซนเทลน่ะเหรอ หมอนั้นน่ะนั่งลงหมดแรงไปกับพื้นจากการที่ได้เห็นเมืองนั้น

“ พ พ พวกมอนสเตอร์นั้นมันอยู่เต็มไปหมดแบบนั้น อึก ”

“ เอาน่า อย่าพึ่งรีบตกใจไปเลยคอนเซนเทล ยังไงวันนี้ผมก็คงไม่บุกเข้าไปหรอกเพราะว่าอีกฝั่งเล่นเป็นเมืองแบบนี้นี่เนอะ งั้นก็ อคโตฝากไปหาที่ตั้ง FOB ให้ที อ๋อ แล้วก็พาคอนเซนเทลไปด้วยนะ เดี๋ยวผมจะออกไปตรวจสอบอะไรนิดหน่อยน่ะนะ ”

“ รับทราบค่ะ แต่ว่า FOB ที่จะให้สร้างนี้คุณมาร์ปรารถนาให้เป็นแบบใดอย่างงั้นเหรอคะ ”

อคโตนั้นเข้าใจในสิ่งที่มาร์ได้สั่ง มันคือการบอกให้เธอไปสร้างฐานปฏิบัติการแนวหน้า หรือก็คือ FOB [forward operating base ] แต่ว่าเธอก็ต้องถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะว่าในสถานการณ์นี้เธอไม่มั่นใจว่านายท่านของเธอจะให้สร้างแบบไหน แบบปกติที่เธอคอยสร้างให้ หรือแบบอื่น

“ อ่า เอาแบบพรางล่ะกัน ก็นะ กำลังพลมีแค่ 3 จะไปเปิดฐานบนดินตามปกติก็คงจะไม่ใช่เรื่องล่ะเนอะ ”

“ ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ จะดำเนินการให้นะคะ … ”

เมื่อยืนยันได้แล้วอคโตก็โค้งคำนับลงก่อนจะเริ่มเดินตรงไปทางคอนเซนเทล ที่ตอนนี้กำลังตกอยู่ในความสับสน เพราะว่าสิ่งที่มาร์กับอคโตพูดนั้นคืออะไร แต่ก็นะ เขาไม่มีโอกาสจะได้ถามเลยด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่อคโตเดินมาถึง เธอก็ลากคอเขาออกไปจากพื้นที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

“ ทีนี้ก็เหลือแค่เราแล้วแหะ ฮึบบ ”

และเพียงไม่นานหลังจากที่อคโตกับคอนเซนเทลได้เดินออกไปแล้ว มาร์ก็ค่อยเดินไปซ่อนข้างต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างออกไปราวๆ ร้อยเมตรจากจุดที่เดินลงมา โดยเมื่อมาถึงเจ้าตัวก็เริ่มหมอบลงไปกับพื้นก่อนจะคลานต่อไปอย่างช้าๆอีกเกือบๆ 200 ร้อยเมตรจากจุดนั้นผ่านหญ้าและพุ่มไม้อีกมากมาย

แซก แซก แซก

[ อันดัยแรกก็ [พื้นที่มิติ] แล้วก็ค่อยๆคลาน คลานไปเรื่อยๆ โฮ่ มืดจังแหะ…ก็นะยังไม่เปิดใช้งานนี่หว่า ]

ซึ่งในระหว่างที่มาร์กำลังคลานไปนั้น เงาสีดำก็ค่อยๆห่อหุ้มร่างของเขาอย่างช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนให้ชุดคลุมกลายมาเป็นชุดพรางตาข่ายที่กลมกลืนไปกับพื้นที่รอบๆ อีกทั้งที่ใบหน้าเองก็มีหน้ากากที่ครึ่งบนที่บริเวณดวงตานั้นคือแผ่นเกราะบางที่ปิดบังการมองเห็นของมาร์เอาไว้ ซึ่งตอนแรกสิ่งที่มาร์เห็นก็มืดสนิท

กริ๊ก

[ เค…ระบบทำงานปกติดี ]

ทว่าพอเปิดการทำงานของมันก็ทำให้เขาเห็นภาพตรงหน้าตามปกติดั่งที่ตาของคนทั่วไปจะเห็น เพิ่มเติมคือด้านบนนั้นมีตัวบอกทิศเหนือทิศใต้ ทั้งยังมีบอกว่าชีพจรกับพื้นที่รอบๆนั้นเป็นอย่างไร และนอกจากนี้ในมือของมาร์ในตอนนี้เองก็มีกล่องสีดำบางอย่างอยู่อีกด้วย

แซก แซก

“ เอาล่ะทีนี้ก็ประกอบไอเจ้านี้แล้วก็หยิบสายจากในนั้นมาต่อกับหน้ากากอันนี้ แล้วก็…กดอะไรหว่า ”

มาร์นั้นพอมาถึงยังจุดหมาย คือพื้นที่ที่อุดมไปด้วยพุ่มไม้หนามากมาย มาร์ก็จัดการเอากล่องดำนั้นมาตั้งไว้ตรงหน้าผ่านการประกอบมันเข้ากับขาตั้งกล้องลายพราง ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆเคลื่อนตัวจากการคลานมาเป็นนั่งขัดสมาธิ แล้วหยิบเอาสายไฟบางอย่างออกมาต่อเข้ากับแผ่นเกราะตรงตานั้นออกมา

แกรก

“ โอ้…ไม่ต้องเปิดระบบเลยแหะ ง่ายดีแท้ แต่ว่า อุ๊…เปลี่ยนภาพดื้อๆแบบนี้…จะอ้วก ”

ซึ่งทันทีที่มาร์ทำแบบนั้น ภาพที่มาร์เห็นก็เปลี่ยนไป จากตอนแรกที่เป็นมุมมองปกติ ก็กลายมาภาพขยายที่เล็งเข้าไปยังจุดที่เมืองต้นไม้นั้นตั้งอยู่ อย่างไรก็ดีด้วยความที่ภาพมันเปลี่ยนเลยในแบบที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็ทำให้มาร์เวียนหัวอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ก็เวียนหัวได้ไม่นานนักเพราะร่างกายของเขาเริ่มจะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

“ อึก ฮ่าห์…ทีนี้ก็แตะที่ด้านขวาของแว่นเพื่อเปลี่ยนโหมด อืม… ”

ชิบ

“ โฮ่!! ปวดตาชิบหายย!! ”

มาร์ก็ใช้มือของตนขึ้นมาแตะกับบริเวณข้างขวาของเกราะที่ตานั้น และภาพที่เห็นก็เริ่มจะเปลี่ยนอีกครั้ง จากภาพสีสดใส 4K ก็กลายมาเป็นภาพขาวดำที่จุดสีดำนับร้อย นับพันกำลังขยับไปมา ใช้มันคือการมองแบบ Thermal แต่ว่าด้วยจำนวนกับกำลังขยายนั้นทำให้ภาพที่เห็นสว่างจนแสบตาสุดๆ

“ เอาก็เอาวะ!! ทนหน่อยนะเว้ยมาร์!! รีบๆบันทึกแล้วรีบกลับ!! ปิ๊บ อ๊ากกกก!! ตากูวววว!! ”

… …

แซก แซก

กร็อบ

“ คอนเซนเทล เวลาเดินน่ะหัดมองพื้นหน่อยเหยียบไม้ตลอดแบบนี้ ถ้ามีพวกมอนสเตอร์อยู่ใกล้ๆเราก็โดนระบุตำแหน่งได้เลยนะคะ ”

“ ค ค ครับอาจารย์ ผมจะระมัดระวังครับ.. ”

“ แล้วก็ตอนเดินผ่านพุ่มหญ้าสูง อย่าลืมเอากิ่งไม้ที่ให้ถือมากวาดด้านหน้าก่อนล่ะ จะได้ไม่สร้างร่องรอยตอนเดินเข้าไป ”

“ รับทราบครับผม ”

ส่วนทางด้านของอคโตเธอก็ลากคอคอนเซนเทลออกไปทางซ้ายของทางลงทันที ก่อนจะเดินหาที่ตั้งฐานไว้เพื่อรอการกลับมาของนายท่าน แน่นอนว่าระหว่างไปนั้นอคโตที่อยู่กับคอนเซนเทลแค่สองคน เธอก็ได้สอนอัศวินหนุ่มอะไรหลายๆอย่าง ที่เหมือนว่าคอนเซนเทลจะไม่รู้เลย ไม่ว่าจะการปกปิดร่องรอยของตนเอง การใช้ไม้กวาดหญ้าก่อนจะเดินไปเพื่อไม่ให้หญ้าทิ้งร่องรอยชัดเจน

[ หญ้าหนาขนาดนี้ ถ้าเรากวาดไม่ดีก็ไม่ต่างกับทิ้งร่อยรอยเลยนี่หว่า… อึก ยาก ชะมัด ]

“ สติหน่อยคอนเซนเทล กวาดน้อยไปมากไปแบบนั้นมันไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะคะ ”

“ ค ครับผม ”

“ อย่าพูดแต่ครับผม นู้นครับผมนี้ แล้วตั้งใจทำซักทีสิคะ ”

“ อึก… ”

คอนเซนเทลเองก็พยายามจะเรียนรู้การสอนของอาจารย์ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ง่ายเลยเพราะเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ มันจึงใหม่มากๆสำหรับตัวของเขาเอง ยังไงก็ตามเมื่อทำได้ไม่ดีนักก็เป็นเหตุให้เขาโดนอคโตดุอยู่ตลอด แม้ว่าการดุนั้นจะเห็นได้ว่าเธอไม่ได้ตะโกนว่าด้วยความโกรธ แต่เป็นการพูดออกมาด้วยเสียงที่เย็นชาเป็นส่วนใหญ่

แซก แซก … แซก

[ ข้างหน้า … ]

พลัค

“ !!! ”

“ เงียบๆ แล้วก็อยู่นิ่งๆไปก่อนนะคะ ”

ทั้งนี้เมื่อทั้งสองเดินมาได้ราวๆ 15 นาที อคโตก็สัมผัสถึงอะไรได้และนั้นก็ทำให้เธอพลักให้คอนเซนเทลล้มลงเข้าไปอยู่ในพุ่มหญ้า ก่อนจะจัดการโยนผ้าคลุมลายพรางลงบนร่างของเขาแล้วก็บอกให้เงียบ ส่วนตัวของเธอเองก็หมอบลงก่อนจะค่อยๆมองไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ห่างไปไกลพอตัว

[ 2 ตัวสินะ ]

โดยที่ที่เธอมองไปนั้นเองก็กำลังมีลิงสองตัวยืนมองไปรอบๆอยู่ พวกมันนั้นเหมือนกับลิงก่อนหน้านี้คือพวกมันนั้นล้วนถือปืนกันทั้งคู่ เช่นกันคอนเซนเทลเองก็แอบมองดูพวกมันด้วยแต่ว่าเขาก็ไม่คิดจะขยับเขยื้อนตัวแม้แต่น้อยตามคำสั่งของอาจารย์ของเขา

[ 20 นาทีแล้วยังไม่ไปไหน แบบนี้พวกมันคงอยู่ที่นี้จนกว่าจะมีการเปลี่ยนกะสินะ ถ้าแบบนี้ คงต้อง… ]

อยู่สักพักแล้วก็พบว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหน พวกมันก็ไม่คิดจะเดินหรือเคลื่อนย้ายไปเลย นั้นเองทำให้เธอตัดสินใจหยิบเอาปืนพกที่มีท่อเก็บเสียง ปืนพกของเธอขึ้นมาแล้วก็ทำการโหลดกระสุนบางอย่างลงไป กระสุนที่ปลายหัวนั้นมีสีแดงแปลกประหลาด เธอเล็งไปยัง 1 ในนั้นก่อนจะเหนี่ยวไก

ฟุ

[ เท่านี้ก็รออีกสักพัก ]

เสียงปืนนั้นไม่ได้ดังมาก ไม่สิเรียกว่าเบาสุดๆเลยจะดีกว่า แต่ว่าทันทีที่กระสุนกระทบเข้ากับเป้าหมาย มันก็ไม่ได้จะล้มลงแต่อย่างใด มันยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่ด้วยท่าทีที่ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย…เป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ผลลัพธ์ของกระสุนนั้นจะปรากฎให้ได้เห็น

กี๊!!!

ลิงนั้นจู่ๆมันก็อ้วกออกมาทำให้ ลิงอีกตัวที่อยู่ใกล้ๆหันไปมองด้วยความแตกตื่นซึ่งในทันทีทันใดนั้นเอง ลิงที่กำลังอ้วกเองก็ล้มลงไปพร้อมกับใบหน้าที่ดูอ่อนล้าอย่างถึงที่สุด ทำเอาลิงที่ยังยืนอยู่รีบอุ้มเพื่อนของมันแล้วปีนลงจากต้นไม้พร้อมกับมุ่งตรงออกไปจากจุดดังกล่าว เปิดทางให้คอนเซนเทลกับอคโตได้เริ่มเดินต่อ

“ อาจารย์ครับ เมื่อกี้นี้มัน?!? กระสุนอาบยาพิษอย่างงั้นเหรอครับ?!? ”

โดยคอนเซนเทลที่ได้เห็นผลลัพธ์ของการกระทำจของอาจารย์นั้น เขาก็ได้ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้วยความสงสัยตามปกติ ซึ่งอคโตพอได้ยินเช่นนั้นก็พูดตอบด้วยเสียงที่ไร้ความรู้สึกว่า

“ ยาพิษ? ถ้าคุณถือว่าอาการเมารุนแรงเป็นยาพิษก็คงจะเป็นยาพิษล่ะนะคะ ”

คำตอบของเธอนั้นมันแสนจะกำกวม ทำเอาคอนเซนเทลที่ฟังอยู่ได้แต่สับสนว่านั้นหมายความว่ายังไงกันแน่ ยาพิษหรือไม่ใช่ยาพิษ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเขาก็ยังคงเดินตามอาจารย์ต่อไปอีกหลายสิบนาที โดยในหัวก็ยังคงคิดหากคำตอบของคำพูดของอาจารย์อยู่ตลอด จนกระทั่ง…

“ ตรงนั้น ”

ทั้งสองเดินมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นี้เป็นพื้นที่ที่มีป่ารกทึบ จนขนาดที่ถ้าแค่หมอบลงก็ไม่มีทางจะถูกเห็นได้แน่ๆ และที่สำคัญรอบๆยังมีก้อนหินขนาดใหญ่มากมายที่วางพาดกันไปพาดกันมาอีก แต่การวางพาดกันไปกันมาแบบนี้ก็ทำให้ด้านล่างของหินพวกนั้นมีถ้ำขนาดเล็กๆพอให้คนเข้าไปหลบอยู่ได้

“ คอนเซนเทล รบกวนช่วยไปหากิ่งไม้กับใบไม้มาเยอะๆทีนะคะ ”

“ ได้เลยครับอาจารย์ งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ ”

“ ค่ะ แต่ยังไงอย่าลืมลบร่องรอยตัวเองด้วยนะคะ ”

หลังจากให้คอนเซนเทลออกไปหาของที่เธอต้องการแล้ว อคโตก็ได้เริ่มลงมือสร้างฐานใต้ดินในถ้ำที่อยู่ใต้ก้อนหินขนาดใหญ๋ ที่ทางเข้านั้นต้องแทรกตัวเข้ามา โดยสร้างผ่านสกิลประจำตัวของเธอ สกิลที่สามารถแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์อนินทรีย์ของสิ่งที่เธอสัมผัสให้กลายเป็นสิ่งที่เธอต้องการได้ ตราบใดที่สิ่งนั้นเธอเคยใช้และเข้าใจในสิ่งนั้น ด้วยพลังนี้เอง

ครึก ครึก ครึก

โดยการสร้างนี้นั้น เธอเริ่มจากขุดลงข้างล่างแล้วจึงปรับเปลี่ยนห้องใต้ดินนี้ให้เหมาะสมกับการเป็นฐาน ไม่ว่าจะย้ายที่นอน อ่างอาบน้ำ หรือห้องประชุม ซึ่งอคโตก็ทำมันได้เป็นอย่างดีแต่ก็ใช่ว่าเธอจะทำได้ตลอดเพราะหลังจากที่สร้างเตียงออกมาได้ 2 เตียงแล้วเธอก็วางมือลงพร้อมกับนั่งพักโดยที่ใบหน้านั้นเริ่มมีเหงื่อไหลออกมา

“ โฮ่ เหนื่อยแล้วเหรออคโต? ”

“ คะ!! นายท่าน!! ”

ทว่าเธอก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ระหว่างที่ตนกำลังวุ่นอยู่กับการสร้างฐานทัพขนาดย่อมๆนี้อยู่นั้น ที่มุมห้องนั้นมีพุ่มหญ้าประหลาดกำลังยืนมองดูอยู่ มาร์ เขาทักอคโตด้วยท่าทีสบายๆ โดยตอนนี้เจ้าตัวไม่ได้ใส่หน้ากากแล้วและด้วยการที่ไม่ใส่หน้ากากนี้แหล่ะ ก็ทำให้เห็นได้ว่ามาร์กำลังหลับตาอยู่พร้อมกับมีน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อย

“ ว่าแต่ถึงไหนแล้วล่ะตอนนี้? ”

“ ค่ะนายท่าน ตอนนี้ดิชั้นได้ใช้ให้คอนเซนเทลออกไปหาวัตถุดิบมาใช้สำหรับอำพรางทางเข้าอยู่ค่ะ ส่วนด้านในตอนนี้ก็เหลือพวกเฟอร์นิเจอร์ทั่วๆไปกับห้องพิเศษต่างๆค่ะนายท่าน แต่ว่าดิชั้นขอถามได้หรือเปล่าคะ? ท่านทราบได้อย่างไรกันว่าดิชั้นสร้างฐานอยู่ที่นี้น่ะค่ะ? ”

“ งั้นเหรอ ก็เดินตามรอยมาน่ะ ทำไมเหรอ? ”

“ ไม่หรอกค่ะ ไม่มีอะไร… ”

[ คอนเซนเทล… บอกให้ลบร่องรอยแล้วแท้ๆนะคะ ดูท่าคืนนี้คงต้องสั่งซ่อมสักหน่อยแล้วล่ะนะ เอาเป็นฟันลมจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นก็แล้วกัน ]

ทั้งสองเริ่มคุยกันอย่างสบายๆ ไปเรื่อยๆ โดยระหว่างคุยเองพออคโตมีอาการดีขึ้นก็เริ่มลงมือจัดการปรับแต่งภายในฐานต่อ ส่วนมาร์ก็เริ่มจะเปลี่ยนชุดไปใส่ชุดเดิมที่เขาใช้ตอนลงมาในหอคอยนี้

“ โอ้! อคโตจำภาพวาดในทางเดินลงมาได้หรือเปล่า? ”

“ จำได้ค่ะนายท่าน มีอะไรอย่างงั้นเหรอคะ? ”

อคโตนั้นหยุดมือลงก่อนจะหันมามองมาร์ที่นั่งเอนหลังพิงกับกำแพงห้อง โดยมาร์นั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นทันทีที่เธอหันมาพร้อมกับเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เบา

“ ก็จะถามว่ารอยพวกนั้นตอนออกแบบมันไม่มีอยู่ใช่มะ แบบนั้นแสดงว่าพวกลิงคงเป็นฝ่ายที่ลงมือวาดแน่ๆ แต่ยังไงดีล่ะ อคโตตั้งแต่อยู่มาบนโลกนี้เธอเคยเห็นมอนสเตอร์สร้างงานศิลปะหรือเปล่าล่ะ? แบบนี้แสดงว่ามอนสเตอร์ที่เราสร้างมีความคิดอย่างงั้นน่ะเหรอ? หรือยังไงล่ะ ไม่สิ ต้องถามว่ามันเป็นไปได้ยังไงล่ะนั้น?!? ”

สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องของภาพวาดในทางเดินลงมา ซึ่งมาร์เกิดความข้อสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่โลกนี้ไม่เคยเจอก็ได้ เพราะการวาดรูปพวกนั้นคือเรื่องยืนยันว่า ลิงพวกนี้คือเผ่าพันธ์ุที่มีปัญญา แต่ว่าการเกิดนี้ไม่ใช่การเกิดแบบธรรมชาติแต่อย่างใดแน่ๆ และแม้ว่าจะพยายามหาในคลังปัญญาของจอมเวทย์ปฐมภูมิแล้วก็ตาม มาร์ก็ไม่เจออะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย แต่สำหรับอคโตที่ได้ฟังนั้น เธอก็เกิดความมั่นใจบางอย่างขึ้นมาว่า

[ ส ส สมกับเป็นนายท่านของพวกเรา ทั้งๆที่ตนเองพึ่งจะทำสิ่งที่เล่าขานกันมาในตำนานไปแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่าสงสัย นี้ถ้าเป็นคนอื่นคงป่าวประกาศไปทั่วแล้วแน่ๆ ]

สำหรับอคโตในตอนนี้ เธอรับรู้ได้เลยว่ามาร์นั้นได้ทำอะไรบางอย่างที่ตามความคิดพื้นฐานของโลกนี้ ตามตำนานของบางพื้นที่ สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย เพราะการกระทำที่ว่าคือการสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ที่มีปัญญา เป็นสิ่งเดียวที่ผู้อยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้นที่จะทำได้ นั้นคือมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้

“ นั้นสินะคะนายท่าน…ถ้าตามความคิดพื้นฐานแล้วมันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆเลยค่ะ ถ้าจะทำได้ก็คงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นค่ะที่มีความสามารถมากพอ ”

“ ฮ่าๆๆ พระเจ้าเลยเหรอเนี่ย เปรียบเทียบได้ดีเลยนี่อคโต เห้อ…ถึงจะน่าเสียดายที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้คงจะตัดใจเรื่องสรุปออกไปก่อนเนอะ เพราะข้อมูลเรื่องพวกลิงนั้นยังมีน้อยอยู่ ไว้พรุ่งนี้ค่อยออกไปจัดการเองดีกว่า ยังไงวันนี้ก็บันทึกเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน อ้อ! ฝากบันทึกให้ทีนะอคโต แบบว่าตอนนี้ผมน่ะ ปวดตาจนลืมจะไม่ขึ้นละเนี่ย ที่เป็นแบบนี้คงต้องขอบคุณเดคกะที่ปรับแสงสว่างไว้ตั้ง 120 เปอร์เซ็นต์แหน่ะ กว่าจะรู้ว่ามันปรับได้ก็เอาตอนเลิกใช้ ฮ่าๆๆ ”

พูดจบมาร์ก็เดินไปยังมุมห้องก่อนจะหยิบเอาแผ่นผ้ายางสีเขียวออกมาจากเงาดำแล้วปูมันลงนอนในทันที ส่วนอคโตเองก็โค้งคำนับรับทราบในคำสั่งนั้น ทว่ามาร์เองแทนที่จะนอนหลับ เขากลับลุกขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนกับอคโตว่า

“ ฝันดีนะอคโต ยังไงสร้างเสร็จแล้วก็อย่าลืมพักผ่อนบ้างล่ะ ผมเองก็เป็นห่วงเหมือนกันนา สุขภาพของเราน่ะ ”

“ คะ?!? ”

คำพูดนั้นทำเอาอคโตที่กำลังจะหันกลับไปจัดของ ก็ต้องหันมามองดูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ช้าไปเสียแล้วมาร์นั้นเองตัวลงนอนหลับไปเป็นที่เรียบร้อยจากนิสัยที่แค่หัวแตะหมอนก็วูบของเขา

[ นายท่านเนี่ยน้า… ]

กระนั้นก็ดีเธอก็ใช่ว่าจะกลับไปทำงานต่อ สิ่งที่อคโตนั้นตัดสินใจทำคือการถอดหน้ากากออกเผยให้ได้เห็นใบหน้าและร้อยยิ้มที่เปี่ยมสุข เธอนั้นเอนตัวเข้าหามาร์พร้อมกับหยิบเอาผ้าห่มมาคลุมนายท่านของเธอ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาและรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่น

“ ขอบคุณที่เหนื่อยนะคะพระเจ้าของพวกเรา หุหุ ฝันดีนะคะ ”

………

แอดดด แอดดดด แอดดดดด…

เสียงออดดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณยูโทเปีย จากเมืองหลวงไปจนถึงเมืองหอคอยลำดับที่ 8 เสียงนั้นทำให้ผู้คนต่างหยุดทำในสิ่งที่ตนแล้วมองดูที่มาของเสียงซึ่งเป็นกล่องเหล็กที่ติดตั้งอยู่ทั่วตามจุดต่างๆ และไม่นานเจ้ากล่องเหล็กนั้นก็ส่งเสียงออกมา เสียงของหญิงสาวที่แสนจะสุภาพ

“ แจ้งถึงผู้คนบนผืนแผ่นดินยูโทเปีย ดิชั้นมีนามว่าทิเรีย เมดลำดับที่ 3 และเป็นตัวแทนในการส่งข้อความนี้ไปทั่วทั้งทวีป เพื่อจะเรียนถึงทุกท่านให้ได้ทราบว่า พวกเราชาวยูโทเปียนั้นรักสงบและไม่หวังให้เกิดความวุ่นวายใดๆบนผืนแผ่นดินอันเป็นที่รักนี้ ดังนั้นหากเกิดความวุ่นวาย เกิดภัยอันตรายบนแผ่นดินของพวกเรา พวกเราจะไม่ยินยอม อ่อนน้อมหรือมองข้ามและให้อภัยโดยเด็ดขาด กับการกระทำใดๆที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะความวุ่นวายที่เป็นการบุกเข้ามาในอาณาเขตของเราอย่างไร้ซึ่งอารยะและไม่เคารพในอำนาจอธิปไตยของยูโทเปีย… ”

เสียงประกาศนั้นแม้จะสุภาพ ไพเราะและน่าฟังเพียงใดแต่คนที่ฟังอยู่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล จนหลายคนที่เป็นคนนอกถึงกับเหงื่อตกเลยทีเดียว ทว่าเหล่าสายขาวที่เป็นประชาชนของยูโทเปียนั้นกลับลุกยืนขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าเหมือนรออะไรบางอย่าง บางอย่างต่อจากนี้ที่หญิงสาวผู้อยู่หลังไมค์จะพูดออกมา

“ …ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกว่ายูโทเปียจะไม่อดทนต่อการกระทำอันป่าเถื่อน พวกเราจึงขอประกาศออกไปถึงโลกภายนอกว่า พวกเราจะทำการบุกตอบโต้กลับประเทศหรือรัฐ หรือกลุ่มคน หรือทวีปใดที่ฝ่าฝืนกฎอณาเขตที่พวกเราเคารพ โดยกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เราจะทำการสงครมด้วยนั้นคือ กองทัพจอมมาร โดยเหตุผลที่พวกเราจะทำการเปิดศึกนั้นมีดังต่อไปนี้

1.จากการพิสูจน์ตรวจสอบพบว่า กองทัพจอมมารเป็นผู้บงการให้มอนสเตอร์ทางทะเลบุกเข้าน่านน้ำของเรา เห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด

2.เป็นกลุ่มคนที่ได้ส่งสปายเข้ามาในประเทศโดยมีเจตนาหวังเพื่อหาจุดอ่อนหรือจุดแข็งซึ่งไม่อาจเป็นการยอมรับได้เพราะกระทบต่อความมั่นคงภายในของพวกเรา

และ 3. บุกเข้ามาในเขตโดยไม่ได้รับการยินยอมใดๆ อีกทั้งยังลักพานักโทษหนีหายออกจากดินแดนของเราไปอีก ดังนั้นยูโทเปียจะทำการบุกไปเพื่อกำจัดภัยอันตรายและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ”

แอดดด 

“ สงครามสินะ… ในที่สุดพวกเราจะได้กลับไปรับใช้ประเทศ… ”

“ หึ ถึงชั้นจะไม่ชอบสงครามก็เถอะ แต่อีกฝ่ายมาก่อกวนชีวิตอันแสนสงบสุขของชั้นแบบนี้…ก็ยอมไม่ได้ล่ะนะ ”

“ ดูท่างานนี้จะได้เลื่อนจากสิบเอก ขึ้นจ่าสิบตรีสักทีสินะ ”

สิ้นคำประกาศจากหญิงสาว เหล่าประชาชนของยูโทเปียก็หันมาพูดคุยกันราวกับว่าสงครามนั้นเป็นเรื่องปกติ ทำให้เหล่าคนนอกที่ได้เห็นก็ต่างพากันสับสน แต่อย่างไรก็ดีไม่มีใครกล้าเข้าไปทักหรือถามเลยสักราย ทว่าหลังจากจบการประกาศแล้ว หญิงสาวผู้นั่งอยู่ในห้องกระจายเสียง ทิเรียเธอก็หันกลับไปหาเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังยืนยิ้มพร้อมกับดื่มน้ำอัดลมอยู่

“ ทำได้ดีมากเลยทิเรีย เท่านี้คนนอกจะได้เตรียมตัวกันถูกว่าจะทำยังไงต่อ อ่า แล้วพวกทวีปอื่นๆที่ส่งสปายมาเองก็จะได้รู้จับตาดูการกระทำถัดไปของพวกเราด้วย ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน แต่ว่าการรบครั้งนี้นายท่านจะกำหนดข้อห้ามอะไรไว้เพิ่มเติมหรือเปล่าเจ้าคะ? ”

ทิเรียถามนายท่านของเธอด้วยความสงสัย เพราะหลายครั้งที่มีสงครามหรือการบุกในการปฏิบัติการณ์ใดนายท่านของเธอจะต้องจำกัดการรบด้วยการออกข้อห้ามอะไรหลายอย่างๆออกมา อาทิ ห้ามยิงคนที่ยอมแพ้เป็นต้น อย่างไรก็ตามมาร์ที่ได้ยินก็หลับตาหลงก่อนจะวางกระป๋องน้ำอัดลมไว้บนโต๊ะ เขาอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองทิเรีย

“ นั้นสินะ คราวนี้เราไปในฐานะยูโทเปีย ไม่ใช่ผี ไม่ใช่บริษัท ดังนั้นไหนๆก็ประกาศสงคราม ก็เปิดใช้ทุกอย่างที่ไม่ขัดกับกฎหมายสงครามที่ผมเคยสอนไว้ก็แล้วกันเนอะ จะเครื่องบิน รถถัง ปืนใหญ่ เกราะสูท เต็มที่… ”

“ แบบนี้ หมายความว่าดิชั้นสามารถออกคำสั่งให้ยิง ICBM ตัวทดลอง หรือไม่ก็ส่งเครื่องบินไปปูพรมได้สินะเจ้าคะนายท่าน? ”

“ เดี๋ยว… ไม่ได้ ไม่ได้ นี้เป็นการรบครั้งแรกนา จะมาเปิดไพ่ตายอย่าง ICBM เลยไม่ได้ เห้ออ จะว่าไปขอเพิ่มอีกสัก 2 ข้อละกัน ข้อแรกเลยนะอนุญาตให้ใช้แค่กองเรือที่ 1 ห้ามเอากองเรือที่ 2 ถึง 4 ไปล่ะ และ ข้อสอง ผมอนุญาตให้เอาคนของเราไปได้ไม่เกิน 4 หมื่นนะ อ่า…ห้ามทหารเด็กด้วย เดี๋ยวจะดูไม่ดีเอา ”

“ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน จะให้เริ่มส่งกองกำลังวันไหนดีเจ้าคะ? ”

“ อีก 5 วันค่อยไปก็ได้ ไม่ต้องรีบหรอก ฝ่ายนั้นเองกว่าจะได้ข่าวก็คงอีกสักพัก ขืนไปเร็วก็หมดความเป็นสงครามสิ ”

มาร์นั้นเหมือนจะอนุญาตทั้งหมดแต่ก็ไม่ทั้งหมดซะทีเดียว ซึ่งทิเรียก็พอเข้าใจได้แล้วจดจำคำสั่งนั้นเอาไว้ โดยเหตุผลนั้นนอกจากเรื่องนี้เป็นการรบครั้งแรก ก็คือเขาไม่อยากกระจายความกลัวไปอย่างรวดเร็ว เขาอยากจะเก็บมันไว้เมื่อจำเป็นจริงๆ

“ อ๊ะ!! เดี๋ยวผมขอไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะ ส่วนทิเรียก็ไปตามคนอื่นๆมาเตรียมการได้เลย อืม ใช่ๆ อย่าลืมติดต่อปิล่ะ ยังไงนั้นก็เป็นกัปตันนำทัพเรือที่ 1 ล่ะนะ ”

“ น้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะนายท่าน ”

พอให้คำสั่งจบ มาร์ก็เดินออกจากห้องไป ซึ่งทุกคนที่อยู่ในห้องกระจายเสียงก็ต่างพากันลุกขึ้นแล้วหันมาก้มหัวทำความเคารพ ทว่าเมื่ออกมาแล้วเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย เจ้าตัวเดินออกมาแล้วยืนอยู่ที่หน้าห้องก่อนจะหยิบเอาอุปกรณ์ส่วนตัว…หน้ากากกระโหลดผีมาสวมใส่ แล้วก็ติดต่อออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

ติ๊ดด ติ๊ดดด แกร็ก

“ พี่ค๊าาา! ”

“ ว่าไง ยูเรย์ พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรไปตั้งหลายวัน ”

ปลายสายที่มาร์โทรไปถึงก็คือยูเรย์ น้องสาวบุญธรรมและ 1 ในเมดของเขา ที่กำลังศึกษาอยู่ในโอดุนยา อันเป็นทวีปเวทย์มนต์ ตอนนี้ยูเรย์ก็กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในลานดอกไม้ของมหาลัย ซึ่งเธอนั้นพอได้ยินเสียงของพี่ชายของตนก็เปลี่ยนท่าทีจนคนที่อยู่รอบๆเธอถึงกับตกใจ เพราะราชินีน้ำแข็งผู้นี้นั้นกำลังยิ้มและแสดงสีหน้าเขินอายอยู่

“ หนูก็สบายดีค่ะพี่ ตอนนี้ลงเรียนเพิ่มแล้ว แถมอีกไม่นานการแข่งเวทย์มนต์รอบ 8 ทีมสุดท้ายก็จะเริ่มแล้วด้วย เชียร์หนูหน่อยจี่!! ”

“ ค้าบๆ พยายามเข้าล่ะ อ๋อ แล้วก็ถ้าฟังแล้วอย่าตกใจล่ะ คือพี่พึ่งประกาศสงครามกับกองทัพจอมมารไปเองน่ะนะ ฮ่าๆๆๆ ”

“ ว่ายังไงนะค๊าาา!! ”

ยูเรย์ตกใจจนถึงกับตะโกนออกมา ทำเอาคนรอบหันมามองอีกรอบ อย่างไรก็ตามมาร์ที่อยู่ปลายสายก็ไม่ได้จะตกใจกับการที่น้องสาวของเขาตะโกนออกมาเช่นนั้น ซึ่งแน่นอนล่ะว่าพอพี่ชายของตนจะไปรบ น้องสาวผู้รักพี่ยิ่งกว่าสิ่งใดก็พูดต่อไม่รออะไรทั้งนั้น

“ ถ้าพี่จะไป หนูก็ไม่คัดค้านหรอก แต่ว่าพี่พาหนูไปด้… ”

“ ไม่ได้ น้องยังเรียนอยู่นะ จะลาหยุดเพื่อออกไปเสี่ยงตายไม่ได้ เข้าใจไหม! ดังนั้นได้โปรดเถอะนะ ถือว่าทำเพื่อพี่ ช่วยตั้งใจเรียนแล้วใช้ชีวิตวัยเรียนให้คุ้มที่สุดเถอะ ”

“ ค…ค่ะ พี่ ”

มาร์ปฏิเสธทันทีก่อนที่ยูเรย์จะได้พูดจบ เพราะเขาไม่อยากให้น้องสาวของตนเองต้องมาเจ็บตัว อีกอย่างยูเรย์ก็ยังเรียนอยู่ด้วย เขาไม่อยากให้ชีวิตช่วงวัยเรียนของเธอต้องมาสะดุดลง เขาอยากให้ยูเรย์มีความสุขแบบที่เด็กอายุเท่าเธอมีกัน ดังนั้นมาร์จึงขอร้องให้ยูเรย์ตั้งใจเรียนเพื่อเขา ซึ่งยูเรย์พอได้ยิน คำว่า “เพื่อเขา” เธอก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้แบบอัตโนมัติและรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ

“ แต่ว่า พี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เราไม่มีส่วนร่วมเลย ดังนั้นอย่างน้อยที่พี่พอจะอนุญาตได้ก็คือ พี่จะให้น้องทดลองของใหม่อยู่ที่โอดุนยานะ ส่วนของที่ว่าไว้เดี๋ยวให้เดคกะเอามาส่งให้ ”

“ ของทดลองงั้นเหรอคะ?!? แบบนั้นมันจะใช้ได้จริงๆใช่หรือเปล่าคะ? ”

“ น่า เชื่อมั่นในพี่น้องของตัวเองหน่อยสิ อ๊ะ? แย่ล่ะสิ จะสายแล้วแหะ!! เดี๋ยวพี่ไปเตรียมตัวก่อนละ ยังไงก็อย่าลืมตั้งใจเรียนนะยูเรย์ โชคดี ”

“ ด ด เดี๋ยวสิค… อ้าว ตัดสายไปซะแล้ว งืออ… ทั้งๆที่เราอยากจะคุยมากกว่านี้แท้ๆ ”

อย่างไรก็ตามมาร์นั้นตัดสายไปก่อนที่ยูเรย์จะได้ชวนคุยต่อ มันทำให้เธอกลับไปเป็นราชินีนำแข็งอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกอะไร แม้ในใจจะแอบเซ็งๆอยู่ ซึ่งถึงจะไม่มองด้วยสายตาแต่ว่าออร่าที่ปล่อยออกมานั้นก็ทำให้คนรอบๆถึงกับหนาวทั้งๆที่ตอนนี้อากาศกำลังอบอุ่นอย่างพอดีแท้ๆ

“ ยูเรย์คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ส่วนเรานี้สิไม่ไปเตรียมของแล้วออกไปทำภาร… ออกทัวร์ภายใน 15 นาทีมีหวังผิดแผนหมดแน่ๆ!! ”

มาร์รู้ตัวเองแล้วว่าถ้ายังมัวชักช้าอยู่แบบนี้ มันจะส่งผลกระทบกับแผนอะไรบางอย่างของเขา นั้นทำให้มาร์รีบวิ่งตรงกลับไปที่ห้องของตัวเองที่เป็นห้องอีกห้องใต้ฐานทัพ มันมีหน้าที่เดียวเลยเก็บของของเขาเอาไว้ แล้วพอมาถึงมาร์ก็เริ่มเตรียมของที่ต้องใช้ทันที ไม่ว่าจะปืน จะกระสุน เขากวาดมันเข้าไปในเงาสีดำจนในห้องแทบไม่เหลืออะไร

“ เอาไปเกินดีกว่าขาดล่ะนะ!! ”

… … …

วู่มๆๆๆๆ ฟู่

“ นายท่านคะ ตอนนี้เครื่องบินที่ระดับความสูง 27000 ฟีต เรียบร้อยแล้วค่ะ ”

“ โอ้ งั้นผมขอตัวไปเริ่มประชุมก่อนนะจุส ถ้าถึงที่หมายแล้วก็เปิดสัญญาณได้เลยนะ ”

“ รับทราบค่ะ! ”

และปัจจุบันเวลาก็ผ่านไปแล้วกว่า 6 ชั่วโมง มาร์ในตอนนี้เขาได้มาอยู่บนเครื่องบิน TwinWings ส่วนตัวที่มีนักบินเป็นจุส มิคมิคก้า ที่ทำงานเป็น 1 ใน หน่วยข่าวกรองภายใต้การควบคุมของเอปต้า เธอแม้จะไม่มีทักษะในการลอบเร้นมากนัก แต่ด้วยการแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ก็พอจะชดเชยจุดบอดที่ว่า อย่างไรเสียปัจจุบันจุสเหมือนจะค้นพบว่า ตัวเองมีทักษะในการขับเครื่องบินสูงมาก ทว่าเธอก็ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่กับฝ่ายนักบิน เพราะเอปต้าไม่อนุญาต

“ โอ้ ขอโทษที่มาช้านะทุกคน ”

“ ไม่หรอกเจ้าค่ะนายท่าน พวกเราเองก็พึ่งจะมาถึงได้ไม่นานเช่นกันเจ้าค่ะ ”

มาร์เดินจากห้องคนขับมายังห้องโดยสารแล้วก็นั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆกับประตูเครื่อง เขาเปิดสวิตช์บางอย่างที่เหนือหัวของตนเอง แล้วทันใดนั้นก็มีภาพฉายโฮโลแกรม ปรากฎขึ้นภาพของหญิงสาวจำนวน 14 คน นั้นคือเมดลำดับที่ 1 ถึง C โดยที่คนเดียวที่ไม่ได้อยู่ด้วยก็คือ ยูเรย์ ที่นั่งของเธอนั้นว่างเปล่า พร้อมกับมีป้ายติดไว้ตรงโต๊ะว่า “ตั้งใจเรียน” ซึ่งพอเขาเข้ามาแล้วก็ได้ทักทายตามปกติ และคนที่ตอบกลับก็คือทิเรียที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหมายเลข 3

“ งั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ อ่า แต่ยังไงดูท่าอีกไม่นานก็จะถึงที่หมายแล้ว ผมขออนุญาตเริ่มเลยนะ หัวข้อคือ Operation Pierce เป้าหมายก็คือกำจัดตัวอันตรายออกไปก่อนที่กองทัพของพวกเราจะยกพลขึ้นฝั่ง โดยทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติการณ์จะมีผมเพียงคนเดียว โดยแผนจะมีดังนี้… ”

ว่าแล้วมาร์ก็ใช้มือสัมผัสไปที่โฮโลแกรมตรงหน้าแล้วเลื่อนไปทางด้านซ้าย ทำให้เห็นแผนที่ที่ได้จากภาพถ่ายดาวเทียม มันเป็นหุบเขาเล็กๆ และมีผื้นที่โดยรอบเป็นป่าสน รวมทั้งในแผนที่ดังกล่าวก็ได้มีการตีกรอบสีแดงเอาไว้เพื่อให้เห็นอาณาเขตของพื้นที่ปฏิบัติการณ์ได้อย่างชัดเจน

“ เริ่มที่ขั้นที่ 1.ผมจะโดดร่มลงไปที่รอบนอกของเขตกองทัพจอมมาร ซึ่งตีเป็นระยะจากตัวปราสาทหลักประมาณ 250 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปอย่างน้อย 2 ถึง 4 วัน โดยผมจะไม่วิ่งพุ่งเข้าไปเด็ดขาดเพื่อลดโอกาสในการถูกตรวจจับ แต่จะใช้สกิลปกปิดตัวตนในการเคลื่อนตัวเข้าไปแทน อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะพรางตัวของผมจากศัตรูทั่วไปไม่ให้ตรวจจับได้ แต่ก็ใช่ว่าผมจะวิ่งฝ่าเข้าไปเลยเพราะ ถ้าพลาดเจอพวกที่สามารถรับรู้ความผิดปกติของมานาได้ก็อันตรายและมีโอกาสจะไปทำให้เป้าหมายในปราสาทแตกตื่นได้… ”

ภาพเลื่อนถัดไป เปลี่ยนจากภาพถ่ายจากด้าวเทียมมาเป็นภาพ สแกน 3 มิติ ที่ทำให้เห็นว่าหลายๆพื้นที่มีการตั้งด่านตรวจกับค่ายเอาไว้มากมายนับร้อยจุด แถมแต่ละจุดก็มีทหารอยู่ไม่น้อยกว่าพันคน มาร์เลื่อนอีกครั้งทำให้บนแผนที่นั้นมีการวางเส้นตัดจากจุดลงไปถึงปราสาทที่อยู่ใจกลางของพื้นที่

“ โดย ขั้นที่ 2 ระหว่างทางผมจะทำการลอบทำลายฐานศัตรูหรืออะไรก็ตามแต่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายและความสับสนเป็นช่วงๆ ซึ่งน่าจะไม่มีปัญหาอะไรมากตรงจุดนี้ แต่ปัญหาก็คือ ในส่วนขั้นที่ 3 คือ พอไปถึงยังปราสาทผมจะตามหาเป้าหมายแล้วฆ่าทิ้ง ไม่ก็จะหาทางผนึกไว้ให้ได้จนกว่าพวกเราจะบุกมาถึงแล้วทำลายกองทัพจอมมารลงได้สำเร็จ เอาล่ะมีใครเสนออะไรไหม? ”

แผนนั้นง่ายมากๆ หากฟังผ่านๆจากปากของมาร์ แต่ความจริงเมื่อต้องลงมือแล้วมันกลับยากเกินกว่าที่ใครในกลุ่มเมดจะทำได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เหล่าเมดก็เริ่มเสนอวิธีการอื่นที่ดีกว่าการส่งนายท่านของพวกเธอลงไปเสี่ยงตาย โดยเริ่มจากทิเรียที่เป็นสมองของกลุ่มอีกเช่นเคย

“ นายท่านเจ้าคะ ดิชั้นสงสัยว่าทำไมไม่ส่งเพนเทไปฆ่าเป้าหมายแต่แรกเลยล่ะ เธอสามารถเคลื่อนตัวผ่านการตรวจจับไปจัดการได้ผ่านเส้นทางวิญญาณ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ? ”

“ ทิเรียน่าจะได้เห็นแล้วผ่านดาวเทียมกับโดรนแมลงรุ่นแรกๆที่ปล่อยเอาไว้แล้วนะ พวกนั้นมีการป้องกันเป็นอย่างดีด้วยการวางเวทย์มนต์ปิดกั้นไว้ทั่วปราสาท แม้แต่เส้นทางคนตายที่ใช้ก็ผ่านเข้าไปได้ไม่ถึงด้านในตัวปราสาท

ดังนั้นมากสุดที่ทิเรียจะไปถึงคือนอกปราสาท แต่ก็ตามข้อมูลที่เรามี กองทัพจอมมารนั้นมีดาร์กเอนทิตี้อยู่อีกจำนวนหนึ่งตระเวนอยู่รอบๆตัวปราสาท ถ้าเพนเทเข้าไปแล้วกลับไปอาศัยความมืดในการเดินทางก็จะเป็นงานยากของเธอและเสี่ยงที่จะถูกจับได้มากกว่าการที่ผมเข้าไปแล้วหลบซ่อนด้วยทักษะของตนเองนะ ”

“ เช่นนั้นเองสินะเจ้าคะ ดิชั้นขออภัยที่เสนอแผนที่ไม่เข้าท่าเช่นนั้น ”

“ ไม่หรอกผมก็เข้าใจแหล่ะ ว่าทุกคนเป็นห่วงผมน่ะ ”

ทิเรียก้มหัวลงขออภัยกับสิ่งที่เธอพูด ซึ่งมาร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเขายิ้มให้กับเธอ ก่อนจะหันไปมองยังสองพี่น้องเอลด้าที่กำลังยกมือขึ้นขอพูด เอ็กซิกับเดคกะสีหน้าของพวกเธอดูมั่นใจมากว่าสิ่งที่พวกเธอเสนอจะได้รับการยอมรับแน่ๆ แต่มาร์น่ะไม่คิดเช่นนั้นสายตานั้น คือสายตาของนักวิทยศาสตร์กับนักประดิษฐ์ที่ต่างคนก็ลืมไปแล้วซึ่งสามัญสำนึกกับความเมตตาใดๆ

“ เชิญเลย เอ็กซิ เดคกะ ”

“ ค่าาา!! งั้น หนูขอเสนอให้พวกเรา ทิ้งระเบิดปรมาณูขนาด 10 ตันลงไปที่เป้าหมายด้วยเครื่องบิน ซึ่งต่อให้เก่งแค่ไหนก็ต้านทานความร้อนของมันไม่ได้หรอกค่ะ ขนาดเหล็กผสมพิเศษยังหายวับไปเลยค่ะ ฮ่าๆๆ ”

“ นั้นสินะคะพี่เอ็กซิ!! ตัวใหม่สุดส่งกำลังระเบิดออกมาได้เท่าๆกับ ตัว 100 ตันเลยนะคะ รับประกันเลยค่ะว่าทุกอย่างหายวับไม่มีอะไรเหลือให้เป็นปัญหาตกค้างแน่ๆค่ะ ”

ทั้งสองพูดออกมาด้วยท่าทีที่ร่าเริง ผิดกับเนื้อหาที่แสนจะเลวร้ายสุดๆ มาร์ที่เห็นก็ทำหน้านิ่งแล้วยิ้มก่อนจะ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาวาง หนังสือปกดำที่มีข้อความว่า Rule of War แล้วมาร์ก็พูดต่ออย่างช้าๆว่า

“ แผนของเอ็กซิ กับเดคกะ ผมขอปฏิเสธเลยล่ะนะ เพราะนั้นมันไม่ใช่การทำสงคราม มันคือการสังหารหมู่ แถมถ้าทำมันจะส่งผลให้ทวีป ประเทศอื่นๆ เผ่งเล็งและหาทางกำจัดยูโทเปียแน่ๆ เพราะพลังขนาดนั้นปล่อยไปมีแต่จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคง หนักสุดพวกเรานี้แหล่ะจะกลายมาเป็นเป้าหมายแทนกองทัพจอมมาร อ่า…เอเนอากับ อัลฟ่าสินะ อื้ม ต่อได้เลย ”

แล้วคู่ถัดมานั้นก็คือหมอประจำกลุ่มเมด เอเนอา อัลฟ่า ทั้งคู่ยืนขึ้นก่อนจะหยิบเอาขวดแก้วที่แก็สสีเหลืองไหลเวียนวนไปวนมา ซึ่งการยกขึ้นมาแบบนั้นก็ทำให้เหล่าเมดที่นั่งข้างๆ ถึงกับถอยหนีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเอเนอาไม่ได้สนใจนัก เธอเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ในหลอดนั้น

“ นายท่านฮะ ผมกับอัลฟ่าคิดว่าเราควรจะใช้สาร Nerve Gas ใส่ ICBM ยิงไปตกใกล้กับปราสาทแล้วปล่อยให้ตัวสารแตกกระจายเป็นวงกว้าง เพื่อทำให้ทุกอย่างที่มีชีวิตในรัศมีประมาณ 20 กิโลเมตร ตายอย่างช้าๆจากการที่ระบบประสาทล้มเหลวสมบูรณ์ทำให้อวัยวะภายในหยุดทำงานฮะ ”

“ อืม ปัดตกครับ!!! ไม่ผ่าน!! ไม่ผ่าน!!! อาวุธชีวภาพมันผิดกฎสงครามนะเออ!! อคโตหมดนี่พาเอ็กซิ เอเนอา เดคกะ อัลฟ่า ไปอบรมเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศหมวดสงครามระหว่างประเทศ เอาแบบลึกๆเลยนะ ถ้าสอบไม่ผ่านก็อบรมใหม่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ละกัน ”

“ เอ๋!! ”

“ อบรม…. อบรม?!? ”

“ แหมๆ ดูท่ากาแฟผมจะไม่พอสินะฮะเนี่ย ฮะๆ แย่ล่ะสิ ”

“ อึก…ทั้งๆที่เตือนแล้วนะคะพี่เอเนอา ”

มาร์ ปัดตกแบบไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก่อนจะพูดสั่งอคโต ซึ่งเธอก็ลุกขึ้นโค้งคำนับก่อนจะมองไปยังเหล่านักเรียนในอนาคตด้วยสายตาเย็นชา ก็แหงล่ะ เรื่องกฎสงครามเนี่ยไม่มีใครแน่นไปมากกว่าอคโตหรอก ดังนั้นทั้ง 4 คนพอรู้ตัวว่าจะโดนอคโตคุมอบรม ก็เหงื่อไหลเหงื่อท่วมหน้าซีดกันเลยทีเดียว

“ ขออนุญาคเจ้าค่ะนายท่าน! ”

ชาลีที่นั่งอยู่เฉยๆมาสักพัก ก็ได้ยกมือขึ้นขออนุญาต ซึ่งมาร์พอเห็นก็ได้เก็บหนังสือกฎหมายสงครามลง ก่อนจะหันมามองเธอด้วยสายตาที่สงสัย เพราะชาลีเธอไม่ค่อยจะแสดงความเห็นอะไรนัก ออกจะไปในทางหญิงสาวเงียบๆที่รอรับคำสั่งเสียมากกว่า

“ ชาลี? อ่า เชิญเลย เชิญเลย ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ก่อนอื่นแผนการลอบเข้าไปด้านในของนายท่านนั้นนั้น ดิชั้นไม่คิดจะค้านหรือหาทางอื่นมาแทนเพราะ ดิชั้นเชื่อว่าตนเองไม่มีความรู้พอจะไปเทียบกับท่านผู้อยู่บนจุดสูงสุดได้ ดังนั้นดิชั้นจึงขอเสนอแผนสำหรับการสนับสนุนแทน ด้วยการส่งทีมพิเศษที่นำโดย ท่านพี่เทเสล่ากับท่านพี่เพนเทและหน่วยข่าวกรองลงพื้นที่ไล่ตามไปเจ้าค่ะ

โดยหน่วยนี้นั้นจะเป็นหน่วยคอยเก็บกวาดศัตรูที่ได้รับความเสียหายจากการลอบทำลายฐานศัตรูโดยนายท่าน ทั้งนี้หน่วยดังกล่าวจะคอยก่อความวุ่นวายจากจุดอื่นด้วยเจ้าค่ะ เพื่อดึงดูดความสนใจแล้วทำให้กองทัพจอมมารเชื่อว่าทั้งหมดเป็นการบุกไล่แบบสุ่มจากหลายๆจุด นอกจากนี้หน่วยดังกล่าวยังสามารถลอบเข้าไปตั้ง FOB ในพื้นที่ศัตรูได้ด้วย ทำให้ตอนการบุกใหญ่เริ่มขึ้น หน่วยนี้จะคอยตัดกำลังศัตรูให้จากแนวหลังของศัตรูเองเจ้าค่ะ ”

เธอพูดลากยาวอย่างมั่นใจ ชัดถ้อยชัดคำสมกับเป็นอดีตอัศวินของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ เธอมีแผนความคิดด้านสงครามสูงมาก แต่ว่านี้เป็นครั้งแรกที่เธอเสนออะไรได้น่าสนใจถึงขั้นที่อคโตหลุดยิ้มออกมา หรือแม้แต่มาร์เองก็ด้วย เขาหันไปมองยังเอนนาและทิเรียที่เป็นคนวางแผนการรบเป็นหลัก

“ คิดว่ายังไงล่ะ เอนนา? ทิเรีย? แผนนี้น่ะ ”

“ ถามชั้นสินะคะนายท่าน? อืม ก็ถือว่าเป็นแผนที่ดีเลยนะคะ ทั้งก่อความวุ่นวาย ทั้งสร้างความกลัวได้อีก ”

“ นั้นสินะเจ้าคะ อย่างที่ท่านพี่หญิงเอนนาว่าเจ้าค่ะนายท่าน เป็นแผนที่ดี แต่ดิชั้นเห็นว่าพวกเราควรถาม เทเสล่ากับเพนเทก่อนดีกว่านะเจ้าคะ ”

ใช่… มาร์ที่ฟังก็ค่อนข้างจะชอบแผนนี้มาก ถึงขนาดถามความเห็นกับเอนนาและทิเรีย ซึ่งทั้งคู่ก็มองว่านี้เป็นไปในแนวทางเดียวกันว่ามันมีประสิทธิภาพมาก ทว่าจะออกคำสั่งเลยไม่ได้ เพราะต้องถามคนที่อยู่ในแผนอย่างเทเสล่าและเพนเทด้วย ซึ่งทิเรียก็เป็นคนหันไปมองยังทั้งสองที่ คนนึงนั่งเล่นรถของเล่นบนโต๊ะ ส่วนอีกคนก็กำลังแต่งหน้าอยู่

“ น้องเทเสล่า น้องเพนเท ทั้งสองคนไหวหรือเปล่าที่จะรับงานนี้น่ะเจ้าค่ะ? ”

“ เอ๋ เทเสล่าเหรอ? เรา ก็อยากไปนะ แบบว่าเค้าเบื่อทำงานคุมโลจิสติคแล้วอ่า ได้ไปทำงานแนวหน้าแล้วได้แกว่งเลื่อยก็น่าตื่นเต้นดีด้วย ”

“ อืมม ส่วนตัวเค้าไม่มีปัญหาน้าพี่ทิเรีย จริงๆว่าไปแล้ว ก็ยินดีเลยล่ะ แบบถ้าตามที่ชาลีว่ามา แสดงว่าเค้าจะได้ไปรังแกศัตรูใช่ม้า? ยิ่งถ้าได้เห็นหน้าตอนที่พวกนั้นผิดหวังเพราะคิดว่ารอดแล้วด้วยนี่ อื้อ อื้อ ไป ไป!! ”

เทเสล่ากับ เพนเท ทั้งคู่ไม่ได้คัดค้านอะไรกับ กลับกันดูจะตื่นเต้นเสียมากกว่าโดยเฉพาะ เพนเท เธอยิ่งพูดยิ่งแสดงสีหน้าอันแสนจะน่ากลัวออกมา ดวงตาของความต้องการที่จะฆ่าเหยื่อ รอยยิ้มและมือที่เหมือนกับกำลังจำลองว่าตนอยู่ในสถานการณ์นั้นอีก

แอดด!!

“ นายท่านคะ ตอนนี้ใกล้ถึงจุดหมายแล้วค่ะ!! ”

“ อ่า ขอบใจมากนะจุส งั้นผมขอตัวก่อนล่ะ ”

อย่างไรก็ตามการประชุมก็ต้องหยุดลงอย่างที่ไม่ทันได้กล่าวปิดอะไร เพราะสัญญาณไฟแจ้งเตือนสว่างขึ้น พร้อมกับเสียงของสัญญาณเตือน สิ่งเหล่านั้นดังมาจากฝั่งของมาร์ พร้อมกับเสียงตะโกนของจุส ซึ่งมาร์พอรับทราบก็ลุกขึ้นแล้วพูดบอกกับทุกคนในโฮโลแกรมว่า

“ แผนการของชาลีใช้ได้เลย ยังไงก็ดำเนินการได้เลยนะ ”

พอมาร์พูดจบ เขาก็เดินยังประตูทางออกข้างเครื่องโดยไม่ได้ปิดโฮโลแกรมแต่อย่างใด ทำให้เห็นได้ว่าเหล่าเมดกำลังยืนทำความเคารพแล้วมองดูเขามาจากด้านหลัง มาร์นั้นหยิบสวมหน้ากากประจำตัวแล้วก็มองลงไปยังอุปกรณ์วัดระดับที่ติดที่แขน ตัวเลขของมันคือ 25000 Feet ( 7620 เมตร ) ก่อนที่จะรอ รอ รอ จนไฟเขียวขึ้น

“ ไปแล้วนะ!! ”

ฟุบ

มาร์กระโดดลงไป อย่างไม่สนอะไรอีก เขาทิ้งตัวผ่านอากาศลงไปอย่างเป็นอิสระ ทว่าทุกคนที่มองดูอยู่นั้นก็ต่างหันมามองกันก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติไป แล้วคนที่พูดถึงความปกตินั้นก็คือเอปต้าที่หันไปมองยังด้านหลัง ยังจุดที่วางของที่เขาวางเอาไว้

“ เดี๋ยวววน้าาา?!? นายท่านลืมร่มชูชีพ?!? อีกแล้ว!! ”

………………

… …

ความเงียบอันไร้ที่สิ้นสุดนี้มันคืออะไรกัน นั้นคงเป็นสิ่งที่คอนเซนเทลกำลังคิด เขาเดินไปข้างหน้าตามอยู่ห่างๆเด็กชายผู้เป็นหัวหน้าปาร์ตี้ที่จู่ๆท่าทีก็เปลี่ยนไป จากตอนแรก เขาเป็นคนร่าเริงคอยจับตาดูทุกคนทั้งยังทำหน้าที่ซัพพอร์ตอยู่ตลอด ตอนนี้กลายเป็นว่า เด็กชายคนนั้นเดินนำทุกคนโดยไม่พูดไม่จาทั้งสายตาของเขาก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

และความแปลกก็ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น สภาพแวดล้อมนับตั้งแต่ชั้นที่ถูกมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายคนรุมกระทืบ มันก็คล้ายกับว่าตอนนี้ตัวของคอนเซนเทลอยู่ในพื้นที่ที่ไม่อาจจะอธิบายความรู้สึกได้ง่ายนัก มันเหมือนกับว่าเขากำลังเดินอยู่ในป่าทั่วๆไป แต่ป่านั้นกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายโดยรอบ

“ นี้ชั้นที่เท่าไหร่แล้วนะอคโต… ”

“ ค่ะ!! ตอนนี้เราอยู่ที่ชั้นที่ 99 แล้วค่ะคุณมาร์!! ”

“ อืม เร็วดีนะ แต่บางทีมันก็เร็วไป ”

เด็กหนุ่มผู้นั้นพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาและเย็นชา น้ำเสียงของเขาทำให้คอนเซนเทลสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่าง โดยแท้จริงแล้วสิ่งที่เขากำลังสับสนกลับมีคำตอบอันน่าผิดหวังอย่างสุดๆ คำตอบที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มผู้นั้น ความคิดที่รู้สึกผิดพลาดของเขา

[ เห้อ… พวกมอนสเตอร์ลิงนี้แม่งน่าผิดหวังเกินไปละ ทั้งๆที่ตอนออกแบบเราก็คิดมาดีทุกอย่างแล้วว่ามันจะเป็นศัตรูที่ยากจะต่อกร ไม่ว่าจะการที่พวกมันมีแบบแผนความคิด มีการทำงานเป็นระบบ ประดิษฐ์และขโมบอาวุธมาใช้ได้ แต่ใครจะไปนึกละว่าการที่พวกมันมีความคิดมากไป จะกลายเป็นการขาดสัญชาตญาณที่จะรับรู้อันตรายที่มองไม่เห็นขนาดนี้…อันตรายจากสกิล!! ดูท่ายังไงก็ต้องแก้ แก้ แล้วก็แก้!! ]

นั้นคือความจริงที่อยู่ในหัวของมาร์ที่กำลังเดินนำหน้าทุกคนอยู่ตอนนี้ เขาวางแผนมาเป็นอย่างดีถึงมาตราการของมอนสเตอร์ในชั้นที่ 90 เป็นต้นมาว่าพวกมอนสเตอร์จำพวกลิง จะสามารถสู้กับศัตรูได้ด้วยการเรียนรู้จากศัตรูทั้งการใช้อาวุธ การใช้อะไรต่างๆ ทว่าปัจจุบันก็ยังไม่มีใครมาถึง มิหนำซ้ำกลุ่มแรกที่มาก็คือกลุ่มของมาร์ที่เขากำลังใช้สกิลที่ไม่อาจจะเรียนรู้ได้เลย

ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้ว พวกมอนสเตอร์นั้นไม่ได้อ่อนแออย่างที่มาร์คิด หากแต่เป็นตัวของเขาต่างหากที่แข็งแกร่งเกินไป การใช้สกิลต่างๆไม่มีร่องรอยให้ได้เห็น ไม่มีเวลาให้ต้องร่าย สิ่งเดียวที่สัมผัสคือความตายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่กว่าจะรู้ตัวก็คือช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไปเสียแล้ว ไม่มีเวลาได้ถ่ายทอดหรือบอกต่อเลยด้วยซ้ำ

“ คอนเซนเทลถึงตอนนี้จะเงียบๆ ยังไงก็อย่าลดการป้องกันลงเด็ดขาด เข้าใจหรือเปล่าคะ? ”

“ ข ข เข้าใจแล้วครับอาจารย์ แต่ว่าเงียบๆแบบนี้มันเกิดจากอะไรกันอย่างงั้นเหรอครับ?!? หรือว่ามอนสเตอร์พวกนั้นกำลังล้อมพวกเร… ”

อย่างไรเสีย ทางด้านอัศวินนั้นด้วยความที่เขาเริ่มจะมองดูรอบๆพร้อมกับลดการป้องกันลง ก็ทำให้อาจารย์อย่างอคโต ต้องหันไปเตือนด้วยท่าทีที่ไร้ความรู้สึกใดๆเช่นเคย แต่ก็นะในสถานการณ์ที่เงียบติดต่อกันมาหลายต่อหลายชั้น มันก็ทำให้อัศวินหนุ่มได้แต่สงสัยจนต้องถามออกมา

“ ชู่… เงียบๆหน่อยสิคะ คอนเซนเทล เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอกค่ะ ถ้าคุณมาร์เขายังเดินนำหน้าเราแบบนี้น่ะนะ ”

ทว่าแทนที่เขาจะได้พูดจนจบ อคโตก็ได้ใช้ซองดาบของเธอกดเข้าไปที่ปากของอัศวินหนุ่มอย่างรวดเร็วจนทำให้ตัวของคอนเซนเทลต้องหยุดพูดลง กระนั้นก็ตามการหยุดพูดของเขาก็ทำให้เขาได้เห็นด้านนึงที่เขาไม่เคยได้เห็นจากอคโตผู้เป็นอาจารย์ เธอนั้นกำลังพูดโดยที่มีรอยยิ้มอยู่บนหน้าที่ปกติจะนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก

“ ม ม ม หมายความว่าอะไรน่ะครับอาจารย์?!? การที่ท่านมาร์เป็นนักเวทย์ไปนำหน้าแบบนั้น?!? ”

“ นายก็เห็นไม่ใช่เหรอ คอนเซนเทลก่อนหน้านี้ตอนที่…มอนสเตอร์ในชั้นจู่ๆก็นอนหมดสติกันไปน่ะ ”

“ ครับ?!? ”

ตามคำพูดของอคโต มันก็ทำให้คอนเซนเทลนึกภาพเหตุการณ์ก่อนหน้า ภาพของมอนสเตอร์มากมายที่จู่ๆก็ล้มลงไปนอนหมดสภาพกันเสียหมด โดยที่ตัวของมาร์นั้นไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากยืนอยู่เฉยๆท่ามกลางพวกมัน แต่ไม่ว่า้ขาจะคิดเท่าไหร่มันก็ไม่มีคำตอบให้กับเขาเลย

“ ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่ายังไม่เข้าใจสินะคะ… อืม ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ที่นายจะเป็นแบบนั้นเพราะแม้แต่ตัวของดิชั้นเอง ก็ไม่อาจจะเข้าใจได้นอกไปจากว่า ทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือของเขา ”

อคโตหันไปมองมาร์ที่ยังคงเดินนำต่อไปด้วยรอยยิ้มนั้น รอยยิ้มที่ตอนแรกแสดงถึงความสุขได้แปรเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มของหญิงที่ลุ่มหลงในบางสิ่ง นี้ถ้าเขาได้เห็นว่าดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากด้วยละก็ คอนเซนเทลคงต้องล้มลงไปนั่งกับพื้นเพราะความตกใจแน่ๆ เพราะตอนนี้ดวงตาของอคโตกลายเป็นสีทองเปร่งประกายพร้อมทั้งเต็มไปด้วยความรู้สึกต้องการอย่างร้อนแรง จนใบหน้าของเธอที่ควรจะเป็นดั่งตุ๊กตาก็เริ่มจะแดงออกมาให้ได้เห็น

แซก แซก

“ โอ… ดูท่าจะมีบางตัวที่ไม่เป็นอะไรสินะ ก็สมแล้วที่เป็นชั้นที่ 99 ”

แต่แล้ว โอกาส 1 ใน 100 ก็กำเนิดขึ้น เสียงบางอย่างแทรกผ่านพุ่มไม้และเจ้าของเสียงก็ค่อยๆก้าวเดินออกผ่านพุ่มไม้นั้นออกมาโดยมาร์ก็มองดูอยู่ตลอด สิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์อีกครา ทว่ามันเต็มไปด้วยขนสีดำสนิทแถมบนร่างกายก็ยังมีการเอาอะไรบางอย่างสีขาวมาทาไว้บนร่างกายเป็นเหมือนกับโครงกระดูกอีกต่างหาก ไหนในมือของมันยังจะถืออาวุธที่ถือว่าเป็นของเด่นของยูโทเปียอีก… ปืน

แกรก…แกรก

[ เดี๋ยวนะ…? ทำไมจู่ๆ ]

และทันทีที่มันออกมาได้มันก็ยกปืนขึ้นมาเล็งใส่มาร์ในทันที ทว่าแทนที่มันจะเล็งแล้วเหนี่ยวไกล มันกลับค่อยๆลดปืนลงอย่างช้าๆ พร้อมกับชูขึ้นราวกับยอมแพ้ การกระทำนั้นทำให้มาร์นั้นถึงกับต้องประหลาดใจ เช่นกันอคโตกับคอนเซนเทลที่พร้อมจะปะทะก็ได้แต่ยืนถืออาวุธของตนเอาไว้ แต่นั้นก็ไม่ใช่ที่สุดของความน่าประหลาดใจเพราะว่าจู่ๆมันก็อ้าปากแล้วก็…

“ ไม่เอาล่ะ… 3 ต่อ 1 แถมคนนึงยังเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังขนาดนั้นอีก ข้า ขอ ยอมแพ้ละกัน ฮ่าๆๆ ”

[ หมายความว่ายังไงกัน?!? ทำไมมอนสเตอร์จู่ๆถึงพูด… แถมยังยอมแพ้?!? ห๊ะ?!? อึก…เท่าคนเลยไหมล่ะนั้น ]

มาร์ที่ได้สติกลับมาก็รีบเปิดดูสเตตัสของมันในทันทีแล้วก็พบว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไปจากมอนสเตอร์ทั่วๆไป ตามหลักนั้นมอนสเตอร์จะมีค่าสเตตัสนึงที่น้อยมากๆคือ WISDOM อยู่ที่ประมาณ 10 ถึง 20 เท่านั้น กล่าวคือขาดเชาวน์ในการแก้ปัญหาหรือวางแผน ทำให้พวกมอนสเตอร์ส่วนใหญ่จะรู้แค่ว่าไม่บุกก็จะถอยและทำตามสัญชาติญาณเป็นหลัก แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นต่างออกไปมันมี WISDOM สูงถึง 66 มากกว่ามนุษย์ทั่วๆไปเลยทีเดียว แถมยังรู้ภาษากลางอีกด้วย

“ อะไรนะ นี้มอนสเตอร์อย่างแกยอม?!? ไม่มีทาง!! ”

คอนเซนเทลนั้นเดินขึ้นหน้ามาพร้อมกับใช้ดาบชี้ไปที่มันแล้วก็ถามด้วยท่าทีที่ยังไม่ไว้ใจกับการยอมแพ้ของมัน ทว่าเจ้ามอนสเตอร์ตรงหน้านั้นกลับคุกเข่าลงอย่างช้าๆแล้วก็เอามือรวบไว้ข้างหลังหัวของตน

“ แบบนี้ พวกนายจะเชื่อได้หรือยังล่ะ เห้อ… ยังไงอย่าฆ่าข้าก็พอนะ อ๊ะ!! อย่าทรมานด้วยได้ก็ดี ”

“ นั้นสินะ… อคโตจับกุมไว้ที ”

“ ค่ะ!! ”

สิ้นคำสั่งของมาร์ อคโตก็รีบเดินเข้าไปพร้อมกับใช้กุญแจมือเหล็กที่หยิบออกมาจากในกระเป๋าล็อคมือทั้งสองของมอนสเตอร์ประหลาดนี้ไว้ข้างหลังของมันเอง ก่อนที่มาร์จะค่อยๆเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหน้าแล้วก็ก้มลงมาดูใกล้ๆ พร้อมกับหยิบเอาปืนที่เป็นอาวุธของมันขึ้นมาดู

[ อืม…รูปลักษณ์ ลิงชีแปนซี ขนาดใหญ่กว่าปกติ 1.5 เท่า ร่างกายมีขนหนาและดวงตากับปากมีการพัฒนาการให้สามารถพูดได้ชัด แต่ว่าไอปืนนี้… ]

ทว่าพอมาถึงในส่วนอาวุธ มาร์นั้นก็ยิ่งมองและตรวจสอบมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันมีการลงรหัสในตัวปืนที่แตกต่างจากปืนที่ขายอยู่ข้างบน ทำให้มั่นใจได้หนึ่งอย่างว่าปืนนี้ไม่ได้มาจากการตายของนักพจญภัย แต่ว่าการที่มันไม่มีตัวรหัสนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวรหัสอื่นให้ได้เห็น

[ เดี๋ยว… นี้มัน อยากบอกนะว่าเจ้าพวกนี้ ]

“ นายน่ะ…ไปได้เจ้าสิ่งนี้มาจากไหนเหรอ? ”

มาร์นั้นสังเกตุอะไรได้แล้วนั้นก็ทำให้เขาถามออกไปในทันที และนั้นก็ทำให้ผู้ถูกถามอย่างมอนสเตอร์ที่ถูกพันธนาการตรงหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะค่อยๆเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพมากๆ จนบางทีก็น่าสงสัยว่ามอนสเตอร์นี้ไปเรียนรู้มารยาทขนาดนี้มาจากไหน

“ อ่า… ครับ ก็ได้มาจากตอนออกไปล่าพวกคนเถื่อนในชั้นบนก่อนหน้านี้น่ะครับ นานๆทีก็มีพวกมันดรอปของพวกนี้มาบ้างน่ะครับ ”

“ นั้นสินะ… ”

ด้วยคำตอบนั้นมาร์ก็ยืนยันได้ในสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ เช่นกันอคโตก็ทำหน้าเหมือนกับว่าเธอเองเข้าใจแล้ว แต่อัศซินหนุ่มนั้นไม่ใช่ เขายังคงสับสนแล้วเอาแต่ยืนงง ทว่าก็ไม่อาจจะถามหรือทำอะไรได้เพราะเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดมาร์ในตอนนี้

[ อย่างที่คิดเลยแหะ ปืนพวกนี้เป็นของดรอปในหอคอย หมายความว่า เจ้าพวกนี้…ปฏิเสธกฎตามปกติที่มอนสเตอร์จะไม่ล่ากันสินะ แถมยังเดินทางไปมาระหว่างชั้นอีก อืมม ลิงที่อคโตออกแบบไม่แน่บางทีอาจจะมีอะไรมากกว่าที่คิดก็ได้นะเนี่ย นั้นสินะ หมายความว่าชั้นถัดไปคงไม่ได้จะมีห้องบอสอย่างเดียวที่เราออกแบบให้มีแน่ๆ… อืมม น่าสนใจ น่าสนใจ ]

มาร์ยืนนิ่งไปชั่วครู่ ส่วนอคโตก็คอยจับตาดูเจ้ามอนสเตอร์นี้เอาไว้เช่นกัน แต่ว่ามอนสเตอร์ถูกจับไว้ก็ก้มหน้าลงราวกับว่าตัวเองหมดหวังอะไรสักอย่างซึ่งก็ไม่นานนักที่มาร์จะเดินเข้าไปหาเจ้ามอนสเตอร์นี้แล้วก็ก้มตัวลงเพื่อกระซิบเข้าที่ข้างๆหูของมันอย่างช้าๆ คำพูดที่อัดแน่นไปด้วยมานา

“ นำทางเราไปยังที่ที่นายมา… ”

“ ครับท่าน ”

……

แพละ แพละ แพละ ผัวะ

“ อึก…ไอพวกมอนสเตอร์ ชัก…จะมากเกินไป… อุ๊ค!! ”

“ พยายามเข้านะคอนเซนเทล ”

“ เจี๊ยกกก!! ”

“ อ๊ากกกก อ๊ากกก กี๊!! ”

ภายในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย คอนเซนเทลก็ยังคงเป็นเป้าให้มอนสเตอร์ที่ถูกเรียกว่าลิงรุมประชาทัณฑ์อย่างเมามันส์อยู่เช่นเดิมแต่เพิ่มเติมคือแรงของเขาก็หายไปมากแล้วจากการที่ต้องหลบพวกมันอยู่ตลอด ส่วนมาร์เขาก็นั่งเชียร์อยู่ร่วมกับฝูงลิงที่อยู่ใกล้กันๆ

“ เจี๊ยกๆๆๆ อุ๊ๆๆ ก๊าๆๆๆ ”

“ ข ข ขอบใจนะ ”

“ กี๊ๆๆๆ ”

ส่วนอีกคนนั้นตอนนี้ก็ไม่ได้จะมานั่งดูเหมือนกับมาร์ เพราะว่าเธอกำลังถูกเชิดชูโดยพวกลิงในระดับที่พวกมันเริ่มจะต่อแถวเข้ามาถวายผลไม้พร้อมกับรอรับการลูบหัวโดยหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะพากันเดินออกไปด้วยใบหน้าที่มีความสุขพร้อมกับคอยลูบหัวของตัวเองตลอดเวลา

“ น น นายท่านคะ… ”

“ อ่าๆ เห้อ…เอาล่ะ พวกแกทุกตัวจงหลับ ”

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะฝั่งอคโตหรือคอนเซนเทลก็ทำอะไรไม่ได้เลย มาร์ที่เฝ้ามองดูมาสักพักใหญ่ๆ ก็ค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะถอดหายใจด้วยความผิดหวังเล็กน้อยแล้วก็เริ่มพูดออกมา คำพูดที่มีกระแสสีฟ้าบางอย่างล่องลอยไปรอบๆ

“ ก ก กี๊???? … ”

“ เจี๊ย… คร่อก… ”

“ เอ้า เรียบร้อย ไปกันต่อเถอะ ”

“ ค ค ค่ะ!! ”

และทันทีที่พวกลิงนั้นได้ยินคำพูดของมาร์ พวกมันก็ร่วงโรยลงไปนอนหลับอยู่บนพื้นกันเสียหมดอย่างที่ไม่มีตัวไหนอาจจะต่อต้านหรือยืนต่อไปได้ อย่างไรก็ตามมาร์พอได้เห็นผลลัพธ์เขาก็เดินต่อไปในทันทีด้วยใบหน้าที่เบื่อหน่ายอะไรบางอย่าง เช่นกันอคโตที่เห็นก็รีบวิ่งตามไปในทันที

“ เกิดอะไรขึ้น…ทำไมจู่ๆพวกมัน…!?? ”

ทว่าทางด้านของอัศวินหนุ่มนั้น เขาได้แต่ยืนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ภาพตรงหน้าของมอนสเตอร์นับสิบ นับร้อยกำลังนอนหมดสภาพราวกับตายอยู่ โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรพวกมันเลย ไม่แม้แต่จะใช้ดาบทั้งสองในมือฟันโดนพวกมัน

“ หืมม ยังไม่ตามมาอีก มัวแต่เหม่ออะไรล่ะนั้น ”

มาร์เองนั้นรับรู้ได้ว่ามีเพียงคนคนเดียวที่เดินตามมาจากด้านหลัง นั้นทำให้เขาหันกลับไปมองยังอีกคนที่ยังนิ่งอยู่ คอนเซนเทล สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความสับสน ความเหม่อลอยอันไร้ที่สิ้นสุดราวกับว่าตอนนี้เขากำลังไปยืนอยู่ ณ ใจกลางพื้นที่อันว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด

[ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกมันจู่ๆก็วูบลงไป ฝีมือ…ท่านมาร์งั้นเหรอ?! แต่ได้ยังไงกัน ไม่สิ?!? ตั้งแต่ตอนผู้เฝ้าชั้นแล้วนะ?!? ไม่ใช่ว่าท่านเป็นนักเวทย์สนับสนุนงั้นเหรอ?!? แต่…อาจารย์ก็บอกว่าเขา… หมายความว่ายังไงกัน?!? เรา เรา อึก… ]

“ คิดอะไรฝุ้งซ่านจังเลยนะ ”

“ ค ครับ?!? ”

คอนเซนเทลหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้น คำพูดของมาร์ หัวหน้าปาร์ตี้ที่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยจนให้ความรู้สึกที่น่าสับสน ทว่าคำพูดและน้ำเสียงของเขานั้นกลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดหลายๆความหมาย

“ ไม่ต้องมา ครับเล้ยย!! ปะ …ไปกันต่อได้แล้ว!! ”

“ !! ครับผม !! ”

อย่างไรก็ดี คนตรงหน้านั้นเปลี่ยนท่าทีจากตอนแรกที่นิ่งเฉย เขากลับยิ้มขึ้นมาพร้อมกับกวักมือเรียกอัศวินหนุ่มด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม นั้นทำให้คอนเซนเทลได้สติกลับมาแทบจะในทันที นั้นทำให้ร่างกายของเขารีบเดินตรงไปยังหัวหน้าปาร์ตี้โดยที่ไม่ได้มองหรือสนใจมอนสเตอร์รอบๆเลย

… … …

แซก แซก แซก

“ ชั้นนี้ยาวได้เรื่องเลยนะ…อคโต ”

“ ค่ะคุณมาร์…ตามที่ดิชั้นได้สร้… ได้รับรู้จากสกิลสำรวจ ขนาดคร่าวๆ ราว 35 กิโลเมตรเห็นจะได้ค่ะ ”

“ 35 กิโลเมตร? ไกลดีแหะ แต่ว่านะอคโต ผมล่ะสงสัยจริงจริ๊ง ทำไมพวกลิงนั้นมันถึงได้ต้อนรับเธอดีขนาดนั้น ว่าไหมล่ะ? ”

“ … ”

ในระหว่างที่เดินไปนั้น มาร์ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาอีกครั้ง เบาจนขนาดที่คอนเซนเทลไม่อาจจะได้ยิน ไม่สิเขาเดินนำหน้ามากไปจนตอนนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ยินคำพูดนั้นผ่านเสียงใบไม้ใบหญ้าที่ตนเองกำลังเดินฝ่า กระนั้นก็ดีอคโตที่ถูกถาม เธอก็พยายามจะหลีกหน้าไม่บอกตรงๆกับนายท่านของเธอ

“ อคโต อย่าหลบหน้าอย่างงั้นซิ นี้ไปตั้งอะไรไว้หรือเปล่า ? ”

“ …ค…ค่ะ ”

มาร์ที่จ้องมองไปยังอคโตด้วยสายตาที่คมกริบนั้นก็ทำให้ อคโตตอบกลับในทันที โดยที่ตัวของเธอเองก็ไม่อาจจะห้ามไว้ได้ ไม่สิ…เรียกว่า ไม่มีโอกาสจะได้ห้ามตัวเองไม่ให้พูดเลยจะดีกว่า

“ อืม อืม ว่าแต่ไปตั้งค่าอะไรไว้ล่ะ ”

นายท่านของเธอถามอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ต่างออกไปมากเพราะคำพูดของเขานั้นแสนจะเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ ทำเอาอคโตถึงกับขนลุกวาบไปทั่วตัวแม้ว่าเธอจะไม่มีขนบนร่างกายเลยก็ตาม กระนั้นก็ดีเพียงไม่ถึงวินาทีเธอก็ตอบกลับด้วยสีหน้าที่รับรู้ได้ถึงความรูู้สึกผิดในการกระทำนั้น

“ ก ก็…ตั้งค่าให้พวกมัน ทำตัวดีๆกับดิชั้น…แล้วก็ผู้หญิงค่ะนายท่าน ”

“ อ่าาา แบบนั้นพวกลิงนั้นเลยบูชาเธอสินะ ลิงที่มีสติปัญญามากกว่ามอนสเตอร์ก่อนหน้าน่ะ หืมมม? "

“ ใช่แล้วค่ะนายท่าน ถ้าไม่ใช่ลิงพวกนี้…คำสั่ง ก็คง…!! คะนายท่าน!! ”

ด้วยคำตอบนั้นของอคโต ก็ทำให้มาร์ถึงกับกุมขมับไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆหันไปมองรอบๆแล้วกลับมาหยุดมองยังอคโตที่เดินอยู่ข้างๆเขา ก่อนที่ตัวของเขาจะเอ่ยปากออกมาพร้อมกับวางมือลงบนบ่าของอคโตอย่างอ่อนโยน

" เห้อออ คือจริงๆผมก็รู้นะว่าอคโตน่ะเมตตาต่อสัตว์มากกว่าคน จนบางทีก็ไม่ลงมือฆ่าน่ะ ไม่สิเกือบทุกทีเลยต่างหาก แต่ว่ายังไงที่นี้ก็คือหอคอยทดสอบนะ จะให้มามีจุดอ่อนด้วยเรื่องเพศไม่ได้หรอก ยังไงออกไปก็ต้องไปแก้ด้วยนะ? เข้าใจหรือเปล่า? ”

“ รับทราบค่ะ!! ”

แซก แซก ฟุบ เก็ง

“ ลอบโจมตีอย่างงั้นเหรอ!! เจ้ามอนสเตอร์!! ”

แต่ในระหว่างที่อคโตกำลังตอบรับการให้อภัยและคำสั่งใหม่ของมาร์อยู่นั้น การโจมตีบางอย่างก็พุ่งเข้าใส่คอนเซนเทลที่เดินนำหน้าอยู่ ดีที่ว่าเขาใช้ดาบปัดการโจมตีนั้นออกไปได้ ทว่าการโจมตีดังกล่าวก็เร็วจนเขาที่เผลอไม่อาจจะมองตามได้ทัน ทว่ากับอีกคนนั้นไม่ใช่

“ ใช้หอก… แถมยังใส่เกราะหนังด้วย พวกลิงประเภทอารักขานายใหญ่ล่ะมั้ง? ”

อย่างที่มาร์พูด บางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าข้างคอนเซนเทล พวกมันไม่อาจจะหลบสายตาของมาร์ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เหมือนกับหลังบ้านของเขาแบบนี้ ลิงประเภทเดียวกันกับก่อนหน้าทว่า มันกลับถือทั้งหอกที่ทำจากโลหะประหลาด อีกทั้งยังสวมเกราะทำจากหนังมอนสเตอร์ระดับกลางไว้อีก

“ จะว่าไปแล้ว คอนเซนเทล ”

“ ค ครับ!! ”

“ เจี๊ยกๆๆๆ ”

“ อู้ๆๆๆ ”

ทว่ามาร์นั้นไม่ได้สนใจในตัวพวกมันมากนัก เขากลับมองไปยังคอนเซนเทลที่กำลังตั้งรับเตรียมปะทะตรงๆกลับพวกมันอยู่ เขาพูดออกมาก่อนจะเดินเข้าไปหาอัศวินหนุ่มโดยในมือไม่มีอาวุธใดๆนอกไปจาคฑาหนึ่งด้าม

“ ไหนๆ เมื่อกี้ก่อนมา ยังเหม่ออยู่ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ไปคุ้มกันอคโตก่อนก็แล้วกันนะ ”

“ ครับผม!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะครับ ”

“ อ๋อ…อีกอย่าง ”

“ ครับ?!? ”

แต่แทนที่คอนเซนเทลจะได้เดินตรงเข้าไปอยู่กับอาจารย์ เขาก็ถูกเรียกโดยมาร์ผู้ที่ยืนนิ่งไม่สนใจว่าจะโดนโจมตีหรือไม่ ในสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ที่เลวร้ายจากการถูกล้อมเอาไว้แบบนี้ กระนั้นในตอนที่คอนเซนเทลกำลังจะได้เดินออกไปเขากูถูกเรียกไว้อีกครั้งโดยหัวหน้าปาร์ตี้

“ อ่า ก็แค่จะบอกว่าคอยจับตาดูผมแล้วเก็บไปปรับใช้ ”

“ ยังไงนะครับ?!?! เดี๋ยว!! ดาบผม?!? อ๊ะ!! ”

เช่นเคยพอพูดจบ มาร์ก็เดินเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าว โดยที่ในมือของเขานั้นตอนนี้กำลังถือดาบสีแดงของคอนเซนเทลเอาไว้ ไหนตัวเขาจะยังค่อยๆเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังพร้อมกันกับเตรียมโจมตีได้เสมอ

กี๊!! กี๊!! กี๊!!

“ สามตัวเองเหรอเนี้ยแย่จัง ”

ฟุบ ฟุบ ฟุบ

เพียงเสี้ยววินาทีลิงทั้ง 3 ตัว ก็ล้มลงมานอนเป็นเศษซากอยู่เบื้องหน้าของมาร์ ร่างของพวกมันนั้นถูกฟันขาดออกเป็น 3 ส่วน ผ่านการตวัดดาบที่เร็วจนมองอะไรไม่เห็น เร็วเสียจนเหมือนกับว่าโลกของผู้มองตอนนี้เห็นเพียงแค่ว่าเจ้าตัวกำลังยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยสักนิด

“ หน้าแบบนั้นคงจะมองไม่ออกสินะว่าเมื่อกี้ทำอะไร… ”

“ ครับ… ”

และด้วยการโจมตีที่เหนือกว่าที่คอนเซนเทลจะเข้าใจได้ ก็ทำให้เขายืนมองอย่างสับสนจนแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด มาร์เห็นเช่นนั้นก็เลยถามไปก่อนจะเดินเข้ามาหาแล้วยื่นดาบคืนให้

“ เมื่อกี้ คือทักษะดาบที่นายเองไม่สามารถทำได้หรอกนะคอนเซนเทล เพราะมันต้องคอยควบคุมมานาอยู่ตลอด อีกทั้งต่อจากนี้…จะเป็นสิ่งที่นายยิ่งจะทำไม่ได้แน่ๆ แล้วก็เป็นเหตุผลที่ผมเลือกให้อคโตสอนนายแทนผม ”

“ อึก…ครับ ”

เขาพูดแค่นั้น ก่อนจะหันหลังกลับไปพร้อมกับเริ่มจะเดินนำต่อและนี้ก็เป็นการเดินนำในแบบที่ผิดจากก่อนหน้าที่ผ่านมา ที่มาร์จะเป็นซัพพอร์ตยืนหลังแล้วเฝ้ามองดูเฉยๆ ทว่าตอนนี้เขาคอยสังหารมอนสเตอร์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วผ่านการหันไปมองก็แค่นั้น ใช่…การมองที่สายตาของคอนเซนเทลไม่อาจจะรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเจ้าตัวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้รอบๆตัว มอนสเตอร์จำนวนมากกำลัง… หายไป

[ อึก…ถึงนายท่านก้าวข้ามสามัญสำนึกไปนานแล้วก็จริง แต่นี้มัน…มานาจำนวนมากขนาดนั้น ]

ทว่าอคโตนั้นต่างออกไป ดวงตาของเธอที่มองดูอยู่ก็เห็นในสิ่งที่คนทั้วไปไม่อาจจะเห็น ภาพของกระแสมานาสีฟ้าปนแดงเลือดผสมกับสีดำบางอย่าง มันพุ่งเข้าไปยังลิงที่ซ่อนตัวอยู่ก่อนจะห่อหุ้มพวกมันและทำให้พวกมันถูกบีบอัดจนกลายมาเป็นลูกบอลก้อนเนื้อขนาดเท่าลูกกอล์ฟ โดยพวกมันนั้นไม่อาจจะรับรู้ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ทันจะได้ส่งเสียงร้องออกมา อย่างไรก็ตามการที่พวกมันตายลงแบบนี้มาร์ก็บ่นพึมพำเบาๆออกมาด้วยใบหน้าที่เซ็งอย่างเห็นได้ชัด

“ ฮ่าาาห์ ไม่อยากนำหน้าเพราะมันจะน่าเบื่อแบบนี้ไง…มอนสเตอร์ที่ระดับความทนทานต่ำกว่าเศษมานาของเรา แค่โดนมานาเท่าฝุ่นห่อหุ้มเข้าไปก็ละลายหมดแบบนี้ เห้ออออ ตายง่ายกันชะมัด มีสมองแต่ร่างกายอ่อนแอกว่ามอนสเตอร์ชั้นก่อนหน้านี้ก็เป็นจุดอ่อนแหะ แต่ยังไงก็เหอะ ออกไปคงต้องให้อคโตฝึกคอนเซนเทลหนักๆล่ะมั้ง ไม่ดิ ให้ดีย์โอะคงจะดีกว่า ส่วนมอนสเตอร์ชั้นพวกนี้…คงต้องปรับอีกเพียบ อย่างแรกกระทืบไม่สนเพศ อย่างสองร่างกายต้องทนมากกว่านี้ ใช่ ใช่ อืม… ”

……

ท่ามกลางป่าไม้มากมายที่อยู่ในหอคอยเดียวกันนั้น ที่ชั้นที่ 62 ปาร์ตี้ราชินีสีขาวกำลังมุ่งหน้าไปยังชั้นถัดไปอย่างระมัดระวัง ทั้งหมดเดินเรียงแถวคู่ขนานกันไป โดยปาร์ตี้ที่ว่านั้นก็นำโดยโซเฟียกับเอล่าโดยต่างคนก็ต่างนำขบวนแถวซ้ายและขวา ทว่าการที่พวกเธอไปอย่างระมัดระวังนั้นก็ทำให้สังเกตุร่องรอยบางอย่างเข้าจนได้

“ อึก…สภาพแบบนี้มัน ”

“ นั้นสินะ ดูท่าเราจะเข้าพื้นที่ของผู้เฝ้าชั้นแล้วล่ะสิ ”

โซเฟียนั้นรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร ผิดกับน้องสาวที่ตอนนี้ดูจะกลัวๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาชัดเจนมาก ต่างกับสมาชิกปาร์ตี้ที่ดูจะหน้าซีดลงอย่างชัดเจนโดยเฉพาะพวกผู้ชาย พวกเขาถึงกับสั่นกันจนแทบจะล้มลงไปนั่งกับพื้นเลย

“ รอยเลือดกับรอยกรงเล็บ? อืม…เยอะขนาดนั้น ทุกคนระวังตัวด้วยล่ะ อย่าเสียงดังเด็ดขาด… ”

อย่างที่เห็นพื้นที่ด้านหน้าเต็มไปด้วยเลือด กับรอยขีดข่วนมากมายนับไม่ถ้วนจนโซเฟียหันมามองพร้อมกับออกคำสั่งในทันที ทำให้พวกสมาชิกปาร์ตี้หญิงยกปืนขึ้นมาแล้วเริ่มเล็งไปรอบๆ ซ้าย ขวา หน้า หลัง อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินต่ออย่างช้าๆไปเรื่อยๆ และยิ่งเดินก็ยิ่งเจอซากเหยื่อมากมาย

“ พี่คะ…นั้น… ”

“ หยุด… ”

ถึงจุดนึง เอล่าก็มองเห็นกองของที่วางทิ้งเอาไว้อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ของที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนแผ่นเหล็กประหลาดสีออกแดงอ่อนๆ ขนของสัตว์ที่หนาและมีสีแดง และสุดท้ายหัวของเจ้าของพวกนั้น หัวของมอนสเตอร์ประหลาดที่มีเขี้ยวยาวราวกับมีดสั้นพร้อมกับดวงตาที่ยังสดเหมือนกับว่ามันยังไม่ตาย นั้นทำให้โซเฟียสั่งหยุดในทันที

“ เอล่า เราจำมอนสเตอร์ในชั้นนี้ได้ใช่ไหม? เข้าไปตรวจสอบก่อน…ระวังด้วยล่ะ ”

“ ค่ะหัวหน้า ”

และเมื่อโซเฟียสั่งเช่นนั้นเอล่าก็เดินเข้าไปสำรวจอย่างช้าๆ โดยเธอยังคงหันปืนไปรอบๆพร้อมกันกับระวังทางเดินเพื่อกันไม่ให้ไปเหยียบอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดเสียงดัง ทำให้ระยะทางที่แสนใกล้นี้มันกลับไกลสุดๆ อย่างไรก็ตามพอเธอมาถึงก็เริ่มสำรวจของเหล่านั้นอย่างระมัดระวังโดยมีปาร์ตี้คอยระวังหลังไว้ให้

“ หัวหน้าคะ… ปลอดภัยค่ะ ”

“ อ่า…ทุกคนลดการระวังลงได้ ”

หลังจากที่เธอตรวจสอบอยู่สักพักก็ได้คำตอบที่ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับปาร์ตี้ สิ่งที่ตกอยู่อย่างหัวของมอนสเตอร์นั้นพอจะระบุได้ว่ามันคือมอนสเตอร์ที่ไม่มีอยู่ในชั้นนี้ นั้นทำให้เธอหันมาบอกกับโซเฟียด้วยสีหน้าที่สบายใจผิดจากตอนแรกสุดๆ โซเฟียผู้เป็นพี่เองพอได้เห็นว่าน้องสาวแสดงท่าทีแบบนี้ เธอก็ผ่อนคลายลงตามไปด้วย

“ ว่าแต่ไม่ใช่ของมอนสเตอร์ประจำชั้น งั้นก็เป็นผู้เฝ้าชั้นแบบที่พี่คิดสินะ? ”

“ ค่ะหัวหน้า…ค่ะพี่ รูปลักษณ์หน้าตาดุขนาดนี้ไม่มีทางมาอยู่ในชั้นนี้ได้หรอกค่ะ แต่ว่าก็น่าแปลกนะคะที่คนที่จัดการมันได้ แต่ไม่เอาไปด้วย ”

“ นั้นสินะ…แปลกเกินไป ”

ทว่าพอผ่านจุดอันตรายมาได้ ก็มาถึงจุดของความสงสัย เอล่านั้นสงสัยในสิ่งของที่ตกอยู่ ทว่าโซเฟียน่ะต่างออกไปมาก เธอกำลังมองไปรอบๆสถานที่นี้และไม่ว่าจะมองไปมุมไหนร่องรอยของการต่อสู้ที่ควรจะมีนั้นก็ไม่ปรากฎอยู่เลย ทั้งรอยกระสุน รอยการฟันด้วยอาวุธ หรืออื่นใดนั้น ไม่มีเลยสักจุด

“ แต่ช่างเถอะ ยังไงถ้าไม่เอาเราก็เอาไปได้นี่ ของสำคัญขนาดนี้ถ้ากิลล์ได้ไปคงดีใจแย่ เห้ย!! พวกนายน่ะ มาเก็บของพวกนี้ไป เร็วเข้า!! แล้วก็ระมัดระวังด้วยล่ะ โดยเฉพาะหัวของผู้เฝ้าชั้นน่ะ!! ”

“ ค ค ครับ!! ”

โซเฟียนั้นหันกลับไปยังปาร์ตี้ของเธอแล้วก็สั่งด้วยน้ำเสียงที่ดุและจริงจัง ทำให้สมาชิกปาร์ตี้ที่เป็นผู้ชายรีบวิ่งเข้ามาเก็บทุกอย่างที่ตกอยู่ โดยเฉพาะหัวของมอนสเตอร์ตัวนี้นั้นพวกเขาเก็บอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะถ้ากลับขึ้นไป เจ้าหัวนี้จะเป็นของที่กิลล์ต้องการเอาไปศึกษาแน่ๆ

“ อืมมมมม?? ”

[ จะว่าไปแล้วก็แปลกๆแหะ ถ้าไม่ใช่เด็กคนนั้นแล้ว ]

ทว่าเอล่านั้นในระหว่างที่กำลังเห็นพี่สาวของเธอสั่งนู้นนี้อยู่ ใจของเธอก็เหมือนจะเอะอะไรได้ การเอะใจที่เหมือนกับพี่ของเธอที่เป็นผลจากการมองไปรอบๆเพื่อสำรวจพื้นที่พร้อมกับนึกถึงสิ่งที่พี่สาวพูด มาร์ ชายที่สร้างปืนขึ้นมา ทว่าในพื้นที่ของการต่อสู้นี้ไม่มีร่องรอยของการยิงปืนเลย

[ แบบนี้แล้วใครกันน๊า? ที่ฆ่าผู้เฝ้าชั้นลงได้?? ]

“ เอล่า! ไปกันต่อได้แล้ว ”

“ คะ?!? ”

ด้วยการที่เห็นแบบนั้นก็ทำให้เธอสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นคนจัดการกับผู้เฝ้าชั้นลง อย่างไรก็ตามเธอไม่มีเวลาให้คิดมากนักเพราะตัวของพี่สาวกำลังเรียกให้เธอตามไป และด้วยหน้าที่กับการถูกเรียกนี้เองก็ทำให้เธอรีบตามไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามตอนที่วิ่งออกไปนั้น เอล่าก็ได้เหลือบกลับมามองยังบริเวณที่เจอของพวกนั้นพร้อมกับคิดในใจว่า…

[ ตอนนี้คนที่ไปก่อนเราตอนนี้กำลังจะเจออะไรอยู่น้า… ไม่แน่ อาจจะอยู่ที่ชั้นที่เกินกว่าพวกเราไปแล้วก็ได้มั้ง หุหุ น่าสนุกดีจังแหะ หวังว่าจะไม่ตายซะก่อนนา ]

… … …

อู๊ อู๊ อู๊ อู๊กี๊!!!

“ โอ้ววววว!! ”

“ ลำบากเลยเนอะอคโต ”

“ นั้นสินะคะ ”

กลับกันที่ชั้นลึกลงไปอีก ชั้นที่ปาร์ตี้ผู้สังหารผู้เฝ้าชั้นกำลังอยู่นั้น พวกเขากำลังพบกับการต้อนรับโดยมอนสเตอร์ประจำชั้นอยู่ ไม่สิ ต้องเรียกว่า 1 คนเท่านั้นที่โดนต้อนรับอย่างไม่เป็นมิตรและที่เหลือก็ไปกันคนละแบบ คนนึงโดนเมิน ส่วนอีกคนก็เป็นการต้อนรับดุจพระเจ้า

“ ท่านมาร์ อาจารย์!!! ช่วยผมด้วยยยย!! ”

และคนที่ได้รับการต้อนรับแสนเลวร้ายนั้นก็ไม่ใช่ใคร นอกไปจากพาลาดินหนุ่ม คอนเซนเทล ตอนนี้เขากำลังโดนทั้งก้อนหิน แท่งไม้ และสิ่งปฏิกูลอย่างมูลสัตว์ โดยพวกที่ทำก็คือมอนสเตอร์คล้ายมนุษย์ต่างเพียงมีขนทั่วทั้งตัวและใบหน้าที่ดูหนากับแขนที่ยาวกว่าขา

“ ว่าแต่พวกลิงเนี่ย ดูแล้วจะติดเธอจังเลยนะอคโต ”

“ ค…ค่ะ คุณมาร์ จริงๆเรียกว่าลีเมอร์กลายพันธุ์จะดีกว่านะคะ ”

“ เดี๋ยวนะ? ลีเมอร์มันตัวสีขาวดำแล้วก็เล็กกว่านี้นิ?? ”

“ ก็มันกลายพันธุ์ยังไงล่ะคะ แบบผสมกับชิมแปนซีน่ะค่ะ… ”

ส่วนทางด้านของมาร์ ใช่ เขาโดนเมินโดยสมบูรณ์แบบระดับที่เขายืนโดยที่ถูกมองเหมือนกับต้นไม้ต้นหญ้าโดยพวกมัน พวกลิงกลายพันธ์ุที่หาไม่ได้ในโลกก่อนของมาร์ หน้าตาของมันก็คือลิงชิมแปนซีดีๆนั้นแหล่ะ ต่างที่รายละเอียดเล็กน้อยอย่างดวงตาสีเหลืองโตกับปลายนิ้วมือที่เป็นสีดำออกขาว

ส่วนอคโตก็ใช่จะธรรมดา พวกลิงนับสิบนี้กำลังประเคนอาหาร และของใช้อย่างเก้าอี้ที่ก่อจากไม้แบบส่งๆมาให้ โดยที่อคโตก็ตอบรับเป็นอย่างดีด้วยการนั่งลงพร้อมกับรับการเคารพบูชาจากลิงตัวอื่นๆที่กำลังกราบไว้อยู่ตรงหน้า

“ แบบนี้คงต้องให้ผมจัดการสินะถึงจะได้ไปกันต่อน่ะ? ”

“ ค ค ค่ะ… ”

มาร์มองดูสถานการณ์แล้วก็ประเมินได้ไม่ยากเลยว่า การจะไปต่อถ้าเขาไม่ทำอะไรก็คงไม่ได้ไป อย่างอคโต เธอไม่กล้าพอจะทำร้ายพวกมันแน่ๆ ส่วนคอนเซนเทลนี้หนักใหญ่เพราะเจ้าตัวตอบโต้ไม่ได้เลย เนื่องจากมอนสเตอร์พวกนี้มันไม่เหมือนก่อนหน้าที่ผ่านมา ถึงแม้จะไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ก็ฉลาดกว่ามาก

“ อาจารย์!!! ”

ฟุบ แพละ กึง กึง แพละ

การโจมตีของพวกมันไม่ได้หรูหราอย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า แต่ว่าก็เป็นการโจมตีอย่างมีแบบแผน พลัดกันเข้า พลัดกันออก แถมก็เล็งโจมตีไม่ใช่การโจมตีให้โดนเฉยๆ อย่างมูลที่ถูกปามา พวกมันก็เน้นให้กระเด็นโดนใกล้ๆเพื่อจะทำให้ คอนเซนเทลต้องหลบไปทางอื่นแล้วก็จะไปโดนหินของอีกตัวที่ปามา

“ โธ่เว้ยยย! ”

ฟุบ ฟุบ ฟุบ

“ กี๊ๆๆๆๆๆ อุ๊ๆๆๆๆ ”

“ พวกแก…!! ”

ทว่าพอคอนเซนเทลจะเข้าไปโจมตีพวกมัน ลิงพวกนี้ก็พากันปีนต้นไม้หนีกันอย่างรวดเร็ว จนดาบไม่ได้จะเฉี่ยวเลยสักนิด เรียกได้ว่าวืดรัวๆ อย่างไร้ประโยชน์แถมยังจะปามูล ปาหินกลับมาอีก ดีที่ว่าจากการเรียนรู้ในบอสก่อนหน้านี้ทำให้เขาหลบแบบไม่คิดชีวิตแล้วไม่คิดจะกันเลยสักนิด ซึ่งมันก็สมควรแล้ว

“ อืมม… ”

“ คุณมาร์คะ… ”

แต่มาร์นั้นจู่ๆก็เปลี่ยนไป จากตอนแรกที่เขาจะเข้าไปจัดการทุกอย่าง พอได้เห็นว่าคอนเซนเทลยังพยายามจะจัดการพวกมันเขาก็ยิ้มออกมาแถมนั่งลงอีกต่างหาก ทำให้อคโตที่อยู่บนบัลลังไม้ก็หันมามองพร้อมกับถามด้วยความสับสนบางอย่าง แน่นอนว่า มาร์ก็หันมายิ้มให้ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสนุกกับอะไรบางอย่าง

“ ก็นะ… เปลี่ยนใจแล้วล่ะ ไหนๆก็ถือว่าฝึกหลบกับใช้สมองไปเลยก็แล้วกันเนอะ แค่ลิงเองนี้น่า ถ้าสู้ไม่ไหวก็ต้องพิจารณาตัวเองล่ะนะว่าใช้แค่แรงไปเรื่อยๆจะไปชนะได้ยังไง ฮ่าๆๆ ”

………

“ แฮก แฮก…ถึงสักที ”

“ อย่าพึ่งมาหอบตอนนี้สิคะคอนเซนเทล ข้างหน้าต่อจากนี้มันคือห้องบอสประจำชั้นที่ 81 เลยนะคะ ”

“ นั้นสินะ แปปเดียวก็มาถึง 81 ชั้นแล้วแหะ ”

หน้าประตูศิลาขนาดใหญ่ สมาชิกปาร์ตี้ Pathfinder ทั้ง 3 คนกำลังยืนมองประตูนั้นอยู่ ประตูที่ไม่มีใครมาถึงยกเว้นพวกเขาทำให้มันเต็มไปด้วยเถาวัลย์และมอสสีเขียวเกาะอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งที่นี้ก็เป็นห้องบอสแรกนับตั้งแต่ที่พวกเขาเจอกับผู้เฝ้าชั้นเสียด้วย อย่างไรก็ตามในตอนนี้ตัวของคอนเซนเทลกำลังหอบจากการที่ตัวเองพึ่งตะลุยผ่านดงมอนสเตอร์มาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว

ส่วนอีกสองคนนั้น…ก็ไม่ได้มีอาการเหนื่อยเหมือนกับเขา อคโตยืนนิ่งมองดูโดยเหมือนจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆเลยทว่าสายตาที่ซ่อนอยู่ใต้อุปกรณ์บนหน้านั้นมันกำลังแสดงให้เห็นถึงความกังวลบางอย่าง ส่วนมาร์ผู้เป็นหัวหน้าปาร์ตี้ เขาก็ยืนกุมคางของตัวเองด้วยสีหน้าที่ให้ความรู้สึกได้สองอย่าง หนึ่งเขากำลังสนใจกับสิ่งที่อยู่หลังประตูนั้น หรือไม่…ก็สอง ตอนนี้เขากำลังเหม่ออยู่

ครืดดดดดดดดด

ประตูนั้นค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เหมือนกับประตูห้องบอสก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเพราะเมื่อประตูเปิดออกสิ่งที่เห็นอยู่ก็คือหมอกสีขาวขนาดใหญ่ที่บังไม่ให้เห็นว่าข้างในนั้นคืออะไร สิ่งเดียวที่จะทำให้เรารู้ได้ว่าสิ่งใดอยู่ด้านหลังนั้นก็คือการก้าวผ่านเข้าไปและแน่นอนมาร์นั้นไม่ได้เกรงกลัวเลย เมื่อเขาเห็นว่าประตูถูกเปิดออกจนสุดแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในทันที

“ โอ… ป่าอีกแล้วแหะ แถมยัง อืม แฟลชแบ็คได้เลยนะเนี่ย ”

อย่างที่มาร์กำลังพูดออกมา ภาพตรงหน้าของเขาหลังจากผ่านหมอกมาได้ มันคือป่าที่เขาได้อยู่เป็นที่สุดท้ายก่อนจะตายลงในชาติที่แล้ว ป่าในประเทศประเทศหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ป่าที่อุดมไปด้วยต้นไม้และสภาพแวดล้อมที่ชื้น

แซก แซก แซก

“ มาต้อนรับไวดีแท้ เอาล่ะ ฝากด้วยนะครับทั้งสองคน ”

“ ค ค ครับ?!? ”

“ อึก…รับทราบค่ะ ”

คอนเซนเทลกับอคโตขานรับในสิ่งที่มาร์พูดทันที โดยอัศวินหนุ่มนั้นขานรับด้วยเสียงกับใบหน้าที่สับสนเพราะยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าอคโตนั้นเธอขานรับด้วยเสียงที่ดูอึดอัดจากอะไรบางอย่างเช่นกันใบหน้าของเธอก็กำลังมองไปยังสิ่งที่ทำให้เธออึดอัดอยู่ด้วย

แซก แซก… กรรรรรร

“ ตัวใหญ่…เกินไปแล้วมั้ง?!? ”

“ ฮึก… ”

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นปรากฎตัวออกมาอย่างสง่างามจากพุ่มไม้ที่ห่างออกไปไม่มาก สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้และก็หายากยิ่งกว่าอะไรเพราะพวกมันจะปรากฎตัวอยู่เฉพาะในพื้นที่ทวีปทางทิศตะวันออก พวกมันดุร้ายและอันตรายมาก เพียงตัวเดียวก็เทียบเท่ามอนสเตอร์ระดับ SS แล้วซึ่งมันถูกเรียกโดยคนในยูโทเปียว่า เสือ

โดยตามที่คอนเซนเทลหลุดปากพูดออกมานั้นมันก็จริงเป็นอย่างยิ่ง เจ้าบอสตัวนี้นอกจากจะเป็นเสือแล้วขนาดของมันก็ยังใหญ่เกือบๆ 6 เมตร ไหนจะรูปลักษณ์ของมันที่ต่างกับเสือทั่วไปที่มีขนเป็นสีส้มลายสีดำ เจ้านี้มีขนสีดำลายสีขาว ดวงตาสีทองเปร่งประกายออร่าออกมาตลอดเวลาผนวกกับเขี้ยวสีเงินกรงเล็บสีทองยิ่งทำให้สัมผัสได้เลยว่ามันคู่ควรกับการเป็นบอสประจำชั้นจริงๆ

กรรร ฟุบ แคร็ง!!

“ อึก!!! บ บ บ้าไปแล้ว!! ตัดเหล็กได้ง่ายๆแบบนี้!! ”

“ ข ข ขอโทษ ”

ฉึก กรรร!!

การปะทะกันนั้นได้เริ่มขึ้นโดยที่เห็นได้ชัดเลยว่าคอนเซนเทลนั้นเสียเปรียบอย่างรุนแรง โล่ที่ใช้ป้องกันนั้นถูกตัดผ่านอย่างง่ายดายราวกับมีดร้อนตัดผ่านเนย ส่วนทางด้านของอคโตเองเธอก็เหมือนจะสวนกลับใส่มันทว่าการโจมตีนั้นมันไม่ได้แม่นยำเลยสักนิด มันเป็นการแทงไปโดนแบบเฉียดๆเสียเท่านั้น

และด้วยเหตุนี้การต่อสู้จึงยืดยาวออกไปนานกว่าที่ควรจะเป็น หนึ่งอาจจะบอกได้ว่าเป็นเพราะตอนนี้ปาร์ตี้ของมาร์นั้นสู้ได้ไม่เต็มสักเท่าไหร่ แต่ก็มีอีกอย่างนั้นก็คือเจ้าบอสนี้มันเคลื่อนที่ไปมาได้รวดเร็วผิดกับขนาดตัวของมัน ไหนการเคลื่อนที่ของมันก็แทบจะไร้เสียงอีกยิ่งยากต่อคอนเซนเทลที่มีหน้าที่ป้องกันขึ้นไปอีกหลายเท่า

ฟุบ เคร็ง เคร็ง

“ โล่ของเรา… ชิ!! ”

คอนเซนเทลนั้นเข้าตาจนอย่างเห็นได้ชัด เพราะในตอนนี้เขาเก็บโล่ ไม่สิ ซากโล่ของเขาเอาไว้ที่หลังแล้วหันมาอาศัยดาบที่อยู่ในมือเป็นตัวปัดป้องแทน ใช่…ตอนนี้โล่ของเขามันหมดสภาพไปแล้ว รอยข่วนขนาดใหญ่ที่ไม่เฉียดโดนไม่ได้ตัดผ่านก็ฝากร่องรอยไว้บนตัวโล่ ส่วนการโจมตีไหนที่สำเร็จก็ตัดแต่งให้โล่ที่ในตอนแรกควรจะใหญ่เท่าตัวของเขา กลายมาเป็นโล่ขนาดเท่ากับแขนเด็กแทน

ฟุบ ฉึก ฟุบ ฟุบ

“ อาจารย์!! ข้างหลัง!! ”

“ อ อ อ่า… ข เข้าใจแล้ว ”

[ โห่ แย่แล้วนะนั้น ]

ส่วนอคโตเธอยิ่งแล้วใหญ่ มาร์นั้นสังเกตุเห็นได้เลยว่าเธอนั้นเหมือนจะเขวไม่ยอมฆ่ามันสักที ไม่สิ ไม่ยอมโจมตีจุดตายเลยด้วยซ้ำจนหลายหนการแทงดาบที่แม่นยำนั้นก็พลาดไม่โดนสิ่งใดเลย ซึ่งสาเหตุนั้นก็คงเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในใจของเธอตอนนี้

[ สติ… ชั้นต้องทำ หน้าที่… ใช่… มันไม่ใช่เสือ… มันไม่ใช่สิ่งที่ชั้นเลือก… ใช่ มันก็แค่บอส… แค่… อึก ]

อคโตพยายามบอกกับตัวเองอยู่แบบนั้นเพราะสำหรับตัวเธอแล้วสิ่งมีชีวิตตรงหน้าไม่ใช่เพียงแค่บอสประจำชั้น แต่มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกับที่เธอเลี้ยงเอาไว้ การให้เธอมาฆ่าสัตว์ที่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงของตนนั้นมันช่างเจ็บปวดเกินไป ส่วนมาร์ เขายังคงยืนดูสถานการณ์อยู่ห่างๆพร้อมกับคอยบัฟให้ทั้งคู่ไปเรื่อยๆ แต่ว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันเจ้าตัวเองก็เริ่มคิดแล้วว่า…

[ ถ้าอีก 5 นาทียังไม่มีอะไรคืบหน้า ผมจะเล่นเองแล้วนา… โอ๊ะ? ]

ฉัวะ กรรรร!!

“ เอาก็เอา!! ในเมื่อโล่ดันใช้ไม่ได้แล้วนี่!! ”

ทว่าเวลานั้นคงไม่ได้จะถึง 5 นาที บางอย่างก็เปลี่ยนไป คอนเซนเทล อัศวินหนุ่มนั้นเริ่มจะเรียนรู้จากศัตรู เขาไม่ป้องกันอีกต่อไปแล้วพร้อมกับเริ่มที่จะหลบการโจมตีแบบที่อาจารย์ของเขาทำ พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็ได้ทิ้งโล่ที่อยู่บนหลังของเขา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการถือดาบคู่ซึ่งเป็นสิ่งที่พาลาดินไม่คิดที่จะทำ

ฟุบ ฉัวะ ฉัวะ กรรร!!

“ โห…มา Awaken ในหอคอยเฉย เอาเถอะ อย่างน้อยก็เป็นเรื่องดีกว่ามาตายล่ะนะ ”

มาร์แม้จะบ่นออกมาแบบนั้นเขาก็กำลังยิ้มอยู่ จากที่สังเกตุเห็นได้ว่าทักษะการโจมตีของคอนเซนเทลนั้นเปลี่ยนไปมากจากตอนแรกที่เจอกัน ถ้าให้อธิบายแบบง่ายๆก็คงเป็น ตอนนี้นั้นคอนเซนเทลมีประสบการณ์มากพอแล้ว เขารู้ว่าต้องทำอะไรมากกว่าจะยึดตามสิ่งที่ฝึกๆมา ยึดตามตำราและขนบธรรมเนียมของพาลาดิน แน่นอนว่าการเปลี่ยนไปนั้นเกิดขึ้นมานับตั้งแต่การเจอกับผู้เฝ้าชั้น คอนเซนเทลเริ่มจะลดการป้องกันแล้วหันมาหลบแต่สุดท้ายก็ยังป้องกันอยู่ดี ทว่านี้เป็นครั้งแรกที่เขากล้าจะสู้ในแบบที่ควรเป็น แบบที่…การโจมตีที่ดี คือการป้องกันที่ดี

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ กรรรรรรรร!!

“ มาสิ… มาเลย เจ้าเสือยักษ์!! ”

คอนเซนเทลไม่โจมตีแบบบ้าบิ่นและไร้ประโยชน์อีกต่อไป เขาใช้ทุกสัมผัสที่ตัวเองมีแล้วก็รอจังหวะที่ต้องหลบการโจมตีพร้อมกับคอยหาจังหวะที่สามารถจะสวนกลับได้ แม้จะช้าแต่เจ้าตัวก็ใจเย็นพอจะทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนร่างของเสือยักษ์นั้นเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย และเปลี่ยนขนของมันให้ชุ่มชโลมไปด้วยเลือดสีแดง

“ ไม่นะ!! อย่า!! ”

“ อคโต ถ้าไม่ไหวก็ถอยออกมา… ”

“ ค ค ค่ะ…รับทราบค่ะนายท่าน… ”

อคโตที่เห็นว่าเจ้าเสือนั้นตกอยู่ในสภาพที่แทบจะไม่ไหวแล้ว ก็พยายามจะห้ามไม่ให้คอนเซนเทลทำร้ายมันต่อด้วยการตะโกนออกมา ทว่าเสียงนั้นไม่มีทางไปถึงอัศวินหนุ่มที่ในหัวตอนนี้มีแต่ความเป็นความตายของตนวนเวียนไปมา แต่มาร์นั้นไม่ใช่ เขาได้ยินและเพราะแบบนั้นเจ้าตัวก็รู้ได้ว่าข้ารับใช้ของตนไม่ไหวแล้วเป็นเหตุให้เขาสั่งออกไปแบบนั้น ก่อนที่อคโตจะก้มหัวขานรับและกระโดดมายืนอยู่ข้างๆ

กรรรร

“ แฮก แฮก ”

ทว่าต่างฝ่ายต่างห่ำหั่นกันอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที และมันก็ทำให้ฝ่ายของคอนเซนเทลเริ่มหมดแรงแม้ว่าจะมีบัฟของมาร์ ส่วนฝ่ายของบอสประจำชั้นนั้นก็เริ่มจะเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยจังหวะนี้เองคอนเซนเทลก็ได้มองไปยังดวงตาของมันก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปเพื่อโจมตี

“ โห่… ใจร้อนไปนะ ใจร้อนไป ”

ปุก กรรรร!!

อย่างไรก็ดีการพุ่งเข้าไปหวังเผด็จศึกนั้นมันก็อันตราย เพราะแท้จริงแล้วเจ้าเสือนี้มันยังไม่ได้บาดเจ็บจนไม่ไหว มันแค่รอโอกาส แน่นอนพอคอนเซนเทลพุ่งเข้าไปมันก็พร้อมที่จะฆ่าเขาได้ในทันที ดีที่ว่ามาร์นั้นมองดูอยู่ตลอดเขาก็เลยตัดสินใจช่วยอัศวินหนุ่มด้วยการหยิบเอาปืนพกประจำตัวที่ติดท่อเก็บเสียงขึ้นมาเล็งยิงเข้าไปในในเงาสีดำที่อยู่ข้างๆ ก่อนที่เงานั้นจะไปปรากฎตัวบนหลังหัวของเสือยักษ์นี้ ทำให้มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“ ตอนนี้ล่ะ!! ”

ฉึก กึก กึก ตุบ ฟู่…

และจังหวะที่มันกำลังเจ็บปวดจากการถูกยิงเข้าหัว มันก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นช่องว่างที่แท้จริงและทำให้คอนเซนเทลใช้ดาบสีแดงของเขาแทงทะลุเข้าไปที่ใต้คางของมันก่อนจะสวนออกไปยังอีกฝั่ง ทำให้ดวงตาของมันที่เป็นสีทองค่อยจางลงกลายเป็นสีขาวก่อนที่ไม่นานเลยร่างของมันจะค่อยสลายกลายเป็นผงสีฟ้าไป

ตุบ

“ ฮ่าห์ ฮ่าห์ ฮ่าห์ รอดแล้ว… เรา รอดแล้ว!! โอ๊ย!! ”

คอนเซนเทลที่สามารถชนะมันมาได้ ก็ล้มลงนอนหงายหน้าหมดเรี่ยวแรงในทันที เขามองขึ้นไปบนเพดานของชั้นนี้พร้อมกับชูมือขึ้นชี้ไปทางนั้นอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มทว่ารอยยิ้มนั้นก็คงอยู่ได้ไม่นานสักเท่าไหร่เพราะผลกระทบจากการฝืนสู้เกินตัวก็ทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บไปหลายจุดเลยทีเดียว

ตุบ ตุบ clap clap

“ เอาล่ะ เอาล่ะ ยินดีที่ชนะได้นะ ทีนี้นอนเฉยระหว่างที่ผมรักษาล่ะ ”

“ ค ค ครับ…ขอบคุณครับท่านมาร์ ”

มาร์เดินมาพร้อมกับปรบมือให้กับสิ่งที่เขาทำได้ก่อนจะค่อยๆรักษาอย่างช้าๆ โดยไม่ให้มานาเข้าไปปนกับตัวของคอนเซนเทลมากเหมือนปกติที่เขารักษาเมดของเขา อย่างไรก็ดีระหว่างที่รักษาไปนั้นคอนเซนเทลก็มองมายังมาร์ด้วยสายตาที่อ่อนล้า ทว่าสายตาก็ผิดกับสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่

[ บอสในชั้นนี้มัน…อันตรายก็จริง แต่จากการโจมตี จากความเร็ว ขนาดตัว ถ้าเทียบกับผู้เฝ้าชั้นนั้นแล้ว อึก… นี้ท่านมาร์จัดการมันได้ด้วยมือเปล่ากับเจ้านี้เองก็คง…ไม่ต่างกันสินะ ]

“ คุณมาร์คะ นี้ค่ะของที่เจ้าห… ที่บอสดรอปไว้ค่ะ ”

“ ? ”

และระหว่างที่รักษาอยู่นั้น บอสของชั้นก็ได้ดรอปไอเทมออกมา 2 ชิ้นโดยที่อคโตเป็นคนถือมันมาให้เขากับคอนเซนเทลได้เห็น ชิ้นแรกคือเกราะไหล่ขวาที่เป็นแผ่นเหล็กเรียงกันเป็นรูปตัว V ต่อๆกันไปเรื่อยจนถึงปลายมือโดยตัวเกราะนั้นถูกคลุมไปด้วยหนังของเจ้าเสือนั้น ส่วนอีกชิ้นก็คือเกราะเหล็กสีดำที่ไม่ไว้ใส่ป้องกันได้เพียงบริเวณช่วงอกของผู้ใส่ รูปลักษณ์ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

“ จะว่าไปแล้วนะ…ไหนๆ คอนเซนเทลก็เป็นคนจัดการมันได้ก็เอาไปใช้ซะสิ ”

“ ผ ผ ผม?!? จะดีจริงๆเหรอครับท่านมาร์!! ”

“ เดี๋ยวๆ เรียกคุณมาร์ก็พอ เห้ออ เอาไปเถอะจะได้เป็นการอัพเกรดแนวหน้าอย่างนายด้วยไง นี้ทั้งเกราะไหล่ เกราะอก มันใช่กับผมไม่ได้หรอก ส่วนของอคโตเองก็ดีกว่าดังนั้นนายเอาไปน่ะดีแล้ว เข้าใจนะ? ”

“ ค ค ครับขอบคุณครับท่านมาร์!! ”

คอนเซนเทลกล่าวขอบคุณพร้อมกับรับของนั้นมาทั้งที่ยังนอนหมดสภาพอยู่ อย่างไรก็ตามหลังจากรักษาได้ราวๆ 10 นาที ทั้ง 3 ก็ออกเดินเท้ากันต่อ เพื่อไปยังชั้นถัดไปโดยทางลงนั้นก็ยังหรูหราเหมือนเดิมหินอ่อนและบันไดวน และคราวนี้สถานที่ที่พวกเขามาเจอนั้นมันก็ผิดไปจากก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยที่…

“ เข้าสู่พื้นที่ตอนปลายแล้วสินะ อืมมม อากาศร้อนได้เรื่องเลยแหะ ”

“ น น นั้นสินะครับ แต่ว่าก็ดูเงียบสงบดีนะครับเนี่ย ”

“ ร้อน…? ”

คราวนี้รอบๆตัวนั้นเป็นป่าร้อนชื้นขนานแท้ที่ไม่มีอะไรดูเป็นพิษเป็นภัยเลย กลับกันบรรยากาศที่นี้มันเหมาะแก่การมาสร้างบ้านต่างอากาศอยู่เลยทีเดียว ถ้าไม่ติดว่ามันร้อนและชื้นสมกับชื่อป่า แต่มาร์กับอคโตคงไม่มีปัญหาเท่าคอนเซนเทลที่สวมเกราะหนา มาร์นั้นเรียกได้ว่าชินกับทุกสภาพอากาศอยู่แล้วนั้นทำให้เขาไม่รู้สึกอะไรมาก ส่วนอคโต…เธอเป็นวอล์ดอล อุณหภูมิร้อนหนาวไม่มีผลกับเธอเลยสักนิด

ตึก ตึก แซก แซก ตึก

“ … ”

“ แปลกจังเลยนะครับมาตั้งขนาดนี้แต่ยังไม่เจออะไรเลย ”

“ อย่าทักแบบนั้นสิครับคอนเซนเทล เห้ออ… ”

ทั้ง 3 คนเดินมานานเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ว่าก็ไม่เจอมอนสเตอร์เข้ามาโจมตีเลยสักหน จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าชั้นนี้มันร้างหรือยังไง ซึ่งคอนเซนเทลที่คิดแบบนั้นก็หลุดปากพูดออกมาตามปกติของเขา มาร์เองก็ตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆทำให้บรรยากาศแม้จะตึงเครียดแต่ก็จัดอยู่ในระดับที่ยังสบายใจได้อยู่

แซก แซก แซก กี้?

“ อ่า…ไม่น่าทักเลยจริงๆนะครับ ”

“ น น นั้นมันมนุษย์?!? ไม่สิ มันอะไรกัน?!? ”

ทว่าเพียงไม่ถึง 1 กิโลเมตรจากจุดที่คอนเซนเทลทัก พวกเขาก็ได้มาเจอกับสิ่งๆหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนหิน รูปลักษณ์ของมันนั้นคล้ายกับมนุษย์ทว่าแขนขากลับยาวกว่าทั้งบนตัวก็เต็มไปด้วยขนสีน้ำตาล ไหนใบหน้าที่ช่วงปากนั้นใหญ่กว่าส่วนบน มันจ้องมองมาด้วยดวงตาดวงเล็กๆสีเหลือง จ้องมายังพวกเขาพร้อมกับในมือที่กำลังปลอกแท่งบางอย่างสีเหลืองอยู่ ทันทีที่มันเห็นพวกเขาจากสีหน้าดูมีความสุขก็เปลี่ยนมาเป็นตกใจก่อนจะลุกขึ้นชี้มาด้วยแท่งสีเหลืองนั้น

“ อู๊ อู๊ อ๊าาาา!! อู๊ก๊าาา!! ”

อู๊ๆ อู๊กี้ๆๆ อู๊อ๊ากกก!!

“ ชิบหายละ…ร้องแบบนั้น มากันเป็นฝูงแหงๆ ”

……

กึง กึง ฉัวะ ฉึก กึง กึง กึง

“ ตั้งโล่ให้มันดีๆหน่อย!! คอนเซนเทล ชั้นไม่ได้เจี่ยเวลาดูแลคุณมาร์มาสอนให้นายทำตัวไม่ได้เรื่องนะ!! ”

“ ข ข ข เข้าใจแล้วครับอาจารย์!! ต ต แต่ไอมอนสเตอร์พวกนี้มัน ม ม มาไม่หยุด… อึก โธ่เว้ย!! ”

“ แล้วมันก็ดีไม่ใช่หรือยังไง? คู่ต่อสู้ที่ฆ่าเราได้น่ะ มันคืออาจารย์ที่ดีที่สุดเลยไม่ใช่เหรอคอนเซนเทล? อย่างตอนเจ้ากวางนั้นนายเองก็เรียนรู้ที่จะหลบแทนที่จะยืนรับดาเมจไม่ใช่หรอ หรือว่าจะเป็นตอน… ”

“ โธ่!! ท่านอาจารย์!! เข้าใจแล้วครับ!! เข้าใจแล้…!! อึก หยุดพุ่งเข้ามาสักทีเถอะ!! ”

เวลาล่วงเลยไปเกือบๆ 5 วันแล้วนับแต่ปาร์ตี้ Pathfinder เข้ามาในหอคอย พวกเขาทั้ง 3 ก็ได้ลุยผ่านอะไรหลายอย่างทั้งบอส ทั้งมอนสเตอร์ในรูปแบบทะลุทะลวงไม่สนใจว่ามันจะอันตรายแค่ไหน ซึ่งนั้นเองก็ทำให้ในระหว่างทาง หลายครั้งจะมีปาร์ตี้อื่นติดสอยห้อยตามมาด้วย

[ โอ้? เจ้ากวางนั้นเอง แหมๆ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะด้วยซิ ถ้าเทียบกับตอนเจ้างูนั้นถ้าเราไม่ช่วยคอนเซนเทลได้ตายแหงๆ อืมมม หรือว่าเราควรจะไม่ช่วยแล้วให้เขาได้เรียนรู้แบบที่อคโตว่าดีหว่า ]

อย่างที่มาร์กำลังคิดถึงอยู่ในตอนนี้ สถานที่ที่ทำให้ปาร์ตี้ปลิงพวกนั้นต้องแยกย้ายจากพวกเขา ใช่…ทุกครั้งที่ไปถึงยังห้องบอส เพราะบอสที่เจอในแต่ละหนนั้นเริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆต่างจากตัวแรกที่เป็นกระรอกยักษ์อย่างสิ้นเชิง เริ่มจากบอสตัวที่ 2 ซึ่งอาศัยอยู่ปลายชั้นที่ 24 นั้นมันเป็นบอสเป็นกวางขนาดใหญ่ราวๆ 8 เมตรอาศัยอยู่ในห้องที่เป็นทุ่งโล่งๆที่มีเสาหินอยู่เป็นจุดๆไป มันมีความสามารถที่จะโจมตีด้วยสายฟ้าที่ยิงออกมาจากเขาบนหัวได้ หรือบางทีมันก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับทิ้งพื้นที่เต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิต ยังไงก็ตามคนที่จัดการก็ไม่ใช่ใครนอกจากอคโตที่กระโดดแทงมันไปมาจนกลายเป็นรูปปั้นหินในที่สุด ส่วนคอนเซนเทลนั้นเขาตกอยู่ในสถานะ"อัมพาตชั่วคราว" จากกระแสไฟฟ้าจนเกือบจะโดนมันขวิดตายไปหลายหน และมาร์…เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนมองพร้อมกับจิบน้ำชาไปด้วย

ฉึก ฉัวะ กึง กึง กึง กึง กึง ผัวะ

“ อัค!! ”

“ อย่าเพียงแค่มองสิคอนเซนเทล หูของนาย จิตสัมผัสของนาย!! ใช้มันด้วย!! ”

“ ค ค ครับอาจารย์!! ”

[ นั้นสิน้าาาจะว่าไปแล้วไอบอสงูนั้นน่ารำคาญสุดๆไปเลยแหะ ถ้าเราไม่ดีบัฟใส่ก็คงลำบากแหล่ะ แก้ดีไหมน้าา? ]

และในระหว่างที่คอนเซนเทลกับอคโตกำลังสู้อยู่ มาร์ก็ยังคงอยู่กับตัวเองแล้วคิดถึงบอสตัวที่ 3 ซึ่งอยู่ในชั้นที่ 38 บอสเป็นงู ขนาดยาวเกือบๆ 30 เมตรที่เลื้อยไปมาอย่างรวดเร็ว แถมเกล็ดบนตัวของมันก็หนาจนดาบของคอนเซนเทลฟันแทงไม่เข้า หรือแม้แต่ดาบของอคโตเองถ้าไม่เล็งแทงดีๆก็ไม่เข้าเช่นกัน ไหนมันจะเร็วและอาศัยสภาพของห้องบอสที่เป็นถ้ำมากมายเลื้อยไปมาแล้วลอบโจมตีจากมุมบอดหลายหนจนคอนเซนเทลเกือบจะโดนมันกินเข้าไปหลายครั้ง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ผ่านมาได้ดวยดีบัฟที่มาร์ร่ายใส่บอส ดีบัฟลดการป้องกันลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 10 วินาทีไปเรื่อยๆเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

กึง กึง กึง กึง กึง ฉัวะ ฉึก ฉัวะ

“ อาจารย์!!! ”

“ ทนต่อไปแบบนั้นแหล่ะดีแล้วคอนเซนเทล!! ”

“ เอ๋!! กึง กึง กึง อัค!! ”

[ นั้นสิน้า ยังไงต่อดีน้า… อืมมม ถ้าเย็นนี้กินขนมปังกลางคืนเราก็จะง่วง แต่ถ้าเรากินเนื้อก็จะหนักท้อง เลือกยากจังแหะ ]

ส่วนปัจจุบันอย่างที่ได้เห็นพวกเขากำลังเดินผ่านมายังชั้นที่ 62 โดยที่ไม่เจอห้องบอสเลย อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขากำลังเจออยู่ในตอนนี้ก็คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงและพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยมอสกับต้นไม้ที่สูงไม่มากสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าที่นี้คือป่าดงดิบดีๆได้เลย

กึง ตูม กึง ตูม ผัวะ

“ อุค!! ช ช ชักจะแร…!! อัค!! ”

“ คอนเซนเทล สมาธิ สมาธิ… ”

[ หรือว่าเราจะไม่กินข้าวแล้วดื่มชาแทนดีล่ะ แต่…มันก็ไม่อยู่ท้องเลยแหะ ]

ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันนั้นห่างไกลจากคำว่าปลอดภัยไปไกลสุดลูกลูกตาเพราะรอบๆนั้นมันยังคงมีมอนสเตอร์ปรากฎตัวตลอด แต่ก็เป็นมอนสเตอร์ที่ต่างกับมอนสเตอร์ก่อนหน้าทั้งหมดที่พวกมันแม้จะอันตรายไปบ้างแต่ส่วนมากก็รู้ว่าจะเข้ามาโจมตีหรือถอยหนีไปตอนไหน ไม่บางตัวก็ไม่เข้ามาโจมตีเดี่ยวๆเลย แต่ที่ชั้นนี้มอนสเตอร์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดพวกมันพุ่งเข้าใส่แบบไม่สนอะไรทั้งนั้น โจมตี โจมตี โจมตี คือสิ่งเดียวที่พวกมันทำ

กึง กึง กึง คุ คูมมม

“ โอ้กกก!! ”

“ เห้อ…ตัวขนาดนั้นยืนรับไม่ไหวหรอกนะคอนเซนเทล ”

โดยตอนนี้คอนเซนเทล อัศวินหนุ่มรับหน้าที่เป็นคนยืนป้องกันและปะทะกับมอนสเตอร์พวกนี้ ทว่าหลายครั้งที่พวกมันพุ่งเข้ามาเขาก็ต้องยืนรับแรงปะทะแบบที่แทบจะส่งให้เขาปลิวไปหลายต่อหลายหน นี้ถ้าไม่ได้บัฟของมาร์ก็น่าจะตายเพราะช้ำในไปแล้วแน่ๆ ส่วนอคโตเธอเองก็คอยสอนคอนเซนเทลและลงมือสังหารมอนสเตอร์พวกนั้นอยู่อย่างเรื่องๆด้วยการเปลี่ยนพวกมันเป็นหิน

[ เอ…แต่ว่าอยากกินสลัดจังแหะ อืมมม เอ่อ…สลัดหรือซุปหรือสเต็… ไม่ได้ ไม่ได้ ของหนักมันย่อยยาก แต่…เชี้ย สเต็กเนื้อบอสตอนนั้นมันก็เด็ดอยู่นา… ]

ทว่าจากที่เห็นมาโดยตลอดมาร์นั้นเดินตามแล้วก็เอาแต่คิดอะไรไร้สาระมาตั้งแต่ต้น นั้นก็เป็นเพราะ…นอกจากบัฟแล้ว ก็ไม่ทำอะไรเลย ทั้งป้องกัน ทั้งโจมตี เขาไม่ต้องทำมันเพราะมอนสเตอร์โจมตีเขาไม่ได้จากการที่ไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่ามาร์อยู่ตรงนั้นทำให้สภาพของปาร์ตี้ตอนนี้คอนเซนเทลได้แต่รับดาเมจ และอคโตคอยเก็บกวาดทุกอย่าง

… …

ตึก แซกๆ แซกๆ ตึก

“ ฮ่าห์ ฮ่าห์ น น น ในที่สุดก ก ก็ได้พักสักที…อุ๊!! ”

“ ชู่…เงียบๆหน่อยสิครับ เห็นไหมนั้นน่ะ ”

“ แย่เลยนะคะหรือว่า…จะดีเลยล่ะคะ? ที่ได้มาเจอร่องรอยแบบนั้น ”

นรกแห่งการปะทะนั้นผ่านไปหลายสิบนาที ทว่าสถานการณ์ก็เริ่มจะสงบลงเมื่อพวกเขาเดินมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้มาก มากขนาดที่มาร์ถึงกับยกมือขึ้นมาปิดปากของคอนเซนเทลโดยที่เขาไม่ทันจะได้รู้ตัวเลย เพราะที่นี้นั้นมีแต่ร่องรอยคราบเลือดเต็มไปหมด แถมยังมีร่องรอยการต่อสู้ขนาดใหญ่อยู่อีกนับไม่ถ้วนด้วย

“ รอยถูกขีดข่วนด้วยของมีคม ร่างของนักพจญภัยที่ถูกกัดจนขาด ไหนจะ หวา…เละเทะเลยแหะ ไม่เหลือสภาพเดิมเลยด้วย ดูท่าเราจะ…โชคดีได้เจอกับผู้เฝ้าชั้นแล้วล่ะนะทุกคน อืมม ถ้าคิดไม่ผิดก็คงอยู่แถวๆนี้นี่แหล่ะ ”

มาร์ที่ได้เห็นสถานที่ตรงหน้าก็รีบสำรวจด้วยสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว ร่องรอยมากมายปะปนกับซากศพของนักพจญภัยและมอนสเตอร์นับสิบเลยทำให้เขาเอ่ยปากพูดออกมาวพร้อมกับรอยยิ้มแสนสดชื่น ทำเอาอคโตที่มองมาเหม่อไปชั่วครู่ แต่กับอีกคนนั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

“ ผ ผ ผู้เฝ้าชั้น!!! หมับ อุก!! ”

“ ชี่!! เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวมันก็ตามเสียงมาหรอก โธ่… ”

คอนเซนเทลนั้นหน้าซีดทันทีที่ได้ยินชื่อดังกล่าวมันทำให้เขาตะโกนออกมาด้วยความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจ ทว่ามาร์ก็ใช้มือนั้นรีบปิดปากของอัศวินหนุ่มเอาไว้ ใช่…คอนเซนเทลนั้นรู้จักสิ่งนี้ผ่านการรายงานของกิลล์นักพจญภัย มันคือผู้เฝ้าชั้นตามชื่อ มันนั้นไม่เหมือนบอส มันไม่มีเกณฑ์วัดแน่นอน เลเวล สเตตัสมันลึกลับไปหมด ไหนมันเองก็ไม่เคยจะอยู่นิ่งออกตะเวนไปทั่วชั้นที่ตนอยู่โดยมีเส้นทางไม่แน่นอน โดยตัวของเจ้าสิ่งนี้จะปรากฎอยู่ในชั้นบางชั้นที่อยู่ลึกลงไปมากๆเท่านั้นและจะไม่หายไปจนกว่าจะถูกกำจัด แน่นอนว่าการฆ่ามันได้ก็จะได้รางวัลที่มากเสียพอจะเลิกเป็นนักพจญภัยได้เป็นปีๆ แต่กลับกันมันก็เสี่ยงตายอย่างสุดๆ

“ โอะ…ความรู้สึกนี้ ”

“ คุณมาร์คะ…มานามัน… ”

เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะรอบๆตัวผู้เฝ้าชั้นนั้นจะมีมานาผิดปกติบางอย่างที่ทำให้การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือไม่ทำงาน หมายความว่าการจะเทเลพอร์ตหนีจึงเป็นไปไม่ได้เลย และสิ่งเดียวที่อุปกรณ์ช่วยเหลือของกิลล์จะทำได้คือรายงานไปให้ทุกคนได้ทราบว่า…ผู้สวมใส่ถูกฆ่าโดยผู้เฝ้าชั้น

กรอดดดด

“ เห้อ… หูดีจริงๆนะแก ”

“ ย ย ย แย่… ”

“ ไม่หรอกค่ะ น่าจะเป็นจมูกดีเสียมากกว่านะคะ ”

และไม่นานนักเจ้าสิ่งที่ว่าก็ปรากฎตัวออกมาพร้อมกับเสียงหายใจฟืดฟาดราวกับกำลังดมอะไรบางอย่างอยู่ มันคือหมาป่าสีแดงตัวใหญ่เกือบๆ 3 เมตรครึ่งที่ใบหน้าของมันดุร้ายเกินยิ่งกว่าหมาป่าจะเทียบได้แม้แต่น้อย เขี้ยวของมันนั้นทั้งใหญ่และคมอย่างกับมีดที่งอกอยู่ให้เห็นบนหน้าของเสือเขี้ยวดาบ ไหนบนตัวของมันเองจะถูกหุ้มไว้ด้วยเกราะเหล็กกับขนสีแดงที่สง่างามราวกับผ้าคลุมหรูหรา และสุดท้ายกรงเล็บของมันก็ไม่ใช่กรงเล็บแบบที่หมาป่าจะมีกันได้ มันเป็นกรงเล็บที่ยาวคมและเงาเหมือนกับดาบแถมสีของมันก็แดงดุจดั่งเลือดอีกด้วย

กรรรรรรรรรร

“ อึก…กรอด… เอาก็เอา!! ”

“ อคโต!! ”

“ รับทราบค่ะ!! ”

หมับ

“ อัคคค!! ”

มันคำรามใส่คอนเซนเทลด้วยเสียงที่ทำให้พื้นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนจะกระโจนใส่เขาทันทีด้วยความเร็วที่ตายังมองตามได้ยากนักนั้นทำให้อัศวินหนุ่มยกโล่ขึ้นเตรียมปะทะในทันที แต่มาร์…ต่างออกไปเขาขานชื่อของอคโตและนั้นก็ทำให้เธอที่รับใช้เขามาตลอดรับรู้ได้ว่าต้องทำอะไร ซึ่งก็ทันทีทันใดนั้นที่เธอรับรู้ได้มือของเธอก็คว้าคอเสื้อของอัศวินหนุ่มไว้ได้ทันก่อนจะดึงตัวเขาออกมาแล้วเริ่มกระโดดถอยออกมาอย่างรวดเร็ว

“ ท่านมาร์!! อึก… อาจารย์!! และท ท่านมาร์ล่ะครับ!!! จะทิ้งท่านไว้เป็นเหยื่อล่ออย่างงั้นเหรอครับ!! อุ๊!!! ”

“ ใจเย็นก่อน…ใครว่าจะทิ้งเขาไว้คนเดียวกันล่ะ ”

คอนเซนเทลพยายามเรียกมาร์ด้วยการตะโกนออกมาทว่าในสถานการณ์ในตอนนี้ที่ถูกดึงคออยู่ก็ทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่า อคโตผู้เป็นอาจารย์อาจจะทิ้งซัพพอร์ตไว้เป็นเหยื่อล่อแล้วหนี นั้นทำให้เขาหันไปมองอคโตในทันทีแล้วตะคอกใส่เธอ ทว่าในตอนที่เขากำลังจะได้พูดต่อนี้เองอคโตก็ได้ใช้ผ้ายัดเข้าไปในปากของอัศวินหนุ่มทำให้เขาไม่อาจจะพูดอะไรต่อได้ ก่อนที่ตัวของเธอเองจะเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆแล้วก็ชี้ไปทางที่มาร์กับเจ้าผู้เฝ้าชั้นนั้นอยู่

กรร …กึกกึก… ก…ร…ร ควับ ควับ แก็ง!!

“ หืมมม… เอ… อย่าดื้อนักสิเห้ย… ”

“ อ อ อะไรกัน…ป ป เป็นไปได้ยัง…น น นี้มันภาพห..ลอ..น?!? ”

“ ชั้นไม่ทิ้งเขาไว้หรอก กลับกัน…ชั้นแค่พานายออกมาดูจะได้เห็นชัดๆต่างหาก ”

ภาพคอนเซนเทลได้เห็นนั้นมันเกินกว่าสามัญสำนึกของเขาจะเข้าใจได้ ภาพในตอนแรกที่เขาคิดคือซัพพอร์ตยืนหลังอย่างมาร์จะต้องโดนผู้เฝ้าชั้นขย้ำปางตาย ทว่าตอนนี้มันกลับตาลปัตรเพราะมาร์ที่น่าจะอ่อนแอ เขากำลังยืนบีบคอของมันแล้วยกมอนสเตอร์ขนาดใหญ่กว่าตัวเองเกือบๆ 3 เท่าขึ้นด้วยแขนเดียว จนมันที่ตอนนี้กลายเป็นเหยื่อทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามจะโจมตีมาร์ด้วยกรงเล็บ ทว่าพอเล็บนั้นกระทบกับผิวหนังของมาร์ มันก็แตกกระเด็นออกอย่างกับว่าไอกรงเล็บที่แสนคมนั้นมันไม่ใช่ของจริง

กึก กึก กึก ก……ร……ร……ร

“ เห้อออ จริงๆก็ไม่ได้อยากจะทำหรอกน้าา เป็นไปได้ก็อยากจะปล่อยให้ไปสนุกกับปาร์ตี้อื่น แต่ว่าบังเอิญญญ บังเอิญแกโชคร้ายเองที่โผล่มาขวางทางไปต่อแบบนี้น่ะ แย่เลยเนอะ แล้วถ้าจะให้สมาชิกของผมสู้ก็จะเสียเวลาเกินไป แถมอาจจะตายได้อีกไม่คุ้มเลยจริงๆ ดังนั้นก็ บาย ”

กร็อบ … … ฟู่…

มาร์ค่อยๆบีบคอมันอย่างช้าๆก่อนที่ไม่นานจะเกิดเสียงบางอย่างที่แตกหักดั่งสนั่นไปทั่วบริเวณและเสียงนั้นก็ทำให้เจ้าหมาป่าแดงแน่นิ่งไปพร้อมกับคอที่พับลงราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสาย ซึ่งก็เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่มันตายอยู่ในมือของมาร์ ร่างของมันก็ค่อยๆสลายกลายเป็นผงสีฟ้าปนสีแดงและดรอปไอเทมเอาไว้จำนวนหนึ่ง

“ เรียบร้อย เรียบร้อย โอ้! จริงด้วย คอนเซนเทลอยากจะได้อะไรก็เอาไปเลยนะ แต่ว่าแค่ชิ้นเดียวล่ะ ”

เมื่อมันตายลงไปแบบนั้น มาร์ก็หันมามองกับทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่สดใสเช่นเดิม ก่อนจะค่อยๆเดินนำพวกเขาไปอย่างช้าพร้อมกับเริ่มเหม่อเหมือนกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่ บางอย่างที่รู้ไปแล้วก็จะทำให้ทุกคนพูดออกมาในทำนองเดียวกันว่า…ไร้สาระชะมัด

“ ค ครับท่านมาร์ ”

“ ได้ยินแล้วใช่หรือเปล่าคอนเซนเทล รีบเลือกแล้วก็รีบไปต่อ… ”

“ ด ด เดี๋ยวนี้ล่ะครับอาจารย์!! ”

คอนเซนเทลขานรับคำพูดของมาร์ด้วยใบหน้าที่สับสนมิใช่น้อย อย่างไรก็ตามเขาก็ได้การเรียกสติกลับมาด้วยคำพูดของอคโตที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับชี้ไปยังบริเวณที่ไอเทมตกลง ที่นั้นมีดาบสีแดงที่เหมือนกับขนและกงเล็บของผู้เฝ้าชั้นผสมกัน แผ่นเหล็กประหลาดที่น่าจะมีราคาไม่น้อยหากเอาไปขาย ขนของมันที่สีแดงและหนานุ่มสุดๆ หัวของมัน ใช่นี้เป็นครั้งแรกที่มอนสเตอร์ดรอปร่างกายของมันโดยเฉพาะส่วนหัวที่หากนำไปขายให้นักสะสมราคาก็พุ่งไปหลายแสนได้อย่างไม่ยาก

[ ข ของชิ้นเดียว… ไม่เห็นจะยากเลย… เงินน่ะมันเอามารักษาชีวิตตัวเองไม่ได้หรอก!! ]

ทว่าคอนเซนเทลเขาไม่คิดถึงเรื่องเงินเลยในตอนนี้ ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจไม่ยากที่จะคว้าเอาดาบสีแดงมาในทันที โดยการที่เขาทำแบบนั้นก็ทำให้อคโตพยักหน้าอย่างช้าๆแล้วก็เดินตามนายท่านของเธอไปโดยมีคอนเซนเทลวิ่งตามมาข้างหลังติดๆ ก่อนที่ไม่นานรูปแบบขบวนนั้นจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมคือ คอนเซนเทลนำ และ มาร์เดินเหม่อตามอยู่ด้านหลัง

ตึก ตึก ตึก

“ ค ค คือว่าท่านอาจารย์ครับผมขอถามอะไรได้หรือเปล่าครับ? ”

“ มีอะไรอย่างงั้นเหรอคะถึงได้ชวนคุยในสถานการณ์ที่ยังไม่ปลอดภัยแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่มีค่าพอ ดิชั้นคงต้องเพิ่มบทลงโทษในช่วงซ้อมตอนพักเพิ่มนะคะ ”

“ อ อึก…ครับ คือว่าผมสงสัยว่า ท่านมาร์เขาเก่งระดับไหนอย่างงั้นเหรอครับ…ถึงขนาดฆ่าผู้เฝ้าชั้นด้วยมือเปล่า มือเดียว แบบนั้นได้ ”

“ …นั้นสินะคะ เป็นคำถามที่ดีเลยนะคะคอนเซนเทล ”

แต่ในระหว่างเดินไปยังจุดหมายถัดไปนั้น คอนเซนเทลก็ได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งที่ยังไม่ออกจากเขตของผู้เฝ้าชั้น เพื่อหันมาถามกับอาจารย์ที่เดินตามมา ตอนแรกเธอนั้นเหมือนจะเตรียมตัวคิดแผนลงโทษเขาเอาไว้แล้วทว่าพอคำถามนั้นเกี่ยวกับมาร์ท่าทีของเธอก็ดูอ่อนโยนลงทันที

“ ถ้าบอกไปทั้งหมด…ก็คงจะไม่ได้ เอาเป็นว่าต่อให้มีชั้นเป็นล้านล้านล้านคนก็ไม่สามารถสร้างแผลบนร่างกายของเขาได้หรอกค่ะ ”

“ อึก…แล้วแบบนั้นก็แสดงว่าท่านมาร์คนเดียวก็ถล่มที่นี้… ”

“ จะถามต่อก็ได้นะคะ แต่ถ้าทำคืนนี้จะถูกสั่งให้ไปซ้อมจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเลยดีไหมล่ะคะ? ”

“ ค ค ครับ!! ”

อคโตก็พูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆของเธอแต่มันก็แฝงไปด้วยความภูมิใจอะไรบางอย่างทำเอาคอนเซนเทลถึงกับอ้าปากค้างไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะถามต่อซึ่งยังไม่ทันจะได้พูดจบก็ถูกอคโตขัดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆที่แฝงไปด้วยแรงกดดันมากเกินจะหยั่งถึงทำเอาอัศวินหนุ่มรีบหันหน้ากลับไปแล้วเดินต่ออย่าตั้งอกตั้งใจในทันที ส่วนมาร์ที่กลับมาเดินตามหลังก็…

[ อืมมม เย็นนี้กินสลัดเนื้อแล้วกัน!! อ่า…พูดถึงเนื้อแล้วก็…จะว่าไป ผู้เฝ้าชั้นตอนแรกออกแบบมาว่าจะให้เก่งแท้ๆ แต่ไหงตายง่ายงี้น้า? สงสัยต้องเพิ่มทักษะลงไปล่ะนะ อย่างเช่นควบคุมมอนสเตอร์ในชั้นที่อยู่ใกล้ๆได้ ไม่ก็รักษาตัวเองได้…ไม่อ่ะ ไม่น่าจะเวิร์คแหะไอรักษาตัวเองได้ เหอะๆ ทานากะถ้าได้มายินไอเดียนี้มีหวังกำหมัดต่อเราแน่ๆเลย เหอๆๆๆ ]

มาร์นั้นกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในใจของตน ทว่าพอมาถึงเรื่องผู้เฝ้าชั้นที่ควรจะเก่งกว่านี้หน่อยหนึ่งด้วยวิธีเพิ่มทักษะตอนแรกมันก็ปกติดี จนกระทั่งมาถึงในส่วนของการรักษาตัวเองได้ มันก็ทำให้ภาพในหัวตอนชีวิตที่แล้วเด้งขึ้นมา ภาพตอนที่สหายนามว่าทานากะกำลังเล่นเกมแล้วปาจอยทิ้งเพราะเล่นเกม RPG ที่บอสมีเวทย์รีเลือดตนเองกลับมาได้ ทำให้เขาตีไม่ตายซักทีแม้จะใช้เวลาไปนานกว่า 10 ชั่วโมงแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดีในระหว่างที่เดินอยู่เขาก็บ่นพึมพำกับตัวเองด้วยว่า

“ แต่เอาจริงๆนะ… ไปๆมาๆอยากกินสเต็กกับซุปจังแหะ ”

……

แซก แซก แซก

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ราวๆ 10 นาที ก่อนที่มาร์จะมาหยุดบนต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนที่เขาจะกลับไปยังแคมป์ ที่นั้นได้มีสิ่งสิ่งหนึ่งที่ตอนนี้มองเผินๆเหมือนจะไม่มีอะไรนอกไปจากพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหญ้าซึ่งมีกองไฟมอดแล้วอยู่ตรงกลาง ทว่าแท้จริงแล้วห่างจากจุดก่อกองไฟไปเพียงไม่กี่เมตรนั้นก็คือสถานที่ลับที่กำลังมีกลุ่มคนจำนวน 7 คนซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน

“ ทุกคนที่อยู่ที่นี้มากันพร้อมแล้วค่ะหัวหน้า ”

“ อื้ม! ทุกคนนั่งได้… ”

และที่ใต้ดินนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าห้องโถงโล่งๆที่แบ่งมุมไว้หลายมุมไม่ว่าจะมุมที่เต็มไปด้วยข้าวของ มุมที่เต็มไปด้วยที่นอน อย่างไรก็ดีตรงกลางในตอนนี้ที่มีตะเกียงไฟแสงห้อยเอาไว้กำลังมีชายหญิงจำนวนหนึ่งนั่งล้อมรอบกันเป็นวงกลมโดยที่คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้านั้นกำลังยืนอยู่ด้านในสุดตรงข้ามกับบันไดทางขึ้นไปข้างบน

“ ก่อนอื่นชั้นคงต้องกล่าวต้อนรับพวกนายสินะ เอาล่ะ ยินดีต้อนรับสู่ปาร์ตี้วิทดรอคนิค หรือแปลจากภาษาโบราณของชั้น ผู้เป็นหัวหน้าก็…ราชินีสีขาว และชั้นมีชื่อว่าโซเฟีย ต่อจากจากนี้ก็ฟังและทำตามคำสั่งของชั้นให้มันดีๆก็…พอ ”

สถานที่แห่งนี้มันเป็นของปาร์ตี้วิทดรอคนิค กลุ่มปาร์ตี้หน้าใหม่ที่ไต่เต้าขึ้นไปเป็นแรงค์ A ได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี โดยคนที่กำลังยืนอยู่ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกไปจากหัวหน้าปาร์ตี้ผู้มีผมสีทองแซมสีดำและดวงตาสีขาว ใบหน้าของเธอช่างงดงามทว่าร่างกายของเธอกลับผอมบางและดูอ่อนแอมากเมื่อเทียบกับนักพจญภัยทั่วไปที่มาที่นี้ แต่ความอ่อนแอนั้นก็ถูกทดแทนด้วยสิ่งที่ต่างออกไปจากนักพจญภัยปกติอีกสองอย่างคือ เครื่องแบบกับอาวุธของเธอ

“ มาถึงตรงนี้พวกนายก็ผ่านการทดสอบเข้ามาเป็นสมาชิกของปาร์ตี้แล้ว แต่ว่ายังไงก็ตามชั้นจะอธิบายแนวทางการสู้ของพวกชั้นให้พวกนายได้รู้ อย่างที่เห็นพวกเราใช้ปืนทั้งหมดและจัดการทุกอย่างดังนั้นพวกนายอย่าคิดมาอยู่แนวหน้า ใช่ แนวหน้า พวกนายในตอนนี้มีหน้าที่แค่ยืน ยืนรออยู่ข้างหลังแล้วก็พวก"แก"อย่าทำอะไรนอกจากที่ชั้นสั่งแค่นั้น ”

“ ค ครับ!! ”

“ เข้าใจแล้วครับท่านโซเฟีย!! ”

กริ๊งๆๆๆ

“ เห้อออ ”

ทว่าระหว่างที่โซเฟียกำลังพูดกับสมาชิกหน้าใหม่ทั้งสองคนนั้น จู่ๆเสียงกระดิ่งที่เบาแสนเบาก็ดังขึ้นแล้วมันก็ทำให้โซเฟียหยุดพูดก่อนจะถอดหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วก็เดินไปยังที่มาของเสียงนั้น ที่มุมด้านในสุดของที่นี้ มันคือนาฬิกาปลุกธรรมดาที่เข็มสั้นกำลังเคลื่อนออกจากเลข 1 อย่างช้าๆ

“ เอ้า!! ได้เวลาเปลี่ยนกะเวรแล้วเห้ย!! ”

“ ค่าาา!! หัวหน้า!! เข้าใจแล้วค่าาา!!! ”

ตึก ตึก ตึก ตึก กึง ตุบ ตุบ ตุบ

โซเฟียพูดออกมาด้วยเสียงที่ดุดันก่อนจะหันไปมองยังสมาชิกปาร์ตี้คนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งสัปหงกอยู่ที่วงล้อมนั้นซึ่งเธอพอโดนมองไปแบบนั้นก็สะดุ้งพร้อมกับลุกขึ้นในทันทีก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบเอาชุดคลุมสีดำกับอาวุธปืนของตนที่อยู่มุมห้องแล้วก็รีบเปิดประตูออกไปยังด้านนอกอย่างรวดเร็ว

“ ทีนี้ทุกคน เงียบ… ”

พอลูกน้องคนนั้นวิ่งออกไปได้เรียบร้อยแล้ว ด้านในฟิงก้าก็ได้มองดูสมาชิกปาร์ตี้ทุกคนพร้อมกับสั่งออกมาด้วยเสียงที่เบาทำให้ทุกคนเงียบตามเป็นเวลาหลายนาที ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าทั้งหมดเป็นไปเพราะป้องกันไม่ให้การออกไปของสมาชิกปาร์ตี้ระบุตำแหน่งของที่ซ่อน

“ พอ… ”

“ อึก…ครับ ”

“ ทีนี้ก็ … เอล่า เอล่าได้ยินหรือเปล่า? ”

และเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วโซเฟียก็ได้หยิบเอาลูกแก้วบางอย่างขึ้นมาก่อนจะเปิดใช้งานมันด้วยการพูดใส่ไปด้วยเสียงที่เบาแสนเบาอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่นานนักที่ลูกแก้วจะเรืองแสงก่อนจะมีเสียงบางอย่างตอบกลับมาในระดับที่เบาแสนเบา

“ ค ค คะ? ได้ยินค่ะพี่…เดี๋ยวนะ!! จริงด้วย!! อะแฮ่ม!! ตอนนี้กำลังกลับไปค่ะหัวหน้า!! ”

“ เห้อ…ให้ตายเถอะ ให้ตายเถอะ ”

หุหุหุหุ ยัยเอล่าเอาอีกแล้วสินะ ฮ่าๆๆๆ ให้ตายเหอะ ให้ตายเหอะ

เสียงตอบกลับนั้นทำให้เธอถึงกับกุมขมับไปชั่วครู่ ส่วนสมาชิกปาร์ตี้ที่เป็นผู้หญิงต่างก็พากันหัวเราะคิกคักกันอย่างเงียบๆ ทว่าฝ่ายสมาชิกชายนั้นก็ต่างก้มหน้าเครียดกันทันทีเพราะว่าพวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการที่หัวหน้าพูด ให้ตายเถอะซ้ำกันถึง 2 ครั้ง

“ เอาล่ะ…เงียบ…แล้วฟัง เรื่องต่อจากนี้คือสิ่งที่ชั้นอยากจะให้ทุกคนได้มาประชุมกันก่อนจะไปต่อยังชั้นถัด ถัด ถัด ไป ใช่…เรื่องที่ทำให้พวกเราที่ควรจะฝ่าไปเกินกว่า 80 ชั้นต้องหยุดลง ทั้งหมดเป็นเพราะสมาชิกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวสองคน… ”

“ อ่าา ไอเจ้าพวกนั้นสินะ จะว่าไปแล้วพวกนายเองก็ด้วยนี่… ”

“ จริงด้วยพอมานึกดูแล้วก็อย่างที่หัวหน้าว่า ไอสองคนนั้น… ”

“ …ไอเวรพวกนั้น… ”

คำพูดนั้นของฟิงก้าทำให้สมาชิกหญิงทุกคนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากตอนแรกที่หญิงสาวทุกคนหัวเราะกันก็เปลี่ยนมาเป็นการจ้องมองไปยังสมาชิกใหม่ทั้ง 2 คนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแรงแค้นบางอย่าง สายตาที่เหมือนกับจะเสียบแทงพวกให้ตายได้เลย

“ ทุกคนใจเย็นลงก่อน… อย่าพึ่งไปกดดันสมาชิกใหม่อย่างงั้นสิ อ่า… ส่วนพวกนายเองก็น่าจะรู้ไว้ด้วยเรื่องของพวกเราที่พิชิตชั้น 76 ของหอคอยนี้ได้มันเป็นเรื่องที่น่าอัปยศสำหรับพวกเราเพราะตัวถ่วง 2 ตัว ตัวถ่วงที่เป็นแบบพวกนาย…ผู้ชาย ”

และคราวนี้โซเฟียก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สายตาของเธอมองไปยังผู้ชายทั้งสองที่เป็นสมาชิกใหม่ราวกับว่าเธออยากจะฆ่าพวกเขาทิ้งซะ แน่นอนว่าสองคนที่โดนจ้องไปแบบนั้นก็หน้าซีดในทันทีแถมยังเริ่มจะค่อยๆถอยไปยังบันไดทางออกไปยังด้านนอก

“ พวกผู้ชาย… ที่เป็นสมาชิกเก่าน่ะนะ พวกมันมัวแต่สนใจเรื่องสมบัติ แล้วก็หลงแต่ในเงินทองจนทำให้ลืมหน้าที่ หน้าที่แค่ไม่กี่อย่างของตนเองที่พวกนั้นต้องทำมาโดยตลอดตั้งแต่วันแรกที่ชั้นรับเข้ามาเพราะพวกเราไม่มีเวลาว่างไปทำ หน้าที่ง่ายๆแค่คอยจัดการเรื่องยาและแบกเสบียงให้พวกเรา หึ…แต่เพราะชั้นไว้ใจ้พวกมัน เป็นยังไงล่ะ เสบียงหมดตอนชั้นที่ 74 เสบียงที่น้องสาวชั้นคำนวณไว้อย่างดีหมดไปเร็วกว่าที่คาดไว้จากการเอาสมบัติมาแทนที่…และหลังจากนั้นก็…หึ ฮ่า ฮ่าๆๆๆๆ!!! ”

ฟิงก้าหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก มือของเธอเองก็ไม่ได้นิ่งเฉยเพราะมือนั้นคว้าเอาปืนพกของเธอออกมาพร้อมกับเปลี่ยนสายตาจากตอนแรกที่ดูน่ากลัวอยู่แล้วเป็นสายตาที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาได้เป็นคำพูดแต่ที่แน่ๆมันทำให้พวกผู้ชายในตอนนี้ขวัญเสียหมดแล้ว

“ หึหึ อึก…พอๆ หมดเวลาสำหรับเรื่องเก่าๆ ผู้หญิง!! ไปทำความสะอาดปืนของตนเอง ส่วนผู้ชาย!! ต่อจากนี้ฟังแล้วทำตามที่ชั้นพูดชั้นทุกอย่างวันนี้ พวกนายไปนอนเฝ้าทางลงซะ! ”

“ ค่ะ!! หัวหน้า!! ”

“ ครับผม!! ”

กี กึก กึก

“ …นั้นสินะที่ว่าทำไมถึงมีสายตาดุขนาดนั้น ”

ปิ๊บๆ

“ โอ้…เช็คเสร็จแล้ว…หืม ”

ทว่าท่ามกลางการพูดคุยนั้นก็ไม่มีใครได้สังเกตุเห็นเลยว่าบนเพดานที่หลบซ่อนนี้นั้นมีแมลงตัวเล็กกำลังปีนป่ายไปมาอยู่และแมลงนั้นก็เชื่อมโยงไปยังด้านนอกของที่หลบนี้ เชื่อมไปยังคนที่ยืนหลบในเงามืดบนต้นไม้ใหญ่…มาร์

[ ไม่เจอสินะ ในระบบพนักงานไม่มีคนชื่อโซเฟียกับหน้าตาแบบนั้นก็ไม่มีบันทึกไว้อีก แถมคนที่เหลือก็ไม่มีด้วย งั้นแสดงว่าตรงหน้านี้ก็คือพวกคนรวยที่ซื้อปืนเราไปแหงๆ แต่ว่าอืม… อืมมม ยังไงว้าา ปืนนั้นมันลิมิตเต็ตสุดๆนี้หว่าจะซื้อไปทางไหนกันเนี้ยแล้วลงทะเบียน อ๋อ!! ทะเบียนปืน …ชิบหาย!! ไอนั้นมันต้องไปให้ทิเรียตรวจนี้หว่า เห้อออ เอาเถอะ…กดส่ง ปุ๊บ เคร… ]

ปิ๊บๆ

[ ดิชั้นจะนำไปตรวจสอบให้โดยเร็วเจ้าค่ะนายท่าน ]

“ ไม่หลับไม่นอนสมกับเป็นทิเรียจริงๆเลยนะ เอาล่ะทีนี้ก็ได้เวลา ฮึบ กลับจริงๆสักที ”

พอมาร์ได้จัดการส่งข้อมูลภาพที่ได้จากแมลงนั้นไปให้ทิเรียแล้ว เธอก็ตอบกลับมาแทบจะในทันทีทำเอามาร์ถึงกับหลุดพูดความคิดของเขาออกมา แต่ก็ไม่นานหลังจากนั้นเขาลุกขึ้นแล้วเริ่มจะเดินทางกลับไปยังแคมป์ของตนอย่างรวดเร็วด้วยการกระโดดไปบนต้นไม้

“ แต่จากที่ฟังมา…คงได้เจอกันแน่ๆสินะในอนาคต ”

เจ้าตัวพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาแสนเบาปนกับรอยยิ้มที่ดูคาดหวังไม่ก็ชั่วร้าย แต่ว่าไออนาคตที่ว่าก็เร็วแสนเร็วเสียเหลือเกินเพราะระหว่างที่กระโดดไปนั้นมาร์ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้และนั้นก็ทำให้เขาหันไปมองแทบจะทันที

[ 7 คน? มายืนล้อมผู้หญิงคนเดียวเพื่ออะไรกันล่ะนั้น? ]

ด้วยความสงสัยจากสัมผัสของตัวเองนั้น มาร์ก็เปลี่ยนทิศทางไปยังตำแหน่งที่ว่าในทันทีและก็เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีเขาก็มาถึงยังตำแหน่งที่ว่าและมันก็ทำให้เขาได้พบเจอกับหญิงสาวผิวเข้ม ผมสีเงินแซมส้มในชุดเครื่องแบบคล้ายๆกับชุดทหารต่างที่เธอไม่ได้สวมกางเกงลายพรางและไม่ได้ใส่เสื้อยูนิฟอร์มของกลุ่ม เธอสวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำกับเวสสีเขียวออกน้ำตาล อย่างไรก็ตามในมือของเธอนั้นคือปืนรุ่นเดียวกันกับคนที่ออกมาจากที่หลบซ่อนของปาร์ตี้วิทดรอกนิคที่มาร์เห็นก่อนหน้านี้ ต่างเพียงมันถูกตกแต่งด้วยสีชมพูเป็นหลัก

“ ดูท่าจะแย่นะนั้น ”

ทว่าในสายตาของมาร์ เธอกำลังถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนราวๆ 6 คน โดยคนที่ล้อมเธออยู่นั้นก็ล้วนแล้วแต่ถืออาวุธเอาไว้ครบมือไม่ว่าจะดาบ จะหอก จะค้อน จะมีดก็ตามและมาร์ที่เห็นก็อ่านใจพวกมันได้อย่างไม่ยากเลยว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการปืนกับอุปกรณ์จากหญิงสาว

“ สาวน้อย เธอคงจะเห็นสินะว่าพวกเราน่ะมีมากกว่า อ๊ะๆ! อย่าคิดจะฆ่าพวกเราล่ะ เพราะเจ้า" อุปกรณ์ช่วยเหลือ " นี้จะส่งเธอไปเจอกับอะไรน่ะ ฮ่าๆๆ ทีนี้ก็ยอมส่งทุกอย่างมาแล้วเราจะปล่อยเธอกลับไปแบบไม่ทำอะไรแน่นอน ช่ายย…แน่นอน ”

[ โฮ่? ในหัวอย่างชั่วเลยนะนั้น ปล่อยไปไม่ทำอะไรแน่นอน ถุ้ย ตรงกันข้ามน่ะสิ ]

พวกมันขู่ให้เธอคนนั้นส่งมอบทุกอย่างมาให้โดยจะแลกกับการที่ไม่ทำอะไรและปล่อยให้เธอกลับไปได้ แน่นอนมันเป็นคำโกหกในแบบที่มาร์ก็มองออกได้โดยไม่ต้องใช้สกิล แต่ยังไงก็ดีพวกมันก็พูดถูกในหอคอยนี้ฝ่ายถูกรุมก็ใช่ว่าจะตอบโต้ได้เพราะถ้าเธอลงมือสังหารขึ้นมามันก็จะไปขึ้นว่าเธอฆ่าคนอื่นซึ่งจะนำไปสู่การถูกไต่สวนและอาจจะมีความผิดได้

[ เอาเป็นว่าตอนนี้…ขอดูอะไรดีหน่อยก็แล้วกัน ]

มาร์ที่ยังอยู่บนต้นไม้พอคิดได้แบบนั้นก็เลยนั่งลงพร้อมกับมองดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะเขาเห็นว่า หญิงสาวคนนี้นั้นกำลังเก็บปืนของตัวเองไปที่ด้านหลังก่อนจะเอื้อมมือลงไปหยิบเอามีดพกขนาดเล็กที่เหน็บอยู่ตรงเวสออกมาพร้อมกับพูดบ่นด้วยเสียงเซ็งๆที่ทำให้มายิ้มออกมาได้

“ พอมาคิดดูแล้วกระสุนมีค่าเกินไปสำหรับพวกแกจริงๆด้วย ”

“ ฮ่าๆๆๆ! ดูยัยนั้นพูดสิ!! ”

“ ไม่ใช้ปืนแล้วจะใช้มีด เพราะ กระ สุน มี ค่า เกิน ไป มั่นใจดีเนอะฮ่าๆๆ ”

“ เอาน่าๆ ให้มันมั่นใจอย่างงี้แหล่ะ เดี๋ยวตอนจะตายก็คงร้องขอให้เราช่วยเอง ”

“ เอาสิ เอาสิ ไม่ใช่ปืน? มั่นใจดีเนอะ? ”

“ สายตานั้น อืมมมม น่านั่งดูขึ้นเยอะ ”

พวกมันต่างหัวเราะเยอะในสิ่งที่เธอทำ อย่างไรเสียเธอนั้นไม่ได้มีสีหน้าเกรงกลัวแต่อย่างใดกลับกันเธอตั้งท่าพร้อมสู้แถมยังมองไปศัตรูด้วยสายตาที่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด สายตาที่เหมือนกับกำลังวางแผนอะไรบางอย่างและสายตานั้นก็ทำให้มาร์ถึงกับเอ่ยปากชมออกมา

“ เอ้า ในเมื่อไม่ยอมกันดีๆก็… เอาเลย!! ”

“ อย่าลืมล่ะ จับเป็น จับเป็น!! ”

“ อ่าๆ อ๋อใช่ๆ ยัยนั้นใช้ปืนอะไรนั้นใช่มะ งั้นสู้ระยะประชิดก็โคตรกากเลยอ่ะดิ ”

“ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ช่างๆมันเหอะ ”

“ แผนๆ อย่า 1 1 นะเห้ย!! ”

“ เครๆ ”

การปะทะเริ่มขึ้นฝ่ายกลุ่มโจรนั้นตะโกนบอกกันว่าเหยื่อเป็นพวกใช้อาวุธโจมตีระยะไกลยังไงก็สู้คนรุมขนาดนี้ไม่ได้แน่ๆ พวกมันก็ฉลาดพอจะพยายามรุมเข้าไปเลยเพื่อไม่ให้เหยื่อได้สู้แบบ 1 ต่อ 1 เด็ดขาดเพราะถ้าเธอทำได้มันจะทำให้จำนวนที่มากกว่าไม่มีประโยชน์

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ฉึก ฉัวะ!!

“ อ๊ากกกกกกก!! ”

ทว่าอีกฝ่ายก็ประเมินต่ำไป หญิงสาวผิวเข้มผู้นี้วิ่งเข้าใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นคนที่ใกล้ที่สุด และทันทีที่เธอถึงตัวของศัตรูเธอก็ไม่รอช้าเลยที่จะใช้มีดแทงสวนเข้าไปที่ข้อพับอย่างรวดเร็วทำให้ศัตรูล้มลงในทันที อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ซ้ำเพื่อจะฆ่า แต่เธอกลับใช้มีดแทงลงไปที่ข้อศอกทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มันลุกขึ้นมาได้อีก

“ อึก อย่ามัวแต่เล่นสิวะ!! ”

“ พร้อมกัน!! ”

ฟุบ ฟุบ

อีกฝ่ายที่เจอไปแบบนี้ก็ตกอยู่ในความประหลาดใจที่คนที่ควรจะใช้ปืนสู้กลับมีทักษะต่อสู้ระยะประชิดสูงจนล้มคนที่ตัวใหญ่กว่าได้เร็วขนาดนี้ แต่พวกนั้นก็ไม่ใช่มือใหม่พวกมันวิ่งเข้าหาเธอพร้อมกันอีกหน โดยคราวนี้คือหอกที่พุ่งมาจากทั้งซ้ายและด้านขวา

ควับ

“ หลบเก่งนักนะ!! ย้ากกกกกกกก!! ”

แต่ว่าหญิงสาวก็ไม่ได้จะตกใจเลยสักนิด เธอทิ้งตัวลงกับพื้นปล่อยให้หอกนั้นพุ่งไปยังอีกฝั่งก่อนที่ตัวของเธอเองจะคว้าหอกทั้งสองนั้นไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วก็ใช้หอกนั้นเป็นคานให้ม้วนตัวเองขึ้นมายืนอยู่บนหอกทั้งสอง ทว่าการขึ้นมานั้นของเธอก็เจอกับนักดาบที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เจ้านั้นมันง้างดาบแล้วฟันลงมา

ฟุบ เก็ง!! ฉัวะ!! ฉัวะ!!

“ แขนข้า แขนข้าาาา!! ”

ทว่าแทนที่ดาบนั้นจะฟันลงมาโดน เธอก็ได้ใช้มีดเล่มเล็กๆนั้นปัดป้องดาบขนาดใหญ่ให้มันแฉลบออกไปฟันโดนตัวหอกด้านขวาขาดออกเป็นสองท่อน แน่นอนเธอไม่ได้อยู่เฉยแต่อย่างใด ทันทีที่ดาบนั้นเลื่อนออกไม่โดนเธอแน่ๆแล้ว เจ้าตัวก็พุ่งเข้าใส่ก่อนจะใช้มีดที่ถืออยู่เฉือนเข้าไปในหัวไหล่ซ้ายและขวาของนักดาบอย่างรวดเร็วทำให้หมอนั้นลงไปนอนโอดครวญในทันที

“ ยัยนี้มัน!! ”

“ เออ!! รู้แล้ว!! ”

“ บอกแล้วว่าอย่า 1 1ไงวะ!! ”

“ ใจเย็น ใจเย็น…อย่าวู่วาม ”

ฟุบ ฟุบ ควับ ซุบ

“ อึก… ”

ศัตรูนั้นยังไม่หมด พวกมันยังเหลืออีก 4 คนและด้วยจำนวนเท่านั้นพวกมันก็ตัดสินใจพุ่งเข้าหาเป้าหมายในทันทีโดยทุกคนต่างก็คิดคล้ายกันว่า ห้ามให้ยัยนี้ได้สู้กับใครแบบ 1 ต่อ 1 เด็ดขาด นั้นเองทำให้หญิงสาวเริ่มจะตึงมืออย่างเห็นได้ชัด เธอที่ตอนแรกจัดการศัตรูได้ก็กลายมาเป็นฝ่ายต้องป้องกัน

“ ตอนนี้ ตอนนี้แหล่ะ!! ย้าาากก!! ”

“ เห้ยยย!! อย่าทำอย่างงั้น!! ”

ฉึบ…ครืดดด ฉัวะ

“ อ๊าาาาาาาาก!!! ”

ทว่า 1 ในนั้น ผู้ใช้ค้อนสงครามที่เห็นว่าตนได้เปรียบ ตัดสินใจพุ่งเข้าใส่หญิงสาวอย่างรวดเร็วหวังเผด็จศึก ทว่ามันก็เป็นการเปิดช่องว่างให้เธอเอียงตัวหลบได้อย่างไม่ยากและใช้มีดของเธอปาดเข้าไปที่ใต้รักแร้ข้างขวาทันทีซึ่งจุดนั้นไม่ได้มีเกราะหรืออะไรป้องกันไว้เลย มันทำให้มีดกรีดเข้าไปในเนื้อจากหน้าสุดไปหลังสุดอย่างไม่ยากเย็น และนั้นก็ทำให้ผู้ใช้ค้อนล้มลงหมดสภาพไปโดยปริยาย

“ หอกนำหน้า!! แกเปลี่ยนไปใช้ดาบแล้วกันบนกับซ้ายไว้ เดี๋ยวกูจะกันด้านล่างกับด้านขวาไว้เอง!! ”

“ เออ เออ! ”

“ เข้าใจแล้ว!! ”

ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ

“ นั้นแหล่ะ! ยัยนั้นเริ่มจะถอยแล้ว!! ”

“ อึก…แบบนี้… ”

แต่สำหรับ 3 คนที่เหลือพวกมันมองตากันก่อนจะตัดสินใจวิ่งเข้าใส่อย่างเป็นแบบแผนมากขึ้น หน้าสุดคือหอก ถัดมาคือดาบ 2 คนที่เดิมที 1 ในนั้นคือผู้ใช้หอก พอเจอกระบวนรบแบบนี้ เป้าหมายก็เริ่มจะหาทางไปต่อไม่ได้ เธอรู้ได้ทันทีว่าหากพุ่งเข้าไปสู้กับหอก ก็จะโดนดาบที่อยู่ข้างหลังจัดการได้แน่ๆ และถ้าถอยไปเธอก็จะโดนหอกจัดการซึ่งต่อให้หลบได้ก็จะมีดาบพุ่งมาต่อ ซ้ายขวาเองก็ยากเพราะมันยังอยู่ในแนวของหอก

“ เอาล่ะหมดเวลาดูแล้วแหะ ”

ปุก ปุก ปุก

“ อ๊ากกกก ”

“ อ…อะไรกัน… ”

“ ท ท ทำไมมันถึง ”

ตุบ ตุบ ตุบ

เสียงประหลาดดังขึ้นจากด้านหน้าของเธอ เสียงของบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก มันดังขึ้น 3 ครั้งก่อนจะทำให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างเจ็บปวด และเธอก็ได้เห็นตัวต้นตอของเสียงนั้น เด็กหนุ่มผมดำปลายสีแดงในชุดคลุมตะข่ายสีที่กำลังยืนนิ่งมองมาที่เธออยู่ โดยในมือของเขาเองก็มีปืนขนาดเล็กที่มีท่อยาวสีดำอยู่ตรงปลายกระบอกปืน

แกร็ก

เธอที่ไม่รู้ว่านั้นคือมิตรหรือศัตรูก็ได้เหวี่ยงเอาปืนที่สะพายเอาไว้ด้านหลังมาโดยตลอดออกมาไว้ที่มือของตนเองแล้วก็พร้อมกับยกปืนขึ้นเล็งไปยังทางเด็กชายคนนั้นก่อนจะปลดเซฟตี้อย่างรวดเร็วเตรียมปะทะได้ทุกเมื่อ

ฟุบ

“ โอ๊ะๆ อย่าเล็งปืนมาใส่กันแบบนี้ดิเห้ย… ”

แกร็ก กริ๊ก

ทว่ามันก็ช้าไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มตรงหน้าจู่ๆก็เดินเข้ามายืนตรงหน้าของเธอโดยที่เธอไม่ทันจะได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เขานั้นวางมือลงบนปืนของเธอก่อนจะค่อยๆกดมันลงชี้ไปยังพื้นพร้อมกับปลดแม็กและใส่เซฟด้วยมือข้างนั้นข้างเดียว

ตึก ตึก แกร็ก ฟุบ!

“ เดี๋ยวๆ พึ่งบอกว่าอย่าเล็งมาแล้วจะชักปืนพกขึ้นมาเพิ่อ?? ”

หญิงสาวพยายามจะถอยออกมาแล้วกำลังจะชักปืนพกขึ้นมาเตรียมสู้ แต่เด็กหนุ่มนั้นก็มายืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับรับเธอเอาไว้ ทำเอาเธอหันไปมองด้วยความสับสนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ยิ้มก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ

“ ใจเย็นๆก่อนนะคุณผู้หญิง ผมไม่ใช่คนเลวหรอกจริงๆนะ!! เนี้ยถ้าผมจะทำก็ทำไปนานแล้วเห็นไหม?? ”

“ อ่า… ”

“ ถ้างั้น ผม! มาร์ ซันเบิร์น! จากปาร์ตี้พาทไฟเดอร์ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ”

คำพูดที่เป็นมิตรนั้นทำให้เธอเหมือนจะใจเย็นลง ยังไงก็ตามเธอไม่ได้เชื่อคำพูดของเขาทั้งหมดทว่าตอนนี้เธอก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการพูดคุยกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเธอ

“ ชั้นแอช จากปาร์ตี้…ผู้กวาดล้าง ”

แกร็ก

“ โอ้? งั้นเหรอครับ? ”

ตึก ตึก

เธอแนะนำตัวเองอย่างช้าๆด้วยชื่อปลอมๆของตน ก่อนจะที่จะค่อยๆเก็บปืนของตัวเองลงในซองที่ต้นขา ส่วนเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็ยิ้มก่อนจะถอยหลังห่างออกไปอย่างช้าๆทีละก้าว ทีละก้าวด้วยท่าทางสบายๆ

“ เอาล่ะ นี้ก็ใกล้เช้าแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ อ่า…ยังไงก็ขอให้สนุกกับการพิชิตชั้นที่ 76 อีกครั้งนะครับคุณแอช ไม่สิ ไม่สิ ต้องเป็น “คุณเอล่าจากวิทดรอคนิค” ต่างหากเนอะ? ”

ฟุบ

“ ด ด เดี๋ยวนะ!!!! มัน… ชื่อเรา!! พี่!! ”

ตึกตึกตึกตึกตึก

เขาพูดเช่นนั้นกับเธอก่อนจะค่อยๆจางหายไปพร้อมกับรอยยิ้มนั้นทำเอาเธอต้องตกอยู่ในความกลัว เขารู้ชื่อเธอ เขารู้เป้าหมายของเธอ ทั้งยังหายตัวไปได้ทั้งๆที่อยู่ตรงหน้าแบบนั้น มันทำให้โซเฟียไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งกลับไปยังที่หลบซ่อนของปาร์ตี้ในทันที เพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ทุกคน!! ”

แกร็ก แกร็ก แกร็ก แกร็ก

อย่างไรก็ดีการที่เธอวิ่งมาแบบนั้นมันก็ก่อให้เกิดเสียงดังไปทั่ว ทำให้โซเฟียที่อยู่ในที่ซ่อนต่างบอกกับสมาชิกหญิงทุกคนทำให้พวกเธอต่างหยิบปืนขึ้นมาแล้วก็เล็งไปทางบันไดลงมายังด้านล่าง

“ พี่คะ!! แย่แล้ว!! ”

“ ทุกคนอย่ายิง อย่ายิง พวกเดียวกัน!! ”

ปึง

ทว่าเสียงที่ดังลงมาก็ทำให้โซเฟียรู้ได้ทันทีว่าด้านนอกนั้นคือน้องสาวของเธอ และด้วยคำสั่งของเธอก็ทำให้ทุกคนลดปืนลงก่อนจะที่ไม่นานนักคนที่ตะโกนจะเข้ามาด้านในอย่างเร่งรีบด้วยการพุ่งทะลุผ่านประตูเข้ามา

“ แย่แล้วค่ะพี่!! พี่…อ้าว… ”

“ มาอ้าวอะไรน่ะหะ โวยวายแล้วก็พุ่งเข้ามาแบบนี้น่ะ… ”

เอล่าที่พุ่งเข้ามาก็กระเด็นกระดอนลงจากบันก่อนจะไปหยุดลงที่ด้านหน้าของโซเฟียอย่างพอดีด้วยสภาพที่ดูไม่ได้สักเท่าไหร่ด้วยการนอนหงายอยู่ที่ตรงนั้น แน่นอนว่าคุณพี่สาวที่ยืนดูอยู่ก็ก้มลงมาด้วยสายตาที่เย็นชาๆสุด

“ อย่ามองกันแบบนั้นสิคะพี่! หนูนึกว่าพี่โดนไอเด็กนั้นจัดการไปแล้ว?? ”

“ เด็กนั้น? เด็กไหน?!? ”

“ เห… ”

โซเฟียนั้นยืนงงกับคำพูดของเอล่า ยังไงก็ตามการที่เธอมีอาการสับสนนี้เอง ทำให้เอล่ารู้ได้ทันทีว่าพี่สาวของเธอนั้นคงจะยังไม่รู้เรื่องของมาร์แน่ๆ และก็เพราะแบบนั้นเธอจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เธอเจอให้กับพี่สาวของเธอได้ฟัง เรื่องเมื่อราวๆ15นาทีก่อน ตอนที่เธอโดนดักปล้นแต่ก็ถูกช่วยไว้โดยเด็กผมดำปลายสีแดง

“ เอล่า พี่ฟังไม่ผิดสินะว่าคนที่น้องไปเจอมาน่ะคือ…มาร์ ซันเบิร์น ”

ทว่าพอฟิงก้าได้รับรู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายมันก็ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าเธอกำลังเจอสิ่งที่ไม่ได้เจอมาอย่างยาวนานจนแสดงออกมาทางสีหน้าของเธอ

“ ใช่สิคะพี่ มาร์ ซันเบิร์น เด็กวัยราวๆ 19 ปี ผมดำปลายสีแดงแถมยังถือปืนประหลาดที่ยิงไม่มีเสียงด้วยค่ะพี่!! ”

“ โฮ่… ไม่น่าเชื่อว่าชั้นจะได้มีโชคมาเจอกับเทพที่มีชีวิตในที่แบบนี้ ”

“ เทพที่มีชีวิตงั้นเหรอคะ??! ”

“ อ่า…ชายคนแรกที่เอาเด็กๆพวกนี้มาลบล้างความอ่อนแอของพี่ยังไงล่ะ ”

……

ฉัวะ ฉึก

“ แฮก แฮก แฮก เป็นยังไงบ้างครับอาจารย์… ”

“ เมื่อกี้ใช้ไม่ได้ ตวัดดาบลงมาดื้อๆแบบนั้นมันเสียแรงเกินไป บอกแล้วไปแล้วนะคอนเซนเทล ”

ท่ามกลางทางเดินยาวที่มองไม่เห็นปลายทางนั้น มันถูกล้อมรอบไปด้วยป่าสนต้นใหญ่ทั้งซ้ายและขวา ซึ่งในตอนนี้เองบนทางนั้นก็มีชาย 2 หญิง 1 กำลังเดินอยู่ พวกเขาคือปาร์ตี้ Pathfinder ที่คนเดินนำหน้าสุดก็ไม่ใช่ใครอื่น อัศวินหนุ่มนามว่าคอนเซนเทลกำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งที่กระโดดไปมาอยู่ในป่า และที่ตามมาติดๆก็คือ อคโตกับมาร์ที่คอยดูเขาอยู่

ฟุบ ฟุบ

“ ห่ะ!! แฮก แฮก ทำไมเราถึงฟันโดนมันยากขนาดนี้เนี่ย!! ”

“ คำตอบก็อยู่ในวิธีดาบแล้วไม่ใช่หรืออย่างไรกันคอนเซนเทล วิธีดาบที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาจริงๆจังๆน่ะ ”

“ เห!! แต่ทักษะดาบของผมก็อยู่ในระดับสูงแล้วนะครับอาจารย์!! ไหนผมจะขัดเกลาวิธีดาบอัศวินไอริชจนถึงระดับผู้ฝึกสอนเลยนะครับ!! ”

ซึ่งก็อย่างที่ได้เห็นในตอนนี้ อคโตเธอกำลังเดินกำกับอยู่ที่ด้านหลังของคอนเซนเทลอยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะตั้งแต่ผ่านชั้นที่ 5 มาได้ มาร์ก็มีคำสั่งให้เธอไปสอนคอนเซนเทลในทักษะดาบ ซึ่งคอนเซนเทลเองก็ยินดีที่จะเป็นลูกศิษย์ของอคโต กระนั้นก็ตามนับแต่การลงมาและลุยมาเรื่อยๆนี้ ไม่มีครั้งไหนเลยที่อคโตจะไม่ได้บ่นการใช้ดาบของอัศวินหนุ่มนี้ ส่วนคอนเซนเทลพอโดนบ่นไปแบบนั้นก็รีบตอบกลับอาจารย์ของเขาในทันที

“ จะบอกให้ฟังเป็นครั้งที่ 22 นะคอนเซนเทล ทักษะในหน้ากระดานสเตตัสของตัวคุณน่ะ มันไม่ได้มีความหมายเลยหากเทียบกับคนที่ฝึกมาเพื่อสังหารแบบจริงๆจังๆ อ่า…แล้วไอการซ้อมของอัศวินที่อวดไว้น่ะ จำไว้ด้วยนะว่ามันก็มีดีแค่ในการต่อสู้ที่คู่ต่อสู้อ่อนแอกว่า…พอเจอศัตรูที่ไม่เคยเจอก็เป็นยังไงล่ะตอนนี้? ”

“ อึก… ”

อคโตตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ใดๆ ทำเอาคอนเซนเทลต้องเบือนหน้าหนีและก็ต้องยอมรับเป็นครั้งที่ 22 ว่าคำพูดของเธอนั้นมันจริง เพราะทักษะกับวิธีดาบของเขานั้น มันฝึกกับคู่ต่อสู้ที่เป็นคนมาโดยตลอดหรือไม่ก็สู้กับมอนสเตอร์ที่พวกเขาจะรุมเข้าไปจัดการ พอเจอตัวต่อตัวแบบนี้ทักษะกับวิธีดาบนั้นก็ไร้ประโยชน์

[ นั้นสินะ อคโตเองถึงจะพูดแรงไปหน่อยก็เถอะ แต่…ไอการฟันไปอย่างกับออกคำสั่งโจมตีเนี่ย… อืม… อ่า… กระจอกจริงๆนั้นแหล่ะ ]

มาร์เองถึงแม้จะเดินตามเงียบๆแต่ในหัวก็เห็นด้วยกับอคโต ภาพที่เขาเห็นมาตลอดนั้นคือการโจมตีตรงๆไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆเลย ยังไงก็ตามท่วงท่าเองก็อยู่ในระดับที่หากมองเผินๆอาจจะดูชำนาญ ทว่าจริงๆแล้วมันคือการโจมตีที่ไร้ประสิทธิภาพชัดๆแทงหรือฟันแบบไม่มีการหลอกหรือลวงเลย อ่านง่ายตั้งแต่ก่อนที่จะโจมตีเสียอีก

[ นี้ขนาดมีบัฟนะเนี่ย ยังฟันวืดติดกันรัวๆแบบนี้ เห้อ…ถ้าอคโตไม่ช่วยสอนมีหวังตั้งแต่ชั้นที่ 25 ถ้าเราไม่ช่วยดูแลก็คงไม่รอดแหงๆ ดีนะว่าตอนนี้พึ่งมาถึงชั้น 16 …ดีจริงๆ อ๊ะ ไม่สิ สกิลบัฟ…จะหมดแล้วนี้หว่า ฮะ ฮะ แย่จัง ]

แม้จะลงมาจนถึงชั้นที่ 16 แล้วก็ตามบัฟที่มาร์ใส่ไว้ก็ยังคงมีผลอยู่อย่างต่อเนื่อง ทว่าก็อย่างที่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าสกิลของเขามันใกล้จะหมดผลแล้วและนั้นก็คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำไมตอนนี้การเคลื่อนไหวของคอนเซนเทลเริ่มจะช้าลงอย่างมาก

“ อคโต! ”

“ คะ? มีอะไรหรือเปล่าคะมาร์? ”

มาร์นั้นตะโกนเรียกหาอคโตที่อยู่ห่างออกไปราวๆ 3 เมตร นั้นทำให้เธอที่ได้ยินรีบหันหน้ามามองก่อนจะวิ่งตรงเข้ามาโดยไม่สนใจลูกศิษย์ของตัวเองที่กำลังสู้กับมอนสเตอร์ลึกลับที่ยังคงกระโดดไปมาในป่าอยู่

“ ก็…หาที่พักกันเถอะ ”

“ คะ? ”

อคโตสงสัยในคำสั่งนั้นทันที เธอไม่คิดว่าตอนนี้จำเป็นจะต้องพักแม้แต่น้อยโดยประเมิณได้จากตัวของเธอที่แทบจะไม่เหนื่อยเลยสักนิด ยิ่งนายท่านที่อยู่ตรงหน้า เขาอยู่ในระดับที่ไม่รู้สึกว่าเหนื่อย ไม่สิ ไม่รู้สึกอะไรเลยต่างหาก เพราะแบบนั้นอคโตจึงมองไปทางคอนเซนเทลที่กำลังตั้งรับมอนสเตอร์อยู่

“ นั้นสินะคะ สาเหตุ ”

“ อ่าหะ นั้นแหล่ะสาเหตุล่ะ ”

ผัวะ พลัค

“ อึก… แก!! ”

แอ๊!!

ทว่าในระหว่างที่ทั้งสองคนนั้นกำลังพูดคุยกันอยู่ คอนเซนเทลก็ต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ประจำชั้นนี้แบบเต็มๆผ่านการที่มันกระโดดเข้ามาชนใส่โล่ของเขาจนตัวอัศวินหนุ่มถึงกับเสไปด้านหลังเลยทีเดียว มอนสเตอร์สี่ขาที่สูงใหญ่เกือบๆ เมตรครึ่ง มันมีเขาขนาดเล็กและดวงตาที่กลมโตใส อย่างไรเสียบนตัวของมันก็เต็มไปด้วยบาดแผลปะปนไปกับขนสีน้ำตาล

“ คืนนี้กวางสินะ ”

“ นั้นสินะคะ ”

ฉัวะ!!

“ ตายซะ!! ไอ้อสูรร้าย!! ”

สิ่งที่เห็นนั้นก็อย่างที่มาร์พูด กวาง โง่ๆที่ถ้าเป็นเขาคงหักคอมันด้วยมือเปล่าไปแล้ว ทว่าคอนเซนเทลกลับต้องใช้ดาบฟันไปที่มันหลายต่อหลายครั้ง และด้วยทักษะดาบของเขาบวกกระบวนดาบนั้นทำให้บาดแผลที่ก่อบนตัวของกวางมันไม่ลึกพอจะสังหารมันได้ นั้นเองจึงเป็นผลให้บนตัวของมันตอนนี้มีแต่บาดแผลเต็มไปหมด

แอ๊!!! ตุบ…

“ สำเร็จ!! ในที่สุดก็ฆ่าได้สักที!! ”

“ ขอโทษนะคะคอนเซนเทล อย่ามัวแต่มาดีใจแบบนี้แล้วรีบๆไปต่อได้หรือเปล่าคะ? ”

“ ข…ข ข ขอโทษครับอาจารย์ ”

คอนเซนเทลสังหารกวางตัวนี้ลงได้พร้อมกับชูดาบขึ้นให้กับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ แต่ก็เชยชมกับชัยชนะได้ไม่นานก็ต้องถูกอาจารย์จำเป็นดุเข้าให้ด้วยเสียงเรียบๆแต่เยือกเย็นสุดๆ นั้นทำให้เขาต้องก้มหัวรู้สึกผิดไปเลย

“ เอาน่าๆ อย่าไปดุคอนเซนเทลเยอะเลยนะอคโต ”

“ ท ท ท่านมาร์!! ”

“ ไม่ได้ค่ะ ถ้าไม่เคร่งครัดเดี๋ยว ศิษย์จะนิสัยเสียเอาได้นะคะ… ”

อย่างไรก็ตามมาร์ก็ได้เดินเข้ามาห้ามไม่ให้อคโตดุคอนเซนเทลต่อด้วยท่าทางกับการพูดที่แสนจะอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทำเอาคอนเซนเทลถึงกับหลุดปากเรียกมาร์ว่าท่านแทนที่จะเป็นคุณเลยทีเดียว แต่ก็นะอคโตก็ไม่ได้จะอ่อนตามคำพูดนั้นเธอหันไปมองคอนเซนเทลอย่างช้าๆ โดยที่อัศวินหนุ่มไม่อาจจะเดาอารมณ์ในตอนนี้ของอาจารย์ได้ เพราะเธอสวมแว่นบางอย่างปิดบังเอาไว้ ยิ่งคำพูดเองก็เย็นชาอยู่ตลอดเลยยิ่งเดาไม่ได้ว่าตอนนี้เธอกำลังโกรธอยู่หรือไม่

“ เห้อออ บางครั้งเราก็ควรจะให้เขาได้พักบ้าง นี้ตั้งแต่เราลงมาก็ปาไปเกือบวันแล้วนะ ถ้ายังฝืนต่อจะแย่เอา โอ้!! จริงด้วยๆพอพูดถึงเรื่องพักแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มจะมืดพอดีเลยถ้างั้นหาที่พักแรมคืนนี้กันดีกว่าเนอะ? ”

“ ค ค ค่ะ… ”

มาร์ยิ้มออกมาอีกครั้งราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ เช่นกันอคโตก็แอบยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยก่อนจะหลบหน้านายท่านของเธอด้วยการมองไปยังทางอื่น คอนเซนเทลเองก็ได้แต่ยืนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดีเพราะตัวเองในตอนนี้ขืนพูดอะไรไม่เข้าท่ามีหวังโดนอาจารย์สวดอีกแน่

“ ถ้าไม่มีอะไรแย้งงั้นวันนี้ก็พักตรงนั้นกันเถอะ หลบมุมไม่มีร่องรอยมอนสเตอร์ด้วย ”

ซึ่งพอไม่มีใครจะแย้ง มาร์ก็ชี้นิ้วไปยังลานดินที่หนึ่งซึ่งล้อมไปด้วยต้นส้นกับพุ่มหญ้ามากมายก่อนที่ไม่นานเขาจะเดินนำทุกคนไปยังบริเวณที่ว่าอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าอคโตก็ต้องตามไปในทันที ทว่าคอนเซนเทลกลับก้มลงเก็บไอเทมที่ดรอปจากมอนสเตอร์ซึ่งไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายเพราะสิ่งที่มันดรอปมามีเพียงเขาขนาดเล็กของมันเท่านั้น

“ ทีนี้ก็จัดการเรื่องที่พักของตัวเองได้เลยนะทุกคน ”

มาร์ให้สัญญาณก่อนที่จะเดินไปยังต้นสนใกล้ๆแล้วก็เอากิ่งไม้แถวๆนั้นยกขึ้นมาแทงเอาหยากไย่บนต้นสนออกก่อนจะยืนมองดูราวกับสำรวจอะไรบางอย่าง ทางด้านอคโต เธอนั้นเดินไปยังลานดินที่อยู่ใกล้ๆกันต้นสนที่มาร์อยู่แล้วก็ก้มตัวลงวางมือไว้บนพื้นก่อนที่ผืนดินจะเริ่มแปลเปลี่ยนกลายเป็นทางลงไปยังใต้ดินที่ด้านในนั้นคือห้องพักพร้อมอ่างอาบน้ำหรูหรา ทว่าคนสุดท้ายอย่างคอนเซนเทลนั้น…เขากลับหยิบเอาผ้าปูออกมาแล้วก็เอาเศษใบไม้รองไว้ด้านใต้ก่อนจะปูมันไว้ข้างบน

“ เอาล่ะทีนี้ใครจะกินอะไรก็ไปล่ามาเนอะ เดี๋ยวผมจะเตรียมกองไฟเอาไว้ให้ ”

“ รบกวนด้วยนะคะมาร์ ”

“ งั้นเดี๋ยวผมจะรีบกลับมานะครับ!! ”

เมื่อจัดที่นอนของตัวเองจนเสร็จก็ได้เวลาหาของกินกัน แน่นอนว่ามาร์น่ะมีของกินเตรียมมาเองอยู่แล้วแต่เขาก็ไม่อยากจะเอาออกมาให้เสียบรรยากาศตอนนี้ แถมถ้าเขาจะออกไปล่าก็คงใช้เวลาไม่ถึงนาทีแน่ๆ ดังนั้นให้ทั้งสองออกไปโดยที่ตัวเองทำเป็นจุดไฟจะดีกว่าเพราะตามปกติงานจุดไฟก็เป็นของพวกนักเวทย์อยู่แล้วด้วย ซึ่งคนแรกที่เดินออกไปก็คือคอนเซนเทล ส่วนอคโตที่กำลังจะเดินออกไปนั้นก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงที่แสนเบาจากด้านหลัง

“ อคโตยังไงเดี๋ยวคืนนี้… ”

“ รับทราบค่ะ…นายท่าน ”

… … …

“ …หมดนี่น่าจะเยอะพอสำหรับสองวันเลยนะคะ ”

“ แฮก แฮก แฮก…น น นี้ครับ ”

[ อืม… ไม่เกินคาดแหะ ]

เวลาผ่านไปได้เกือบชั่วโมง ทั้งสองก็กลับมาพร้อมกับของกินสำหรับคืนนี้และมันก็เป็นไปตามที่มาร์คิดเอาไว้ อคโตล่ามาได้เยอะจนเธอต้องเอาใส่ถุงตะข่ายเอาไว้ ถุงที่มีขนาดพอๆกับเธอ ส่วนคอนเซนเทลเขาได้มาเพียงนิดเดียวถ้าเทียบก็เป็นเนื้อชิ้นขนาดราวๆ 2 ฝ่ามือ

ฟู่… ฟู่… ช่าาา…

“ อืมม หอมดีแหะ ดีนะที่พกเกลือกัยพริกไทยเอาไว้ ”

“ อึก… ถ้าผมล่าได้มากกว่านี้ล่ะก็… ”

“ งั้นเหรอคะคอนเซนเทล? วันหลังตอนออกไปล่าก็พยายามให้มากกว่านี้สิคะ จะได้ไม่ต้องมี “ถ้า” อีกน่ะ ”

“ ค…ครับ อาจารย์ ”

“ เอ้านี้…ของคอนเซนเทล ”

“ ขอบคุณครับ ”

มาร์ที่ได้วัตถุดิบมาแล้วก็ลงมือปรุงในทันที โดยระหว่างที่ทำไปนั้นคอนเซนเทลเองก็เอาแต่เสียดายที่ล่ามาได้น้อย ยังไงก็ตามพอบ่นออกมาแบบนั้นก็โดนอคโตแซะกลับในทันทีทำเอาอัศวินก้มหน้ารู้สึกผิดไปเลย มาร์ที่เห็นก็แทรกเข้ามาด้วยการเอาเนื้อที่ย่างเสร็จแล้วมาให้กับคอนเซนเทล

“ ไหนๆก็ไหน ระหว่างกินข้าวไป ผมจะคุยเรื่องคืนนี้แล้วก็ต่อจากนี้เลยเนอะ เรื่องสำคัญก่อนเลยก็เรื่องเข้ากะเฝ้ากลางคืน ผมจะทำให้เองทั้งสองคนนอนไปก่อนได้เลยไว้เกือบเช้าผมจะปลุกมาแทน ส่วนอีกเรื่องก็คือต่อจากนี้ผมตั้งเป้าว่าทุกๆ 24 ชั่วโมงเราจะพักกัน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยคุยกันอีกทีเนอะ ”

“ ค ค คือว่า ”

“ ครับ? เชิญเลยคอนเซนเทล ”

ในระหว่างที่แต่ละคนกำลังกินข้าวกันอยู่ มาร์ก็ได้พูดถึงเรื่องที่เขาคิดเอาไว้เรื่องการเฝ้าเวรกลางคืนซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญมากๆในการนอนพักแรมนอกเมือง เพราะ 1.ด้านนอกเต็มไปด้วยมอนสเตอร์อันตราย ตอนกลางคืนหากนอนโดยไม่มีคนเฝ้าก็อาจจะโดนพวกมันบุกมาโดยที่ไม่สามารถตอบกลับอะไรได้เลย 2.พวกโจร หรือภัยอันตรายอื่น แม้ว่าการตั้งแคมป์ในป่าจะมีต้นไม้คอยอำพรางไว้ให้ ทว่าไฟที่ใช้จุดเพื่อไล่มอนสเตอร์กับไว้สร้างความอบอุ่นก็กลายมาเป็นตัวเปิดตำแหน่งให้พวกโจร ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ตามการนอนแคมป์ด้านนอกจึงจำเป็นที่จะต้องมีคนเฝ้ายามเสมอ

ทว่าในตอนที่มาร์พูดจบแล้วนั้น คอนเซนเทลก็ได้ยกมือขึ้นมาเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขานั้นเห็นได้เลยว่างานเฝ้านี้เขาอยากจะทำมัน ซึ่งมาร์ที่เห็นก็รู้ว่าคอนเซนน่ะคิดอะไรแต่เขาก็ไม่ได้พูดขัดขึ้นมากลับกัน เขายังเชิญให้คอนเซนเทลได้พูดต่อด้วย

“ ขอบคุณครับ คือว่าเรื่องเฝ้ายามตอนกลางคืนให้ผมเป็นคนทำได้หรือเปล่าครับ? ”

“ อืมม…ถ้าแบบนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลล่ะนะ ”

อย่างที่มาร์คาดเอาไว้ คอนเซนเทลอยากจะเข้าเวรเฝ้ากลางคืน แน่นอนว่าไอการที่ยกมือบอกมาแบบนั้นก็ทำให้อคโตหันมามองอย่างช้าๆโดยที่ไม่พูดอะไร ยังไงก็ตามมาร์ก็ไม่ได้จะตอบตกลงยกหน้าที่นี้ให้เพราะตัวของมาร์เองก็มีเหตุผลของเขาเช่นกัน

“ ครับผม เนื่องจากผมเป็นอัศวินมีหน้าที่ต้องปกป้อ… ”

“ คัท!! ไม่อนุญาตครับ ”

“ อ อ๊ะ?!? จริงๆแล้วผมเป็นคนไม่ต้องนอนเยอะถ้าให้มาเฝ้าแทน… ”

“ ไม่เกี่ยวกับนอนไม่นอน มันเกี่ยวว่าวันนี้คอนเซนเทลใช้แรงมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นไปพักเถอะ ”

“ แต่ว่า!! ”

“ คอนเซนเทล… ”

“ อึก… ”

คอนเซนเทลนั้นไม่ลดละความพยายามลงเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใดที่ยกมาตัวหัวหน้าอย่างมาร์ก็ปัดตกหมดเพราะมันดูไม่มีเหตุผลพอเลยสักนิด และเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมันก็ทำให้อคโตต้องพูดชื่อของอัศวินหนุ่มออกมาอย่างช้าๆ คำพูดที่ทำเอาเขาเงียบในทันที

“ ฟังนะ ที่ผมเฝ้าในคืนนี้ก็เพราะว่าผมน่ะไม่ได้เหนื่อบอะไรเลย เอาแต่อยู่แนวหลังดังนั้นทั้งสองคนน่ะไปนอนได้แล้ว นี้ไงท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้วด้วย ไหนควันไฟก็เริ่มจะมีให้เห็นอีก เอาล่ะ เอาล่ะ ไปนอน ไปนอน ”

“ แต่ว่าบัฟที่คุณมาร์ร่ายเอาไว้ให้ตั้งแต่ตอนลงมา ตอนนี้ผมเลยไม่เหนื่อยสักนิดเลยล่ะครับ แบบนี้ผมก็เฝ้า… ”

“ ยังไม่หยุดอีกเหรอคะ? ”

“ ค ครับ…ถ้างั้นรบกวนด้ยนะครับ ”

“ คร้าบๆ ฝันดีนะทุกคน ”

ยังไงก็ตามคอนเซนเทลอยากจะเฝ้ากลางคืนเพราะเขาค่อนข้างจะเกรงใจมาร์ที่แรงก์สูงแถมยังคอยร่ายบัฟให้ตลอด ทว่าอคโตก็ห้ามไว้ก่อนที่เธอจะเดินลงไปยังที่พักของตนโดยไม่หันกลับมามองเขาด้วย แน่นอนเจ้าตัวเองก็ไม่กล้าจะพูดต่อเพราะกลัวว่าจะไปบาดหมางกับอาจารย์ของตนนั้นทำให้เขาตัดสินใจเอนตัวลงนอนบนที่ที่ตัวเองเตรียมเอาไว้

[ ทีนี้ก็ไปประจำตำแหน่งของเราเลยละกัน ]

มาร์ที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็ปีนขึ้นต้นสนที่เป็นที่พักของตนในทันที ก่อนจะปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆจนท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยดาวและคอนเซนเทลก็หลับไปในที่สุด

ตึก ตึก ตึก

“ ขออนุญาตค่ะนายท่าน ”

“ โอ้ มาแล้วสินะ! ”

และเมื่อรอบๆปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ที่เดียวที่พอจะมีแสงไฟก็คือกองเพลิงที่จุดอยู่ตรงข้างๆที่ที่คอนเซนเทลนอนพัก ด้วยความมืดนี้ อคโตก็ได้เดินขึ้นมาจากที่พักของตน พร้อมกับคุกเข่าลงกล่าวรายงานอย่างสุภาพต่อหน้านายท่านที่ยังคงนั่งเล่นอยู่บนต้นสน

“ ถ้างั้นต่อจากนี้ผมฝากเฝ้าแทนด้วยล่ะ ”

“ น้อมรับบัญชาเจ้าค่ะนายท่าน…อ่า… ไปดีมาดีนะคะ ”

มาร์กล่าวสั้นๆเท่านั้นกับอคโต ซึ่งเธอพอได้รับคำสั่งก็โค้งหัวลงเคารพก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ทว่าทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาหวังจะได้เห็นนายท่านของตน สิ่งที่เธอได้เห็นก็คือตัวของเขาที่ค่อยๆจางหายไปกับความมืด

ฟุบ ฟุบ ฟุบ

เสียงของบางสิ่งกำลังพุ่งไปมาบนต้นไม้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าเสียงของมันก็ไม่ได้จะดังมากไปกว่าเสียงของสายลมที่พัดใบไม้เลย นั้นทำให้ไม่มีใครรับรู้ได้ถึงตัวตนของสิ่งที่นั้น มาร์ ที่สวมชุดตาข่ายสีดำกระโดดไปมาบนต้นไม้

[ อืม แคมป์ที่แล้วไม่เห็นมีอะไรโดดเด่นเลยแหะ แต่ก็…นะ ยังไงพวกนั้นก็ผ่านบอสชั้นที่ 5 มาได้ถึงตรงนี้ก็คงไม่ธรรมดาแหล่ะ อ๊ะ…พวกนั้นมัน? ]

ในคืนนี้นั้นมาร์ได้ออกเที่ยวไปยังแคมป์อื่นๆของเหล่าปาร์ตี้นักพจญภัยโดยอาศัยควันไฟเป็นตัวนำทาง ซึ่งด้วยเวลาสั้นๆนี้มาร์ก็ได้เห็นอะไรหลายอย่าง ทั้งบางแคมป์ที่มีแต่คนนอนแล้วอาศัยอุปกรณ์ตรวจจับคนเป็นเครื่องเตือนภัย บางแคมป์ก็กังวลกันจนเต็มไปด้วยคนเฝ้ายาม บางที่ก็ดูจะชิลเกินไปชายหญิงต่างมีอะไรกันราวกับที่นี้ไม่ใช่ดันเจี้ยน แต่ว่าระหว่างที่ไปก็ได้พบกับแคมป์นึงที่ทำให้มาร์ต้องหยุดดู

[ อ่า…ไอพวกนี้มัน เห้ออ ขนาดในหอคอยก็ยังมีสินะ ]

สิ่งที่มาร์ได้เห็นนั้น คือปาร์ตี้ชายหญิงรวมกัน 8 คนที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็หาความเป็นนักพจญภัยไม่ได้เลยสักนิด พวกนั้นสวมผ้าปิดใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้แถมยังอำพรางตัวเองด้วยผ้าคลุมสีดำอีกต่างหาก ซึ่งมาร์ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกนั้นไม่ใช่นักพจญภัยเฉยๆ แต่ยังเป็นกลุ่มโจรประเภทหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มของนักพจญภัยและพวกมันก็เกิดมาจากการที่กิลล์มีอุปกรณ์ช่วยเหลือออกมาให้ใช้

อุปกรณ์ช่วยเหลือนั้น 1 ในความสามารถของมันก็คือระบุว่าตายแล้วหรือไม่ มันยังระบุได้ว่าตายเพราะอะไรหรือใครได้ด้วย นั้นเองทำให้นักพจญภัยบางกลุ่มที่เจอช่องว่างก็จะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการออกขโมยในยามกลางคืน ในช่วงเวลาที่การป้องกันน้อยที่สุดและง่ายที่สุดในการเข้าจับกุม โดยที่พวกนั้นจะเอาของไปโดยไม่ฆ่า แต่จะอุดปากของเหยื่อเพื่อไม่ให้ใช้คำสั่งเทเลพอร์ตกลับก่อนจะปล่อยให้มอนสเตอร์ในแต่ละชั้นเป็นคนสังหารต่อเอง

[ ไอเดียดีนะ แต่ก็…ไม่เกี่ยวกับเรานี่น่า ]

ก็นะ… มาร์ไม่ใช่คนดีขนาดนั้น เขาไม่ได้จะกระโดดลงไปแล้วชี้หน้าก่อนจะจัดการกับคนเลวทั้งหมด เจ้าตัวนั่งอยู่บนต้นไม้นั้นแล้วมองดูพวกมันเคลื่อนกันออกไปจนในแคมป์ที่ตั้งอยู่เหลือคนเฝ้าเพียง 2 คน

[ ดูจากสภาพแล้วคงไม่มีอะไรที่มีค่ามากๆหรอกมั้ง เห้ออ ไปที่อื่นดีกว่า ]

และแม้จะมีช่องว่างให้เขาลงไปเอาของที่พวกนั้นเก็บเอาไว้ในแคมป์ แต่มาร์ก็ไม่ได้จะสนใจอยู่ดีเพราะเขาไม่ได้ต้องการอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว จากการที่เขาในตอนนี้มีแทบทุกอย่างที่ต้องการนั้นทำให้มาร์ค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะมองไปยังควันไฟของแคมป์อื่นซึ่งเป็นทางเดียวกันกับที่พวกโจรนี้เดินออกไป

[ พวกนั้นมุ่งหน้าไปทางนั้นสินะ งั้นเราไปอีกทางดีกว่า ]

เขาหันหลังกลับแล้วก็มุ่งหน้าไปยังแคมป์ตรงกันข้ามในทันที โดยก็เพียงไม่นานนักหลังจากกระโดดไปมาบนต้นไม้เขาก็ได้มาถึงยังแคมป์ที่ว่า แล้วก็พบว่ามันต่างกับแคมป์อื่นๆอย่างมาก เช่นปกติแคมป์ทั่วไปจะจุดไฟไว้กลางแคมป์ แต่แคมป์นี้ดันจุดไฟห่างจากจุดพักไปหลายสิบเมตร ไหนจะตัวที่พักเองที่ไม่ได้เป็นผ้าเต็นท์ แต่เป็นการขุดพื้นลงไปซ่อนอยู่ใต้ดินพร้อมกับเอาใบไม้แถวนั้นมาพรางทางเข้าไว้

[ วิธีแบบนี้คนคิดต้องถนัดเรื่องพรางตัวสุดๆเลยล่ะสินะ… ]

แครก แครก

“ เอ้า!! ได้เวลาเปลี่ยนกะลาดตระเวนแล้วนะเห้ย ”

“ ค่าา หัวหน้า เข้าใจแล้วค่าา ”

[ โอ…ไม่เฝ้ายามแต่เป็นการลาดตระเวน แถมยัง… ]

ทว่าในระหว่างที่มาร์กำลังจับตามองอยู่นั้น ทางเข้าที่ถูกอำพรางไว้ก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆพร้อมกับการมาของเสียงพูดคุยที่เขารับรู้ได้ว่ามันเป็นของผู้หญิง และหลังจากการมาของเสียงก็คือคนคนหนึ่งที่ปรากฎตัวขึ้นจากทางเข้าที่ว่าโดยมาร์ไม่อาจจะมองเห็นหน้าตาของได้เพราะจุดที่อยู่มันอยู่สูงกว่าแล้วคนคนนั้นก็ดันคลุมตัวเองไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำ ยังไงก็ตามเจ้าชุดคลุมนั้น…มีบางสิ่งที่ทำให้มาร์สนใจขึ้นไป

“ ปืน? แถมยังเป็นรุ่นลิมิตเต็ดเมื่อปีที่แล้วอีก… ”

……

ย้ำ ห้ามสปอยนะ!!

…….

“ ม ม ม ไม่นะ อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามาาา ไม่!! ออกไป ออกไป!! ”

ท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้ที่สิ้นสุด หญิงสาวผู้โชคร้ายกำลังนั่งอยู่ในสถานที่แห่งนั้น นั่งอยู่เพียงตัวคนเดียวโดยรอบกายเองก็มีบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น เปลวไฟสีฟ้าและแดงมากมายนับร้อย นับพัน มันต่างจุดขึ้นจากที่ห่างไกลและไล่เรียงเข้ามาหาเธอ เด็กสาวผู้นั้นจึงได้แต่เพียงหลับตาและตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว

“ ออกไป อ๊ะ!! กรี๊ดดดด!! ”

พรึบ พรึบ พรึบ

ทว่าแม้ว่าเธอจะพยายามไล่มันออกไปแค่ไหนก็ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เปลวไฟพวกนั้นมันยังคงเข้าห้อมล้อมเธอแล้วเริ่มจะเผาไม่ร่างเล็กๆนั้น ร่างของเด็กน้อยจนเกิดเป็นแผลไหม้ตามร่างกายนับไม่ถ้วน แผลไหม้ที่เหมือนกับถูกบางอย่างกัดและทุบตี

“ อ๊ะ อา… ม ม ไม่นะ…. ไม่…. ”

ร่างของเธอค่อยๆล้มลงไป นอนแน่นิ่งกับพื้นที่ไร้ที่สิ้นสุด เปลวไฟยังคงเผาไหม้ร่างของเธอ และดวงตาที่เคยสดใสก็จางหายไปเสมือนกับในใจลึกๆของเธอตอนนี้ได้ตายไปแล้ว

“ ไม่เป็นไรแล้วนะ… ”

อย่างไรเสียท่ามกลางความสิ้นหวังและความตาย ตรงหน้าของเธอก็ปรากฎขึ้นซึ่งเงาบางอย่าง เงารูปร่างคล้ายคนสีดำ มันกล่าวกับเธอด้วยเสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับยื่นมือเข้ามาหา หญิงสาวได้แต่เงยหน้าขึ้นแล้วคว้ามือนั้นเอาไว้… มือที่แสนจะอบอุ่น

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

“ อ๊าาาา!! ”

แต่แล้วจู่ๆเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น นั้นทำให้หญิงสาวผมสีม่วงผู้มีใบหน้างดงามผู้นี้ สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับพยายามควานหาอะไรบางอย่าง และเมื่อเจอมันเธอก็ยกขึ้นมากอดเอาไว้ หมอนข้างที่มีปลอกหมอนเป็นลวดลายของเด็กหนุ่มผมดำปลายสีแดงกำลังเปลือยกายท่อนบนอยู่ เด็กคนนั้นเป็นที่รักและที่พักพิงใจเพียงไม่กี่แห่งของเธอ…และหญิงสาวผู้นี้ก็คือ เพนเท เธอกอดและหอมมันก่อนจะสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พร้อมกับลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากเตียง

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ฉับ

“ ไอนาฬิกาเวร!! แก๊!!! ”

เสียงนั้นยังคงดังอยู่ เสียงของนาฬิกาปลุกตอนเช้าทว่าเมื่อเพนเทเท้าลงแตะพื้น เธอก็จัดการหั่นครึ่งมันในทันทีทำให้ห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง กระนั้นก็ตามใบหน้าของเพนเทกลับแดงก่ำพร้อมกับมองดูมันด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว ทว่าก็เป็นแค่ครู่เดียวก่อนที่เธอจะเก็บมีดกลับไปไว้ที่ใต้หมอนแล้วเริ่มวันใหม่นี้ตามปกติที่ควรจะเป็น

“ ชิ… กำลังฝันดีอยู่เลยแท้ๆ ”

พึบ พึบ ปุก ปุก

เธอเริ่มเก็บที่นอนของตนเองอย่างรวดเร็วพร้อมกับบ่นไปด้วย ทว่าใบหน้าของเธอกลับดูยิ้มแย้มมีความสุข ก่อนที่ไม่นานเธอจะเดินไปเปิดหน้าต่างออกเพื่อให้แสงสว่างและอากาศจากข้างนอกเข้ามายังด้านใน

“ ฮ่าห์…เมืองของนายท่าน ช่างงดงามจริงๆเลย ”

อย่างไรก็ตามพอเป็นหน้าต่างออกไปแล้ว เพนเทก็หยุดแล้วมองดูข้างนอกด้วยรอยยิ้ม ภาพของเมืองที่แสนจะรุ่งเรือง ตึกสูงมากมาย รถไฟฟ้าที่วิ่งไปมา และเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาหลากอารมณ์กำลังเดินกันจนเต็มด้านในถึงขนาดที่ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็มองเห็นและรับรู้ได้

วิ้วๆๆ

“ อื้มมม วันนี้อากาศก็ยังหอม ฝนคงไม่ตกสินะ อืื้ออ เยี่ยม… ”

และด้วยการที่เธอเปิดหน้าต่างเอาไว้ก็ทำให้อากาศข้างนอกเริ่มจะเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมของต้นหญ้า กลิ่นหอมของป่าไม้ที่อยู่เบื้องล่าง และกลิ่นอากาศที่เย็นสบาย เพนเทหันกลับเข้าไปในห้องของตน ห้องที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย กำแพงสีขาว เตียงสีขาว เพดานสีขาว แม้แต่หลอดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือกระทั่งพรมเช็ดเท้าเองทั้งหมดก็เป็นสีขาว

“ งืมๆ วันนี้ใส่ชุดอะไรดีน้า??? เดรสโกธิคก็… ไม่ได้ ไม่ได้ นั้นมันชุดทำงาน! ใส่ไปเดี๋ยวคนจะอึดอัดกันหมด ไม่สิ!! มันจะเด่นเกินไป งั้น อืมมม?? ”

เธอเดินมาถึงยังตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกบานใหญ่อยู่บนบานเปิดของตู้ แน่นอนล่ะว่าทันทีที่มาถึงก็เปิดประตูแล้วเลือกชุดที่จะใส่ทันที โดยส่วนใหญ่ชุดที่อยู่ด้านในนั้นก็เป็นชุดเดรสโกธิค กับชุดชั้นในที่หรูหราและมีความเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้เลือกพวกมัน วันนี้นั้นต่างออกไป

กริ๊ก ครืดดดดดด

“ วันนี้คุมโทนให้เข้ากับอากาศดีๆ ดีกว่า!! ”

เพนเทกดปุ่มแล้วเสื้อผ้าในตู้ก็เริ่มจะเลื่อนวนไปอย่างช้าๆ มันเปลี่ยนจากชุดเดรสที่แสนจะหรูหรา มาเป็นชุดสบายๆสีขาว สีสดใสแทน เธอเลือกที่จะสวมชุดเปิดไหล่สีขาว กับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม และจบด้วยรอยเท้าผ้าใบสบายๆสีเดียวกับเสื้อของเธอ ก่อนจะหยิบตลับสีเงินใส่ในกางเกงยีนส์ของเธอ

“ ฮึบ!! ”

ซึ่งเมื่อเลือกเสื้อผ้าเสร็จ เพนเทก็มุ่งตรงไปยังโต๊ะแต่งหน้าทันทีแล้วก็ลงมือแต่งหน้าของเธอ โดยวันนี้ก็สดใสไม่ใช่น้อย ขอบตาที่ดำก็ลงรองพื้นจนหาย แถมแก้มเองก็มีการปะแป้งเล็กน้อยเพื่อให้แดงและดูชุ่มชื้น เธอแต่งหน้าของตัวเองอยู่สักครู่ก่อนจะลุกขึ้นหยิบเอาเครื่องประดับไม้กางเขนมาสวมใส่ ทั้งต่างหู ทั้งสร้อยคอ ทว่าแหวนที่ใส่กลับเป็นแหวนหัวกะโหลกสีขาวผิดกับธีมเสื้อผ้าที่ใส่ เธอสวมมันไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ

ตึก ตึก ตึก ตึก ฉึบ

" ไปละนะคะ!! *

ฟิ้วววววววว ฟุบ

อย่างไรก็ตามเมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเพนเท ก็ได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังหน้าต่างบานเดิม ก่อนจะปีนขึ้นไปยืนบนนั้นแล้วกระโดดออกไปที่ด้านนอก แล้วทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้มถ่วง จากหน้าต่างที่อยู่บนหน้าผาของภูเขาขนาดใหญ่นั้น ร่างของเธอลอยลู่ลมลงไปเรื่อยๆและเมื่อเข้าใกล้กับพื้นจู่ก็มีพื้นที่ว่างเกิดขึ้นที่พื้น พื้นที่มืดมิดที่ดึงเอาร่างของเธอเข้าไป

ฟุบ ฟิ้ววววววววววว

“ โอร่าาาาาาา!!! ฮีโร่!! แลนดิ่ง!! ”

ตึงงงง!

แล้วก็เป็นเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที ร่างของเพนเทก็พุ่งออกมาจากช่องว่างอีกแห่ง ที่คราวนี้มันมาปรากฎอยู่ที่เหนือกำแพงของเมืองที่เพนเทเคยมองดู และเธอที่โพยพุ่งออกมาแล้วก็ใช้แรงส่งนั้น พุ่งเข้าไปดาดฟ้าของอาคารอาคารหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก

แปะ แปะ แปะ

“ เป๊ะ!! 10 10 10!! เย้!! วันนี้เราก็ยังงดงามเหมือนเดิมเลย ”

ตึก ตึก ตึก

“ ไหนดูซิ… ”

เมื่อลงมาได้แล้วเพนเท ก็ปรบมือพร้อมกับชมตัวเองอย่างร่าเริง ก่อนจะรีบวิ่งไปยังขอบของดาดฟ้านี้ พร้อมกับก้มหน้ามองลงไปยังด้านล่างเพื่อมองตามหาอะไรบางอย่าง โดยการมองนั้นก็ไม่ใช่การมองด้วยตาเปล่าๆ เธอมองผ่านพื้นที่สีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้า และสิ่งที่เห็นก็คือดวงไฟมากมายที่วนเวียนไปมาอยู่

“ จะว่าไปแล้วถ้าเทียมกับเมื่อก่อน ถ้าเราทำแบบนี้มีหวังตายชัวร์ๆเลย ฮ่าๆ … น่ากัววววอ่าาาา ”

อย่างที่เพนเทพูดออกมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ทั้งการพุ่งลงจากผาแล้วใช้สกิลดีดตัวเองไปยังสถานที่อื่น หรือแม้แต่ลงจอดบนดาดฟ้าด้วยความสูงขนาดนั้นโดยไม่เจ็บตัวอะไร ทั้งหมดต้องขอบคุณพลังที่เธอมี เส้นทางวิญญาณ

[ แต่พอคิดแล้ว ก็อดคิดถึงนายท่านไม่ได้เลยน้า…. แสงเทียนที่อบอุ่น ถ้าไม่มีสิ่งนั้น เราเองก็ทำอะไรแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี ไม่สิ ไม่สิ ถ้าเราเข้าไปแบบไม่มีแสงนั้นมีหวังโดนรุมฆ่าตายก่อนได้ออกมาแหงๆ ]

แต่การมีสกิลที่แสนจะสะดวกสบายและสามารถใช้มันได้จากการมีพลังของมาร์มาช่วย ก็ไม่ได้ความว่ามันจะทำให้ชีวิตเธอสะดวกสบายขึ้นเป็นทุกอย่าง เพราะแม้ตอนแรกที่เธอจะได้แสงเทียนจากนายท่านมานั้น แสงเทียนก็มีความสามารถเพียงแค่ป้องไม่ให้เธอโดนวิญญาณร้ายเข้ามารุมล้อม ทั้งมันก็ไม่ได้นำทางเธออย่างสมบูรณ์แต่อย่างใด

[ กี่เดือนกันน้าที่เราฝึกอยู่ในนั้น เวลาของวิญญาณ 1 ปี? 4 ปี?? หรือ 10 ปี??? ]

นั้นทำให้เพนเทต้องอาศัยสัญชาตญาณของตนเองล้วนๆ แล้วก็ฝึกอยู่ในทางเดินวิญญาณที่มีช่วงเวลาเร็วกว่าโลกภายนอก โดยเธอก็ใช้เวลาฝึกใช้มันหลายปีจนขนาดตัวเองก็ลืมไปแล้ว และการฝึกนั้นก็เกือบจะพลาดท่าบาดเจ็บอยู่หลายหน ไม่สิเกือบตายเลยก็ว่าได้ เช่น บางทีเธอก็ไปโผล่บนท้องฟ้าบ้าง ในทะเลบ้าง ไม่ก็เกือบจะฝังร่างของตนเองไว้ในกำแพง อย่างไรก็ตามพอใช้หลายๆครั้ง จับหลายๆทาง เธอก็มองเห็นอะไรเล็กๆน้อยๆ นั้นคือ ดวงวิญญาณสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ตายผ่านการเปิดประตูเพียงครึ่งเดียว

“ โอ้!! เดินเล่นอยู่คนเดียวจริงด้วย!! ก็แหงล่ะนะ… เคนโทรติดเรียนยังกลับมาไม่ได้นี้น่า หุหุ งั้นขอทำคะแนนนำไปก่อนน้าาค้าา ”

และก็ไม่นานที่เพนเทจะเจอกับคนที่เธอตามหา นายท่านของเธอ เขาในวันนี้ไม่ได้อยู่ในร่างพิเศษใดๆ เป็นเพียงเด็กหนุ่มผมสีดำปลายสีแดงที่หากมองผ่านๆก็จะไม่เห็นอะไรเป็นจุดเด่นมากไปกว่าความงดงามของเขา แน่นอนว่าใครเดินผ่านก็ต้องมีหันมามองบ้างเป็นธรรมดา

“ ไปล่ะ… ”

ฟุบ ตึก ตึก ฟุบ

“ จะเ… ”

เพนเท เธอยิ้มออกมาก่อนจะเปิดช่องว่างอีกครั้งแล้วก้าวเท้าเข้าไป มันเป็นช่วงเวลาอันสั้นเพราะเพียงพริบตาเดียวเพนเทก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังนายท่านของเธอ เพื่อกะจะทำให้เขาตกใจสักหน่อย

“ มาด้อมๆมองๆนี้ยังไงกันน่ะหึ เพนเท!! ”

เพี๊ยะ

“ โอ๊ยยย นายท่านอ่าาาา เจ็บนะค๊าา!! ”

ทว่าแทนที่มันจะเป็นการเซอร์ไพรส มาร์กลับหันมามองเธอก่อนที่เธอจะได้ปรากฎตัวขึ้นเสียอีก มิหนำซ้ำยังดีดหน้าผากไปอีกหนึ่งทีทำเอาเพนเทถึงกับลงไปนั่งกุมหัวตัวเองเลย

“ เห้อออ โดนไปแค่นั้นมันจะเจ็บได้ยังไง?? เห้ออ ”

“ เจ็บสิคะ เจ็บใ… ”

เพี๊ยะ

“ อ๊าาา!! เจ็บบบ!! ”

“ เจ็บใจไหมล่ะ?? ”

เพนเทที่เล่นตอบมาร์แบบนั้น ก็เลยโดนเขาดีดหน้าผากไปอีกหน คราวนี้เธอถึงกับเงยหน้าแล้วกุมหน้าผากของตัวเองเลย อย่างไรก็ตาม มาร์ไม่ได้ทำไปด้วยความโกรธแต่อย่างใด เขานั้นยิ้มพร้อมกับมองดูเพนเทด้วยความเอ็นดูและตัวของเพนเทเองก็ไม่ได้จะเศร้าจริงๆเลยสักนิด จะว่ายังไงดี นี้เหมือนเป็นการทักทายตามปกติของทั้งสองมากกว่า

“ ว่าแต่วันนี้หยุดสินะ ถึงได้โผล่มาในชุดปกติน่ะเพนเท? ”

“ ค๊าาา!! วันนี้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงเค้าหยุดล่ะ เค้าก็เลยรีบตื่นรีบมาหาไง! ”

“ เห… หยุดแค่ครึ่งวันเองเหรอเนี่ย? ทิเรียคงจัดตารางรอไว้ให้แน่นเลยสินะ ”

“ งืมๆ งานเยอะเลยล่ะค่ะ! ”

มาร์ถามเพนเทก่อนจะดึงเธอขึ้นมา ส่วนเพนเทเองพอได้จับมือกับนายท่านของเธอก็ทำให้เธอหน้าแดงเล็กน้อย แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ะเขินอายจนพูดไม่ได้ หรือพูดติดๆขัดๆ และทันทีที่ลุกขึ้นมาได้แล้วเพนเทก็เข้าประชิดมาร์ด้วยการกอดแขนขวาของเขาในทันที

“ เห้ออ ”

“ ค๊าาา? ”

แล้วพอเพนเทเข้ามากอดแขนเขาจนหากมองข้างนอกนี้มันก็ไม่ต่างจากคู่รักหวานๆคู่หนึ่ง ซึ่งมาร์ก็ได้แต่ถอดหายใจแล้วก็ต้องยอมให้เพนเททำแบบนั้น ส่วนเพนเทพอนายท่านของเธอถอดหายใจก็ยื่นหน้าเข้ามามองอย่างใกล้ชิดแล้วก็ถามด้วยท่าทางที่น่ารักผิดกับเป็นเธอ

[ แบบนี้ทุกทีเลยน้า เพนเท…เดี๋ยวถ้าคนอื่นมาเห็นก็ได้ทะเลาะกันอีกแหงๆ เออออ ช่างเถอะ บ่นไปว่าไปก็เหมือนเดิมอยู่ดี ]

ส่วนสาเหตุที่มาร์ไม่ว่าหรือไม่ขัดขืนก็ไม่ใช่อะไร เขาน่ะเคยทำมาแล้วทั้งพยายามหนีทั้งพยายามดุเพื่อให้เพนเทหยุดเข้ามาเกาะเขา เพราะว่าถ้าพี่น้องของเธอ เมดคนอื่นๆมาเห็นก็จะมีเรื่องมีราวทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งข้างๆมาร์ โดยเฉพาะยูเรย์ หรืออีกชื่อก็คือเคนโทร ถ้าเธอมาเห็นอะไรแบบนี้ก็คงจบด้วยการท้าสู้กันแหงๆ

“ นายท่านค๊า? วันนี้ิออกมาข้างนอกจะไปไหนอ๋อค๊ะ? ”

“ อ่า… เอ่อ… ก็มาเดินเล่นเฉยๆ ”

เขาตอบไปเช่นนั้นด้วยสีหน้าที่นิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ ผิดกับในใจที่เหงื่อไหลไม่หยุด เพนเทเองก็ยิ้มก่อนจะพยักหน้าแล้วมาเดินอยู่ข้างๆเขาโดยยังคงกอดแขนเอาไว้ ส่วนมาร์นั้นในหัวก็เริ่มจะทำงานหนักขึ้น เขาพยายามคิด คิดเพื่อเปลี่ยนแผนสำหรับวันนี้

[ ตอนแรก ก็กะว่าจะไปเที่ยวร้านเกมแล้วเย็นๆก็ไปบาร์หาอะไรดื่ม อืม…จ้างเด็กเอ็นสักคนมานั่งรินเหล้าให้ แต่…เพนเทมาแบบนี้ ไม่สิ กลับมาสแตนด์บายในยูโทเปียแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนแผนล่ะนะ ช่าย เปลี่ยนๆ ไม่เปลี่ยนแล้วเรื่องเราไปบาร์นั่งดริ๊งค์หลุดไปถึงยูเรย์ มีหวังโดนโทรมาบ่นยันหว่างแน่ เห้อออ ]

ย้ำอีกครั้ง ถึงมาร์รูปลักษณ์จะเป็นเด็กแต่ด้านในก็ยังคงเป็นทหารรับจ้างอายุจะ 50 กว่าแล้ว ดังนั้นชีวิตพักผ่อนของเขาถ้าไม่ไปยิงปืนหรือทำอะไรพิเรณๆ ก็จะมาจบกับเหล้าไม่ก็สาวนี้แหล่ะ ซึ่งตามปกติเจ้าตัวจะลงทุนสร้างแก่นมานาปลอมทิ้งไว้บ้านเพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าเขาอยู่บ้าน แล้วลดมานาที่ปล่อยออกมาก่อนจะมาเดินในเมืองแบบนี้ ทว่าเพนเทน่ะ…ไม่ได้มองมานาแต่มอง วิญญาณเลยต่างหาก ดังนั้นหลอกเธอไม่ได้หรอก แถมถ้าเธอทำงานอยู่ในระยะใกล้ๆมาร์ก็มักจะดิ่งตรงมาหา เขาเลยไม่รู้ว่าเธอจะมาตอนไหนอะไรยังไง จะรู้ก็แค่ตอนจะโผล่มาแล้วเท่านั้น

“ จะว่าไปแล้วนอกจากยูเรย์ ก็มีเพนเทเนี่ยล่ะนะที่เจอผมบ่อยแบบนี้ ”

“ เอ๋!! แหมๆ คงเป็นเรื่องของโชคชะตาล่ะมั้งค๊า?? แบบว่า ดวงเราต้องกันอะไรแบบนี้อ่ะ!! ”

“ ไม่ ไม่ ไม่ใช่แน่ๆล่ะ ”

อย่างที่มาร์ว่า เพราะนอกจากยูเรย์ที่ปกติเธอจะตัวติดอยู่กับมาร์ตลอดในฐานะน้องสาว ทว่าอีกคนนึงที่ตัวติดพอๆกันแต่ไม่เด่นเท่าก็คือเพนเท เธอคือหญิงสาวคนเดียวในหมู่เมดที่อาจจะเรียกได้ว่า กาลเวลาไม่มีผลกับเธอ เพราะเส้นทางวิญญาณที่เป็นเหมือนยานพาหนะของเพนเท ไม่ยึดติดกับเวลาโลกแห่งความจริง หมายความว่าข้างในข้างนอกจะหมุนไปไม่เท่ากัน ทำให้เธอไปมาหามาร์ได้โดยใช้เวลาในโลกของความจริงเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ผิดกับคนอื่นๆที่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์กว่าจะมาเจอเขาได้ และนั้นก็ทำให้เมื่อใดที่ยูเรย์ไม่อยู่กับมาร์ เพนเทก็จะแอบมาอยู่กับเขาแล้วคอยติดตามไปยังสถานที่ต่างๆ จนกว่าจะมีงานเข้ามาให้ทำ

“ เอ่อ… กินข้าวยังล่ะเรา? ”

“ ยังเลยค่ะ!! แหมๆ ถามแบบนี้จะชวนไปกินข้าวสินะค๊าาา ไปค่าา ไป ไป ”

“ เห้อออ ร่าเริงตลอดเลยนะ ผมเองก็ยังไม่ได้กินไง ว่าแต่เช้าๆแบบนี้แวะไปร้านไหนดีหนอ? ”

“ งืมมมม อื้อออ คิดไม่ออกอ่าาาา!! ”

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินไปตามถนน มาร์นั้นก็ได้หันมาถามเพนเทที่ที่ยังคงเกาะแขนเขาอยู่ คำถามนั้นทำให้เธอถึงกับหลับตาคิดแล้วคิดอีกแต่ก็เหมือนจะไม่ได้คำตอบ ซึ่งมาร์ก็ได้แต่ยิ้มก่อนจะเดินนำเพนเทตรงไปยังที่หมายที่เปลี่ยนไป ทั้งสองเดินผ่านแนวตึกสูงทันสมัยมากมายมายังบริเวณที่มีเพียงบ้านหลังเล็กๆ กับร้านค้ามากมายที่ดูสบายๆ

“ ยังไม่ปิดเทอมกันแหะ ”

และตลอดทางเดินนี้นั้นจุดเด่นนอกจากสภาพบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป ก็เริ่มจะเห็นได้ว่าทั้งสองข้างทางตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนมากมายที่เดินมุ่งตรงกันไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่ที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่กี่กิโลเมตร โรงเรียนยูโทเปียที่เป็นสถานที่สำคัญสำหรับเด็กหรือใครที่อยากมาเรียน ทว่านักเรียนพวกนี้ก็ต่างจากเด็กนักเรียนที่โรงเรียนอื่นๆเล็กน้อย

[ อืม… แบกปืนกันอย่างกับอยู่ Texas เลย อย่างน้อยก็ใส่กล่องใส่ซองกันหน่อยสิ เห็นแบบนี้แล้วใจมันหวั่นๆไงไม่รู้ ]

สิ่งที่มาร์เห็นมันก็คือ นักเรียนพวกนั้นนอกจากจะสวมเครื่องแบบนักเรียนเป็นเสื้อเชิร์ตสีขาว กางเกงหรือกระโปรงตามใจ รองเท้าผ้าใบหรือหนังแล้วแต่จะเลือก และกระเป๋าสะพายที่ใส่อุปกรณ์เรียน พวกเขาและเธอทุกคนยังแบกปืนตามหลักสูตรของตัวเองอย่างเปิดเผย ลูกซอง ปืนพก ปืนกลมือ ปืนกลเบา ปืนไรเฟิล ปืนแอลซอร์ทไรเฟิล เห็นได้โดยทั่วไปแถมบางคนก็ใส่เวส ใส่เกราะกันมาพร้อมอย่างกับจะไปรบ

[ ถ้าเราออกกฎห้ามพกพาเปิดเผยมันจะเพิ่มภาระให้กับนักเรียนหรือเปล่าหว่า…?? ช่างมันเหอะ ต่อให้ใส่ซอง ใส่กระเป๋ายังไงทุกคนก็รู้แหล่ะว่ามันคือปืน อ๊ะ! นั้นไงร้าน… ประจำของเรา เชี้ย… ]

“ เพนเทรออยู่ตรงนี้แปปนึงนะ ”

“ ค๊า!! ”

เมื่อบอกกับเพนเทเรียบร้อยแล้ว มาร์ก็รีบวิ่งเข้าไปในร้านที่อยู่ตรงหน้าอย่างอย่างรวดเร็ว ร้านที่ตกแต่งเรียบๆไม่มีอะไรเป็นพิเศษ บรรยากาศมันเหมือนกับร้านกาแฟธรรมดาๆ เขาเข้าไปได้ไม่นานแล้วก็กลับออกมา กวัวมือเรียกให้เพนเทตามเข้าไป

กริ๊งๆ

“ ขออนุญาตนะค๊าา ”

“ โอ้!! เชิญเลยๆ ”

เพรเทที่ได้เข้าไปในร้านก็มองไปรอบๆ ร้านที่ด้านในไม่หรูหราอะไรเลย เก้าอี้ไม้โต๊ะไม้ที่ให้บรรยากาศอบอุ่น แสงไฟสีเหลืองนวลๆที่ให้ความรู้สึกสบายๆใจ กลิ่นของกาแฟและเบเกอรี่อบใหม่เองก็หอมไปทั่วร้าน โดยในร้านนั้นไม่ได้มีลูกค้ามากมาย อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ก็เลยยังไม่มีใครมานอกจากมาร์และเพนท ส่วนคนที่อยู่ด้านในสุดนั้น ชายวัยกลางคนผู้สวมชุดพ่อครัว เจ้าของร้าน เขาต้อนรับทั้งสองอย่างเป็นมิตรด้วยรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับจ้องมองไปที่มาร์เหมือนกับกำลังจะต้องการจะคุยอะไรสักอย่าง

[ เห้อ… เค เค ]

มาร์ที่เห็นแล้วรับรู้ได้ก็เดินเข้าไปหาเจ้าของร้านในทันที ก่อนที่ตัวเจ้าของจะลากคอมาร์ไปยังห้องครัวแล้วมองดูเขาด้วยสายตาที่กดดันแปลกๆ มาร์เองก็ได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะกลืนน้ำอย่างช้าๆ

“ ตอนแรกก็วิ่งเข้ามาบอกยกเลิกแผนเย็นนี้ แล้วนี้อะไรอีกพานางแบบมาเฉย?? มันยังไงกันวะเห้ย?? ”

“ ใจเย็น จริงๆวันนี้ก็กะจะชวนแกไปนั้นแหล่ะ แต่ว่าระหว่างทางเพื่อนน้องเจออะเซ่ แถมน้องเขาก็ติดเราด้วย เนี่ยถ้ายังจะไปต่อล่ะก็… ”

“ อ่าาาา เข้าใจละไอตูดหมึก ถ้าเพื่อนน้องแกเอาไปเล่าให้น้องแกฟังก็ชิบหายสินะ หยึยยย ขนลุกว่ะ น้องแกยิ่งดุๆเรื่องแกไปเที่ยวอะไรแบบนี้ด้วยนิ คราวที่แล้วที่รู้ก็บุกมาถึงร้านข้าแถมยังจะถล่มร้านอีก ”

“ ด ด เดี๋ยวๆ นี้น้องตูบุกมาร้านเอ็งเรอะ?!? ”

“ อ้าว ไม่รู้หรือไง??? ”

ต่างฝ่ายต่างตกใจกับสิ่งที่พูดกัน เจ้าของก็มางงว่าไอเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่รู้เรื่องน้อง ส่วนไอหนุ่มตรงหน้าก็สับสนว่าน้องเขามาถล่มร้านตอนไหน อย่างไรก็ตามตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจสถานการณ์ของตนเองและก็เพราะแบบนั้นมาร์จึงพยักหน้าเป็นที่รับรู้กับเจ้าของร้าน ก่อนจะเดินออกไปหาเพนเทที่มองตรงมาที่เขา เหมือนกับมองทะลุกำแพงเข้ามาเลย

“ สนิทกับเจ้าของร้านจังเลยนะค๊า? ”

“ ก ก ก็นะ แบบว่าเป็นร้านเดียวที่ตอนเช้ากับเที่ยงเงียบเหมือนบ้านร้างน่ะ นั่งแล้วสงบดี ”

“ เดี๋ยวๆ บ้านร้างบ้าอะไร ตอนเที่ยงก็มีคนมาเว้ย! เอ้า เมนู ”

เพนเทยิ้มก่อนจะถามมาร์พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจะชนกันอยู่แล้ว มาร์เองก็ถอยออกมาหน่อยก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วตอบคำถามของเธอด้วยท่าทีที่พยายามจะเป็นปกติที่สุด อย่างไรเสียคำถามนั้นก็ทำให้เจ้าของร้านเดินตรงเข้ามาก่อนจะวางเมนูลงบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่พอใจนิดๆ

“ เอาน่านาย ผมมาตอนเที่ยงทีไรก็มีแค่ผมคนเดียวนี้ ผมเอาเป็นฮันนี่โทสต์กับกาแฟดำนะ ”

“ อ่าๆ เข้าใจแล้ว ว่าแต่ อะแฮ่ม คุณหนูสุดสวยวันนี้จะรับเป็นอะไรดีครับผม ”

“ เห้ย… ”

เมื่อรับออเดอร์ของมาร์มาอย่างส่งๆแล้ว เจ้าของร้านก็หันหน้ามาถามเพนเทด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกคุยกับมาร์อย่างห้วนๆไม่ใส่ใจ กลายมาเป็นคุณพ่อบ้านแสนดีและมอบรอยยิ้มกับการบริการระดับพรีเมี่ยมสุดๆให้กับหญิงสาวที่แสนงดงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามมาร์

“ งืมมม งั้นเอาเป็นแบบที่เขาสั่งก็แล้วกันน๊าา อ๋อ แต่เปลี่ยนกาแฟดำเป็นนมร้อนแทนนน ”

“ รับทราบครับคุณหนู ถ้าเช่นนั้นรอสักครู่นะครับ ”

“ ค๊าาาา ”

[ แล้วกูล่ะ?!? ]

เจ้าของร้านเดินออกไปอย่างเร่งรีบ ทิ้งให้เพนเทกับมาร์นั่งอยู่ด้วยกันสองคนในร้านที่ไม่มีใครอื่น มาร์นั้นไม่รู้จะชวนคุยอะไร ส่วนเพนเทตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นช่วงเวลาที่มีค่า เธอเอาแต่จ้องมองดูชายที่ตนรักโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองอะไรอย่างอื่น

“ อ อ เอ่อ แล้วตอนบ่ายมีงานอะไรล่ะเพนเท? ”

“ ก็ทิเรียมีงานให้เค้าต้องไปเก็บกวาดน่ะ แถมงานก็เยอะด้วยวันนี้เลยมาได้แค่ครึ่งเช้าเอง แงงงง ”

“ อ๋อ แบบนั้นเองสินะ ”

[ เก็บกวาดงั้นเหรอ… งานเฉพาะของเพนเท ลอบฆ่าและโจรกรรม แต่เริ่มจากบ่ายๆคงโจรกรรมล่ะมั้ง? ไม่สิ ถ้าเป็นอีกฟากโลกก็จะมืดพอดี ]

เขาพอจะเข้าใจในสิ่งที่เพนเทต้องทำ หน้าที่ในหมู่เมดของเธอก็คือนักฆ่ากับสปายสายลอบทำลาย แถมเธอยังเป็นเพียงคนเดียวที่ทำอะไรแบบนี้ได้ ดังนั้นงานของเพนเทจะหนักกว่าเมดคนอื่นๆ ไม่สิ เรียกว่่ามีความเฉพาะเจาะจงจนทำให้มันยากกว่าคนอื่นจะเหมาะมากกว่า

ตึก ตึก ตึก

“ นี้่ครับคุณหนู มื้อเช้าที่สั่ง ฮันนี่โทสต์และนมอุ่นๆ ครับ ”

“ ว้าววว น่ากินจัง ”

“ แน่นอนครับ ผมตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถเลยล่ะครับคุณหนู ”

อาหารได้ถูกนำมาเสิร์ฟให้กับเพนเท โทสต์ที่ทำเป็นอย่างดีสีเหลืองเกรียมกำลังงดงามบนจานหรูหราที่มีเหยือกจิ๋วสีขาวซึ่งใส่น้ำผึ้งเอาไว้ ส่วนนมเองก็ใส่ในแก้วกาแฟที่มีรูปหัวใจวาดเอาไว้ เครื่องชุดเงินสำหรับทานอาหารอย่างหรู อย่างไรก็ตามก็มีบางอย่างที่เหมือนจะขาดหายไป บางอย่างที่ทำให้มาร์มองหน้าเจ้าของร้าน

“ เอ่อ…แล้วของผมล่ะ? ”

“ หา?? สั่งด้วยเรอะ?? ”

“ เห้ยๆๆๆ!! ”

ก็นั้นแหล่ะ ของเพนเทมีแต่ของมาร์ดันไม่มี ตรงหน้าของเขาไม่มีแม้แต่จานไม่สิ ขนาดมีดหรือส้อมก็ไม่มี นั้นทำให้มาร์เริ่มจะอารมณ์เสีย ส่วนเจ้าของร้านที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของมาร์ก็หาได้จะแคร์ความรู้สึกนั้นไม่ ทว่าเพนเท…เธอไม่ได้สนใจทั้งสองสักเท่าไหร่ในตอนนี้เพราะเธอกำลังถ่ายรูปอาหารตรงหน้าด้วยโทรศัพท์ของตนเองอยู่

แชะ

“ อื้มม ไว้ส่งให้พี่สาวทีหลังดีกว่า อ๊ะ ของพี่มาร์ยังไม่ได้อย่างงั้นอ๋อคะ?? เห?!? ไม่เป็นไรไม่เป็นไร เดี๋ยวกินกับเค้าก็ได้เนอะ เอ้า นี้ อ้ามมมม ”

“ อ้าาา อื้มมม อร่อยดีนะเนี่ย อร่อยกว่าตอนสั่งปกติอีก ”

และเมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพนเทก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับถามมาร์ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งคำถามนั้นก็ทำให้เจ้าของร้านถึงกับหันกลับมามองเธอในทันที ส่วนมาร์เองก็แสยะยิ้มก่อนจะอ้าปากรับคำเสนอของเพนเท

“ ม่ายยยยยย!! ”

“ นี้ๆ เพนเทก็ลองทานดูบ้างสิ อ่ะ อ้าามมมม ”

“ อั้มม อื้มมม อย่อยยยย ”

“ หยุดดดดดด!! ”

เพื่อเป็นการล้างแค้นที่ข้าวเช้าของเขาถูกลืม มาร์ก็ได้ใช้ส้อมอันเดิมนั้นจิ้มฮันนี่โทสต์แล้วยื่นให้เพนเท ส่วนเพนเทเองพอชายผู้เป็นที่รักยื่นโอกาสที่จะได้จูมทางอ้อมมาแบบนี้ ก็รีบคว้าเอาไว้ด้วยการงับเอาฮันนี่โทสต์ชิ้นนั้นมากินอย่างมีความสุขในทันที และเจ้าของร้านที่ได้เห็นทุกอย่างก็ลงไปนั่งคุกเข่าร้องอย่างเจ็บปวดทว่าก็ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย

… …

กริ๊งๆ แกรก

“ อืม…อร่อยจังแหะ ปริมาณเพิ่มราคาเท่าเดิมแบบนี้ คุ้มจริงๆเลยเนอะ ”

“ งื้มๆ แต่ว่าอร่อยแค่ไหนก็สู้ที่นายท่านทำให้ทานไม่ได้หรอกค่ะ!! ”

“ เห?? งั้นเหรอ? ถ้าว่าแบบนั้นไว้วันนัดรวมตัวผมจะทำให้ทานก็แล้วกันนะ ”

“ ค๊าา!! จะตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะ!! ”

ทั้งสองเมื่อทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้วก็ได้ออกจากร้านกาแฟนั้นมาอย่างอิ่มเอม ทว่าทันทีที่ออกจากร้านไปแล้ว ประตูร้านก็พลิกป้ายจาก [เปิด] เป็น [ปิด] ในทันที ทั้งสองเดินไปคุยไปจนกลับเข้ามาถึงยังตัวเมือง อย่างไรก็ตามเวลาก็ผ่านไปยังไม่สายเลย มาร์เองก็เปลี่ยนแผนสำหรับวันนี้แล้วแถมไม่ได้คิดอะไรเพื่อไว้สักนิดด้วย

“ อ๊ะ… นั้นมันห้างใหม่นิ? เห มีสวนสัตว์ด้วยงั้นเหรอ? ”

“ จริงด้วย?!? ห้างใหม่!! แต่สวนสัตว์? มันคืออะไรอย่างงั้นเหรอคะ??? ”

“ เพนเทคงยังไม่เคยได้ไปสวนสัตว์สินะ ถ้างั้นไปกันไหมล่ะเพนเท ”

“ เอ๋!! แหมๆ ถ้านายท่านว่าแบบนั้นก็รบกวนด้วยนะคะ!! ”

และในระหว่างที่เดินๆ มาร์ก็สังเกตุเห็นอาคารขนาดใหญ่ที่พึ่งสร้างเสร็จ และอาคารนี้ก็มีความต่างจากอาคารอื่นๆที่มันสามารถมองเห็นได้ว่าแต่ละชั้นมีอะไรผ่านการประดับตกแต่งกระจกด้วยสติ๊กเกอร์ภาพสีของสิ่งที่อยู่ในชั้นนั้นๆ โดยที่เด่นสุดคงเป็นรูปสัตว์มากมายที่อยู่ราวๆชั้นที่ 16 และก็เพราะแบบนั้นทั้งสองจึงได้มุ่งตรงไปยังชั้นดั่งกล่าวในทันที

“ ตั๋วผู้ใหญ่ 2 นะคะ ”

ครืดดด ครืนนน

“ ว้าว…นั้นมันสัตว์จากในหอคอยนี่?! ”

“ เห นี้สินะสาเหตุที่ทำไมราคาของมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนแบบเป็นๆถึงเพิ่มขึ้น ”

สถานที่ตรงหน้าหลังจากประตูกั้นเปิดออก มันเป็นเหมือนสวนสัตว์ทั่วๆไปในโลกก่อนของมาร์ ทว่ามันก็ต่างออกไปหน่อยที่สัตว์ทุกตัวนั้นจะอยู่ในห้องกระจกหนา เพราะพวกมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาแต่เป็นมอนสเตอร์ดังนั้นพวกมันสามารถทำร้ายผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างไม่ยากเลย ส่วนเพนเทนั้นเธอที่พึ่งได้เจอสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรกก็รีบวิ่งไปดูมอนสเตอร์พวกนั้น ทั้งกระต่าย ทั้งแกะ แพะ มากมายหลายชนิด ทว่ามันก็เป็นการมองผ่านๆเท่านั้น

[ ดูท่าจะสนุกใหญ่เลยน้าเพนเท แต่ก็ดีแล้ว ตาเศร้าๆเหมือนปลาตายนั้นก็ดูดีขึ้นเยอะเลย อ๊ะ? อ่า?…ชอบของExotic เหรอเนี่ย ก็นะ สมกับเป็นเพนเท ]

มาร์นั้นได้แต่เดินตามแล้วมองดูเพนเทที่กำลังสนุกสนานกับสิ่งที่มอนสเตอร์พวกนั้น ทว่าเธอก็หยุดลง ไม่ได้เดินต่อไปยังมอนสเตอร์ถัดไป เธอหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่งมันเป็นห้องที่เต็มไปด้วยตู้กระจกมากมายและในนั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีเกล็ด พวกมันกำลังเลื้อยไปมาในตู้นั้น

“ ชอบงูเหรอเพนเท? ”

“ ค ค่ะ… พวกมันเหมือนกับเค้าเลยค่ะ ถึงจะงดงามแต่ก็อันตราย ”

เพนเทตอบกลับมาร์ด้วยเสียงสงบนิ่ง ทั้งสายตาของเธอก็มองตรงเข้าไปในดวงตาของงูตรงหน้านั้น งูสีขาวเหลื่อมม่วงที่กำลังเลื้อยเข้ามายังกระจก มันหยุดอยู่ตรงนั้นก่อนจะค่อยๆยกตัวขึ้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาหาเธอ ก่อนจะยกตัวเอียงไปมาเหมือนกับกำลังสำรวจเพนเทอยู่

“ ดูท่ามันเองก็จะถูกใจเพนเทเหมือนกันนะ? ”

“ นั้นสินะ…คะ ”

มาร์ได้แต่มองดูเพนเทอยู่อย่างนั้น สายตาของเธอของเธอมันเป็นครั้งแรกเลยที่เป็นแบบนี้ สายตาที่สนใจในสิ่งมีชีวิตอื่นๆนอกจากเขาและพี่น้องของเธอ สายตาที่ดูมีชีวิตชีวา มีความเป็นเด็กไม่เหมือนกับปกติที่เหมือนกับว่าทุกอย่างรอบตัวเธอเป็นเพียงภาพมายาอันแสนน่าเบื่อ เธอจะตื่นเต้นกับมันได้ชั่วครู่ก่อนจะเมินแล้วเลิกสนใจ

… … …

“ ได้เวลาแล้วนะเพนเท ”

“ คะ?!? อ อ เอ๋!! จะเที่ยงแล้วเหรอเนี่ย!?? เห!! ”

แล้วก็ด้วยความสนใจในงูนั้น เพนเทกับมันก็ต่างจ้องมองกันนานจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนเกือบเที่ยง มาร์เองก็ได้แต่ยืนมองอย่างประหลาดใจกับเหตุการณ์ทั้งหมด แม้จะต้องยืนอยู่หลายชั่วโมงแต่ว่าในเมื่อเพนเทมีความสุขเขาก็ไม่อยากจะไปขัดขวาง จนกระทั่งเวลาหมุนมาจนจะเกือบเที่ยง มาร์ก็ถึงจะทักให้เพนเทได้รู้ตัว

“ อื้ม อีก 5 นาทีก็จะเที่ยงแล้วนะแบบนี้จะไปทันรับงานเหรอ?? ”

“ จริงด้วย!! ถ้าแบบนั้นเค้าไปก่อนนะค๊า!! ”

วูบ…ฟุบ

“ เห้อ… ทุกทีเลยน้า ไปไหนมาไหนไม่บอกแบบนี้ ”

เพนเทพอรู้ตัวแล้วก็เปิดช่องว่างสีดำขึ้นมาก่อนจะรีบกระโดดหายเข้าไปในทันที ส่วนมาร์เองก็ได้แต่ยืนยิ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำแบบนี้ เพนเทที่มาไปไม่บอกไม่ลาจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของเขาไปซะแล้ว แต่แม้ว่าเพนเทจะออกไปทำงานแล้ว มาร์ก็ไม่ได้จะเดินออกจากที่นี้แต่อย่างใด เขาหันกลับไปมองยังงูสีขาวที่เพนเทเคยจ้องมอง มันค่อยๆเลื้อยกลับไปหลบอยู่ของประดับภายในตู้นั้น เจ้าตัวถอดหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหันไปหาพนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“ คุณพนักงานครับ ”

“ ครับผม มีอะไรให้ผมรับใช้อย่างงั้นเหรอครับ? ”

“ รบกวนช่วยเรียกผู้จัดการมาทีนะ อ๊ะ ไม่สิ ติดต่อเจ้าของมาเลยก็ได้แล้วบอกว่า มาร์ ซันเบิร์นอยากขอคุยด้วยน่ะ ”

“ ม ม ท ท่าน มาร์… ซันเบิร์น?!? รับทราบครับผม!! ”

เขาพูดกับพนักงานหนุ่มนั้นด้วยรอยยิ้ม ทว่าพอพนักงานรู้ชื่อของชายที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาเหงื่อตกทันที ก่อนจะรีบก้มหัวแล้ววิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ ส่วนมาร์ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบทว่าในหัวก็กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ บางอย่างที่เขาก็ได้แต่ขำอยู่ในใจ

… …

ฟุบ

“ อ๊าาา!! สายแล้ว!! ”

ส่วนที่อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องสีขาว เพนเทก็ปรากฎตัวขึ้นแล้วก็รีบวิ่งตรงไปยังตู้เสื้อผ้าทันทีก่อนจะถอดเสื้อผ้าของตนเองจนหมดแล้วเปลี่ยนเป็นชุดโกธิคสีดำแล้วก็หยิบเอาอุปกรณ์ของตนเองมาใส่เพิ่ม ซองมีด สายรัดขา ปลอกแขนติดตั้งจอภาพ หน้ากากหมอกและหน้ากากกันแก็สพิษ ซึ่งพอทุกอย่างพร้อมแล้วเพนเทก็กระโดดเข้าไปในช่องมิติอีกครั้ง

ฟุบ

“ มาแล้วค๊า!! ”

“ ช้าไป 1 นาที 12 วินาทีนะเจ้าคะเพนเท ”

“ ขอโทษค๊า!! ”

และสถานที่ที่เธอมาโผล่นั้นก็คือห้องทำงานห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยจอฉายข้อมูลมากมาย โดยที่โต๊ะทำงานในห้องก็คือคนที่คอยแจกงานให้กับเหล่าเมดมาโดยตลอด ทิเรีย เธอนั่งนิ่งมองดูเพนเทที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับถือนาฬิกาเอาไว้บนมือ ส่วนเพนเทเองก็รีบแก้เขินด้วยการเดินมายืนตรงหน้าโต๊ะ พร้อมกับก้มหัวยื่นมือขอรับงานในทันที

“ รู้ตัวก็ดีแล้วเจ้าค่ะ นี้…รายชื่อ ใบหน้ากับที่อยู่ของขยะพวกนี้ ยังไงก็รบกวนจัดการให้เสร็จไวๆด้วยนะเจ้าคะ ”

“ รับทราบค๊า!! งั้นไปก่อนนะคะ!! ”

ฟุบ

เพนเทเมื่อรับภารกิจมาแล้ว ก็รีบกระโดดหายกลับไปอีกครั้ง ส่วนทิเรียก็ก้มหน้านั่งทำงานต่อไปตามปกติของเธอ อย่างไรก็ตามในระหว่างที่อยู่ในทางเดินวิญญาณนั้น เพนเทก็ได้หยิบเอาแผ่นเอกสารพวกนั้นขึ้นมาดูโดยใช้แสงสว่างของเทียนไขสีดำในการมองดู

“ หืม… พวกเวรนี้ นายท่านอุตส่าห์มอบความเมตตาให้แท้ๆ ”

ในรายชื่อและหน้าตาบนเอกสารนั้น ทำให้เพนเทโกรธเป็นอย่างมาก พวกมันเป็นประเภทที่เพนเทเกลียดที่สุด พวกทรยศ ใบหน้า ชื่อ ยศ พวกมันทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนของยูโทเปียทว่าหมายเหตุแห่งการกำจัดทิ้งล้วนเป็นเพราะพวกมันทำในสิ่งต้องห้ามตามกฎของกลุ่มผี และยูโทเปีย

“ ฆ่าคนนอกเหนือคำสั่ง… ข่มขืนลูกพ่อค้า… ใช้อาวุธปืนข่มขู่พลเมือง… ลักลอบร่วมมือกับศัตรู… รวมตัวเตรียมก่อกบฎ… ขูดรีดผู้อื่น… แต่ละอย่างนะ ”

เพนเทเก็บเอกสารนั้นเข้าไปในกระเป๋าที่เอว แล้วก็สวมหน้ากากหมอกของเธอพร้อมกับหยิบเอาตะขอสีดำออกมาจากซองเก็บของที่อยู่ตรงต้นขา ตะขอที่มีโซ่ทักยาว เธอกลั้นหายใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหัวของตนเอง

“ คนแรกเลยก็แล้วกัน ฮึบ ”

ฟุบ กิ๊งๆๆๆๆ

เธอเหวี่ยงตะขอนั้นขึ้นไปแล้วมันก็พุ่งลอยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พุ่งผ่านความมืดมิดขึ้นไปยังช่องว่างสีขาวที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกตะขอนั้นพุ่งทะลุออกไปแล้วมุ่งเข้าใส่สิ่งๆหนึ่งโดยที่สิ่งนั้นไม่อาจจะรับรู้ถึงการมานี้ได้

“ ฮ่าๆ วันนี้ก็เก็บเครดิตมาเพิ่มได้อีกแล้ว แบบนี้อีกไม่นานชั้นก็จะได้เข้าไปอยู่ในพื้นชั้นในสัก… ฉึก!! กรี๊ดดดด!! ”

ตะขอที่ว่าเกี่ยวเข้ากับขาของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบที่กำลังนั่งนับแผ่นเหล็กจำนวนมากบนโต๊ะ ตะขอนั้นเกี่ยวขาของเธอจนเกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้จะปล่อยให้เธอหลุดรอดไปเพราะเพียงเสี้ยววินาทีที่เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างของหญิงสาวนั้นก็ถูกดึงลงสู่พื้นที่ที่มืดมิด

“ อึก… ท ที่นี้มันที่ไหนกัน?!? แสงไฟนั้น?!? เดี๋ยว เดี๋ยว อย่า อย่าเข้ามา กรี๊ดดด!! ร้อน!! ร้อน!! ”

พรึบ พรึบ พรึบ

เธอยังไม่ได้จะทำอะไร เปลวไฟสีฟ้าจำนวนมากก็เข้ามาห้อมล้อมเธออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเผาไหม้ร่างของเธอ ทำร้ายร่างของเธอจนเกิดเป็นแผลมากมาย ทั้งแผลไหม้ แผลบาดเหวอะหวะ แผลตัดขาดบนร่างกาย และก็ไม่นานเลยที่ร่างนั้นจะแน่นิ่งไป

ฟู่มม ตู้ม…

“ เสร็จไป 1 เหลืออีก 23 คน ”

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงสีฟ้าที่ปรากฎขึ้น ณ จุดที่ร่างของหญิงสาวนั้นเคยอยู่ และทันทีที่เปลวไฟดับหายไป ก็ไม่เหลือทิ้งไว้ซึ่งร่างหรือร่องรอยของหญิงสาวผู้นั้นอีก ส่วนเพนเทผู้เป็นคนลงมือก็ไม่ได้จะใส่ใจเลยว่าการจัดการของเธอสำเร็จหรือไม่ เธอมุ่งหน้าตรงไปยังจุดถัดๆไป แล้วก็ทำแบบเดิม แบบเดิมไปเรื่อยๆ การโยนตะขอขึ้นไปแล้วเกี่ยวเอาร่างของคนนั้นลงมา ในดินแดนแห่งวิญญาณ สถานที่ที่คนเป็นไม่ควรจะมาอยู่

“ ไม่มีใครขัดขืนเลย… ชีวิตของพวกนี้มันน่าเบื่อ น่าเบื่อ ”

เวลาด้านนอกนั้นผ่านไปเพียงไม่กี่นาที คนหลายสิบคนก็เริ่มทยอยหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งเดียวที่มีทิ้งไว้คือรอยเลือดที่เปรอะบนพื้นที่คนคนนั้นเคยอยู่มาก่อน

ฟุบ

“ ฮึบบบ เสร็จงานสักที รีบ… เอ๋? ”

และเมื่อจัดการงานของตัวเองเสร็จ เพนเทก็กลับมายังห้องของตนเองทว่าแทนที่จะทิ้งตัวลงนอนตามปกติ วันนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป ห้องที่ควรจะมีแต่สีขาวและทุกอย่างเป็นระเบียบ ตอนนี้บนโต๊ะทำงานของเธอที่อยู่ข้างๆโต๊ะแต่งหน้ากลับมีกล่องที่มีผ้าคลุมเอาไว้ตั้งเอาไว้

พรึบ

“ เห…แก… หรือว่า… ”

เพนเทดึงผ้านั้นออกแล้วก็ได้เห็นว่า ใต้ผ้าคลุมนั้นคือกล่องกระจกใสที่ด้านในมีการจัดแต่งเป็นฉากให้มีสภาพแวดล้อมคล้ายป่ามอส ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทกำให้เพนเทมองดูไม่ละสายตาไปไหนเลยคือเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวที่นอนหลบอยู่ใต้ต้นบอนไซเล็กๆ

“ นายท่านน๊าา นายท่าน!! เห็นว่าเค้าชอบก็ซื้อมาให้สินะ อื้มม จะดูแลเป็นอย่างดีเลยล่ะ ช่าย…จะดูแล ดูแล หึหึ มานี้สิ ”

แกรก

เจ้าตัวนั้นยิ้มออกมา เธอรู้เลยว่าใครเป็นคนเตรียมสิ่งนี้ให้กับเธอ อย่างไรเสียแทนที่เพนเทจะมองดูอยู่เฉยๆ คราวนี้มันเป็นของเธอแล้ว ดังนั้นเพนเทจึงเลือกที่จะเปิดฝาครอบของมันออก ก่อนจะเอามายื่นลงไปอย่างช้าๆ ส่วนเจ้างูนั้นมันก็วนไปวนมาก่อนจะยกตัวขึ้นแล้วเลื้อยขึ้นมาพันตามแขนของเพนเท

!!!

อย่างไรก็ตามเมื่อมันขึ้นมาได้แล้วก็แผ่แม่เบี้ยอยู่ห่างจากหน้าของเพนเทไปเพียงช่วงมือเดียว แต่ว่าเพนเทก็ไม่ได้กลัวเลยกลับกันสายตาของเธอกลับจ้องมองสวนกลับไปในดวงตาสีม่วงของงูนั้น เธอจ้องมองก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมาลูบหัวของมันอย่างช้าๆ ทำให้มันเริ่มจะสงบลง เช่นกันเธอก็หลุดยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆด้วยเสียงที่เย็นชาจนแม้แต่งูนั้นก็สั่นเทาแล้วหัดตัวลงไปอยู่เพียงปลายมือขวาของเพนเท

“ เด็กดีนะ… เด็กดี ช่าย…ถ้าเป็นเด็กไม่ดีเมื่อไหร่ล่ะก็…คงรู้สินะ…ว่าจะเป็นยังไง ”

……

……

“ ดูท่าแทนที่จะง่ายกลายเป็นยากเฉยเลยนะทิเรีย ”

“ ก็ไม่มีใครคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายจะฮึดสู้ขึ้นมาแบบนี้นี่เจ้าคะท่านพี่หญิง ”

เวลาผ่านไปนานเกือบเดือน การบุกก็เกือบจะถึงยังแหล่งกบดานสุดท้ายของกองทัพจอมมาร ซึ่งด้วยความที่เป็นแหล่งสุดท้ายของกองทัพจอมมารประกอบกับแผนการณ์การบุกที่กดดันและล้อมศัตรูจากรอบด้านของเอเนอาสงครามควรจะจบตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่ว่าการที่กดดันพวกมันแบบนี้ก็ทำให้พวกนั้นไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากพยายามต่อต้านอย่างสุดความสามารถกับทุกวิธีที่มีเพราะถ้าเสียที่นี้ไปแล้ว กลุ่มผู้ตามหาก็จะไม่มีทางได้มีโอกาสเข้ามายึดทวีปที่อุดมสมบูรณ์ได้อีก

“ แต่ว่าพอมาอยู่บนที่ที่มีแต่น้ำนานเป็นเดือนแบบนี้ก็แอบสงสัยนะว่าทำไมพี่ดีย์โอะแกถึงชอบนักน่ะ ว่างเปล่าแถมกลางคืนตอนมีพายุก็น่าปวดหัวด้วย ”

“ ก็ท่านพี่ดีย์โอะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในน้ำเป็นหลักนี่เจ้าคะท่านพี่ จะให้ไม่ชอบน้ำมันก็จะแปลกๆเกินไปนะเจ้าคะ อีกอย่างที่ที่เราเห็นก็เป็นบนน้ำไม่ใช่ใต้น้ำเจ้าค่ะ ใต้น้ำสหรับท่านพี่ดีย์โอะเห็นว่าเป็นที่ที่สวยมากๆเลยนะเจ้าคะ ”

“ งั้นเหรอ? แต่ถ้าพวกเราดำลงไปก็มีแต่ความมืดนิ? ”

ในขณะเดียวกันที่กลางทะเลห่างจากตอนเหนือของยูโทเปียไป 250 กิโลเมตรหรือก็คือห่างจากเมืองไปเกือบ 1500 กิโลเมตร การก่อสร้างของศูนย์ผ่าตัดนั้นก็ยังไม่เสร็จจากการที่มีความซับซ้อนหลายอย่าง ไม่ว่าจะการเดินท่อส่งมานา แหล่งเก็บมานาขนาดใหญ่ที่ต้องสามารถจำลองมานาของมาร์ได้และยังต้องเคลื่อนย้ายออกหรือขนย้ายออกไปได้

ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ

[ ติดต่อมานอกเวลารายงานแบบนี้คงมีเรื่องอะไรสินะเจ้าคะ ]

ทว่าระหว่างที่ยูเรย์ กับทิเรียกำลังนั่งดื่มชารอการก่อสร้างในห้องประชุมบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ก็มีการแจ้งเตือนเข้ามาจากยูโทเปีย การแจ้งเตือนที่ไม่ใช่การรายงานประจำวัน ทิเรียเลยกดปุ่มรับสายและภาพกับเสียงก็ถูกฉายขึ้นที่กลางห้องเหนือโต๊ะประชุม

“ ขออนุญาตรายงานด่วนเจ้าค่ะ!! ”

“ อึก… เริ่มได้เลยเจ้าค่ะ…จุส ”

ภาพของคนที่คุ้นเคยดีหรือเปล่า ภาพของตัวเองในเครื่องแบบที่ไม่เหมือนเดิมชุดเมดแบบกระโปรงได้กลายมาเป็นกางเกง และนั้นก็ไม่ใช่เธอแต่เป็นหญิงสาวที่เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาเธอคือจุส มันเลยให้ทิเรียมีความรู้สึกแปลกๆที่ต้องมามองดูตัวเองรายงานตนเองแบบนี้ อย่างไรก็ตามสีหน้าของทิเรียในภาพฉายนั้นดูจะเหงื่อตกต่างจากที่ตัวจริงไม่เคยจะมีเหงื่อไหลออกมาเลย

“ เจ้าค่ะท่านทิเรีย! ตอนนี้บุคคลเฝ้าระวังระดับ 5 เฝ้าระวังเป็นพิเศษ อย่าง เอเลนอร์ 1 ในจอมเวทย์แห่งโอดุนยา เธอได้เดินทางมาที่ยูโทเปียแล้วเจ้าค่ะ โดยมีเอกสารถูกต้องครบถ้วนทุกอย่างทั้งให้เหตุผลว่ามาเพื่อศึกษาวัฒนธรรม ทว่าตามเอกสารที่ยูโทเปียมีนั้นเธอมีความรู้สึกกับนายท่าน ร่างโนวัล อินวิว และคงมาเพื่อตามหาเขาแน่ๆ แต่นั้นก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้นเจ้าค่ะ ”

“ มาไวกว่าที่คาดไว้นะเจ้าคะ ทั้งยังมาตอนนายท่านกับพวกเราอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก ”

ทิเรียพอได้ฟังรายงานก็เป็นกังวลทันที เพราะเธอนั้นมั่นใจเป็นอย่างมากว่าคนที่จะรับมือจอมเวทย์ที่มีมานาระดับนั้นได้ก็มีเพียงแค่นายท่านกับฝ่ายทหารของยูโทเปียเท่านั้น แต่ว่านายท่านก็อยู่ในสภาพหลับไหลและฝ่ายทหารเองก็ยังวุ่นอยู่กับสงครามที่ดินแดนจอมมารอีก เกิดอะไรขึ้นมาคงจะแย่แน่ๆ

“ แล้วจุสได้เลือกวิธีตอบโต้อะไรไปเจ้าคะ? ”

“ ดิชั้นได้ตกลงเลือกที่จะให้ทหารของพวกเราที่คอยลาดตระเวนตามเมืองต่างๆคอยจับตาการเคลื่อนไหวของเป้าหมายเจ้าค่ะ โดยจะตั้งรายงานทุกๆ 30 นาที ซึ่งตอนนี้เป้าหมายก็ยังอยู่ที่เมืองคนนอกอยู่เจ้าค่ะ ”

จุสได้เลือกวิธีที่อยู่ในคู่มือการตอบโต้ที่ทิเรียให้ไว้ มันเป็นสิ่งที่ควรทำแล้วนั้นก็ทำให้ทิเรียพอใจกับการแสดงเป็นเธอของจุสมากๆ แต่ว่าการพอใจนั้นก็อยู่ได้ไม่นานสักเท่าไหร่เพราะเป้าหมายสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างอิสระภายใต้กฎของยูโทเปียโดยที่เธอทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจับตามองเท่านั้น เว้นแต่เป้าหมายจะมีเจตนาแอบแฝงเป็นภัยต่อยูโทเปียเช่นนั้นเธอก็จะกล้าสั่งคำสั่งพิเศษลงไปเพื่อกำจัดเป้าหมายได้ ทว่า…อีกคนที่นั่งฟังอยู่กลับมีอะไรมากกว่านั้น

“ จุส นี้เป็นคำสั่ง…ไปคอยจับตาดูตามเดิมไปก่อนและพยายามให้คนเข้าไปป้อนข้อมูลเล่นๆว่า มีข่าวเรื่องอดีตอาจารย์มหาลัยเวทย์มนต์คนนึงโดนการลอบโจมตีบางอย่างเข้าไปเลยโคม่าต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลสนาม อ๋อ…แล้วก็หลังจากนั้นสักวันสองวัน ก็กรอกไปว่าน่าจะเป็นฝีมือของพวกไม่หวังดีจากทวีปที่ยังไม่ถูกพบ กรอกไปเรื่อยๆพร้อมกับรายงานผลทุกวันให้ชั้นด้วยล่ะ เอ้า ไปได้แล้ว! ”

“ รับทราบแล้วเจ้าค่ะ จะดำเนินการเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ! ”

ยูเรย์ได้ให้คำสั่งที่ไม่มีใครคิดและมันก็เป็นคำสั่งที่ดูประหลาดเกินกว่าปกติที่ยูเรย์มักจะให้ อย่างไรก็ตามเมื่อได้คำสั่งแล้วจุสก็ขอตัวเพื่อดำเนินการต่อทันที ทว่าตอนที่ตัดสายไปทิเรียก็หันมามองยูเรย์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแม้ใบหน้าจะนิ่งเฉยก็ตาม

“ ทำไมถึงได้สั่งให้กรอกข้อมูลแบบนั้นเข้าไปล่ะเจ้าคะ? หรือว่าท่านพี่หญิงจะต้องการดึงผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอย่างงั้นเหรอเจ้าคะ?!? ”

“ … ”

ซึ่งยูเรย์ก็ยิ้มก่อนจะหยิบเอาชาขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรหรือแสดงสีหน้าใดๆเลย ทำเอาทิเรียได้แต่ยืนสับสนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ความสับสนที่ไม่อาจเข้าใจในตัวของพี่สาวผู้นี้ได้

กริ๊งๆ กริ๊งๆ

“ ได้เวลาไปทำงานแล้วนะทิเรีย ”

“ เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นดิชั้นขอตัวก่อนนะเจ้าคะท่านพี่หญิง ”

ก่อนจะมีเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เสียงที่ว่ามันเตือนให้เธอกลับไปคุมงานต่อ ยูเรย์ก็ได้ทักขึ้นมาก่อนที่ทิเรียจะได้พูดเสียอีก นั้นทำให้ทิเรียก้มหัวทำความเคารพพี่สาวของเธอและหันหลังเดินออกไปจากห้องประชุมนี้

“ เหลือแค่เราแล้วสินะ ”

ตึก ตึก ตึก กริ๊ก ฟุบ…

และเมื่อยูเรย์อยู่ตัวคนเดียวแล้วเธอก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปยังกระจกของห้องประชุม แล้วก็กดปุ่มปิดการกั้นภายนอกลงทำให้กำแพงฝั่งริมเรือค่อยๆโปร่งแสงและทำให้มองเห็นด้านนอกได้ ภาพของฐานลอยน้ำขนาดใหญ่คล้ายแท่นขุดเจาะน้ำมันที่กำลังถูกก่อสร้างโดยเรือและเฮลิคอปเตอร์มากมาย เธอเงยหน้าขึ้นก่อนจะหลับตาลงแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆด้วยเสียงที่เย็นชา

“ เป่าหูให้แค้นแล้วก็ไปเปิดทางให้ก่อน หึ.. โชคดียัยนั้นก็คงฆ่าตัวปัญหาที่มาทำร้ายพี่เราได้ แต่ถ้าไม่ล่ะ? อ่าา …ก็แค่ถูกฆ่าตายซะเองละมั้ง แต่จริงๆยัยจอมเวทย์นั้นตายๆไปน่าจะดีกว่า เราเองจะได้ไม่มีคู่แข่งที่เป็นคนนอกอีกเพราะแค่พี่น้องก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว แต่หวังว่าจะไม่ต้องวุ่นวายเหมือนกับตอนที่เอนนาไปจัดการยัยประธานซัคคิวบัสนั้นนะ ”

……

กึง กึง กึง ครืดดดดดด กึง

“ มากันครบเลยนะ ”

“ ว่างายยยทุกคนนน เป็นไงบ้างงง? ”

“ อัลฟ่า รายงานตัวค่ะ เอ่ออ…พี่เอเนอาคะ? ”

ประตูเหล็กค่อยๆปลดล็อกออกที่ละชิ้นตามกลไกของมัน ก่อนจะเลื่อนออกด้านข้างเพื่อให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาได้ และคนที่อยู่ข้างนอกนั้นก็คือยูเรย์กับเพนเทและเอเนอากับอัลฟ่า ทั้งสี่เดินเข้ามาอย่างช้าๆพร้อมกับกล่าวทักทายทุกคนที่นั่งอยู่ด้านใน ห้องประชุมขนาดใหญ่ที่มืดรอบด้านและมีจุดที่สว่างเพียงโต๊ะกลมที่ตั้งอยู่ตรงกลาง โต๊ะนั้นมีเก้าอี้ขนาดใหญ่อยู่ 16 ตัว โดยเก้าอี้พวกนั้นล้วนมีเลขกำกับไว้เหนือหัว เรียงตั้ง 0 ไปถึง 14 เว้นแต่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปอีก

“ ย ย แย่แล้ววอัลฟ่า!! ยากระตุ้นผมจะหมดแล้วว!! ”

ฉึก

ทว่าเอเนอาก็ไม่ได้เข้ามาดีๆสักเท่าไหร่ เพราะเธอพยายามคลำหาอะไรบางอย่างและบางอย่างนั้นก็เหมือนจะเป็นของสำคัญซะด้วย ซึ่งอัลฟ่าพอได้ยินเช่นนั้นก้เข้าใจได้ว่าเอเนอาลืมอะไรและเธอก็หยิบเข็มขนาดใหญ่ราว 1 ไม้บรรทัดออกมาปักเข้าที่หลังของคนที่กำลังลุกลี้ลุกลนอยู่

“ นี้ค่ะ ก็คิดไว้แล้วว่าต้องลืม ”

“ อาาาาห์ อื้อ อ๊ะ อี๊…อื้ออออ ”

เข็มนั้นจุไปด้วยสารเรืองแสงหลายอย่างแล้วมันก็กำลังไหลเข้าไปในร่างของเอเนอา ทำให้เธอได้แต่ยิ้มกับแสดงสีหน้าที่เหมือนกับกำลังมีความสุขเกินกว่าจะอธิบายได้แถมยังส่งเสียงแปลกๆตลอดโดยไม่สนใจคนที่อยู่ในห้องเลย

“ เห้ออออ อย่าทำให้ชั้นหัวร้อนตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มประชุมได้ไหมเอเนอา ”

“ รีบๆเริ่มประชุมเลยได้หรือเปล่า? นี้ต้องไปเช็คพวกพนักงานที่ลาดตระเวนใต้ทะเลอีก ”

เอนนาและดีย์โอะซึ่งเป็นเหมือนพี่ใหญ่สุดของเหล่าเมดก็บ่นๆกันออกมา พร้อมทั้งเหล่าสมาชิกผู้รับใช้นายท่านผู้ยิ่งใหญ่บัดนี้ได้มารวมตัวกันแล้วบนเรือลำดังกล่าว ทุกคนที่เหลือแม้จะได้บ่นก็มองดูเอเนอาด้วยสายตาแปลกๆแต่บางคนก็ไม่ได้จะอะไรแล้วอย่าง เบต้าวันกับเบต้าทูที่นั่งกินขนมจากถุงในมือของอคโต โดยตามปกติจะไม่มีการรวมตัวประชุมบนยานพหนะใดเช่นนี้ เพราะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ตายหมดจนทำให้สิ่งที่พวกเธอดูแลหยุดชะงักลง ทว่าคราวนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กฎประเพณีนั้นจึงต้องจำงดไปก่อน

“ เมื่อมากันครบเช่นนี้แล้ว ดิชั้นขออนุญาตเริ่มการประชุมเลยนะเจ้าคะ ”

ทิเรียที่เห็นว่าทุกคนมากันแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวเริ่มการประชุมในทันที ก่อนจะเดินออกไปยืนอยู่ด้านในสุดของห้องประชุมซึ่งอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ไม่มีโต๊ะใดมาขวางกั้นและมันก็อยู่สูงกว่าเก้าอี้ตัวอื่นๆ มืดมนกว่าตัวอื่น เก้าอี้ที่ไม่มีตัวเลขใดๆ

“ ดิชั้นขอเข้าประเด็นสำคัญเลยนะเจ้าคะ ข้อมูลที่ได้มาจาก…ถาม…สิ่งมีชีวิตที่ถูกตราว่าเป็น จอมมาร เป็นสิ่งที่พวกเรามองข้ามกันไปตั้งแต่ต้นเจ้าค่ะ กองทัพจอมมารนั้นมองจากภายนอกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากตอนบนของทวีปเทอร่า แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย พวกมัน กองทัพจอมมารเป็นสิ่งที่มาจากทวีปที่ถูกทิ้งไว้กลางมหาสมุทรเจ้าค่ะ ”

“ ที่ว่าพวกเรามองข้ามไปเพราะแบบนี้สินะ ”

แผนที่ฉายขึ้นกลางห้อง แผนที่ที่มีลูกโลกอยู่ตรงกลางและดาวเทียมจำนวนมากวนอยู่รอบๆ โดยดาวเทียมพวกนั้นก็จะมีการฉายวงไฟที่แสดงให้เห็นว่าพวกมันสามารถมองเห็นได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตามดาวเทียมส่วนใหญ่ก็อยู่เหนือทวีปต่างๆกับทะเลที่กองเรือใช้เดินเรือไปมา ซึ่งทิเรียก็ได้ขยายต่อว่า

“ พวกเราต่างไม่มีใครคิดมาก่อนว่ากลางมหาสมุทรนั้นจะมีทวีปอยู่ด้วย นั้นทำให้ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีการส่งดาวเทียมไปสำรวจเลยเจ้าค่ะ เพราะมันจะเป็นการเปลืองเวลากับทรัพยากรในการทำแผนที่ทั้งยังเป็นการเสียการมองเห็นบนทวีปอื่นไปด้วย แต่ตอนนี้นั้นไม่ใช่อีกต่อไปเจ้าค่ะ ”

บนลูกโลกนั้นดาวเทียมจำนวน 4 ดวง ได้ลอยเหนือที่หมายพร้อมกับฉายแสงไฟการมองเห็นของมันครอบคลุมทวีปสุดท้ายที่พึ่งได้มีการค้นพบ ขยายภาพให้ทุกคนได้เห็น

“ กองทัพจอมมารที่ทุกคนทุกทวีปเข้าใจว่าเป็นตัวตนของปีศาจร้าย เป็นศัตรูของคนทั้งโลกนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดเพื่อจะทำการยึดทวีปให้มากพอสำหรับการมาของกลุ่มที่ใหญ่กว่าเจ้าค่ะ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ผู้ตามหา ”

จากลูกโลกเปลี่ยนเป็นแผนที่ 2 มิติที่แสดงให้เห็นดินแดนบนทวีปนั้นที่เรียกได้ว่าเน่าเฟะเกินกว่าจะมีการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตได้ พื้นดินเต็มไปด้วยโคลนกับหนองน้ำพิษ ภูเขาไร้ซึ่งต้นไม้มีเพียงเศษซากของก้อนหิน เหนือผืนดินก็มีแต่มอนสเตอร์ขนาดใหญ่กับสัตว์ร้ายมากมายเดินกันไปเดินกันมาราวกับเป็นสัตว์ธรรมดาตามป่าเขา

“ ในขณะที่นายท่านพยายามสร้างสวรรค์… แต่ที่นั้นคือตรงข้ามกันเลยสินะ ”

“ นั้นสิเคนโทร สภาพแบบนั้นถ้าพวกเราไปอยู่ก็คงลำบากเอาเรื่องเลย ”

“ ดูจากภาพเฉยๆ ยังไม่อยากไปเลย ”

ทุกคนที่ได้เห็นก็ต่างคิดไปในทางเดียวกันว่านั้นเป็นอะไรที่เกินกว่าจะอยู่อย่างสบายๆได้ อย่างไรก็ดีในหลายๆพื้นที่ก็มีเมืองตั้งอยู่ ไม่ ต้องเรียกว่าปราการเสียมากกว่า ปราการขนาดใหญ่ที่มีกำแพงเหล็กล้อมรอบและด้านในก็มีดินแดนที่อาจจะเรียกได้ว่า “ ปลอดภัยกว่า ” หากเทียบกับด้านนอก บ้านเมืองทำจากหินผสมอิฐ ถนนที่ปูด้วยแผ่นไม้และกรวดหยาบๆ ทุ่งไร่ที่ปลูกผักมากมายที่กำลังฆ่ากันอย่างกับมอนสเตอร์ในขณะที่เด็กๆเองก็กำลังดูพวกมันอย่างสนุกสนาน ประชาชนที่เดินไปมาพอเจอมอนสเตอร์ก็รุมกันซัดราวกับกำลังระบายอารมณ์ ทว่าทุกคนนั้นเหมือนกันคือ…แปลก

“ โดยภาพจากดาวเทียมทั้งหมด รวมไปถึงการส่งเครื่องบินสอดแนมเข้าไปตรวจสอบพบว่าพื้นฐานผู้คนบนทวีปนั้น ล้วนแล้วแต่วิวัฒณาการไปในรูปแบบที่แปลกเกินกว่าจะเข้าใจได้หากไม่ได้เอาตรวจสอบอย่างละเอียดเจ้าค่ะ รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่ารายละเอียดปลีกย่อยอย่างหูที่ยาวกว่าเล็กน้อย หรือพละกำลังที่เกินกว่าจะเข้าใจได้ สิ่งเหล่านี้เป็นภัยอันตรายต่อพวกเราเป็นอย่างยิ่งหากต้องบุกขึ้นฝั่งไปเจ้าค่ะ ”

“ ก็นั้นสินะ อยู่กันในที่แบบนั้นไม่พัฒนาก็ตาย ”

“ ยังไงก็เถอะเอนนา? ถ้าต้องบุกจะต้องทำยังไงล่ะ? ทางน้ำชั้นเองก็คุมไหวนะ แต่บนบกนี้… ”

“ อืม เกินไปเลยละ สภาพภูมิประเทศเอย การคิดถึงเรื่องกำลังพลต้องพักอีก เห้ออ ”

ภาพนี้มันทำให้เห็นได้ว่าที่นั้น มันเป็นดินแดนที่บิดเบี้ยว ดินแดนที่ไม่เหมาะจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย การจะตายนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายและการอยู่รอดได้ก็คงเป็นการพิสูจน์ตัวเองรูปแบบหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งพอทุกคนได้รับทราบถึงสถานที่ที่เป้าหมายอยู่ก็เป็นเหตุให้วนกลับมาเรื่องสำคัญนั้นคือ…

“ อย่างไรก็ตามนะเจ้าคะท่านพี่เอนนา ท่านพี่ดีย์โอะ วันนี้เรื่องพวกนั้นอาจจะต้องเอาไว้คิดหลังจากที่พวกเราออกเสียงเลือกกันว่าจะทำอย่างไรต่อ ระหว่างหนึ่งล่าคนที่ทำแบบนี้มาเพื่อลงโทษในสิ่งที่มันได้ทำ กับสองหาทางพานายท่านกลับมาจากการหลับไหลนี้เจ้าค่ะ ”

ทิเรียที่ได้ฟังผู้บังคับบัญชาการรบทั้งบนบกและในน้ำ ก็ได้พูดขึ้นมาเพื่อให้ทั้งสองแรงไว้คิดเรื่องบุกหรือการไปยังดินแดนนั้นเอาไว้ก่อน พร้อมกับหันไปมองทุกคนแล้วพูดถึงสิ่งที่เธอต้องการให้ทุกคนตัดสินใจ มันเป็นการกำหนดเป้าหมายหลักที่จะนำไปสู่การวางแผนการณ์ในอนาคต ซึ่งนี้มันเป็นจุดสำคัญเธอไม่คิดจะตัดสินใจเองเด็ดขาด

“ ขออนุญาตนะคะ ดิชั้นเห็นว่าตอนนี้สิ่งที่นายท่านได้สร้างเอาไว้กำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าจะเมืองกับกลุ่มองค์กรที่ต้องการการบริหารอย่างการกำหนดเป้าหมายหลักโดยตัวนายท่านเพื่อตัวนายท่าน และที่สำคัญในด้านการรบ การที่พวกเราจะบุกไปที่ทวีปดังกล่าวตรงๆเลยมีแต่จะเสี่ยงเพราะศัตรูที่ทรงพลังขนาดตอนที่มันบุกมายังทวีปของเราคนเดียว พวกเรายังไม่สามารถจะล้มมันได้ง่ายๆเลย นี้เป็นดินแดนที่ส่งมันมาการขาดกำลังของนายท่านไปเป็นเรื่องที่เสี่ยงจนเหมือนการเข้าไปตาย และแบบนั้นก็จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง “ห้ามตาย” ของนายท่านอีกด้วยค่ะ ”

“ อย่างที่อคโตว่ามา เค้าเห็นด้วยนะ ต่อให้เอาหน่วยทหารเกราะไปก็ไม่รู้ว่าจะต้านไหวหรือเปล่า สภาพพื้นที่มีแต่โคลนแบบนั้น แถมถ้าเราไปแล้วเกิดอาการของนายท่านแย่ลงอีกล่ะ? ”

“ นั้นสินะ พอมาคิดๆดูแล้วเอปต้าเองก็พูดถูก อาการของนายท่านสำคัญกว่าเยอะ สำคัญกว่าชีวิตของไอคนที่ลงมืออีก ดังนั้นยังไงก็ต้องช่วยนายท่านก่อน ”

อคโตเริ่มเสนอขึ้นมา ตามด้วยความเห็นของไอดอลอย่างเอปต้าและตัวเพนเทที่นั่งเงียบๆมาสักพัก ซึ่งทุกคนเองก็ต่างแสดงสีหน้าออกมาเป็นทำนองเดียวกันว่า เห็นด้วยกับสิ่งที่อคโตพูด แม้แต่ยูเรย์เองก็ไม่ค้านขึ้นมาเลยสักนิดเดียวนั้นทำให้ข้อสรุปนี้จบลงอย่างไม่ยาก ขนาดที่ทิเรียเองก็ประหลาดใจจนเธอนั้นมองไปยังยูเรย์ ผู้เป็นดั่งพี่สาวของเธอคนหนึ่ง เธอ

ความรู้สึกนั้นคือ พี่สาวคนนี้ของเธอเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ที่หากเกิดเรื่องแบบนี้คงหายตัวไปแล้วลงมือจัดการตามล่าแบบไม่สนความเห็นใครแล้วแน่ๆ ทว่าตอนนี้เธอกลับร่วมประชุมแล้วก็รับฟังคำพูดของคนอื่นนอกจากนายท่าน มันทำให้เห็นได้ว่า ยูเรย์นั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้างแล้วจากเด็กสาวที่ติดพี่ชายและมักจะยึดการตัดสินใจของตนเองมาเป็นผู้หญิงที่รับฟังและตัดสินใจไปบนความเป็นเหตุเป็นผล

“ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทุกคนเห็นต้องกันว่าพวกเราควรจะช่วยนายท่านก่อนนะเจ้าค่ะ ดังนั้น…เทเสล่าพอจะจัดการหาทางได้หรือเปล่าเจ้าคะ? ”

อย่างไรก็ตามเมื่อได้แนวทางว่าจะทำอะไร ทิเรียก็ได้ถามถึงประเด็นถัดไปพร้อมมองไปยังผู้ที่จะต้องให้คำตอบ เทเสล่า ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะถามเทเสล่าเพราะเธอเป็นคนเดียวในกลุ่มที่จะรู้คำตอบของการหาทางเอามีดที่ปักออกมาได้ไวที่สุด เธอคือผู้มีสติปัญญาด้านเวทย์มนต์กับวัตถุเสริมเวทย์ในระดับสูงแต่กลับเอาไปใช้ในทางที่ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเทเสล่าจึงถูกทุกคนจ้องแบบนั้นก็ส่ายหน้าในทันที

“ เดี๋ยววว ไหงมองกันมาแบบนี้ล่ะ!! งื้ออออ ก็ได้ ก็ได้ งั้นขอพูดเลยนะว่าชั้นน่ะทำแบบนั้นได้ด้วยตัวเองซะที่ไหนล่ะ!! มีดนั้นมันของอันตรายสุดๆเลยนะ จะทำเป็นดึงออกมาด้วยตัวคนเดียวล่ะก็ ไม่ไหว ไม่ไหว!! ก็เคยบอกไปในข้อมูลก่อนประชุมแล้วไม่ใช่อ๋อ!! หรือว่า?!? ไม่ได้อ่านกันน่ะ หาาาา!! ”

ใช่ ก่อนหน้าประชุมเทเสล่าได้ส่งเอกสารไปหาทุกคนถึงข้อมูลของมีดเล่มนั้น มันเป็นมีดที่ถ้าแทงไปแล้วและอักขระเวทย์ก็เริ่มกระจายเข้าออกกับร่างของนายท่าน การจะเอาออกเลยมีแต่จะเสี่ยงทำให้เขาตายจากการที่มีดนั้นถูกดึงออกในทันที มันจะเข้าใจว่าตัวเองโดนแยกออกจากเป้าหมายและลงมือทำลายกระแสมานาอย่างพินาศสมบูรณ์จนเป็นการเริ่มของการรั่วไหลมานาออกมาอย่างต่อเนื่อง และยิ่งเป็นนายท่านนี้แหล่ะ ยิ่งยากเพราะมานาของเขามันล้นจนดึงออกเลยเมื่อไหร่คงโลกครึ่งใบได้หายไปแน่ๆ อย่างไรก็ตามดูเหมือนผู้มาประชุมจะมีไม่กี่คนที่ได้อ่านเอกสารนั้นเพราะส่วนใหญ่ก็นั่งมึนสงสัยในสิ่งที่เทเสล่าพูด

“ ดิชั้นได้อ่านแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าอย่างที่เทเสล่าได้บอกมา ถ้าเป็นคนเดียวเหมือนจะทำไม่ได้แต่ถ้ามีคนอื่นมาช่วยแล้วพอจะทำได้สินะเจ้าคะ? ”

แต่ทั้งนี้ทิเรียที่ฟังกับอ่านเอกสารมาอย่างระเอียด เธอก็มองเห็นจุดบางอย่างที่พอจะนำมาใช้ได้ เพราะอย่างที่เทเสล่าบอกเธอทำมันคนเดียวไม่ได้ แต่ทิเรียคิดว่าถ้าช่วยกันมันก็อาจเป็นไปได้ ตามทฤษฎีที่ทิเรียได้ไปลองทบทวนมาการใช้เพียงเวทย์มนต์กับสกิลเพื่อเอามันออกเป็นไปไม่ได้เลยสักนิดเดียว แต่ถ้าเป็นการแพทย์และวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยล่ะ นั้นคือสิ่งที่เธออยากจะรู้

“ อ่า… จริงด้วย นั้นสินะ? นั้นสิ? อืมมมม โอะ!! ใช่ๆ วิธีที่ถ้าช่วยกันก็จะประมาณนี้ ”

“ พึ่งจะคิดได้สินะเจ้าคะ ”

เทเสล่าพอถูกถามเข้าไปแบบนั้น ในหัวก็หมือนจะแล่นขึ้นมาทันทีจนสามารถคิดหาวิธีขึ้นมาได้ แล้วนั้นก็ทำให้เธอได้วาดมันลงกระดาษที่หยิบออกมาให้ทุกคนในห้องได้ดูตามพร้อมกับอธิบายภาพของแขนกลกำลังแหวกหน้าอกของนายท่านไปพร้อมกับพยายามแซะเนื้อรอบๆมีดออก ส่วนทิเรียเองพอเห็นท่าทีเช่นนี้ก็รู้ได้เลยว่าถึงเทเสล่าจะฉลาดขนาดไหนแต่เธอก็มีปัญหาด้านการคิดเพิ่มเติมจริงๆ

“ เอาล่ะ!! มีดนี้น่ะนะ มันจะทำการหยุดการไหลเวียนของมานาและดึงมานารอบๆเข้าไปใช้ในการทำงานของมัน ดังนั้นการดึงออกได้จำเป็นต้องระวังเรื่องของมานาเป็นหลักแต่ก็ต้องไม่ลืมว่าต้องแยกมันออกมาให้ ขั้นแรกจึงเป็นการแยกการสัมผัสระหว่างมีดกับตัวของนายท่านก่อนเลย โดยปกติจะทำได้ยากเพราะแค่คนธรรมดาเข้าใกล้มันขนาดสัมผัสก็ศูนย์เสียมานาไปได้อย่างรวดเร็วถึงตายได้ แต่กับพวกเราที่มี-วิทยาศาสตร์กับการแพทย์-ก็จะไม่ต้องกลัวอะไรมาก นั้นทำให้ขั้นแรกจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ของฝ่ายพัฒนาอย่างมือกลมาผ่าตัดแยกมีดกับร่างของนายท่านให้มีความห่างไม่เกินกว่าตามที่คิดก็ 0.008 เซนติเมตร เพื่อให้มีดยังได้รับมานาจากนายท่านไม่ต่างจากเดิม อืม…ตรงนี้ต้องพึ่งเอเนอากับอัลฟ่าที่เป็นหมอแหล่ะ ”

“ ได้เลยฮะ! การผ่าตัดแบบนี้มั่นใจในตัวผมได้เลย! ”

“ เข้าใจแล้วค่ะท่านพี่เทเสล่า ต้องห้ามเกิน 0.008 เซนติเมตรสินะคะ อืมม คงต้องขอซ้อมมือสักพักแล้วล่ะค่ะแล้วก็ท่านพี่เอเนอา ไอที่บอกว่ามั่นใจในตัวท่านพี่เองเนี่ย? พี่เคยผ่าตัดที่ใช้ความละเอียดขนาดนี้ด้วยเหรอคะ? เห็นปกติเทยาเอาตลอดเลยไม่ใช่เหรอคะ? ”

เธอวาดต่อ ภาพของการใช้แผ่นโลหะต่อท่อบางอย่างแทรกลงไปรอบๆมีดนั้นก่อนจะเลื่อนตัวมีดขึ้นอย่างช้าๆมาเก็บในหลอดแก้วที่มีการต่อสายระโยงระยางมากมาย เทเสล่าอธิบายต่อเพิ่มเติมโดยสายตาจ้องไปที่เอ็กซิกับเดคกะที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อเพราะพวกเธอกำลังจะได้รับหน้าที่สำคัญสุดๆ

“ นี้จะเป็นขั้นตอนถัดไปที่สำคัญมากๆ มากจนห้ามพลาดเด็ดขาด มันคือการหลอกให้มีดเชื่อว่ามานายังถูกส่งเข้ามาอยู่แล้วจะไม่ทำการปลดสลักมานาหรือทำให้กระแสมานาของตัวนายท่านเกิดการรั่วไหล โดยวิธีการก็คือค่อยๆเลื่อนมีดขึ้นพร้อมกับใช้แผ่นโลหะมาทำหน้าที่ส่งมานาแทน การส่งมานานี้ต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเมื่อมันสำเร็จจนดึงมีดออกมาได้เกือบถึงระดับหน้าอก จะเป็นการทำในสิ่งสุดท้ายของขั้นตอนนี้คือการเอามีดเข้าไปในหลอดแก้วแล้วเทมานาสกัดเข้าไปเรื่อยๆเพื่อเลี้ยงมัน ก่อนจะนำไปสู่ขั้นสุดท้ายนั้นคือการเอามันไปทิ้งให้ไกลที่สุด ของพวกนี้ทั้งสองคน เอ็กซิ เดคกะ ต้องคิดแล้วสร้างอุปกรณ์เพื่อการนี้ออกมาล่ะ ”

“ อ โอ้!! เข้าใจแล้ว! ไว้ใจพวกเราได้เลย!! ”

“ อื้ออ!! แต่ว่ามานาสินะ ขอเวลาสักหน่อยแล้วกัน! ”

“ เช่นนี้นอกจากอุปกรณ์ทั้งหลายดูเหมือนจะต้องหาสถานที่ไว้เพื่อด้วยแล้วสินะเจ้าคะเทเสล่า ”

“ อ อ่า…จริงด้วย เพราะตามที่คิดนะหลังจากดึงมีดออกมาแล้วเชื่อมมานาก็ต้องรีบเอาไปทิ้ง แต่ถ้าเคลื่อนไหวเร็วไปก็จะเกิดการเร่งการดูดมานาอีก ฮ่าห์ แย่เลยแหะ งั้นก็ฝากหาที่ด้วยนะทิเรีย ”

“ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ”

ทุกคนนั้นพอได้ยินแผนก็พอเข้าใจแล้วว่าจะต้องทำยังไง และรู้เลยว่าสิ่งแรกที่ต้องทำนอกจากการเริ่มผ่าตัดเอามีดออกคือการหาสถานที่ที่จะทำ ซึ่งสถานที่ที่ว่าก็ควรจะอยู่ใกล้กับดินแดนของกลุ่มผี บ้านหลังเดียวที่นายท่านสร้างขึ้นมานั้นคือยูโทเปียที่นั้นจะเป็นสถานที่ก่อสร้างห้องผ่าตัดสำหรับนายท่านได้ก็จริงแต่การจะระเบิดมานาที่นั้นก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเลยสักนิด ดังนั้นทิเรียจึงได้แทรกขึ้นมาเช่นนั้นก่อนจะเปิดแผนที่ดูสถานที่ที่เหมาะสม

“ ถ้างั้นทิเรีย เรื่องของนายท่านพวกเธอที่ใช้สมองก็รับผิดชอบไปเลยนะ ส่วนพวกเราที่เป็นสายรบก็ขอตัวไปจัดการกับศัตรูที่เหลือก่อนก็แล้วกัน อ๋อมีการติดต่อมาจากโซลิทานกับเนิลเกลด้วยคงจะจบไวอยู่ล่ะ ”

“ เจ้าค่ะท่านพี่เอนนา อย่างไรก็ตามหากมีการเรียกรวมตัวอีกก็ขอให้ท่านพี่มากันด้วยนะเจ้าคะ ”

เอเนอาในฐานะผู้บังคับบัญชาการรบจึงได้เสนอต่อทิเรียฝ่ายวางแผนว่า เธอจะพาเมดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดไปทำการบุกยึดพื้นที่ของกองทัพจอมมารต่อ โดยคราวนี้โซลิทานจะเข้าสนับสนุนจากทิศตะวันตกและยังได้คนจากทวีปเนิลเกลมาช่วยด้วย ซึ่งคนที่ถูกเลือกไปก็จะมีแต่ฝ่ายทหารอย่างเอเนอา ดีย์โอะ เพนเท เอปต้า อคโต เบต้าวัน เบต้าทู และ ชาลี

“ ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะกว่าจะถึงตอนนั้นชั้นก็คงได้ไปนั่งเล่นรอเรียกประชุมตามปกตินั้นแหล่ะ เอ้า!! ไปกันได้แล้ว … เพนเท เธอก็ด้วย!! ”

“ เหหห!! แต่เค้าเป็นนักฆ่านะไม่ใช่นักรบซะหน่อยยยย อ๊าาา!! อย่าดึงๆ!! ”

ทว่าในตอนที่กำลังจะออกไปนั้น เพนเทก็ไม่ได้ลุกเดินตามแต่อย่างใดเพราะเธอเป็นนักฆ่าไม่ใช่นักรบอย่างที่บอก งานของเธอส่วนใหญ่จะอยู่กับฝ่ายบริหารอย่างทิเรียไม่ก็ยูเรย์ ทว่าข้ออ้างนั้นก็ไม่ได้ผลและสุดท้ายก็โดนดีย์โอะเดินเข้ามาลากคอออกไป

“ ถ้างั้นก็แยกย้ายเนอะ ทิเรียเดี๋ยวไปกับชั้นส่วนที่เหลือก็ตามงานของตนเองเลย ”

และนั้นก็ทำให้การประชุมจบลงด้วยคำพูดไล่ของยูเรย์แล้วสิ่งที่คุยกันไว้ก็ได้เริ่มขึ้น ยูเรย์เดินไปกับเพนเทเพื่อจะทำการติดต่อกลับไปยังฐานที่อยู่บนยูโทเปียเพื่อแจ้งคำสั่ง การเตรียมการสร้างศูนย์รองรับการผ่าตัดนายท่านของพวกเธอ เอ็กซิเดคกะก็แยกย้ายไปยังห้องของตนเองแล้วลงมือวาดแบบกับอุปกรณ์ต่างๆ โดยอัลฟ่ากับเอเนอาก็กลับไปห้องวิจัยของตนก่อนจะลงมือสแกนร่างของนายท่านเพื่อวางแผนผ่าตัดต่อไป ในระหว่างนั้นเอเนอาก็ได้นำทีมเมดฝ่ายทหารออกลงจากเรือเพื่อกลับไปยังแนวหน้าแล้วจัดการกับศัตรูที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยเมื่อพวกเธอก้าวเท้าลงจากเรือไปแล้ว เรือบรรทุกเครื่องบินก็เริ่มดึงสมอขึ้นทันทีแล้วถอยออกจากอ่าวไปพร้อมกับเรือลาดตระเวนจำนวนหนึ่งเพื่อเดินทางกลับไปยังยูโทเปีย

……

…

……

“ ชิ!! พาไอนี้กลับไปส่งทิเรียเร็วเข้า!! ”

“ อ่า!! เข้าใจแล้ว!! ”

เพนเทที่รู้คำสั่งของยูเรย์ก็ดึงคอจอมมารเข้าเส้นทางวิญญาณไปทันทีเพื่อเอาไปส่งให้กับทิเรีย ส่วนยูเรย์ก็ยืนสู้ตัวๆ ศัตรูน่ะถึกทนนี้อีกรอบโดยไม่มีการช่วยเหลือจากเพนเทเหมือนก่อนหน้า ทว่า…

ฉัวะ

“ ดูท่าแกคงเจ็บหนักเลยสินะ หนังบางขนาดนี้น่ะ!! ”

“ อาาา…ท ท่านจอม..มาร.. อย่า…พู… โออออ ”

[ ขนาดเสียงพูดยังไม่มีเลย แบบนี้ก็ง่ายหน่อย ]

ทว่าอีกฝ่ายเองก็พอจะสวนกลับยูเรย์มาได้ แถมยังพูดตอบโต้กับคำพูดของยูเรย์ได้ด้วยแต่มันก็ฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งการโจมตีพวกนั้นมันช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ซึ่งยูเรย์ที่คล่องตัวกว่าก็หลบได้อย่างไม่ยากเย็นแล้วเริ่มจะอ่านทางของศัตรูได้ง่ายขึ้น

ฟุ่ม ฟุ่ม ฟุ่ม ฉัวะ ฟุ่ม ปั้ง ฟุ่ม

[ วิธีต่อสู้คล้ายๆยัยนั้นแหะ แต่ดัน…เป็นโจมตีใกล้เพียวๆตอนเราไม่มีอุปกรณ์เซฟแบบนี้ แย่ ]

ยิ่งพอผ่านไปนานเท่าไหร่ยูเรย์ก็เริ่มจะรู้แล้วว่าศัตรูตรงหน้าเหมือนกับคนคนหนึ่ง เอเนอา การต่อสู้ของเอเนอานั้นจะเป็นการยืนรับดาเมจและสวนกลับแบบรุนแรงด้วยธนูของเธอ ซึ่งศัตรูตรงหน้านี้ก็กำลังทำแบบเดียวกันต่างที่มันพยายามโจมตีระยะใกล้ ความต่างนี้ทำให้ยูเรย์ไม่คิดจะพุ่งเข้าใส่เหมือนตอนจำลองสู้กับเอเนอา เพราะศัตรูที่ดูจะถนัดต่อสู้ระยะประชิดมีโอกาสจับเธอได้ และถ้าโดนจับในสถานการณ์ที่ไม่มีอุปกรณ์เซฟชีวิตแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก

[ เพนเท… รีบๆมาเร็วเข้า! ]

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปุก ปุก ฟุบ

สิ่งเดียวที่ทำได้คือยิงถ่วงเวลาไว้ ซึ่งกระสุนปืนของเธอก็พอจะเจาะมันได้แล้ว แต่ก็มีปัญหาคือแม้จะเจาะได้ทว่ากลับไม่ได้สร้างบาดแผลใหญ่อะไร แถมมันก็ยังพยายามจะเข้ามาใกล้เพื่อจะเขมือบด้วยก้อนเนื้อพวกนั้นอีก สถานการณ์แบบนี้ก็มีแต่ต้องรอให้เพนเทกลับมาช่วยพลัดการโจมตีเท่านั้น

ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ มาแล้ว!! ”

“ อ่า!! ตอนนี้ร่างกายมันเปราะมากๆแล้ว แค่มีดก็ตัดเข้าได้ แต่ระวังเรื่องการโจมตีระยะใกล้!! ”

ไม่นานเพนเทก็กลับมา ทำให้ทั้งสองสื่อสารกันสั้นๆเป็นการบอกข้อมูลที่สำคัญ แล้วก็ลงมือทำในทันที เพนเทที่หลบได้ง่ายกว่ายูเรย์ก็เข้าไปเป็นตัวล่อแล้วให้ยูเรย์จัดการตัดผ่านร่างของมัน ซึ่งแม้ว่าจะตัดได้ก็ตามแต่ร่างกายของมันก็เชื่อมเข้ากันอย่างรวดเร็ว

“ เอาไงล่ะทีนี้!?!? โอ๊ย!! อย่าพึ่งสิยะ!! ”

“ มีอะไรหยุดมันได้ก็ลองไปก่อนเลย!! ”

“ แบบนี้ไม่ดึงเข้าไปในทางเดินวิญญาณจะง่ายกว่าเหรอ!! ”

“ ถ้ามันดึงแล้วไม่กลับออกมาก็คงให้ดึงไปแล้ว!! ”

ยังไงก็ตาม ทั้งสองที่ยังพยายามจะฆ่ามันก็ต้องพบว่าการโจมตีของพวกเธอได้แต่สร้างบาดแผลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น จนทำให้เพนเทถามถึงวิธีที่เคยใช้ก่อนหน้า ทว่ายูเรย์ก็ประเมิณแล้วว่ามันไม่น่าจะได้ผลดีนักเพราะสุดท้ายมันก็จะกลับมาได้แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็เป็นการบาดเจ็บแค่ภายนอกไม่ได้ทำให้กำลังของมันลดลงเลย

“ ทีละจุดเพนเท!! ทีละจุด!! ”

“ อ๊าาา!! จะพยายามแล้วกันนะ!! ”

ยูเรย์ที่เห็นว่าแยกกันโจมตีจุดต่างๆมันไม่ช่วยให้ตัวประหลาดนี้หยุดขยับลง หรือจะตัดกำลังมันลง ดังนั้นเธอจึงเล็งโจมตีไปทีละจุดโดยเริ่มจากแขนที่คอยใช้โจมตีพวกเธอ และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการลงมีด เพนเทก็จะเข้ามาโจมตีตามในจุดนั้นสลับกันไป

“ จะขาดแล้ว!! ”

เพนเทเริ่มเห็นได้ว่าเนื้อพวกนั้นมันขาดออกจากกันและไม่สามารถจะเชื่อมโยงเข้าหากันได้ทันกับการโจมตีของพวกเธอ ซึ่งก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นส่วนที่พวกเธอเล็งไว้ส่วนแรกก็ขาดออก แขนนั้นมันหลุดตกลงสู่พื้น แล้วแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง

“ อา… โอ… ”

ผัวะ

“ เดี๋ยวเถอะ!! ”

เจ้าตัวประหลาดนั้นมันพยายามจะวิ่งเข้าไปคว้าเอาแขนที่ตกลงพื้นของตน แต่ว่าเพนเทก็เข้าไปเตะแขนนั้นจนกระเด็นเข้าไปติดอยู่กับกำแพง และส่วนยูเรย์ก็วิ่งตามหลังมันเข้าไปใช้มีดฟันเข้าที่หลังต้นขาของมัน

“ เร็วเข้า!! ถ้าหยุดมันได้อะไรก็ง่ายแล้ว!! ”

“ ก็พยายามอยู่นี้ไง แต่ไอบ้านี้พยายามจะเข้ามาหยิบแขนตลอดเลย ไม่เห็นเหรออเคนโทร!! อ๋า! หยุดวิ่งเข้ามาดิ!! ”

ยูเรย์พยายามจะเรียกให้เพนเทมาช่วยฟันเพราะการโจมตีของเธอคนเดียวมันไม่เร็วพอจะทำให้ขาดได้ และแม้ว่ามีดของยูเรย์จะเคลือบไปด้วยหมอกสีม่วงก็ตาม แผลพวกนั้นมันก็ยังคงฟื้นตัวได้อยู่ดี เพราะการกัดกร่อนของหมอกมันเหมือนกับว่าทำได้ไม่เต็มที่แบบที่ปกติจะเป็น

[ หมอกเรามันเร่งเวลาอายุขัยกับย่อยสลายสิ่งที่สัมผัส แต่แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน??? ]

ซึ่งตัวของผู้ใช้เองก็รู้ว่ามันแปลก แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาให้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอพยายามจะโจมตีแล้วดึงความสนใจจากมันเพื่อให้เพนเทเข้ามาซ้ำแผลของมันได้ แต่ว่าศัตรูก็ไม่สนใจแล้วเอาแต่จะวิ่งไปหาแขนของมันทว่าเพนเทก็ไม่ยอมแล้ววิ่งไปเตะให้แขนของมันกระเด็นไปอีกทาง

“ เพนเท!! ถ้าไม่ไหวโยนมาทางนี้!! ไม่สิ แบกเอาไว้เลย!! ”

“ เอ๋?!?! หยะแหยงอ่าาา!! ”

“ ยังไงมันก็วิ่งตามแล้ว!! แบกไว้เลย แบกแล้วก็ใช้โอกาสที่มันเหลือแค่แขนเดียวนี้แหล่ะ จัดการกับส่วนที่เหลือต่อเลย!! ”

“ อ๊าาา!! ก็ได้ ก็ได้!! ”

เพนเทคว้าเอาแขนนั้นขึ้นมาแล้วก็วิ่งสวนเข้าไปยังฝั่งที่ไร้แขน พร้อมกับจัดการลงมีดของตนซ้ำลงไปบนแผลของมัน ก่อนที่ยูเรย์จะวิ่งเข้ามาซ้ำต่อแล้วเริ่มลูปการพลัดกันฟันเข้าไปเรื่อยๆ จนสามารถตัดขาได้และทันทีที่ขามันขาดออก การเคลื่อนที่ของมันก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดีมันก็พยายามจะคลานเข้าไปเอาขาของตัวเองคืน ทว่ายูเรย์ก็ไม่ปล่อยโอกาสนั้น เธอวิ่งเข้าไปเตะขาไปไว้ไกลถึงมุมห้อง แล้วก็ลงมือฟันส่วนแขนกับขาข้างที่เหลือในทันทีส่วนเพนเทเองเมื่อเห็นว่าศัตรูโจมตีพวกเธอยากแถมขายังไม่มีจนเคลื่อนที่เข้าหาลำบาก เธอก็โยนแขนไปไว้อีกมุมห้องแล้วโผเข้าฟันตามจุดที่ยูเรย์ได้ลงรอยมีดไว้

“ ฮ่าห์ ฮ่าห์… ขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีก ”

“ ถึกเกินไปแล้ว หรือว่ามันเป็นอมตะเนี่ยยย!! โอ้ยยยยน่ารำคาญญญญ!! ”

ทั้งสองแม้จะหั่นมันจนแยกเป็นส่วนต่างๆแล้วแต่มันก็ไม่ตาย แถมยังพยายามจะเข้ามาโจมตีทั้งสองด้วยส่วนหัวที่ยังติดกับตัวอยู่ มันพยายามจะกัดขาของทั้งคู่แต่ก็โดนทั้งเพนเทและยูเรย์เตะอัดจนน่าหันอยู่เรื่อย

“ เพนเท รบกวนกลับไปเอากล่องเหล็กหนาๆมาที เอามาซัก 6 กล่องเลยนะ ”

“ จะเอามาทำไมล่ะ? เห้ออ ช่างเหอะ บ่นไปก็เท่านั้นล่ะเนอะ งั้นแปปนะ เดี๋ยวกลับมา ”

ซึ่งเพนเทก็สงสัยว่าจะเอามาทำไม แต่ว่าก็ต้องตัดใจถามพร้อมกับเปิดช่องมิติเพื่อไปเอาของพวกนั้นมาพร้อมกับบ่นๆด้วยสีหน้าเซ็งๆ โดยทันทีที่ออกไปยูเรย์กันหามามองดูเซบาสอะไรนั้นที่เหลือแค่หัวกับตัวนอนจ้องมองเธออยู่

“ ให้ตายเหอะ แกคงเป็นพวกอมตะอะไรล่ะสิ ก็ดี ก็ดี ไหนๆตอนนี้แกก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว งั้นก็มาดูกันสิว่าเรื่องเล่าการแยกส่วนคนของท่านพี่จะใช้ได้ผลหรือเปล่า ถ้าไม่ได้แกก็จะได้กลับมาหาเรื่องพวกเราอีก แต่ถ้าได้แกก็จะตายในรูปแบบนึงล่ะนะ เอ…แต่จะนับว่าตายก็ยากก็เหมือนกันแหะ ก็ไม่ได้ตายจริงๆนี่ ”

กึง กึง ตึ้ง

และก็เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้น เพนเทก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าใส่กล่องเหล็ก 6 ใบ ที่ตอนเธอเดินออกมาก็แสนจะทุลักทุเล จนโยนบางกล่องออกมาก่อนก็มี

“ หนักเกิ๊นนน แล้วเคนโทรทำไมไม่ไปพร้อมเค้าแล้วช่วยกันยกมาล่ะ ให้ยกมาคนเดียวแบบนี้มันทรมานกันชัดๆเลยนะ! ”

“ คิดสิเพนเท ถ้าไปกันสองคนใครจะเฝ้าชิ้นส่วนของพวกมันที่อยู่ตรงมุมห้องล่ะ? ”

“ ก ก ก็…จริงแหะ ”

ยูเรย์เองเดินเข้าไปหยิบเอากล่องออกมาแล้วเริ่มลงมือในสิ่งที่เธอคิดไว้ นั้นคือการเอาชิ้นส่วนที่แยกยัดเข้ากล่องเหล็กทั้ง 6 โดยแบ่งจากแขน และ ขาอย่างละ2ข้าง ก่อนจัดการตัดหัวของมันแยกออกจากตัวเพื่อเอายัดใส่กล่องที่เหลือ

กริ๊ก กริ๊ก

ซึ่งเพนเทตอนที่ช่วยเอาชิ้นส่วนพวกนั้นเข้่าใส่กล่องแล้วล็อกพร้อมกับพันเทปสีเหลืองเตือนว่าของข้างในมันเป็นของอันตราย เธอก็มองหน้ายูเรย์พร้อมกับส่งสายตาเหมือนกับถามว่า [จะให้เอาไปแยกโยนแต่ละจุดใช่มะ?]

*หงึก*

“ อ๋าาาา จริงดิ โอ้ยยย กลับไปขอพักยาวเลยนะ!! ใช้เดินทางไปมาหลายที่ขนาดนี้!! ปะ รีบไปรีบกลับไปนอน!! ”

และยูเรย์ก็พยักหน้ายืนยัน ทำเอาเพนเทถึงกับไหล่ตกก่อนจะก้มหน้าก้มตาปิดผนึกกล่องด้วยเทปสีเหลืองที่เหลือก่อนที่จะพากันเอากล่องพวกนั้นไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะบนจุดสูงสุดของโลกที่แสนจะเยือกเย็น ใต้สุดของโลกคือถ้ำใต้ทะเล หรือตะวันออกที่เต็มไปด้วยหุบและตะวันตกที่มีแต่ทะเลทราย

ฟุบ

“ แขนนนเค้าาาา ชาาาหมดแล้วววว!! อ๊าาาา อ๊ะ? จะว่าไปเราไปแค่ 4 ที่เองนิ? เหนือ ใต้ ออก ตก ”

โดยพอจัดการจนเสร็จ ทั้งสองก็เดินทางกลับมาที่เรือและทันทีผ่านทางเดินวิญญาณ ทว่าทันทีที่มาถึง เพนเทก็มองไปบนหลังของยูเรย์ เพราะบนหลังของเธอยังมีกล่องอีกตั้ง 2 ใบที่ไม่ได้เอาไปทิ้ง กล่องใหญ่สุดและเล็กสุด ที่ใส่หัวกับตัวเอาไว้

“ เน่ๆ ลืมเอาไปฝังหรือเปล่าอ่ะเคนโทร? จะรีบกลับไปฝังเลยมะหรือว่าจะพักกันก่อน? ”

“ อ๋อ นี้น่ะเอาไว้ให้สองคนนั้นไงเอเนอากับอัลฟ่า เห็นว่าอยากได้อะไรมาใช้ในการทดลองเรื่องความทนทาน แล้วนี้ก็พอดีเลย เห็นไหม ”

“ ไม่อ่ะ ไม่พอดีเลย ไม่ใช่ว่าไอตัวการทดลองอะไรนั้นทั้งสองคน ส่งเอกสารขอใช้ตั้งแต่สองเดือน ไม่สิ สี่เดือนที่แล้วไม่ใช่เหรอ?? แต่ก็มาติดว่าเคนโทรปัดตกเพราะมันแพงแถมบอกว่าไม่คุ้มจะลงเงิน แถมไล่ให้ไปหางบซื้อเองอีกไม่ใช่อ๋อ?? ”

“ ไม่รู้สิ ”

เพนเทเดินเข้าไปสะกิดและถามยูเรย์ แต่ว่ายูเรย์ก็ส่ายหน้าก่อนจะบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ยิ่งเพนเทได้ฟังก็ได้แต่ขำแห้งเท่านั้น ก่อนจะพากันเดินกันไปที่ห้องแล็บของเอเนอาและอัลฟ่า ห้องแล็บที่ตอนนี้อยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินสีขาว เรือธงของกองเรือที่ 1

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ ติ๊ด…

“ ฮ่าๆๆ!! วะฮ่าๆๆๆ!! ”

พอมาถึงยูเรย์ก็กดรหัสที่หน้าประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปยังข้างใน ที่เป็นห้องสีขาวซึ่งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์และการวิจัยอยู่เต็มไปหมด ทว่าด้านในสุดกลับเป็นห้องมืดที่มีแสงไฟสีแดงส่งแสงออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแปลกๆ

โดยภายในห้องนี้นั้นก็มี อัลฟ่าในชุดกาวน์กำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ และด้านหลังของเธอก็เป็นห้องกระจกที่ใจกลางห้องมีการบรรจุหลอดแก้วเอาไว้ หลอดแก้วซึ่งใส่ร่างของมาร์ที่มีมีดปักทะลุจากด้านหลังมาด้านหน้าอยู่กลางหน้าอก เธอที่เห็นว่ายูเรย์กับเพนเทมาก็รีบลุกก่อนจะก้มหัวให้อย่างเงียบๆ

ตึก ตึก ตึก

จี่….

หงึกๆ

เพนเทเองก็เดินนำหน้าขึ้นมาก่อนจะมองด้วยสายตาเหมือนกับถามว่าอีกคนอยู่ไหน อีกคนคือเอเนอาอยู่ไหน ซึ่งอัลฟ่าก็ไม่ได้ตอบด้วยการพูดแต่เป็นการมองไปยังห้องมืดที่อยู่ด้านในสุด ห้องที่มีแสงไฟสีแดงส่องออกมา ยูเรย์เอากล่องเหล็กบนหลังลง ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนั้น

พรึบ

“ เท่านี้ก็เอาไปขายให้พวกนั้น แล้วจะได้มีงบไปซื้อตัวทดลองแปลกๆเพิ่มสักทีนะฮะ ฮ่าๆๆ วะฮ่าๆๆๆ!! ”

ทันทีที่เปิดเข้ามา ก็พบกับเอเนอาที่หัวเราะอย่างมีความสุขโดยบนเพดานห้อง บนกำแพง และในมือ ต่างก็มีรูปภาพโพลารอยด์มากมาย รูปของคนสองคนคือเพนเทกับยูเรย์กำลังกอดกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทั้งตอนนอนบนเรือในอดีต ตอนล่าสุดที่เอาหน้าผากชนกัน

ฟู่…. แกรก แกรก

“ !! เคนโทร!! ไม่นะฮะ!! หยูดดด… ”

หมับ ตึง!!

“ แหน่ะๆ จะทำอะไรน่ะหืมม เอ เน อา?? ”

ยูเรย์ที่เห็นก็ยิ้มโดยไม่ได้สนใจก่อนจะทำการปล่อยหมอกควันสีม่วงออกมาถมพื้นที่ในห้องจนข้าวของในห้องมืดนี้โดนทำลาย ในขณะที่เอเนอาก็หันกลับมามองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจก่อนจะพุ่งเข้าใส่ยูเรย์เพื่อยับยั้งเธอ ทว่าเพนเทก็เข้ามารับไว้ก่อนจะจับกดกับพื้นแล้วขึ้นไปคล่อมบนหลังเพื่อกดไม่ให้เอเนอาลุกได้

ฟู่… แกรกๆ ฟู่…

“ เรียบร้อย เท่านี้ภาพที่พยายามจะล้างก็ไม่เหลือแล้วนะ ”

“ ม่ายยยยยยยยยย!!! ”

“ อุ๊บ… ”

“ ไม่ต้องมาไม่เลย นี้อุตส่าห์เอาร่างกายของคนที่ไม่มีวันตายจริงๆมาให้แท้ๆ แต่นักวิจัยดันมาล้างรูปแบบนี้ น่าอายจริงๆ ”

พอจัดการกับห้องล้างรูปแล้ว ยูเรย์ก็บอกว่าได้ของมาร่างกายของคนที่ไม่มีวันตายจริงๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้ใบหน้าของเอเนอาที่ร้องไห้ กับอัลฟ่าที่มองดูเหตุการณ์อย่างกลั้นขำ ก็เปลี่ยนมาเป็นสนใจก่อนจะมองตรงไปยังกล่องเหล็กทั้งสองทันที

ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ

“ ถึงเมดผู้รับใช้ทุกคน ขอเรียนให้มารวมตัวกันในอีก 20 นาที ที่ห้องประชุมของเรือธงเพื่อรับฟังข้อมูลที่ดิชั้นได้ถามมาจากเชลยคนสำคัญเจ้าค่ะ ย้ำอีกครั้งในอีก 20 นาที ที่ห้องประชุมบนเรือธงนะเจ้าคะ ขอบคุณเจ้าค่ะ ”

ทว่าแทนที่จะได้เปิดกล่องเลยนั้น ก็มีเสียงแจ้งเตือนเข้ามาจากทิเรียให้ เมดผู้รับใช้มาร์มารวมตัวกันเพื่อรับทราบเรื่องจากเชลยที่จับตัวมาได้ นั้นเองทำให้เพนเทลุกออกจากเอเนอา ส่วนยูเรย์ก็หันไปมองกับอัลฟ่าก่อนจะบอกด้วยรอยยิ้มที่ดูไว้ใจเธอไม่ใช่น้อย

“ อัลฟ่ารีบๆเอากล่องนั้นไปเก็บให้เรียบร้อยแล้วก็ระมัดระวังอย่าให้มันหลุดออกมาได้ล่ะ ”

“ ค่ะท่านพี่เคนโทร ถ้าเช่นนั้น ”

กริ๊ก กึง…ครืดดด ตึง

อัลฟ่าก็รับทราบ ก่อนจะกดสวิตช์เปิดช่องบนพื้นข้างๆเธอ แล้วทันใดนั้นก็มีหลอดแก้วค่อยๆยกขึ้นมาสองหลอด โดยในหลอดนั้นมีของเหลวสีเขียวที่ปล่อยกลิ่นแปลกๆออกมาตลอดเวลา เธอเอากล่องเหล็กทั้ง 2 ใบใส่ลงไปและทันใดนั้นเทปสีเหลืองก็โดนย่อยสลายหายไป ทิ้งไว้เพียงกล่องเหล็กเท่านั้น

“ หลอดแก้ว? แบบนี้มันจะไม่หลุดออกมาก่อความวุ่นวายอะไรแน่นะ? ”

“ แน่นอนค่ะท่านพี่ นี้ค่ะ… ”

ซึ่งยูเรย์ก็ถามเพื่อความมั่นใจของเธอด้วยความสงสัย และอัลฟ่าก็พยักหน้าก่อนจะหยิบเอาศพหนูที่อยู่ในถังขยะออกมาแล้วปล่อยมันลงไปในหลอดแก้วนั้น โดยทันทีที่มันสัมผัสกับบนสุดของของเหลวสีเขียว ร่างของมันก็สลายหายไปหมดเลยโดยไม่มีส่วนไหนได้จมลงไป

“ และต่อให้มันไม่ถูกกรดย่อยสลายและหลุดออกมาจากกล่องเหล็กได้ มันก็จะถูกขังอยู่ในหลอดแก้วที่มีการหล่อกระแสไฟฟ้ากำลังสูงเข้าไปเรื่อยๆค่ะ ส่วนตัวกรดที่อยู่ในหลอดเองก็เป็น กรดทีมีผลกับแค่สิ่งที่มีโปรตีนผสมเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่ใช้ของที่มาจากสิ่งมีชีวิตมันก็จะไม่ย่อยค่ะ เหมือนกับกล่องเหล็กนั้น ”

“ เห? วิจัยของแบบนี้ออกมาได้ทำไมไม่เอาไปใช้เป็นอาวุธล่ะอัลฟ่า?? ”

เพนเทที่ได้ฟังคำอธิบายของอัลฟ่าก็เกิดถามขึ้นมาแบบนั้น ซึ่งอัลฟ่าก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับอย่างช้าๆ เรียบๆ และสุภาพ

“ เนื่องจากนายท่านไม่เห็นด้วยกับการใช้กรดเข้มข้นสูงขนาดนี้ในการสงครามน่ะค่ะ ท่านพี่เพนเท ”

“ อ่า… เข้าใจเลยแหะ เหมือนตอนนั้นที่ห้ามไม่ให้เชื้อโรคที่เรียกว่า ชาร์ อะไรนั้นใช่มะ? ”

“ ซาร์ลค่ะท่านพี่ ถ้าชื่อเต็มที่ตั้งไว้ก็คือ SARS-2-CoV-2-UT-A ค่ะ ประเภทแพร่กระจายผ่านอากาศ นายท่านบอกว่ามันอันตรายเกินไปเพราะเป็นประเภทแพร่กระจายได้ไวกว่าเดิม 4 เท่า ก็เลยเกรงว่าจะควบคุมไม่ได้หากพลาดขึ้นมาน่ะค่ะ ”

“ แย่เลยเนอะ แต่ว่า… ”

“ เรื่องนั้นไว้คุยหลังประชุมเถอะ ปะเพนเท ”

“ จ้า จ้า งั้นไว้เจอกันที่ห้องประชุมนะทั้งสองคน ”

ในระหว่างที่อัลฟ่ากับเพนเทกำลังคุยกันอยู่นั้น ยูเรย์ก็ขัดขึ้นมาเพราะเธอแค่พอยืนยันได้แล้วว่ามันปลอดภัยก็ถือว่าทุกอย่างที่ควรจะทำในที่นี้สิ้นสุดแล้ว และนั้นก็ทำให้ยูเรย์เดินนำออกไป ส่วนเพนเทเองก็ตามไปติดๆ ทว่าทางด้านของอัลฟ่าที่มาช่วยเอเนอาลุกก็ถูกเอเนอาถามด้วยเสียงที่เบาแสนเบาว่า

“ กล้องถ่ายที่ซ่อนไว้ในห้องทั้งหมดถ่ายทันหรือเปล่าฮะ ตอนที่เพนเทจับกดผมน่ะ ”

“ เรียบร้อยค่ะ… เท่านี้เราก็มีของไปขายให้พวกกองเรือของท่านพี่เอเนอากับท่านเพนเทแล้วสินะคะ ”

“ ดีมากฮะ!! เท่านี้งบวิจัยถัดไปก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลยล่ะฮะ 555 ”

…..

“ มั่นใจแล้วนะ? ”

“ อืม…เล่นเขียนไว้หน้าห้องแบบนี้ไม่ใช่ก็น่าแปลก ”

ณ หน้าประตูทางเข้าห้องที่อยู่เกือบสูงสุดของปราสาท ห้องที่มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนว่าห้อง [ห้องบรรทมของราชา] หญิงสาวสองคนในชุดพร้อมรบ ยูเรย์และเพนเทกำลังยืนเตรียมพร้อมเข้าไปในห้องโดยที่ยูเรย์อยู่ฝั่งขวา เพนเทอยู่ฝั่งซ้าย ทั้งสองถือปืนกับมีดอย่างเพรียกพร้อมแล้วเตรียมจะเริ่มการบุกในทันที

“ เอาล่ะนะ 3 …2 …1 ”

ปึ้ง แก็ง กริ๊ง.. ปุ๊ง

เพนเทนับถอยหลังก่อนจะถีบประตูเข้าไปแล้วก็หลบออกมาแล้วปล่อยให้ ยูเรย์จัดการต่อด้วยการปาระเบิดแฟลชเข้าไปเคลียร์ห้อง ระเบิดนั้นดังขึ้นพร้อมกับแสงสว่างเพียงชั่วครู่ด้านใน เพนเทที่เห็นว่าระเบิดแฟลชได้ทำงานแล้ว เธอก็รีบรุกเข้าไปในห้องพร้อมกับเล็งปืนไปยังด้านในโดยมียูเรย์ตามมายังด้านหลัง

“ เคนโทร!! ศัตรู!! ”

“ ระเบิดแฟลชไม่ได้ผล?!? ”

แต่ว่าเสียงระเบิดแฟลชนั้นที่ควรจะทำให้คนในห้องตาบอดชั่วขณะ กลับไม่ได้เป็นผลเลยเพราะเบื้องหน้าของทั้งสองคือสิ่งมีชีวิตประหลาดรูปร่างคล้ายผู้ชายแต่มันดันปะปนไปด้วยทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกัน ไม่ว่าจะความหนุ่มที่แก่ ความน่าขยะแขยงที่หล่อเหลา ทั้งร่างกายอ่อนแอแต่แข็งแกร่ง สิ่งนั้นกำลังยืนบังทั้งสองอยู่ที่กลางห้อง โดยบนชุดพ่อบ้านที่มันสวมใส่มีรอยดำจากระเบิดแฟลชอยู่

“ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรติดต่อกับท่านจอมมารในเวลานี้เหรอขอรับ? ”

“ ซ ซ ซ เซบาส จัดการพวกมัน!! ”

“ เอ… จะดีอย่างนั้นเหรอขอรับท่านจอมมาร ทั้งสองเป็นเพียงแค่เด็กสาวเองนะขอรับ ”

เจ้าสิ่งนั้นพูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆแต่ยิ้มแย้มด้วยและเอ่ยวาจาสุภาพอันเป็นแบบแผนผิดกับรูปร่างที่น่าสับสนของมัน อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มผมดำที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวซึ่งหลบอยู่ด้านหลัง หลบอยู่ตรงริมหน้าต่าง เขาตะโกนสั่งเจ้าความน่าสับสนนี้ทำให้มันกลับไปถามด้วยความไม่มั่นใจ แต่ว่า…

ตึ้ม

“ อึก!! ”

“ เคนโทร!! ”

ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่การกระทำมันตรงกันข้าม หมัดของมันซัดเข้าไปที่ตัวของยูเรย์อย่างรุนแรงโดยอาศัยทีเผลอของเธอที่ยังมัวสับสนกับสิ่งอยู่ตรงหน้า หมัดนั้นเข้าไปที่ท้องแบบเต็มๆแต่ว่ายูเรย์ก็ไม่ได้จะบาดเจ็บมากเพราะการป้องกันจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ในชุดเพื่อป้องกันกรณีได้รับบาดเจ็บรุนแรง มันจะสร้างโล่มานาฉุกเฉินออกมาป้องกันชั่วคราว

เปรี๊ยะๆ ฟู่…

“ ชิ!! แค่ครั้งเดียวถึงกับพัง!! แก!! ”

ทว่าการโจมตีนั้นก็ทำเรื่องที่เกินกว่าทั้งสองจะเข้าใจได้อย่างหนึ่งเลยก็คือ อุปกรณ์นั้นช็อตและพังทันที มันเป็นสัญญาณว่ามันได้รับความเสียหายมามากเกินกว่าอุปกรณ์จะทนได้ โดยตามปกติมันถูกสร้างเพื่อให้ต้านทานการใช้แรง 1 ในแสนต่อยมันก็คงไม่ออกอาการแบบนี้

[ ถ้าโดนเต็มๆ สาหัสแน่ ]

[ ขนาดอุปกรณ์ป้องกันของเคนโทรยังพังได้ ของชั้นคงไม่เหลือแหงๆ! ]

ทั้งยูเรย์และเพนเทต่างรู้ดีว่าศัตรูตรงหน้ามันอันตรายจนจะทำอะไรบู่มบ่ามไม่ได้เลย ทั้งคู่จึงพยายามตีออกห่างเป็นสองฝั่งเพื่อล้อมให้ได้ในทันที และอีกฝ่ายเองก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วโดยมันเล็งไปยังยูเรย์ทีี่พึ่งได้รับการโจมตีไป

ฟุบ

[ ถึงจะเร็วแรง แต่ไม่เท่าท่านพี่ล่ะนะแกน่ะ!! ]

ชิ้ง เก๋ง!!

ยูเรย์หลบการโจมตีนั้นได้อย่างไม่ยากก่อนจะตวัดคมมีดของตัวเองลงเพื่อสร้างบาดแผลบนร่างนั้น ทว่ามีดที่ควรจะตัดผ่่านได้แม้แต่เหล็กผสม กลับไม่สามารถสร้างบาดแผลได้เลยแม้แต่น้อย เพนเทที่เห็นอยู่ห่างๆเลยยกปืนพกขึ้นมาพร้อมกับเล็งยิงในทันที

ปุก ปุก ปุก ปุก ปุก

“ อย่าพยายามขัดขืนกันแบบนี้สิขอรับ ”

ฟุบ ฟุบ ตึ้มม

อย่างไรก็ตามทักษะการยิงปืนของเพนเทที่ไม่ได้ดี มันก็ไม่ได้จะยิงเข้าหัวเป๊ะๆ แบบที่ยูเรย์หรือมาร์จะทำได้ ทุกนัดที่เธอยิงออกไปต่างพุ่งเข้า ขา แขน ลำตัว กระสุนเจาะเข้าไปได้ แต่ก็ไหลย้อนออกมา ส่วนมันพอเห็นว่าเพนเทโจมตีแบบนั้น ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาต่อยไปยังเธอทันที ซึ่งเพนเทก็หลบได้ด้วยการทิ้งตัวลงไปในมิติมืิดใต้เท้าของตน

ฟู่…

[ ขนาดหมอกของเคนโทร!! โดนไปเกือบนาทียังได้แค่ทำให้มันเป็นแผลถลอก พลังฟื้นฟูกับถึกทนล้วนๆเลยอ่า… งานยากของแท้เล้ยย ]

เพนเทที่มองดูผลลัพธ์อยู่ในเงามืดก็ถึงกับยิ้มแห้ง หมอกสีม่วงที่ควรจะกัดกินและย่อยสลายร่างของตัวประหลาดจนหมดภายในเวลาไม่กี่วินาที แต่ว่ามันกลับยืนนิ่งโดยบนร่างมีแผลขึ้นมาเล็กน้อย แผลถลอกต่างจุดต่างๆ แต่ว่าชุดที่มันใส่กลับย่อยสลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ทั้งสองได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดนั้น

“ อึก… ”

“ อุจาดตาาาา!!! ”

ทั้งสองนั้นถึงกับพยายามจะไม่มองมัน สิ่งที่ซ่อนอยู่นั้นมันช่างน่าขยะแขยงเกินกว่าจะทนได้ ร่างกายที่มีกล้ามเนื้อขยับตลอดเวลา กล้ามเนื้อรูปร่างคล้ายกับคนมากมายกำลังเลื่อนไปตามจุดต่างๆ และขยายเข้าออกอย่างน่าขนลุก แถมพวกมันก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนกับกำลังทุกข์ทรมานจากอะไรบางอย่าง

“ โอยๆ… พวดคุณนี้ ได้โปรดช่วยอยู่ในความสงบกันซักเล็กน้อยได้หรือเปล่าขอรับ ”

และทันทีที่เจ้าตัวประหลาด เซบาสอะไรนั้น มันพูดออกมาแบบเรียบๆไร้ความรู้สึกซึ่งการพูดนั้นก็ทำให้ใบหน้าทั้งหมดหยุดขยับลงก่อนจะพยายามกลั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ทำเอาทั้งเพนเทและยูเรย์พูดไม่ออกเลย แต่ร่างกายของทั้งสองก็ตอบสนองกับสถานการณ์ด้วยการมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณบางอย่าง

“ ถึงจะไม่แน่ใจแต่ก็คงต้องลองแล้วล่ะ ”

“ อ อ่า เคนโทร ถ้าพลาดขึ้นมาอย่ามาว่ากันนะ ”

ทั้งสองพูดออกมาแบบนั้นก่อนจะพยักหน้าแล้วเริ่มทำในสิ่งที่รู้ใจกัน เพนเทหายกลับเข้าไปในทางเดินวิญญาณอีกหน ส่วนยูเรย์ เธอก็พยายามเดินวนล้อมรอบศัตรูตรงหน้าแล้วพยายามดึงความสนใจกับการโจมตีของมัน

ฟุบ…. กึงๆๆๆๆ ฉึก

“ อะไรกันขอรั…. ”

แล้วก็ไม่นานเลย สิ่งที่ทั้งสองคิดไว้ก็เริ่มขึ้น ตะขอเหล็กมันพุ่งออกมาจากใต้เท้าของเซบาสแล้วเกี่ยวขาของเขาเอาไว้ โดยมันนั้นแม้จะไม่ทะลุแต่ก็พอดึงแล้วปักอยู่บนร่างของตัวประหลาดนี้ได้ ซึ่งทันทีที่มันปักโซ่เหล็กที่ผูกติดกับตะขอกับเริ่มดึงแล้วลากร่างของเซบาสลงไปในทางเดินวิญญาณ

“ โอ…นี้มันอะไรกันขอรับ มืดเกินไปนะขอรับ ท่านจอมมารขอรับ ท่านจอมมาร ”

เซบาสนั้นทิ้งดิ่งลงไปในความมืดและยิ่งนานเข้า เขาก็ยิ่งลงไปลึกเรื่อยๆจนเริ่มมองไม่เห็นแสงตรงปลายทางที่เขาโดนดึงลงมา แถมยังไม่รู้สึกถึงตะขอที่เคยเกี่ยวร่างกายของตนเองอีก

กึง

“ หืม ถึงแล้วเหรอครับ อ่า…แสงไฟ? แสงเทียน? แสดงว่าผมคงโดนดึงมาอยู่ใต้ดินสินะครับท่านจอมมาร ”

ไม่นานร่างของเขาก็กระแทกกับพื้นแต่ว่ามันก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไรปรากฎอยู่บนร่างที่น่ารังเกียจนั้น เซบาสลุกขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองรอบๆที่มีแสงไฟสีฟ้าเคลื่อนที่ไปมามากมายที่ทำให้เข้าใจได้ว่าที่นี้อาจจะเป็นห้องใต้ดิน แต่พวกมัน แสงไฟสีฟ้านั้นกำลังเคลื่อนย้ายไปยังปลายทางที่สว่าง

“ โอ้ นี้มันอะไรกันขอรับ ”

ฟู่….

แต่ว่าแทนที่เขาจะได้ออกเดินไปยังปลายทางที่สว่าง แสงไฟมากมายกลับหยุดลงแล้วหันกลับมามองที่ตัวของเขาพร้อมกับปลายทางที่มืดลงในทันที พวกมันหยุดอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะพุ่งกรูกันเข้ามาหาร่างอันน่าเกลียดนั้น เช่นกันที่พื้นที่เขายืนอยู่หมอกสีม่วงหนาทึบก็เริ่มจะปรากฎแล้วกัดกินขาของเขาอีกหน

ฟุ่ม ฟุ่ม ฟุ่ม ฟู่…

“ ลำบากจังเลยนะขอรับ มาขวางกันแบบนี้ ”

เจ้าตัวได้แต่บ่นออกมาพร้อมกับซัดไปที่ดวงไฟพวกนั้น และไม่ว่าเขาจะหวดไปกี่หมัดพวกมันก็ยังคงอยู่แล้วเริ่มเผาร่างของเขาที่ละน้อยไปพร้อมกับการถูกกัดกินโดยหมอกสีม่วงทีลามขึ้นมาถึงหน้าอก อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทีท่าเจ็บปวดเลยสักนิด

… …

“ เหมือนจะได้ผลนะเพนเท ”

“ เห้อออ… ทำเอาลุ้นเหมือนกันนะเนี่ย ทีนี้ก็เหลือแค่จอมมารแล้วสินะ? หรือว่าไอตัวเมื่อกี้มันคือจอมมารล่ะ? ”

“ ไม่รู้สิ แต่ว่ามันน่าจะใช่นะ? ก็ทั้งทนทั้งน่าขยะแขยงขนาดนั้น ”

ทว่าที่ด้านนอกนั้นในห้องที่เซบาสเคยอยู่ หญิงสาวสองคนกำลังยืนมองลงไปในหลุมสีดำที่พื้น ในขณะที่จอมมารนั้นกำลังนั่งหลบอยู่มุมห้องด้วยสายตาที่หวาดกลัวผู้หญิงทั้งสองแถมพอทั้งคู่หันมามองเพื่อเปรียบเทียบกับศัตรูที่พวกเธอพึ่งจัดการไป ชายหนุ่มผมดำที่ควรจะเป็นจอมมารก็พยายามหลบหน้าหลบตาทันที

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ แก… ”

“ ย ย อย่า อย่าทำผมมม ”

ยูเรย์เดินเข้าไปพร้อมกระชากคอเสื้อของชายตรงหน้าขึ้นมา แล้วนั้นก็ทำให้เจ้าตัวสั่นกลัวยิ่งกว่าเดิมพร้อมทั้งพยายามร้องขออย่างน่าเวทนา ทว่าเพนเทที่มองดูอยู่ก็รีบเข้ามาประกบข้างก่อนจะจ้องตาของยูเรย์เพื่อเป็นการบอกของคนที่รู้ใจว่า [ ยังไงก็ระวังล่ะเคนโทร ไม่แน่มันอาจจะพยายามหลอกเราก็ได้ ]

เพี๊ยะ เพี๊ยะ

“ ฟังชั้น ถ้าอยากจะมีชีวิตต่อไปก็ตอบคำถามของชั้น ”

“ พ พ พี่ พี่ พี่ ช ช ช่วยผมด้วยย ช่วย… ”

ผัวะ

“ หุบปาก!!! ”

ยูเรย์เข้าใจที่เพนเทเตือน แต่ว่าเธอก็ไม่ได้จะเกรงกลัวและพยายามถือไพ่เหนือกว่าด้วยการกดศัตรูเอาไว้ด้วยความกลัวซึ่งมันก็ได้ผล แถมได้ผลเกินไปทำให้สิ่งที่เรียกว่าจอมมารโดนทั้งตบ ทั้งต่อย จนได้แต่สั่นร้องเรียกหาใครบางคน

“ !! ”

“ เออ เงียบได้ก็ดี แกมีสิทธิจะพูดได้แค่ตอนที่ชั้นจะให้แกตอบเท่านั้น ”

“ ครั… ”

ผัวะ

“ ชั้นถามหรือยัง? ”

ก็อย่างที่เห็น ยูเรย์ต่อยเข้าไปที่ท้องของจอมมารนี้อีกหนเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ทำตามที่เธอบอก นั้นคือพูดตอนที่เธอไม่ได้ถาม และการที่จอมมารนั้นแสดงท่าทีอ่อนแอออกมาขนาดนี้มันก็ทำเอาเพนเทถึงกับยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้จอมมารด้วยท่าทางยั่วยวนแปลกๆกับรอยยิ้มที่น่ากลัวเหมือนกับได้ใจ

“ เน่ๆ เน่? นายอ่อนแอสินะ นายอ่อนแอจริงๆหรือเปล่า? หืมมม ไหนดูซิ ”

ฉึก

“ อ๊ากกกกกก!!!! ท้องผม ท้องงง!! ”

ฉึบ

“ เพนเท!! เดี๋ยวมันก็ตายก่อนหรอก!! อ๊ะ!! สลบเฉย!! ”

“ ฮ่าๆ โทษที โทษที แบบว่ามันน่าทร…เล่นนิดๆน่ะนะ ”

เสียงกรีดร้องดังไปทั่วห้อง เพราะเพนเทเอามีดของเธอปักเข้าไปในร่างของจอมมารด้วยรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง เธอค่อยๆกดมีดลงแล้วตั้งใจฟังเสียงที่เจ็บปวดนั้นเหมือนกับฟังเพลง ยังไงก็ตามยูเรย์ก็ได้เข้ามาขวางเอาไว้พร้อมกับดึงมีดนั้นออกจนทำให้เลือดไหลออกมาจากร่างของจอมมารและก็เพราะเลือดพุ่งออกมาแบบนั้นใบหน้าของจอมมารก็ซีดลงและสลบไป

ครืดดดด… ครืดดดด

“ หึบ นี่… ”

เพี๊ยะ

“ ห หา อึก…ท้อง ทำไม ไม่รู้สึก ก ก เกิดอะไรขึ้น ”

ยูเรย์ที่เห็นว่าจอมมารนั้นหมดสภาพจนสลบไปแล้วก็ได้ลากคอเขาออกไปยังระเบียงด้านหลัง แล้วก็ยกร่างของมันขึ้นด้วยมือซ้ายก่อนจะตบหน้าของจอมมารไปอีกหนเพื่อดึงสติของเขากลับมา จนเขาตื่นขึ้นมามองเห็นว่าตัวเองกำลังลอยอยู่แล้วท้องของเขาก็เย็นแถมไม่รู้สึกอะไรอีก เขาก็แตกตื่นแถมพยายามดิ้นกับคลำท้องของตัวเอง

“ มีดเคลือบสินะ ”

“ อืม มีดเคลือบแหล่ะ ”

ทั้งสองคุยกันเหมือนเป็นเรื่องเล่น ก่อนจะหันกลับไปมองจอมมารที่ยังคงแตกตื่นแล้วเพนเทก็หยิบเข็มยาบางอย่างออกมาจากกล่องที่ติดอยู่ข้างๆซองมีดที่เอวของเธอ แล้วใช้เจ้าเข็มยานั้นปักเข้าไปที่ขาของจอมมารที่ยังถูกยูเรย์ยกเอาไว้

“ อ๊ากกก เจ็บ!! ท้อง ท้อง!! อึกกก!! ”

“ พอไม่รู้สึกก็บ่น รู้สึกก็บ่น เรื่องมากจังเนอะ เอาเถอะ ”

เพี๊ยะ

“ ม ม ม ม ม ไม่ ไม่… ”

“ เอาล่ะ ตอบคำถามมาสิว่า? พวกแกต้องการอะไรกันแน่? ไม่สิ…ใครทำพี่ของชั้น? ”

พอได้ตบหน้าเรียกสติของจอมมารอีกครั้ง ยูเรย์ก็ลงมือสอบสวนทันที ในขณะที่เพนเทก็ยืนอยู่ข้างๆแล้วซ่อนมีดไว้ที่ด้านหลังของตนเองทว่าดวงตาของเธอก็เหมือนรอ รอให้ยูเรย์สั่งอยู่ตลอด

“ ม ม ไม่รู้ ผมไม่รู้ใครจะไปทำใคร ผม ผม ไม่รู้ ”

“ เพนเท… ”

ฉึก

“ อ๊ากกก!! ย ย ย อย่า อึก.. ย ย ยอมแล้ว อย่า อย่า ผมก็แค่มาช่วยพี่ฟารูน ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ”

จอมมารนั้นพอถูกถามก็ส่ายหน้า แต่เพนเทก็เสียบมีดที่ซ่อนเอาไว้ แทงแล้วก็กดมีดเข้าไปลึกกว่าเดิม ความเจ็บปวดทำให้จอมมารพูดออกมาอย่างทรมานแล้วดิ้นไปมาจนเลือดเริ่มไหลหนักกว่าเดิม เช่นกันร่างกายของเขาที่กลับมารู้สึกก็เริ่มจะกลับไปชาอีกหน

“ ยอมง่ายดีนี้ ว่าแต่คนช่วยคืออะไรเหรอนายจอมมาร? ”

“ ก กองทัพจอมมารน่ะ ก ก ก็คือหุ่นเชิดเท่านั้น พ พวกค คุณ ไม่เข้าใจหรอก ว่าจริงๆแล้วมีคน มีคนที่สั่งพี่ให้มาค คุม… ”

ฟุบ

“ เคนโทร!! ”

แต่ระหว่างที่กำลังพูดอยู่พวกเขาก็ถูกขัดเอาไว้ การโจมตีบางอย่างพุ่งเข้ามาแต่ว่ายูเรย์ก็สามารถหลบได้ทันและเพนเทก็หันกลับไปยังจุดที่การโจมตีถูกส่งมา ที่นั้นมีคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี้ เจ้าตัวประหลาดที่ควรจะตายไปแล้ว มันนั้นกำลังคลานออกมาจากมิติมืด

ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจนหลายส่วนกลายเป็นสีดำ ก้อนเนื้อที่น่าสับสนก็เน่าเกือบหมดแต่มันก็ไม่มีท่าทางเจ็บปวดสักนิด และการโจมตีที่มันส่งมาก็เป็นก้อนเนื้อที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้และหยุดขยับเขยื้อนไปแล้ว มันเหมือนกับว่ามันเขวี้ยงมาหาพวกเธอเพื่อฆ่าจอมมาร

……

…

“ อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ จะไปที่ไหนดีล่ะเคนโทร ปราสาทจอมมาร ห้องจอมมาร หรือว่าที่ไหนล่ะ? ”

หลายๆคนที่เป็นคนธรรมดาหากได้มานั่งดูการสนทนานี้คงมีคำถามเกิดขึ้นง่ายๆว่าทำไมหญิงสาวสองคนนั้น หญิงสาวที่ดูไร้พิษภัยอย่างยูเรย์และเพนเท ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา พูดถึงสถานที่ที่ผู้คนจากทั่วโลกนั้นเกรงกลัวที่จะเข้าไป สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้ธงของกองทัพจอมมารเข้าไปแล้วจะไม่มีทางจะได้กลับออกมา ทั้งสองกลับพูดคุยถึงสิ่งนี้ด้วยท่าทางและสีหน้าอันไร้ความกังวลใดๆ

“ แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอเพนเท? ก็ต้องปราสาทจอมมารสิ ”

ยูเรย์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเพนเทแล้วก็พูดถึงที่หมายที่ตัวของเพนเทก็ได้แต่ยิ้มแห้งให้ เพราะที่นั้นมันไม่เกินไปกว่าสิ่งที่เพนเทคาดหมายเลยสักนิด ไม่สิ เรียกได้ว่าแทบจะตรงเป๊ะ ไม่พลาดเลยต่างหาก ทว่าเพนเทก็ไม่ได้จะยืนยันออกไปแบบทหาร หรือพนักงานเมื่อได้รับคำสั่ง

เธอเดินเข้ามาหายูเรย์ทำให้หน้าของทั้งสองห่างกันเพียงเล็กน้อยและความสูงก็ไม่ได้จะต่างกันมากนัก ว่ายังไงดีล่ะ เพนเทออกจะตัวสูงกว่ายูเรย์เพียงเล็กน้อยแต่ความสูงกับความใกล้ก็ทำให้สายตาของยูเรย์ต้องมองขึ้นไปเล็กน้อย

“ ว่าละ ว่าละ เห้อออ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เค้าคงยกเอาคำพูดนายท่านมาปฏิเสธแหงๆ ไม่ว่าจะพวกแกรนดดาร์กเอนทิตี้ฝั่งนู้น หรือแม้แต่ตัวอันตราย แต่ว่าไอของพวกนั้นก็หายไปหมดแล้วด้วย ”

เพนเทพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มกับน้ำเสียงที่เป็นแบบปกติของ น้ำเสียงขี้เล่นปนยั่วยวนที่จะมีให้ได้ยินก็ต่อเมื่อคุยกับพี่น้องของเธอเท่านั้น ซึ่งยูเรย์เองก็พยักหน้าตอบรับทว่ามันก็ไม่ได้จะทำให้เธอหายสงสัยในคำพูดบางประการของเพนเท และนั้นก็ทำให้เธอถามกลับในทันที

“ ตัวอันตรายที่ว่าเนี่ย? รวมถึงเป้าหมายที่พี่เล็งไว้ด้วยหรือเปล่าล่ะ? ”

“ อื้ม ถ้าหมายถึงคนที่บุกมาที่ประเทศของพวกเราล่ะก็ อ่า ใช่เลยล่ะ โดนนายท่านจัดการไปแล้ว แต่ว่า FYI นะ FYI For your information หลังจากนั้นเค้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเร็วจน…นั้นแหล่ะ แถมตอนไปถึงยังที่อยู่ของนายท่าน ก็ไม่มีร่างอื่นนอนอยู่เลย แต่จริงๆถ้าชั้นไปไ… นะ!! นี้?! จะทำอะไรน่ะ!”

การตอบนั้นแม้จะดูไม่ได้จริงจัง แต่เพนเทพอพูดถึงส่วนที่เป็นเรื่องของนายท่านของเธอ คำพูดที่ดูจะเป็นเรื่องเล่นกลับถูกพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังและเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด จนยูเรย์ได้แต่ใช้มือของเธอโอบเอวของเพนเทแล้วดึงเข้ามาหาก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างๆหูของเธอ

“ เพราะแบบนั้นอย่างน้อยพวกเราก็ควรจะลงมือสานต่องานของท่านพี่ให้เรียบร้อยนั้นคือจบยุคของจอมมาร แล้วก็ใช้โอกาสนี้ไป “ถาม” พวกที่น่าจะรู้ที่อยู่ในนั้นใช่หรือเปล่าล่ะ? ในเมื่อคนที่หายไปก็คนของกองทัพจอมมาร แบบนี้พวกมันก็น่าจะรู้อะไรบ้างแหล่ะ ”

“ นั้นซิ เพื่อนายท่านของพวกเราเนอะ ”

“ …เพื่อนายท่านของพวกเรา ”

เสียงกระซิบที่แผ่วเบานั้น มันทำให้ทั้งสองโอบกอกร่างของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมทั้งนำหน้าผากมาสัมผัสกันก่อนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ดูมีความหวัง ดูมีเป้าหมายกว่าใบหน้าที่อ่อนแรงในตอนแรกมาก อย่างไรก็ตามท่ามกลางความสนิทสนมของทั้งสองคนนั้น ภายในรถหุ้มเกราะที่จอดไปไม่ไกล เอเนอา เมดหมอก็ได้ยื่นหน้าออกมามองทั้งสองด้วยสายตาแปลกๆ

“ เอ่อ… ขอโทษที่แทรกเวลาส่วนตัวของทั้งคู่นะฮะ คือว่าทางนี้เองจะให้ทำยังไงต่อดีล่ะฮะ? จะให้จอดอยู่นี้หรือว่าให้ออกรถเลย? ”

“ อ อ๊ะ! นั้นสินะ! ”

“ อะแฮ่ม…. ”

ยูเรย์พลักเพนเทออก ก่อนจะหันไปยืนเขินคนเดียวโดยไม่มองมาที่เอเนอาเลย ส่วนเพนเทก็ยืนทำตัวไม่ถูกพอๆกัน ส่วนเอเนอาที่แทรกเข้ามาแล้วเหมือนจะขอโทษน่ะเหรอ เหอะ แสยะยิ้มแปลกๆ แถมในมือก็พยายามจะซ่อนบางสิ่งเอาไว้ด้วย บางสิ่งที่เรียกว่ากล้อง

“ อ อ เอเนอา!! ภารกิจของเธอคือพานายท่านกลับไปที่ชายฝั่ง ส่วนชาลี! บุกนำต่อแล้วปฏิบัติตามแผนเดิม ”

“ ฮะๆ เข้าใจแล้วฮะ ถ้างั้นขอตัวเลยก็แล้วกันนะฮะ ”

“ รับทราบค่ะท่านพี่! ”

และแม้ว่าจะตัวจะหลบหน้าหันหลังบดบังความอายของตนก็ตาม ยูเรย์ก็ยังออกคำสั่งได้แม้เสียงที่พูดออกมาจะติดๆขัดๆบ้างก็ตาม แน่นอนล่ะว่า เอเนอากับชาลีก็รับคำสั่งนั้นพร้อมกับเริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว ชาลีวิ่งไปที่รถหัวขบวนก่อนจะปีนขึ้นไปแล้วกระทืบเท้าบนหลังคาให้สัญญาณเดินรถทันที ส่วนเอเนอาก็ค่อยปิดประตูท้ายของรถหุ้มเกราะนี้ ทว่าเธอก็แอบเอนตัวออกมาเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ยูเรย์แล้วก็ชูกล้องออกมา

“ อ้อ! อ้อ!! เคนโทรกลับไปถ้าไม่เลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้า ผมขอญาตเอารูปเคนโทร x เพนเทไปขายให้พวกกองเรืออวยทั้งสองคนนะฮะ ถือว่าเป็นทุนวิจัยยาวส่วนตัวของผมเนอะ ”

นั้นแหล่ะก่อนที่ประตูจะได้ปิดลง เอเนอาก็ได้ตะโกนบอกกับยูเรย์แล้วก็รีบเก็บกล้องเข้าไปไว้ด้านในรถ เพนเทที่เห็นทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม เธอพยายามจะวิ่งเข้าไปคว้ากล้องนั้นแต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะประตูมันยกขึ้นปิดตัวจนไม่มีช่องว่างให้มือคว้าได้ ทว่า…

“ เวลาแบบนี้ก็ยังจะเล่นอีกนะ… เอเนอา… ”

ฟู่มมมม แกรก แกรก แกรก เคร้ง

“ อ๊าาาา!! กล้องงงโผมมม!! ”

แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลงหมอกสีม่วงเข้มก็โพยพุ่งเข้าไปแล้วกัดกร่อนกล้องในมือของเอเนอาจนแตกสลายกลายเป็นผงในทันที และคนที่ถือก็มีท่าทีจะตกใจไม่ใช่น้อยแต่ก็เป็นการตกใจที่ไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้น เพราะใบหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์อยู่ดี

“ ก็กะไว้แล้วว่าเคนโทรจะต้องใช้สกิลนั้น เพราะแบบนี้… หึหึหึ!!! ถ้าเซิฟเวอร์ยังไม่แตก รูปก็ยังอยู่ล่ะนะฮะ ”

เอเนอาพูดออกมาด้วยท่าทางที่ภูมิใจพร้อมกับมองดูจอที่มีรูปของเหยื่อทั้งสองที่กำลังกอดและเหมือนจะนัวเนียนกันอยู่ โดยเธอก็มองแบบไม่ต้องกังวลว่าใครจะรู้ถึงสิ่งนี้เพราะเทเสล่าก็หลับไปแล้ว ส่วนนายท่านก็ยังคงพักฟื้นอยู่ในหลอดแก้ว แล้วพลขับเองก็นั่งแยกไม่ได้เชื่อมกันเหมือนกับรถหุ้มเกราะปกติ เพราะรถหุ้มเกราะนี้เป็นรุ่นโรงพยาบาลภาคสนามก็เลยต้องแยกห้องแบบนี้

“ ไปสักที เอาล่ะ จุดแรกที่จะไปโผล่เอาที่ไหนล่ะเคนโทร? แต่ว่าหลังจากนี้คงต้องไปซ่อมวินัยเจ้าพวกกองเรืออะไรนั้นก่อนล่ะ ไม่สิ เดี๋ยวติดต่อหาจุสให้ไปจัดการให้เลยดีกว่า!! ”

เพนเทที่ดึงสติกับลบล้างความอายของตนเองได้แล้ว ก็เดินเข้ามาหายูเรย์พร้อมกับเช็คหน้ากากของตนเองก่อนจะเปิดระบบทำให้หมอกสีขาวมากมายลอยออกมาปกคลุมร่างกายของเธอแล้วก็เริ่มติดต่อกับจุสผ่านหน้ากากของตนเอง ส่วนยูเรย์ก็กุมคางของตนเองพร้อมกับยืนนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคิดสถานที่ที่เหมาะกับการไป แม้ว่าในหัวของเธอจะไม่แผนผังอย่างละเอียดของปราสาทเลยก็ตาม

“ อยากได้ที่ที่มันลับตาพวกนั้น จะได้สร้างความกลัวได้ง่ายๆ แต่ว่า… ”

“ จริงๆที่แบบนั้นก็มีน้า แต่ว่าเอ่อ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังจะเหลืออยู่เปล่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะเอาที่สูงๆก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันอีกทีเนอะ ”

“ อื้ม แบบนั้นก็ได้ ”

และแม้ว่าจะยืนอยู่นานแค่ไหนยูเรย์ที่ยังคิดไม่ออกก็เลยต้องตามแนวทางที่เพนเทเสนอ และเมื่อทั้งสองตกลงกันได้แล้วว่าจะไปที่นั้น เพนเทก็หันไปยังด้านหลังของตนเองพร้อมกับเปิดมิติสีดำเท่าบานประตู ก่อนจะยื่นมือมาทางยูเรย์แล้วก็มองแบบพยายามจะหลบตา ซึ่งฝ่ายยูเรย์เองพอเห็นท่าทีแบบนั้นก็หวนคืนภาพก่อนหน้านี้จนต้องหลบหน้าเช่นกัน

[ ค ค ใครจะไปนึกล่ะว่าเรื่องปกติของพวกเราจะน่าอายแบบนี้ อ๊าาา ก็ว่าทำไมทุกครั้งที่เพนเทกับเราทำแบบนี้ พี่ถึงได้มองด้วยสายตาสงสัยแบบนั้น แล้วก็พูดว่า “ ไม่ว่ายูเรย์จะเป็นยังไง พี่ก็จะเอาใจช่วยนะ ” ทุกที…อ๊าาา!! ]

“ งั้นไปเลยนะ ”

“ อ อ่า… ”

ฟุบ

ยูเรย์ตอบรับการยื่นมือเข้ามาของเพนเทด้วยการคว้ามือของเธอเอาไว้ และทั้งสองก็กุมมือกันก่อนที่เพนเทจะเดินนำเข้าไปในพื้นที่สีดำนั้น เดินผ่านช่องมิตินี้โดยมียูเรย์ตามอยู่ด้านหลังและทันทีที่เข้าไปแล้วเปลวไฟจากเชิงเทียนก็ถูกจุดขึ้นรอบๆพวกเธอทั้งสองทันที สายตาของเพนเทจับจ้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่หมายที่เหมือนจะอยู่ต่ำกว่าที่เธอยืนมาก

… …

แก๊ง แก๊ง แก๊ง

“ รีบๆอุดกำแพงกับซ่อมเสาหลักปราสาทก่อนที่มันจะถล่ม!! เข้าใจไหม! เร็วเข้า!! ”

ที่อีกฟากหนึ่ง ปราสาทของกองทัพจอมมารเองก็ตกอยู่ในสภาพที่อาจเรียกได้ว่าเข้าตาจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะตัวปราสาทที่เคยแข็งแกร่งและมั่นคง ตอนนี้สภาพของมันกำลังล่อแล่จากรูขนาดใหญ่ที่เจาะทะลุจากหอคอยตรงกลางก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเป็นการพุ่งออกจากห้องในอาคารไปยังด้านนอก ความเสียหายนี้ได้ตัดผ่านเสาสำคัญหลายต้นของตัวอาคารจนการถล่มนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

“ เสาต้นแรกซ่อมแล้ว!! แต่จะยื้อเอาไว้ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเสาต้นอื่นๆเท่านั้นแหล่ะ!! ”

“ อ อ โอ้!! แล้วท่านฟารุนล่ะ!! มีใครออกไปตามหาแล้วหรือยัง!! ”

“ นั้นสิ นี้ก็ผ่านมาจะครบวันแล้วนะ?!? ”

ซึ่งนอกจากเรื่องปราสาทก็ยังมีเรื่องวุ่นเรื่องใหญ่กว่าอีกเรื่อง นั้นคือการออกตามหาผู้อยู่บนจุดสูงสุดในปราสาทที่แท้จริงอย่าง ฟารุน พี่สาวของจอมมารคนปัจจุบันให้กลับมายังปราสาทโดยไวที่สุด ไม่งั้นพวกเขาคงจะต้องสู้อย่างยากลำบากแน่ๆ

“ เห้ย!! อย่ามัวแต่คุยแล้วก็รีบๆกลับไปซ่อมได้แล้ว!! ”

ทว่าในระหว่างที่ทหารทุกคนกำลังกังวลกับเรื่องของฟารุนมากกว่าปราสาทนั้น ทหารในเกราะสีดำก็ปรากฎตัวขึ้นแล้วเริ่มออกคำสั่งอีกครั้ง ทหารเกราะดำพวกนี้คือองค์รักษ์ส่วนตัวของจอมมารซึ่งมีความสามารถเก่งกาจพอๆกับนักพจญภัยแรงก์ S เลยทีเดียว และก็เพราะแบบนั้นพวกทหารระดับต่ำกว่าก็เลยรีบหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

“ โธ่เว้ย!! พวกแกนี้มัน มัวแต่ทำจนลืมเรื่องสำคัญไปหมดเลยหรือไงวะ หินนี้ใช้ให้ไปขนมาสองคนแล้วนะเว้ย!! ยังไม่มากันอีก!! พวกแกนี้มันไร้ค่าชิบหาย!! เอ็งน่ะ!! ไปขนหินจากคลังมาเพิ่มซะ!  ”

“ ค ครับผม!! ”

โดยในขณะที่พวกชุดเกราะดำกำลังสั่งๆอยู่นั้น ก็มีนายหนึ่งหันไปเห็นว่าหินที่ใช้เป็นวัตถุดิบหล่อเสาก็เริ่มจะหมดลง เขาจึงหันไปหายังทหารใกล้ๆก่อนจะสั่งด้วยเสียงที่ดังและสีหน้าที่ดูถูกดูแคลนสุดๆ อย่างไรก็ตามนายทหารนั้นก็ไม่ได้มีเวลาจะมาใส่ใจกับการโดนดูถูกนี้ เขารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปยังทางลงไปที่ด้านหล่างของปราสาท

ตึก ตึก ตึก แอดดด

“ เห้อออ สับล็อกไว้แบบนี้ แม่งไม่มากันแหงๆ เหอะ ก็นะไอพวกอีิลิทใช้แบบนั้นคงแอบไปพักแล้วมั้ง แต่ว่า มืดชิบ…ไอพวกเฝ้าข้างในก็ไม่อยู่ โดนสั่งให้ไปช่วยกันซ่อมเสาที่ 4 จนลืมเติมถ่านเติมไฟกัน? เดี๋ยวนะ?! งี้ก็แปลว่ากูต้องขนหินคนเดียวสิฟระ?!? ”

ซึ่งทันทีที่มาถึงยังประตูเหล็กที่ใช้กั้นไว้ เขาก็เปิดมันออกแล้วมองดูเข้าไปยังข้างในห้องใต้ดินนั้น มันมืดและยังเย็นจนร่างกายของทหารคนนี้สัมผัสได้ เจ้าตัวยืนมองอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้าเซ็งๆ ก่อนจะหยิบคบเพลิงขึ้นมาจุดแล้วเดินก้าวเข้าไปในห้องเก็บของมืดๆนี้

“ อาการเย็นจนหมอกลงเลยเหรอวะเนี่ย? แย่ชะมัดรู้งี้น่าจะหยิบถุงมือมาด้วยก็ดี ”

แสงไฟจากคบเพลิงมันไม่ได้สว่างมากแต่ก็ทำให้ทหารนายนี้เห็นอะไรรอบๆได้ แต่การที่เห็นได้แบบนี้ก็ทำให้เขาต้องก้มมองพื้นไปครู่หนึ่งเพราะบนพื้นมันเต็มไปด้วยหมอกสีขาวมากมายจนน่าจะเต็มทั่วทั้งห้อง อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้แคร์อะไรแล้วก็เดินต่อไปพร้อมกับมองหาถุงใส่หินที่น่าจะอยู่ที่ไหนสักที่

ตึก ตึก ฟุบ ฟุบ

“ เห้ย!! ใครน่ะ!! ”

นายทหารนั้นรู้สึกได้เลยว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนที่อยู่ด้านในห้องนี้ แล้วเขาก็รีบชักเอาดาบที่เหน็บเอาไว้ออกมาพร้อมทั้งเล็งไปยังจุดที่เขารู้สึกได้ แต่ว่าพอเล็งไปแล้วก็ไม่เห็นจะเจอใครหรืออะไรเลย ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการเดินหรือเงาเลยด้วย

“ คิดไปเองล่ะมั้ง? หรือว่ามีมอนสเตอร์ประเภทผีมาเกิดกันวะ? ”

เขาพูดออกมาเช่นนั้นก่อนจะเก็บอาวุธของตัวเองเข้าซองแล้วหันกลับไปเดินต่อ แต่มันก็เป็นการเดินที่ยังระมัดระวังกว่าตอนแรกที่เข้ามา เข้ากวาดสายตาไปรอบๆเพื่อตามหาของแล้วจะได้รีบหยิบรีบออกไป ทว่าถุงก้อนหินนั้นก็เหมือนจะอยู่ลึกจนแม้จะเดินมาเกือบ 100 เมตรแล้วก็ยังไม่เจอ

แอดดด…กึง กริ๊ก

“ เห้ย!! ยังมีคนอยู่ข้างในนะเว้ย!! ”

แต่แล้วจู่ๆ ประตูเหล็กก็ปิดตัวลงโดยกว่าตอนที่จะรู้ก็เป็นตอนที่แสงจากประตูทางเข้ามืดลงพร้อมกับเสียงล็อกจากด้านนอก นั้นทำให้เขารีบที่จะวิ่งกลับไปที่ประตูนั้นแต่บางอย่าง บางอย่างที่เขามองข้ามมาตั้งแต่ต้นก็ทำให้เขารู้สึกตัว

“ น นี้มันอะไรกัน?!? หมอก หมอกด้านบน!! มันเกิด…?!? ”

ครึ่มม…ฟู่…

สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่ได้อยู่ข้างล่าง แต่เป็นข้างบน หมอกสีม่วงมากมายที่เกาะอยู่เพดานจนหนาทึบและหมอกพวกนี้เองก็ปกคลุมไปจนถึงตะกร้าใส่ไฟที่ห้อยเอาไว้เพื่อเป็นจุดสร้างแสงสว่างภายในสถานที่ที่มืดมิดนี้ ซึ่งมันก็กัดกร่อนทั้งไม้ทั้งตระกร้าเหล็กนั้น และทันทีที่เขามองขึ้นไปหมอกพวกนั้น หมอกสีม่วงเข้มก็ถล่มลงมาแล้วทับร่างของนายทหารนั้น

ร่างของเขาที่อยู่ภายใต้เกราะเหล็ก มันถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวเกราะเองก็หายไปก่อนจะตามด้วยใบหน้า ผิวหนัง เนื้อหนัง กัดกร่อนไปจนถึงกระดูก หมอกนั้นมันกลืนกินร่างของทหารนายนี้อย่างรวดเร็วถึงขนาดที่เขาไม่มีโอกาสจะได้ส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย

“ หมอก นี้มันหมอกบ้าอะ… ”

“ เอ เย็… ”

“ หืม? ข้างนอกเช้าแล้วงั้นเหรอ หมอ… ”

“ ห… ”

ทว่านี้ก็ไม่ใช่ห้องเดียวที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกหลายๆห้องเองก็เช่นกัน หมอกสีม่วงและขาวพวกมันไหลไปตามซอกหินแล้วก็กลืนกินทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในห้องต่างๆที่อยู่รอบนอกของตัวปราสาท โดยทุกห้องนั้นจะมีอะไรบางอย่างคล้ายๆกันนั้นคือ…ห้องพวกนี้ ล้วนแล้วแต่มีคนอยู่ข้างในเพียงคนเดียวเท่านั้น

แก๋ง แก๋ง แก๋ง

“ สัญญาณเตือน?!? ”

และที่บริเวณกำแพงของปราสาทเองก็มีปัญหาเกิดขึ้นไม่ให้พวกทหารด้านในได้พัก ปัญหานั้นทำให้หัวหน้าทหารทั่วไปรีบวิ่งไปบนกำแพงพร้อมกับมองไปยังทหารที่สั่นระฆังเตือนภัย เขามีสีหน้าที่ซีดจนเหมือนกับศพแล้วมืออีกข้างที่ไม่ได้สั่นระฆังก็ชี้นิ้วไปยังนอกกำแพง

“ มึงจะสั่นระฆังเตือนทำไมวะ?!? ข้างนอกมันก็แค่หมอกไม่ใช่รึไง!! ”

ซึ่งทันทีที่หันออกไปเห็น ตัวหัวหน้าคนนี้ก็ตะคอกใส่ทหารที่ยังคงใช้มืออันไร้เรี่ยวแรงพยายามสั่นระฆัง เพราะสิ่งที่เขาเห็นมันก็เป็นแค่หมอกสีออกเทาๆเท่านั้นและมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าปริมาณของมันที่มากจนสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นอะไรที่ห่างออกไปเกิน 100 เมตรเลย ซึ่งนี้ทำให้การสั่นระฆังเตือนภัยเป็นเหมือนการก่อกวนและลดทอนกำลังใจทหารคนอื่นๆ

“ ห ห หัวหน้า ด ด ดู ”

“ หา?? มันทำไมล่ะวะ? ”

“ อ อึก… ”

ฟุบ ซู่… …

ด้วยคำพูดมันคงจะไม่ชัดเจน นายทหารคนนั้นเลยกล้ำกลืนชักดาบของตัวเองออกมาแล้วโยนดาบเหล็กนั้นลงไปปักยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกและผลลัพธ์ก็เริ่มจะปรากฎให้เห็น ดาบเหล็กเริ่มมีสนิมขึ้นมาเกาะก่อนที่มันจะย่อยสลายและจมหายไปในหมอกภายในเวลาไม่กี่วินาที หายไปแบบที่ไม่มีเศษซากเหลือเลยสักนิด

“ อย่าบอกนะว่าหมอกพิษ?!? ”

ตัวหัวหน้าที่ได้เห็นก็ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น เขามองดูหมอกหนาด้านล่างก่อนจะหยิบเอาเศษเนื้อที่เป็นอาหารพกพาออกมาจากในกระเป๋าที่เอวแล้วก็โยนเจ้าเศษเนื้อนี้ลงไปในหมอกเพื่อดูผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น

ฟู่

“ อันตราย!! สั่งการออกไปเร็วเข้าว่าคนนอกห้ามเข้าปราสาท คนในก็ห้ามออก หมอกพวกนี้มันเป็นพิษ!! ”

เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วเมื่อได้เห็นว่าเศษเนื้อนั้นย่อยสลายหายไปในอากาศ หายไปไวยิ่งกว่าตอนที่ดาบเหล็กที่เขวี้ยงลงไปเสียอีก เขาจึงออกคำสั่งแบบนั้นแล้วมันก็ทำให้ทหารที่อยู่ตรงหน้าประตูรีบปิดผนึกประตูเข้าออกอย่างเร่งรีบ ทว่าตัวของหัวหน้าเองก็เหมือนจะนึกอะไรออก

“ เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้… ทหารของพวกเราพึ่งจะ อึก!! โธ่เว้ย!! ”

อย่างที่หัวหน้าทหารกำลังรู้สึกตัว เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้กองทหารของจอมมาร 1 กองพันพึ่งจะเดินขบวนออกจากปราสาทไป และนั้นก็หมายความว่าทหารมากกว่าพันชีวิตพึ่งจะเดินเอาชีวิตไปทิ้งโดยที่ตัวพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่สิ อาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยว่าตัวเองตายแล้วด้วยความเข้าใจแบบนั้นเขาจึงได้แต่กำหมัดเจ็บแค้นได้อย่างเดียว

แก๋ง แก๋ง แก๋๋ง

ระฆังดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้ดังมาจากตัวกำแพงแต่เป็นการดังขึ้นมาจากลานกว้างที่เป็นสนามฝึกซ้อม และมันก็ทำให้ตัวของหัวหน้ารีบวิ่งไปดูอย่างเร่งรีบอีกหน ทว่าคราวนี้คงเป็นอะไรที่พลาดไปสำหรับเขา พลาดที่จะตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งก่อนหน้านี้ให้เป็นอีกอย่างที่ไม่ใช่แค่การออกไปข้างนอก

“ น น นี้มัน… ไม่ ไม่ ทุกคนถอยขึ้นที่สูงเดี๋ยวนี้!! ”

ภาพนั้น ภาพที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่หัวหน้าทหารคนนี้จะเคยได้เจอ หมอกสีเทาที่ออกม่วงนั้นมันถาโถมเข้ามาผ่านประตู ใช่ มันกัดกินประตูนั้นไปจนหมดแล้วทะลักเข้ามาราวกับน้ำหลาก ทำให้ทหารหลายคนถูกมันกลืนกินหายไปแต่มันเป็นการกลืนกินที่เขาได้เห็นทุกอย่าง ลูกน้องของเขาที่ร่างกายค่อยๆหายไปจากด้านนอกผิวหนังสู่ด้านในแก่นกระดูก จากเต็มตัวจนไม่เหลืออะไร

แก๋ง แก๋ง แก๋ง

มันยังไม่หยุดเท่านั้นสัญญาณระฆังดังขึ้นอีกหน แล้วมันก็มาจากด้านในตัวปราสาทเองไม่สิ มันดังมาจากหลายๆที่จนแยกไม่ออกว่าเสียงพวกนั้นมันมาจากไหนบ้าง แต่ในสายตาของหัวหน้าทหารนั้นก็มองเห็นหายนะที่กำลังเกิดขึ้นได้ หมอกสีม่วงผสมขาว พวกมันไหลทะลักออกมาจากทั้งใต้ดิน จากในตัวอาคาร มากมายจนเริ่มจะเอ่อล้นออกจากกำแพงของปราสาทนี้ มันค่อยๆยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆแบบวินาทีต่อวินาที

“ หนี หนี ขึ้นไปเร็วเข้า!! ขืนยังอยู่โดนหมอกพวกนี้ล่ะก็!! ตายกันหมดแน่!! ”

เขารีบสั่งทันที แต่ก็เป็นการสั่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัวตาย ทั้งเท้ากับร่างกายก็วิ่งพุ่งเข้าไปยังตัวหอคอยที่อยู่ใกล้ๆเพื่อหวังจะใช้มันเป็นที่หลบหนีจากหมอกที่กำลังท่วมไปทั่วบริเวณปราสาท เขาวิ่งนำพวกทหารที่อยู่บนกำแพงไป ใครที่ลุกไม่ไหวก็ไม่ได้ทิ้งไว้และใช้วิธีลากไปแทน ไม่ก็ถูกเพื่อนทหารด้วยกันวิ่งเข้ามาอุ้มร่างไปทั้งอย่างนั้น

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ข้างหน้าแล้ว เร็วเข้า!! ”

หัวหน้าทหารมาถึงยังประตูหอคอยก่อนใคร เขาหยิบเอากุญแจสำหรับเปิดออกมาก่อนจะเสียบมันเข้ากับกลอนประตูไม้หนา แต่แล้วเมื่อเสียบกุญแจเหล็กเข้าไปเขาก็สังเกตุเห็นว่าที่กุญแจเหล็กนั้นมันมีเศษสีแดงเกาะเต็มไปหมด เศษสนิมที่จู่ๆก็ก่อตัวขึ้นมาและมันก็ลามจากปลายมาสู่ด้ามจับอย่างรวดเร็ว

“ ถ ถอยไป… ”

กึก ครืนนนนนนนนนนน ฟู่….

เขานั้นยังไม่ได้จะเอ่ยปากพูดจนหมด หมอกหนานั้นก็ทำลายประตูไม้ตรงหน้าก็พังทลายลงพร้อมกับการมาของหมอกสีม่วงเข้มมันไหลทะลักออกมาจากในตัวของหอคอยแล้วมันก็กลืนกินตัวของหัวหน้าพร้อมกับทุกคนที่อยู่ใกล้กับประตูนั้นก่อนจะลามไปบนกำแพงจนปกคลุมทั่วทั้งด้านนอกของปราสาท

โดยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นพวกทหารต่างคิดกันไปว่ามันเป็นคำสาปจากอีกฝ่าย ไม่ก็อาจจะเป็นปรากฎการณ์บางอย่างหลังจากที่ฟารุนหายไป ปรากฎการณ์อันเกิดจากมานาแปรปรวน

ทว่าแท้จริงแล้วคนที่เป็นต้นเหตุก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกพิษบริเวณลานกว้างของปราสาท สองสาวที่สวมหน้ากากประหลาดเอาไว้ โดยคนแรกก็คือหมอกสีขาวออกมาจากหน้ากาก เพนเท และอีกคนก็หมอกสีม่วงที่ปรากฎขึ้นใต้เท้าของเธอ ยูเรย์

ทั้งสองมองขึ้นไปยังด้านบนของปราสาทมองดูไปยังห้องห้องหนึ่งซึ่งกำลังมีชายผมสั้นดำ ดวงตาดุดันพยายามจะหลบซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่าน ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความกลัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งใบหน้านั้นก็ทำให้ยูเรย์หันไปถามกับเพนเทด้วยความสงสัยกับความรู้สึกตะหงิดๆบางอย่าง และเพนเทเองก็ตอบด้วยน้ำเสียงกับรอยยิ้มแห้งๆ

“ นี้เพนเท แน่ใจนะว่านั้นคือจอมมาร? มันจะไม่อ่อนปวกเปียกไปไหนเหรอ? ”

“ เอ่ออออ อืมม ก็ใช่นะ ใช่แหล่ะ ดวงวิญญาณนั้นของจอมมารแน่ๆแหล่ะ ใช่มะ!?!? ชั้นมั่นใจได้สินะ?!? ได้สิ!! ”

“ เดี๋ยวๆ ถ้าเธอไม่มั่นใจแล้วชั้นล่ะ?!? ”

……

ตึก ตึก ตึก แซค แซค ตึก

“ เราเดินกันมา ก ก กี่วันแล้วล่ะครับท่านเพนเท ค ค แคกๆ ”

“ น น นั้นสิคะ มานาของดิชั้นจะหายหมดแล้ว อีกแค่ติ่งเดียวก็จะได้ไปดินแดน…อ่าห์ ”

“ ด เดี๋ยวนะ!! นี้ยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำ!! ”

“ “ เอ๋!!! ” ”

เวลาผ่านไปเกือบจะครบวันนับตั้งแต่เดินลงมาจากเขา เพนเทกับเทเสล่าและหน่วยพิเศษก็สามารถพาร่างของมาร์ออกจากจุดอันตรายอย่างรอบๆเขตที่กองทัพจอมมารมารวมตัวกันอย่างหนาแน่นได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้จะหยุดเดินแล้วยังคงเดินต่อไปในป่าทึบโดยยิ่งเข้าใกล้ชายฝั่งมากเท่าไหร่ ก็สามารถมองเห็นควันไฟจากสงครามได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

“ มากันสักที เห้อ… ทุกคน!! หยุด!! ”

ทว่าเพนเทที่เดินนำอยู่ก็ได้สั่งให้ทุกคนหยุด ก่อนที่ไม่นานเสียงบางอย่างจะดังขึ้น เสียงของเครื่องจักรกลจำนวนมากที่มุ่งตรงมายังพวกเขา ซึ่งนั้นก็เป็นสัญญาที่ดีจนทำให้พนักงานหลายคนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าต่างพากันนั่งลงพักด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายกว่าก่อนหน้า

บรื้นนนนนนนนนนนนนนน

และไม่นานนัก เครื่องจักรกลจำนวนมาก็ปรากฎตัวในสายตาของเพนเท ยานเกราะ 8 ล้อสีขาวติดปืนกลหนักที่มีตราประทับของยูโทเปียที่ข้างตัวรถ พวกมันวิ่งกันมาเป็นขบวนโดยคันนำหน้าสุดติดตั้งธงสีแดงที่มีตราม้าสีขาวอยู่ตรงกลาง แล้วบนหลังคาของรถนั้นเองก็มีกล้องที่กำลังหมุนวนไปมา

ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ กริ๊ก กรืดดด….!!

“ โอยยย ทางนี้ ทางนี้!! ดูระบบจีพีเอสบ้างซี่ โธ่!! ”

เพนเทที่เห็นก็เดินออกไปพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ และนั้นก็ทำให้กล้องที่หมุนอยู่ด้านบนหันมาจับจ้องเธออยู่ชั่วครู่ก่อนที่ขบวนนั้นจะเปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็วโดยที่เพนเทยังไม่ได้จะเตรียมตัวอะไร รถหุ้มเกราะพวกนั้นก็มาตั้งขบวนจอดกันอยู่ตรงหน้าเธอ พร้อมกับเปิดประตูท้ายส่งทหารของยูโทเปียออกมาคุ้มกันพื้นที่ทันที

ครืดดดดด กึง

“ นายท่านคะ!! นายท่าน!! หน่วยยานเกราะที่ 13 รายงานตัว… อึก ตรงนั้น! ”

และก็มีคันหนึ่งที่มาจอดตรงหน้าของเธออย่างพอเหมาะ รถหุ้มเกราะสีขาวที่ไม่ได้ติดปืนกลแต่ติดตั้งถังบรรทุกน้ำมันไว้บนหลังคา หญิงสาวผิวขาว ผมหางม้ายาวสีน้ำเงินเข้มเธอมีดวงตาสีดำนัยต์ตาสีแดงก่ำ และสวมชุดรัดรูปสีดำที่มีแผ่นเกราะเหล็กสีเดียวกับชุด ชาลี เมดน้องใหม่สุดของพี่น้องเมด เธอวิ่งออกมาจากประตูด้านหลังของรถหุ้มเกราะนี้ด้วย พร้อมทั้งยังจูงหลอดแก้วลอยได้ขนาดใหญ่ลงมาด้วย

“ ไหนๆ ไหนๆ อ๊ะ!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะฮะ! ”

นอกจากชาลีแล้วก็ยังมีหญิงสาวผิวสีเข้มผมสีเงินสลับดำเรืองแสงอย่างผิดปกติ เธอใส่ชุดรัดรูปที่มีสายยางใสบรรจุของเหลวหลากสีระโยงระยางมากมาย ดวงตาของเธอเบิกกว้างและใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแปลกๆ เธอคือหมอหลวง หมออาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยสาขาชีวะวิทยา และมันสมองด้านการรักษาด้วยยาและการผ่าตัดของพี่น้องข้ารับใช้ เอเนอา เธอที่เห็นเป้าหมายก็วิ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าร่างของนายท่านที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนพนักงานจากหน่วยพิเศษนายหนึ่ง

“ ค ค ครับ! ท่านเอเนอามีอะไร.. อึก ”

จี่…..

“ ช ช เชิญครับผม!! ”

เธอมองหน้าเขา ทำให้ตัวพนักงานหนุ่มนั้นหน้าซีดแล้วคุกเข่าลงก้มหน้าประเคนร่างของมาร์ให้ในทันที เอเนอาเองไม่ได้พูดอะไรแล้วก็รับร่างของนายท่านด้วยแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะหันหลังกลับแล้ววิ่งอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามในตอนที่วิ่งอยู่นั้นทุกคนก็เห็นได้เลยว่าในท่อใสที่บรรจุของเหลวสีฟ้า มันกำลังระเหยออกจากท่ออย่างรวดเร็ว

“ ด ด เดี๋ยวก่อนเอเนอา จ จ จะแบก…อุ๊บ ”

“ น่าๆ ดูนั้นก่อนสิเทเสล่า ลืมแล้วอ๋อว่าเอเนอาน่ะถึกทนทานที่สุดในหมู่พวกเราน่ะ ”

เทเสล่าที่เห็นก็ไม่รอช้าที่จะฝืนร่างที่ใกล้หมดแรงเข้าไปเตือนเอเนอาถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งที่สามารถจะฆ่าเธอได้ แต่ว่าเพนเทก็ห้ามเอาไว้เสียก่อนพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเอเนอาที่น่าควรจพหมอบเป็นซากไปแล้วจากการเคลื่อนย้ายร่างของมาร์ด้วยความเร็วขนาดนี้ ทว่าเธอกลับไม่เป็นเช่นั้น เอเนอาไม่ได้ออกอาการอะไรทางสีหน้าเลย สิ่งเดียวที่พอจะเห็นได้ก็คือยิ่งไปไกลจากจุดรับเท่าไหร่ ก็ยิ่งเดินช้าลงเรื่อยๆแค่นั้น

“ หวังว่าตัว Prototype จะทำงานไม่ติดอะไรนะฮะ ”

แกรก

“ หึบบบบบบ ”

กึง กริ๊ก

อย่างไรก็ตามเอเนอาก็มาถึงยังหลอดแก้วที่ขนออกมาจากรถหุ้มเกราะได้ แล้วเปิดมันก่อนจะค่อยๆนำร่างของนายท่านบรรจุใส่เข้าไปในหลอดก่อนที่จะปิดฝาพร้อมกับกดปุ่มเปิดการทำงาน ทำให้ภายในหลอดนั้นค่อยๆมีของเหลวสีฟ้าเอ่อล้นขึ้นมาครอบคลุมร่างของมาร์เอาไว้ แล้วยกร่างของเขาขึ้นให้ลอยอยู่ในของเหลวสีฟ้าที่ใจกลางของหลอด

“ อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่สิทุกอย่างมันปกติเกินไปแล้วนะฮะ นี้สินะฮะทำไมถึงไม่ยอมมาตรวจร่างกายประจำปี ร่างกายขนาดนี้…ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย?!? ไม่สิ ไม่มีทางหรอก มันก็แค่เรื่องในตำนานนี่น่า แต่ร่างกายสมบูรณ์ขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังหลับแบบนี้ได้กันนะฮะ เคมีในสมอง หึยย ถ้าผ่าได้ล่ะก็… แต่นั้นนายท่านนะฮะ!! ”

เอเนอายังคงดูอาการของมาร์ผ่านจอแสดงผลที่ติดตั้งอยู่ข้างๆหลอด มันบอกถึงอัตราการเต้นของชีพจร ความดัน ปริมาณอ็อกซิเจน และปริมาณเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรียที่ปรากฎบนตัวของมาร์ เธอมองดูอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าแล้วก็หันไปมองเทเสล่าที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆเพนเทด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า

“ เทเสล่ามาช่วยกันหน่อยสิฮะ!! อาการของนายท่านตอนนี้แค่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กับการแพทย์มันไม่พอนะฮะ ”

“ อ อ อื้อออ เข้าใจแล้วววว ”

พอโดนบอกแบบนั้นเทเสล่าก็ตอบรับอย่างอ่อนแรง ก่อนจะค่อยๆเดินลากสังขารตรงไปยังรถหุ้มเกราะนั้น ส่วนสาเหตุที่ให้เทเสล่าขึ้นมาด้วยก็เพราะเทเสล่ามีความรู้เรื่องพวกนี้มากที่สุด ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้แก้ปัญหาได้เร็วกว่าการติดต่อถามเอาผ่านระบบสื่อสารของพวกเธอ

ตึก ตึก

“ อ่าาาา ด ด ดินสอ ก กระดาษ ว ว ว แว่น… ”

แกรกๆ ครืดด ครืดด

เทเสล่าพอเข้ามาในรถได้แล้วก็เดินมานั่งหมดแรงที่ข้างๆหลอดเก็บร่างของนายท่าน แล้วสายตาของเธอก็จับตามองดูมีดที่ยังแทงคาร่างของมาร์อย่างใกล้ชิด ก่อนจะเอื้อมมือหยิบเอามสุดจดกับปากกาจากในเสืิ้อ เพื่อมาจดรายระเอียดทั้งหมดของมีดนั้น ไม่ว่าจะอักขระ รูปลักษณ์ หรือแม้แต่สภาพผิวของวัตถุเอง

[ เทเสล่าเนี้ย ต่อให้เหนื่อยยังไงพอเป็นเรื่องของนายท่านแล้ว ก็ฝืนตลอดเลยเนอะ ]

ทว่าทางด้านของเพนเท เธอที่เห็นเทเสล่าเดินขึ้นไปแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปหาชาลีที่ยังยืนอยู่ด้านหลังของรถซึ่งตัวของเธอก็กำลังทำหน้าตรวจดูและคุ้มกันการเข้าออกรถหุ้มเกราะที่ใช้ขนร่างของนายท่าน อย่างไรก็ตามพอเพนเทเข้ามาใกล้ ชาลีก็ได้แต่ตัวสั่นก่อนจะพยายามจะเบือนสายตาหนี

“ นี้ยังหลอนจากตอนนั้นอยู่อีกอ๋อ? ”

“ ก ก็ นิดหน่อยน่ะค่ะท่านพี่เพนเท… น น นิดหน่อย ”

ชาลีได้แต่ตอบกลับอย่างตัวสั่น ในหัวของเธอนั้นยังคงจำได้อย่างดีถึงห้องสีขาวที่ใช้ทรมานเธอจนทำให้ดวงตาแห่งปัญญาของเธอเปิดออก และในห้องนั้นนอกจากสีขาวของกำแพงแล้วก็มีบางอย่างที่มักจะปรากฎตัวขึ้นเสมอ หมอกที่มาพร้อมกับรอยยิ้มและความเจ็บปวด เพนเท พี่สาวผู้พาเธอมาสู่ชีวิตใหม่นี้ ดังนั้นทุกครั้งที่เธอได้พบกับเพนเทแบบเป็นๆ ตัวต่อตัว ชาลีก็จะเกิดอาการกลัวแปลกๆแบบนี้ขึ้นมาเสมอ

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

ทว่าจู่ๆเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น มันไม่ได้ดังมาจากที่เดียวแต่มันดังมาจากอุปกรณ์ที่ติดอยู่กับเมดทั้ง 4 คนในที่แห่งนี้ หน้ากากของเพนเทและเทเสล่า ปลอกคอที่เอเนอาใส่เอาไว้และกำไลของชาลี โดยแต่ละคนก็ตอบรับสัญญาณเตือนนั้นตามแบบของตนเอง เพนเทกับเทเสล่าใส่หน้ากาก เอเนอาแตะปลอกคอของตนเอง ส่วนชาลีก็ยกแขนที่สวมกำไลขึ้นมาไว้ตรงหน้าของตนเอง

“ แจ้งถึงทั้ง 4 คน อีกราวๆ 5 ถึง 10 นาที ท่านพี่หญิงเคนโทรจะไปถึงแล้วเข้าทำการสมทบพร้อมกับนำหน่วยต่อไปเจ้าค่ะ ”

คนที่ส่งสัญญาณนั้นมาก็คือทิเรีย เธอมองทั้ง 4 คนที่รับสายด้วยใบหน้านิ่งเฉยจนคล้ายกับภาพนิ่งจนน่ากลัว แต่ว่าเธอก็มองดูอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะเริ่มพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไร้ความรู้สึก ซึ่งสิ่งที่เธอพูดก็ทำให้เพนเท กับเทเสล่าพยักหน้าราวกับว่านี้เป็นเรื่องปกติ ส่วนเอเนอาอันนี้ไม่ได้สนใจเลยแล้วเอาแต่มองดูจอแสดงผลบนหลอดแก้วอยู่

“ ขอโทษนะคะท่านพี่ทิเรีย แต่ว่าการที่จู่ๆให้ท่านพี่เคนโทรเข้าร่วมแบบนี้มันจะไม่ทำให้แผนช้าลงจากกำหนดหรือเปล่าคะ? ไม่สิ แผนจะไม่เปลี่ยนแบบกระทันหันเกินไปอย่างงั้นเหรอเจ้าคะ?!? ”

แต่กับชาลีน่ะไม่ใช่ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เคนโทร หรือก็คือยูเรย์ถึงได้เข้าร่วมอย่างกระทันหันแบบนี้ แล้วเธอก็ถามแบบนั้นออกไป ซึ่งนั้นก็ทำให้ทิเรียถึงกับตกใจไปชั่วครู่เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนจะส่ายหน้าอย่างช้าๆแล้วพูดกับชาลีด้วยน้ำเสียงและสายตาที่…ต่างจากปกติ

“ น้องชาลี… ชาลี เธอลืมเรื่องลำดับของพวกเราไปแล้วหรือเปล่า…คะ ”

“ ข ข ขออภัยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!! ”

คำพูดนั้นมันทำให้ชาลีถึงกับคุกเข่าก้มหัวลงในทันที เพราะว่าน้ำเสียงและสายตาของทิเรีย มีบางสิ่งที่เธอพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกอย่างตรงๆจากตัวของทิเรีย สิ่งนั้นคือความโกรธที่ไม่ใช่ความแค้น มันเป็นความโกรธที่มาจากความผิดหวังในตัวของคนที่เธอกำลังคุยด้วย

“ ช…ชาลี นี้เป็นครั้งแรกของเธอ ชั้นจะทำเป็นมองข้ามไปก็แล้วกันนะ…เจ้าคะ ”

“ ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านพี่ทิเรีย! ”

ในหมู่เมดผู้รับใช้มาร์นั้น จะมีกฎภายในอยู่เพื่อรักษาความมั่นคงเอาไว้ และ 1 ในกฎนั้นก็คือกฎลำดับขั้น ที่มีความสำคัญและจะมีผลในตอนที่ “ปฏิบัติการณ์กำลังดำเนินการอยู่” คนที่อยู่ลำดับล่างกว่าจะไม่มีสิทธิตั้งคำถามต่อคนที่อยู่ระดับสูงกว่าเด็ดขาด โดยเฉพาะการตั้งคำถามถึงเคนโทร เธอคือคนสำคัญลำดับ 3 รองจากครอบครัวของมาร์ และตัวของมาร์เอง การที่ใครจะไปตั้งคำถามในความสามารถของเธอ ถ้าไม่ใช่คนในตำแหน่งวางกลยุทธ์อย่างทิเรีย ก็จะไม่มีสิทธิเด็ดขาด การตั้งคำถามที่ฝ่าฝืนจะกลายเป็นการดูถูกในความสามารถในทันที

“ ถ้ารู้ตัวก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เท่านี้ก็รอรับท่านพี่หญิงมาร์ด้วยนะเจ้าคะ ขอตัวก่อนล่ะนะเจ้าคะทุกคน ”

“ อึก… ”

สายของทิเรียถูกตัดไป แต่ว่าชาลีก็ยังคงก้มหัวอยู่ตรงนั้นใบหน้าของเธอแค่มองก็รู้ว่ากำลังละอายใจอยู่ อย่างไรก็ตามคนที่มองก็มีแค่เพนเทที่ยืนอยู่ใกล้ๆเท่านั้น เพราะสองคนที่เหลืออย่างเทเสล่ากับเอเนอากำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ เทเสล่าคือนอนพัก เอเนอาคือมองดูจอและเติมสารสีฟ้าจากท่อที่ต่อตรงจากเพดานเข้าไปในหลอดเรื่อยๆแถมมีแอบเปลี่ยนจากต่อตรงลงหลอดแก้ว มาเข้าที่ท่อใสตรงเข้าหลอดเก็บสารที่เอวของเธอเป็นครั้งคราวด้วย

“ นานเลยแหะ …ถ้าไม่รวมเ… นานแหล่ะ ที่ทิเรียจะโกรธแบบนี้น่ะ เอานะ ครั้งแรกก็เจ็บปวดแบบนี้แหล่ะ ”

“ ค ค่ะ… ”

เพนเทเดินเข้ามาปลอบใจพร้อมกับลูบหลังของชาลี ก่อนจะพูดกับเธอด้วยเสียงที่เบาแสนเบา ส่วนชาลีเองก็ได้แต่ก้มหน้ารับกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปเช่นนั้น แต่เพนเทก็ไม่ได้จะปลอบใจไปตลอดเพราะเธอลูบหลังเพียงครู่เดียวก็หยุดมือ แล้วก็เดินเข้าไปในรถหุ้มเกราะก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกระป๋องน้ำอัดลม กับน้ำเปล่าขวดหนึ่ง

“ เอ้า!! เดี๋ยวเคนโทรมาแล้วยังทำหน้าแบบนั้นจะโดนถามเอานา ”

“ ขอบคุณค่ะท่านพี่เพนเท ”

ซ่าา

“ เห้ออ ดื่มสิดื่ม น้ำน่ะไว้ดื่มน้าา! ”

ชาลีรับขวดน้ำนั้นมาแล้วเปิดฝามันออกก่อนจะเทรดหัวตัวเองจนหมดขวดโดยที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาแต่อย่างใด ทำเอาเพนเทถึงกับส่ายหน้าแล้วกันหันไปดื่มน้ำอัดลมด้วยหลอดผ่านหน้ากากอย่างเงียบๆโดยที่สายตาของเธอก็มองลงไปยังทิศใต้ มองไปบนท้องฟ้าแล้วก็หรี่ตาลงเพื่อจ้องมองดูบางสิ่งผ่านหน้ากากของเธอ ภาพที่ขยายขึ้นเรื่อยๆจนเห็นได้ชัดถึงบางสิ่งที่กำลังพุ่งมา

“ มาแล้วนะ ”

ฟุบๆๆๆๆ

TwinWings บินมาอยู่เหนือขบวนรถหุ้มเกราะราวๆ 20 เมตรและประตูท้ายของมันก็เปิดออก ก่อนจะตามมาด้วยร่างของหญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำสวมหน้ากากของผีสาวสีขาวที่มีหมายเลข 0 เธอลงมายืนอยู่ตรงหน้าของเพนเทและชาลี เธอเดินตรงมายังเพนเทที่ถือกระป๋องน้ำอัดลมอยู่ก็วางกระป๋องนั้นลงแล้วถอดหน้ากากในทันที เช่นกันเคนโทรเองก็ถอดหน้ากากของตัวเองออก

“ ดูเหมือนจะมีใครบางคนกลายมาเป็นคู่แข่งชั้นแล้วสินะ ”

“ แหมๆ โผล่มาก็เอาเค้าเลยน้าเคนโทร ”

ทั้งสองวิ่งเข้ากอดกันอย่างเป็นมิตรเหมือนกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ก่อนจะถอยห่างแล้วทักทายกันด้วยการพูดคุยที่สายตานั้นเหมือนจะฆ่าแกงกันเสียมากกว่า ซึ่งสาเหตุก็คงมีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่รู้กัน สาเหตุนั้นคือทั้งคู่เป็นผู้มีฉายา [ ผู้ท้าชิงตำแหน่งราชินีผู้รับใช้หายนะ ] แต่ว่าทั้งสองก็ไม่ได้จะมองหน้าแบบนั้นกันไปตลอดเพราะสุดท้ายก็จบลงด้วยการยิ้มให้กันอย่างปกติ

“ ท่านพี่หญิงเคนโทร ดิชั้นขออภัยที่ก่อนหน้านี้ได้ตั้งคำถามลบหลู่เกียรติและตำแหน่งของท่านพี่หญิง ดิชั้นขออภัยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!! ”

“ อ อ อา อ่า?!? ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร?!?… แต่?? ห๊ะ? ”

ชาลีที่อยู่ข้างๆ จู่ๆเธอก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็กล่าวขอโทษกับยูเรย์ด้วยใบหน้าที่จริงจังจนหน้ากลัว ทำเอายูเรย์ถึงกับหันไปถามเพนเทที่ยืนอยู่ข้างๆกัน และเพนเทก็เอาแต่ส่ายหน้าพร้อมกับหยิบเอาน้ำอัดลมขึ้นมาดื่มอีกหน ก่อนจะค่อยๆเอ่ยปากออกมาด้วยสีหน้าที่ดูจะเซ็งๆ

“ นั้นสิน้าาา ก็ ก่อนหน้านี้ทิเรียแจ้งมาว่าเคนโทรจะมาใช่มะ ชาลีน่ะไปถามคำถามที่แหกกฎเอาน่ะสิ ก็เลย… ”

“ ก็เลยโดนทิเรียดุมาสินะ ดีแล้วล่ะที่โดนแค่ดุ ใช่ไหมล่ะเพนเท เจ้าหญิงประจำห้องอบรม ”

“ ฮ ฮ ฮ่า ฮ่า….แงงง อย่าพูดสิ แค่คิดก็จะ…หยายยย ขนลุกแล้วเนี่ย ”

“ โทษทีน้า แต่ว่าตอนนี้ พี่… ”

“ นายท่านน่ะเหรอ? อยู่นี้ไง ”

เพนเทพยายามปิดหน้าที่แดงจากความเขินอายกับเรื่องในอดีตของตัวเองพร้อมกับพาเข้าไปในรถหุ้มเกราะติดถังน้ำมันที่จอดอยู่ผ่านทางประตูด้านหลังที่ยังคงเปิดทิ้งไว้ และทันทีที่ยูเรย์ได้เห็นร่างของพี่ชายของตนกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ใจกลางของหลอดแก้วนั้น เธอเขาไปนั่งข้างๆมันก่อนจะวางมือลงไปบนหลอดนั้น

“ พี่คะ… พี่… หนูไม่อยู่แค่แปปเดียว… แค่… ฮึก… ”

ยูเรย์พยายามจะกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดที่เอ่อล้นของตัวเองออกมา และสิ่งที่ทำได้ก็คือการกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้ แม้ว่าใบหน้าและหูของเธอจะเริ่มแดงก่ำ และเพนเทที่อยู่ข้างๆก็ได้แต่ยืนปลอบใจเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามตัวของยูเรย์ก็ค่อยๆลุกขึ้นมาก่อนจะกุมมือของเพนเทจนแน่น

“ เพนเท งานของพวกเรา… ”

เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่คำพูดนั้นเพนเทก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี งานเก่าของพวกเธองานที่ทั้งสองมักจะช่วยกันทำเสมอตั้งแต่รับใช้มาร์ช่วงแรกๆ ช่วงที่ยูเรย์ยังพอจะมีเวลาออกมาร่วมมือกับพี่น้องของเธอทำอะไรสนับสนุนนายท่านจากส่วนอื่น งานที่แม้แต่ทิเรียก็พยายามจะปิดเอาไว้ไม่ให้มาร์รู้

“ อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ จะไปที่ไหนดีล่ะเคนโทร ปราสาทจอมมาร ห้องจอมมาร หรือว่าที่ไหนล่ะ? ”

……

ซ่า ซ่า… ซ่า…

“ พวกมันคิดจะบุกมาเหยียบถิ่นของพวกเราจริงๆเหรอวะ? ”

“ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ข้าเป็นแค่ทหารระดับล่างจะไปรู้เรอะไอบ้า! ”

“ เอ้อ เอ้อ… แต่ยังไงต่อให้พวกมันมาก็คงขึ้นฝั่งไม่ได้หรอกมั้ง ก็พวกเราอุตส่าห์ดำพุดดำว่ายไปวางถุงเก็บวงเวทย์กันตั้ง 7 วัน 7 คืน ไหนพวกนักเวทย์จะลงทุนร่ายเวทย์คุมมอนสเตอร์ไว้อีก เห้อ คิดไม่ออกว่ะ ว่าทำไมท่านฟารูนถึงสั่งให้พวกเราตั้งแนวป้องกันหน้าขนาดนี้ ”

“ ช่างแม่งดิ! มึงจะไปคิดทำไมวะ พวกเราใช้แค่แรงกับกล้ามเนื้อก็พอ สมองน่ะให้พวกระดับสูงใช้ก็เข้าใจหรือเปล่า? ”

“ อ่า… อ่า แล้วแต่แกเลย เห้ออ นี้ข้าต้องมาสู้ร่วมกับพวกสมองกล้ามเหรอวะเนี่ย ”

ณ ขอบทวีปของดินแดนจอมมาร ชายหาดสีขาวที่มีทิวทัศน์งดงามกำลังมีการตั้งแนวป้องกันเป็นอย่างดี มันมีทั้งกำแพงไม้ กำแพงหิน กำแพงหนามพร้อมสำหรับการต่อต้านการยกพลขึ้นบก แถมก็อย่างที่ทหารบนชายฝั่งกำลังพูดคุยกันในน้ำทะเลตรงหน้าเองก็เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ดุร้ายมากมายและยังมีกับดักเวทย์มนต์ที่ออกแบบมาไว้สำหรับดึงเรือให้จมลง

ซ่า…. ครืนน ครืนน ซ่า…

“ เห้ยๆๆ!! ทะเลเว้ยทะเล!! ”

“ มึงจะตะโกน… ทำไมวะ… เชี้ย!! ”

“ แม่งเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย?!? ”

ทว่าระหว่างที่พวกทหารกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆทะเลสีครามก็เริ่มจะเปลี่ยนไป สีที่ดูสงบสบายตากลายมาเป็นสีที่ทำให้ทุกคนถึงกับขาสั่น ทะเลอันกว้างขวางกลายเป็นสีแดงเลืิอดและไม่นานนักซากศพของมอนสเตอร์มากมายก็ทยอยลอยขึ้นมา ร่างของพวกมันเต็มไปด้วยรอยเขี้ยวขนาดเล็กมากมายที่ฉีกกระชากเอาเนื้อในส่วนนั้นๆให้หลุดหายไป บางตัวร่างและดวงตาก็ถูกเฉือนจนแหว่งเป็นแผลยาวหลายเมตร

horn sound

“ เตรียมตัว เตรียมตัว! ”

“ ข้าศึกจะบุกแล้วเว้ย!!! ”

“ ตั้งแถวเตรียมร่ายเวทย์เร็วเข้า!! ”

“ เห้ยๆๆ!! ตื่นเว้ย ตื่น!! ยังจะมัวนอนกันอีก!! ”

เสียงแตรเตือนดังสนั่นไปตลอดชายหาด ทหารต่างพากันเตรียมพร้อมยกโล่ ยกดาบ หอก ขวานขึ้น ส่วนนักเวทย์ก็ยกคฑาพร้อมกับรอรับคำสั่งจากหัวหน้าว่าจะให้ตนร่ายอะไร ทำให้บรรยากาศบนหาดที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะนั้นเงียบลงในทันที เงียบจนได้ยินเสียงหายใจกับเสียงฟันที่กระทบกันจากความกลัว

“ อึก… นี้มันเกิดบ้าอะไร… ”

“ ข้าจะไปรู้เหรอ? ”

“ ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ มันยังไม่มา ช ช ใช่ มันยังไม่มา … อ๊ะ?? ”

“ มาแล้ว!! ศัตรูมาแล้ว!! ”

สีของเลือดนั้นเริ่มคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดสีของทะเลที่ชายฝั่งก็กลายเป็นสีแดงจนหมด และเพียงครู่เดียวเท่านั้นตัวต้นเหตุก็ต่างปรากฎตัวขึ้นที่ชายหาด พวกมันเดินขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับร่างที่อาบไปด้วยเลือดของมอนสเตอร์ หน้าตาของพวกมันแค่เห็นก็รู้ได้ว่าเป็นเผ่าพันธ์ุที่อาศัยอยู่ใต้ทะเล พวกมันมีรูปร่างคล้ายคนบนดินต่างแค่ตรงคอจะมีเหงือแบบปลาไว้หายใจใต้น้ำ อย่างไรก็แล้วแต่ชุดกับอาวุธของพวกมันก็ช่างแปลกตา

“ เผ่าทะเล?! พวกมันร่วมมือกับศัตรูงั้นเหรอ หรือว่าพวกมันเองก็หวังจะทำลายพวกเรา!? ”

“ อย่าพึ่งโจมตี รอ รอให้พวกมันเข้ามาในระยะแล้วร่ายเวทย์เผาเลย!! ”

ผู้หญิงต่างใส่ชุดรัดรูปสีดำกับอาวุธที่สวมไว้ที่แขนขวา ถุงมือขนาดใหญ่ที่มีเหมือนกับปากของสัตว์ป่า เจ้าสิ่งนี้คือสิ่งที่กัดกินมอนสเตอร์ทะเลอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนผู้ชายก็สวมชุดไม่ต่างกัน แค่ตามตัวจะมีแผ่นเหล็กสีน้ำเงินติดอยู่ด้วย พวกมันใช้อาวุธต่างออกไป อาวุธติดกับแขนใบมีดขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ยึดติดแน่นเป็นเล่มยาว มันมีลักษณะคล้ายแส้มากกว่า

“ ย ย ยัยนั้นหัวหน้าของพวกมันสินะ เดินเข้ามาแบบนั้นหรือว่า…ออกมาประกาศสงคราม?!? ”

“ อย่าพึ่งโจมตี!! ”

“ โอ้ อย่าพึ่งโจมตี!! ”

ทหารบนหาดยังไม่ได้ลงมืออะไรแล้วจับตาดูศัตรูตรงหน้า ที่พวกมันเองก็ไม่ได้มีเยอะเป็นพัน เป็นหมื่น เหมือนกับกองทัพจอมมารที่อยู่บนหาด ในสายตาของพวกเขานั้น ตรงหน้ามีเพียงแค่ร้อยกว่าๆเท่านั้น ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าจะทำอะไรเพราะ ตัวที่อยู่ด้านหน้าสุด หญิงสาวผมสีฟ้าที่มีดวงตาของนักล่าและหน้ากากที่ปล่อยหมอกสีแดงเลือดออกมาตลอดเวลา เธอสวมชุดเมดผ้ามันเงา กับถุงเท้ายาวที่ทำจากยาง รูปลักษณ์นั้นมันช่างยั่วยวนเหลือเกิน แต่มือขวานั้น กรงเล็บที่ชะโลมไปด้วยเลือดแล้วเลือดพวกนั้นก็กำลังระเหยอยู่เรื่อยๆ

“ มันจะชี้มาทำไมวะ? จะคุยงั้นเหรอ?! ”

“ เอาไงดีครับหัวหน้า?!? ”

“ ไม่รู้ รอดูไปก่… ไม่ๆ เตรียมตัวๆ พวกมันเริ่มแล้ว!! ”

“ เชี้ยเอ้ยย!! แม่งอยู่กับยูโทเปีย! ”

หญิงสาวผู้นั้นชี้กรงเล็บมาทางพวกเขา มันไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าพวกเขาก็รับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้น บางอย่างที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วกำลังมุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว พวกมันมีเป็นสิบๆ และยิ่งเวลาผ่านไปในทุปวินาที พวกมันก็ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนพอๆเทียบเคียงกับมังกร มังกรสีขาวที่ติดตราของประเทศศัตรู ฟันเฟืองและดอกไม้ตรงกลาง ยูโทเปีย

“ ร่ายเวทย์คมดาบลมเร็วเข้า!! ศัตรูกำลังจะมาถึงแล้ว!! ”

“ เล็งดีๆนะเว้ย!! กว่าจะยิงได้นัดนึงมันลำบากนะมึง! ”

“ เออ!! มึงบอกศัตรูเหอะ บินเร็วขนาดข้าจะเล็งยังไงวะ!! ”

บนป้อมปราการต่อต้านการโจมตีทางอากาศ นักเวทย์ที่เฝ้ายามยกคฑาขึ้นเตรียมร่ายโจมตีพวกมัน ทหารเองก็เล็งบัลลิซต้าหรือก็คือธนูขนาดยักษ์เพื่อรอให้จะสอยพวกมังกรยักษ์ขาวให้ร่วงเมื่อเข้าระยะ แต่…ก็คงจะยากเกินไป เพราะความเร็วของพวกมันเกินกว่าที่จะตามทันได้

ฟู่มมมมมมม

“ เชีี้ยยย!! ”

“ ลูกธนูหล่นแล้วเว้ย!! ”

“ คฑา!! คฑา!! ”

“ จับขาหัวหน้าเร็วเข้าาา!! ”

“ กรี๊ดดดด ช่วยด้วยย!! ”

และเพียงไม่นานพวกมันก็บินอยู่เหนือหัวของพวกเขาพร้อมกับปล่อยแรงอัดกระแทกของลมออกมาจนบัลลิซต้าเอียง คฑาหลุดออกจากมือและนักเวทย์คนไหนที่ตัวเล็กตัวเบา ก็ปลิวหล่นจากหอคอยกันหลายสิบคน

กึก กึก กึก กึก

“ แรงอัดอะไรกันวะเนี่ย!! ”

“ อักกก!! ถ้าไอมังกรพวกนี้มันพ่นไฟใส่ล่ะก็…อึก เชี้ยเอ้ย!! กางบาเรียไว้!! ”

อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันเข้าใกล้ขนาดนี้ ทหารทุกคนที่อยู่บนป้อมนั้นต่างเตรียมพร้อมที่จะรับการโจมตีของมังกรนี้การโจมตีที่คาดว่าจะเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ด้วยการยกโล่ขึ้นป้องกัน นักเวทย์เองก็กางม่านป้องกันสำหรับป้องกันไฟที่อาจจะถูกปล่อยออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

bang bang bang

“ เสียงอะไร อัค!! ”

“ ข้างบน!! ข้างบน!! ”

“ พวกมันทำบ้าอะไรกันวะ!! ”

“ คน!! คนกำลังลงมา!? เทวทูต?!? นี้ยูโทเปียมีเทวทูต?!? ”

“ สติเว้ย!! มันก็แค่คนใส่อุปกรณ์เท่านั้น!! ”

“ ปืน?!? นั้นมันปืน!! ”

เสียงของการโจมตีประหลาด ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แล้วบนท้องฟ้านั้นก็มีผู้คน ผู้คนกำลังลอยลงมานับพัน พวกเขาลอยลงมาอย่างช้าๆด้วยผ้าใบทรงกลมที่ชะลอร่างให้ค่อยๆร่อนลงมา กระนั้นก็ดีพวกมันทุกคนมีอาวุธชิ้นหนึ่งที่กองทัพจอมมารรู้จัก ปืน แล้วเสียงการโจมตีนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลย มันคือเสียงของปืนแน่ๆ

กึง boom boom grank grank

“ โกเล็ม!! ”

“ พวกมันจะบ้าเกินไปแล้วนะเว้ย!! ”

ทว่านอกจากผู้คนที่กำลังร่อนลงมา ก็ยังมีวัตถุขนาดใหญ่ ไม่สิ เกราะขนาดใหญ่กำลังดิ่งลงมา…ร่อนลงมาแบบเดียวกับศัตรูบนฟ้า พวกมันมีกันหลายสิบชุด เกราะยักษ์คล้ายเกราะอัศวินที่ดูล้ำหน้าและเทอะทะอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าพวกมันล้วนแล้วแต่มีปืนที่ใหญ่กว่ามาก แถมยังร่อนลงมาที่พื้นเร็วกว่าพวกทหารธรรมดาอีก

“ ตัวบ้าอะไรวะ … อัค!! ”

“ กรี๊ดดด มันยิงมาแล้ววว!! หล… โพละ ”

“ กำแพงกันไม่อยู่เว้ย!! ”

กระนั้นก็ตามก็มีบางตัวที่แตกต่่างออกไป บางตัวที่ไม่ได้ลงมาเหมือนกับตัวอื่นๆ มันมีขนาดใหญ่กว่ามากแถมยังทาสีม่วงดำทั้งตัว จนเด่นกว่าใครเขา แถมอาวุธที่ติดตั้งก็เห็นได้ชัดว่าเยอะ มันทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วและพอใกล้จะกระทบกับพื้น กระเป๋าที่ด้านหลังของมันก็พ่นเปลวเพลิงออกมาชะลอให้มันแตะกับพื้นอย่างนิ่มนวล

ฟู่!! ฉึก ฉึก

“ อ๊ากกกกก!! ”

“ ไม่ๆ ไม่! ดับไฟที ดับไฟให้ข้าเร็วเข้า อ๊ากก!! ”

แต่แล้วในระหว่างที่ทหารกำลังตกอกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่ได้ระวังที่ด้านหลังของตัวเองเลยสักนิด และกว่าจะรู้ตัวก็ช้าเกินไปเสียแล้ว ทั้งสิ่งที่รับรู้ได้ก็เป็นเปลวเพลิง กับเสียงกรีดร้องที่เสียดแทงเข้ามาในหัวใจของผู้คนโดยรอบ

[ ศัตรูลงมาแล้ว?!? บ้าน่า…อึก ! ]

นายทหารหันกลับไปมองดูแล้วภาพที่ได้เห็นก็น่าสยดสยองกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ภาพเพื่อนฝูง ลูกน้องที่ร่างกายกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำจากเปลวไฟที่ลุกขึ้นบนใบมีดที่ปักอยู่บนร่างของพวกเขา ทั้งที่อยู่ข้างๆกัน ก็เห็นเลยว่าร่างของทุกคนกำลังมีบางอย่างแทงทะลุออกมา เข็มหินสีเทา

“ ถ ถ ถอย!! พวกเราสู้พวกมันไม่ไหวหรอก!! ”

“ เห้ย!! คิดจะหนีทหารงั้นเหรอวะ!! ”

“ ถ้าจะอยู่แล้วตายใครจะไปยอมล่ะ!! ”

“ ใช่ๆ หนี!! ต้องหนี!! ”

ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้น จิตใจสู้ของทหารก็ลดลง พวกเขาไม่รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่พอจะเดาได้คือยิ่งเวลาผ่านไปนาน ยิ่งอันตรายแล้วก็ทำให้ทหารหลายต่อหลายคนเริ่มหันหลังหนีสนามรบ เริ่มจะทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งลงจากหอคอย ทว่ามันก็เป็นการตัดสินใจที่เลวร้ายสุดๆ การหันหลังมันก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ฟู่…. ฉึกๆๆๆๆ

“ อ๊ากกก!! ”

“ ร้อน! ร้อน!! อึกกก!! กรี๊ด!! ”

“ ย ย หยุด.. อัค จ เจ็บ.. ”

เงาของคนสองคนกระโจนออกมาจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แล้วทั้งสองเงานั้นก็จัดการปลิดชีพทุกคนที่หนีทั้งหมดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหยุดลงที่ด้านหน้าของนายทหารผู้นี้ที่ยังคงมีใจกล้าและถืออาวุธหันเข้าใส่ศัตรูของเขา

“ ดูท่าจะยังมีคนที่รู้ว่าต้องทำอะไรนะอคโต ”

“ ค่ะท่านพี่… แต่ว่าก็คงได้ไม่นานหรอกมั้งคะ ”

ทั้งสองหันมามองยังตัวของนายทหารพร้อมกับกล่าวชมเชย แต่เขาที่ฟังก็ไม่ได้รู้สึกดีใจนักเลย คนหนึ่งเป็นหญิงในชุดพ่อบ้านผู้มีผมสีแดงประกายไฟและหน้ากากที่มีเพียงดวงตาอันโกรธเกรี้ยวตลอดเวลากับดาบหน้าตาประหลาดที่กำลังระอุจนสีสว่างออกมา ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงผมสั้นสีเงินในชุดรัดรูปแปลกประหลาดเธอสวมผ้าคาดตาสีดำไว้ ในมือเองก็ถือเรเปียร์สีเงิน

“ ดูท่าจะยังไงก็ตายสินะ แต่แบบนี้คงต้องขอยื้อเวลาให้คนอื่นหนีไปให้ได้ก่อน… ”

เขารู้อนาคตของตัวเองทันทีที่ทั้งสองชี้ดาบเข้าใส่ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่อาจจะถอยได้แล้วและถ้าเป็นไปได้เขาก็มีแค่ความคิดเดียวว่าเขาจะต้องยื้อเวลาของศัตรูให้้ได้มากที่สุดและให้หน่วยที่อยู่ภาคพื้นสกัดศัตรูไม่ให้ผ่านแนวป้องกันนี้ไปได้

ปั้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ครืดดดดดด กึงงง ตู้มมมมม

“ แน่ใจเหรอว่าจะยื้อเวลาให้คนตายได้น่ะ? ”

ทว่าเสียงปืนก็ดังสนั้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมันก็ไม่ได้มาจากด้านหลังของหอคอยนี้ ไม่ได้มาจากจุดที่พวกศัตรูร่อนลงมา เสียงพวกนี้มันมาจากชายหาด แถมยังมีอย่างต่อเนื่องจนทำให้นายทหารต้องเหลือบไปมองดูพร้อมกับเสียงพูดอันแสนจะเย็นชาจากหญิงสาวผมสีแดงนั้น อย่างไรก็ดีภาพที่เห็นนั้นมันก็ทำให้เขาทำในสิ่งที่เหมือนจะย้อนแย้งกับตอนแรก เขาลดดาบลงพร้อมกับก้มหน้ารับโชคชะตาของตัวเองอย่างไม่ขัดขืน

“ อ้าว ยอมแพ้แล้วแหะ… เห้อ พูดเหมือนกับรู้ล่วงหน้าเลยนะอคโต? ”

“ คือท่านพี่ ท่านพี่น่าจะเห็นนะคะว่าในสถานการณ์แบบนี้จะสู้ชนะมันเป็นไปไม่ได้เลย ”

“ นั้นสินะ นั้นสิน้าา แย่จริงๆแหะ อ้าวนาย… อืม เรียบร้อย ”

สิ่งที่เขาเห็นก็คือ รถเกราะเหล็กมากมายนับสิบทยอยขึ้นจากทะเล แล้ววิ่งไปบนชายหาดทะลุผ่านสิ่งกีดขวางอย่างง่ายดาย สิ่งกีดขวางที่ใช้เวลาสร้างนานกว่า 10 วันทั้งหมดถูกพังย่อยยับไร้ชิ้นดี ทั้งทหารที่คอยอยู่ ทั้งนักเวทย์ที่เตรียมตัว ก็ถูกปืนพวกนั้นยิงตายก่อนจะได้ตอบโต้เสียอีก นั้นเองทำให้เขารู้ว่านี้มันไม่ใช่สนามรบแล้ว…

“ ฮะ ฮะ ฮ่าๆๆๆ …. ที่นี้คือลานประหารพวกข้าสินะ ใช่ ที่นี้คือที่ตายของพวกเรา ช่าย ที่ตาย… ”

… …

“ ฮ่าห์ ฮ่าห์… มาช่วยข้าที ”

“ อ อื้ม แปปนะ… อึก อึก อึก ฮ่าห์ โอเค ยาพร้อม มาวางนายท่านลงมาได้เลย ”

ในเวลาเดียวกันที่อีกฟากหนึ่งของดินแดนนี้ ณ บริเวณเขาลูกใหญ่อันเป็นปราการก่อนเข้าสู่พื้นที่ราบสูงอันอยู่ติดกับทะเลนั้น กลุ่มคนนับสิบกำลังช่วยกันทำสิ่งๆหนึ่งที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ก็ยากแสนยาก

“ ค่อยๆนะ ใจเย็นๆ อย่าปล่อยลงมาแรงล่ะไม่งั้นเดี๋ยวมานาพวกเราโดนดูดกันหมดแน่ ”

“ ค้า ค๊าา ค่าาา เข้าใจแล้วค่าา ฮึบบบ ค่อยๆหย่อนขาลงไป ฮ่าห์ มานาไหลแล้ว… ”

“ อ อ โอยย มานาข้าจะหมดแล้วเนี่ย… ฝากต่อด้วยนะ ”

สิ่งนั้นคือการแบกหามร่างของนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่ตอนนี้กำลังหลับไหลไร้สติอยู่ โดยที่ทุกๆคนได้แต่แบกร่างเขาไปได้แค่ร้อยเมตรก็ต้องเปลี่ยนคนอุ้มต่อเพราะร่างกายของพวกเขาถูกดูดมานาไปจนเกือบหมดจากการที่ต้องเร่งพาร่างนี้ออกจากพื้นที่อันตราย อย่างไรเสียก็มีอยู่ 2 คนที่สามารถแบกร่างของมาร์ไปได้ หลายกิโลเมตรโดยไม่ต้องพักนั้นคือ เทเสล่า และ เพนเท

“ ใกล้ถึงตาเค้าแล้วสินะ เอ่อออ ตาย ตาย มานาพึ่งฟื้นมาได้แค่นิดเดียวเอง ”

“ เอาน่า แฮก แฮก….เพนเท ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครไหวแล้วนะ…ฮ่าห์…ตอนนี้ ”

“ จ้า จ้า เทเสล่า แหม…พูดออกมาทั้งๆที่หอบแบบนั้นน่ะนะ ”

“ อึก ทำไงได้ล่ะ… ”

ทั้งนี้แม้ทั้งสองจะทำได้มากกว่าคนอื่น แต่จริงๆทั้งคู่ก็เหนื่อยอยู่พอตัวจนบ่นออกมาให้เห็นได้แบบนี้แถมยังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนสุดๆผ่านสีหน้าของเพนเทที่หมองหม่นยิ่งกว่าปกติที่เธอเป็นหลายเท่า และอาการหอบของเทเสล่าที่ไม่เคยจะหอบสักครั้งตลอดการใช้ชีวิตที่ 2 ของเธอ

“ เร็วเข้าอีกแค่ไม่กี่ร้อยกิโลเมตรเอง!! ”

“ ค ค ครับท่านเพนเท! ”

“ อ อ อัค ร ร รับทราบค่ะ ”

แต่ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ตาม หน่วยพิเศษนี้ก็ไม่อาจจะหยุดมือหรือขาของตนได้ เพราะทุกก้าวที่เข้าใกล้ทะเล ก็มีค่ามีความหมายต่อชีวิตของนายท่านผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก และพวกเขาทุกคนก็พร้อมถ้าจะต้องเอาชีวิตของตนเข้าแลกก็ตาม

“ เอาล่ะ!! ต่อให้พวกเราต้องหน้ามืด สลบเหมือด หรือช็อกไปบ้างแต่ก็อย่าลืมล่ะว่าต้องรีบพานายท่านไปให้ถึงชายหาดให้ได้!! แล้วถ้าไปถึงตอนนั้นพวกเรายังรอดกันอยู่ ชั้นจะเลี้ยงอาหารหรูที่ภัตตาคารที่เมืองหลวงเอง!! ไม่สิ เดี๋ยวออกใบลาหยุด 1 สัปดาห์ให้ด้วยเลยเอ้า!! ”

“ อ โอ้!! สู้ตายยครับ!! ”

“ พ พ เพื่อ ข ข ของกินและวันหยุดดด ”

“ ชอปปิ้งงง!! ”

อย่างที่เห็น เพนเทก็ยังคงพูดล้อเล่นและสบายใจได้ เพราะเธอนั้นรู้สถานการณ์ดีกว่าใครผ่านการเห็นดวงวิญญาณมากมายรอบๆตัวของเธอที่เหมือนกำลังวุ่นวายกับการจัดกอง จัดแถวอะไรบางอย่างแล้วก็มุ่งตรงไปยังชายหาดกันอย่างเร่งรีบ นั้นทำให้รอบๆพวกเขาตอนนี้ไม่มีวี่แววการมาของศัตรูเลยแม้แต่น้อย ถึงจะเป็นแบบนั้นดวงตาของเพนเทก็ดูอ่อนล้าลง เธอมองไปยังฝั่งของชายหาดแล้วถอนหายใจก่อนจะพูดอย่างหมดเรี่ยวแรงว่า

“ ฮ่าห์…วิญญาณคนตายจะเยอะไปแล้วนะ!! คิดถึงนายท่านบ้างสิ…เห้อ นี้รู้กันหรือเปล่าเนี่ยว่านายท่านเองก็เป็นเหมือนประตูไปสู่การเกิดใหม่เลยนะยะ!! ถ้าวิญญาณหลงมาแล้วเค้าจัดการไม่ทันก็ยุ่งน่ะซี่!! ”

……

pip pip pip pip pip pip

“ ค ความรู้สึกแบบนี้…อาจารย์คะ!! ขออนุญาตออกไปรับสายโทรศัพท์ค่ะ!! ”

เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นภายในห้องบรรยายขนาดใหญ่ ทำให้เหล่านักศึกษาทั้งหลายหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้น ด้านหน้าสุดของโต๊ะเรียน หญิงสาวผมดำปลายสีม่วงเธอลุกขึ้นอย่างเร่งรีบแล้วกล่าวกับอาจารย์สาวที่กำลังสอนอยู่ เธอหันมามองเช่นกันก่อนจะพูดกับนักศึกษาคนนั้นด้วยเสียงที่กล้าๆกลัวๆ

“ อ อ เออ คือว่า ย ยูเรย์ อาจารย์ว่าตอนนี้ เรายัง… ”

“ ขอบคุณค่ะ เช่นนั้นขอตัวนะคะ ”

อ่า หญิงสาวผู้นั้น ยูเรย์เธอไม่ได้ฟังอาจารย์แต่อย่างใดและรีบร้อนวิ่งออกจากห้องไปพร้อมกับโทรศัพท์พับเครื่องสีม่วงของเธอที่มีที่ห้อยเป็นตุ๊กตาตัวเล็กๆของชายผมดำปลายสีแดง อย่างไรก็ตามเพื่อนของเธอที่นั่งข้างๆกัน เฟิร์น พอเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะหันไปมองยังอาจารย์สาวที่ยืนตัวสั่นหน้าซีดอยู่

“ เห้ออ…ไม่ไหวเลยน้ายูเรย์ เอาเถอะ…อะแฮ่ม!! อาจารย์คะ!! ช่วยสอนต่อด้วยค่ะ ”

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก แกร็ก กึง

ส่วนยูเรย์ เธอรีบเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเข้าไปนั่งในห้องแล้วปิดประตูล็อกไม่ให้ใครเข้าออกได้อีก เธอยืนอยู่ตรงหน้ากระจก ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนที่ล้างมือแล้วกางมันออกพร้อมกับกดปุ่มรับสาย ทันใดนั้นแสงไฟก็ฉายออกมา มันสแกนห้องนี้ทั้งห้องก่อนจะมีอักขระบางอย่างปรากฎตามผนัง แล้วปิดท้ายด้วยข้อความว่า [ SAFE SOUNDPROOF ]

“ เกิดอะไรขึ้นน่ะ!! ไอความรู้สึกนี้่!?! พี่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่ของชั้น!! ”

ภาพถูกฉายขึ้นมา ภาพของเหล่าหญิงสาวที่รายล้อมกัน 14 คน โดยที่ตรงกลางนั้นคือยูเรย์ที่มีสีหน้าเขร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เธอหันไปมองดูทุกคนซึ่งก็เห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนแล้วแต่มีสีหน้าที่เคร่งเครียดเช่นเดียวกับเธอ ไม่เว้นแม้แต่ทิเรียกับอคโตที่ได้ชื่อว่าไร้ความรู้สึก

“ ได้โปรดฟังดิชั้นก่อนนะเจ้าคะ ท่านพี่หญิง…ทุกคนเองก็รู้สึกเหมือนกันเจ้าค่ะ นายท่านตอนนี้ อ อึก… ตกอยู่ในสภาพไร้สติสมบูรณ์เจ้าค่ะ ”

“ ว่ายังไงนะ!! ”

ทิเรียเรียนให้ยูเรย์ฟังอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ซึ่งยูเรย์พอได้รู้ถึงเรื่องนี้ เธอก็ถึงกับล้มลงไปนั่งกับพื้นแล้วตะโกนออกมา เสียงตะโกนของเธอมันทำให้เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้รอบๆตัวนั้นเต็มไปด้วยหมอกสีม่วงที่กำลังกัดกินพื้นที่รอบๆ

“ บ บ แบบนี้ต้องฆ่า… ต้องฆ่า ไอคนที่มันทำกับนายท่านของชั้น พี่ชายของชั้น มัน… มัน… ”

ยูเรย์เริ่มจะพูดพึมพำออกมาพร้อมกับดวงตาที่เริ่มจะเปลี่ยนไป ความมืดเริ่มกลืนกินมันและนัยน์ตาเองกลายเป็นสีม่วงปนแดงเลือด ทุกคนที่อยู่ในห้องสนทนาพอได้เห็นก็ถึงกับเงียบและไม่กล้าจะพูดอะไรราวกับว่าพวกเธอถูกบางอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ให้พูดโต้แย้ง เว้นแต่…เพนเท

“ สงบสติอารมณ์สักทีสิยะ!! เคนโทร!! เธอคิดว่านายท่านอยากจะให้เราไปล้างแค้นแล้วทิ้งเขาไว้หรือยังไงกัน!! ”

เสียงนั้น เสียงของเพนเท เธอตะโกนออกมาพร้อมกับอุ้มร่างของนายท่านขึ้น ร่างของมาร์ที่หลับไหลไร้สติใดๆอยู่ ร่างของเขานั้นมีมีดบางอย่างปักไว้ที่หน้าอก มันแทงจากข้างหลังออกมาข้างหน้าแถมแผลรอบๆบริเวณนั้นก็มีอักขระบางอย่างกำลังกระจายออกไป ทว่าพอมันออกไปได้ไม่ไกลนักก็ค่อยๆจางหายกลับไปแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

“ อ่า… ช ชั้นขอโทษ ฮ่าห์ ฮ่าห์ ”

“ นั้นแหล่ะ สงบสติอารมณ์ได้สักที! เทเสล่า…ตาเธอแล้ว ”

ด้วยคำพูดนั้นของเพนเท มันก็ทำให้หมอกควันสีม่วงของยูเรย์เริ่มจะจางลง และดวงตาที่มืดมัวของเธอก็จางหายไปก่อนจะค่อยๆกลับไปเป็นปกติ ทว่าตัวของยูเรย์เองก็มีอาการเหนื่อยจนหอบ อย่างไรก็ตามเพนเทไม่ได้จะให้สถานการณ์ในห้องคุยนี้เงียบลง เธอเรียกเทเสล่าและทันใดนั้นจอของเทเสล่าก็รวมเข้ากับเพนเท แสดงให้เห็นว่าทั้งสองอยู่ที่เดียวกัน

“ อื้ม! ทุกคนฟังชั้นนะ ไอมีดนี้น่ะมันเป็นอาร์ติแฟคประเภท…สั่งตาย แต่ว่านายท่านของพวกเรา ท่านนั้นเหนือกว่ามันมาก เอฟเฟคของมันไม่ทำให้ท่านตายแต่ว่ามันทำได้เพียงกดสติของนายท่านเอาไว้เท่านั้น ”

“ แบบนี้ก็ดึงมันออกก็จบๆไปเลยสิคะท่านพี่เทเสล่า!! ”

การอธิบายโดยผู้มีความรู้ด้านเวทย์มนต์มากที่สุดในกลุ่ม เทเสล่าก็ทำให้ หนึ่งในผู้รับใช้หน้าใหม่สุดของมาร์ ชาลีรีบกล่าวขึ้นมาอย่างเร่งรีบและนั้นก็ทำให้เทเสล่าส่ายหน้า ก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสที่มีดนั้น… ทว่ามือของเธอไม่อาจจะจับมีดได้เพราะมีบางอย่างมาขวางกั้นเธอเอาไว้ และแม้เธอจะพยายามใช้แรงมาเท่าไหร่มันก็ไม่อาจจะเข้าไปจับได้เลย

“ อย่างที่เห็นนั้นแหล่ะชาลี อาร์ตีแฟคนี้มันมีระบบป้องกันของมัน ระบบที่จะกางกำแพงเวทย์มนต์หลายชั้นเพื่อไม่ให้ถูกขัดขวางการทำงานของมัน จนกว่า…เหยื่อจะตายลงจริงๆ ”

เทเสล่าก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง เช่นกันทุกคนพอรู้เองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน เว้นแต่ยูเรย์ที่เธอหันไปมองยังเพนเทก่อนจะถามออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเพนเทที่ถูกมองก็เหมือนจะรู้ว่าตัวเองจะโดนถามว่าอะไร

“ เพนเท เธอพานายท่านกลับมาผ่านสกิลของตัวเองได้หรือเปล่า? ”

“ ว่าแล้วว่าจะถามแบบนี้ เห้อ… ตามตรงนะเคนโทร เป็นไปไม่ได้เลยล่ะที่นายท่านในตอนนี้จะเดินทางในเส้นทางวิญญาณได้… ท่านที่ไร้สติแต่มีวิญญาณกับร่างที่จุไปด้วยมานาปริมาณมากกว่าคนทั่วไปเป็นล้านล้านเท่าจะมีสถานะกลายเป็นประตูปลายทางแล้วเป็นเป้าล่อให้พวกวิญญาณ…ทั้งทวีป ไม่สิ อาจจะครึ่งโลกเข้ามารุมทำร้ายและชั้นกับเทเสล่าแค่สองคนเอาไม่อยู่แน่ๆ ”

“ หมายความว่ามีแต่ต้องพามาด้วยวิธีปกติสินะ ”

“ อิืม ตอนแรกก็จะให้เทเสล่าอุ้มไปแต่ว่า… ”

เพนเทพูดจบก็หันไปมองยังเทเสล่าที่ตอนนี้กำลังตรวจดูมีดบนหน้าอกของนายท่าน เธอหันกลับมามองยังทุกคนก่อนจะส่ายหน้าแล้วเริ่มพูดอธิบายอีกหน โดยที่เพนเทที่นั่งข้างๆก็กลับไปดูอาการนายท่านของเธอแทน

“ อย่าบอกว่าจะให้ชั้นอุ้มเลยเพนเท ตอนแรกพวกเราน่ะพยายามอุ้มแล้ว แต่ว่าพอเริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มานาของชั้น ไม่สิ ของเพนเทเองก็ด้วย มานาของพวกเราถูกเจ้ามีดนี้ดูดไปอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะสลบเลยล่ะ ก็นะ อย่างที่บอกเจ้ามีดนี้มันมีเป้าหมายเพื่อฆ่า ดังนั้นเราที่เข้าไปขัดขวางมันด้วยการย้ายเพื่อนำตัวนายท่านกลับไปก็เลยถูกมันขัดขวางแบบนี้ ”

“ แบบนี้ก็เคลื่อนย้ายกลับมาไม่ได้เลยสินะเทเสล่า? ”

เอนนาที่นั่งเงียบไม่พูดมาตั้งแต่ต้นก็พูดออกมา พร้อมกับกุมใบหน้าของตัวเองด้วยมือทั้งสองข้าง เช่นกันกับดีย์โอะที่อยู่ข้างๆ เธอเอื้อมมือเข้ามาแล้วลูบหลังของเอนนาอย่างช้าๆ อย่างไรเสียในความสิ้นหวังนี้มันก็ยังมีหนทางอยู่ เทเสล่าหันกลับแล้วเดินเข้าไปแบกร่างของนายท่านขึ้นอย่างช้าๆ

“ มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเลย แค่มันยากแล้วก็ช้ามากๆเท่านั้นเอง วิธีก็คือเคลื่อนย้ายไปโดยไม่ใช้มานาใดๆ เคลื่อนด้วยแรงกายเพียวๆแบบนี้ ”

เทเสล่าเธอเริ่มเดินให้ทุกคนได้เห็นแล้วทุกคนก็รู้ได้ว่ามันยังพอมีทางที่จะพาร่างของนายท่านของพวกเธอกลับมา แม้ทางนั้นมันจะช้ามากๆก็ตาม แต่มันก็คงเป็นทางเดียวที่พวกเธอจะทำได้ในตอนนี้ ทว่าสองสาวหัวนักประดิษฐ์ก็ยกมือขึ้นซึ่งทิเรียที่เห็นก็พยักหน้าเป็นการอนุญาต

“ ถ้าห้ามใช้มานา แบบนี้ก็ส่งเครื่อง TwinWings ไปรับมาก็ได้สิ!! ”

“ ใช่ๆ แบบที่พี่เอ็กซิบอกถ้าในเมื่อห้ามใช้มานา พวกจักรกลและยานยนต์ที่พวกเราสร้างก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะตัวมานาโดนแปลงเป็นไฟฟ้ากับพลังงานจลน์หมดแล้ว!! ”

ทั้งสองพูดถึงแนวทางช่วยเหลือที่ใช้ยานพหนะเป็นตัวนำพามาร์ออกมา แล้วนั้นก็เหมือนจะเป็นทางออกที่ดี แต่เทเสล่าก็ยังคงส่ายหน้า แล้วเริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วด้วยแรงปกติ ซึ่งก็ไม่นานเลยที่สีหน้าของเธอจะซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วนั้นก็ทำให้เธอค่อยๆวางร่างของนายท่านลงก่อนจะหันมามองทุกคน

“ อย่างที่เห็น ถ้าให้ชั้นอธิบายก็คงจะเข้าใจกันยาก พวกเราเคลื่อนที่ร่างนายท่านได้ แต่ว่าถ้าเร็วเกินไปแม้แต่นิดเดียวมานาของๆรอบ ใช่ รอบๆหมายถึงในถังเชื้อเพลิงของเครื่องบินก็จะหายไปด้วย ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคงเป็นใช้รถยนต์กับเรือเท่านั้นแหล่ะ ”

“ อ่า… ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะเจ้าคะท่านพี่หญิงเทเสล่า ”

ทิเรียพอรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดแล้วเธอก็เริ่มกดแผงควบคุมตรงหน้าเพื่อวางแผนในการช่วยเหลือนายท่านของเธอ อย่างไรก็ตามยูเรย์ที่ลุกขึ้นมาแล้วก็หันไปมองยังเพนเทพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่เย็นชา

“ ถึงมันจะยากนะเพนเท ยังไงเธอกับเทเสล่าพยายามพานายท่านกลับมาให้ใกล้ฝั่งของเรามากที่สุด เข้าใจนะ ”

“ แหงละ นี้ก็กะไว้แล้วว่าหลังจากหมดนี้จะพลัดกันแบกนายท่านกลับไปจนกว่าจะถึงชายฝั่งน่ะ อ๋อ แล้วพวกหน่วยพิเศษเองก็จะมาช่วยกันด้วย คงใช้เวลาอยู่หลายวันแหล่ะ ”

“ อืม ขอบใจนะเพนเท ”

“ เห??? แปลกนะเนี่ยที่อยู่ๆมาขอบใจเค้าน่ะ? ”

สถานการณ์ของทุกคนเริ่มจะผ่อนคลายขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ใช่จะสบายใจไปเลยทีเดียวเพราะสุดท้ายแม้จะมีวิธีพานายท่านกลับมาได้ แต่มันก็ยังช้ากว่าที่จะหมดห่วงได้ ดังนั้นทิเรียที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็ได้กลับมาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหันไปมองยังดีย์โอะ

“ ท่านพี่หญิงดีย์โอะเจ้าคะ แผนขึ้นฝั่งดิชั้นต้องขอเปลี่ยนนะเจ้าคะ ”

“ อ อ อื้ม เอาเลย เอาอะไรก็ได้ขอแค่พานายท่านกลับมาให้ไวที่สุดก็พอ ”

“ เจ้าค่ะ ดังนั้นแผนการณ์ของพวกเราฝ่ายยกพลเข้ายึดปราสาทจะเริ่มเร็วกว่าเดิม ท่านพี่หญิงดีย์โอะจะเป็นคนนำทัพขึ้นฝั่งไปก่อน ส่วนท่านพี่หญิงเอนนากับน้องอคโตจะอาศัยท้องฟ้าที่ยังไงก็ต้องให้น้องเอ็กซิกับเดคกะคอยคุมขนส่งให้ แล้วเมื่อเราเข้ายึดชายหาดได้แล้ว เอปต้า ชาลีจะนำทัพทหารยานเกราะหนักลงไปพร้อมกับบุกต่อแบบไม่หยุดจนกว่าจะถึงปราสาท ทั้งหมดประมาณนี้เจ้าค่ะ นั้นหมายความว่าพวกเราจะลดระยะเวลาเริ่มปฏิบัติการณ์จาก 48 ชั่วโมงเหลือ 24 ชั่วโมงเจ้าค่ะ ”

ทุกคนที่นั่งฟังก็พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเริ่มลุกและหันกลับไปเตรียมตัวตามแผนนี้ ดีย์โอะเธอเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำที่พึ่งสั่งตัดมาใหม่ เอนนาเองก็สวมสูทกับซองดาบคัตเตอร์ของเธอ อคโตเองก็พอกันเธอเปลี่ยนจากเครื่องแบบทหารตามปกติมาเป็นชุดออกรบที่มีแผ่นเกราะติดอยู่ตามตัวมากมายและซองที่ใส่เล่มดาบเรเปียร์อีกนับสิบ

เอ็กซิกับเดคกะทั้งคู่ก็หยิบเอาหมวกนักบินมาสวมแล้วหมวดพวกนั้นก็เรืองแสงสว่างทำให้เห็นว่ามันกำลังฉายภาพมากมาย ภาพของแผนที่การบินให้กับทั้งสอง เอปต้า ชาลี ทั้งคู่เดินออกหายไปจากจอพร้อมกับเสียงของเครื่องจักรที่ดังขึ้นในจอของพวกเธอ

เอเนอากับอัลฟ่าและเบต้าวัน เบต้าทู ทั้งสามสวมอุปกรณ์มากมายที่มีเครื่องหมายกาชาดบนนั้น บ่งบอกได้ว่าทั้งสี่คนมีหน้าที่เป็นแพทย์สนามในศึกครั้งนี้ เว้นแต่ว่าเอเนอาเธอแบกธนูคอมพาวน์ขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วยแถมแก้วกาแฟที่ใช้ดื่มก็วางลงก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหลอดบางอย่างเสียบเข้าที่หลังคอของเธอ

ทว่าตลอดเวลาที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวอยู่ ทิเรียก็สังเกตุเห็นว่ายูเรย์กำลังยิ้มอยู่ นั้นทำให้เธอถึงกับรู้สึกได้เลยว่าพี่สาวของเธอจะต้องทำอะไรแน่ๆ และนั้นทำให้ทิเรียหันมามองพร้อมกับตั้งใจรอรับฟังสิ่งที่พี่สาวของเธอจะพูด

“ ทิเรีย…หลังจากนี้ ส่งเครื่องมารับพี่ด้วยนะ… ”

“ จ จ เจ้าค่ะท่านพี่หญิง แต่ว่าเรื่องมหาลัยล่ะเจ้าค่ะ? ”

ยังไงก็ตามแม้ทิเรียจะรับฟังคำสั่งนั้น เธอก็ใช่ว่าจะกดออกคำสั่งในทันที เธอถามพี่สาวของเธอผู้นี้อีกครั้ง ถามเมดลำดับที่ 0 อีกหนเพราะเธอยังจำคำสั่งของมาร์ได้ว่า “ ให้ยูเรย์โฟกัสกับการเรียนก่อน ” ทว่าตัวของยูเรย์นั้นก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดออกมาสั้นๆว่า

“ เรื่องนั้น เดี๋ยวชั้นให้เฟิร์นจัดการให้เอง… ยังไงพวกครู อาจารย์ก็คงไม่ห้าม น้องสาวที่กำลังจะไปดูอาการของพี่ชายหรอกใช่ไหมล่ะ? แล้วก็นะ แค่จัดการพวกสวะที่ทำให้พี่ชั้นต้องมาหลับแบบนี้ ไม่กี่วันก็คง…จบ ”

……

ฟุบ ฟุบ

และเมื่อได้ออกคำสั่งไปแล้ว มาร์ก็ได้ชวนให้อคโตถอยห่างออกมาซึ่งตัวของอคโตก็ตามไปติดๆ ทำให้ทั้งสองคนหายไปจากเบื้องหน้าของคอนเซนเทล ทิ้งให้เขาต้องรับมือกับกระรอกยักษ์นี้ด้วยตัวคนเดียว แน่นอนว่าพอไม่มีทางเลือกอื่น อัศวินหนุ่มจึงหันกลับไปมองยังเจ้าขนปุกปุยยักษ์ที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับยกดาบชี้หน้าไปที่มัน

“ เอาก็เอา!! มาเลย!! อีหนูเขมือบมือใหม่!! ”

กี๊!!!!!!!!!!

กึง กึง กึง กึง ฉัวะ ฉึก

เจ้ากระรอกนั้นเข้าปะทะกับคอนเซนเทลในทันที แรงปะทะมหาศาลนั้นส่งให้เกิดแรงอัดอากาศกระจายไปทั่วทั้งซ้ายและขวาซึ่งถ้าเป็นตอนที่คอนเซนเทลไม่มีบัฟจากมาร์ล่ะก็…เขาคงถูกอัดปลิวไปหลายสิบเมตรแน่ๆ แต่ก็นะตอนนี้ที่มีบัฟเขาก็สามารถจะสู้กันมันได้อย่างสูสี

ฟุบ ฟุบ กึง ฉึก

กรงเล็บของมันนั้นพุ่งเข้าหาคอนเซนเทลแต่ก็ต้องติดโล่ของเขาอยู่เสมอ ส่วนคอนเซนเทลก็ใช่จะอยู่ตั้งรับอย่างเดียว เขาพยายามจะแทงดาบสวนกลับไปแต่ว่าดาบของเขาก็ไม่อาจจะฝากบาดแผลไว้บนร่างกายของมันได้เลย ทำให้ตอนนี้ฝ่ายที่ดูจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่าก็คงไม่พ้นตัวของอัศวินหนุ่ม

“ ช่วยอัศวินนั้นเร็วเข้า!! ”

“ เปลวเพลิงแห่งเรา จงมอด… ”

“ จะหนาวเหน็บ หนาวเพียงไหน จะฝ่าไป… ”

“ เพราะเธอคือยาพิษ ที่สุ… ”

“ ไม่มีแสงไฟ มองไปที่ใด… ”

“ เชี้ยยย อย่าพลาดนะกุ อย่าพลาดดด ”

“ เล็งดีๆ เล็งดีๆ ”

ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เหล่าปลิงก็ไม่ได้จะอยู่เฉยไปซะทีเดียว พวกเขาและเธอต่างออกมาจากสถานที่ที่ตัวเองหลบพร้อมกับเริ่มโจมตีไปที่ตัวกระรอกยักษ์ในทันทีทั้งเวทย์มนต์ ทั้งลูกธนู ทั้งปามีด อย่างที่เห็น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการโจมตีระยะไกลไปซะทั้งหมด ซึ่งก็สมควรแล้วที่เป็นแบบนั้นเพราะถ้าวิ่งเข้าไปตีใกล้ตอนนี้คงไม่พ้นโดนตบกระเด็นติดกำแพงแน่ๆ

กี๊!!!!!!!!!

ฟู่ม ฟู่ม เปรี้ยงงงง ครึก ครึก ฟิ้วววว

แก็ง! แก็ง!! กึง!!

“ ชิ!! ยิงกันมาไม่ดูเลยนะ!! ”

แต่แทนที่จะได้ช่วยมันกลายเป็นว่าทั้งเวทย์ทั้งธนู มีด ทั้งหลายพุ่งเข้ามาเกือบจะโดนเขาอยู่หลายหน ดีที่บัฟของมาร์นั้นมีโล่ห์มานาอยู่ทำให้ไม่มีอะไรพุ่งมาโดนตัวเขาเลย กลับกันเจ้าปุกปุยตรงหน้าที่โดนไปเต็มๆ มันกลับไม่สะทกสะท้านอะไรนัก มากสุดก็คือขนบนตัวที่ไหม้หายไปเป็นหย่อมๆก็เท่านั้น

[ สถานการณ์แบบยิ่งยื้อยิ่งแย่แหะ ]

ทางมาร์ที่ยืนมองดูอยู่ร่วมกันกับอคโต เขาสังเกตุเห็นได้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาของการต่อสู้ระหว่างคอนเซนเทลและกระรอกยักษ์นี้ ฝ่ายคอนเซนเทลมีแต่จะแย่ลง แย่ลงเรื่อยๆ ทั้งจากบัฟที่ค่อยๆอ่อนตัว และความเหนื่อยที่แสดงให้เห็น แต่เจ้ากระรอกนั้นมันไม่มีอาการพวกนีัให้เห็นเลย คงเป็นเพราะเป็นบอสที่ร่างกายจะรีเซ็ททุกครั้งที่การต่อสู้สิ้นสุดลงก็เป็นได้ เพราะแบบนี้เขาจึงได้พูดออกมาเป็นคำพูดสั้นๆที่มีสายมานาสีฟ้าเข้มปนอยู่ มันลอยเข้าไปหายังตัวอัศวินหนุ่มนั้น

“ ถอยซะคอนเซนเทล ”

“ !!!! ”

เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูของอัศวินหนุ่ม เขารู้ได้ว่านี้เป็นเสียงของใครและคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้าเท่านั้น มาร์ที่เห็นการตอบรับดังกล่าวก็เลยต้องพูดด้วยคำพูดที่เบาแบบก่อนหน้าออกไปอีกครั้ง

“ ทำไมล่ะ? ”

“ ตอนนี้ถอยไม่ไหวเลยครับ!! ม ม มันโจมตีแบบไม่กะให้ลด อึกก!!.. ผมลดการป้อนกันลงไม่ได้เลยครับ!! ”

กี๊!!!

มาร์ที่ได้ยินคำตอบแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มออกมาก่อนจะก้มหน้าลงอย่างช้าๆเพื่อคิดว่าจะเอายังไงต่อ ส่วนทางคอนเซนเทลก็เอาแต่ตั้งรับกับพยายามสวนกลับเช่นเคย ทว่าตัวของอคโต…เธอกลับมองดูเจ้าบอสนั้นราวกับว่ากำลังมองสัตว์เลี้ยงอยู่อย่างนั้น

[ อืมมม ถอยไม่ได้เพราะไม่มีช่องว่างให้ทำ แต่ว่าเราจะจัดการมันเลย…ก็ เอ่อ…ไม่ดีกว่า ถ้าโชว์เทพตั้งแต่ตอนนี้ไอการเอาแนวหน้ามามันจะ…เปล่าประโยชน์ อืม ใช่ๆ อคโต… ]

เมื่อคิดแล้วก็มาร์ก็ตัดสินใจได้ไม่ยากเลยว่าจะทำยังไงต่อ เขาค่อยๆหันไปมองอคโตที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ สายตาของเธอในตอนนี้ไม่ได้มองมาที่เขานั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองดูอยู่ อย่างไรก็ดีมาร์ก็ไม่ได้จะแกล้งเธอแต่อย่างใด เขาค่อยๆเรียกชื่อของอคโตออกมาเพื่อเรียกสติของเธอ

“ อคโต… ”

“ ค ค คะ?!? มีอะไรอย่างงั้นเหรอคะท่านม… มาร์ ”

“ นั้นน่ะจัดการได้ไหม? ”

ทันทีที่อคโตหันมาสนใจเขา มาร์ก็หันกลับไปมองยังบอสกระรอกที่กำลังโจมตีใส่คอนเซนเทลอยู่ ตัวอคโตเองก้มองตามเช่นกันและนั้นก็ทำให้เธอทำหน้าเศร้าไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างช้าๆ

“ ดี ดี ถ้างั้นฝากจัดการด้วยล่ะอคโต ”

“ ค่ะ…ท่าน… ”

อคโตกล่าวรับทราบกับคำสั่งนั้นอย่างช้าๆ พร้อมกันเธอก็ชักเอาดาบเรเปียร์ออกมาจากฝักดาบที่เหน็บอยู่ที่เอวของตน อย่างไรเสียดาบนั้นก็ต่างกับดาบเรเปียร์ทั่วไปอยู่อย่างหนึ่ง ตัวดาบที่ควรจะเป็นใบมีดขนาดเรียวยาว มันกลับมีหน้าตาคล้ายกับเข็มเสียมากกว่า

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ฉึก!! กี๊!!!!!

หญิงสาวผู้นี้กระโดดเข้าหาศัตรูอย่างรวดเร็วแล้วโจมตีใส่มันอย่างแม่นยำ แม่นยำมากๆในระดับที่ดาบของเธอแทงลงไปจนสุดราวกับว่าตรงนั้นไม่มีกระดูกเอาไว้ขวางกั้น อีกทั้งจุดที่เธอเล็งก็เป็นจุดที่ยากมากสำหรับนักพจญภัยทั่วไปจะสามารถทำได้ จุดนั้นคือข้อต่อของมันโดยเริ่มจากข้อต่อบริเวณที่อยู่ห่างจากร่างไปมากที่สุด นิ้วมือ…

“ ค ค คุณอคโต!! ”

“ อ่าา เท่านี้ก็ถอยๆไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเกะกะชั้นเปล่าๆ ”

“ ค ครับ!! ”

และด้วยการโจมตีนี้เองทำให้เจ้ากระรอกนี้ถอยหนีออกไปด้วยความเจ็บปวด เปิดให้มีช่องว่างพอจะให้คอนเซนเทล ซึ่งอคโตที่อยู่ใกล้ๆก็ย้ำกับเขาด้วยท่าทีที่จริงจัง ทำให้คอนเซนเทลรีบพยักหน้าก่อนจะวิ่งถอยห่างออกมาหลบหลังต้นไม้อยู่ห่างออกจากจุดที่มาร์ยืนอยู่ไม่มากนัก

ฉึก ฉึก ฉึก กี๊!!

“ ขอโทษ… ”

อคโต เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่ดูเศร้าๆแต่ว่ามันขัดกับการกระทำของเธอสุดๆ เธอยังโจมตีในแบบที่แม่นยำเหมือนเดิม ดาบของเธอแทงลงตามเส้นเอ็นกับข้อต่อ ทำให้บอสต้องส่งเสียงกรีดร้องทรมานออกมาอย่างน่าเวทนา และมันเองก็เริ่มจะขยับตัวช้าลง

“ … ”

ฟุก ฟุก ฉึก ฉึก กี๊!!!!

แต่ว่าการขยับช้าลงนั้นไม่ใช่เพราะว่ามันบาดเจ็บจากการถูกเรเปียร์แทงแต่เป็นเพราะ จู่ๆในจุดที่ดาบแทงลงไปก่อนหน้านี้ มันเริ่มมีหนามศิลาแทงทะลุกลับออกมา และเจ้าหนามพวกนี้นั้นมันก็ทิ่มแทงบอสทุกครั้งที่มันขยับตัว ทำให้ร่างของมันเริ่มจะมีเลือดไหลออกไม่ก็พุ่งออกมามาสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง

“ อย่าขัดขืนเลยนะ…ขอร้องล่ะ ”

อย่างไรก็ตาม อคโตไม่ได้หยุดมือของเธอลงแม้ว่าตัวเองจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดก็ตาม เธอเริ่มจะแทงไปยังจุดอื่นๆอย่างต่อเนื่อง ตามผิวหนังของมัน ตามแขนขา ตามจุดต่างๆนับไม่ถ้วน

ฟุก ฟุก ฟุก ฟุก ฟุก กี๊!! กี๊!!!!

และก็ไม่นานเลย ที่หนามจำนวนมากมายจะทิ่มแทงทะลุกลับออกมาจากร่างของมันมากมายนับไม่ถ้วน พร้อมกับเปลี่ยนให้ร่างกายของมันกลายเป็นเหมือนกระบองเพชรไปเสียแล้ว กระบองเพชรที่ฉุ่มไปด้วยเลือดสีแดงที่ไม่ว่าจะเดินไปไหนทำอะไรก็จะทำให้พื้นที่รอบๆกลายเป็นแอ่งเลือด เปลี่ยนหญ้าสีเขียวให้กลายเป็นสีแดง เปลี่ยนกลิ่นหอมๆของธรรมชาติให้คละคลุ้งไปด้ยกลิ่นคาวอันน่าสะอิดสะเอียน

“ เท่านี้… ”

ฟุบ ฉึก กี๊!!!!

อคโตพูดออกมาพร้อมกับหลับตาลงก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังของมัน แล้วลงมือใช้เรเปียร์ในมือปักลงไปบนหลังคอของมันทำให้เจ้ากระรอกยักษ์นี้กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ทว่ามันก็ไม่ได้จะสิ้นฤทธิ์เสียทีเดียว มันใช้มือที่กลายเป็นเศษเนื้อที่มีหนามเต็มไปหมดโบกเข้ามาทีหลังคอของตัวเองเพื่อจะจัดการกับอคโต

ฟุบ ตุบ

กี๊!!!

“ อันตราย!!! ”

แต่อคโตก็หลบมันได้อย่างง่ายดายด้วยการกระโดดออกมายืนอยู่ข้างๆกับมาร์ ทั้งสองมองไปที่กระรอกยักษ์นั้น มันเองก็เช่นกัน มันมองมายังทั้งสองแล้วก็กระโจนเข้าใส่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น คอนเซนเทลที่เห็นก็ตะโกนออกมาพร้อมกับวิ่งเข้าหาหวังจะเข้าไปกันทั้งสองจากการโจมตีของมัน

“ ไม่ต้องหรอกคอนเซนเทล ”

มาร์พูดออกมาพร้อมกับหันมายิ้มให้กับอัศวินหนุ่ม ทำให้เขาได้เห็นว่าตัวเองมาช้าเกินไป… เจ้ากระรอกนั้นมันหยุดลงและร่างของมันก็เริ่มจะเปลี่ยนสี จากสีแดงของเลือดปนกับสีน้ำตาลของขนก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีเทาซีดจากปลายเท้าขึ้นมายังหัวของมัน ก่อนที่เพียงชั่วครู่เดียวมันจะกลายร่างเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนาม

ตึก ตึก ตึก

“ ขอบคุณที่เหนื่อยนะเจ้ากระรอกน้อย ”

ก็อก ครืนนนนนนนนนนนน

เด็กชายผมสีแดง ค่อยๆเดินเข้าไปหามันซึ่งทันทีที่เขามาถึงก็ได้ใช้มือเคาะที่ไปที่หัวของรูปปั้นบอสนี้ท่ามกลางการจับตามองดูโดยคนนับสิบไม่ว่าจะจากปาร์ตี้ของเขา หรือจากเหล่าปลิงก็ตาม อย่างไรเสียการเคาะที่เหมือนจะเบาก็ทำให้ร่างที่กลายเป็นรูปปั้นหินอยู่แล้วแตกสลายลงละเอียดกลายเป็นผงฝุ่นลอยกลายเป็นสะเก็ดสีฟ้าขึ้นไปยังด้านบนของห้องบอสนี้

กริ๊งๆๆๆ ตุบ ตุบ ตุบ ตึง

แต่ทว่าทันทีที่สะเก็ดสีฟ้าลอยขึ้นไปจนถึงยอดสุดของห้อง จู่ๆไอเทมมากมายก็ดรอปลงมา แม้จะไม่ได้มีจำนวนล้นเหลือมากมายแต่ทุกอย่างก็มีค่ามหาศาลหากนำออกไปขาย ทั้งหนัง ทั้งขน ทั้งเนื้อ และอาวุธทำจากเหล็กประหลาดอีกหลายชิ้นไม่ว่าจะมีด จะหอกก็ตาม

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ หยุด… ”

“ ทำไมล่ะครับท่านอคโต?!? ”

“ นี่นาย…คิดจะเก็บขยะพวกนั้นไปทำไมกัน? ”

“ ขยะ?!? ตรงไหนกันน่ะครับ?!? ดูยังไงมันก็สมบัติชัดๆ!! ”

“ หึ? ”

คอนเซนเทลนั้นกำลังจะเดินเข้าไปเอาของเหล่านั้น ทว่าอคโตก็มาห้ามเอาไว้ด้วยการมองดูผ่านหน้ากากของเธอ แม้จะไม่เห็นสายตาแต่อัศวินก็รับรู้ได้ว่าเธอนั้นกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก ยิ่งพอเธอพูดออกมายิ่งทำให้เขาต้องสับสนปนกับแอบโกรธขึ้นมา ทว่าเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากนั้นก่อนจะเดินตรงไปยังทางออก ซึ่งเป้นที่ที่มาร์ได้ไปรออยู่แล้ว

“ ขยะ… มันขยะยังไงกัน?!? อึก…หรือว่า… อ่า นั้นสินะ นี้มันก็แค่ชั้นแรกๆเอง… ”

อัศวินหนุ่มหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งพร้อมกับพูดกับตัวเองแบบนั้น เขาก้มหน้าลงก่อนจะแอบเหลือบตาไปมองดูของพวกนั้นอีกครั้ง ของมากมายนั้นถ้านำออกไปขายเขาก็คงอยู่สบายไปได้อีกเป็นเดือนๆ ทว่าแทนที่เขาจะพุ่งเข้าไปคว้าไว้ เขากลับนึกถึงสถานะขอตัวเองในตอนนี้ นั้นทำให้หลับตาลงและค่อยๆเงยหน้าขึ้นก่อนจะเดินตรงไปยังทางออกห้องนี้ในทันที

“ พวกนั้นไม่เอาของว่ะ!! แบบนี้ก็!! ”

“ ชิ!! ใครเร็วกว่าก็ได้ไปสิวะ!! ”

“ มาเด้!!! ”

“ เพื่อความสบายของพวกเรา!!! ”

อย่างไรก็ตามการไม่หยิบเอาของมาแบบนั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่มีเจตนาจะครอบครองแล้ว ทำให้พวกปลิงที่หลบๆกันอยู่ ต่างกรูกันเข้ามาแย่งของตรงนั้นกันอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นการปะทะขึ้น บางคนลงไม้ลงมือสู้ บางคนฉวยโอกาสหยิบเอามา แต่ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้คอนเซนเทลก็ไม่ได้สนใจอีกแล้วและเขาก็กำลังจะเดินมาถึงประตูทางออกแล้วด้วย

“ ตัดสินใจได้ดีนี่คอนเซนเทล ”

“ ข ข ขอโทษด้วยครับที่ผมเผลอสนใจสมบัติจนลืมสถานะของตัวเองไปแบบนั้น ”

คอนเซนเทลกล่าวขอโทษกับมาร์ด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง แต่มาร์ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับการที่คอนเซนเทลเกือบจะทำแบบนั้น เพราะสุดท้ายยังไงอัศวินหนุ่มก็ไม่ได้ทำดังนั้นเขาอีกทั้งเขาเองก็ได้แต่ยิ้มออกมาก่อนจะหันไปพลักประตูทางออกให้เปิดอออกเผยให้เห็นทางลงไปข้างล่างต่อ เขาหยุดยิ้มแล้วก็หันมามองคอนเซนเทลด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูกเลยว่าคิดอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็พูดออกมาอย่างช้าๆว่า

“ จริงๆนะคอนเซนเทล ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบหรอก เก็บแรงกับกระเป๋าไว้สำหรับไอเทมดีๆดีกว่านะ หึหึ เอาล่ะ สถานีบอสถัดไป…ชั้นที่ 20!! ”

……

“ อึก!! ออกไปจากที่นี้!! ”

วูบ ตู้มมมมม

“ น น นายท่า…!! ”

ย้อนกลับไปช่วงเวลาเดียวกันกับตอนที่มาร์ได้ที่พลักให้เพนเทกลับเข้าไปในทางเดินวิญญาณ เธอที่พยายามจะคว้ามือของเขาเอาไว้ก็ต้องพลาด และดิ่งลงไปในเส้นทางที่มืดมิดพร้อมกับเทียนไขสีดำที่ค่อยๆปรากฎตัวขึ้นรอบกายของเธอพร้อมกับจุดไฟเพื่อสร้างแสงสว่างไปทั่วความมืดมิดนี้

“ ชิ!! ถ้าเราเก่งกว่านี้ ถ้าชั้นมีพลังมากกว่านี้ล่ะก็… นายท่าน! นายท่าน!!! โธ่เว้ย!! ”

เพนเท เธอนั้นได้เห็นตอนสุดท้ายก่อนที่ประตูสู่ทางเดินวิญญาณจะปิดลง ภาพของนายท่านผู้เป็นที่รักยิ่งถูกซัดกระเด็นหายไปต่อหน้าต่อตา มันทำให้เธอรู้สึกอ่อนแออย่างถึงที่สุด ทว่าเธอก็ได้แต่เพียงตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดในพื้นที่ที่แสนจะมืดมิดแห่งนี้เท่านั้น

กึก กึก กึก

“ มากันแล้วสินะ…อ่า ถ้าเป็นแกรนด์ทั่วไปก็ต้องมีวิธีเพื่ออยู่ในนี้นี่ เหมือนกับเราในอดีต ไม่สิ วิธีแบบนั้น หึ… น่าสมเพชสิ้นดี ”

แต่ในระหว่างที่เพนเทกำลังกรีดร้องจากความรู้สึกผิดอยู่นั้น เธอก็ได้หยุดลงราวกับเรื่องก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป จากที่เศร้าโศกมาเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตอันเกินกว่าจะอธิบายได้ เธอไม่ได้จะหันกลับไปมอง แต่เป็นการเอนหัวกลับไปเพียงเล็กน้อยแล้วใช้สายตาของเธอมองกลับไปยังด้านหลัง

“ ปกป้องข้าไว้!! ถ้าพลาดล่ะก็ พวกแกออกไปจากที่นี้ไม่ได้นะเว้ย!! ”

“ โอ้!!! ”

ภาพนั้นคือภาพของกลุ่มคนราวๆ 30 กว่าคน โดยทุกคนล้วนกำลังใช้โล่ห์ใช้แท่งเหล็กบางอย่างหวดเข้าใส่ดวงไฟสีฟ้าที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วให้มันกระเด็นออกห่างจากพวกเขา ชายวัยกลางคนที่สวมเกราะและชุดคลุมสีดำที่มีตราประทับแปลกๆคล้ายปีกบางอย่างไว้ที่แขนซ้ายและขวา

“ วิธีของพวกที่ดูแลตัวเองไม่ได้แบบนี้ ไม่มีแต่พรจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ไม่มีอะไรเลยแบบนั้น ก็… ”

ส่วนทางเพนเท พอเธอได้เห็นว่าเป้าหมายนั้นไร้กำลังแม้แต่่จะต่อต้านดวงวิญญาณของคนตายที่กรูกันเข้าไปเพื่อแย่งชิงร่าง เธอก็ได้แต่ยิ้มก่อนจะจับหน้ากากของตนเองแล้วเปิดการทำงานของมัน หน้ากากที่สร้างม่านหมอกออกมา หมอกสีขาวที่เมื่อถูกกับแสงของเทียนกลับกลายเป็นสีแดงดั่งเลือด

“ นั้นไง ศัตรูที่ลอบเข้ามาในเส้นทางของคนตาย มันอยู่ตรงหน้าแล้ว!! เตรียมตัว!! ”

เหล่าทหารพวกนั้นชักดาบและอาวุธมากมายออกมาพร้อมกับเตรียมเข้าปะทะทันทีตามคำสั่งของคนที่อยู่ตรงกลาง และแน่นอนว่าเพนเทเองก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่พวกมันแสดงออก อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้กังวลเลย ไม่สิ เธอกำลังโกรธอยู่ต่างหาก โกรธที่เธอจะต้องมาฆ่าพวกมันในขณะที่นายท่านของเธอกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างที่ด้านนอกนั้น

“ ชั้น…จะพรากเอาชีวิตของพวกแก ชีวิตที่น่ารำคาญนั้น!! ชีวิตที่กล้ามาขัดขวางชั้นไม่ให้ไปช่วยนายท่านผู้เป็นที่รัก!! ไปเซ่นให้กับเทพีแห่งความตายให้หมด!! ”

วูบบบ

“ ม ม มันหายไปแล้วครับท่าน!! ”

“ อะไร!?? มันจะหายไปได้ยังไงกัน!! ”

เพนเทเธอหายเข้าไปในหมอกสีเลือดนั้นและแสงไฟจากเทียนทั้งหลายเองก็หายไปด้วย ศัตรูที่ได้เห็นก็ได้แต่สับสน พวกมันพยายามจะใช้ตะเกียงส่องแสงเพื่อตามหาเพนเท ทว่าสิ่งที่เจอก็มีเพียงความมืดมิดจากทางเดินวิญญาณ แสงสีฟ้าจากดวงไฟชีวิต และหมอกสีแดงเลือดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ

“ เอายังไงดีครับ?!? ”

“ ช่างมัน! ตอนนี้เราแค่ประคองอย่างให้พวกวิญญาณมาชิงร่างไปด้วย แล้วเดี๋ยวศัตรูก็คงโดนวิญญาณรุมตายไปเองนั้นแหล่ะ!! ไว้ตอนนั้นค่อยเข้าไปจัดการ!! ”

แต่ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้ เส้นทางวิญญาณมันเป็นมิติที่เต็มไปด้วยความตาย คนที่มีชีวิตอยู่ในที่แบบนี้จึงกลายเป็นเป้าหมายสำหรับดวงวิญญาณที่จะเข้ามาแย่งชิงร่าง และด้วยความที่พวกมันเป็นมานาบริสุทธิ์ การโจมตีทางกายภาพจึงไม่เป็นผล ทั้งการใช้สกิลเอง หากมีมานาที่ปล่อยผ่านมาน้อยกว่าตัววิญญาณก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการโจมตีที่ไร้ค่าเลยทีเดียว ดังนั้นการตอบโต้และป้องกันที่ดีที่สุด คือ การใช้อาวุธที่อาบมานาและเสริมพลังต่อต้านเอาไว้

ดังนั้นการเข้ามาในที่แบบนี้ด้วยตัวคนเดียวแบบเพนเท ในสายตาของพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลยสักนิด แต่นั้นก็เป็นเพียงความคิดของผู้ที่ไม่รู้ว่าถึงสิ่งที่พวกมันกำลังเจอนั้น ไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่เข้าใจได้ด้วยความคิดของคนทั่วไป

ผัวะ ผัวะ ผัวะ

“ หวดเข้าไป!! อย่าให้พวกมันเข้ามาได้!! ”

“ ค ค ครับ!! ล ล แล้วหมอกพวกนี้ล่ะครับ จะให้พวกผม อึก ”

“ หมอกอะไรน… เห้ย!! ระวัง!! ศัตรูมันเริ่มแล้ว!! ”

ท่ามกลางความวุ่นวายจากการที่ดวงไฟสีฟ้าเข้ามารุมล้อม(รุมจริงๆ)พวกเขา จู่ๆทหารคนหนึ่งก็เกิดวูบลงไปนอนกองกับพื้นโดยที่ไม่มีเสียงหรือสัญญาณใดๆให้ได้รับรู้ สิ่งเดียวที่ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าได้เห็นคือ หัวของทหารคนนั้นค่อยๆเลื่อนออกจากคอแล้วตกลงสู่พื้นอย่างช้าๆ

“ ด ด ได้ครับ! ”

“ หมอกไง หมอก ระวังอย่าให้ … ”

“ เชี้ยเอ้ย!! อย่าเข้าไปในหมอกนั้น!! ใครมีสกิลลมก็รีบๆพัดมันออกไปเร็วเข้า!! ”

ฟู่ๆๆๆๆๆ

ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้า เขาออกคำสั่งในทันทีก่อนจะหยิบเอาหมวกเหล็กมาใส่แล้วปลดผ้าคลุมของตนเองออกเผยให้เห็นว่าเกราะที่เขาใส่มันหนากว่าเกราะทั่วๆไปมาก ทั้งยังมีการลงอักขระไว้โดยทั่ว ซึ่งในเวลาเดียวกันเหล่าทหารก็เริ่มร่ายสกิลเพื่อพัดพาให้หมอกสีเลือดนี้ปลิวห่างจากตัวของพวกเขา

“ รีบๆ… ยอมแพ้แล้วมอบชีวิตของพวกแกมา!! ”

“ อะ..!! ”

“ เดี๋ย?!?! ”

เสียงนั้นดังขึ้น เสียงของหญิงสาวนามว่าเพนเท เธอใช้มีดที่อยู๋ในมือตัดผ่านร่างของทหารนับสิบอย่างรวดเร็วจนพวกนั้นตายก่อนที่จะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายเพราะอะไร พวกมันได้แต่ยืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่หัวจะเลื่อนและตกลงสู่พื้น

“ ถอย!! ถอยห่างออกจากคนที่ตายเร็วเข้า!! ”

ตัวหัวหน้านั้นรู้ว่าสิ่งที่จะตามมาคืออะไร และเขาก็ได้ตะโกนออกไปแบบนั้น ทำให้พวกทหารต่างเคลื่อนตัวออกห่างจากศพของคนที่ตายอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น… ร่างที่ควรจะแน่นิ่งก็เริ่มจะมีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวที่รุนแรงจนน่ากลัว

“ ตั้งโล่!! ”

“ ฮ่าห์!! ”

ตู้มมมม

เปลวไฟสีฟ้าได้ถูกจุดขึ้นจากภายในศพ มันสร้างแรงระเบิดจนเศษซากกระจัดกระจายไปทั่ว รวมถึงเศษเกราะด้วยนั้นทำให้พวกทหารรีบตั้งโล่และรับแรงระเบิดนั้นเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตามมาเมื่อการระเบิดสิ้นสุดลง ภาพที่เห็นก็คือเปลวไฟสีฟ้าที่ปรากฎอยู่บนจนที่เคยมีศพถูกทิ้งเอาไว้

“ ชิ! ภาระจริงๆเล้ย เอาเถอะ!! ตั้งป้องกันเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะจัดการกับศัตรูเอง!! ”

“ แต่ว่าท่าน… ”

“ ไม่่ต้องพูดมาก พวกแกแค่เอาชีวิตรอดให้ได้ก็พอ!! ”

ชายวัยกลางคนชักเอาอาวุธของตนเองออกมา ดาบยาวมือเดียว แล้วก็เริ่มเดินตรงเข้าไปที่หมอกควันนั้นพร้อมกับใช้ดาบตวัดเพียงไม่กี่หนก็ทำให้หมอกตรงหน้าหายไปจนหมดและทำให้เขาได้เห็นศัตรูที่ยืนนิ่งพร้อมกับมีดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ รูปลักษณ์นั้นเขารับรู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นผู้หญิง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือสิ่งที่กำลังหมุนวนอยู่รอบเธอ

“ แก…ก็เป็นเหมือนกันสินะ ไม่สิ… แกมี เทียนดำ? ยูนีคสกิลสินะ หรือว่าแกจะเป็นคนที่มาจากต่างโลกกันล่ะ?? ”

เขาถามออกมาอย่างช้าๆ ทว่าในมือเองก็ยังคงจับอาวุธเอาไว้แน่นและพร้อมที่จะปะทะได้เสมอ ทว่าเพนเทนั้นไม่ได้จะสนใจอะไร เธอมอง มองดูอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะค่อยๆ หายไปต่อหน้าต่อตายของชายผู้นี้อีกครั้ง

“ จะไปไหนกัน!! หาาา!! ”

ดาบถูกสะบั้นหั่นลงอย่างรุนแรงเพื่อสร้างแรงลมส่งตัดผ่านม่านหมอกพวกนี้ ทว่าเมื่อหมอกหายไป หญิงสาวผู้นั้นก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว แม้แต่ร่องรอยของเทียนไข หรือสิ่งใดก็ไม่หลงเหลืออยู่อีก

“ อ๊าากก!! ”

“ อ อ … ”

“ เป็นอะไ… ”

ฟู่…. ตู้มมมมม

และเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น ทหารมากมายของเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องกันออกมา นั้นทำให้เขาหันกลับไปมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็พบว่าทหารส่วนใหญ่ของเขาเริ่มจะล้มลงและตายในแบบเดียวกันกับก่อนหน้านี้

“ ยัยเวรนี้!! มันเล็งทหารของเรา!! ”

เจ้าตัวที่เจอกับสถานการณ์ดังกล่าว ก็รีบหันหลังกลับแล้ววิ่งเข้าไปหวังจะจัดการฟันตัดหมอกทั้งหมดทิ้ง ทว่าในระหว่างที่ตนเองกำลังพยายามจะวิ่งออกไป เขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่าเส้นทางที่เขายิ่งวิ่งมันช่างยาวไกลเกินกว่าตอนที่เดินจากมามากๆ แม้ว่าเขาจะวิ่งมาเกือบๆ 5 นาทีแล้วมันก็ไปไม่ถึงสักที เหมือนกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดเลยที่จะวิ่งไปให้ถึง

“ หรือว่า!! หนอย!! ”

ฟุบ ฟุ่มมมมม

เขาตวัดดาบอีกครั้งเพื่อตัดผ่านทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และมันก็ทำให้เขายืนยันได้ถึงสิ่งที่เขาคิด ภาพที่เห็นมันคือภาพลวงตา หมอกพวกนั้นเบี่ยงเบนทิศทางที่เขาควรจะวิ่งไปทำให้เขาวิ่งห่างออกมาจากกลุ่มทหาร และตอนนี้ทหารพวกนั้นก็กำลังล้มตายลงอย่างที่เขาไม่สามารถจะกลับไปช่วยได้ทันอีกแล้ว

“ ท่านหัวหน้… ”

ตุบ ตู้มมมม

“ ทีนี้ก็เหลือแค่แก แค่แกคนเดียว… ม ม ”

เมื่อเหลือศัตรูเพียงคนเดียว เพนเทก็หันกลับมามองมันด้วยสายตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ เธอจ้องมองแล้วพูดออกมาอย่างเลือดเย็น ทว่าจู่ๆ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอหันไปมองยังรอบๆตัวเองแล้วก็พบว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ ผิดปกติไปในทางที่เธอกลัว กลัวจนร่างกายเริ่มจะสั่นแล้วลงไปนั่งหมดแรงกับพื้น

“ ไม่นะ ไม่!! น น นายท่าน!! นายท่าน!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ จะไปเดี๋ยวนี้!! ก ก แก!! หลีกไปซะ!! ”

แสงเทียนรอบตัวของเธอเริ่มจะหมอดลง มันช่างแปลกในสายตาของศัตรูเขาไม่มีทางรู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับเพนเทที่มีความสัมผัสกับผู้มอบเทียนให้เธอ มันทำให้เพนเทรู้ได้ว่า นายท่านอันเป็นที่รักนั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่สิ ต้องเรียกว่า แสงเทียนนี้ ก็เหมือนกับแสงไฟชีวิตของเขา

“ จะไปไหน!! ยัยแกรนด์ดาร์ก!! ”

ตัวหัวหน้านั้นพอเห็นว่าศัตรูตกอยู่ในความกลัว ทั้งเปลวไฟสีฟ้าก็เริ่มจะเข้าห้อมล้อมเธอ เขาก็ไม่รอช้าที่จะกระโดดเข้าใส่แล้วกวาดดาบลงเพื่อจะปลิดชีพเธอซะ ทว่าเพนเทที่ยังตัวสั่นอยู่ จู่ๆเธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วก็ถอดหน้ากากของตนเองพร้อมกับยิ้มออกมา รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขบางอย่าง

“ อ๊ะ… อ่า… ขอบคุณค่ะนายท่าน ขอบคุณจริงๆ ”

พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ ตึ้ง!!

“ อะไรกัน!! ”

เปลวไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง แม้จะไม่ได้มากเหมือนตอนแรก แต่ก็อยู่ในระดับที่คงที่ ทว่าที่น่าแปลกใจคือเปลวไฟพวกนี้ต่างออกไปแล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงแค่แท่งเทียนเหมือนแต่เก่า บัดนี้ที่ใต้เทียนพวกนั้นมีเชิงเทียนสีเงินรองรับเอาไว้ และพวกมันก็กำลังหมุนล้อมรอบตัวของเธอกับชายวัยกลางคนที่ตกอยู่ในความสับสนและดาบที่ถูกบางอย่างขวางกั้นเอาไว้

“ อ๊าาาาห์ นายท่าน นายท่าน!! นายท่าน!!! นายท่าน!!!! นี้สินะความรักที่ท่านมอบให้กับความภักดีของชั้น!! อ่าห์!! ในที่สุด! ชั้นก็เหมือนกับพี่เคนโทร! ในที่สุดชั้นก็ได้รับการยอมรับ!! อื้อออ! หัวใจของชั้นนน!! อื้อออ!! จะไปหาเดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ!! ”

เพนเทยืนเงยหน้าแล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่มากไปด้วยอารมณ์ ทั้งยินดี ทั้งเศร้า ทั้งประทับใจ มากมายเสียจนยากจะอธิบาย เธอกอดร่างของตัวเองเอาไว้แขนทั้งสองข้าง ดวงตาเปร่งประกายและหลั่งหมอดสีแดงเลือดออกมาราวกับน้ำตา โดยที่ศัตรูของเธอได้แต่ยืนมองเท่าน้น

“ นี้มันบ้าอะไรกัน?! ”

แสงสว่างจากเปลวไฟอื่นถูกจุดขึ้น แสงสีฟ้าของวิญญาณสว่างอยู่รอบตัวเขา โดยเฉพาะตรงหน้านั้น ตรงที่ดาบควรจะลงไปสะบั้นคอของหญิงสาวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น มันขวางเขาไว้ทั้งๆที่มันไม่ควรจะทำเช่นนั้นได้ ทั้งด้านหลัง ไม่สิที่รอบๆเท้าของเขาก็มีเชิงเทียนมากมายถูกจุดขึ้นอีก

พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ

“ อัค!! ม ม มานา… ของเรา ม ม มัน ”

ร่างกายของเขาเริ่มอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว เช่นกันแสงสีฟ้ามากมายก็ไหลออกจากตัวของเขา มันวิ่งลงไปที่เชิงเทียนพวกนั้นราวกับว่าแสงไฟพวกนี้มันไม่ได้ใช้อากาศเป็นเชื้อเพลิง แต่เป็นบางอย่าง บางอย่างที่เรียกว่ามานา หรือจิตวิญญาณของเขาเป็นเชื้อไฟ

“ อ อ๊ากกกกกกกกกก!! พ พ พ อ พอได้… ”

“ พลังของเรา พลังของความโกรธที่เรามีให้ เพื่อนายท่านของเรา ฮะ ฮะ ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆ ”

เพนเทใช้มือทั้งสองลูบไปยังใบหน้าของตัวเองก่อนจะเงยขึ้นมองเหนือขึ้นไปยังด้านบนพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สถานที่มืดมิดและว่างเปล่า บัดนี้มันมีเชิงเทียนมากมายก่อตัวขึ้นและเปลวไฟจากดวงวิญญาณก็หมุนวนรอบเชิงเทียนพวกนั้นเพื่อไต่ขึ้นไปยังปลายทาง ในขณะที่เหยื่อของเธอกำลังกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน ร่างกายของมันเริ่มจะแห้งเหือดจนเหมือนกับคนชราที่ใกล้ตาย

[ ได้รับสกิล [ ความโกรธของพี่น้องผู้รับใช้หายนะ (5) ] : แบ่งแสงไฟสีดำจากเทียนไขของผู้เป็นนาย เพื่อเปิดมิติทั้งสองโลกให้กลายเป็นเส้นทางอันนำพาเหล่าดวงวิญญาณออกจากมิติใดๆเพื่อไปยังที่หมาย และหากใช้ในพื้นที่เส้นทางวิญญาณ แสงไฟสีดำจักสูบเอาวิญญาณของผู้ที่ใกล้เคียงมันมาให้ผู้ถือเชิงเทียน ]

“ น นี้แหล่ะ ฮ่าห์… ชีวิตใหม่ที่แท้จริงอีกครั้งของชั้น ”

เธอค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหันหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง แล้วทันใดนั้นเชิงเทียนมากมายก็เรียงรายอยู่ซ้ายและขวาของเธอ มันเปิดทางให้เธอเดินตรงไปยังที่นั้น ไปยังที่หมายที่มีแสงสว่างอันอบอุ่นรอเธออยู่ เพนเทค่อยๆก้าวเดินออกไปโดยไม่สนใจสิ่งที่กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วอยู่ด้านหลัง เธอมุ่งตรงไปด้วยใบหน้าที่เฝ้าหวังพร้อมกับหยิบยกเชิงเทียนขึ้นมา 1 อัน เพื่อมองดูเปลวเพลิงที่ของมัน

“ ยังสว่างอยู่สินะ … สมกับเป็นนายท่านจริงๆ อ๊าห์ อยากจะเจอเร็วๆแล้วสิ นายท่านของเค้า ”

…….

“ ค่อยๆ ตามมานะเพนเท ”

“ ค๊า… ”

มาร์และเพนเท ทั้งสองตอนนี้กำลังเดินออกมาจากภายในตัวกำแพงป้องกันของปราสาทนี้ โดยทั้งสองนั้นเคลื่อนที่ไปมาโดยอาศัยมุมอับสายตาเป็นหลักในการหลบเลี่ยงการถูกตรวจพบจากศัตรู ทั้งมาร์เองก็เคลื่อนที่ไปช้ากว่าปกติ เพราะเขาต้องคอยสังเกตุมานาที่เคลื่อนที่แปลกๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังจุดถัดไป

[ คงจะมั่นใจกับระบบป้องกันมากเลยสินะเนี่ย…คนเดินตรวจตราข้างในถ้าไม่ยืนหน้าห้องก็ตามทางไม่กี่คนแบบนี้ ]

แต่ในการเคลื่อนไปตามทางต่างๆนั้น มาร์ก็รู้ได้เลยว่าที่นี้ ในนี้หลังบาเรียแสนหนาและน่ารำคาญ พวกทหารที่เดินตรวจตรามีน้อยกว่าด้านนอกมาก อย่างไรก็ตามมันก็ยากที่จะผ่านไปได้เลยเพราะทางเดินส่วนใหญ่ก็เป็นทางเดินยาวที่ไม่มีอะไรให้ใช้เป็นที่หลบ ทำให้ทั้งสองมาจบลงในห้อง ห้องหนึ่งที่เป็นห้องว่างๆไม่มีอะไรด้านใน

“ ดูท่าจะตันสินะ สงสัยต้องใช้สกิลเดินกันไปต่อแล้วล่ะมั้ง? แต่ผมคงไปได้แค่คนเดียวล่ะนะ เพนเทไม่มีใช่ไหมล่ะ [ปกปิดตัวตน] น่ะ? ”

“ เห!? สกิลหายากแบบนั้นเค้าไม่มีหรอกค่ะ!! โธ่!! งั้นลองมุดไปตามทางวิญญาณดูเลยดีหรือเปล่าค๊ะ? จะได้ไปด้วยกันได้เลย ”

“ เดี๋ยวๆ… แล้วแกรนด์ดาร์กล่ะเพนเท ยัยนั้น หมอนั้น อาจจะตระเวนรอคนเข้าไปก็ได้นะ??? ”

ปึ้ง!!! กึก กึก กึก

“ เสียงอะไรล่ะนั้น?!? หรือว่าพวกเราบุกกันแล้วเหรอ?!? ”

“ ไม่น่านะคะ? นี้ตารางยังไม่ขึ้นฝั่งกันเลยมั้ง? ”

ทว่าในระหว่างที่มาร์กับเพนเทกำลังหาทางออกกันอยู่ในห้อง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจากด้านบนของพวกเขา เหนือขึ้นไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่เสียงนี้มันทำให้ตัวอาคารถึงกับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเศษฝุ่นบนเพดานร่วงลงมาที่พื้น และต้นเหตุนั้นก็เป็นสิ่งที่มาร์เองก็คงคิดไม่ได้คาดคิดเอาไว้

……

“ อย่ามาขวางทาง!!! ”

“ ค ครั…. ”

ปึ้ง!! กึก กึก กึก กึก กึก

“ อึก.. ล ล หลีกทางให้ท่านฟารุนเร็วเข้า!! ”

[ พวกมัน… พวกมันเอารินรินเทของชั้นไป… เจ้าพวกยูโทเปียนั้น ]

10 วินาทีก่อนหน้านั้น ณ ทางเดือนจากใต้ดินไปสู่ห้องของผู้อยู่บนจุดสูงสุด ฟารุน เธอได้บดขยี้ทหารที่เข้ามาขวางทางเดินตน การขวางทางเดินที่ไม่ควรจะนับเป็นการขวางทางด้วยซ้ำ ทหารคนนั้นเพียงแค่ยืนเกินจากเส้นเข้ามาเพียงนิดเดียวเท่านั้น เธอฆ่าเขาด้วยการขยี้ร่างโดยใช้มือเพียงข้างเดียว ร่างใต้เกราะเหล็กแหลกสลายกลายเป็นเพียงเศษก้อนเนื้อที่ไหลออกมาเต็มพื้น และนั้นก็ทำให้ทหารที่เห็นต่างตกอยู่ในความกลัวแล้วเดินถอยหลังจนชิดติดกับกำแพง

ตึก ตึก

“ [ กำแพงศิลา ]… ”

และทันทีที่เธอเดินเข้ามาในห้องของตนเองแล้ว ฟารุนก็หันกลับไปมองยังทางเข้าที่ไร้ประตูแล้วใช้สกิลของตนเอง มันทำให้ช่องว่างที่ต้องเป็นที่ที่ประตูถูกติดตั้ง มันเริ่มขยับแล้วผสานกันจนกลายเป็นกำแพงเดียว ทำให้ห้องนี้ไร้ซึ่งทางเข้าออกปกติอีกต่อไป

[ ฟารุน จะทำยังไงต่อ? ]

" นั้นสินะฟิเรน ตอนนี้คงต้องเพิ่ม"พลังรบ" ของพวกเราก่อน แล้วพรุ่งนี้ ไม่สิ…คืนนี้ พวกเราคงต้องกลับไปช่วยรินรินเทกลับมาจาก เจ้าพวก…เวรนั้น "

[ งั้นคราวนี้ก็ต้องเลือกแบบเอาไว้สู้กับปืนสินะ? ]

“ …[ สเตตัส ] ”

ฟารูนเธอยืนอยู่ที่กลางห้องของตนพร้อมกับพูดกับตัวเองเหมือนกับกำลังพูดกับคนอื่นอยู่ และในตอนที่พูดอยู่นั้น ตรงหน้าของเธอ จอสเตตัส “สีแดง” ก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากพื้น บนนั้นมันเต็มไปด้วยค่าสเตตัสของเธอที่เยอะจนเกินกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไปจะมีได้ และนอกจากนั้นแล้วมันยังมีเครื่องหมายแปลกๆที่ไม่ควรจะมีปรากฎอยู่บนหน้าสเตตัส เช่น… ตระกร้า เป็นต้น

[ ฟารุน ฟารุน สกิลนั้นก็ดีเหมือนกันนะ จับตำแหน่งจากการถูกหมายหัวได้ด้วย ]

“ งั้นเหรอ?… เอาไปก็คงไม่เสียหาย แถมสกิลก็มีค่าแค่ไม่กี่โซลเอง ไม่สิ จริงๆตอนนี้จะรีบๆเลือกเลยก็ได้นะฟิเรน ”

เธอเลื่อนมือไปกดบนจอสเตตัสนั้น แล้วสกิลบางอย่างที่ในใจของเธอเลือกมันก็ลอยเข้าไปอยู่ในตระกร้าที่ปรากฎในหน้าต่างสเตตัส โดยแต่ละสกิลที่เธอเลือกมันก็มีเลขกำกับอยู่ด้านหลังทุกอัน และเมื่อเธอเลือกเสร็จก็กดปุ่มยืนยันบนหน้าต่างนั้น ก่อนที่แสงสีฟ้าจากตัวของเธอจะลอยเข้าไปยังหน้าจอสเตตัสสีแดง

“ โซลที่รวบรวมมา ใช้เกือบหมดเลยนะฟิเรน… เลือกอะไรมาบ้างล่ะ ”

[ ก็มี จับตำแหน่งคนที่หมายหัวเรา ม่านบาเรียแบบหักเหการโจมตี ต้านทานสารพิษ ควบคุมลม แล้วก็อะไรอีกน้า… อ่า ลบสถานะพิเศษ ]

“ เอามากัน กระสุนกับผงนั้นสินะ? ”

[ อื้อ น่ารำคาญจะตายไอกระสุนพวกนั้นน่ะ พอจะจับทางศัตรูได้ก็โดนขวางเฉย แถมยิ่งโดนยิ่งคันจนไม่มีสมาธิเลย ]

“ อ่า งั้นเอามาก็ดีแล้วล่ะ … แต่สกิลทุกอันนี้ดูจะกินมานาเยอะอยู่เหมือนกันนะ อย่างจับตำแหน่งก็กินเยอะพอๆกับใช้สกิลระดับ 9 เลย ”

[ อู้ว… นั้นสิ แหะๆ มัวแต่กดซื้อ ไม่ได้ดูรายละเอียดอ่ะ แย่จัง ]

“ ช่างเถอะ … [ ตรวจจับ ] ”

ฟารุน ที่ยืนพูดอยู่คนเดียวนั้นก็หยุดพูดลงพร้อมกับเปิดการทำงานสกิลที่ตนเลือกมา แล้วนั้นก็ทำให้ในสายตาของเธอมีเงาสีแดงๆมากมายปรากฎขึ้น ซึ่งมีระยะห่างจากเธอไม่เท่ากัน ทว่ารวมๆ มันเหมือนกับเธอเห็นว่าคนที่หมายหัวเธอนั้นกำลังทำอะไรอยู่ เช่น นายพลที่อยู่ในห้องหนึ่ง หมอนี้ก็มีเงาสีแดงล้อมรอบตัว เขากำลังนอนอยู่บนเตียง

“ หึ… สกิลนี้ก็ดี ดีนะฟิเรน ”

ทว่าเธอที่กวาดตามองไปรอบๆ ก็ต้องหยุดมองลง ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ลงไปใต้พื้นที่เธอยืนอยู่ ที่นั้นมีเงาสีแดงที่แปลกประหลาดจากปกติ เงาสีแดงที่ควรจะนอน ไม่ก็กำลังทำอะไรอยู่ในห้อง ที่นั้นเป็นเงาสองคน คนนึงเหมือนกับเป็นเด็ก อีกคนก็เป็นผู้หญิงโดยทั้งสองถืออาวุธพร้อมอย่างชัดเจน และนั้นก็ทำให้ฟารุนยิ้มออกมา

… …

!!!!!

“ เพนเท! เข้าไปในทางเดินวิญญาณเร็วเข้า!! ”

“ อ อ๊ะ?!? ค ค ค่ะ!! [ทางเดินวิญญาณ]!! ”

มาร์หยุดขยับก่อนจะหันไปมองเพนเทอย่างเร่งรีบและออกคำสั่งกับเธอในทันที เพนเทที่รับทราบก็รีบใช้สกิลของตนก่อนจะค่อยๆหายไป ทว่าเธอก็ยื่นมือออกมาเหมือนกับจะดึงตัวของนายท่านของเธอให้เข้ามาด้วย แต่ว่ามาร์นั้นก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เธอต้องการ

“ อึก!! ออกไปจากที่นี้!! ”

พลัค กึก กึก กึก กึก

“ น นายท่า… !! ”

นายท่านของเธอ ปัดมือนั้นก่อนจะพลักให้เธอเข้าไปในเส้นทางที่เธอเปิดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเปิดการทำงานการป้องกันของตัวเอง บาเรียมานาก่อตัวขึ้นรอบๆตนเองหลายสิบ หลายร้อยชั้น โดยในเวลาเดียวกันนั้นพื้นที่รอบๆตัวของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง พื้น ผนัง เพดาน และตัวของมาร์ก็เงยหน้าขึ้นไปมองยังด้านบน เหนือหัวของเขา

ตู้มมม ปึ้ง คู้มมม!!

“ อึก!!! ”

ทันใดนั้นผืนที่รอบๆก็แตกออก ก่อนที่บางอย่างจะทะลุมากระแทกเขาจนปลิวกระเด็นออกไปนอกตัวปราสาท แต่นั้นก็ไม่หยุดเงาบางอย่างที่พุ่งตามออกมา พุ่งเข้าใส่มาร์อย่างรุนแรงและนั้นก็ทำให้เขาได้เห็น หญิงสาวผมสีดำที่ดวงตาเต็มไปด้วยบ้าคลั่ง

[ ยัยนี้อีกแล้ว!! รู้ตัวได้ยังไงกัน!! ]

“ ฮ่าๆๆๆ แก กล้ามากนักนะที่เข้ามาเหยียบถึงที่ของชั้น!! ตาย ตายซะ!! ”

ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง เพล้ง

“ ชิ บาเรีย!! ”

เธอตะโกนพร้อมกับพยายามจะใช้ดาบเรเปียร์แทงใส่มาร์นับครั้งไม่ถ้วนแต่มันก็ติดบาเรียมานาของมาร์ทั้งหมด อย่างไรเสียการโจมตีนั้นก็มากพอจะทำลายบาเรียไปหลายชั้น ส่วนตัวของมาร์เขาก็พยายามจะทรงตัวของตนเองให้ได้ ทว่าแรงอัดของหญิงสาวคนนี้มันแรงจนมาร์ไม่สามารถจะดึงตัวกลับมาได้ตอนที่ตัวเองยังลอยอยู่แบบนี้

“ ตาย!! ตาย!! ตาย!! ”

ปึ้ง ปึ้ง เพล้ง เพล้ง

[ ยังบ้าระห่ำเหมือนเดิมเล้ย!!! ยัยเวรนี้!! ]

ตู้มมมม แก๋ง!!

มาร์ยังโดนโจมตีอย่างไม่หยุด เขากระเด็นไปเรื่อยจนร่างปลิวไปกระแทกเข้ากับพื้นป่าที่อยู่ห่างออกไปเกือบๆ 5 กิโลเมตร แน่นอนล่ะว่าอีกฝ่ายก็ใช่จะปล่อยให้มาร์ได้ตั้งตัว หญิงสาวผู้นั้นพุ่งเข้าใส่พร้อมกับใช้เรเปียร์แทงเข้ามา ทว่ามาร์เองที่เท้าถึงพืิ้นและตั้งหลักได้แล้วก็ชักมีดพกของตนขึ้นมาปัดการโจมตีนั้นเอาไว้ได้

“ พวกยูโทเปีย… มีแต่คนเก่งๆสินะ ขนาดนักฆ่าอย่างแกยังปัดการโจมตีของชั้นได้!! ”

“ … ”

“ เป็นพวกเงียบงั้นเหรอ!! ”

ทั้งสองได้เผชิญหน้ากันแบบที่ดาบปะดาบ และอยู่ห่างกันไม่ถึงเมตรด้วยซ้ำ ซึ่งหญิงสาวพอได้เห็นศัตรูของเธอ เด็กหนุ่มในชุดคลุมผู้สวมหน้ากากประหลาดเธอก็ทักทายไปด้วยการตะคอกก่อนจะออกแรงกดดาบลง ทว่ามาร์นั้นกลับเงียบเขาไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น แถมยังเริ่มดันกลับได้อย่างช้าๆ

“ อ อึก!! ”

เก๋ง … ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

“ หึ คิดว่ากระสุนพวกนั้นจะทำอะไรชั้นได้หรือยังไง!! ”

[ โอ…เตรียมแผนป้องกันมาซะด้วย ดูท่าจะไม่ได้แค่มีแต่กล้ามอย่างเดียวแหะ ]

มาร์ตอบโต้กลับในทันทีด้วยการยิงปืนเล็งไปที่หัวของผู้หญิงนี้ ซึ่งทุกนัดที่ยิงออกไปมันก็ไม่ได้จะปะทะกับศัตรูหรือบาเรียตามปกติเลย พวกมันแฉลบออกซ้ายขวาไม่ได้จะแตกออกหรือสลายหายไปตามปกติที่บาเรียของเธอจะเป็น นั้นทำให้หญิงสาวคนนี้ถึงกับยิ้มแล้วชี้ดาบมาที่หน้าของเขา

“ มาสิ จะยิงมาอีกเท่าไหร่ก็ยิงเลย ”

เธอท้าทายแบบนั้น และมาร์เองก็ไม่ได้จะสนใจสักนิด เขาเอื้อมมือไปหยิบของที่ด้านหลังของเขา ท่อเหล็กน้ำตาลอ่อน 3 อัน พวกมันมีสลักติดตั้งเอาไว้ซึ่งมาร์ก็ไม่ช้า ดึงสลักออกก่อนจะปาใส่เป้าหมายในทันทีด้วยความแรงเขวี้ยงที่ส่งมันไปเร็วจนไม่เหมือนกับการเขวี้ยงของเลย

“ กระจอกน่า!! ”

ฟู่วววววว

แต่แล้วแทนที่มันจะพุ่งเข้าไปโดนและแตก มันกลับลอยขึ้นด้วยลมบางอย่าง พวกมันลอยอยู่อย่างนั้นโดยที่ตัวของหญิงสาวก็เอาแต่ยิ้มและมองดูมาร์ด้วยสายตาที่เยาะเย้ย ทว่าทันทีที่เธอหันมามองเขามาร์ก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับใช้มือบังหน้าของตนเองไว้

ปั้ง ปั้ง ปั้ง วิ้งๆๆๆๆ

“ อ๊าาา!?!?!? ”

เสียงระเบิดดังขึ้น เสียงระเบิดที่ดังมาก เสียงเหมือนปะทัดยักษ์ที่แตกออกทว่ามันไม่ได้จะสร้างความเสียหายอะไรนอกไปจาก เสียงและ…แสงสว่างที่จ้าจน เธอได้แต่ต้องหลับตาลง เพราะทั้งหูและตาของเธอตอนนี้มันอื้อและบอดไปหมดแล้ว

“ อึก!! [ลบล้างสถานะ]!! ชิ!! ”

แก๋ง

“ … ”

ทว่าแทนที่เธอจะยืนสับสนและหมดสภาพ จู่ๆ เธอก็ลืมตากลับมาได้อีกครั้งทั้งยังสามารถป้องกันการเข้าโจมตีของมาร์ได้ เธอยกดาบเรเปียร์มาปัดการฟันของมาร์ไว้ได้ทัน ส่วนมาร์น่ะเหรอ แม้นี้จะเป็นการเจอกันครั้งที่ 3 เขาไม่รู้ว่า ศัตรูมีสกิลอะไรบ้าง แต่เขาไม่ได้หยุดหรือไขว้เขว คราวนี้เขาจะต่างออกไป เขาจะไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เจอเธอแล้ว

[ หมดเวลา…สนเรื่องชั้นเชิง เรื่องสกิล ได้เวลาทุ่มทุกอย่างที่เรามี… ]

หมับ

“ อ…!!!! ”

ตึ้ง กึง!!!

มาร์อาศัยขนาดตัวของเขาในการมุดเข้าไปใต้การป้องกันของหญิงสาวคนนี้ แล้วเขาก็จัดการคว้าใต้แขนและทุ่มเธอลงกับพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นรอบๆหยุบลงไปหลายเมตร ทำเอาเธอตกอยู่ในความสับสนสุดแต่กระนั้นเธอก็พยายามจะป้องกันด้วยการดีดตัวขึ้นมาตั้งหลักในทันที

ปึ้ง ปัก ปัก ปัก ผัวะ

“ อัค!! ”

ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เธอต้องเจ็บตัว มาร์ไม่ได้จะรออะไรเลยทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายจะดันตัวเองขึ้นเขาก็วิ่งเข้าไปแล้วต่อยแย็บเข้าไปที่ท้องของหญิงสาวผู้นี้จนเธอกระเด็นกระดอนไปตามพื้น และไปหยุดอยู่ห่างจากจุดที่ถูกทุ่มเกือบๆ 20 เมตร

ฟุบ ฟุ่ม แก็ง

“ ก ก แก!!! ”

เธอที่โดนเข้าไปขนาดนั้นก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไรให้ได้เห็น ทั้งยังสามารถลุกขึ้นมาป้องกันมีดที่พุ่งเข้ามาแทงได้ ซึ่งมาร์เองก็มองดูด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ในหัวเขาไม่คิดจะวิเคราะห์ศัตรูเลยแถมทันทีที่อีกฝ่ายยกขึ้นป้องกันได้เขาจะการโยนลูกเหล็กกลมๆออกมาล้อมตัวของเธอเอาไว้ ลูกกลมๆสีเขียวที่เรียกว่าระเบิดมือ

“ ระเบิดนั้นอีกแล้ว!!! ”

วู่ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม

เป้าหมายของมาร์นั้นไหวตัวทันด้วยการหลับตาลงและกางบาเรียมานา แต่เธอก็คงเข้าใจอะไรผิดอย่าง ระเบิดนั้นไม่ได้ระเบิดแล้วส่งเสียงดังหรือแสงสว่างอะไร มันระเบิดพร้อมกับกระจายสะเก็ดออกมานับร้อยจนและก่อให้เกินฝุ่นควันจากพื้นดินจนบดบังทุกอย่างในบริเวณนั้น

แกร็ก แกร็ก แก็ก แก็ก

“ ส ส เสียงอะไร??! ”

ติ๊ดๆๆๆ ตู้มมมมมมม ฟู่… ฟู่…

ระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่อีกฝ่ายได้แต่ตกอยู่ในความสับสน สิ่งนี้เธอไม่เคยเจอมาก่อนและมันก็ไวเสียจนเธอตอบโต้หรือหนีไม่ทัน แรงระเบิดพัดเอาควันฝุ่นก่อนหน้าหายไปหมดและแทนที่ด้วยหมอกสีขาวที่ตัวของศัตรูเกลียดเป็นที่สุด สิ่งนี้มาร์เรียกมันว่าแก็สน้ำตา

“ แคกๆ ไอนี้ อึก [ ลม ] [ ลบล้างสถานะ ] !! ”

[ เครื่องปล่อย ก ก แก๊สงั้นเหรอ?!? อึก…ต้องทำลายมัน ]

อย่างไรก็ตามพอเธอเริ่มหายใจไม่ออก ก็เปิดการทำงานสกิลที่ลบล้างพร้อมกับสร้างพืิ้นที่ที่ปลอดควันพวกนี้รอบๆตัว แต่ว่าด้วยปริมาณของมันที่มากแถมพัดไปเท่าไหร่ก็ยังมีควันออกมาแทนที่ได้เรื่อยๆแบบไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเธอเองก็เห็นได้จากกล่องเหล็กจำนวนมากที่วางไว้บนพื้น ทว่าเธอกลับไม่เห็นเด็กชายที่กำลังไล่ต้อนเธออยู่ตอนนี้

ปั้งๆๆๆๆๆๆๆๆ

[ อึก!! ไอเด็กเวรนี้มันอะไรกัน?!? ]

และในระหว่างที่เธอกำลังตามหาด้วยการมองผ่านสกิล ผ่านสายตาของตน จู่ๆห่ากระสุนจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาหาเธอ ซึ่งบาเรียนั้นก็ยังทำงานได้เป็นอย่างดี พวกมันแฉลบออกไปทั้งหมดแต่ว่ามันก็ยังน่าประหลาด เพราะมันไม่ได้ถูกยิงมาจากทางเดียวกัน มันพร้อมกันทั้ง ซ้ายและขวา

“ ชัก จะน่ารำคาญเกินไปแล้ว!!! ”

กึก กึก กึก ตู้มมมมม

เธอยกดาบเรเปียร์ของตนเองขึ้น ก่อนจะตวัดมันลงกับพื้นสร้างแรงอัดกระแทกทำลายทุกอย่างในบริเวณ และนั้นก็พัดเอาหมอกควันให้จางหายไปหมด ซึ่งมันก็ทำให้เธอได้เห็นศัตรูของเธอที่ยืนอยู่ด้านหน้า เด็กชายที่สวมสนับมือเอาไว้ทั้งยังตั้งท่ากาล์ดแบบยกสูงประกอบกับฟุตเวิร์คที่แปลกและหาไม่ได้ในโลกนี้

“ โฮ่… ไม่คิดจะใช้อาวุธที่มันดีกว่านี้หน่อยหรือไง!! ”

ด้วยสภาพแบบนั้นมันก็ทำให้เธอคิดว่าตัวของเธอน่ะได้เปรียบ และพุ่งเข้าใส่ในทันที ปลายดาบพุ่งไปยังใบหน้าของเด็กชายคนนั้น ทว่าเขาไม่ได้จะกลัวเลยกลับกันเขาเองก็ค่อยเดินเข้ามาอย่างมั่นคง สายตาจ้องมองไปยังศัตรูโดยไม่มีความลังเลใดๆอยู่เลย

แก็ง ตึก ผัวะ พลัค พลัค ตึ้ง

ดาบนั้นถูกปัดออกแบบเฉียดฉิวด้วยการใช้สนับมือเบี่ยงการโจมตีของมัน อีกทั้งด้วยความที่อีกฝ่ายที่ร่างกายและสมดุลยังคงพุ่งเข้ามา มาร์ก็จัดหมัดกระหน่ำอัดเข้าที่หน้าอก หน้า ก่อนจะเตะตัดขาจนศัตรูล้มทั้งยืน

“ อัค!! ”

ตุบ ผัวะๆๆๆๆ

และทันทีที่อีกฝ่ายล้ม มาร์ก็ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่จะขึ้นไปคร่อมบนตัว แล้วเริ่มกระหน่ำหมัดอัดไปที่หน้าของหญิงสาว โดยฝ่ายที่ถูกอัด ก็ไม่ใช่จะไร้สติ เธอกางบาเรียมานาไว้ตรงหน้าของตนเองได้ทันทำให้หมัดทุกหมัดไม่มาถึงยังใบหน้าของเธอ แต่แรงอัดของมันก็ทำให้เธอหน้าหันอยู่ดี

พลัค

[ โห่… ต่อสู้มือเปล่าก็เป็นสินะ ไม่สิ…เหมือนกับเราแบบนี้ แปลกๆแหะ ]

แต่แล้วในระหว่างที่มาร์กำลังกระหน่ำหมัดเพื่อจะทำลายบาเรียมานา เป้าหมายของเขาก็ใช้แรงแขนต่อยอัดเข้าที่หน้าอกของเขาจนกระเด็นลอยไปตั้งหลักห่างออกไปหลายเมตร ซึ่งมาร์พอมองดูอีกฝั่งก็ต้องตกใจเล็กน้อย เธอคนนั้นตั้งท่าเหมือนกับเขาทุกอย่าง แถมยังเก็บดาบเรเปียร์เรียบร้อย

“ หึ หึ ถ้าจะสู้ด้วยหมัด ก็มา!! ”

ฟุบ ฉัวะ

“ กรอดด!! ”

อ่า… แต่มาร์ไม่ได้สนคำพูดนั้น ทันทีที่ศัตรูเปลี่ยนมาใช้หมัด เขาก็เห็นช่องว่างแล้วหยิบเอามีดออกมาอีกครั้ง แต่มีดนี้ต่างออกไปมันไม่ได้ตรง แต่โค้งงอเหมือนตะขอ แล้วเข้าไปฟันเฉือนอย่างรวดเร็วจนสร้างบาดแผลบนตัวของเธอได้ มันเป็นการโจมตีที่เร็ว แม่นยำแต่ยังขาดความรุนแรง แผลที่เกิดจึงเป็นแผลบาดที่ลึก แต่ก็ไม่ถึงกระดูก

ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ

“ ทำไมแกถึงกล้าใช้มีดกันฮะ!! ”

เธอโกรธเป็นอย่างมาก และพยายามจะต่อยสวนกลับ หรือคว้าเอาตัวของมาร์เอาไว้ ซึ่งมาร์ก็หลบได้ทั้งหมด แบบเฉียดฉิวก่อนจะกลับมาตั้งหลักด้วยการถือมีดตั้งท่าแบบจับมีด Reverse แถมยืนได้สักพักเขาก็เก็บมีดก่อนจะหยิบเอาปืนพกออกมา ปืนพกที่ปลายกระบอกนั้นเหมือนกับค้อนทุบเนื้อ

ฟุบ พลัก พลัค ผัวะ

[ ไอหมอนี้มัน… ไม่ได้มีทักษะต่อสู้แค่ 1 ไม่สิ ระดับที่กดดันเราได้ก็มากกว่าขั้นช..ช..ชำนาญ!!?!? แบบนี้ก็เหมือนกับเราสู้กับศัตรูมากกว่า 1 แบบน่ะสิ!!! ]

[ ยังจะป้องกันได้อีก… ]

สำหรับมาร์ ผู้หญิงตรงหน้านั้นทรงพลังและลึกลับ เธอสามารถที่จะยืดหยัดสู้กับเขาในร่างต้นได้โโยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แถมยังรับการโจมตีที่อัดสกิลมากมายขนาดที่ถ้าเป็นคนธรรมดามาโดนร่างคงสลายหายไปในครั้ง ทว่าฝ่ายหญิงเองก็มีปัญหาเหมือนๆกันคือ เธอเองก็ไม่เคยเจอศัตรูที่หลากหลายใน 1 คนขนาดนี้มาก่อน

[ ฟิเรน ถ้าไม่ไหวจะถอยก็ได้นะ!! ]

[ ไม่ได้หรอก ฟารุน ขืนปล่อยตัวอันตรายที่ไม่ได้อยู่ใต้ท่านผู้นั้นไปแบบนี้ สักวันมันต้องหันมาทำร้ายพวกเราแน่ๆ!! ]

ฉัวะ พลัค ผัวะ ฉึก แก๋ง!!

และการต่อสู้กับยังไม่หยุดลง มาร์พุ่งเข้าใส่อีกครั้งแล้วเริ่มโจมตีในแบบที่เกินกว่าคนทั่วไปจะทำ อย่างใช้มีดปาดเข้าไปก่อนจะเก็บมันเข้าไปในเงาและคว้าเอาดาบสั้นออกมาฟันตามด้วยเปลี่ยนเป็นสนับมือเข้าไปต่อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้อีกฝ่ายตอบโต้ลำบากมาก ขนาดที่เธอเองยังคิดที่จะถอยแต่ในใจนึงเธอก็ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น

[ งั้นก็ต้องทุ่มสวนสุดตัวเลยนะ!! ]

[ อ่า… เข้าใจแล้วล่ะฟารุน ยังไงกับศัตรูระดับนี้ก็มีแต่ต้องทุ่มสุดตัวนั้นแหล่ะ!! ]

ฟุบ แก๋ง ฟุก ฟุก

เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น เธอก็พยายามมากขึ้นด้วยการเปิดการทำงานของสกิลเสริมมากมาย ทำให้ความเร็ว ความสามารถในการตอบสนองเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มาร์บ้าง ทว่าตัวของมาร์นั้นของมองดูอยู่ตลอดเขาก็สามารถจะปัดป้องแล้วหลบการโจมตีที่เร็วขึ้นแบบนั้นได้อย่างเฉียดฉิว

[ ห่อร่างด้วยสกิลกี่อย่างล่ะนั้น… แบบนี้ถ้ายกเลิกให้หมดก็ อ่า เชี่ย…มานายัยนี้มันพิเศษนี่หว่า ]

สำหรับมาร์นั้นถ้าเขาเจอสถานการณ์แบบนี้ เขาก็คงจะจัดการยกเลิกสกิลของอีกฝ่ายผ่านการแทรกแซงมานาหรือการเข้าไปคุมด้วยการควบคุมมานาของตนเอง แต่ว่ามันก็มีปัญหาที่ศัตรูตรงหน้านั้นไม่เหมือนกับคนอื่นที่เขาเจอมา มานาของเธอมันซับซ้อนทับกันอย่างแปลกประหลาดจนการแทรกแซงหรือยกเลิกไม่สามารถจะทำให้สำเร็จได้

[ งั้นมาแบบนี้ก็ตอบกลับไปแบบที่ฝั่งนั้นทำเลยก็แล้วกัน แต่…แบบนี้ก็จะกลายเป็นสู้กันด้วยมานาจริงๆสินะ ]

กึก กึก กึก

[ สัตว์ประหลาดสินะ… แบบเดียวกับพวกเราหรือเปล่า?!? ]

[ ม ม ไม่รู้สิฟ ฟ ฟารุน ]

[ อืม… ยังไงพวกเราก็คงชนะแหล่ะ ถ้าสู้กันด้วยเรื่องจำนวนมานาน่ะนะ ก็ 2 ต่อ 1 แบบนี้ ]

และเมื่ออีกฝ่ายเสริมพลังขนาดนั้นแล้ว มาร์ก็เลือกทางออกที่เหมาะสม เขาบัฟร่างกายตัวเองเพิ่มเติมอีก จนถึงขนาดที่เพียงแค่ขยับร่างพื้นที่ยืนอยู่ก็เกิดรอยแตกเลยทีเดียว ซึ่งอีกฝ่ายเองพอได้เห็นพลังที่ไหลออกมาก็ถึงกับเหงื่อตก เธอไม่คิดว่าจะได้มาเจออะไรที่คล้ายกับตัวเองแบบนี้

“ มา!! ”

“ … ”

ฟุบ … … คู่ม!!!

ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากัน และปะทะด้วยทุกอย่างที่ตัวเองมี แรงตวัดเรเปียร์ของฝ่ายหญิงนั้นทรงพลังพอจะทำให้ต้นไม้รอบข้างขาดสะบั้น ส่วนแรงต่อยแรงเฉือนของมาร์ก็มากพอจะทำได้ในแบบเดียวกัน โดยเฉพาะที่เด่นชัดของทั้งสองฝ่ายคือความเร็ว เร็วระดับที่ตาคนจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากความพินาศที่เกิดขึ้นกับพื้นที่โดยรอบ

ตู้ม คึ่ง ฉัวะ ตู้ม!! ฟู่มมมม เปรี้ยงงง

ผืนดินโดยรอบเริ่มจะเปลี่ยนสภาพ จากป่าไม้ธรรมดากลายเป็นพื้นที่รกร้างในเวลาเพียงไม่นาน พื้นดินที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าก็กลายเป็นทะเลเพลิงจากสกิลที่ยิงอัดใส่กัน ต้นไม้ไม่ขาดก็หักหรือแหลกสลายไปไม่เหลือแม้แต่โคน ดินที่ทั้งสองยืนก็เริ่มจะกลายเป็นหลุมลึกลงเรื่อยๆ สัตว์ป่า มอนสเตอร์เองก็ไม่รอดพวกมันโดนลูกหลงแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปเป็นกิโลเมตรก็ตาม

[ เราต้องโฟกัสที่การเบิร์นมานา… ใช่ ในเมื่ออีกฝ่ายมีมานาแปลกๆ ก็หาทางเบิร์นมันให้หมดก็พอ ]

แกร็ก แกร็ก แกร็ก กริ๊ก

แต่ก็ใช่ว่าการต่อสู้นี้จะมีแต่การใช้กำลังอย่างเดียว มาร์นั้นเห็นว่าศึกแบบนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมานา ดังนั้นอะไรที่ทุ่นแรงได้แล้วจำเป็นเขาก็ใช้มันให้หมด นั้นทำให้เจ้าตัวหยิบเอากับผลิตแก็สน้ำตาจำนวนนึงออกมาแล้วติดไว้ที่หลังของตนพร้อมกับจุดการทำงานของมัน ทำให้รอบๆตัวของเขาเริ่มจะเต็มไปด้วยสารที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับมองด้วยความโกรธ

“ ควันนี้อีกแล้ว!!!! บ้าเอ้ย!! ”

[ ไม่เป็นไรหรอกฟิเรน มันติดไว้บนหลังแบบนั้น มันเองก็ต้องได้รับผลบ้างล่ะ!! ]

การต่อสู้นี้ หากจะให้รอดไปได้ ตัวของหญิงสาวก็ต้องยอมใช้สกิล ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้สนในจุดที่มาร์เล็งไว้แล้วเปิดการทำงานของสกิลอย่างไม่หยุดพัก เพื่อจะให้ร่างกายสามารถฝ่าควันพวกนั้นเข้าไปโจมตีใส่เด็กหนุ่มนี้ได้ โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิด

[ นั้นแหล่ะ มีอะไรก็จัดมาเลย… ]

มาร์นั้นไม่ต้องเปิดสกิลใดๆ เพื่อต้านทานแก็สน้ำตานี้ เพราะ 1. หน้ากากของเขามันกรองได้อยู่แล้ว และ 2.ร่างกายของเขามันคุ้นชินกับอาการแสบร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อแก็สสัมผัสโดนร่างกาย ดังนั้นเขาเลยต่อสู้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด ผิดกับอีกฝ่ายที่ยิ่งนานมานายิ่งถูกสูบหายไป

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง

[ หึ!! ใช้ปืนแบบนี้มานาจะหมดแล้วหรือยังไง!! ]

[ อย่าประมาทนะฟิเรน!! ]

ซึ่งนอกจากแก็สน้ำตาแล้ว มาร์ก็ยังใช้ปืนยิงใส่เป็นช่วงๆ ทว่ามันก็เหมือนเดิมกระสุนทุกนัดแฉลบออกหมดไม่มีอะไรเข้าไปถึงตัวเธอได้เลย โดยอีกฝ่ายที่เห็นศัตรูใช้ปืนแล้วยังตีตัวออกห่างก็เริ่มคิดแล้วว่าฝ่ายนั้นมานาคงใกล้จะหมดแล้วแน่ๆ

[ เซฟ มานาหน่อย…ตัวเรา หมดไป 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนะ ]

ทว่าแท้จริงก็เป็นไปอย่างที่มาร์กำลังคิดอยู่ มานาของเขาลดไปได้ 10 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด และยังคงลดลงเรื่อยๆในระดับที่คงที่ แต่แม้ว่าจะลดช้าขนาดนี้ก็ตามเขาก็ไม่ได้จะพุ่งเข้าไปสู้กับศัตรูด้วยสกิลที่มากกว่าเดิม หรือยอมเสี่ยงใช้บาเรียมานามาป้องกันตัวเองให้เปลืองมานาเพื่อให้มีโอกาสโจมตีได้ เขาน่ะใจเย็น หลบ แล้วก็หลบ

[ อึก… เมื่อไหร่ควันนั้นมันจะหมดสักที!! แบบนี้เราก็ต้องเปิดสกิลไปเรื่อยๆเลยน่ะสิ!! ]

[ ไม่หรอกฟิเรน อีกฝ่ายก็คงทนอีกได้ไม่นานหรอก เรายังเสียมานาไม่ถึงครึ่งยังไงก็พยายามกดดันต่อไปล่ะ!! ]

[ อื้อ เข้าใจแล้ว!! ]

เช่นกันกับอีกฝ่าย ที่ก็ไม่รู้ว่ามานาของอีกฝ่ายหรือเท่าไหร่ จริงๆต้องบออกว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีทางรู้เลยต่างหาก เพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีอุปกรณ์ปกปิดสเตตัสระดับสูงเอาไว้ ทำให้การจะมองเห็นมานาที่เหลืออยู่เป็นเรื่องที่ยากมาก และทางที่จะรู้ได้ก็มีเพียงอาการเหนื่อยของอีกฝ่ายเท่านั้น

ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม

ทั้งสองปะทะกันไปอีกเกือบๆ หลาย 10 นาที ไม่สิ จะเกือบๆชั่วโมงแล้วก็เป็นได้ ซึ่งหากเทียบเป็นเวลาของโลกมันก็คงกินเป็นปี เพราะการปะทะของทั้งสองไม่ใช่วิต่อวิแล้ว มันกินเวลาน้อยกว่านั้นมาก หากอธิบายให้เห็นภาพ ใน 1 วินาทีก็เหมือนๆ 10 นาทีของพวกเขา ทั้งคู่ห่ำหั่นกันอย่างไม่หยุด โดยแม้จะไม่มีบาดแผลทางกายเกิดขึ้นอีก บาดแผลทางวิญญาณอย่างมานาไหลออก ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทั้งบาเรียมานาที่แตกออก การเสริมร่างกาย สกิลเสริมต่างๆที่ร่ายซ้อนทับกันหลายสิบอย่าง

[ ช้าลงนะ… ]

และเมื่อเวลาผ่านมาขนาดนี้แล้ว มาร์ก็เริ่มจะสังเกตุเห็นได้ อีกฝ่ายเคลื่อนที่ช้าลง แถมสีหน้าเองก็เริ่มจะอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับเขาที่ตอนนี้มานาเพิ่งหายไปเพียง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์และยังอยู่ในระดับที่ร่างกายไม่เหนื่อยด้วย นั้นทำให้เขาเริ่มจะมอง มองหาโอกาส แต่ก็ไม่ได้จะลงมือในทันที

[ ฟ ฟิเรน!! มานาหายไปจะ 60 เปอร์เซ็นต์แล้วนะ!! แบบนี้ถ้าเหลือต่ำกว่า 30 เราจะมีไม่พอใช้ถอยนะฟิเรน!! ]

[ ข ข ข เข้าใจแล้วฟารุน แต่หมอนี้ ม มัน อึก.. ไม่หยุดเลย!! ]

สิ่งที่มาร์คาดการณ์นั้นเป็นจริง ตัวของหญิงสาวตรงหน้าเริ่มจะอ่อนแรงจนทำอะไรได้ช้าอย่างที่เขาคิด ซึ่งอีกฝ่ายที่ไม่เห็นสีหน้าของมาร์ ก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาเหนื่อยหรือไม่ ยิ่งประกอบกับควันแก็สน้ำตาอีก ยิ่งอยากจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาเปลี่ยนไปหรือไม่

[ ถอยเถอะฟิเรน!! ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเราจะเสี่ยงกันเกินไปแล้วนะ!! ]

[ ก ก ก็อยากอยู่หรอก แต่ดูมันสิ!! ]

ในหัวของเธอตอนนี้รับรู้ได้แล้วว่า สถานการณ์มันเริ่มเอนเอียงไปทางศัตรู เธอไม่สามารถจะสู้และมั่นใจว่าจะชนะได้เหมือนที่เธอคาดไว้ตอนแรก และยิ่งยากกว่าเดิมอีกเมื่อเห็นว่าศัตรูนั้นไม่เปิดช่องให้เธอได้ถอยหลังเลยแม้แต่น้อย นี้ถ้าหันหลังเมื่อไหร่คงไม่พ้นโดนแทงจากข้างหลังแน่ๆ

[ งั้นพยายามต้านไว้นะฟิเรน!! เดี๋ยวชั้น… ]

[ อ่า!! เข้าใจแล้ว จะพยายาม อึก !! ]

ทางออกเดียวที่มีคือการยื้อต่อไป ทางอื่นมีแต่จะทำให้เธอเจ็บตัว ไม่สิ ทำให้เธอตายได้เลยทีเดียว เพราะแบบนั้นเธอจึงทุ่มกำลังมากขึ้น เริ่มจะบุกแทนป้องกันเพื่อพยายามจะกดมาร์และเปิดช่องว่างให้ตัวเองถอยได้ แต่…มาร์เองนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย

[ บุกแบบนี้ แรงใกล้หมดจริงจังสินะ? เห้อ…งั้นก็… ]

เขาที่เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะไม่ป้องกันแล้วหันมาบุกแบบสุดตัว ก็แสดงออกให้เห็นแล้วว่านี้คือจังหวะตัดสินชีวิตของคนที่พยายามจะฝืน และมาร์ก็เริ่มจะเล็งไปตามส่วนต่างๆของศัตรู เขาเพียงแค่มองและคาดการณ์อย่างต่อเนื่องถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พร้อมกับวางแผน แผนที่จะปลิดชีพศัตรูให้ได้ไวที่สุด

[ [ พื้นที่มิติ ] พันธนาการศัตรู… ]

ฟุบ ฟุบ หมับ หมับ กึก กึก

“ อะไ..!! ”

[ ฟิเรน!!! อันตราย!! ]

อีกฝ่ายที่มัวแต่บุกเขามาเลยไม่ได้ระวังสิ่งที่มาร์เตรียมเอาไว้ เงาสีดำมากมายโผยพุ่งออกมาจากอากาศ พวกมันเข้าพันธนาการเป้าหมายตามจุดที่มาร์เล็งเอาไว้ แล้วเธอก็หยุดชะงักไปเพียงเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยววินาที และด้วยการหยุดชะงักนี้เองมาร์ก็มาปรากฎตัวตรงหน้าของเธอในทันที

ฟุบ เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง ฉึก

“ อ… อึก… อ๊…ะ ”

ก่อนที่เธอจะได้ตอบโต้ใดๆ ภาพที่เห็นก็คือมีดเล่มยาว มันพุ่งทะลุม่านบาเรียมานาของเธอเข้ามาอย่างรวดเร็วและปักเข้าที่กลางหน้าอกของเธอ มันฝังลงไปจนมิดด้ามและเลือดสีแดงก็ค่อยๆหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลเล็กๆนั้น… ไหลออกมาพร้อมกับน้ำตาของเธอ

“ ฟ…า รุ..น ช ช ชั้…น ข อ…. ”

ตุบ

“ … ”

คำพูดนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่มาร์ได้ยิน เขาเก็บมีดแล้วถอยห่างออกจากร่างของหญิงสาวที่ล้มลงเหมือนกับตุ๊กตาที่เชือกถูกตัดขาด ร่างนั้นลงไปนอนกับพื้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและไม่ขยับไปไหนอีก มาร์มองดูเช่นนั้น ทว่า…ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร มันก็มีบางอย่างเกิดขึ้น

วู่ม… วู่ม…

“ อะไรล่…!! ไม่ได้การณ์ล่ะ!! ”

สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันเกิดกว่าที่เขาคิดมาก ร่างของหญิงสาวนั้นจู่ๆก็เรืองแสงสีแดงเลือด ก่อนที่ร่างที่ควรจะมีเพียงหนึ่ง กลับแยกออกเป็นสองร่าง โดยหนึ่งมีผมกับดวงตาสีดำ และอีกหนึ่งมีผมกับดวงตาสีเงิน เขาที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องทำอะไร นั้นทำให้มาร์เดินตรงเข้าไปพร้อมกับหยิบเอามีดออกมเตรียมจะปลิดชีพศัตรูเสีย

ฉึก…

“ อัค น น นี้ มั น!! ”

ทว่าเสียงของการแทงทะลุผ่านเนื้อนั้นดังได้ขึ้น แต่มันไม่ได้ดัง ณ จุดที่ทั้งสองร่างนอนอยู่ มาร์ก้มลงมองตามเสียงนั้น มองไปที่หน้าอกของตนเอง เหล็กแหลมสีเงิน…มันแทงทะลุมาจากข้างหลัง ทะลุผ่านร่างของมาร์ไป เสียบกลางผ่านหัวใจของเขา

ตุบ

แกรก แกรก แกรก

มาร์ล้มลงไปนอนจมกองเลือดของตนเอง โดยในหัวก็ได้ยินเพียงเสียงของ [ Absolute Deny ] ที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง มันพยายามจะต่อต้านความตายของเขา ทว่าตอนนี้เขาก็ขยับตัวไม่ได้และมีแต่สติที่เริ่มจะเรือนรางลงเรื่อยๆ ยังไงก็ตามในตอนที่ดวงตาของเขากำลังจะปิดลงนั้น ภาพสุดท้ายที่เห็นคือ คนลึกลับที่สวมผ้าคลุมสีเงินไว้ทั้งตัวกำลังอุ้มร่างของศัตรูทั้ง 2 ที่นอนหมดสภาพอยู่ไม่ต่างจากเขา มาร์ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนผู้นี้ได้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นชัดก็คือ วงแหวนสีเงินบนหัวของคนคนนั้น วงแหวนที่สว่างจ้าและมืดมิดในเวลาเดียวกัน

“ ฟารุน ฟิเรน… ได้เวลากลับบ้านแล้วนะ ”

……

กึง กึง กึง กึง กึง

ภายในปราสาทของจอมมารนั้น หญิงสาวที่ถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดที่แท้จริง ฟารูน เธอกำลังนั่งเคาะโต๊ะทำงานของเธออย่างต่อเนื่อง เสียงเคาะด้วยปลายนิ้วที่ไม่เหมือนกับการเคาะโต๊ะนั้นทำให้เหล่าทหารยามด้านนอกถึงกับขนลุกและกดดันกันจนยืนขาสั่นไม่หยุด เพราะเสียงเคาะนี้มันดังต่อเนื่องมานับตั้งแต่วันที่ฟารูน แบกเอาโลงเหล็กประหลาดกลับมา

“ เมื่อไหร่…จะเปิดมันได้สักที เจ้าพวกบ้านั้นก็อีแค่โลงเหล็ก… เดี๋ยว….รินรินเท ก็…อึก ”

ณ ตอนนี้ฟารูนเธอได้แต่นั่งในห้องรอให้พวกนักวิจัยจัดการกับโลงศพเหล็กที่เธอเชื่อว่าข้างในนั้นมีข้ารับใช้คนสำคัญ รินรินเท กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ โดยตลอดเวลาของการเอาออกมาเพื่อประคองชีวิตไว้เธอจึงสั่งให้พวกแพทย์มารักษาอาการของคนข้างในตลอดเวลา ทั้งยังห้ามไม่ให้การเปิดมันออกโดยการใช้กำลังเพราะไม่งั้นคนข้างในก็คงจะไม่รอดแน่ๆ

ก็อก ก็อก

“ ขออนุญาตครับท่านฟารูน!! ”

เปรี้ยง ฟู่…

“ เข้ามา!! ”

เสียงขออนุญาตจากข้างนอกนั้นดังขึ้น แต่ว่าแทนที่จะเป็นการอนุญาตด้วยการตอบกลับธรรมดา ฟารูนในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผิดไปจากปกติมากเธอจึงไม่คิดจะพูดแล้วทำลายประตูห้องนั้นด้วยการชี้นิ้วเพียงอย่างเดียว และทันทีที่ประตูถูกระเบิดกลายเป็นผงไป ก็เห็นได้ว่าทหารในเกราะหนักเองก็กำลังยืนตัวสั่นไม่หยุดอยู่ตรงหน้าของเธอ

“ มีอะไร!! รีบพูด…หรือแก…อยากจะหายไปอีกคน… ”

“ ค ครับผม!! ตอนนี้พวกเราเปิดโลงออกได้แล้วครับ!! ”

กึก

ฟารูนไม่พูดอะไรอีก สิ่งนั้น คำพูดนั้นเป็นสิ่งที่เธอรอมาตลอดหลายวัน หลายชั่วโมง และก็เพราะแบบนี้ ฟารูนจึงรีบลุกแล้วหยิบเอาผ้าคลุมมาใส่ก่อนจะเดินออกจากห้องไปในทันที มุ่งตรงไปยังใต้ปราสาทยังสถานที่ที่เธอให้พวกทหารและข้าราชบริวารไปจัดการเปิดผนึกกล่องเหล็กนั้น

ปึ้ง ฟู่

“ ฮี๊!!! ”

“ ท ท ท่านฟารูนเสด็จแล้ว!! ”

ประตูเหล็กที่กั้นห้องด้านล่างนี้กับโลกภายนอกถูกระเบิดออกกลายเป็นผง ทุกคนในนั้นต่างหวาดกลัวแล้วรีบหันมามองก่อนที่จะคุกเข่าก้มหัวลงทำความเคารพหญิงสาวที่ด้านนอกนั้น ฟารูน เธอไม่สนใจเจ้าพวกเศษขยะพวกนี้แม้แต่น้อย เธอเดินตรงไปยังโลงเหล็กอย่างเร่งรีบก่อนจะใช้มือพลักส่วนที่ถูกตัดออกเพื่อมองดูข้างใน

“ ท ท่านฟา… ”

กึก กร็อบ

อย่างไรก็ตามพอเปิดมันออกได้ แทนที่เธอจะทักทายหรือพูดอะไรฟารูนกลับบีบใบหน้าคนที่อยู่ข้างในนั้นจนแตกกระจายออกเป็นเพียงเศษเนื้อ ก่อนที่เจ้าตัวจะได้พูดจนจบ ส่วนคนที่ลงมือนั้น ฟารูนตอนนี้แต่สีหน้าของเธอนั้นช่างว่างเปล่า แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจจะอธิบายได้ ออร่าของเธอแผ่ออกมาจนคนในห้องถึงกับล้มลงไปหมดสติ ออร่าสีดำเข้มที่เกินกว่าจะต้านทานได้

“ ยูโทเปีย… พวกแก… ”

……

กึก กึก กึก กึก

“ รีบๆออกไปจัดการเร็วเข้า!! พวกมันเริ่มโจมตีแล้ว!! ”

“ ว่ายังไงนะ?!? ทั้งๆที่การประกาศสงครามพึ่งมาถึงเมื่อวานเนี่ยนะ?! ”

“ เหอะน่า!! รีบไปช่วยกันป้องกันเร็ว!! ”

ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นที่ด้านนอกของตัวปราสาท เองก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย จากการที่ทหารของกองทัพจอมมารต่างเคลื่อนเข้าออกกันเพื่อไปจัดการกับสถานการณ์วุ่นวายมากมายที่ทยอยเกิดขึ้นรอบๆ ซึ่งทุกคนต่างก็คิดว่านี้คือฝีมือของยูโทเปีย จากการที่ข่าวเรื่องการประกาศสงครามพึ่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน

“ วุ่นวายกันจังเลยน้าาาา แต่ข่าวกว่าจะมาถึงก็ช้าเหมือนกันนะเนี่ย?!? ทั้งๆที่เทเสล่าเผาค่ายไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วแท้ๆ ”

“ อืม… ตรงนี้ก็ไม่ใช่ ”

และแน่นอนว่าด้วยความวุ่นวายที่ใกล้มาถึงขนาดนี้ ก็มีอีกความหมายหนึ่งด้วยนั้นคือ…ตัวก่อความวุ่นวาย ได้มาถึงแล้ว มาร์และเพนเททั้งสองกำลังนั่งอยู่ที่ริมกำแพงปราสาท โดยที่ตัวของมาร์เองก็กำลังลูบคลำกำแพงไปมาอย่างช้าๆเหมือนกับกำลังตามหาอะไรบางอย่าง

“ ว่าแต่นายท่านค๊าาา นี้ก็ 2 วันแล้วนะค๊า???!? แบบนี้ไม่บุกเข้าไปเลยจะดีกว่าอ๋อ?!? ”

เพนเทที่นั่งรออยู่ข้างๆก็บ่นๆ เพราะเธอรอแบบนี้มาได้ 2 วันกว่าแล้ว รอนายท่านของเธอตามหาอะไรสักอย่างโดยที่ตัวของเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาตลอดหลายวันนี้

“ อืม… นั้นสินะ… ตรงนี้เองก็ไม่ใช่ ”

“ งืออ!! ตอบแบบนี้อีกแล้วอ่า!! ”

[ เส้นมันต่อมาที่นี้ ก็น่าจะไม่ไกลนี่น่า…แต่ก็ไม่ใช่… ]

ส่วนตัวของมาร์เองก็ไม่ได้จะสนใจอะไรรอบข้างนักแล้วตอบกลับเหมือนกับหุ่นยนต์ด้วยคำตอบเดิมๆ เพราะตอนนี้สมองเกินร้อยละ 80 ของเขากำลังพยายามคลำหาสิ่งที่คนทั่วไปคงจะแยกไม่ออกและไม่อาจรู้สึกถึงได้ นั้นคือตำแหน่งที่เรียกว่า จุดอ่อนของการร่ายเวทย์ หรือก็คือจุดที่ห่างจากการร่ายมากที่สุด เป็นจุดที่ผู้ใช้จะไม่อาจสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของมันได้ โดยส่วนใหญ่คนมักจะเข้าใจว่าเป็นจุดที่อยู่บนสุดหรือล่างสุด แต่ไม่ใช่เลย จริงๆแล้วมันคือจุดที่มานาวิ่งไปท้ายสุดต่างหาก ซึ่งแม้แต่ตัวผู้ใช้ก็กำหนดมันไม่ได้และนั้นเองก็ทำให้มาร์มานั่งหาด้วยตาและสัมผัสของตัวเอง

[ อึก… ตรงนี้เองก็ยังมีการดักจับอีกแหะ คนร่าย… ไม่สิมากขนาดนี้ไม่ใช่แค่คนเดียวแหงๆ ]

สาเหตุที่ทำการค้นหาช้าเพราะว่า การค้นหาจุดนี้ จะมีวิธีแยกอยู่ 2 ทาง ทางแรกคือการสวนกระแสด้วยผ่านการยัดมานาลงไปบนกำแพงซึ่งเป็นวิธีที่เร็วและมีประสิทธิภาพทว่าถูกตรวจจับได้ง่ายเพราะมานาที่ใช้กางสกิลใดๆไว้จะถูกแทนที่และผู้ใช้จะรู้สึกตัวได้ ทำให้เหลืออีกวิธีคือการมองด้วยตาที่เห็นมานา มองคลำตามกระแสเพื่อตามหาจุดอ่อนนั้นแล้วลงมือจัดการเอง

“ นายท่านค๊าา?!? สนใจเค้าหน่อยจี่… อือ…. เขาจะถอดชั้นในแล้วน๊า… แหง่ะ เมินเหมือนเดิมเลยอ่า แง~~ TwT ”

[ หรือว่าเราจะลองใช้หวนกระแสคืน…แต่ ไม่อ่ะไม่ ถ้าเกิดจู่ๆย้อนแรงไปล้มฟุบกันขึ้นมาล่ะก็… เห้อ มีแต่ต้องทำแบบนี้สินะ ]

ซึ่งระหว่างที่มองหานี้แหล่ะ แทนที่มาร์จะสั่งให้เพนเทไปช่วยคนอื่นๆ เขาเลยต้องดึงตัวเธอเอาไว้คอยดูสถานการณ์รอบๆให้ และนั้นก็ทำให้ทั้งสองมาอยู่ในสภาพแบบนี้ โดยในระหว่างที่เขาทำมาร์ก็เกิดไอเดียแปลกๆอย่างการดึงกระแสมานา หรือย้อนมานากลับ แต่ว่าเขาก็ไม่แน่ใจแล้วก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำเพราะถ้าเผลอทำไปแล้วคนใช้ออกอาการอะไรจนถูกจับได้ขึ้นมาคงทำให้แผนแตกแน่ๆ

“ อ๊ะ? ”

[ เจอสักที… ขอบคุณจริงๆนะเจ้าอิฐ ]

ทว่าในระหว่างที่กำลังคลำๆไป มาร์ก็หยุดมือลงก่อนจะจับไปที่ขอบกำแพง ตรงที่มีอิฐก้อนหนึ่งที่ยื่นออกมามากกว่าจุดอื่น ยื่นออกมาเป็นแท่ง เขาก้มมองดูมันแล้วก็พยักหน้าก่อนจะ ทำในสิ่งที่เขาวางแผนไว้

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

“ ในที่สุด!! นายท่าน!! ก็เจอแล้ว!! ฮึก ฮึก ฮึก ”

มาร์เริ่มใช้มือที่หุ้มมานาของตนกระเทาะช่องว่างนั้นออกทีละนิดเหมือนกับการแกะสลักหิน จากรูเท่าอิฐก้อนเดียวกลายมาเป็นรูที่ใหญ่พอให้คนคนหนึ่งสามารถมุดผ่านเข้าไปได้ โดยเพนเทที่เห็นก็ถึงกับน้ำตาไหลเลยทีเดียว สิ่งที่เธอรอคอยมานานในที่สุดก็เริ่มคืบหน้าสักที

เปรี๊ยะๆๆ แปรก

[ อืม ทำระบบกันเยอะชิบหาย แต่ดันมีแค่เนี้ย… แค่ชั้นเดียว… มั่นใจมากเกินไป หรือ โง่เกินไป หรือ ไม่มีคนที่ทำได้กันหว่า?!? ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีแล้ว ]

แต่ในตอนที่ทำเสร็จมาร์ก็แอบบ่นในใจเช่นนั้น บาเรียตรวจจับนี้มันมีข้อดีที่หนาและกันได้หลายอย่าง แต่ดันมีแค่มันอยู่ชั้นเดียว นั้นแสดงว่าใช้คนร่ายหลายคนเพื่อให้มานาพอจะร่าย แต่ไม่ได้ใช้หลายคนเพื่อจะได้ร่ายหลายๆชั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบหลายชั้นเมื่อไหร่มันก็คงต้องกินเวลาอีกหลายวันกว่าจะเข้าไปได้โดยไม่ถูกตรวจจับเลย

“ ทีนี้ก็…กำแพงของจริงสินะ เห้ออ ”

“ นายท่านคะ!? ให้เค้าพาเข้าไปเลยหรือเปล่าค๊าาา?!? จริงๆ รูแค่เข็มก็เข้าไปได้น้าาา!! ”

อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีกำแพงมานาแล้ว มันก็ยังมีกำแพงจากอิฐ จากหินที่ก่อเรียงกันอยู่ดี เพนเทเลยมองดูก่อนจะถามมาร์ด้วยความที่เธอสามารถผ่านเข้าไปได้แล้วโดยไม่ถูกตรวจจับจากบาเรียก่อนหน้าแน่ๆ แต่มาร์ก็ส่ายหน้าก่อนจะพร้อมกับมองผ่านไปยังจุดต่างหลังกำแพง

“ คงต้องงดล่ะนะเพนเท ข้างในนั้นมีมานาเคลื่อนที่ไปมาในที่ที่ไปไม่ได้เยอะเลย คงเป็นกลุ่มดาร์กเอนทิตี้ที่วนเวียนอยู่แน่ๆ แถมด้านในสุดเองก็มีมานาที่หายเข้าออกแบบเดียวกับเพนเทอีก อ่า…แกรนด์ดาร์กเอนทิตี้ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีล่ะนะ ที่จะเราเข้าไปด้วยสกิลทางวิญญาณน่ะ ”

“ ชิ… เข้าใจแล้วค่ะ ”

“ ยังไงก็… อืม กว้างสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง [สร้าง] ”

ซึ่งด้วยความที่เป็นมาร์เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันยากเย็นนัก เขาหันกลับไปมองเพนเทอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเปิดกำแพงตรงนี้ด้วยการสร้างรูขนาดพอให้ทั้งสองผ่านไปได้ จากการใช้สกิล สร้าง ของเขา รู้นั้นมันขยายออกอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตุหรือส่งเสียงที่ดังเกินไป และพอเขาตรวจดูว่ามันเรียบร้อยดีแล้วมาร์ก็ค่อยๆคลานผ่านเข้าไป ก่อนจะตามมาด้วยเพนเท

[ ชิ… กำแพงบางแค่นี้จะไปกันอะไรได้ล่ะยะ!! ทำไมไม่สร้างให้หนาสัก 2 ถึง 3 เมตรล่ะ!! โธ่!! ]

แกรก

กำแพงนี้มันไม่ได้หนามากทำให้เพนเทดูจะเสียใจที่ไม่ได้จ้องมองมาร์จากด้านล่างและหลัง ซึ่งมาร์ที่เข้ามาถึงแล้วก็หยิบเอาปืนของตนเองขึ้นมาเตรียมพร้อมและเฝ้าระวังรอบๆ ระหว่างที่เพนเทคลานเข้ามาแต่ว่า…

กึก

“ อ๊ะ?!? แย่จังมันติดอ่า… นายท่านค๊าาา ช่วยดึงเค้าหน่อยยจี่ ”

อย่างที่มาร์กำลังก้มมองดูอยู่ เพนเทแม้ท่อนบนจะเล็กแต่ท่อนล่างโดยเฉพาะตอนท้าย(ก้น)ของเธอนั้นค่อนข้างจะใหญ่ มันเลยทำให้เธอติดแล้วเข้ามาไม่ได้ สภาพตอนนี้เจ้าตัวเลยนอนหงายพร้อมกับเสื้อท่อนบนที่เปิดออกให้เห็นท้องของเธอ และกางเกงที่ยังติดอยู่กับรูกำแพงนั้นจนดึงลงให้เห็นสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเอวลงมานิดหน่อย เธอเงยหน้าขอร้องให้นายท่านของเธอช่วยดึง ด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเขินอาย

“ อยู่นิ่งๆนะเพนเท… ”

“ ค ค๊า!! ”

ตึก

แต่การทำแบบนั้นก็ทำให้เธอดูจะไม่เป็นผล เพราะมาร์ไม่คิดจะเสี่ยงทำให้เกิดเสียงดังหรืออะไร เขาเลยลงไปนั่งคุกเข่าตรงข้างๆรูกำแพงนั้นซึ่งมันก็อยู่ระดับเดียวกันกับช่วงเอวของเพนเทที่ตอนนี้ถ้าเลื่อนขึ้นอีกหน่อยก็คือเห็นทุกอย่างใต้กางเกงแล้ว แต่มาร์ไม่ได้มองไปที่ตรงนั้น เขามองลงไปตรงส่วนที่ติดอยู่ก่อนจะวางมือลงบนกำแพงอย่างช้า

“ [ สร้าง ] … ”

ครืด… ครืด…

รูนั้นค่อยๆขยายออกอย่างช้าๆ จนไม่นานนักมันก็กว้างพอจะให้ตัวของเพนเทลอดผ่านได้แบบเฉียดฉิวโดยที่ไม่ดึงรั้งเสื้อผ้าของเธอให้หลุดทิ้งไว้อีกฝั่ง อย่างไรก็ตามพอเธอลอดออกมาได้แล้วก็อยู่ในสภาพหน้าบึ้งสุดๆ แต่นายท่านของเธอก็ไม่ได้จะถามหรืออะไรเพราะเขาคิดว่าสาเหตุนั้นคงเป็นเพราะเธออายที่ติดแบบนี้ ทว่าความจริงคือ…

[ บ้าเอ้ย!! อุตส่าห์พยายามกลั้นตอนนั้นแล้วนะ โอกาสดีขนาดนี้แล้วแท้ๆ!! นายท่านเองก็ไม่เล่นด้วยเลยอ่าา!! หึยยยย!! แต่ว่า… ]

อืม เพนเทอยากจะจับมือกับนายท่านของเธอเป็นอย่างมาก เพื่อจะได้สร้างโมเม้นท์โรแมนติด ถึงขนาดที่ตอนมาร์หันมามองเธอ เธอลงทุนแขม่วพุงกับก้นของตนเองอย่างสุดความสามารถแล้วหวังว่านายท่านของเธอจะเขินอายกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ผลลัพธ์ดันตรงกันข้ามเลย

[ ดูทำหน้าเข้าสิ! ไม่สนใจแล้วยังจะ ข ข เข้ม…อีก อึก ]

ตึก ตึก ตึก ตึก

เขาไม่รู้สึกอะไรสักนิดแถมยังเข้มจนหัวใจเธอเต้นไม่หยุดอีก อย่างไรก็ตามตอนนี้พอเข้ามาข้างในได้แล้วเพนเทก็หยิบเอามีดของตนเองออกมาก่อนจะหายใจเข้าออกช้าๆ แล้วพูดกับตัวเองเบาๆว่า

“ ได้เวลาเริ่มงานแล้วเพนเท… แถมงานนี้ก็เป็นงานคู่กับนายท่าน…ทำตัวให้เป็นโปรหน่อย ”

……

แปะ แปะ… แปะ แปะ แปะ ครึก ครืนนนนน

ณ ค่ายทหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของกองทัพจอมมาร เหล่าทหารกำลังเดินตรวจตรากันอย่างแข็งขันและทำหน้าที่ของตนอย่างตั้งใจที่สุด ทว่าพอพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เมฆฝนก็ปรากฎขึ้นเหนือหัวของพวกเขา เสียงของหยดน้ำกระทบกับพื้นดังไปทั่ว ฝนนั้นเริ่มตกแล้ว แต่ว่าเหล่าทหารก็ไม่ได้จะสนใจหรือวิ่งหลบฝนไม่ พวกเขายังคงยืนประจำจุดของตนเองเช่นเดิม

[ อยู่ๆฝนตกแบบนี้ คงไม่เอะใจ… อ่า ยืนนิ่งกันเป็นหินไม่สนใจอะไรแบบนั้น เคร๊… ]

“ ไปกันเถอะเพนเท ”

“ ค๊า! ”

และในที่ห่างออกไปมากๆนั้น บนผาที่มองลงมาเห็นทุกอย่างในค่าย มาร์ที่สวมชุดคลุมและหน้ากากประจำตัว เขากำลังมองลงมาดูเหล่าทหารนั้นเพื่อตรวจดูว่าสิ่งที่เขาทำ การสร้างเมฆฝนจากมานานั้น ศัตรูรู้หรือไม่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ แต่พวกนั้นก็ไม่ได้แตกตื่นอะไรเลยสักนิด มาร์จึงหันกลับไปมองก่อนจะพูดกับเพนเทที่อยู่ข้างหลังด้วยเสียงที่เบาแสนเบา

“ [ทางวิญญาณ] ”

เพนเทเปิดการใช้งานสกิลของตนก่อนจะกุมมือของนายท่านผู้เป็นที่รัก เข้าไปในพื้นที่ที่มืดมิดและว่างเปล่า โดยทันทีที่เข้ามาได้ แสงไฟสีกดำจำนวนมากก็จุดประกายวนรอบตัวของทั้งสองคน โดยเฉพาะมาร์ แสงไฟนั้นสว่างจนพื้นที่ที่มืดมิดนี้เหมือนกับถูกปกคลุมเพราะแสงของเขา ไม่ใช่เพราะจากที่มันเป็นโดยปกติ

[ ดูท่าสิ่งที่เราทำไว้จะเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะเนี่ย… ]

ทั้งสองเริ่มเดินไปในเส้นทางที่มืดมิดนี้ และก็ไม่นานเลยที่มาร์จะสังเกตุเห็นว่ารอบๆนั้น ตอนนี้เต็มไปด้วยแสงไฟสีฟ้า แสงไฟของวิญญาณคนตายมากมาย กำลังมุ่งหน้าไปยังปลายทางอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทำให้แสงไฟพวกนั้นเดินตัดผ่านจากด้านข้างของทั้งสอง ทว่าพวกมันก็ต่างไม่เข้ามาใกล้บริเวณที่แสงไฟสีดำสว่างไปถึงได้เลย

“ ข้างหน้าแล้วนะคะนายท่าน!! ”

“ อ่า ฝากด้วยล่ะ ”

[ เห้อ…ต่อให้เราขโมยสกิลใครมาก็ได้ แต่บางอย่างก็เอามาไม่ได้สินะ แบบเซ้นท์จับทิศทางของเพนเท เราเองก็ยังไม่เข้าใจเลย ]

เพนเทเริ่มจูงมือนำมาร์ไปยังปลายทางที่เขาเองก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่ามันคือทางที่ใช่หรือไม่ สำหรับมาร์ เขาเองก็มีสกิลเดียวกับเพนเท ทางวิญญาณ แต่ว่ามันก็มีปัญหาที่ เขาใช้มันได้ไม่ชำนาญเท่าเพนเท เขาแค่เข้าไปแล้วเดินตรงไปข้างหน้าไปยังทิศทางของเป้าหมาย ทว่าหลายครั้งเขาก็มักจะเดินเลยไปบ้าง หรือออกมาก่อนที่จะถึงที่หมายทุกที นั้นทำให้การที่เขาจะใช้สกิลนี้ได้จึงต้องใช้เวลาคำนวณเส้นทางกับเวลาก่อนเสมอแถมบางที่คำนวณไปก็ใช้ไม่ได้อีก ผิดกับเพนเท…เธอเดินในนี้ได้แบบไม่ต้องใช้อะไรนำทาง อยากไปโผล่ที่ไหนก็ไปได้

ฟุบ ฟุบ

“ เรียบร้อยค๊า อ๊ะ… เสียงดังไม่ได้ เสียงดังไม่ได้ ”

“ อืม พาเข้ามาที่ไหนล่ะเนี่ย ”

“ อิย๊..!! อ อุ๊บบ อื้อออ ก ก ก็ ก็ถ้าตามเป้าหมายที่นายท่านชี้ไว้ให้เค้า วิญ… มานาของมันก็อยู่ใกล้ๆที่นี้แหล่ะนะ งืมๆ ใช่ๆ ”

“ นั้นสินะ อยู่แถวนี้จริงด้วย ”

มาร์ที่ออกมาได้ก็ดูจะงงๆ เล็กน้อยเพราะว่าสถานที่ที่ออกมานั้นดูจะเป็นห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยกล่องไม้มากมาย ทำให้เขาต้องถามเพนเทไปด้วยการกระซิบเข้าที่ข้างๆหูของเธอ ทำเอาเพนเทถึงกับสะดุ้งแล้วเกือบจะหลุดปากออกมา แต่ว่าเธอก็มีสติพอที่จะปิดปากของตัวเองเอาไว้ แล้วตั้งสติก่อนจะตอบมาร์ด้วยใบหน้าที่เขินอายใต้หน้ากากหมอกของเธอ

[ 11 15 เมตร อืม… ]

ส่วนมาร์เขาไม่ได้จะสังเกตุว่าตอนนี้เพนเทหน้าแดงหรือเขินอายอยู่หรือเปล่า เขาเงียบลงพร้อมกับตั้งสมาธิและให้ร่างกายนปรับตัวเข้ากับรอบๆจนเพียงไม่กี่วินาที เขาก็จับได้ถึงมานาจำนวนมากที่เคลื่อนที่ไปมารอบๆตัวของเขาก่อนจะหันไปมองยังสถานที่แห่งหนึ่ง

“ เพนเท ต่อจากนี้ก็เอานี้ไปแบ่งเทลงน้ำ ลงอาหารล่ะ ที่ทิศตะวันตกล่ะ ส่วนผมจะไปทางตะวันออกนะ อ๋อ…แล้วก็ใช้ตามข้างขวดหล่ะ ส่วนเป้าหมายก็เฉพาะ ที่เป็นพวกระดับสูงเท่านั้นนะ ”

“ อ อ เอ๋?!? ม ม ไม่ได้ไปด้วยกันงั้นเหรอค๊า?!? ถ ถ ถ ถ้างั้นเค้าขออนุญาตใช้หน้ากากกันแก็สพิษนะคะ!! นะคะ!! แค่กลิ่นก็ทำขนลุกสู้แล้ว ถ้าเปิดฝานี้ อึก… ”

“ อื้ม ตามสบายเลย แต่อย่าลืมล่ะ ใช้เจ้านี้เฉพาะกับพวกระดับสูงนะ ”

เพนเทพอรู้ว่าตัวเองต้องเอาไอของที่เธอแขยงสุดไปทำภารกิจ มันก็ทำให้เธอถึงกับถอยห่างก่อนจะขออนุญาตนายท่านของตัวเองทันที ซี่งมาร์ก็ไม่ได้ห้ามอะไรแต่ก็กำชับอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายอีกครั้ง เพนเทพอได้รับอนุญาตก็เปลี่ยนหน้ากากจากหมอกมาเป็นกันแก็สพิษ ก่อนจะเอื้อมมือรับตลับที่บรรจุหลอดของเหลวสีชมพู 4 หลอดด้วยมือที่สั่น

“ งั้นไปล่ะนะ เสร็จแล้วก็ออกไปเจอกันที่ผาเดิมละกัน ”

“ ค ค ค๊าา!! ”

มาร์เดินออกจากห้องนี้ไปโดยไม่แม้แต่จะเปิดสกิล เขาลัดเลาะไปตามมุมอับต่างๆ เพื่อตรงไปยังเป้าหมายที่เขาเล็งเอาไว้ เช่นกันเพนเทเธอก็กลับเข้าไปในเส้นทางที่มืดมิดของเธอ แล้วตระเวนออกตามหาเป้าหมายในทันที ซึ่งก็ไม่นานหลังจากที่มาร์ออกจากห้องเก็บของไป เขาก็ได้มาถึงยังเป้าหมายแรกโดยที่ไม่มีใครสังเกตุเห็น

ซ่า ซ่า ซ่า

[ สมกับเป็นห้องของคนใหญ่คนโตเลยนะ ทั้งเตียง ทั้งห้องอาบน้ำส่วนตัว ]

ภายในเต็นท์ตรงหน้าของมาร์นั้น มันไม่เหมือนเต็นท์เลยสักนิด พื้นห้องที่ปูด้วยพรมหลายชั้น เตียงไม้อย่างดี โต๊ะทานข้าว โต๊ะทำงาน แสงสว่างจากแชนเดอร์เรียที่ตรงกลางห้อง และยังจะมีห้องอาบน้ำอยู่ด้านในสุดอีก ห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ตอนนี้กำลังมีไอร้อนลอยออกมา

[ น้ำ น้ำ น้ำ ไหนน้า อ่า… ]

มาร์เดินอยู่ในนั้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเจอเหยือกน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ข้างๆเตียง เขาเดินไปที่นั้นแล้วก็เปิดฝาหลอดของเหลวสีชมพู ก่อนจะเทลงไป… เพียง 1 หยด เท่านั้น และเมื่อเขาเห็นว่าของเหลวนั้นจางหายไปในน้ำแล้ว มาร์ก็เดินออกจากเต็นท์ดังกล่าวก่อนจะมุ่งตรงไปยังเต็นท์ข้างๆ แล้วลงมือทำในแบบเดียวกัน

[ อ อี๊ ขนาดใส่หน้ากากแล้วก็ยัง อ อึก… งื้อออ เอเนอ๊าาา!! ผ ผ ผสมอะไรลงบ้างเนี่ยยยย?! อ๊า ข ข ขา อึกก ฮ่าห์ ฮ่าห์ ฮ่าห์ ]

ส่วนทางด้านของเพนเท เธอเองก็มาถึงเป้าหมายแล้วเช่นกัน และกำลังลงมือเปิดฝาเทยาลงไปบนถังน้ำดื่มอย่างช้าๆ และระมัดระวังสุดๆ ไม่ใช่เพราะศัตรูที่อยู่รอบๆ แต่เป็นเพราะของที่อยู่ในหลอดแก้วนั้น เธอระวังขนาดที่กว่ามันจะไลลงไปได้หยดนึงก็กิินเวลาเกือบๆ 2 นาทีเลยทีเดียว

แกรก

[ อึก…ร ร เรียบร้อย ท ท ทีนี้ก็ที่ถัดไป… จ จ จะไหวไหมเนี่ย เรา อึก อีก 3 หลอดกับอีก เห!!! 39 หยดงั้นอ๋อออ!! ]

เพนเท พอปิดฝาของของหลอดเรียบร้อยแล้วก็ มองไปยังที่หมายถัดไปก่อนจะหยิบเก็บเจ้าหลอดนั้นเข้าไปในตลับ แต่ว่าในตอนที่เธอจะเอามันใส่ลงไปนั้น ก็ได้เห็นที่ข้างขวดอีกฝั่งว่า 1 ขวด ใช้ได้ 40 หยด ดังนั้นตอนนี้ก็อย่างที่เธอเข้าใจ เพนเทเหลืออีก 159 เป้าหมายที่จะต้องไปจัดการต่อ

……

[ เพนเทถึงไหนแล้วน้า… ช้าจังเลยแหะ แต่วิธีของเพนเทนี้ เอา เข้าจริงก็น่ากลัวอยู่แหะ เดี๋ยวก็อยู่นี้ เดี๋ยวก็ไปนู้น ไปทั่วเลย เดาทางก็ไม่ได้อีก อืม อืม ถือว่าฝึกก็แล้วกันนะตัวเรา ]

บนผาที่มาร์เคยใช้มองดูทุกอย่างในค่ายนั้น ตอนนี้เขาได้กลับมาที่นั้นอีกครั้ง พร้อมกับหยิบเอาขนมมานั่งกินอย่างสบายใจบนเก้าอี้พับที่ปรับให้เอนหลังลงได้ ทว่าด้วยเวลาที่ล่วงเลยไปได้ราวๆ 1 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่มาร์จัดการเทยาหยดสุดท้ายออกจากขวด เพนเทก็ยังไม่กลับมา เขาจึงได้แต่นั่งจับความรู้สึกของมานาของเธอแทน ทว่ามันก็จางแถมหายไปมาอยู่เรื่อยๆ มันก็เลยทำให้เขาไม่เบื่อสักเท่าไหร่ เพราะว่าเขาใช้การหายไปมานี้เป็นเหมือนเกม ถ้าเดาถูกก็ได้กินขนมถ้าผิดก็อดไป

“ โอ๊ะ… มาแล้วเหรอ?!? ”

“ ค ค ค๊าาา อ๊ะ อ๊าาา อ๊าาาาาห์ ”

“ อากาศหนักเลยแหะ ”

แต่แล้วจู่ๆ มาร์ก็หันกลับไปที่ดันหลังของตน ก่อนจะได้เห็นเพนเทที่อยู่ในสภาพเหงื่อท่วมตัว แถมยังเดินกระเผลกไร้เรี่ยวแรงออกมา ซึ่งทันทีที่ที่เขาถามออกไป เพนเทก็ตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นระรัว แถมยังหน้าแดงกับร่างกายเองก็แดงไปหมด มาร์เลยลุกขึ้นก่อนจะเข้าไปพยุงร่างของเพนเทเอาไว้ ทว่า…

“ น น นายท่าน นายท่าน!! อ๊ะ อ๊าาาาา!! อื้อออ… ร ร รักนะคะ รักที่สุดเลยค่ะ ดังนั้น ดังนั้น!! ”

“ ใจเยนนน เพนเท ใจเย็นๆนะ ผมรู้แล้ว ”

เพนเทเงยหน้าขึ้นมามองมาร์ พร้อมกับพยายามจะยื่นหน้าเข้ามาจูบเขา ทว่าด้วยความที่ทั้งสองต่างใส่หน้ากากเอาไว้มันเลยเป็นไปไม่ได้เลยที่ริมฝีปากของเพนเทจะได้สัมผัสกับริมฝีปากของชายที่เธอรัก อย่างไรก็ตามมาร์ก็ยังคงประคองร่างของเธอเอาไว้ ก่อนจะเริ่มใช้สกิลรักษาเพื่อให้เธอได้สติกลับมา

“ อ๊ะ… สลบเฉย เห้ออ แบบนี้พวกนั้นจะเป็นยังไงกันน้า ตอน ยาสูตรพิเศษของเอเนอาออกฤทธิ์.. ”

แก็ง แก็ง เก๋ง

“ ไม่ทันขาดคำ ”

มาร์ที่กำลังบ่นอยู่นั้น ก็ต้องหันกลับไปมองยังค่ายแล้วก็ได้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่เขาได้ทำลงไป ภาพที่เหมือนกับหนังสยองขวัญแนววิปริต เลยทีเดียว เหล่าทหาระดับสูงที่โดนฤทธิ์ยาเข้าไปพวกนั้น ต่างวิ่งออกมาแล้วทำในสิ่งที่ทำให้มาร์รู้สึกสะอิดสะเอียนเลย

“ ยานี้… ”

พวกมันล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้า ทั้งยังหายใจปล่อยกลิ่นอายสีชมพูออกมา ซึ่งรูปลักษณ์นั้นก็ส่วนหนึ่งแต่สิ่งหลักที่มันทำนั้น ก็คล้ายกับอาการหน้านี้ของเพนเท แต่คงเรียกได้ว่ารุนแรงกว่ามาก

“ ท ท ท่านจะทำอ อ๊ากกกกก!! ”

“ นายหญิง!! หยุดเถอะครับ!! อย่า อย่า!! ”

ฉัวะ!! กร้วม กรรร

ทหารระดับสูงพวกนั้น ทั้งชายและหญิง ต่างกระโจนใส่คนที่อยู่ใกล้สุด พวกมันทั้งฉีกกระชากร่าง กินเนื้อ และฆ่าเหยื่อ ไม่ก็ข่มขืนทหารที่ไม่ได้รับยาเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนว่าจะเป็นชายหญิง หรือสัตว์ก็ตาม สภาพน่าเวทนาของเหยื่อที่โดนพวกมันเล่นงานเองก็เกินจะทนมองดูได้

ชายที่โดนข่มขืนโดยชายร่างกายฉีกขาดจากทวารขึ้นไปถึงกลางหลัง หญิงเองก็เช่นกันหน้าท้องเปิดออกจนใส้ทะลักออกมา หรือแม้จะเป็นชายที่โดนหญิงข่มขืน อวัยวะเพศของเขาก็ถูกฉีกกระชากลากออกจากร่างกาย หรือหญิงด้วยการก็ถูกดึงจนร่างขาดเป็นสองส่วน เลือดและของเหลวต่างๆปะปนไปกับพื้นโคลนและสายฝนที่ตกลงมาจนสภาพรอบๆบริเวณนั้น ทั้งเต็นท์ ทั้งพื้นทางเดิน เริ่มจะชโลมไปด้วยสีแดงกับขาวและน้ำตาล

“ อ อัค ฮ่าห์ ฮ่าห์ ฮ่าๆๆๆ ”

“ อย่าไปด… อึก กรรร กรรรร ”

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยกลิ่นอายและควันหมอกสีชมพูที่พวกมันปล่อยออกมาก็ทำให้คนที่สูดดมเข้าไป เริ่มมีอาการไม่ต่างกับที่พวกมันเป็น ทุกคนเริ่มเสียสติและหันกลับไปมองยังคนรอบที่ยังไม่ได้รับสารจากหมอนั้นเข้าไป

แปะ แปะ แปะ แปะ ซ่าๆๆๆๆๆ

ผนวกเข้ากับสายฝนที่ตกกระทบผ่านหมอกพวกนี้ มันก็กลายมาเป็นหยดสีชมพูเช่นเดียวกับสารที่เคยอยู่ในหลอดแก้ว แถมยังระเหยหมอกสีชมพูแบบเดียวกันขึ้นมาอีก และไม่ว่าน้ำจากฝนนั้นจะไหลไปทางไหนมันก็จะสร้างหมอกสีชมพูไปด้วยเสมอ

“ ถึงจะบอกว่าห้ามสร้างอาวุธชีวภาพแต่ไอสิ่งนี้นี้ ยากระตุ้นประสาทแบบรุนแรง…คงได้ไอเดียมาจาก Salt Bath สินะ หึ …เก็บไว้ใช้ฉุกเฉินก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งดังนั้น แค่สั่งห้ามนำออกมาใช้เด็ดขาดก่อนก็แล้ว ”

ส่วนมาร์ที่ได้เห็นเขาก็เหมือนจะพอใจในผลลัพธ์ของมัน แต่ด้วยผลลัพธ์ที่เกินกว่าจะควบคุมได้แบบนี้ เขาก็ได้แต่ต้องควบคุมมันเป็นพิเศษ อย่างไรกับตามตอนนี้มาร์ก็ยังคงมองดูมันทั้งยังบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อจะส่งมันไปให้กับเอเนอาได้ดู อย่างไรก็ตามตอนถ่ายไปนั้นมาร์มองดูพร้อมกับหลุดยิ้มและคำพูดที่เบาแสนเบาออกมา

“ …ถ้าเป็นคนอื่น จะยังยืนถ่ายแล้วไม่รู้สึกอะไรแบบเราได้หรือเปล่าน้า… ”

……..

“ ถึงนายท่านจะบอกว่าจะค่อยๆจัดการ แต่ดูจากภาพแล้วความเร็วตอนนี้…ลุยเดี่ยวเหมือนเดิมสินะเจ้าคะ ”

“ นั้นสิน้าา เล่นเคลียร์ทีละจุดในเวลาไม่ถึงชั่วโมงแบบนี้ อย่างกับวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเลยเนอะ ”

ภายในห้องมืด ที่อยู่ลึกสุดในใจกลางเรือบรรทุกเครื่องบินสีขาว ห้องที่มีเพียงเหล่าบุคคลสำคัญเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ และปัจจุบันนี้ ก็มีหญิงสาวอยู่สองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งนั้นเป็นที่คุ้นเคยอย่างดีนั้นคือ ทิเรีย เมดผู้เป็นมันสมองของกลุ่มพี่น้องเมด และอีกคน พี่ใหญ่สุดผู้มากไปด้วยพลังทำลายล้าง เอนนา

“ ไม่หรอกเจ้าค่ะท่านพี่หญิงเอนนา นายท่านน่าจะวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ที่เห็นแผนที่ใหญ่แล้วล่ะเจ้าค่ะ ”

“ สมกับเป็นนายท่านจริงๆ พวกเรานี้่…ไม่เคยตามความคิดของท่านได้เลยล่ะนะ ขนาดเคนโทรเองก็ยังไม่ทันเลย ”

ทั้งสองมองไปยังจอขนาดใหญ่ที่ฉายอยู่ตรงหน้า ภาพมุมสูงจากดาวเทียมที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พื้นที่จากขอบของเขตกองทัพจอมมารไต่ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จะมีอยู่เส้นทางหนึ่งที่ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยความชิบหายมากมาย จากนอกสุดที่เต็มไปด้วยคนตาย ไต่ขึ้นไปก็ยิ่งมีแต่คนตายเต็มไปหมด

“ แต่จะว่าไปแล้ว นายท่านก็แอบเล่นแรงอยู่นะ ถึงขนาดเอาสารอันตรายออกไปใช้แบบนั้น ”

“ หมายถึง สารที่นายท่านเรียกว่า โพ โล อือ.. เนี่ยมเหรอเจ้าคะ? ”

“ อ่า นั้นแหล่ะ อันตรายขนาดที่ร่างกายของเอเนอายังเอาไม่อยู่เลยนะ ”

“ … ”

เอนนาที่ดูๆอยู่ ก็พูดขึ้นมาถึงของบางอย่าง ของที่พวกเธอไม่สามารถครอบครองได้ ถ้ามี ก็ต้องส่งมอบให้นายท่านในทันที ซึ่งทิเรียก็พอจะรู้ได้ว่ามันคืออะไร เพราะเธอได้อ่านมันมาแล้วในรายงานการวิจัย แต่พอเธอได้ยินจากปากของเอนนาว่าขนาด เมดที่ร่างกายทนทานที่สุดอย่างเอเนอายังเอาไม่อยู่ มันก็ทำให้เธอถึงกับเงียบไปเลย

“ ตกใจล่ะสิ แต่ก็สมควรแล้วล่ะ ขนาดตอนแรกที่ชั้นได้ลองดูภาพบันทึกเอง ก็แอบช็อกเหมือนกันนะที่เอเนอาถึงกับต้องพึ่งการฟื้นฟูของนายท่านในการเอาชีวิตรอดแบบนั้น เจ้าสารนั้นแค่ 0.1 กรัม ก็ทำเอาอาการของเอเนอาทรุดลงอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ 5 วัน 5ัวนเท่านั้น ไล่ตั้งแต่ผมร่วง อ้วก อวัยวะหยุดทำงาน ชักอยากรุนแรงจากระบบภูมิคุ้มกันหยุดลง เรียกได้ว่าถ้านายท่านไม่อยู่คุมการทดลองเราคงได้ข่าวร้ายไปแล้วล่ะ เห้อ…ลำบากเลยเนอะ เอ่อ… นิ่งแบบนี้แสดงว่าเอ็กซิไม่ได้เขียนรายงานส่งไปให้อ่านสินะ ไม่สิอย่าบอกนะว่าไม่รู้ว่ามีการทดลองกับเอเนอาน่ะ? ”

“ …เจ้าค่ะท่านพี่หญิง ไม่มีรายงานในส่วนนี้เลย มีแต่บอกว่าฤทธิ์ของมันเป็นอย่างไรเท่านั้นเจ้าค่ะ ”

“ อ อ…อะ เอาเป็นว่าหลังจากนี้ถ้าจะเรียกมาบ่น ก็อย่าบอกล่ะว่าชั้นเป็นคนพูดน่ะ ”

สีหน้าของทิเรียแม้จะนิ่งไร้อารมณ์อยู่แต่เอนนาที่อยู่ด้วยกันมานานก็สัมผัสได้ถึงความโกรธที่ซ่อนอยู่ใต้ความนิ่งนั้น เอนนารู้ดีว่าตัวเองน่ะเป็นคนหัวร้อนง่าย และเวลาโกรธก็จะรุนแรง แต่ทิเรียน่ะเธอเป็นคนที่เย็นที่สุดในหมู่เมดแล้วดังนั้นเวลาที่เธอโกรธเนี่ย อารมณ์ก็เหมือนๆนิวเคลียร์ลงเลยทีเดียว นั้นทำให้เธอเบือนหน้าหนีไปมองยังจอบนโต๊ะ ที่นั้นมีภาพฉายจากจุดต่างๆที่มาร์ได้ผ่านเข้าไป

[ ขอโทษน้า เอ็กซิ เดคกะ เอเนอา แต่งานนี้ทำตัวเองแท้ล่ะนะ … ส่วนนายท่านคงไม่โดนเรียกมาหรอกเนอะ ]

กริ๊กกๆๆๆ แอดๆๆ

เอนนาคิดเช่นนั้น ก่อนจะขยายภาพขึ้นให้เห็นได้ชัดขึ้น จนเห็นพื้นที่รอบๆปราการนั้นได้อย่างไม่ยาก ไม่สิ เห็นถึงขนาดภาพของผู้คนกำลังเดินแบกอะไรบางอย่างไปมา บางอย่างที่อยู่ในห่อผ้าสีขาวกับกองอะไรสักอย่างที่ทับถมกัน ภาพนั้นค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆจากการปรับโฟกัสของกล้องบนดาวเทียม

“ โห่… นั้นสินะ ฤทธิ์ของ 4 กรัม หยึย!! ขนลุกชะมัด!! ”

ทันทีที่การปรับโฟกัสหยุดลง ภาพที่น่าสะอิดสะเอียน ไม่สิ ภาพที่น่าขยะแขยงก็ปรากฎให้เอนนาได้เห็น ศพนับร้อยที่กองอยู่อย่างกับกองขยะ โดยแต่ละศพก็เหมือนๆกันคือไร้เส้นผม คราบอ้วกและอุจจาระเต็มทั่วทั้งร่างกาย ประกอบด้วยใบหน้าที่ดูทรมานแม้ว่าจะไร้ซึ่งชีวิตไปแล้วก็ตาม

[ ทหารที่กองๆอยู่กันอยู่นั้นคงเกินครึ่งแน่ๆล่ะ…แบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วสินะว่าจะโดนถล่มเมื่อไหร่ ]

ปราการนั้น สำหรับมาร์เขาไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่สำหรับเอนนากับทิเรียทั้งคู่สำรวจมันผ่านดาวเทียมมาหลายหนแล้ว ทำให้รู้ได้ว่าที่นี้คือปราการสำหรับการป้องกันมอนสเตอร์ไม่ให้บุกเข้าไปในพืิ้นที่เกษตร มันจึงเป็นจุกพักทหารที่สำคัญ

“ ฮะ ฮะ … สมกับเป็นนายท่านจุดแรกก็เล่นส่วนเสบียงแบบนี้เลย แบบนี้ตอนพวกเราบุกขึ้นไปคงไม่ลำบากอะไรแน่ๆ ไม่สิ คงผ่านไปง่ายๆเลยล่ะมั้ง ”

ทว่าอย่างที่เห็น ตอนนี้พวกทหารของกองทัพจอมมารต่างล้มตายเป็นจำนวนมาก และพวกเขาก็คงเข้าใจว่ากำลังเจอกับโรคระบาดประหลาดที่ฆ่าทหารที่ประจำการจนเกือบหมด โรคที่แม้แต่หมอหรือนักวิจัยก็ไม่สามารถเข้าใจได้ อาการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นเหตุให้จุดป้องกันนี้หยุดชะงักลง แล้วก็จะเปิดช่องว่างให้มอนสเตอร์แห่กันเข้าไปถล่มไร่ได้แน่ๆ เอนนาที่ได้เห็นก็ได้แต่ประทับใจกับเป้าหมายที่นายท่านของเธอเลือกจะทำลาย เป้าหมายที่เป็นจุดสำคัญของกองทัพต่างๆ

“ ไหนดูสิจุดถัดไป… อึก ”

คลิ๊ก

เอนนากดเลื่อนไปยังจุดถัดไปที่มาร์เข้าไปทำการก่อวินาศกรรม มันเป็นจุดเหนือขึ้นไปอีกราวๆ 15 กิโลเมตร ที่นั้นเป็นเขตเหมืองที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนเหมืองร้างไปแล้วจากภาพที่ได้เห็น อุปกรณ์ขุดแร่มากมายพังพินาศย่อยยับอยู่ใต้กองหิน เครื่องทุนแรงที่ใช้ยกของก็พังพินาศหมด จนสภาพเหมืองกลายมาเป็นสภาพของผู้คนกำลังพยายามช่วยเหลือกันเพื่อเอาคนเจ็บออกมา แล้วก็ช่วยกันอพยพคนออกจากในถ้ำที่ใช้ขุดแร่

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

“ เดี๋ยวนะ!! นี้ตัวส่งสัญญาณถัดไปมาแล้วงั้นเหรอ!! ”

คลิ๊ก

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เธอกำลังจะเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ของเขตเหมือง ก็มีสัญญาณของเครื่องส่งสัญญาณดังเข้ามา ทำให้เธอรีบเปลี่ยนไปยังตัวส่งสัญญาณถัดไปทันที ภาพจึงเลื่อนขึ้นไปด้านบน ขึ้นเหนือไปอีกไม่กี่กิโลเมตร ที่นั้นเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตอนนี้ท่วมไปด้วยทะเลสีแดง ทะเลเพลิงที่ร้อนระอุ โดยบนพื้นถนนก็เต็มไปด้วยของเหลวบางอย่างที่มีสีแดงสว่างที่รู้สึกได้ถึงความร้อนจากมัน

“ อึก…นาปาล์ม? ไม่ใช่…สีแดงสว่างแบบนั้น ล ล เหล็กร้อน!! นี้นายท่าน?!? ”

เอนนาพยายามมองหาต้นเหตุทันที ทว่าเปลวเพลิงที่กำลังท่วมไปทั้งบริเวณ มันก็ยากที่เธอจะสามารถมองเห็นจุดต้นเหตุได้ สิ่งที่เธอพอจะทำได้จึงเป็นการพยายามขยายภาพเข้าไปเพื่อตามหาสถานที่ที่พอจะมีเหล็กร้อนได้ แต่จะมองยังไงก็ไม่อาจจะหาเจอได้ในทันที

ปิ๊บ ปิ๊บ

“ ติดต่อเข้ามาถูกจังหวะกันจังเลยนะ ”

“ เดี๋ยว ดิชั้นรับสายเองเจ้าค่ะท่านพี่หญิง ”

แกรก

ในระหว่างที่เอนนากำลังตามหาคำตอบอยู่นี้เอง สัญญาณก็เตือนก็ดังอีกรอบ ทำให้เธอเงยหน้ามามองแล้วก็พบว่ามันเป็นการติดต่อเข้ามาของหมายเลข 4 เทเสล่า ซึ่งทิเรียที่ได้เห็นก็รับสายด้วยสีหน้าที่นิ่งแต่ดวงตากลับมาเป็นปกติแล้ว

“ ทิเรียเเองจ้าค่ะ มีอะไรจะรายงานหรือเปล่าเจ้าคะ? ”

“ ก็…ตอนนี้พวกเราโดดลงมาถึงที่หมายแล้ว จะให้ทำยังไงต่อล่ะ??? ”

“ เดี๋ยวนะเทเสล่า!! คนอื่นยังลงมาไม่ถึงเลยนะยะ!! ”

ทว่าในระหว่างที่เทเสล่ากำลังรายงานเพื่อขอรับภารกิจใหม่จากทิเรีย ก็มีเสียงแทรกเข้ามา เสียงของเพนเทที่ดูจะไม่พอใจกับการรายงานแบบนั้นของเทเสล่า ซึ่งนั้นก็จริงเพราะว่าตอนนี้ที่จุด LZ มีเพียงแค่เทเสล่ากับเพนเทเท่านั้น ส่วนลูกทีมคนอื่นๆยังร่อนลงมาอยู่เลย การจะขอเป้าหมายถัดไปแบบนี้มันผิดวิธีสุดๆ

“ เทเสล่าไว้หลังจากนี้ดิชั้นจะเรียกมาอบรมใหม่อีกทีนะเจ้าคะ ส่วนตอนนี้เป้าหมายถัดไปคือ…มุ่งหน้าไปที่เหมือง ห่างจากจุด LZ ไปราวๆ 5 กิโลเมตร พอไปถึงก็เริ่มเก็บกวาดได้เลยเจ้าค่ะ เสร็จแล้วก็ให้รีบมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้าน เหนือขึ้นไปจากเหมืองเพื่อเก็บงานแล้วตรวจสอบให้เรียบร้อยนะเจ้าคะ ”

“ รับทราบแล้ว จะดำเนินการในทันที… แต่เดี๋ยวนะ ทำไมถึงมี สองภารกิจในการรายงานครั้งเดียวล่ะ?? ”

เทเสล่าสงสัยในการออกคำสั่งชี้เป้าหมายของทิเรีย เพราะปกติ มันจะเป็นการส่งเป้าหมายทีละอย่าง ดังนั้นในส่วนที่จะให้ไปจัดการหมู่บ้านก็ควรจะมาหลังจากที่เทเสล่ารายงานผลการเก็บกวาดเหมือง ซึ่งเพนเทเองก็คิดเช่นกันเพราะปกติเวลาเธอทำงานลอบสังหาร มันก็จะไม่มาทีเดียวยาวแบบนี้เพราะมันจะทำให้เกิดปัญหาได้หาการดำเนินการไม่เป็นไปตามแผน

“ อ่า…ขออภัยเจ้าค่ะ ดิชั้นต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่าตอนนี้ ทีมเฉพาะกิจตามแผนของชาลี ตอนนี้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ กล่าวคือ นายท่านทำการแทรกซึมเข้าไปเร็วกว่าที่พวกเราคิด ทุกคนจึง …ช้า… กว่ากำหนดไป 1 ช่วงเจ้าค่ะ ”

“ หา!! นี้เราช้าไปขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!! เพนเทรีบๆไปกันเถอะ!! ”

“ เดี๋ยว!! อย่า…อ๊า! โธ่เอ้ย ”

“ พยายามเข้านะเจ้าคะ ”

แกรก

จากเสียงที่ดังเข้ามานั้น ทิเรียก็พอจะนึกภาพได้เลยว่า เทเสล่าที่รู้ว่าตัวเองช้าขนาดนี้ เธอคงรีบวิ่งออกไปโดยไม่รอใครแน่ๆ ซึ่งก็จริงเพราะทันทีที่เธอรู้ว่าตัวเองช้ากว่ากำหนด จิตวิญญาณแห่งความเร็วก็ไม่อาจยอมได้เธอวิ่งพุ่งออกไป ทิ้งให้เพนเทนั่งรอลูกทีมโดดลงมาถึงที่หมาย กระนั้นก็ดี…สิ่งหนึ่งที่ทิเรียไม่ได้คิดไว้คือ เมื่อเธอวางสายไปแล้ว เพนเทเธอกำลังยิ้มอยู่ ทั้งๆที่เธอควรจะโกรธอยู่แท้ๆ

“ เหนื่อยแย่เลยน้า ทิเรีย เทเสล่านี้ถ้าบอกว่าช้าไปก็เป็นแบบนั้นทุกทีเลยเนอะ ”

“ ได้ยินด้วยเหรอเจ้าคะ ฮ่าห์….จริงๆก็ไม่แย่หรอกเจ้าค่ะ เพราะตั้งแต่เทเสล่าจะไป ดิชั้นก็คิดไว้แล้วล่ะเจ้าค่ะว่ายังไงก็ต้องเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น ”

“ เห… ”

เอนนาที่ฟังอยู่ก็เป็นอดเป็นห่วงทิเรียไม่ได้ เพราะถ้าอะไรไม่เป็นไปตามแผนแล้วไม่ได้เกิดขึ้นจากนายท่านของเธอ ทิเรียจะโมโหและหงุดหงิดเป็นอย่างมากและเมื่อตกดึกเมื่อไหร่ ทิเรียก็จะไปซ้อมยิงเป้าคนเดียวเพื่อระบายอารมณ์เสมอ ทว่าทิเรียก็เหนือกว่า เพราะเธอคิดเพื่อไว้แล้วกับสถานการณ์อะไรแบบนี้

กริ๊งงงงง

“ อ่า…แล้วอันนี้ได้คิดเพื่อไว้หรือเปล่าล่ะทิเรีย? ”

“ ก็ขึ้นอยู่ว่าจะรายงานว่าอะไรน่ะเจ้าค่ะ ถ้าเป็นเรื่องกองทัพจอมมารใช้กำลังทางน้ำมาสกัดกั้นเรา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเจ้าค่ะ ”

เสียงกระดิ่งดังขึ้น นี้เป็นสัญญาณเตือนว่ามีคนภายในเรือต้องการติดต่อเข้ามาในห้อง ซึ่งนั้นก็ทำให้เอนนาหันไปมองทิเรียพร้อมกับพูดกวนๆเหมือนกับจะล้อเล่นๆกับทิเรีย ทว่าทิเรียน่ะก็ไม่ธรรมดาเธอหันมามองก่อนจะยิ้มแล้วพูดออกมาด้วยความไร้กังวลใดๆ เอนนาจึงกดปุ่มเพื่อรับสายจากคนด้่านนอก

“ ดิชั้นพลเรือเอกปิ ขออนุญาตรายงานสถานการณ์ค่ะ!! ”

“ เชิญเลยปิ ”

“ ค่ะ!! ตอนนี้เรดาห์ของเรือลาดตระเวนได้แจ้งเข้ามาว่าห่างจากพวกเราไปราวๆ 18 กิโลเมตร ตรวจพบการก่อตัวขึ้นของฝูงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่แล้ว พวกมันก็มีทิศทางมุ่งหน้ามาที่พวกเราด้วยค่ะ ”

“ เห… ”

การรายงานเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมันก็ทำให้เอนนาหันไปมองทิเรียด้วยความรู้สึกประทับใจในทันที สิ่งที่ทิเรียคาดไว้ดูท่าจะเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนทิเรียก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งฟังอย่างเงียบๆ ทำให้เอนนาต้องจัดการต่อเอง

“ แล้วมีแผนว่ายังไงบ้างล่ะปิ? ”

“ ค่ะ! ตอนนี้ดิชั้นได้ออกคำสั่งให้กองเรือลาดตระเวนเตรียมเข้าปะทะแล้วค่ะ ”

“ งั้นก็ดี ถ้ามีอะไรรายงานเพิ่มก็แจ้งเข้ามาได้ตลอดเลยนะ ”

“ ค่ะ!! เช่นนั้นขออนุญาตค่ะ!! ”

แกรก

เมื่อการรายงานสิ้นสุดลง ปิ ก็ได้วางสายไป ทำให้เอนนาหันมาเพื่อจะคุยกับทิเรียต่อถึงเรื่องแผนสำหรับการยกพลขึ้นบก ทว่าเมื่อหันมาแล้วสิ่งที่เธอเห็นก็คือ ทิเรียกำลังสวมหน้ากากประจำตัวของเธออยู่ แล้วบนหน้ากากนั้นก็ขึ้นสัญลักษณ์ว่าเธอกำลังติดต่อกับใครอยู่

[ ติดสายอยู่กับใครล่ะนั้น? ]

เอนนาที่เห็นก็ตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้น เพราะเธอนึกไม่ออกว่าในเวลานี้ทิเรียจะโทรติดต่อกับใคร อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้จะพูดเสียงดังหรือถามตรงๆ เธอนั่งอยู่เช่นนั้นแล้วก็นั่งฟังอย่างเงียบๆ

“ ขออภัยที่โทรเข้าไปรบกวนในเวลานี้นะเจ้าคะ ท่านพี่หญิงดีย์โอะ…. เจ้าค่ะ คือว่ามีงานด่วนเจ้าค่ะ คือว่าทางพลเรือเอกปิ แจ้งว่าตรวจเจอฝูงมอนสเตอร์พุ่งตรงมาทางเรา ดิชั้นจึงอยากให้ท่านพี่หญิงนำกลุ่มโดรนรุ่นใหม่ออกไปทดลองแล้วจัดการพวกมันให้หน่อยจะได้หรือเปล่าเจ้าคะ? ”

[ ดีย์โอะงั้นเหรอ? ยัยนั้นคงบ่นแย่เลยล่ะมั้ง? ที่ต้องมาลงทะเลเย็นๆก่อนขึ้นเข้าเขตชายฝั่งแบบนี้ ]

ปลายทางที่ทิเรียกำลังพูดคุยอยู่ ก็คือดีย์โอะ บทสนทนานั้นทำให้เอนนาพอจะนึกหน้าของดีย์โอะ ในตอนที่กำลังคุยกับทิเรียอยู่ได้อย่างไม่ยาก ตอนนี้ดีย์โอะ เธอคงจะเหวี่ยงสุดๆ เพราะชุดที่พึ่งตัดมาไว้สำหรับลงภารกิจที่ยิ่งใหญ่อย่างการเป็นกลุ่มแรกในการขึ้นฝั่ง ทว่าตอนนี้ต้องมาใช้มันก่อนที่จะไปถึง

“ … จะดีจริงๆเหรอเจ้าคะ?? … ขอบคุณมากเจ้าค่ะ โชคดีนะเจ้าคะ ”

แกรก แกรก

“ ดีย์โอะยอมจะให้ชุดพิเศษนั้นเปียกก่อนถึงฝั่งเหรอเนี่ย?? ”

“ จะว่าเช่นนั้นก็…อือ… ”

เอนนาถามทิเรียด้วยความประหลาดใจในทันทีที่เธอถอดหน้ากากออก เพราะเอนนาไม่คิดว่า ดีย์โอะจะยอมให้ชุดว่ายน้ำกึ่งเมดแสนแพงของตัวเองมาเปื้อนแบบนี้ อย่างไรก็ตามทิเรียพอโดนถามเข้าไปเธอก็พยายามจะอธิบายแต่ว่ามันเหมือนจะติดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอเอง

“ เอ่อ… จะว่าเช่นนั้น นี้หมายความว่ายังไงล่ะทิเรีย?? ”

“ ก ก็… ท่านพี่หญิงดีย์โอะ เธอบอกว่าเธอจะไปทั้งๆที่…ไม่สวมอะไรเลยน่ะเจ้าค่ะ ”

“ เดี๋ยววว!! ไม่ได้ ไม่ได้!! รีบเรียกยัยนั้นกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!! เห็นว่าเป็นทะเลแล้วจะไม่มีใครมาเห็นหรือยังไง!! โธ่เอ้ยยย!! ไอเรื่องงานน่ะเลี่ยงเก่ง แต่พอถอดเสื้อผ้าล่ะไวเลยนะ!! ”

ทิเรียตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นคลอนไม่ใช่เพราะกลัว แต่ไม่กล้าพูดออกมามันน่าอายเกินไป แต่เอนนา พอได้ยินก็รีบสวมหน้ากากของตนเองแล้วติดต่อไปหายังดีย์โอะในทันทีเพื่อจะเรียกให้เธอกลับมา

ติ๊ด ติ๊ด…

“ รับสักทีสิเห้ยยย!! ”

“ คงยากแล้วล่ะเจ้าค่ะท่านพี่หญิงเอนนา ท่านพี่หญิงลืมไปแล้วหรือเปล่าเจ้าคะ หน้ากากเอง…ก็เป็นของสั่งทำใหม่ด้วยน่ะเจ้าค่ะ ”

… …

ในขณะที่ฝั่งของฝ่ายยกพลขึ้นบกกำลังเดินทางและวุ่นวายกันอยู่นั้น หน่วยเฉพาะกิจเองก็พยายามตามติดมาร์ไปให้ทัน แต่ก็ดูท่าแล้วไม่น่าจะทันเขาได้ เพราะตอนนี้มาร์เพลินกับการทำลายข้าวของเป็นอย่างมากจนตอนที่เครื่องส่งสัญญาณแจ้งถึงเรื่องที่หมู่บ้านไฟไหม้ มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่มาร์จัดการระเบิดอีกหมู่บ้านไปแล้ว และตอนนี้เขาก็มาถึงยังค่ายทหารใหญ่ ที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังซ้อมรบอยู่

“ ถ่ายไว้จะได้ใช้ไหมหนอ… จริงๆส่งตำแหน่งไปน่าจะดีกว่ามั้ง จะได้ดูผ่านดาวเทียมเอา อ่า…แต่ถ้าส่งไปก็คงไม่ได้เห็นอะไรแหงๆ อืม…งั้น ช่างเถอะ ….! …. ”

มาร์ตอนนี้เขาอยู่บนเนินเขาไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปจาก ค่ายทหารที่ว่านั้น โดยตัวของเขานั้นนั่งอยู่บนหินขนาดใหญ่ที่พอจะทำให้เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างในค่ายได้แล้วก็สามารถบันทึกสิ่งที่เห็น ด้วยการอัดวีดีโอผ่านกล้องบนหน้ากากของตนเอง ทว่าในระหว่างที่บันทึกอยู่ มาร์ก็หยุดการบันทึกลงชั่วคราวก่อนจะหันกลับไปมองยังด้านหลัง

“ หยุดซ่อนตัวได้แล้วเพนเท ไม่เนียนเลยนะ”

“ แหะๆ โดนจับได้ตลอดเลยอ่าาา แย่จัง ”

ด้วยคำพูดนั้นของมาร์ ก็ทำให้หญิงสาวผมสีม่วงต้องเดินออกมา หญิงสาวผู้สวมหน้ากากที่ปล่อยหมอกออกมาตลอดเวลา หมอกสีขาวที่ปกปิดใบหน้าของเธอเอาไว้ เธอเดินออกมาด้วยความเขินอายพร้อมกับบ่นๆด้วยเสียงที่เบาแสนเบา ส่วนมาร์นั้นก็หันกลับไปแล้วเริ่มทำการบันทึกต่อในทันที

“ โดนจับได้ตลอดเลย? ก็ยากอยู่นา ถ้าไม่ชินกับมานาของเพนเทก็คงไม่รู้หรอก หรือไม่ก็ต้องใช้เวลามากกว่านี้แหล่ะ… ”

“ เห๊ะ!! นี้ได้ยินด้วยอ๋อคะ!! อ๊าา อายยจัง!! ”

“ เอาเถอะๆ มาก็ดีแล้ว มีงานให้ทำพอดีเลย ”

และเมื่อเขาพูดจบมาร์ก็กวักมือให้เพนเทมานั่งข้างๆ ซึ่งเธอพอเห็นก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วและน่ารัก และพอมาถึงก็นั่งลงเหมือนกับว่าเธอมาปิคนิกมากกว่ารบเสียอีก ซึ่งพอเธอนั่งลงแล้วมาร์ก็ชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั้นมีคนในชุดเกราะสีเงินกำลังขี่ม้าไปมาเหมือนกับกำลังตรวจดูอะไรบางอย่างอยู่

“ เห็นนั้นไหม เป้าหมายของเราในคืนนี้ล่ะนะ ตอนแรกก็คิดว่าจะเข้าไปเองแต่ไหนเพนเทก็มาพอดี คืนนี้รบกวนด้วยล่ะ ”

“ รับทราบค่า!! ”

เพนเทมองตามในทันที และหน้ากากของเธอก็ขยายภาพทำให้ได้เห็นสิ่งที่นายท่านของเธอเล็งเอาไว้อยู่ ทว่ามาร์ที่บอกเป้าหมายแล้วเขาก็ปิดการบันทึกภาพก่อนจะกลับมานั่งตามปกติแล้วหยิบเอาน้ำออกมาจากเงาของตนอย่างสบายใจ ทว่าที่ข้างๆกันนั้นก็มีหลอดใส่ของเหลวสีชมพูเรืองแสงเอาไว้อยู่ ของเหลวที่พอเพนเทได้กลิ่น เธอก็ถึงกับขนลุกสู้ขึ้นมาทันที

“ น น นายท่านค ค ค้า คิดจะใช้ไอนั้น จจ จริงๆเหรอคะ?!? ”

“ น่า…ของเอเนอาฝากมาทดลองยังไงก็ใช้ๆไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ”

“ ต ต แต่ว่า…มันคือไอนั้นอัพเกรดสินะคะ แค่กลิ่นก็ขนลุกแล้วง่าาา ”

“ เหรอ? ไม่หรอกมั้ง ไม่…หรอกมั้ง ไม่อ่ะ ไม่ใช่หรอก ”

…….

ก๊า ก๊า กาาา

“ พวกแกได้อ่านรายงานของหน่วยสำรวจหรือยัง? ”

พระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นสู่ขอบฟ้า และภายในปราสาทจอมมาร ณ ห้องขนาดเล็กที่ด้านหน้าถูกติดป้ายเอาไว้ว่า [ ฝ่ายเสนาธิการ ] และด้านในห้องก็มีเหล่าทหารของกองทัพจอมมารทั้งชายหญิง จำนวน 4 คนที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาว เป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาอยู่ในระดับสูงขนาดไหน ทว่าทุกคนในตอนนี้ก็ไม่ได้จะทำงานแบบที่ปกติได้ทำกัน เนื่องจากพวกเขากำลังนั่งล้อมกันเป็นวงกลมแล้วถือเอกสารบางอย่างเอาไว้ในมือ

“ อ่า อ่านแล้วล่ะ สรุปที่ขาดการติดต่อไปนี้ ไม่ใช่เพราะศัตรูบุกสินะ? ”

“ ก็คงงั้นแหล่ะ ดูจากเอกสารของฝ่ายตรวจสอบ ก็เห็นบอกว่าเหตุการณ์พบผงยาบางอย่างนิ ใช่มะ? ”

“ อืมมม ตามที่รายงานเขียนมา ทหารยศต่ำสุดเสพยาบางอย่างจนคลั่งแล้วเข้าทำร้ายคนอื่นๆ แต่…ยาที่ไอทหารนั้นมันเสพ ทำไมเราถึงไม่มีข้อมูลเลย ผงสีขาวที่แค่เสพก็ทำให้ทหารระดับล่างสามารถฆ่าทหารระดับสูงกว่าตนเองได้ โดยไม่สนจำนวนกับความสามารถแบบนั้น ”

ทั้ง 4 คนนั้นกำลังประชุมกันอยู่ ถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เหตุการณ์ที่จู่ๆทหารเฝ้าชายแดนก็ขาดการติดต่อไปแล้วไม่ได้รายงานเข้ามาภายในเวลาที่กำหนด ทำให้มีการส่งคนไปตรวจสอบและทำรายงานส่งกลับมาแบบนี้ ซึ่งทั้ง 4 พอได้อ่านก็ต้องตกอยู่ในสภาพสับสนจนต้องประชุมกันแบบนี้

“ งั้นสรุปเลยดีไหมว่า ทั้งหมดเป็นเพราะยา ? ”

“ อ่า… ก็คงสรุปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ล่ะนะ ”

2 ใน 4 นั้นเห็นไปในทางเดียวกันแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฤทธิ์ยาแน่ๆ ทว่า อีก 2 คนนั้นกลับก้มหน้าอ่านเอกสารต่ออีกรอบ ทั้งคู่ต่างคิดแล้วคิดอีก แถมยังพยายามทำความเข้าใจกับรายงานนั้น แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ยอมแพ้แล้วเงยหน้าขึ้นมา

“ เห้อออ สุดท้ายก็ต้องยอมรับล่ะนะว่าเป็นผลลัพธ์จากการใช้ยา แต่ว่ายานั้นให้ผลลัพธ์ที่ทำให้คนที่อ่อนที่สุดฆ่าคนที่เก่งที่สุดได้ ทางเราได้ส่งตัวผงนั้นไปให้ฝ่ายวิจัยหรือยัง? ”

“ ส่งไปแล้วล่ะ แบบด่วนด้วยนะ เห็นว่าพยายามจะทำกระบวนการย้อนกลับเพื่อศึกษาแล้วหาทางผลิตแต่ดันไม่สำเร็จจนล้มเลิกกันไปแล้วล่ะ ”

“ น่าเสียดาย แต่ก็ถ้าฝ่ายวิจัยยังทำไม่ได้เราก็คงส่งไปหน่วยอื่นไม่ได้ล่ะนะ ดังนั้นชั้นเห็นด้วยว่านี้เป็นเคสจากการใช้ยา ”

“ 3 ใน 4 ยังไงผมก็ต้องเห็นตามล่ะนะ ”

“ ถ้างั้นไม่มีอะไรแล้วก็… ”

ปึ้ง

ในที่สุดเสนาธิการทั้ง 4 ก็ตกลงเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะการใช้ยา นั้นทำให้พวกเขาต่างพากันปั้มตราประทับลงบนกระดาษรายงานอย่างพร้อมเพรียงแล้วนำมันใส่ซองก่อนจะกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะของตัวเองตามเดิม

……

“ ตาม GPS ก็อีกไม่กี่ร้อยเมตรนี้หน่า ทำไมยังไม่เห็นหว่า? หรือเพราะต้นไม้บัง? คงต้นไม้ละมั้ง… ”

แต่ระหว่างที่เหล่าเสนาธิการของกองทัพของจอมมารกำลังประชุมแล้วได้ข้อสรุปอยู่นั้น ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ตัวต้นเหตุจริงๆของเหตุการณ์ยานั้น กำลังนำพาความชิบหายมาสู่กองทัพจอมมารอีกระลอกหนึ่ง มาร์เขากำลังเดินผ่านป่าไม้โดยอาศัย แผนที่ที่แสดงอยู่ในหน้ากากของตนเองเป็นตัวนำทาง

“ อ๊ะ? มากถูกเวลาดีแหะเราเนี่ย… ”

ณ ค่ายทหารซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทจอมมารไปได้ราวๆ 230 กิโลเมตร ที่นี้แม้จะบอกว่าเป็นค่ายทหาร แต่มันก็ปราการขนาดย่อมๆที่จุทหารได้ราวๆ 1 ถึง 2 กองร้อย โดยปัจจุบันก็เป็นเวลาเช้ามืดแล้วทหารของกองทัพจอมมารก็กำลังพลัดเปลี่ยนเวรกัน ผ่านการสับเปลี่ยนระหว่างกะเช้าและกลางคืน ทว่าด้วยการที่เป็นช่วงเวลาของการเข้าพักของคนที่เหนื่อยมาทั้งคืน และเป็นเวลาของการออกไปทำงานของคนพึ่งตื่น ทำให้ทั้งภายในและนอกของปราการนั้นค่อนข้างจะวุ่นวายจากการเดินไปมาของทหาร

“ ขออนุญาตนะครับ… ก็ว่าไปนั้น? ”

ซึ่งมาร์เองก็ได้ใช้ช่วงเวลาที่วุ่นวายนี้ ในการเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้คนผ่านการเดินเข้าไปดื้อๆเลย ทว่าด้วยความวุ่นวายประกอบกับสกิล ปกปิดตัวตนในตอนนี้ ทำให้ไม่มีใครคิดจะสนใจมาร์เลยสักนิด เขาที่เข้ามาได้แล้วก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาเล็งไว้

แอดดด…. ฟู่ ฟู่

“ เอาเนื้อมาเพิ่มเร็ว!! แล้วพวกเอ็งน่ะย่างอะไรชักช้า!! ”

“ ตรงนี้มันหมดแล้ว ไปเอาจากคลังมาอีก เชฟ!! ผมขออนุญาตเบิกของเพิ่มนะครับ ”

“ เห้ย!! นี้มันซอสหรือน้ำท่อวะไอเวร? ข้าจำไม่ได้ว่าสอนให้พ่อครัวทำแบบนี้ แสดงว่าแก แกเป็นอะไรบอกข้ามา!! ”

“ แซนวิชโง่ครับ ผ ผ ผม เป็นแค่แซนวิชโง่ๆครับเชฟ!! ”

“ ฝ่ายซุปเว้ย!! ขึ้นไปเติมผักหรือยัง! ”

“ เชี้ยยยย!! ไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ!! ”

ความวุ่นวายนี้เป็นตัวแสดงให้เห็นว่าที่นี้คือห้องครัวและทุกคนที่อยู่ในนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นพ่อครัวที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารสำหรับทหารทุกคนอยู่เพราะช่วงกินข้าวของทหารมีแค่ 2 หนคือ เช้า กับ ค่ำ ดังนั้นพวกพ่อครัวจึงจะพลาดไม่ได้ไม่งั้นทหารจะไม่มีแรงเข้าเวร หรือเข้านอนกัน ความกดดันจึงแสดงออกมาให้ได้เห็นในรูปแบบของการตะโกน ตะคอกกันอย่างไม่แคร์หูคนรอกินที่นั่งอยู่ด้านนอก

[ เมนูดูธรรมดาดีแหะ เนื้อย่าง ขนมปัง ซุป ง่ายๆสมกับความคิดกินเพื่ออยู่จริงๆ ]

โดยทหารของกองทัพจอมมาร หรือกองทัพใดๆ มักจะไม่ได้กินหรู ยิ่งเป็นทหารรอบนอกของที่จะกินก็เลยเป็นการทำรวมๆกันในแต่ละวันและไม่มีสิทธิให้ได้เลือก อย่างวันนี้ตามที่มาร์เห็น มื้ออาหารก็เป็นซุปผักกับเนื้อที่ล่ามาได้มาต้มย่างราดซอสแล้วแจกจ่ายคู่กับขนมปังแข็งๆ อาหารพื้นๆที่ไม่แย่และไม่ดี จัดอยู่ในหมวด “ก็พอกินให้อยู่รอดได้”

[ งืม งืม แต่ไม่ว่าจะยังไง มื้อนี้ก็คงเป็นมื้อที่น่าจดจำล่ะนะ อ่า…ไม่ใช่ในฐานะมื้ออร่อย แต่จะเป็นมื้อแรกที่เราได้ลองใช้ของที่เอ็กซิอุตส่าห์เก็บรวบรวมตลอดทั้งปีมาส่ง ]

แต่สำหรับวันนี้มันจะเป็นมื้อที่เลวร้ายในแบบที่ไม่มีใครในนี้จะคาดได้ และไม่มีใครข้างนอกจากมาร์กับเมดของเขาที่จะรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่แม้แต่ในโลกก่อนของมาร์เองยังไม่สามารถจะควบคุมได้ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่ามี แต่เป็นเพราะไม่สามารถตรวจจับแล้วควบคุมได้ต่างหาก แถมการจะได้มันมาก็ยากแสนจะยาก

[ เอ้า เร็วๆ เข้าคุณพ่อครัว รีบๆปรุงเร้วว เดี๋ยวทหารจะไม่ได้กินนะ ]

“ โอ้!! ซุปเสร็จแล้ว!! ”

มาร์ยืนรออยู่ด้านล่างข้างๆหม้อที่กำลังต้มอาหารอยู่ มาร์รอให้พ่อครัวเดินลงจากบันไดซึ่งก็ไม่นานหลังจากที่พ่อครัวเอาของในตระกร้าเทลงไป เขาก็เดินลงมาผ่านมาร์ไปโดยไม่สนใจอะไร

[ อื้ม อื้ม ได้เวลาใส่เครื่องปรุงลับแล้วล่ะ ]

แก็ง

ส่วนทางด้านมาร์พอเห็นว่ามีโอกาสเขาก็เดินขึ้นไปยังด้านบน ก่อนจะหยิบเอาหลอดแก้วออกมา ในนั้นมีของเหลวใสที่ดูไม่ต่างอะไรจากน้ำ ทว่าที่ก้นหลอด หากสังเกตุดีๆมันมีผงอะไรบางอย่างอยู่ด้วย

ป็อก

[ เท่านี้จะพอไหมเนี้ย? ถึงผงมันจะกระจายไป เอ่อ…ทั่วแล้วก็เถอะ แต่ อืม ใส่เพิ่มดีกว่า ยิ่งเยอะยิ่งอร่อยล่ะมั้ง? ]

แก็ง แก็ง แก็ง ปร็อก กรุก กรุก กรุก

[ เรียบร้อย ปะ ไปที่ถัดไปดีกว่า ]

เขาเปิดมันออก ก่อนจะเทสิ่งนั้นลงไป ซึ่งทันทีที่มันลงไปแล้วก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามเหมือนมาร์จะรู้สึกไม่พอ เขาก็เลยหยิบออกมาอีก 3 หลอด แล้วก็เทมันลงไป ซึ่งพอเขาจัดการตรงนี้เสร็จแล้ว เจ้าตัวก็เดินลงจากบันไดก่อนจะออกจากค่ายไปโดยไม่ได้สนใจว่าผลลัพธ์จะได้ดั่งใจหรือไม่

ตึก ตึก ตึก กริ๊ก

“ ที่นี้เดี๋ยวรอให้หน่วยข่าวกรองตามมาเคลียร์ก็แล้วกัน แต่…ก็แอบเสียดายอยู่นะเนี้ยที่ใช้ไปตั้ง 4 หลอด กว่าจะได้มาต้องรอเตาปฏิกรณ์ทดลองทำงานตั้งปีนึงเลยน้าาา เห้อออ ”

อย่างไรก็ตามในตอนที่จะออกมานั้น มาร์ก็ได้เอาตลับสีเขียวแบบเดิมมาโยนทิ้งไว้ในพุ่มไม้ด้านนอก ทว่าพอโยนตลับนั้นไปแล้วมาร์ก็ไม่ได้จะเดินต่อแต่อย่างใด เขาหันกลับไปมองยังปราการที่จากมา พร้อมกับหยิบเอาหลอดแก้วใสทั้ง 4 ออกมาดู บนนั้นมีสติ๊กเกอร์ติดเอาไว้ เป็นชื่อของมัน [ Polonium-210 ] โลหะหนักที่หาได้ยากไม่ว่าจะในโลกไหนก็ตาม มาร์ยิิ้มในระหว่างที่ดูมัน พร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงที่เย็นชาว่า

“ ไอเจ้านี้น่ะนะ ขนาดที่โลกเก่า แค่ 1 กรัม ยังฆ่าได้ตั้งเป็นสิบล้านคนแล้วแบบนี้ใส่ไปในหม้อ 4 กรัม จะเป็นยังไงกันน้า? ถ้าที่โลกเก่าตอนสปายโดนเข้าไป แต่ละคนตอนตายก็ใช้เวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์เอง การตายที่แสนจะเจ็บปวดโดยที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อ้วกออกมาจนหมดท้อง น้ำหนักลดลงแบบควบคุมไม่ได้ เม็ดเลือดขาวไม่สามารถผลิตได้ ท้องเสียอย่างหนัก และก็อีกมากมายสุดแล้วแต่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนถ้าจะตรวจหาสารพิษยังไงก็ไม่เจอ หึ…สมกับเป็นของที่ KGB รับรองจริงๆ ”

……..

ฟู่มมมมมมม

“ อากาศดีจังเลยน้าาาา ดีจนลืมเอาของสำคัญลงมาด้วยเลยแหะ ”

ท่ามกลางท้องฟ้ายามกลางคืน ชายหนุ่มในชุดพรางตาข่ายผู้สวมหน้ากากกระโหลกผี มาร์ นายท่านแห่งยูโทเปีย กลุ่มผี และโรงงานผลิตของเล่น GHOST กำลังดิ่งลงผ่านท้องฟ้านี้โดยที่กำลังคลำหาอะไรบนหลังของตัวเองอยู่ ของสำคัญที่ปกติในชาติก่อนเขาจะไม่มีทางลืมมันเลย

“ เห้ออออ เพราะร่างกายทนกับทุกอย่างแบบนี้เลยไม่ได้ห่วงชีวิตตนเองสิน้า กุเนี่ย ลืมเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว โอยย แย่ๆๆ ”

มาร์รู้ตัวเองดีเลยว่าเขาลืมอะไร แถมบ่นออกมาด้วยแต่เขาก็ไม่ได้บ่นด้วยความรู้สึกที่แย่เท่าไหร่ อาจเรียกได้ว่าเขาบ่นออกมาเล่นๆเสียมากกว่า ทว่าในระหว่างที่บ่นสายตาของมาร์ก็มองหาสถานที่ที่เขาจะลงไปเป็นที่แรก โดยในสายตานั้นมันมีหลายจุดเลยทีเดียวที่มีแสงไฟส่องสว่างอยู่ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้บ้าบอจะดิ่งลงไปตรงจุดที่มีไฟนั้น

“ ที่นั้นละกัน โล่งๆน่าจะลงไปง่ายหน่อย ส่วนเวลาก็…90 วิ ไม่สิ เดี๋ยวพุ่งไปก็คงแค่ 30 ไม่ก็ 40 ล่ะมั้ง ”

เมื่อเจอที่ถูกใจแล้วมาร์ก็ค่อยๆเปลี่ยนท่าของตนเองจากการกางแขนกางขาชะลอการดิ่งลงถึงพื้น เป็นการพุ่งลงไปยังที่นั้นอย่างรวดเร็วจนหน้าปัดบอกความสูงที่แขนซ้ายนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว จาก 24000 มาเป็น 20000 ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีและยังคงลงลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“ 100 95 90 85 ยังสูงไป ”

ความสูงนั้นลดลงจนถึงจุดที่มาร์ทะลุผ่านก้อนเมฆลงมาแล้ว อย่างไรก็ตามปกติด้วยความสูงระดับนี้มาร์จะกระตุกร่มเลยก็ได้แม้ว่าตามปกติจะกระตุกร่มที่ระยะห่างจากจุดลงราวๆ 5000 ถึง 8000 ก็ตาม ทว่ามาร์น่ะไม่มีร่มดังนั้นเขาจะต้องใช้ทางอื่น

[ ตามปกติถ้าไม่ใช่ภารกิจแนวนี้ล่ะก็… เอาหัวโหม่งเป้าหมายไปแล้ว ]

และด้วยสถานที่ไม่มีร่มนั้นสำหรับคนปกติคงจะกังวลหาทางรอดแล้ว แต่กับมาร์ เขาไม่ได้กังวลนัก เขารู้ตัวว่ายังก็รอดอยู่ดี ต่อให้เอาหัวดิ่งปักพื้นก็ตาม แต่ที่กังวลคือจะต้องทำยังไงไม่ให้โดนจับได้ ซึ่งถ้าลงมือเลือกทางเอาหัวปักดินแบบนั้นมันจะสร้างอิมแพคกับพื้นจนทำให้ศัตรูรู้ถึงการมาแล้วแผนทั้งหมดที่วางๆไว้ก็จะล้มเหลว

ฟู่…คึก

“ 45 40 35 30 25… 20 เครเอาล่ะ!! ฮึบบบบ! ”

ส่วนวิธีแก้ก็ไม่ยากเลย ร่างของมาร์นั้นจู่ๆก็เคลื่อนที่ช้าลง แล้วก็ค่อยๆมาอยู่ในระดับที่ราวกับว่าเขากำลังโดดร่มอยู่แม้จะไม่มีร่มก็ตาม ซึ่งที่เป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่อะไรที่เข้าใจยาก มาร์น่ะบินได้ผ่านการควบคุมมานารอบๆตัว อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดการทำงานของมันแล้วลอยร่องไปในอากาศ เพราะถ้าทำแบบนั้นมันจะทำให้เขาถูกตรวจจับได้ง่ายไม่ต่างจากการเอาหัวโหม่งโลกเลย

ฟู่…ตุบ แกรก

แรงต้านก่อนที่ร่างจะค่อยแตะลงสู่พื้นอย่างช้าๆ ทว่าทันที่ลงมาถึง เจ้าตัวก็ไม่ได้ขยับไปไหนเขานั่งคุกเข่าลงแล้วยกปืนของตนเองเตรียมพร้อมไปกับการฟังเสียงรอบๆ เหมือนกับทุกๆครั้งที่เขาทำภารกิจอะไรแบบนี้ อยู่นิ่งๆเหมือนกับตนเองเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง

“ เคร… ”

เวลาผ่านไปเกือบๆ 15 นาที ทุกอย่างรอบๆนอกจากเสียงลมมาร์ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร เขาจึงเริ่มออกเดินอย่างช้าๆ และยกปืนเตรียมไว้หากเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามพอมาร์เข้าไปในพื้นที่ป่าสนแล้ว ต้นไม้ก็บดบังแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ทำให้ทุกอย่างมืดไปหมด

[ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนนี้คงต้องเปิดไฟฉาย ไม่ก็ใช้ NVG ตัวทดลองไปแล้วล่ะมั้ง ดีจริงๆที่โลกนี้มีอะไรสะดวกๆแบบไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีแบบนี้ ]

ทว่าดวงตาของมาร์ไม่ได้มืดบอดเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นทุกอย่างราวกับเป็นกลางวันโดยไม่ต้องพึ่งอาศัยอุปกรณ์เสริมใดๆ มันเป็นเพราะเขามีสกิลติดตัวของเผ่าวอร์บีสต์สายที่เรียกกันว่าแมวนั้นแหล่ะ สกิลทำมาหากินสำหรับคนทำงานด้านทหารเลยทีเดียว

แซก แซก แซก

“ นั้นสินะ [ ปกปิดตัวตน ] ”

และไม่นานมาร์ก็ได้เจอกับค่ายแรก มันเป็นค่ายเล็กๆที่มีทหารของกองทัพจอมมารอาศัยอยู่ 10 กว่าคนและหอคอยสังเกตุการณ์ที่ทำจากไม้อยู่ตรงกลาง ซึ่งก็ทำให้มาร์รู้ได้ว่านี้มันเป็นแค่ด่านตรวจไม่ก็ที่พักยามสำหรับพวกลาดตระเวน อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยเขาก็เปิดการทำงานสกิลปกปิดตัวตนที่ทำให้ มานาของเขาหายไปจากจุดดังกล่าว รวมถึงตัวตนและเสียงหรือกลิ่นก็ด้วย ทว่ามันก็มีข้อเสียเพราะถ้ามองกลับกันการหายไป ก็ทำให้มานาในพื้นที่เกิดช่องว่างแล้วแบบนั้นพวกที่มีสัมผัสกับมานาก็อาจจะรู้ตำแหน่งของเขาได้ไม่ยากเลย

“ ดูท่าจะไม่มีใครรู้สึกตัวสินะ ก็แหงล่ะ คงไม่มีกองทัพไหนเอาพวกระดับสูงมาแนวหน้าเหมือนกับเราหรอกมั้ง อ่า…แต่ในอนาคตเราเองก็คงจะใช้สกิลนี้ไม่ได้แล้วสินะ เหอะๆ ”

ซึ่งด้วยสกิลที่ว่าตอนนี้มาร์ ก็มายืนอยู่กลางค่ายดังกล่าว โดยพวกทหารไม่เอะใจแม้แต่น้อย พวกนั้นมองผ่านเข้าไปราวกับไม่มีตัวตนใดๆ ทว่ามาร์ก็ไม่ได้จะทำอะไรบุ่มบ่าม เขายังรู้ดีว่าถ้าฆ่าใครไปในตอนนี้ แล้วมีคนเห็นศพสุดท้ายพวกนั้นก็จะรู้ตัวแล้วหาทางส่งสัญญาณเตือนแน่ๆ ดังนั้นมาร์จึงเริ่มลงมือทำอะไรที่ช้าแต่ปลอดภัย

ตึก ตึก ตึก ฉึก ครืดดดด

“ 1 คน ”

ฉึก ครืดดดด

“ 2 คน ฮึบบ… ”

มาร์เริ่มจัดการกับที่นี้ด้วยการเดินเข้าไปใช้มีดฆ่าทีละคน ทีละคน มีดเข็มแทงเข้าที่หลังต้นคอ แทงทะลุผ่านเส้นประสาทที่ซ่อนอยู่ในกระดูกสันหลังอย่างรวดเร็ว ส่งทหารชายและหญิงทั้งหมดไปโลกแห่งความตายโดยที่ไม่มีใครได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองน่ะตายไปแล้ว ซึ่งพอลงมือเสร็จมาร์ก็จะลากร่างของพวกนั้นไปซ่อนในเงามืดทีละราย ทีละรายทำไปเรื่อยๆจากรอบนอกสุดเข้ามาใจกลางสุด จากจุดที่ลับสายตาคน มาเป็นจุดที่เด่นชัดไม่มีอะไรมาบังทว่าก็ไม่เหลือสายตาใดมองผ่านอีกแล้ว

กึก กึก กึก

“ เอ้า! ขึ้นไปยืนข้างบนแล้วจะรอดงั้นเหรอ มานี่!! ”

หมับ

“ เห้ย!! อะ… อ๊ากกก!! ”

พลัค ฉึก

“ หมดสักที ”

จนเหยื่อคนสุดท้าย มาร์ก็ค่อยๆปีนขึ้นไปบนหอคอยนั้นผ่านบันไดลิงขึ้นลงด้านหลัง แล้วก็จัดการลงมือด้วยการกระชากขาให้ร่วงลงมาจากหอคอย ก่อนที่มาร์เองจะโดดลงมาแล้วซ้ำทหารคนนั้นด้วยการใช้มีดเข็มแทงเข้าที่หลังคออย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้มือซ้ายของเขาปิดปากกับตาของเหยื่อเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงหรือได้เห็นหน้าของเขาด้วยซ้ำ

ครึกกก ครืดดด ครืดดดด

“ 11 ศพ ชาย 6 หญิง 5 เอาไงดีหว่า อืม แกล่ะกันใส่ชุดดูกระจอกสุดคงยัดเหตุผลไม่ยากหรอกมั้ง ”

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ครึก กร็อบ

เมื่อจัดการทุกคนเสร็จแล้วมาร์ก็ได้เอาร่างของพวกนั้น มาวางจัดฉากให้เหมือนกับว่าพวกนี้ฆ่ากันเอง เขาเลยต้องลงมือใช้ดาบ ใช้อาวุธของพวกนั้นสร้างบาดแผลบนศพทุกร่างให้เหวอะที่สุด แถมยังต้องหักกระดูกของหลายๆร่างเพื่อให้สมจริงที่สุด จนสภาพที่ทุกศพในตอนแรกไม่ต่างอะไรจากคนที่หลับอยู่ กลายมาเป็นอะไรที่ชวนขนลุกสุดๆ

“ เห้อออ เรียบร้อย เรียบร้อย ทีนี้ก็… ”

ตุบ

[ ต้นเหตุของเรื่องยังไงก็ต้องใช้ของพวกนี้ล่ะนะ ]

มาร์หยิบรับเอาถุงสีดำบางอย่างจากเงาที่ด้านหลังของตน ก่อนจะเทของที่อยู่ในถุงนั้นทิ้งไว้รอบๆพื้นที่แล้วเขาก็เดินออกไป ของที่ทิ้งไว้นั้นมันคือผงเกล็ดสีขาวที่ตัวเขาเองเรียกมันว่า Bath Salt ชื่อที่เหมือนกับผงอาบน้ำแต่ให้ฤทธิ์หลอนประสาทขนาดที่ทำให้ผู้ใช้คุ้มคลั่งได้ ถามว่าแรงขนาดไหน ก็แรงเหมือนกับคนเสพยาบ้าผสมโคเคน

[ ของอันตรายแบบนี้ถ้าไม่ได้ความรู้จากโลกอื่นก็คงทำไม่ได้หรอก ขนาดตัวเองยังทำไม่ได้เลย… เห้อออ พอนึกถึงที่ไรก็อดตั้งคำถามไม่ได้เลยแหะ… เอเนอาไปปลุกความเป็นนักวิทย์อะไรของอัลฟ่าขึ้นมาวะเนี่ย ]

ซึ่งผงนี้มันไม่ได้มีอยู่บนโลก และไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้แน่ๆนี้จนกระทั่ง อัลฟ่าเมดผู้เป็นคนที่มาจากต่างโลกเหมือนกัน สร้างมันขึ้นมาเพื่อใช้ทดลองว่า ฤทธิ์สารเสพติดจากโลกเก่าจะมีผลอย่างไรกับสิ่งมีชีวิตที่มีค่าสเตตัสและไม่ยึดติดกับวิทยาศาสตร์ทั้งหมด

[ แต่ก็เถอะ ยังไง อัลฟ่าก็ไม่ได้ทำไปเพราะอยากทำเล่นๆเหมือนเอเนอา ]

ผลลัพธ์ที่อัลฟ่าค้นพบคือฤทธิ์ของยามีผลพันผวนกับค่า Con ยิ่งมีสเตตัสในส่วนนี้มากร่างกายก็ได้รับผลลัพธ์น้อยลงจนถึงขั้นไม่มีผลเสียเกิดขึ้นเลย อย่างเช่นถ้าใช้กับมังกรตัวทดลอง ตัวสารเสพติดจะไม่มีผลเสียใดๆเลยกลับกันมังกรจะร่าเริงแล้วทำตัวสบายๆแถมยังมีกำลังมากขึ้นด้วย แต่พอใช้กับมอนสเตอร์ระดับล่างแล้วผลลัพธ์ที่ได้คือมันอยู่นิ่งๆเพียงชั่วครู่ก่อนจะมองไปรอบๆด้วยความกลัว แล้วก็ลงมือฉีกกระชากร่างของตัวมันเองอย่างบ้าคลั่ง วิ่งชนกระจกห้องทดลองจนเลือดอาบไปทั่วและตายลงในที่สุด

“ โอ เกือบลืมๆ เดี๋ยวจะไม่รู้กันว่าเราลงตรงไหน ”

กริ๊ก ตุบ

มาร์ที่กำลังจะเดินออกจากค่ายก็ได้หยุดลงก่อนจะหยิบเอาตลับบางอย่างออกมาจากเงาสีดำ มันเป็นตลับสีเขียวขี้ม้าขนาดเล็ก ที่มีไฟกระพริบสีแดงอยู่ตรงกลางเครื่อง ซึ่งเจ้าสิ่งนี้มีหน้าที่เดียวเลยคือส่งสัญญาณให้รู้ว่ามาร์เคยผ่านไปทางไหน โดยหากมองผ่านๆด้วยตาของสิ่งมีชีวิตก็จะไม่เห็นอะไร แต่ถ้ามองด้วยกล้องจับ IR หรือดาวเทียม มันจะชัดมากๆด้วยการเปร่งแสงสีแดงจนแสบตา เขาทิ้งมันลงไว้ในพุ่มหญ้าใกล้ๆ แล้วก็เดินหายลับไปในความมืดมุ่งตรงไปยังค่ายหรืออะไรก็ตามที่เป็นของกองทัพจอมมารที่อยู่ใกล้ที่สุด

“ ที่ถัดไปหวังว่าจะมีคนเยอะกว่านี้นา… ว่าไปนั้น ”

…….

หลังจากการสมัครสอบ ได้ 1 วัน การสอบจริงก็เริ่มขึ้น

มีชายหนุ่มในชุดผู้คุมสอบเขามีหูที่ยาวแต่สวมผ้าคลุมครึ่งหน้าเอาไว้ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นเผ่าอะไร แม้แต่เครื่องตรวจสเตตัสก็ไม่สามารถตรวจได้ว่าเขาเป็นเผ่าอะไร แต่ทุกคนก็รู้ว่าไม่ควรไปยุ่งกับเขา

เพราะว่าหน้ากากที่เขาใส่คือผ้าคลุมครึ่งหน้าที่มีสกิล [ แถบไม่ระบุตัวตน ]

ชายคนนั้นกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วก็พบว่าแต่ว่าปีนี้แตกต่างกว่าปีอื่นๆมาก ชายผู้นี้ได้แต่คิดว่า

[ปีนี้ทำไม…..ผู้สมัครสอบน้อยกว่าปกติมากไปหรือเปล่า จำได้ว่าตอนรับสมัครสอบปีนี้ สาวๆเข้าเมืองมาสมัครที่ไฮท์คอลลาจ เยอะเลยนี้…หรือว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้ง โอ้ว…..คุณหนูคนนั้นเผ่าแวมไพร์นี้ หายากนะเนี่ย]

ชายในผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นจ้องมองไปยังผู้สมัครสอบคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในโรงเรียนคอลลาจ

เธอมีผมสีเงินหูที่ยาว ดวงตาของเธอนั้นมีสีแดงและสวมชุดสีดำดูดีมีราคาพร้อมกับแว่นกรอบทอง ทว่าจุดเด่นของเธอคงเป็นผมที่มัดเป็นเหมือนหูแมว และใบหน้าที่สวยเหมือนหลุดมาจากภาพวาด

[ โอ้…..แต่ตรงนั้นก็ใช่ย่อยนะนั้น เผ่า..เอ๋ เดย์แมร์เหรอเนี้ย แต่ทำไมหน้าคุ้นๆจังแหะ อ่า…ช่างมันเถอะ สงสัยวันนี้เราเจอแต่สาวงามๆตราก็เลยพร่าละมั้งฮ่าๆ แต่สวยจริงนะนั้น ยิ้งรอยยิ้มนั้น….ต้นคอนั้น]

คราวนี้ชายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้าหันไปมองผู้สมัครอีกคนที่เดินฮัมเพลง ผ่านรั้วประตูโรงเรียนคอลลาจเข้ามา เด็กผมดำปลายสีแดง สวมหมวกสีดำและเสื้อสีขาวที่ดูสบายๆ

ไม่นานผู้สมัครสอบก็ถยอยเข้าห้องสอบ ส่วนเขาก็มีหน้าที่คุมสอบเท่านั้น ดังนั้นเลยได้แต่มองผู้สมัครสอบแต่ละคนอยู่ห่างๆ

วิชาแรก จัดสอบในลานกว้างของสนามประลองของโรงเรียน ที่กว้างมากกว่า 10 ตารางกิโลเมตร

"หัวหน้าเอลานครับ ตอนนี้เราเตรียมการสอบเรียบแล้ว ให้ไปรายงานเหล่าอาจารย์เลยไหมครับ" ชายในชุดแบบเดียวกันกับ..เอลาน เดินเข้ามารายงานเขา เอลานก็ได้พยักหน้าตอบ

[ การสอบแรกไม่ยากหรอกมั้ง…ไหนๆ..เห…สำหรับปีนี้ที่มีคนสอบแค่ 5211 คน? หายไปครึ่งเลยเหรอเนี่ย เกิดอะไรหรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ มาแค่นี้ก็ดีจะได้คุมง่ายๆ ]

เอลานมองผู้สมัครสอบด้วยสายตาที่คอยจับตามองว่ามีใครใช้กลโกงอะไรหรือไม่

"เอล์ฟหื่… ท่านหัวหน้าคะ เราเตรียมการสอบและอาจารย์ผู้คุมสอบก็พร้อมแล้วค่ะ"

คราวนี้เป็นผู้หญิงในเครื่องแบบเดียวกับเอลานเดินมาบอกเขาด้วยสายตาเย็นชา

[เอล์ฟหะ อะไรนะ สงสัยหูฝาดละมั้งช่างเถอะ] เอลานเดินไปที่เวทีที่ถูกเตรียมไว้สำหรับประกาศ

เขาเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับ ตบมือ ส่งเสียง *เพี๊ยะ* ดังไปทั่วบริเวณ ผู้สมัครสอบทุกคนหยุดพูดกันและหันมามองที่เอลาน

"สวัสดีผู้สมัครสอบเข้าโรงเรียนคอลลาจ วันนี้ทุกคนคงเตรียมตัวกันมาพร้อมแล้ว ขอให้เขาแถวตามเลขประจำตัวผู้สอบ แล้วเดินตามคนที่ใส่เครื่องแบบเหมือนผมเข้าสนามสอบไปได้เลย แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าหากผมการโกง ทางเราจะดำเนินการลงโทษตามกฎหมายแห่งคอลลาจ"

เอลานพูดจบเขาก็ลงไปนำแถว เลขที่ 1300 ถึง 1350 ไปที่สนามสอบแรก

[เห…. สาวแวมไพร์อยู่กับเราด้วยเหรอนี้..โอ้ว เดย์แมร์จังก็อยู่ด้วย โชคดีชะมัด ]

ไม่นานทุกคนก็มาถึงยังสนามสอบและการสอบก็เริ่มขึ้น!!!!

มีเป้าอยู่ห่างจากผู้สมัครสอบไปราว 50 เมตร และที่พื้นก็มีมีดอยู่ 10 เล่ม ในแต่ละเป้า

อาจารย์คุมสอบเดินออกมาเธอเป็นกูลที่มีดวงตาสีฟ้า

[ เอ๋…อาจารย์บีคุมสอบเหรอเนี่ย หินเลยนะนั้น ช่างเถอะ วันนี้โชคดีจริงๆนั้นแหละสาวๆสวยๆเต็มไปหมดเลย เหอะๆๆ หมดนี้เอาเงินค่าจ้างไปโซโล่ดันเจี้ยน"ซ่อง" ดีกว่า ]

เอลานคิดพร้อมกับยิ้มอยู่ใต้ผ้าคลุมนั้น มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขยะแขยงมาก แถมเขายังมองผู้หญิงที่มาสอบด้วยสายตาแทะโลมอีกต่างหาก

"สวัสดี…..วันนี้…สอบ…..ปามีด…วิชา…แรก….ให้ใช้….เสริมกำลัง….ช่วย….ได้..เท่านั้น…..เกิน…กว่านั้น…..ปรับ…ตก…..ปา…โดน…..8….จาก…10…..ผ่าน….ไปได้…เข้าใจ..นะ?" บีพูดขึ้นมาโดยใช้เวลานากว่า 30 วินาที ก่อนที่จะปีนขึ้นกะเช้าสำหรับสังเกตการณ์

ผู้สมัครสอบทุกคนก็เข้าลู่สอบของตนเองและหยิบมีดขึ้นมา หลายคนเกิดอาการลุกลี้ลุกลนเพราะเป้าที่อยู่ห่างออกไป 50 เมตรนั้นไกลมาก และต่อให้เสริมกำลังได้ก็ใช่ว่าจะปาโดน ยิ่งถ้าปาไปเข้าเป้าคนอื่น คนนั้นก็ได้คะแนนฟรี การปาแต่ละครั้งจึงต้องแรงและแม่นยำ

"ทุกคน….เวลา….สอบ….มี……10….นาที…..เท่าไหร่….เท่านั้น…เริ่มได้….."

บีพูดประกาศขึ้นมาและเธอก็เริ่มจับตามองผู้สมัครสอบ เช่นเดียวกับเอลาน เขามาเพราะต้องคอยช่วยคุมสอบดังนั้นเขาก็ต้องทำงานให้เต็มที่กับค่าจ้างด้วย

การสอบเริ่มขึ้น ผู้สมัครสอบหลายคนเริ่มปามีด แต่ก็ต้องคิดเสมอว่าถ้าพลาด 3 เล่ม คือตก ไม่ก็ต้องพึ่งดวง เอลานจับตามองเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับ สาวเดย์แมร์และแวมไพร์ที่มีพลังสูงกว่าผู้สมัครสอบคนอื่น

[ไหนๆดูสิ แวมไพร์จัง….โอ เสริมพลังแล้วเล็งปาอย่างแม่นยำ สมกับเป็นสายตาของแวมไพร์จริงๆ แบบนี้ผ่านไปได้แน่ๆ…]

เอลานที่มองดูแวมไพร์ผมเงินปามีดเขาก็ประทับใจกับผลลัพธ์ของเธอ เป็นอย่างมาก เธอปาไปไม่นานก็ได้ คะแนนถึง 9 เต็ม 10

[ อ่า ทีนี้ก็….เดี๋ยวนะ!!! นั้นมันอะไรน่ะ ปามีดไปไหนนั้น แม่สาวเดย์แมร์แบบนี้เดี๋ยวก็…..เอ๋!!! บ้าไปแล้วววว ]

เอลานตกใจจนรอยยิ้มใต้ผ้าคลุมหน้ากลายเป็นการอ้าปากค้างจากสิ่งที่เห็น เขาตั้งสติแล้วมองไปที่บี ซึ่งเธอเองก็ไม่ต่างกับเขา เอลานจึงรีบหันกลับมามองคนที่ปา สาวเดย์แมร์ผมสีดำปลายสีแดง

[ เป็นไปไม่ได้น่า…..ไม่เสริมพลัง แถมยัง…..ขโมยแต้มจากคนอื่นแบบนี้!!! ]

ใช่… สาวเดย์แมร์คนนั้นกำลัง "ขโมย" แต้มของคนอื่นอยู่ เธอปามีดไปนอกลู่ของเธอย่างรวดเร็วและมันก็ ชิ้ง!! จากมีดเล่มหนึ่งไปอีกเล่มหนึ่ง ส่งผลให้มีดที่โดนชนหักเหมาเข้าเป้าของเธอแทน แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ….

แค่มีดเล่มเดียวที่ปาออกไปเธอก็ได้คะแนนไปแล้ว 8 คะแนน หลังจากนั้นมันก็เป็นแบบนั้นอยู่จนเธอปามีดเล่มที่ 5 ผู้สมัครสอบทุกคนที่อยู่ใกล้ๆเธอก็เริ่มเอะใจแล้วหยุดปามีดทันที

ใช่!!!! ผู้สมัครสอบจากซ้ายถัดไป 4 คน และขวา ถัดไปอีก 4 คน หยุดปามีด พวกเขาเปลี่ยนสีหน้ามามองสาวเดย์แมร์นั้นด้วยสายตาอาฆาต แต่ก็รู้กันว่าถ้าทำร้ายผู้สอบอื่นโทษจะหนักขนาดไหน แต่พวกเขาคงไม่ได้กลัวเรื่องนั้น

สิ่งที่พวกเขากลัว คือฝีมือของสาวเดย์แมร์คนนั้น…..ตอนนี้เธอมีคะแนนไปแล้ว 40 คะแนน โดยใช้มีดเพียง 5 เล่มขโมยมีดของผู้สมัครสอบคนอื่นมาเป็นคะแนนของตนเอง

เธอหันไปมองทั้งสองข้างของเธอและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยียวนว่า

" เหอะ…..อดได้คะแนนฟรีแล้วแหะ เซ็งจัง ขอบคุณนะที่เป็นหินให้ผมเหยียบน่ะ "

สาวเดย์แมร์นั้นพูดจบ ก็ปามีดในมืออีก 5 เล่มเข้าไปที่เป้าระยะ 50 เมตร มีดทั้ง 5 เล่มนั้น พุ่งทะลุไปด้านหลังเป้าแล้วปักลงดินไปจนมิดด้าม ที่ตรงนั้นมีควันบางอย่างไหม้ออกมาอีกด้วย

[ เป็นไปไม่ได้…..พลังระดับนั้น โดยที่ไม่ใช่เวทย์เสริมกำลัง……หรือว่าเอฟเฟคของเผ่าเดย์แมร์…ไม่ มันไม่ควรจะทรงพลังขนาดนั้น แม่สาวนี้….ผ่านการฝึกอะไรมากัน!!! ]

เอลานมองเธอด้วยความกลัวในใจ ทั้งใจของเขาก็ส่งสัญชาตญาณออกมาอีกว่า "ยัยนี้อันตราย"

เวลาผ่านไปจนครบ การสอบก็จบลง บีค่อยๆปีนลงมาจากกะเช้าและยืนขาสั่นใต้นั้นอยู่สักพัก เช่นเดียวกับผู้สมัครสอบที่อยู่ข้างๆ สาวเดย์แมร์นั้น

"เอาละ…..ผ่าน…..5….คน……อึก……ที่เหลือ…..กลับบ้าน…." บีพูดจบก็เดินไปยื่นผ้าสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ ของผู้สอบผ่าน สนามสอบแรก

[เดี๋ยวนะเมื่อกี้….อาจารย์บีผู้เยือกเย็นกลืนน้ำลาย? อย่าบอกนะว่าอาจารย์ก็รู้สึกเหมือนกัน การสอบนี้มันไม่ใช่การสอบปกติแล้ว!!!]

ผู้สมัครสอบที่ผ่านทั้งห้าคน มีเพียง แวมไพร์ที่ได้คะแนน 9 เต็ม 10 และ เดย์แมร์ ที่ได้คะแนน 45 เต็ม 10 และคนอื่นๆที่ได้คะแนนคาบเส้นกันไม่ก็โชคดีที่คนอื่นปามาเข้าเป้าตัวเอง ทั้ง 5 คนถูกบีและเอลานพาไปที่สนามสอบที่ 2

ซึ่งเมื่อมาถึงที่นี้เป็นห้องขนาดเล็กที่มีที่นั่งราว 10 ที่นั่ง มันมีเพื่อสำหรับสอบข้อเขียน แต่ว่าที่กะไว้ว่าจะมีคนผ่านมา 10 คนกลายเป็น ผ่านเพียง 5 คน ทุกคนนั่งประจำที่สอบของตัวเอง

"การ…สอบ..นี้….มี..จำนวน…25….ข้อเขียน. ……ตอบ…ข้อ…ละ..อย่าง…..น้อย…1..หน้า….เวลา…สอบ..5…ชั่วโมง…3…คน…แรก…ที่..ทำเสร็จ…และ…คะแนน…เกิน…15..ข้อ..ผ่าน..ที่เหลือ…ตก" บีพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเฉยแต่ตัวเธอกลับสั่นเทาเบาๆ เหมือนกับรู้อะไรบางอย่าง

[ข้อสอบวิชาข้อเขียนพวกนี้เหมือนกันทั้งสนามสอบแต่ว่าข้อเรียงสลับกันจนผู้เข้าสอบห้องเดียวกันไม่มีทางลอกกันได้แน่ๆ แถมข้อสอบนี้ยากระดับที่คนจบใหม่จากมหาลัยยังทำไม่ได้เลย แบบนี้จะผ่านกันไหมเนี่ย…]

"การ…สอบ…เริ่ม" บีพูดจบเธอก็เดินไปประจำที่โต๊ะตรวจทันที ที่โต๊ะนั้นจะมีเครื่องตรวจที่วัดคะแนนได้ทันทีอยู่

ส่วนเอลาน เขาก็เดินวนรอบๆ เพื่อจับผิดผู้โกงข้อสอบ ทว่าสายตาของเขาจับจ้องไปที่ เดย์แมร์สาว

เธอเขียนข้อสอบอย่างรวดเร็วขนาดที่เพียงไม่กี่พริบตา ข้อสอบจากข้อ 1 ก็เปลี่ยนไป ข้อ 5 แล้ว

[ยัยนี้….เป็นตัวอะไรกันเนี่ย..เดย์แมร์ที่เร็ว แถมทำข้อสอบได้เร็วขนาดนี้ หวังว่าคงไม่มั่วส่งมาหรอกนะ ไม่งั้นจบไม่สวยแน่ ] เอลานยังคงมองที่เธอ แต่ว่าไม่ทันจะได้เดินวนครบ 10 รอบ

เดย์แมร์สาวคนนี้ก็ลุกขึ้นและส่งกระดาษคำตอบจำนวน 30 แผ่น ให้กับ บี

"เสร็จ…เร็ว..ดี..นี่…." บีรับกระดาษนั้นมาก่อนที่จะใส่เครื่องตรวจคำตอบ ส่วนสาวเดย์แมร์นั้นก็…

"แหมๆ ก็แบบว่าผมรู้สึกเบื่ออ่ะ คือผมไม่ชอบนั่งจนหมดเวลาด้วยสิ แถมข้อสอบเองผมก็เคยเจอในหนังสือที่เคยอ่านมา มันก็เลยดูง่ายละมั้งครับฮ่าๆ" เธอพูดเหมือนไม่ที่ทำนั้นเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเธอ

ทั้งคำพูดนั้นยังทำให้ผู้สอบที่เหลืออีก 3 คน ถึงกลับเปลี่ยนสีหน้าที่เครียดๆเป็นซีดเซียว บางคนก็ฟุบลงไปนอนกับโต๊ะ เพราะพวกเขาทำได้ แค่ 1-2 ข้อ

มีเพียงคนเดียวที่ทำได้มากถึง 6 ข้อ ทั้งแรงใจของเธอก็ยังคงที่ ซึ่งก็คือสาวน้อยแวมไพร์ เธอมองไปที่เดย์แมร์สาวอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะก้มหน้าลงไปทำข้อสอบต่อด้วยรอยยิ้ม

*ติ๊ง* เสียงเครื่องตรวจดังขึ้น พร้อมกับสีหน้าของบี ผู้เยือกเย็นที่ตอนนี้อ้าปากค้างไปแล้ว

[เกิดอะไรขึ้น!!! อาจารย์บี!!!] เอลานวิ่งเข้าไปดูที่โต๊ะนั้นแล้วก็พบกับคะแนนที่ปรากฎบนเครื่องตรวจ

[ 25/25 PERFECT SCORE – Highest score has been change from 16.25 to 25 by NO.1337 ]

"เธอ…ผ่าน…ไป…รอที่…สนาม…อึก…ที่…สาม…ได้…" บีพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ เธอยื่นผ้าสีเหลืองให้กับเดย์แมร์คนนี้

"ขอบคุณครับพี่สาว ฮุฮุ" เดย์แมร์นั้นหัวเราะโดยยกมือขึ้นมาปิดปากและเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เอลานกับบี ตกอยู่ในสภาพตกใจ

[ บ้าไปแล้วคะแนนที่เครื่องนั้น มันมีให้ยันทศนิยม 2 หลักเลยนะเห้ย!!! แต่ยัยเดย์แมร์นั้น!! เต็ม25 บ้าไปแล้ว อย่าบอกนะว่าหนังสือที่อ่าน…จำมาตอบทั้งหมด บ้าไปแล้วสมองสิ่งมีชีวิตทำไม่ได้แน่ๆ หรือว่าเพราะเอฟเฟคกลางวันของเดย์แมร์!! งั้นเธอก็ต้องมีแต้ม INT กับ WIS สูงจนาดไหนกัน!! ]

เอลานเริ่มคิดความเป็นไปได้ แต่เขาก็หาคำตอบที่ใช่ไม่ได้ เอลานจึงต้องกลับไปเดินตรวจดูคนที่เหลือ

ทว่า ตอนนี้คนที่ยังทำข้อสอบมีอยู่คนเดียว ส่วนที่เหลืออีก 3 คน หยุดทำแล้วอยู่ในสภาพหมดสติไปแล้ว

เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง แวมไพร์ผมเงินก็ส่งคำตอบและเธอก็ได้คะแนนสูงถึง 17.03 คะแนน ถึงแม้ว่าจะเป็นคะแนนสูงสุดแต่ก็ไม่ได้สูงไปกว่า 25 เลย เธอเดินออกจากห้องพร้อมผ้าสีเหลือง

ไม่นานเวลาสอบก็หมดลง ผู้สอบที่เหลืออีก 3 คน ลุกเดินออกจากห้องไปยังทางออกสู่นอกโรงเรียน พวกเขาอยู่ในสภาพที่ไร้สติ และใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกหลังจากที่สอบตก

[ 2 คนนี้ผ่านไปได้แน่ๆ แต่ว่า….เรานี้สิจะรอดกลับไปได้หรือเปล่า ] เอลานคิดในใจเช่นนั้น เพราะว่า..

ที่สนามสอบสุดท้ายสนามที่ 3 เป็นลานประลองเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง 10 เมตร และการสอบสุดท้ายก็คือการสอบที่เป็นสาเหตุให้ เอลานอยู่ช่วยที่นี้

"การสอบ….สุดท้าย….ประลอง…..กับ…ผู้ช่วย…สอบ…..คะแนน….นับ….จาก…..เวลา…ที่อยู่บน….สนามได้….หาก…..ออกจาก…..ขอบ…สนาม…หยุด…นับ….หรือ…หมด..สติ..หยุด..นับ….เวลา….ที่..ผ่าน….5…นาที..ต่ำกว่า…ตก"

บีพูดออกมาพร้อมกับเชิญให้เอลานขึ้นไปบนสนาม เอลานก็โค้งคำนับพร้อมกับเดินขึ้นไปบนสนามพร้อมกับดาบไม้สำหรับซ้อม

[เอาละ…..มาดูสิว่า คนแรกคือใครกัน ความตาย..หรือ แสงเทียน] เอลานตั้งท่าดาบขึ้นพร้อมสำหรับการต่อสู้

"คนแรก…..หมายเลข….1301…ขึ้น..สนาม" บีประกาศขึ้นมา และแวมไพร์สาวผมเงินหมายเลข 1301 ก็เดินขึ้นสนาม

"ดิชั้น 1301 ขอรบกวนด้วยค่ะ" เธอพูดจบก็โค้งคำนับพร้อมกับหยิบดาบไม้ขึ้นมา ส่วนเอลานนะเหรอ

"เห้อออออ แสงเทียนสินะ เอาเถอะต่อชีวิตไปได้หน่อยละกัน ยังไงก็รอดให้ได้นานๆนะแม่สาวน้อย ไม่งั้นชีวิตผมคงดับเร็วแน่ๆเลย ฮ่าๆๆ เอาละ…พร้อม!!!" เอลานตระโกนขึ้นมา สายตาเขากลายเป็นสายตาของนักรบ เขาจ้องมองไปที่เหยื่อของเขา

"3…2..1…เริ่ม" สิ้นคำประกาศเอลานพุ่งเข้าไปและกระหน่ำหวดตามสไตล์ดาบ [ร้อยแสง] ที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเขา

ทุกการหวดของสไตล์ดาบนี้ คือการหวดโดยอาศัยความเร็วและความแม่นยำตีเข้าที่ตัวคู่ต่อสู้และพยายามปลดดาบไปพร้อมกัน มันเร็วมากจนเห็นภาพติดตาของดาบไม้

แต่ 1301 ที่เป็นแวมไพร์ก็มีร่างกายที่ทรงพลังเป็นทุนเดิมก็โต้ตอบปัดป้องได้ ยิ่งสายตาของแวมไพร์นั้นยิ่งทำให้การกันนั้นเป็นไปได้ยากนัก เพียงแต่หากโดนโจมตีอย่างต่อเนื่องแบบนี้มันสร้างภาระให้กับร่างกายและสายตามาก

ทว่า 1301 นั้นไม่ได้โง่ เธอใช้ฟุตสเตปในการหลบและสวนกลับเมื่อมีจังหวะ นั้นทำใหเอลานไม่สามารถบุกได้อย่างสมบูรณ์ เวลาผ่านไป 8 นาที ทุกอย่างก็ถูกตัดสิน

แรงของ 1301 หมดลงไวกว่าที่เอลานจะเหนื่อย เพราะเธอต้องคอยหลบและจ้องมองการโจมตีเพื่อปัดป้องหรือสวนกลับเอลาน แต่เอลานนั้นกลับโจมตีได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาจับทางของคู่ต่อสู้ได้และแก้ทางนั้นทีละนิด

"จบ…..เวลา….8…..นาที…..ผ่าน…ยินดี..ด้วย…1301…พรุ่งนี้..มาดู…ผล…ห้อง…ด้วย…กลับ…ได้" บีพูดจบก็เก็บผ้าสีแดงและสีเหลืองคืน ก่อนจะส่งมอบเครื่องแบบนักศึกษาให้กับ 1301

"ขอบคุณค่ะ….เธอเองก็พยายามเข้าละ หวังว่าเราจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ" 1301 หันกลับไปมอง เดย์แมร์สาวที่อยู่ข้างหลังแล้วพูดคำอวยพรเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากสนามสอบไปพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

"เอาละ….1337….ลง….สนาม….ได้……โชคดี…" บีพูดจบ เดย์แมร์สาวก็เดินขึ้นสนามพร้อมกับออร่าแห่งความกดดันจนบรรยากาศรอบๆเริ่มเปลี่ยนไป *ครึก* *ครึก* *ครึก*

"มาแล้วสินะ ความตาย…ยินดีที่ได้ประมือนะ 1337 " เอลานตั้งท่าพร้อมแล้วจ้องมองเพื่อหาจุดอ่อนแต่ว่า

[ ออร่านั้น….มันอะไรกัน เราไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย ยาฟื้นกำลังน่าจะช่วยแล้วสิ แต่ไออักษรแปลกๆที่ปรากฎรอบๆตัวยัยนั้นมันอะไรกัน แล้วรังสีสีดำนั้นอีก!!! อันตราย!!!]

"งั้นรบกวนด้วยนะครับ คุณผู้ช่วยคุมสอบ…." 1337 ก้มตัวลงไปหยิบดาบไม้ขึ้นมา และตั้งท่า ทว่า…..

[ไม่จริงท่านั้น..เหมือนกับเรา!!] เอลานถึงกับช็อคกับสิ่งที่เขาเห็นแต่ในใจเขาก็ยังคงไม่เชื่ออยู่ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดตรงหน้าแล้ว

"3..2..1..เริ่มได้" บี พูดประกาศพร้อมกับจับตามองไปที่ 1337

ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ 1337 กับ เอลานพุ่งเขาหากันอย่างรวดเร็ว แต่แค่ดูก็รู้ว่า 1337 พุ่งไปถึงตัวเอลานเร็วกว่า และทั้งสองก็เริ่มแลกดาบกัน

[บ้าหน่าาาา อั๊ก…. อ๊ะ เชี้ยเอ้ยยย เราสวนกลับไม่ได้เลย นี้มัน ดาบ"พันแสง" วิชาที่ต้นตระกูลใช้ช้ช้ ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ ยัยนี้มันเป็นใครกันนนน อ๊ากกกกกกกกกกก]

สิ่งที่บีเห็นคือ ความเร็วดาบของ 1337 นั้นเหนือกว่า เอลานไปมาก ดาบของเธอนั้นอยู่นิ่งๆ ในท่าเดิม ในขณะที่เอลานกระหน่ำหวดอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นภาพติดตาบนอากาศ แบบเดียวกับที่ 1301 เจอ

"อ๊ากกกกก แก แกเป็นใครกัน ดาบนั้น อั๊กกกก ในฐานะหัวหน้าอัศวิน…ข้า ไม่…ยอมมม" เอลานตะโกนออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดมือของเขากุมดาบไม้จนแน่ และเค้นพลังเท่าที่มีออกมาทั้งหมด

"เอลาน…จะใช้…ปลุก….ปั่น…กำลัง..ไม่…ได้..นะ..อย่า….อ๊า.าา..าา" บีพยายามจะห้ามเอลานแต่มันช้าไป

เอลานเริ่มเปล่งแสงรอบตัวเขา หัวเร็วขึ้นอีก ตอนนี้ใกล้เคียงกับความเร็วของ 1337 แล้ว

[แบบนี้เรา…ตามทันแน่ ขอแค่ 5 นาที เราล้มยัยนี้ได้แน่!! ] เกียรติ สิ่งนั้นเข้ามาแทรกจิตใจของเอลานและเขาก็ไม่ได้มองว่า 1337 เป็นผู้สมัครสอบแต่กลายเป็นคู่ประลองที่สำคัญไปเสียแล้ว

แต่ความพยายามนั้นก็ต้องสูญเปล่า….เมื่อจู่ๆ 1337 เริ่มที่จะเร่งความเร็วขึ้นไปอีกจนตอนนี้สภาพของเธอนั้นไม่ขยับทั้งตัวใบหน้า มันเหมือนกับกลายเป็นภาพวาดบนอากาศไปเสียแล้ว

"บ้าาาาาาาาาาาาาน่าาาาาาาาาาา ไม่ม่ม่ม่ม่ ไม่มีใครไปถึงตรงนั้นได้ ดาบ[หมื่นแสง] ไม่ ไม่!!!" เอลานตระโกนพร้อมกับเริ่มที่จะตามความเร็ซดาบไม่ทัน สีหน้าของเขากลายเป็นความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

"อ่า….ไม่ใช่ว่านี้คือดาบ [ ล้านแสง ] เหรอ สงสัยยังเข้นไม่หมดสินะ" 1337 ที่เงียบมานานก็พูด พร้อมกับเร่งความเร็วดาบขึ้นไปจนสนามเกิดแสงสว่างขึ้น จนบีไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก

"กะ…เกิด…อะไร..ขึ้น…" บีพูดออกมาก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นเอลานกระเด็นไปติดขอบสนามที่ห่างออกไป 80 เมตร เขาอยู่ในสภาพที่เหมือนนักมวยคนนี้ที่นั่งคอพับริมสังเวียนแล้วมีไฟฉายแสงลงมาบนหัว

เสื้อผ้าของเขาขาดกระจุยเหลือเพียงผ้าคลุมหน้าและ กางเกงในสีแดง บีหันมามองที่ 1337 ทันทีที่ยืนยันได้ว่าเอลานไม่ได้ตายจากสายตาเธอ

"อืมมมมม ขอโทษนะครับพี่สาวแบบนี้ผมก็?" 1337 เธอพูดขึ้นมา

"อืม….เธอ…ผ่าน…นี้เครื่อง..แบบ…พรุ่ง..นี้…มา..ดู…ผล..ห้อง…ด้วย..นะ.." เธอพูดอย่างติดๆขัดหนักกว่าปกติที่เธอเป็นมาก บีหยิบเครื่องแบบให้กับ 1337 ก่อนที่เธอจะเดินออกไป ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็หันกลับมาหาบี

นั้นทำให้บีถึงกับขนลุก เหงื่อเริ่มไหลออกมาจากตัวเธอ บีรู้สึกเย็นอย่างสยดสยองแทบจะทันที

"ขอบคุณที่เหนื่อยครับพี่สาว แล้วเจอกันนะครับ" เขาเพียงหันมายิ้มแล้วก้มหัวขอบคุณพร้อมกับโบกมือลา บี

"นั้น….ไม่..ได้…ทำ..ให้…รู้..สึก..ดี..เหมือน..ตอน…ที่..เจอ…กัน…ครั้ง..แรก..เลยนะ….มาร์" เธอพูดพึมพัมขึ้นมา

หลังจากนั้นก็มีหน่วยพยาบาลมาพาเอลานไปห้องพยาบาล และพอเขาฟื้นขึ้นมาก็พบว่าความทรงจำระหว่างตอนสอบกับ 1337 หายไป เขาจำได้แค่ว่าเขาแพ้แต่จำเรื่องราวตอนต่อสู้ไม่ได้เลย แต่พอพยายามนึกที่ไร ร่างกายของเขาก็เกิดอาการช็อกทันที!!!

"มาร์….นะ….มาร์…" บีพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินนำผลสอบไปให้กับครูใหญ่ มันเป็นผลสอบที่หน้าซองเขียนว่า 1337

ขณะเดียวกันที่ห้องของ มาร์

"ชิบหายยยยย พี่สาวนั้นให้เครื่องแบบหญิงเรามาทำไมมมมมม เนี้ยยยยย แล้วพรุ่งนี้ จะใส่อะร้ายยยยย เห้อออออ!! ช่างเหอะ เดี๋ยวกลับไปบ้านค่อยตัดแต่งด้วยสกิลเอาก็แล้วกัน ถึงตอนนี้จะได้แค่งูๆปลาๆ อะไรง่ายๆก็เถอะ.."

….

"ตอนนี้มันเกือบๆ 4 ทุ่มแล้วนิหว่า พวกแกได้เวลาออกไปหาของมาขายแล้วไป๊ เอ๊อ!! อย่าให้โดนพวกตำรวจจับได้นะเว้ย!!! ถ้าจะโดนก็ทิ้งของแล้ว รีบหนีออกเมืองไปทางที่กุเตรียมไว้เลยนะเว้ย!!" ชายวัยกลางคนผมดำที่ไบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลพูดขึ้นมา เขาชี้นิ้วกวาดไปทั่วห้อง

และในห้องนี้ก็มีทั้งชายหญิงมากหน้าหลายตา หลายเผ่าพันธุ์ยืนฟังอย่างตั้งใจ พวกนี้ต่างพากันสวมผ้าคลุมสีดำยาว ใบห้นาปกปิดด้วยผ้าไม่ก็หน้ากากแปลกๆ เหมือนกับว่าพวกเขาไม่อยากให้ใครู้ถึงตัวตนจริงๆของพวกเขา

*ได้ครับ/ค่ะ บอส* พวกเขาพูดขึ้นมาเสียงดังก่อนที่จะเริ่มทยอยออกไปทีละ 4 ถึง 5 คน จนหมด แล้วเหลือเพียงชายที่ถูกเรียกว่าบอสผู้นี้

"เห้อออ หวังว่าจะจับสินค้ากลับมาได้ สัก 2 หรือ 3 ชิ้น แต่ดูจากผลงานของพวกบ้านั้นแล้ว ไม่น่าจะละมั้ง เอาเถอะ ยังไงกูก็มีหน้าที่แค่คุมนี้หว่า …แถมตอนนี้มันก็ช่วงพวกเด็กโปกสอบเเข้าเรียนด้วย กว่าจะออกมาข้างนอกได้ก็อีกเกือบ เดือน ให้ตายเถอะ แบบนี้ก็ต้องชะลอเรื่องส่งออกนอกทวีปไปอีกสักพักเลยสิเนี่ย" บอสเดินไปที่ห้องนอนของเขาแต่ว่า…

ที่ทางเข้าห้องนอนมีผู้หญิงหลากหลายเผ่านั่งหรือนอนในเสื้อ้าที่น้อยชิ้น พวกเธอดูมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ แต่มีใบหน้าที่สวย และรูปร่างที่ดี ทว่าพวกเธอกลับมีโซ่ล้ามไว้ทั้งที่ขาและคอ

บอสเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับลากโซ่ผู้หญิงเหล่านั้นไปด้วย พวกเธอไม่ได้ขัดขืนแต่ก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเขา แต่ว่าพวกเธอกลับถูกลากไปได้อย่างง่ายดาย จนเข้ามาในห้อง บอสก็เหวี่ยงพวกเธอไปไว้ที่มุห้องก่อนที่เขาจะเดินไปที่กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้องนอนของเขา

"เห้อออ พวกแกนี้ ต้องให้ใช้กำลังกันหรือยังไง ถึงจะยอมขึ้นมาบนเตียงแล้วทำหน้าที่ของพวกแกกันน่ะหา??" บอสพูดออกมาแล้วก็ค่อยๆถอดเสื้อผ้าของตนเองออกจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่า แต่ว่าทที่มือและเท้าของเขานั้นกลับมีเกล็ดสีแดงขึ้นอยู่เต็มไปหมด

"เอาละ วันนี้ใครจะเป็นคนแรกกัน..เอ่ย?" บอสพูดออกมาแล้วมองไปที่ผู้หญิงเหล่านั้น พวกเธอที่โดนจ้องมองก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว บางคนถึงกับมีน้ำตาไหลออกมา และพยายามจะคลานหนี แต่ว่าพวกเธอก็ถูกบอสดึงโซ่ที่ล่ามเอาไว้และจับพวกเธอโยนขึ้นไปบนเตียงขนาดใหญ่

…….และบอสก็เริ่มลงมือจัดการ "สั่งสอน" "อบรม" พวกผู้หญิงพวกนี้ อย่างดุเดือด จนบางคนถึงกับสำลัก*น้ำ**และบางอย่างแล้วลงไปนอนหมดสติที่ขอบเตียง

…..เสียงกรีดร้องดังโหยหวนออกมาจากในห้องนอนนั้น ตลอดเวลาที่บอสยังคงอยู่

แต่ว่าที่มุมห้องนั้นมีเด็กสาวคนหนึ่งเธอนั้นต่างจากคนอื่นเพราะเธอ…ยังดู"ใหม่"อยู่

ตัดมาอีกด้านหนึ่ง

กลุ่มผ้าคลุมดำออกตระเวน อยู่ในย่านสลัมและย่าน พนันที่เต็มไปด้วยคนเมา โสเภณีและขอทานต่างแดน

แต่มีกลุ่มหนึ่งนั้นต่างออกไป กลุ่มนี้มีสมาชิกอยู่เพียง 3 คน และพวกเขากำลังยืนอยู่บนหลังคาตึกๆหนึ่งที่อยู่ด้านนอกของโรงเรียนคอลลาจ

"นี้ๆ หัวหน้า ดึกๆแบบนี้ จะมีพวกเด็กออกมาเดินจริงๆเหรอคะ แถมที่นี้ก็มีการตรวจตราตลอดเลยด้วยสิ" หนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาพอจะให้แค่ คนในกลุ่มได้ยิน

"เอ่อน่าาาา เอาเป็นว่าข้ามีแผนแล้วกัน" ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาเขาอยู่ในผ้าคลุมก็จริงแต่ตัวของเขานั้นค่อนข้างจะใหญ่กว่าคนอื่นมาก

"งั้นเหรอครับ ว่าแต่พี่ๆมีแผนยังไงกันเหรอครับ"

"ฟังนะ ขั้นแรกเราก็รอให้พวกนักเรียนออกมา เสร็จแล้วข้าก็จะให้ยัยนี้วิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือแล้วล่อเข้าไปในตรอก เสร้จแล้วก็… เดี๋ยวนะ " เหมือนว่าคนที่เป็นหัวหน้าจะรู้ตัว เขาหันกลับไปมองที่มาของเสียงแล้วก็เห็น

"ผะ ผะ ผี!!!" นั้นเป็นคำพูดสุดท้ายของชายร่างใหญ่ก่อนที่จะโดนกระทุ้งเข่าเข้าไปที่ท้องอย่างรวดเร็ว

"เห้ออออออออ เอาไงต่อดีน้า ดูเหมือนว่ายังไม่ทันได้ไปไหนก็แจ็กพ็อต ได้แหล่งข้อมูลแล้วแหะ โชคดีจริงๆเลย" เจ้าของเสียงและคนที่ส่งให้กลุ่มคนในผ้าคลุมทั้ง 3 คน สลบไปพูดออกมา..มาร์

[ อืมมม งั้นก็จัดการมัดเชือกมัดเท้าแล้วก็ดึงข้อมูลจากในหัวเอาละกันนะ ] มาร์ที่คิดแบบนั้นก็จัดการมัดทั้ง 3 คนไว้ด้วยสกิล [ รังสรรค์ ] เปลี่ยนอาวุธเหล็กของพวกเขาให้กลายเป็นโซ่ที่รัดตัวทั้งสามคนอย่างพอดี

มาร์ที่จัดการมัดทั้งสามคนเสร็จก็จัดการพาพวกเขาไปยังที่ที่หนึ่ง ที่นั้นเป็นจุดที่สูงที่สุดในเมืองนี้ หอนาฬิกา การแบกสามคนนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับพละกำลังกายของมาร์เลย

เขากระโดดไปตามหลังคาและวิ่งไปบนด้วยสกิล [เหยียบฟ้า] ที่ขโมยมาและพัฒนามาจาก [ลองบิน] ตอนเด็กๆ วันนั้นแม่เล่านิทานเรื่องเจ้าชายน้อยกับท้องฟ้าของเขา และมาร์ก็ได้สกิลนี้มา

สภาพตอนนี้คือคนในชุดสีดำร่างเล็กคล้ายเด็กกำลัง ลากจูงก้อนอะไรสักอย่างสามก้อน ไปบนฟ้า

"อื้ม ตรงนี้คงเหมาะแล้วละมั้งนะ" มาวางทั้งสามคนตรงขอบของระเบียงหอนาฬิกา และที่นี้สูงจากพื้นราวๆ ตึก 15 ชั้นได้ มันเป็นหอนาฬิกาที่สำคัญของเมืองมาก และตอนนี้มาร์ก็กำลังจะใช้มันทำอะไรสักอย่าง

มาร์ใช้อาวุธที่ยังเหลืออยู่ของทั้งสามทำเป็นสลิงแล้วยึดมันไว้กับพวกเขา

"เอาละ ตื่นๆ!!! ไหนๆ ลองพูดมาสิ ว่าที่ที่พวกแกมาน่ะ มันที่ไหนกัน" มาร์พูดออกมาพร้อมกับกุมสลิงเอาไว้ในมือ

และคนที่ตื่นคนแรกก็คือหัวหน้าที่เป็นชายร่างใหญ่ ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาก็เริ่มขู่มาร์แทบจะทันที

"กะ กะแกน่ะ คิดว่าทำแบบนี้แล้ว…ว๊ากกกกก" ยังไม่ทันได้พูดจบมาร์ก็ถีบส่งหมอนั้นลงไป ก่อนจะเอาสลิงที่กำลังถูกดึงตามลงไปปักลงบนพื้นของชั้นที่อยู่ ทำให้หัวหน้าคนนั้นลอยเขว้งอยู่กลางอากาศโดยที่กางเกงเต็มไปด้วยน้ำสีเหลืองบางอย่าง

"น่าเบื่ออ่าาา ถ้าคนถัดไปตอบแบบนั้นอีกก็ลงไปอยู่ด้วยกันข้างเลยละกัน ง่ายดี" มาร์หันมามอง สองคนที่เหลือ ทั้งสองคนนี้เป็นเผ่าวอร์บีส จากั้ว คนหนึ่งเป็นชายคนหนึ่งเป็นหญิง

"เอาละทั้งสองคน ช่วยเล่าเรื่องของพวกแกให้ฟังหน่อยจะได้หรือเปล่า แต่ว่าถ้ามันน่าเบื่อก็เตรียมลงไปอยู่ข้างล่างได้เลย" มาร์พูดพร้อมกับชี้ไปที่สลิงที่ฝังอยู่ตรงพื้น

"คะครับ พวกผม ยะ ยอม แล้วครับ ใช่ไหม กั้ว" ชายเผ่าจากั้วหันไปถาม ผู้หญิงเผ่าเดียวกัน

"แน่นอนค่ะ พวกเรายอมมมแล้ววค่ะ เดี๋ยวชั้นกับจาจะยอมบอกทั้งหมดเลยค่ะ" เธอพูดขึ้นมา มาร์เองก็ฟังแต่สิ่งที่เขาสนใจคือ [ นี้พวกเอ็งสองตัวชื่อ จา กับ กั้ว จริงดิ พ่อแม่คิดยังไงตั้งชื่อลูกมักง่ายแบบนี้วะ…แปปนะ ชื่อเราเองก็…..ไอพ่อบ้าเอ้ยย ]

หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มเล่าให้มาร์ฟัง โดยหวังแต่คิดว่าพวกเขาคงจะไม่ถูกโยนลงไปแบบที่หัวหน้ากลุ่มโดน

เรื่องทั้งหมดคือ ในเมืองนี้มีกลุ่มชื่อ กูลดราก้อน หัวหน้าของกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าชื่ออะไร เขาไม่ยอมบอกชื่อกับลูกน้องสักคน ทุกคนเลยเรียกเขาว่าบอส

และกลุ่มนี้เองก็ทำงานค้าทาส ที่ได้มาจากการลักพาตัว คนที่เมืองจะไม่สนใจเช่น ขอทาน พวกขี้เมา นักพนัน โสเภณี หรือแม้แต่นักผจญภัยระดับต่ำหรือนักศึกษาหน้าใหม่ที่ยังไม่มีใครจำได้

พอจับไปได้แล้วก็จะให้พวกนั้นขายตัวเองเป็นทาสแลกกับการไว้ชีวิต และตอนนี้ก็มีหลายคนที่ถูกจับไปแล้วก็ต้องยอมเป็นทาส ส่วนคนที่ยอมก็จะถูก บอสฆ่าทันที

ทั้งสองคนเล่าว่าบอสเป็นเผ่า วอลแคนูดรากอนนิค เผ่ามังกรไฟที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ ตัวของบอสนั้นแทบจะร้อนตลอดเวลาโดยเฉพาะตรงสิ่งที่อยู่ตรงหว่างขาเขา มันร้อนมาเมื่อบอสอยากให้มันร้อนหรือตอนที่มันแข็งตัว มันร้อนระดับที่สามารถเผากระดาษให้กลายเป็นถ่านเลยทีเดียว

ยิ้งเกล็ดสีแดงที่มือและเท้าของเขาก็เช่นกัน มันสามารถจะกลายเป็นเกราะที่หุ้มบริเวณเอาไว้ได้

มาร์ยังถามต่ออีกว่า "เล่ามาตั้งนานละ ทีนี้พอจะบอกได้หรือยังว่าฐานของพวกแกอยู่ที่ไหน หรือว่าอยากจะลงไ…"

"ได้ค่ะ ฐานของพวกเราอยู่ที่บ้านเลขที่ XX เขตตลาดค้าทาสค่ะ เข้าไปจะมีคำถาม ถามว่า [ ปลาสองตัวเอ๋ยว่ายเวียนวงเป็นวงกลม… ] คำตอบคือ [ 69 ] ค่ะ" เธอพูดออกมาเสียงดัง มาร์เองก็พอใจเป็นอย่างมากกับคำตอบสำหรับเข้าตึก

"งั้นก็ดีแล้ว ต่อจากนี้พวกแกสองคนก็อยู่ตรงนี้ แล้วก็คอยจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเสร็จ แล้วข้าจะกลับมา" มาร์พูดจบก็ฝังสลิงเหล็กลงกับพื้นห้อง แล้วเขาก็กระโดดออกนอกหน้าต่างไป

30 นาทีต่อมา

*ก็อก* *ก็อก*

"เห้ยๆ ไปเปิดประตูสิสงสัยคงได้สินค้ากลับมาแล้วละมั้ง" ชายหัวล้านตะโกนบอกลูกน้องที่อยู่ตรงหน้าประตู

"อ่า แปป นะลูกพี่ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ….. ปลาสองตัว..อุ๊ก" *ปั้ง* เสียงประตูถูกถีบ ประตูนั้นพุ่งทะยานเข้าใส่ลูกน้องของชายหัวล้านที่อยู่หน้าประตูจนสลบ

"เห้ย!!! เสียงอะไรวะ หรือว่าศัตรู…" *จิ๊บ* เสียงนกดังขึ้น แต่ว่า มันไม่ใช่เสียงจากนก

ชายหัวล้านหันไปดูที่มาของเสียงแล้วก็เห็นว่ามี…."ผี…ผะ ผะ ผี" ที่กำลังยืนถือก้อนเหล็กบางอย่างอยู่…แต่เขายังไม่ทันจะได้ตะโกนออกมาก็ถูกเสียง *จิ๊บ* อีกครั้งและที่ขาทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มเจ็บๆขึ้นมา

ชายหัวล้านก้มลงไปมองแล้วก็เห็นว่าขาของเขาตอนนี้มีรูขนาดนิ้วโป้งเกิดขึ้น ทันทีที่เห็นเขาก็รู้ตัวได้ว่า

"อ๊ากกกกกกกกก" และล่มไปนอนกับพื้น

"เห้ยยยย เสียงอะไรวะ หรือว่าศั…" *จิ๊บ* คนที่วิ่งออกมาจากห้องล้มลงไปนอนอีกราย พร้อมกับกลิ้งไปจนชนกับประตูทางเข้าที่ยังทับเพื่อนเขาอยู่

"เห้ยยยย เสียงง…" *จิ๊บ* เป็นหนุ่มหน้าใสที่สวมเครื่องแบบบางอย่าง เขาเดินออกมาดูลาดราวแล้วก็..อีกราย

"เหยย เพื่อนๆ วันนี้มี.." *จิ๊บ* ชายที่น่าจะเป็นคนทำกับข้าวเดินออกมาแล้วก็รับโชคไปแบบเดียวกับเพื่อนๆของเขา

"นี้….มีใครพอจะหยิบทิช…" *จิ๊บ* ชายที่อยู่ในห้องน้ำและกำลังปลดทุกข์อยู่ล้มลงไปนอนกับพื้นในสภาพที่ตูดยัง…..อยู่

"มีใครว่างไหม ช่วยหยิบยาทาแผ…." *จิ๊บ อีกราย

มาร์เดินยิงใส่กลุ่มคนเข้าไปที่จุดไม่สำคัญตลอดทางเดิน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่บริเวณหนึ่งที่นี้มีกรงที่ขังผู้คนอยู่จำนวนมาก พวกเขาไม่ได้ถูกล่ามโซ่หรือมีอะไรที่เป็นการบอกว่าพวกเขาเป็นทาส

[ น่าจะเป็นพวกที่ถูกลักพาตัวมาสินะ ] มาร์เดินผ่านพวกเขาไปโดยไม่สนใจอะไร ส่วนคนในห้กรงนั้นก็เอาแต่พูดว่า "ผี" อยู่ตลอด

"อืมมม ห้องนี้สินะ ห้องของ บักบอสนั้น" มาร์เดินไปที่ประตูและเขาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ออกมา แต่เพราะค่า Con ที่เวอร์วังอลังการณ์ของมาร์ มันเลยไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากไปกว่าร้อนเฉยๆ

[ เอาละนะเอ็ง เตรียมพร้อมๆ ห้องบอสแล้ว ในหว่าของๆๆ อ๋อนี้ไง ] มาร์หยิบแผ่นผ้าบางอย่างออกมา บนแผ่นนั้นมีก้อนสีเหลี่ยมติดไว้หลายจุด มาร์แปะมันเข้ากับประตูเหล็ก ก่อนที่จะไปยืนข้างๆประตูนั้น

[หวังว่า Thermite รุ่น 1 จะได้ผลน้าา แต่เราก็ลองมาหลายแล้วนี้หว่า ช่างเหอะ ไม่ได้ก็เข้าแบบธรรมดาเอาละกัน] มาร์กดสวิตช์ เกิดเสียง *ซี่* *ซี่* *ซี่* แผ่นที่แปะนั้นกำลังเจาะประตูเหล็กนั้นอยู่แล้วก็ *ตู้มมมมม* ประตูถูกทำลายลง มาร์วิ่งเข้าไปข้างในและเล็งแืนขึ้นไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าเขา

ที่นั้นเป็นชายเปลือยเปล่าผมสีดำหน้าแก่ๆ มีแผลที่หน้า ทว่าแขนและเท้าของเขากำลังกลายเป็นสีแดง แต่….ที่สำคัญคือ ตรงนั้น กำลังแดงฉ่าแบบเดียวกับที่เหล็กกำลังร้อน และเขากำลังยกผู้หญิงคนหนึ่งด้วยการจับแขนข้างเดียวของเธอเอาไว้

ผู้หญิง คนนั้นมีผมสีดำยาวแต่ว่ามีผมบางส่วนเป็นสีม่วง ดวงตาของเธอเองก็มีสีม่วงเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพิจารณารูปลักษณ์ของเธอ เพราะว่า บอส กำลังเดือดอยู่

"เห้ยยยย ไอเปี๊ยกแกเป็นใครวะ คิดยังไงวะที่มาขัดจังหวะเปิดของใหม่แบบนี้ สงสัยต้องสั่งสอนอกหน่อยละ…" *จิ๊บ* *จิ๊บ* *จิ๊บ* *จิ๊บ* *จิ๊บ* เสียงปืนของมาร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเขายิงไปที่แขนขาของชายที่อยู่ตรงหน้าที่น่าจะเป็นบอส กระสุนยิงไปโดนก็จริงแต่ว่ามันไม่ได้ก่อความเสียหายมากนัก

"ทำอะไรของเอ็งวะไอเปี๊ยก!!" เขาปล่อยมือจากผู้หญิงคนนั้น แล้วก็พุ่งตรงเข้ามาหามาร์

มาร์นั้นได้แต่มองสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวติดไฟพุ่งเข้ามาอย่างช้าๆ มาร์วิ่งพุ่งเข้าไปหาแล้วสไลด์หลบรอดใต้หว่างขาปล่อยให้ บอส วิ่งชนกำแพงไป

ถึงแม้ว่าบอสจะวิ่งชนกำแพงแต่เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรแม้แต่น้อย ทว่าตอนที่เขาหันกลับมาก็พบว่า ตัวเขาถูกบางอย่างพันรอบเอวเอาไว้

*ชี่* *ชี่* *ชี่* *ชี่*

"โชคดีนะบอส ถึงเราจะได้เจอกันแปปเดียว แต่ว่า นายก็ได้ให้ของดีๆเราเยอะแล้วละ" มาร์หันไปมองและยิ้มให้ภายใต้หน้ากากของเขา

"ไอเชี้ย ไอเชี้ยเปี๊ยก ไอบ้านี้มันอะไรเอามันออก…" *ตู็ม* เสียงระเบิดดังขึ้น เหลือทิ้งไว้เพียงช่วงล่างของบอสและไอนั้นที่กำลังเดือดเป็นไฟของเขา และทั้งห้องก็เต็มไปด้วยควันจากระเบิดและความร้อนของร่างกายบอสที่เหลือทิ้งเอาไว้

"อืมมมม กระสุนปืนยังเจาะไม่เข้าสินะ แต่ว่า…โหยยยย ไอบ้านี้ทำกับผู้หญิงทั้งๆที่รู้ว่า xxxติดไฟเนี้ยนะ?" มาร์เดินไปดูสภาพผู้หญิงหลายๆคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ บางคนก็ตายไปแล้วก็มี ทุกคนล้วนมีแผลเหมือนกันคือแผลไฟไหม้สาหัสทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่ตรงนั้น

มาร์ใช้สกิล [ รักษาสมบูรณ์ ] กับพวกผู้หญิงที่ยังรอดชีวิตอยู่ แต่ระหว่างที่ใช้เขาก็เหลือบไปเห็น ผู้หญิงผมสีม่วงคนนั้น เธอหาเสื้อผ้ามาใส่ ก่อนที่จะวิ่งไปรักษาพยาบาลด้วยสกิล [ฟื้นฟูบาดแผล-กลาง] และใช้เศษผ้าตามพื้นคลุมร่างไร้วิญญาณ

"นี้…เธอน่ะ รักษาให้คงที่ก็พอไม่ต้องจนถึงสมบูรณ์หรอกนะ เดี๋ยวผมไปจัดการต่อเอง" มาร์หันไปพูดกับผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่ยังรักษาคนเจ็บอยู่

"ค่ะ…." เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ จ้องมองด้วยสายตาแปลกๆ

หลังจากนั้นมาร์ก็รักษาคนที่พอจะช่วยได้ที่เหลือจนหมด เขาพาทุกคนออกไปนอกห้องแล้วรอให้พวกเธอได้สติ ส่วนมาร์ก็เข้าไปจัดการเก็บซากของบอสเพื่อจะเตรียมเอาไปเซ่นให้ตำรวจแถวๆนี้

"ขอโทษนะคะ….คุ..ท่าน คือ?" ผู้หญิงผมสีม่วงคนนั้นเดินเข้ามาหามาร์ ตอนนี้มาร์เห็นเธอได้ชัดเจนมากๆ…

"อ่า…ผมคงบอกชื่อไม่ได้ละนะ แต่ว่ายังไงก็…" มาร์ยังไม่ทันได้พูดจบ เธอก็พุ่งเข้ามาคุกเข่าที่ข้างหน้าของมาร์ก่อนที่จะจับมือของเขา มาจับที่ผมสีม่วงของเธอ

"ชั้น….ยูเรย์ ไนส์บิลราจ ขอให้สัญญาต่อดวงวิญญาณของตัวชั้นว่า ชั้นยูเรย์ขอมอบกายและวิญญาณนี้แก่ท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เป็นผู้ใด" เธอพูดจบผมของเธอก็เรืองแสงขึ้นมา ตาของเธอเองก็เช่นกัน มาร์รีบใช้สกิล [เปิดเผยตัวตน] ไปที่ยูเรย์

[….ไนท์แมร์ เผ่าอริของครอบครัวเราไม่ใช่เหรอ….เผ่าที่ตรงกันข้ามกับเรานิ…]

มาร์ไม่ได้พูดอะไรออกไปกลับกันเขาทำเป็นไม่สนใจเธอ และจัดการภายในห้องของบอสต่ออย่างเงียบๆ ยูเรย์เองก็ด้วยเธอลงมือทำความสะอาดห้องตามที่มาร์ทำ

……..

….

เวลาผ่านไปจนราวๆ ตี 2 มาร์ก็จัดการทุกอย่างเสร็จ เขาฆ่าบอสของที่นี้ไปแล้ว มาร์เลยไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เหนือจากบอสไปอีกหรือเปล่า ทั้งเขาก็เป็นห่วงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ว่า กลุ่มใต้ดินนี้จะทำอะไรต่อด้วย…

มาร์จึงตัดสินใจว่า " เอาละ…ในเมื่อบอสไม่มี เดี๋ยวเราเป็นให้เอง ใครหือ เดินออกมาได้เลย "

นั้นคือสิ่งที่มาร์พูดตอนที่เขาดักรอคนที่ออกไปกลับมารวมไปถึงไปแบก 3 คนที่หอนาฬิกากลับมาด้วย แล้วหลังจากนั้นมาร์ก็จับกุมพวกชุดคลุมสีดำได้ทั้งหมด เขาเอาพวกนั้นมาเรียงแถวกันในอดีตห้องของบอส

ทุกคนยืนเรียงแถวกันโดยมีโซ่เหล็กจากอาวุธของตนพันรอบตัว

ในห้องตอนนี้ไม่มีใครกล้า หืออือ กับมาร์ ทุกคนเอาแต่มองเขาด้วยสายตาที่หวาดกลัว มาร์ก็ลองใช้สกิล [ รู้ใจจริง ] ก็พอจะรู้ว่า ทุกคนในห้องนี้มองว่ามาร์โหดกว่าอดีตบอสของพวกเขา และยังไงก็สู้ไม่ชนะต่อให้รวมคนทั้งห้องนี้ก็ไม่พอ

"อืมมม งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่า ต่อจากนี้เราจะยังขายทาสเหมือนเดิมแค่ไม่ไปจับคนจากถนนอีกต่อไป เราจะขายทาสอย่างสะอาด…. แต่ว่า เราจะทำอย่างอื่นด้วยนั้นคือ สิ่งนี้!!!" มาร์ทำเป็นล้วงของจากข้างหลังแล้วในมือของเขาก็มีผงดำๆอยู่บนนั้น [ดินปืนไร้ควัน Smokeless Powder]

"เราจะมาทำอาวุธออกขายกัน พวกเราจะเป็นพ่อค้าอาวุธรูปแบบใหม่ของที่นี้!!" มาร์พูดออกมาเสียงดัง ทุกคนที่นั่งฟังอยู่ก็งงกันหมด แต่ว่านี้เป็นเพียงแค่แผนเริ่มต้นของสิ่งที่มาร์จะเรียกว่า [ โรงงานผลิตของเล่น Ghost ]

"สุดยอดไปเลยค่ะนายท่าน!!" เสียงปรบมือดังมาจากเหล่าหญิงสาวที่มาช่วยเอาไว้รวมไปถึงคนที่นำปรบมือก็คือ ยูเรย์ที่ยืนยิ้มตาใสอยู่..นั้นเอง

….

คืนหลังจากที่มาร์กลับไปที่หอของเขา สิ่งแรกที่มาเริ่มทำเลยนั้นคือ เขากางแผนที่บางอย่างลงบนโต๊ะ และบนแผนที่นั้นก็มีการทาสีบอกจุดต่างๆของเมือง

"อืม….อย่างแรกสำหรับแผนการณ์ใช้ชีวิตให้สบายในอนาคต คือ เงิน แต่ว่าดูแล้วเงินคงไม่ใช่ปัญหาไปอีกสักพักสินะ ไม่สิน่าจะยาวๆเลย" มาร์นั่งลงที่โต๊ะของเขา และหยิบกระดาษขึ้นมาเพื่อจะเขียนสิ่งที่เขาอยากทำ

มาร์นั่งคิดอยู่ที่โต๊ะ แล้วก็เริ่มลงมือเขยีนพร้อมกับบ่นไปกับตัวเองเพื่อไม่ให้ห้องของเขาเงียบเกินไป

"อืมมมม โลกนี้มีกิลล์นักผจญภัย ทหาร ทหารรับจ้าง สมาคมนักเวทย์ สมาคมพ่อค้า โรงเรียน โรงพยาบาล อะไรอีกหว่า ที่มันเป็นแหล่งผลิตเงินกับอำนาจได้? ราชา? อันนั้นไม่ได้ละมั้งวุ่นวายเปล่าๆ" มาร์ยังคงจดชื่อสิ่งที่คิดได้ลงกระดาษต่อไป

หลังจากเขียนเสร็จเขาก็เริ่มมองพวกมันพร้อมกับคิดว่าจะทำอะไรดี ใจมาร์นั้นถึงจะได้เกิดใหม่แล้วแต่ก็อยากทำอะไรสักอย่าง ทำอะไรบางอย่างเพื่อเพิ่มคุณค่าของเขาให้สูงกว่านี้ สูงกว่าการเป็นนักศึกษาหลักสูตรพิเศษที่จบไปแล้วเข้าเป็นอัศวินหรือฝ่ายบริหารรับใช้ชาติ

"เอาละ….. ที่นี้มีสิ่งหนึ่งที่เรายังไม่รู้สินะ ที่โลกเก่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าโลกใต้ดิน แต่ว่าตั้งแต่มาที่นี้ เราก็ยังไม่ได้ยืนยันเลยว่ามีอะไรพวกนั้นหรือเปล่า" มาร์จดคำว่า [องค์กรโลกใต้ดิน] ลงกระดาษ

"เห้อออ คิดยากจังแหะ เป้าหมายตอนลงมาเกิดก็แค่อยากจะใช้ชีวิตสบายๆไปเรื่อยๆอยู่หรอก แต่ว่ามันเป็นนามธรรมเกินไปอ่ะ ดูไม่ค่อยมีเป้าหมายที่เป็นรูปร่างเลยแหะ" มาร์นั้นไม่พอใจเท่าไหร่กับความคิดที่ไม่สามารถทำให้เห็นเป็นรูปร่าง หรือความคิดที่หวังเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ

"งั้นอย่างแรกก็…ตัดอะไรที่ทำให้เราไม่เป็นอิสระไปเลยละกัน" มาร์ที่คิดได้ก็ลงมือมองสิ่งที่เขาเขียนลงกระดาษและขีดฆ่าสิ่งที่เขาไม่โอเคด้วย

"ไหนๆ กิลล์นักผจญภัย….อืมเหมือนจะมีอิสระนะแต่ก็อยู่ใต้อำนาจกิลล์อยู่ดี ตัดทิ้ง"

"ทหาร ทหารรับจ้าง สมาคมนักเวทย์ สมาคมพ่อค้า ไอพวกนี้ตัดไปได้เลย ไม่ว่าจะอันไหนก็ต้องทำงานใต้คนอื่นอยู่ดีละนะ แถมพ่อค้าต้องส่งเงินให้สมาคมเป็นค่าบำรุงอีก….แย่ แย่"

"ตอนนี้ก็เหลือ เอ่อ โรงเรียน โรงพยาบาล องค์กรโลกใต้ดิน? " มาร์จ้องมองไปที่สามชื่อนี้ เขาลุกขึ้นออกจากเก้าอี้และเดินวนอยู่ในห้องเพื่อใช้ความคิด เขาเดินไปมาด้วยใบหน้าที่ดูจริงจัง

[ โรงเรียน ถ้าเปิดแล้วรุ่งจะมีเงินเข้าตลอดแต่ว่าก็มีคู่แข่งอย่างโรงเรียนคอลลาจแน่ๆ ยังไงก็เถอะถ้าเด็กที่มาเข้าจบไปมีงานการใหญ่ๆทำ เราก็จะมีเส้นมีสายแถมดีไม่ดี เราปลูกฝังความคิดให้เชื่อเรื่องบางอย่างก็ได้ด้วยนิ แบบที่โลกเก่าทำไง… ] นั้นคือสิ่งที่มาร์คิดกับโรงเรียน ที่ที่จะสร้างเส้นสายและปลูกฝังความเชื่อบางอย่างได้อีก

[ โรงพยาบาล? อันนี้ยังไงก็ดีทั้งเงิน ทั้งเส้นสาย อืม…ติดที่เดียวคือจะไปหาหมอจากไหนนี้สิ ถ้าไม่มีเส้นสายเลยก็ยากละนะ แต่ว่ายังไงมันก็น่าสนใจนิหว่า… ไหนเรื่องที่โรงพยาบาลโลกนี้เองก็มีกฎเหมือนโลกเก่าคือเป็นเขตปลอดควารุนแรง ห้ามฆ่าห้ามอะไรกัน แบบนี้ใช้เป็น Safe House ได้ด้วย ] มาร์ระหว่างที่คิดเขาก็วาดภาพตึกขนาดใหญ่ลงไปในความคิดของเขา

[ สุดท้ายก็….องค์กรโลกใต้ดิน อันนี้ถ้ามันมีอยู่ก็หมายความว่าเราจะต้องมีคู่แข่งแน่ๆ แบบนี้จะทำยังไงดีน้าาา แต่ว่าพอคิดถึงสองอย่างก่อนหน้านี้แล้วก็….ต้องใช้เส้นสายหามาทั้งนั้นเลย แล้วไอองค์กรณ์นี้เองก็..ดูเหมือนว่าจะหาไอของที่ว่าได้ไม่ยากเลยแหะ… ] มาร์ยิ้มออกมา

"เอาละ เอาละ!! ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ก็ ทำองค์กรณ์ใต้ดินขึ้นมา แล้วก็เปิดทั้งโรงเรียนกับโรงพยาบาล ไปเลยแล้วกัน ง่ายจะตายยยยย ฮ่าๆๆๆ!!" มาร์พูดเสียงดังออกมา เขาเดินไปหยิบกระดาษแผ่นใหม่และลงมือเขียน

[แผนการณ์ สำหรับอยู่ในโลกใหม่ ชื่อว่า "Utopia for me UFM" ขั้นแรกสร้างองค์กรณ์ใต้ดินเพื่อควบคุมเบื้องล่าง ขั้นสองหางบสร้างโรงเรียน ก่อนที่จะเริ่มสร้างโรงพยาบาลเป็นขั้นสุดท้าย หลังจากนั้นถ้ามีอะไรอยากจะทำต่อก็ค่อยว่ากัน ] มาร์เขียนเสร็จก็เอามันใส่ใต้โต๊ะ

"อื้มมมมมมม เมื่อยยจังเลยยย อ่ากี่โมงแล้วเนี้ย…. เอ๋ 3 ทุ่มแล้วเหรอเนี้ย เริ่มมืดได้ที่แล้วสินะ แบบนี้ออกไปข้างนอกก็คงไม่มีใครสังเกตุแล้วละสิ แต่ว่า จะไปที่ไหนดีนะ นั้นสิน้าาา ไปไหนดีน้าาาา อ๊ะ!!" มาร์ที่กำลังบิดขี้เกียจก็คิดขึ้นมาได้ว่า

[ ไปหาข้อมูลเรื่องโลกใต้ดินเพื่อเตรียมให้ UFM ขั้น 1 ก่อนเลยละกัน แบบนี้เราควรจะไปที่ไหนก่อนดีน้าาา ] มาร์วิ่งเตาะแตะๆ ไปที่โต๊ะของเขาที่ยังกางแผนที่เมืองไว้อยู่

"เอๆๆ ตรงไหนดีน้าาาา อืมๆ ซ่องเหรอ คนน่าจะเยอะละมั้ง แถมกลัวเผลอใจทำตามนิสัยเก่าอีก คงไม่ดีละมั้ง"

"บ่อนเองก็น่าสนใจดีแหะ แต่คนคงพลุกพล่านแล้วมั้งเนี้ย ไปใช้สกิลในที่แบบนั้นยากแหงๆ มีตรงไหนอีกหว่า ที่น่าไปสำรวจอีกนาาาา โอ้ๆๆ!!! นั้นไงๆ ที่นั้น ตอนนี้คนคงน้อยแล้ว"

มาร์จ้องมองไปที่แผนที่ที่นั้นคือ ตลาดค้าทาส โลกนี้นั้นการมีทาสไว้ในครอบครองไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่าทาสเองก็ไม่ใช่สิ่งของในโลกนี้ เหมือนกับที่โลกเก่าของมาร์

ทาสยังมีความเป็นคนอยู่ พวกเขาได้รับสิทธิ์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับปัจจัย 4 อาหาร ยา เครื่องนุ่มห่ม ที่อยู่อาศัย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะดีขนาดเท่าคนทั่วไป เอาเป็นว่าพอมีไม่ให้ตายละกัน

แล้วถามว่าทาสมีมาได้ยังไง คำตอบคือ 3 ทาง

ทางแรก ทำผิดกฎหมายในโทษเกี่ยวกับเรื่องเงิน เอาง่ายๆเป็นหนี้แล้วดันไม่มีจ่าย ติดตัวแดงจนโดนตัดสินให้เป็นทาสล้มละลายไป ส่วนใหญ่จะเป็นพวกผีพนัน นักผจญภัย แล้วก็ขุนนางตกอับ

ทางที่สอง เป็นทาสสงคราม พวกนี้ก็ตามชื่อ โดนจับเป็นมาเวลาเกิดสงคราม แล้วประเทศไม่ยอมไถ่ตัว ก็จบด้วยการส่งมาขายเป็นทาสเพราะเปลืองค่าดูแล

สุดท้าย ทาส สัญญา พวกนี้ขายตัวเองเป็นทาส เพื่อหาเงินไปทำอะไรสักอย่าง โดยจะมีกำหนดเวลาให้มีอิสระราวๆ 1 ถึง 2 วัน ทั้งยังออกนอกเมืองไม่ได้อีก พอครบกำหนดแล้วก็จะกลายมาเป็นทาสทันที

มาร์สวมชุดใหม่ที่เขาใช้สกิล [รังสรรค์] สร้างขึ้นมา มันเป็นชุดสีดำผ้า Tactical Fabric ที่ระบายอากาศดีและแห้งง่าย ทั้งยังกันหนาวได้ระดับหนึ่ง

ชุดนี้ไม่มีอะไรมากเป็นชุดรัดรูปของมาร์ ทำให้เวลาที่ใส่ มาร์จะมีสภาพคล้ายคนใส่ชุดประดาน้ำทั้งตัวแค่มีสีดำ แต่ว่าชุดนี้เป็นเพียงชุดด้านในเท่านั้น มาร์เริ่มสวมใส่อุปกรณ์ต่างๆ

อย่างแรกเวสใส่ของ ที่มีมีดกับปืนพกเก็บเสียงที่วิจัยขึ้นมาตอนเด็กๆ รองเท้าตีนกบสีดำที่เสริมความเหนียวและความสามารถในการเก็บเสียง

ตามด้วย ผ้าคลุมพร้อมฮู้ดสีดำที่คลุมลงมาถึงแค่หัวไหล่ของมาร์ [ เห้อออ ผ้าไม่พอจริงๆด้วยสินะ แย่จริงๆแหะ แต่ช่างเหอะแค่นี้ก็น่าจะปิดตัวได้แล้วละ ]

มาร์หยิบหน้ากากสีดำเรียบ ไม่เห็นแม้แต่ช่องตา มันเหมือนเป็นกระจกที่เคลือบหน้ากากเอาไว้แต่ว่า พอมาปล่อยมืออกจากหน้ากากที่อยู่บนหน้าเขา บนหน้ากากนั้นก็เปลี่ยนไป

[หวังว่าจอนี้จะทำงานได้ตามแบบที่คิดไว้นะ มานาที่ใช้ก็ไม่ได้เยอะด้วย แถมมีระบบอำพรางตัวได้อีก…แต่จริงๆก็ สร้างมาเพื่อเท่ห์เท่านั้นแหละ ฮ่าๆๆ] มาร์หัวเราะอยู่ในใจของเขา ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจกดูตัวเอง

ที่หน้ากระจกนั้นมีคนลึกลับในชุดรัดรูปสีดำ เวสสีดำ ที่เอวมีเข็มขัด 1 เส้นที่มี ปืนพกเก็บเสียงและมีดอยู่ ข้างหลังเอวของเขามีกระป๋องบางอย่างที่ทาด้านข้างด้วยสีเขียวและประป๋องอีกอันที่มีรูจำนวนมากอยู่บนตัวของมัน คนคนนี้มีผ้าคลุมที่ปกปิดตั้งแต่หัวไปจนถึงหัวไหล่

แต่ว่าใบหน้าของคนคนนี้กำลังเป็นรูปหัวกะโหลก ที่ไม่มีปาก มันมีแค่ช่องว่างของดวงตาและพื้นหลังสีดำสนิท ใบหน้าของมันเหมือนกับกำลังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา

"แหม่ งานชิ้นเอกจริงๆแหะ รู้สึกเท่ห์สุดๆไปเลยวะเห้ยย เอาละนี้ก็ได้เวลาละ สถานีต่อไป ตลาดค้าทาส!!!"

….

ความน่าเบื่อของชีวิตได้เริ่มขึ้น มิทพามาร์มาที่ยิมสำหรับเรียนคาบพละ มันเป็นยิมที่ไม่ใหญ่เลย

[โรงยิม??? ที่เล็กกว่าตึกเราอ่ะนะ เล็กเกิ๊น หรือเรารู้คิดไปเองว่ามันเป็นโรงยิมหว่า?] มาร์หันไปมองมิทที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางขี้เกียจ เขาหาวตลอดเวลาที่เดินมาที่นี้

แต่ก็มีบางครั้งที่มิทอยู่ๆก็หันไปมองข้างหลังด้วยความตกใจบ้างละ แต่มาร์ก็คิดว่า [ สงสัยหนาวละมั้ง ]

"เออ มิท นี้ใช้ที่เรียนของห้องนายจริงๆเหรอ? ไม่ใช่ว่าพามาผิดที่นา…มิท?" มาร์ถามมิทพร้อมกับยืนมองที่หน้าประตูด้วยความสงสัย

"อ่าาาา พี่ชาย นี้น่ะห้องเก็บคนสอนรวมทั้งเป็นยิมของพวกเราห้อง F เองละฮะ แบบว่าไงละ….อืมม…คือพวกคนส่วนใหญ่ในห้อง F ฝึกอะไรที่ใช้ร่างกายโหดๆไม่ได้อ่ะนะฮะ ก็เลยไม่ต้องมีโรงยิมของห้อง กับ ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายจริงๆจังๆ แบบห้องอื่นก็ได้อ่ะฮะ" มิทพูดจบก็เดินไปเตะประตูทางเข้ายิมอยู่หลายครั้ง

*ปั้ง* *ปั้ง* *ปั้ง* *ปั้ง* *ปั้ง* *ปั้ง* *ตู้ม*

"จารย์เกรน อยู่เปล่าอ่ะฮะ? ได้เวลาสอนแล้วนะฮะจารย์ อย่ามัวแต่นอนสิฮะ!! ไม่งั้นเดี๋ยวก็ไม่ได้เงินเดือนหรอกนะฮะจารย์เกรน" มิทตะโกนเรียกอยู่หลายนาทีแต่ว่า คนที่ชื่อว่าเกรนก็ไม่ออกมาสักที

[ แบบนี้จะได้เรียนหรือเปล่าเนี่ย… คือเริ่มเข้าใจแล้วว่าห้อง F คือห้องที่อยู่ระดับต่ำสุดเพราะอะไร ] มาร์ยืนรออยู่ตรงนั้นอีกเกือบ 10 นาที แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากข้างในนั้นเลยแม้แต่น้อย

มิทเอง ก็เริ่มจะเหนื่อยแล้ว เขาเลยเดินไปนั่งพิงต้นไม้ข้างๆโรงยิม(?) พร้อมกับหยิบกระติกน้ำที่พกมาด้วยยกขึ้นดื่มอย่างช้าๆเฉื่อยๆ

"มิท…แบบนี้ ยังไงต่อ? พวกเราต้องรอจนกว่า จารย์เกรนของนายจะออกมาหรือเปล่า" มาร์ถามทั้งๆที่ยังยืนอยู่ตรงประตูโรงยิม(?)ด้วยความสงสัย

"ไม่หรอกฮะพี่ชาย จริงๆถ้าอีก 1-2 นาทีไม่ออกมา เดี๋ยวผมไปนำสอนเองก็ได้ฮะ ปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วละฮะ ฮ่าๆๆ" มิทลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หลังโรงยิม มาร์เองก็ตามไป

ที่นั้นมีกล่องแปะติดอยู่กับกำแพงและบนกล่องนั้นเขียนไว้ว่า [ หยิบออกมาเพียง 1 ใบ เมื่อข้าไม่อยู่นะพวกเอ็ง ]

มิทเดินเข้าไปแล้วเอามือล้วงก่อนที่จะดึงมืออกมาพร้อมกับกระดาษ 1 แผ่น เขายืนอ่านมันอยู่แปปเดียวก็เอากระดาษนั้นยัดใส่กล่อง

"สงสัยว่าวันนี้ต้อง เต้นออกกำลังกายแล้วละฮะ พี่ชาย ฮ่าๆๆ ของไม่ถนัดด้วยสิ แย่จังนะฮะ" มิทพูดจบก็เดินเข้ามาหามาร์ เขาเดินมาด้วยท่าทางที่ดูจะเศร้าๆ

[ เดี๋ยว!!! ห้องเรียนนี้มันบ้าอะไรวะเนี่ย อาจารย์ไม่อยู่ก็ให้มาหยิบว่าจะทำอะไรที่กล่องนี้เนี้ยนะ? แล้วแบบนี้จะมีอาจารย์ไว้ทำซากไรว้าาาา!!! ] มาร์รู้สึกไม่พอใจมากๆ จนแสดงออกมาทางสีหน้าอยู่แปปนึง แต่ว่าเขาก็หยุดลง เพราะคิดได้ว่า

[ เอาเถอะ คิดไปก็เท่านั้น ก็ในเมื่อห้องนี้ มิทพูดเองว่าไม่จริงจังกับอะไรสักอย่าง เราคนนอกจะไปขัดไปช่วยให้ดีขึ้นก็คงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการละนะ ]

"อืมมมม วันนี้จะเต้นอะไรดีน้าาา คิดไม่ออกเลย อ่า…เอานั้นละกัน ง่ายดี ง่ายดี" มิทเหมือนจะคิดอะไรได้และเขาก็รู้สึกจะอารมณ์ดีขึ้นในสายตามาร์

"คิดอะไรได้ละนั้นมิท ท่าเต้นดีๆ? หรือวิธีโดดละ?"

"ผมเหรอฮะ ก็คงเป็นท่าเต้นดีๆละมั้งฮะ เอาไว้เดี๋ยวไปถึงลานกว้างก็รู้เองแหละฮะพี่ชาย"

ผ่านไป 5 นาที ทั้งสองก็มาถึง ที่ลานกว้าง และที่นี้ก็มีนักเรียนจากห้อง F ทุกคนเดินไปมาไม่ก็ตั้งวงเล่นไพ่กันอยู่ใต้ร่มต้นไม้

[ เริ่มรู้สึกว่าห้อง F เนี้ยมาจากคำว่า Fu*ked Up มากกว่า Fail แล้วแหะ นักเรียนแต่ละคนเหมือนหลุดมาจากหนังเรื่องเรียกข้าว่าอีกาจากชาติที่แล้วเลยแหะ ไอหมอนั้นนั่งยองๆสูบบุหรี่…ซิกก้ามวนเบอเริ่มหน้าตาเฉย คือ เดี๋ยวนะเอ็งน่ะ พึ่งอายุ 15 นะเห้ย? ] มาร์มองดูสภาพความเป็นจริงของห้อง F ด้วยความรู้สึกอนาจใจ

โรงเรียนคอลลาจถึงแม้จะมีเกณฑ์คัดเข้าที่สูง จนไม่มีคำว่าฟลุคเข้ามา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนประเภทแบบห้อง F นี้เข้ามา เครื่องยืนยันตอนนี้อยู่ตรงหน้ามาร์แล้ว

"เอาละฮะ ทุกคนฟังหน่อยยย วันนี้จารย์เกรน ที่น่านับถือของพวกเราทุกคนก็ไม่มาอีกแล้วนะฮะ ส่วนกิจกรรมที่เราต้องทำวันนี้คือเต้นวอร์มร่างกายอย่างเดียวนะฮะ ทุกคน" มิทพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาและไร้ซึ่งความน่าเกรงขามใดๆ

แต่ว่า พวกนักศึกษาที่ทำตัวเหมือนหลุดจากหนังนักเลงเถื่อน ก็ฟังมิทอย่างตั้งใจ จนมาร์เองก็รู้สึกว่าแปลกๆ

"โอ้!! ได้เลยท่านมิท วันนี้เต้นสินะ เห้ย พวกเอ็งท่านมิทสั่งให้วันนี้เต้นนะเว้ย ให้ความร่วมมือกันหน่อย" นักศึกษาชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของกลุ่มนักศึกษาที่กำลังนั่งเล่นไพ่อยู่ ตะโกนขึ้นมา แล้วพวกที่นั่งเล่นไพ่อยู่ก็เลิกเล่น แล้วเริ่มเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ

"เห้ยยยย พวกเอ็งอย่าไปยอมให้ไอพวกผีพนันนะเว้ย เอ้าไปเรียงแถวได้แล้ว พวกเอ็ง!!!"

คราวนี้เป็นจากฝั่งสิงห์รมควัน ที่ยืนพ่นสารพิษ ทุกคนดับซิกก้ากับบุหรี่ของตนเองแล้ววิ่งมาเรียงแถวอย่างแข็งขัน

"นี้!!! ทุกคน นายท่านมิท สั่งแล้วนะคะ ได้เวลาแล้วละ!!"

อีกฟากหนึ่งที่ตะโกนเสียงแหลมมานั้น คือกลุ่มนักศึกษาหญิงในห้อง F พวกเธอแต่งตัวดูเปรี้ยวกว่านักศึกษาทั่วไป ถ้าโลกเก่า มาร์คงเรียกพวกเธอว่า [ Bit** ] เลยทีเดียว

[ เดี๋ยวนะ? เกิดอะไรขึ้นเนี้ยทำไม พวกนี้อยู่ๆก็อยากจะทำกิจกรรมบ้าบอ อะไรก็ไม่รู้เฉยเลยเนี้ยนะ ก่อนหน้านี้ยัง ทำตัวเหลวแหล่อยู่เลยนิเห้ย หรือว่า? ] มาร์หันไปมองมิทที่ตอนนี้ยืนหาวอยู่หน้าแถวของพวกนักศึกษาห้อง F

"งืมๆ ทุกคนมาก็ดีแล้วละฮะ เอาละ มาเต้นออกกำลังกายตามผมกันนะฮะ" ตอนที่มิทพูดจบมาร์ก็เห็นแสงบางอย่างออกมาจากตัวของมิทมันให้ความรู้สึกที่มาร์คุ้นเคยและจำได้เป็นอย่างดี

[ นั้นมัน…แบบเดียวกับที่ประธานนั้น ใช้กับเรานิหว่า หรือว่า มิทเองก็….จริงด้วยเราไม่ได้สังเหตเลย มิท เป็นน้องชายของประธาน งั้นมิทก็เป็น..ซัคคิวบัส ]

มาร์นั้นไม่เคยสนใจเรื่องเผ่าพันธุ์มากเท่าไหร่ยกเว้นเผ่าพันธุ์ที่หายากมากๆหรือพึ่งเห็นกับตาเป็นครั้งแรก ตอนแรกที่เขาเจอมิท เขายังไม่ได้สนใจเรื่องเผ่าของมิทเลยแม้แต่น้อย

*เสียงเพลง บางอย่างเริ่มขึ้น* มิทเริ่มเต้นนำทุกคน การเต้นของมิทนั้น ทำให้มาร์ที่เห็นถึงกับประหลาดใจ เพราะว่ามัน ขี้เกียจมาก!!!

"เอาละ ก้าวเท้าขวา และก็ก้าวเท้าซ้าย ไปข้างหน้า จะเดินได้… ออกกำลังกาย******"

"ย่อเข่าทั้งสองข้างลง พร้อมๆ กัน ได้นั่งลง… ออกกำลังกาย******"

[ ออกกำลังกาย****** เองดิ นี้มันไอที่ทำอยู่เป็นประจำไม่ใช่เหรอไงวะเห้ยยยยย แล้วนั้นอะไรไอท่าเก็กเอามือมาแตะหัวแล้วเงยหน้าขึ้นน่ะ ทำทำไมมมม ]

ผ่านไปแค่ 3 นาที มิทก็หยุดเต้น แล้วทุกคนก็ปรบมือเสียงดัง ชมเชย มิทอย่างกับการเต้นเมื่อกี้เป็นงานศิลปะชั้นเลิศจากศิลปินชั้นนำ

"นายท่านมิทกี้ขาาาา สุดยอดดด ไปเลยค๊าาาา กรี๊ดดดดด" สาว B คนนึงตะโกนออกมา

"ท่านมิทนั้นช่างเป็นการเต้นที่สมบูรณ์แบบจริงๆ พวกเราประทับใจมากเลยครับ" หัวหน้าแก็งสิงห์รมควันกล่าวนำพร้อมกับก้มหัวให้กับมิทที่ยังยืนอยู่ด้วยท่าเก็กนั้น

"ท่านหัวหน้ามิท วันนี้ก็ช่างงดงามเช่นเคยนะครับ พวกเราขอบคุณหัวหน้าเร็ว" ""ขอบคุณครับ!!!"" สุดท้ายเป็นฝ่ายผีพนันพูดขอบคุณด้วยความพร้อมเพรียง

"ทุกคนวันนี้ก็ทำได้ดีมากเลยน้าาาา เอาละแยกย้ายกลับบ้านกันได้แล้วละนะฮะ เดินทางปลอดภัยนะฮะทุกคน" มิทพูดจบ นักศึกษาห้อง F ก็แยกย้ายกันกลับตามที่มิทพูด

มาร์เดินเข้าไปหามิท ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไหร่….. "นี้มิท นายน่ะ….ใช้พลังของซัคคิวบัสควบคุมพวกนั้นมาโดยตลอดเลยหรือเปล่า" มาร์ยิงคำถามที่มิทที่ได้ยินก็ถึงกับตกใจ แล้วก็ยิ้มออกมา

"ใช่แล้วฮะ!!! ผมใช้พลังของผมควบคุมพวกเขา แต่ว่าผมไม่ได้ใช้ตลอดหรอกนะฮะ ผมน่ะจะใช้เฉพาะตอนจำเป็นเท่านั้นแหละ จริงๆนะ เพราะว่าใช้แต่ละครั้งผมจะเหนื่อยมากๆเลยละ แต่ว่าในเมื่อพี่ชายรู้แล้วละก็…. ช่วยเก็บไว้เป็นความลับได้หรือเปล่าฮะะะ!!! ผมขอร้องละ!!!" มิทพูดขึ้นมาโดยจ้องมองไปที่ตาของมาร์ แต่มาร์ก็ไม่ได้เชื่อและใจอ่อน ทำตามมิทซะทีเดียว

"เอาเถอะ นายจะใช้ยังไงมันก็เรื่องของนายละนะ แต่ว่า นี้ถือว่าตอบแทนเรื่องที่นายเตือนเราเรื่องคนที่ตามเราละกัน"

"ขอบคุณฮะ พี่ชาย แต่ไม่ต้องห่วงนะฮะเรื่องคนที่ตามพี่ชาย ผมก็ยังคงจะตามให้ตลอดนะฮะ เพราะพี่ชายเป็นเพื่อนผมนี้เนอะ ฮ่าๆๆ"

มาร์ที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาเช่นกัน เขาเดินเข้าไปพร้อมกับตบไหล่มิทเบาๆ "อ่า…มิท เราของเตือนไว้นะว่า อย่าใช้ในที่แจ้งแบบนี้บ่อยนักละกันเดี๋ยวโดนคนผ่านไปมาจับได้ กับเวลาใช้อย่าปล่อยค้างตลอด ใช้เฉพาะตอนที่จะควบคุมจะประหยัดมานากว่านะ" คำพูดนั้นเป็นทั้งคำแนะนำและคำเตือนที่มาร์มีให้มิท

[ อะ… มาร์คุง? แบบนี้หมายความว่า.. ] "พี่ชายแบบนี้หมายความว่า…ยังไงน่ะฮะ" มิทหลุดพูดออกมาด้วยความสงสัย

"ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ นี้ก็เป็นการช่วยแนะนำเล็กๆน้อยๆ ในฐานะเพื่อนละกัน อ่า ยังไงวันนี้ก็ไม่มีอะไรต่อแล้วใช่มะ งั้นเรากลับก่อนละ" มาร์พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากออกไปแล้วมุ่งตรงกลับไปที่ตึกของเขา

ทิ้งให้มิทอยู่คนเดียว…..ไม่สิ อยู่กับผู้หญิงผมแดงคนหนึ่ง

"นี้เจ้าน้องชาย….บรรยากาศเมื่อกี้นี้มันอะไร อย่าบอกนะว่าแกเองก็…" เสียงนั้นดังขึ้นมาจากพุ่มไม้ข้างหลังมิท ซึ่งเจ้าของเสียงนั้นก็กำลังเดินออกมา…ประธานนักศึกษาคาริโลโล่

"แหมๆ เน่จังนี้ก็เล่นมุกเป็นเหมือนกันนะฮะ เน่จังก็รู้นิว่าพวกเราซัคคิวบัสไม่จับคู่กับเพศเดียวกันน่ะ หรือว่าเน่จังลืมไปแล้วอ่า?" มิทหันกลับไปมองด้วยการเงยหน้าและเอนตัวไปข้างหลัง ทำให้เขาเห็นพี่สาวของเขายืนกลับหัวอยู่ในสายตา

"หึหึ นั้นสินะ ยังไงแก ก็เป็นซัคคิวบัสนี้นะ ว่าแต่วันนี้คุยอะไรกับมาร์คุงบ้างละ….มิท" เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา และหายไปจากสายตาของมิท ก่อนที่อยู่ๆเธอจะไปยืนอยู่ด้านหน้าของมิท ทำให้เขาต้องตั้งตัวขึ้นมามองเธอ

"อืมมมมม ก็เรื่องเรียนของห้อง F แล้วก็พวกสไตล์การอยู่ของห้อง"ของ"ผมอ่ะนะ" มิทพูดขึ้นมาก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป คล้ายกับสีหน้าที่น่ากลัวของพี่สาวเขา

ดวงตาของทั้งสองคนนั้นแหลมคมเหมือนกับเยี่ยวที่ออกล่าเหยื่อ รอยยิ้มที่ฉีกถึงมุมปากอย่างสยดสยอง

"หึหึ แกเองก็ใช่ย่อยนะ มิท เล่นใช้พลังควบคุมห้อง F แล้วให้พวกนั้นเลือกวิชาเรียนสบายๆตามนิสัยแกนี้มัน…แก้ยากเลยนะมิท" คาริโลโล่พูดขึ้นมาพร้อมกับลูบคลำใบหน้าอันน่าสยดสยองของน้องชายของเธอ

"พี่เองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอฮะ พอเจอ"คนแห่งพันธะ" ก็กู่ไม่กลับถึงกับควบคุมสภาไว้เพื่อใช้งานให้ตนเองว่างพอมาตามสต็อกเกอร์มาร์คุงแบบนี้น่ะ" มิทพูดสวนกลับไปและมันก็แทงใจดำของคาริโลโล่ผู้เป็นพี่สาวมากๆ ถึงขั้นทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างน่ารังเกียจ

"ฮิ ฮิ ฮิ ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ปากกล้าเกินไปแล้วนะ..เจ้า…น้องชาย" เธอพูดจบ ก็มีมีดเล่มยาวโผล่ออกมาจี้คอหอยของมิท และคนที่ถือมันไว้ก็คือคาริโลโล่พี่สาวของเธอ

"แทงใจดำสินะฮะ พี่สาว เอาเถอะ ผมขอโทษละกัน ยังไงก็ตอนนี้พี่ก็ควรตามมาร์คุงไปนะฮะ ไม่งั้นเขาคงกลับเข้าห้องก่อนแน่ ไม่สิอาจจะกลับเข้าไปแล้วก็ได้ ด้วยแรงกายกับความสามารถระดับนั้นน่ะ…" มิทพูดขึ้นมา และคำพูดนั้นมันก็ไปจี้จุดบางอย่างของคาริโลโล่

เธอยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เขินอาย เลือดนั้นสูบฉีดจนหน้าของเธอกลายเป็นสีแดงจากแก้มไปจนถึงหู

"นั้นสินะ ขอบใจทีเตือนนะมิท งั้นพี่สาวคนนี้ขอตัวละนะ" คาริโลโล่เดินจากมิทออกไปอย่างรวดเร็ว และเธอเองก็มุ่งหน้าไปทางเดียวกับที่มาร์กลับไป

ตอนนี้มิทจึงอยู่คนเดียวในลานกว้างสำหรับนักศึกษาห้อง F เขากลับมาเป็นมิทที่ทำตัวเฉื่อยชาแบบเดิม และเดินออกจากที่นั้นกลับไปที่หอใน โดยคิดตลอดทางว่า

[ ยังไงตอนนี้มาร์คุงก็ยังไม่ควรรู้เรื่องที่พวกเรา…..มีอีก บุคลิกที่น่ารังเกียจละนะ เราที่เป็นผู้ชายมีนิสัยชอบควบคุม แต่พี่สาวนี้สิที่เป็นซัคคิวบัสเลือดแท้….ที่ถ้ารักใครขึ้นมาตามติดยิ่งกว่าอะไรอีก หวังว่าตอนนี้มาร์คุงคงกลับเข้าห้องแล้วนะ หวังว่า….อย่างน้อยเพื่อนคนแรกจริงๆของเราคงไม่เป็นอะไรหรอกนะ ]

….

วิชา"คณิต" นั้นคือวิชาที่เกี่ยวกับตัวเลข ที่มาร์รู้จัก

แต่ที่ห้องนี้ วิชา คณิต คือ วิชา การพนันพื้นฐาน โดยเหตุผมของการมีวิชานี้คือการออกแบบหลักสูตรของแต่ละห้องจะไม่เหมือนกัน ในห้อง F นี้คนส่วนใหญ่เป็นมนุษย์และบีสต์โฟค์ พวกเขาเลยไม่สามารถเรียนวิชาที่ใช้มานาเยอะๆ หรือวิชาที่ต้องใช้หัวคิดมากๆได้ อย่างวิชา วิทยาศาสตร์การสกิล เป็นต้น

หลังจากมาร์ที่ได้คุยมิท แล้ว เขาก็ได้รู้ว่าที่หลักสูตรปกติ นักศึกษาจะเป็นคนตกลงกับอาจารย์เองว่าจะเรียนวิชาอะไรบ้าง ที่อาจารย์จะเสนอมาในคาบแรกของภาคเรียน

และมันก็เป็นเพราะอาจารย์ประจำชั้นพูดปั่นนักศึกษาจนทุกคนยกเว้ยมิท…โหวตให้มีเรียนวิชาการ คณิต (พนันพื้นฐาน) ของ อาจารย์มันจา เผ่าลิฟวิ่งแกมบริ่ง

"เอาละนะคะ นักศึกษาขาาา วันนี้เราจะมาฝึกคิดเลขสูงต่ำกันนะคะ ใครพร้อมก็ลงเงินได้เลยค่ะ….เอ๋ นักศึกษาตรงมุมห้องนั้นไม่คุ้นเลยนะคะ พึ่งมาเรียนเหรอออ???…เดี๋ยว น้า…" อาจารย์มันจาที่ว่าหันมามองมาร์ที่อยู่ตรงมุมห้อง เธอสงสัยตาที่ตอนแรกแค่สงสัย แต่พอเธอเห็นเครื่องแบบของมาร์แล้ว ในหัวก็เริ่มที่จะรวนไปหมด

อาจารย์มันจา เป็นเผ่าลิฟวิ่งแกมบริ่ง ที่มีสีตาแดงอ่อนๆเหมือนคนไม่ได้ และผมสีดำซีดๆที่ขาดการดูแล เธอสวมเครื่องแบบอาจารย์อย่างไม่เรียบร้อยเหมือนกับอาจารย์ท่านอื่น อีกทั้งมันจาเองก็ดูเหมือนจะติดการพนันมากเกินไปจนชอบกัดปากให้เลือดไหลตอนทอยลูกเต๋าทุกที

[ดะ ดะ ดะเดี๋ยว!!นะ นะ นะ นั้นมัน!! เด็กหลักสูตรพิเศษนิ ยะ แย่แล้ว!!! นี้มาทำอะไรที่ห้อง F เนี้ย!!! หวาๆๆๆ ถ้าไปทำให้ เขาไม่พอใจมีหวัง โดนไล่ออกแน่ โอ๋บ่อนจ๋า ชั้นคงไม่ได้ไปหาเธออีกแล้ว ] มันจาตกใจจนเผลอทำลูกเต๋าในมือทั้ง3 ลูกตกลงพื้น แต่ด้วยสัญชาตญาณของเธอ

มันจาก้มดูลูกเต๋าที่กำลังกลิ้งๆ อยู่ แล้วเริ่มกัดปากตัวเองจนเลือดออก …*กลุก**กลุก* จนลูกเต๋าทั้ง สามหยุดลง

[1][1][1] "โอ้วววววววววว ซวยยยยยยยยแล้ววววว" เธอตะโกนออกมาพร้อมกับลงไปคุกเข่ากับพื้น เหล่านักศึกษาก็ต่างมองไปที่เธอ แล้วก็พากันยกมือขึ้นมาทาบอกไว้อาลัยให้กับความซวยนั้น

"เอ่อ….มิท อาจารย์ท่านเป็นอะไรเหรอนั้น อยู่ๆก็ลงไปคุกเข่าแบบนั้น อย่างงี้จะสอนไหวเหรอ?" มาร์ถามมิทที่ตอนนี้กำลังกลิ้งลูกเต๋าของเขาบนโต๊ะไปมาอยู่อย่างขี้เกียจ

"พี่ชายยย ไม่ต้องไปกังวลหรอกกฮะ อาจารย์แกก็เป็นแบบนี้แหละ พอทอยได้เลขกากๆ ก็จะลงไปอยู่สภาพนั้นแหละฮะ เดี๋ยวพี่อยู่ไปสักพักก็จะชินเองแหละ" มิทยังคงกลิ้งลูกเต๋าบนโต๊ะไปมาอย่างเฉื่อยชา โดยไม่สนที่จะหันไปมอง อาจารย์มันจา

หลังจากนั้นก็ไม่ใช่การสอนเลย สิ่งที่มาร์เห็นคือ อาจารย์มันจาแก แค่มาเปิดบ่อนสูงต่ำ ในโรงเรียนโดยนักเรียนที่เรียนต่างพากันลงเงินเล่น แถมวิชานี้เรียน 2 ชั่วโมง มันจึงกายเป็นการแทงสูงต่ำ 2 ชั่วโมงติด

ถ้าถามว่าอาจารย์มันจาสอนอะไรไหม คำตอบก็คือสอน แต่สอนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับวิชาคณิตเลย ตั้งแต่เธอให้นักศึกษาฟังเสียงลูกเต๋าบ้างละ สอนการทอยแบบกำหนดสูงต่ำบ้างละ แล้วก็ใช้ไอ้ที่สอนกินเงินนักศึกษา จนไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมห้องนี้ถึงเรียกว่าห้อง F

"โอ๊ยยยย โดนจารย์กินอีกแล้วววว นี้หมดไป 10 ซิลเวอร์แล้วนะ พอแทงต่ำออกสูงแทงสูงออกต่ำตลอดเลยอ่าาา " นักศึกษาหญิงเผ่มนุษย์คนนึงพูดออกมาจากวงล้อมที่อาจารย์มันจา กำลังทอยลูกเต๋าเป็นเจ้ามืออยู่

"เอาน่า นักศึกษาคนเราก็มีโชคร้ายโชคดีบ้าง นี้อาจารย์นะไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคเลย ถ้าเจอแบบนักศึกษาอาจารย์แทงเพิ่มแล้ว แปปๆเดี๋ยวก็ได้กำไรน่าาา ลองคิดดูสิคะ ว่าแทง 20 ได้คืน 35 เลยนะเออ" อาจารย์มันจาพูดออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย

[ อืม….เป่าหูนักศึกษา แบบนี้ทำไมยังอยุ่สอนที่โรงเรียนได้อีกเนี้ย ช่าง เหอะ ไหนก็เด็กมันอยากเสียก็ห้ามไม่ได้ละนะ เราเองก็ลองลงไปเล่นด้วยดีกว่าสักตาละกัน…] มาร์คอดแบบนั้นก่อนจะเดินลงไปที่วงล้อมนั้น โดยทิ้งมิท ที่ตอนนี้นอนน้ำลายยืดอยู่ที่โต๊ะไว้คนเดียว

"อาจารย์ครับ…ผมขอลองเล่นด้วยได้หรือเปล่าครับ" มาร์ที่ลงมาถึงก็พูดออกมา ก่อนที่จะเอามือล้วงหยิบเงินในกระเป๋า

"ได้สิ ได้สิ ใครอยากเล่นก็วางเงินเลยค้าาาาาา ต่ำสุด 1 ซิลเวอร์ สูงสุดเท่าไหร่ก็ได้ค้าา ชนะสูงต่ำคูณ 1.5 ชนะเลข คูณ 3 ค้าาาา" มันจาพูดออกมาโดยไม่รู้ว่าเสียงของคนที่มาร่วมเล่นนั้นคือหายนะของเธอ

*กริ๊ง* *กริ๊ง* *กริ๊ง* *กริ๊ง* *กริ๊ง* เสียงเหรียญขนาดใหญ่ตกกระแทกกับพื้นที่ข้างหน้ามันจา มันเป็นเหรียญสีทองเงาวับ จำนวน 10 เหรียญ

ตอนแรกที่เธอเห็นก็คิดว่า [ เสร็จชั้นละ แบบนี้ไปบ่อนสบายๆหลายเดือนแหงๆ ฮิฮิฮิ ไหนขอดูหน้าคนโ…ง่… อ่า แย่ละสิ ] หลังจากที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นมาร์อยู่ตรงหน้า เธอกัดปากตัวเองทันที

"อาจารย์ครับ เล่น 3 ลูกแบบนี้ สงสัยผมต้องลงเพิ่มแล้วละ" มาร์พูดจบก็หยิบเหรียญทองออกมาอีก 20 เหรียญและปล่อยมันลงที่หน้ามันจา เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งอีกครั้ง

"งั้นมีใครจะลงเพิ่มอีกหรือเปล่าจ้ะ นักศึกษา ไม่งั้นอาจารย์จะเริ่มแล้วนา แบบว่า รอบนี้เงินทุนมันเยอะ ขอคูณ ชนะสูงต่ำ 2 เท่า แล้วก็ ชนะเลข 6 เท่า ถ้าเลขถูกหมด 3 เลข 16 เท่าไปเลยละกันนะคะ มีใครสนหรือเปล่า ฮัลโหลลลล" แต่ว่าไม่มีใครกล้าวางเงินเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้คนที่เดิมพันจึงมีแค่ มาร์ กับ มันจาเท่านั้น

[ ขอโทษนะ เด็กน้อย ชั้นขอรับเงิน 30 โกลล์นี้ไปละกันนะเด็กน้อยย ] มันจาเริ่มเขย่าโหลใส่ลูกเต๋าอย่างรวดเร็ว และวางมันลง เธอรู้ว่าข้างในนั้นคือเลขอะไร เพราะว่า….ลูกเต๋าที่เธอใช้ มันก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ

[ อืมเลข [6][2][6] สูงสินะ ดูสิว่าเด็กหลักสูตรพิเศษจะเลือกอะไร….อ่า ไม่จริง.. ] เธอยิ้มออกมาพร้อมกับมองไปที่เด็กคนนั้น แต่ว่าสิ่งที่เธอเจอคือ เขาเอาลูกเต๋า สองลูกมาวางข้างหน้าเธอและตั้งเลขมันแบบเดียวกับที่อยู่ในโหลนั้น

"[6][2][6] แบบนี้ก็สูง สินะครับ แหมๆ หวังว่าจะถูกนะครับ" มาร์มองไปที่มันจา โดยตอนนี้เขาได้ใช้สกิลนึงที่ขโมยมาจาก พ่อ นั้นคือ

สกิล [ สอบสวน ระดับ 4 ] ที่จะบอกว่าคนนั้นพูดจริงหรือไม่ แต่ว่าด้วยการที่ขโมยมาแล้วพัฒนาต่อจึงกลายเป็น [ เผยใจจริง ระดับ 6 ] ที่จะบอกถึงข้อมูล "ตัวเลข" "จำนวน" "ความคิดบางส่วน" ออกมาด้วย

[เดี๋ยวนะ….ไอเด็กนี้ เดาถูก แบบนี้ถ้าขืนเปิดออกมามีหวัง หมดตัวแน่ แย่ละสิ แย่ละสิ!!! ถึงจะไม่อยากทำแบบนี้ก็เถอะ สกิลลับของชั้นที่ปีนึงใช้ได้ครั้งเดียวคงต้องใช้มันแล้ววว ขอโทษนะะะ] มันจาที่คิดแบบนั้นก็เริ่มลงมือเปลี่ยนหน้าลูกเต๋าตามที่เธอต้องการทันที

[1][4][1] นั้นคือเลขที่เปลี่ยนไป แต่ว่าตอนที่ทำนั้นมาร์เองก็ไม่ได้ ทำอะไรเขาเอาแต่นั่งรอและยิ้ม

[[1][4][1]!! เสร็จชั้นละ 30 โกลล์นี้] "โอ๊สสสสสส" มันจายกโหลขึ้นแล้วลูกเต๋านั้นก็เปิดหน้าออกมาให้ทุกคนที่มามุงดูอยูได้เห็น

[6][2][6] นั้นคือเลขที่ลูกเต๋าหงายอยู่

"ไม่จริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!!!" อาจารย์มันจาตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง แต่เด็กตรงข้ามเธอกลับมองเธอด้วยสายตาเยาะเย้ย

"ไม่จริงอะไรครับอาจารย์มันจา แบบนี้ผมก็ชนะสินะครับ 30 16 เท่า แบบนี้ก็ 480 โกลล์สินะ แหมมม วันนี้โชคดีจริงๆเลย แถมได้ฝึกคิดเลขในวิชาคณิตอีก ดีจังเลยนะครับอาจารย์มันจา " มาร์พูดเยาะเย้ยมันจาที่ตอนนี้ลงฝุบลงไปกับพื้นแล้ว

[เราก็คิดว่าจะไม่ตุกติกที่ไหนได้ เล่นเปลี่ยนเลขกันดื้อๆเลย ดีน้าเราเห็นว่ามันเปลี่ยนเลยเปลี่ยนกลับด้วยสกิลของอาจารย์เอง ชื่อว่าอะไรน้า… อ๋อ [ [EX] พลิกแพลงผลลัพธ์(ลูกเต๋า) ] ไม่สิตอนนี้ต้องเรียกว่า [ [EX] ล็อกผลลัพธ์(ลูกเต๋า)] สิถึงจะถูก ]

มาร์นั้นใช้สกิลดูข้อมูลของอาจารย์ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย และยังใช้มันเปิดเผยเลขลูกเต๋าโดยอ่านจากความคิดบางตอนของอาจารย์มันจา และพอรู้ว่ามาสกิลแบบนั้นเขาจึงขโมยสกิลมาและพัฒนามันไปก่อนที่จะใช้มันกับลูกเต๋าข้างในนั้น

[นี้ถ้าอาจารย์มันจา เป็นคนไม่คิดอะไรในหัวนะ เราอาจจะเสีย 30 โกลล์ไปแล้วก็ได้ ดีจริงๆเลยแหะ สกิลของพ่อเนี้ย] มาร์ยังรอมันจาตอบกลับแต่ดูเหมือนว่าเธอจะหมดสติไปแล้ว

10 นาทีผ่านไป มันจาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา นักศึกษาคนอื่นเลยแยกย้ายกันไปเล่นพนันตามจุดต่างๆในห้อง เพราะตัวแม่ดันหมดสภาพไม่สามารถเดินเกมต่อได้อีก

"อ่า อาจารย์ครับยังไงรบกวนช่วยเซ็นต์ตรงนี้ได้หรือเปล่าว่าจะรับผิดชอบหนี้แพ้พนัน จำนวน 480 โกลล์ กำหนดชำระ ภายใน 1 ปีนี้ ถ้าไม่ได้จะทำงานรับใช้ผมไถ่หนี้ เอาแบบนี้ดีไหมละครับ อาจารย์มันจา" มาร์ยื่นกระดาษที่เขาเขียนให้กับมันจาที่สลบอยู่

[อืม…. เอาไงดีน้า ใช่ๆ!! แบบนี้ละกัน] มาร์คิดขึ้นมาได้ก่อนจะลงไปนั่งยองๆแล้วกระซิบข้างหูมันจาเบาๆว่า

"ถ้าอาจารย์ไม่อยากให้ผมฟ้องครูใหญ่ เรื่องที่อาจารย์โกงนักศึกษาด้วยการควบคุมลูกเต๋าและก็ยังชักชวนให้นักศึกษาติดการพนันอีกต่างหากถ้าไม่รีบลุกมาละก็….สงสัยผมคงต้องไปจริงๆแล้….." เสียงกระซิบนั้นดังเข้าไปยันจิตวิญญาณของมันจา เธอสะดุ้งตื่นขึ้ยและนั่งคกเข่าต่อหน้ามาร์อย่างเรียบร้อย

"รับทราบค่ะ!! ตื่นแล้วค่ะ!!! จะให้ทำอะไรบอกมาได้เลยค่ะ!!! ท่านนักเรียนหลักสูตรพิเศษ!!!" มันจามองไปที่มาร์อย่างตั้งใจ เธอนั่งคุกเข่าหลังตรง ทั้งยังใช้มือจัดเสื้อผ้าของตนเองจนเรียบแล้ว และวางมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าตักของตนเอง

"งั้นรบกวนเซ็นต์รับทราบว่าอาจารย์เป็นหนี้ผม 480 โกลล์ตรงนี้ได้เลยครับ อ่า..ยังไงอ่านข้อสัญญาก่อนนะครับ แล้วค่อยเซ็นต์" มาร์พูดเตือนมันจาพร้อมกับลงไปนั่งคุกเข่าแบบเดียวกับที่มันจาทำ เขายื่นเอกสารสัญญาสีขาวให้มันจา

ในนั้นระบุว่า มันจาเป็นหนี้มาร์ 480 โกลล์ กำหนดชำระคือก่อนมาร์ขึ้นปี 2 หากทำไม่ได้จะชำระหนี้ด้วยการเป็นคนรับใช้ของมาร์ จนกว่าจะชดใช้หนี้จนหมด โดย 1 โกลล์นั้นเทียบเคียงราคาคือเวลาทำงาน 3 เดือนภายใต้สัญญานี้

มันจาที่เห็นก็คิดว่า [ ถ้าไม่เซ็นต์มีหวัง เด็กคนนี้ไปฟ้องครูใหญ่ แล้วเราโดนไล่ออกแหงๆ แบบนี้โอกาสหาเงินมาเข้าบ่อนกับใช้หนี้ก็จะไม่มีเลยอ่ะดิ โถ่เว้ยยยย เอาก็เอา ดีกว่าโดนไล่ออกละนะ ] มันจายอมเซ็นต์ชื่อลงกระดาษนั้น

พอมาร์รับมาเสร็จ เขาก็เซ็นต์ชื่อเช่นกัน ก่อนที่กระดาษสัญญาจะม้วนตัวและประทับตาตัวเอง แสงสว่างขจึ้นจากสัญญานั้นและแยกมันออกมาเป็น 2 ฉบับ มาร์หยิบมันขึ้นมาจากพื้นแล้วยื่นฉบับหนึ่งให้มันจา

"วันนี้สนุกดีนะครับ ยังไงคราวหน้าผม"อาจจะ" มาเล่นอีก ถ้ามีโอกาสนะครับ" มาร์พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ได้ทำให้มันจารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

"คะ ค่ะ ยังไงก็คราวหน้าช่วยเบาๆมือหน่อยนะคะ ไม่งั้นชั้นแย่แน่ๆเลยค่ะ ไม่สิตอนนี้ก็แย่แล้วนิน่า เห้ออ" มันจาถอนหายใจก่อนจะเก็บหนังสือสัญญาเข้ากระเป๋าของเธอ

"งั้นเหรอครับ เอาแบบนี้ละกัน ผมให้นี้ไปเป็นต้นทุนหาเงินมาใช้คืนผมละกันนะครับ" มาร์วางเหรียญทอง 3 เหรียญลงตรงหน้าของมันจา

"คิดซะว่า เป็นค่าลูกเต๋าก็ได้นะครับอาจารย์มันจา อ่า ผมลืมแนะนำตัวเลย ผมชื่อ มาร์ ซันเบิร์น นักศึกษาหลักสูตรพิเศษ ยินดีที่ได้ทำความรู้จักและร่วมเล่นเกมนะครับ" มาร์ยื่นมือออกไปหามันจาที่ตอนนี้ยืนจ้องมองเหรียญทองที่อยู่ตรงหน้าของเธอ

"ค่ะ!!! ดิชั้น มันจา ไดซ์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ นายน้อย!!!" เธอตะโกนออกมาพร้อมกับก้มหัวและกุมมือของมาร์

"ไม่ต้องเรียกผมว่านายน้อยก็ได้นะครับ อาจารย์มันจา ยังไงก็อย่าลืมเรื่องหาเงินมาใช้ตามสัญญาด้วยนะครับ เดี๋ยวผมขอขึ้นไปนั่งพักก่อน อาจารย์เองก็ขอให้สนุกกับสอนนะครับ" มาร์เดินกลับขึ้นไปหามิทที่ตอนนี้นอนตกเก้าอี้ไปแล้ว

"ค่ะ ท่านมาร์ ดิชั้นมันจาจะหาเงินมาใช้คืนให้ได้ค่ะ!!" เธอพูดจบก็กลับมาเปิดบ่อนแทงสูงต่ำอีกครั้ง

เวลาผ่านไป เสียงออดก็ดังขึ้น หมดเวลาเรียนคาบเช้าของวันนี้ อาจารย์มันจาก็ปล่อยให้นักศึกษาได้ไปทานข้าวเที่ยงกัน ส่วนมาร์ก็พยายามปลุกมิทให้ตื่นเพราะเขายังจำคำเตือนได้ว่า ไม่ควรไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ปลุกเท่าไหร่มิทก็ไม่ยอมตื่น เขาจึงต้องรอจนกระทั่ง ออดพักกลางวันดังขึ้นเพื่อให้รู้ว่าคาบบ่ายจะเริ่มขึ้นแล้ว

"ฮาวววววว อ้าว นี้ผมนอนเพลินไปหน่อยแฮะ ช่างเถอะ อ่าพี่ชาย ได้ไปกินข้าวมาหรือยังละฮะ?" มิทถามมาร์โดยที่เขากำลังเอาผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าของตัวเองอยู่

"ได้กินก็แย่และ นายบอกว่าเราไม่ควรไปไหนมาไหนคนเดียวก็เลยนั่งรอนายตื่นจนหมดพักเที่ยงนี้แหละ เห้อออ อดกินข้าวเลยเนี่ย ให้ตายเถอะ!" มาร์พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ ที่เขาต้องมานั่งรอมิทตื่นจนอดกินข้าวเที่ยง

"อืมมมม แล้วทำไมพี่ชายไม่ไปชวนเอเลนจังไปกินข้าวละฮะ ห้องเรากับเขาอยู่ห่างกันนิดเดียวเอง เดินไปไม่มีใครทำอะไรหรอกนะฮะ พี่ชาย" มิทพูดสิ่งที่มาร์ลืมออกมา ทำให้มาร์ถึงกับเครียดเลยว่า เขาลืมไปได้ยังไงกัน

[นั้นดิ ทำไมเราลืมเอเลนไปได้เนี้ยยยยยย โอ้ยยย หิวข้าวเว้ยยยยยย] *โครกกกกก* เสียงท้องร้องดังออกมาจากกระเพาะของมาร์

"อุ๊บส์…เอาเถอะฮะพี่ชาย เดี๋ยวคาบบ่ายเราต้องไปเรียนวิชาพละกันที่โรงยิม พี่ชายเองก็แวะซื้อของอะไรมากินรองท้องไปก่อนก็ได้นะฮะ เพราะว่าที่ห้อง F นี้ไม่มีจริงจังอะไรสักอย่างเลยละฮะ ฮ่าๆๆๆ" ว่าแล้ว มิทก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำมาร์ไปที่โรงยิม เพื่อไปเรียนวิชาพละ…ละมั้งนะ

[ ห้อง F ไม่จริงจังสักอย่าง? แบบนี้โรงเรียนได้ชื่อว่าเป็นที่สุดของการสอนได้ไงวะคับ? ]

….

*เสียงประกาศตามสายว่าตอนนี้เวลา 7นาฬิกา 30 นาทีดังขึ้น* มาร์นั้นมาถึงตึกเรียนทันเวลา และทานข้าวเช้าได้ทันพอดี

ที่โรงอาหารของโรงเรียนคอลลาจ จะมีการขายอาหารไม่เหมือนโรงเรียนอื่น ที่นี้ใช้ระบบโกเล็มขายอาหารดังนั้นมันจึงคล้ายๆตู้กดอัตโนมัติที่ทำอาหารสดใหม่ในทันที แล้วด้วยระบบนี้เอง คนนอกก็ไม่สามารถเข้ามาสั่งอาหารกินได้ เพราะโกเล็มจะทำตามสั่งของนักเรียนในระบบเท่านั้น

ซึ่งนักเรียนแต่ละคน จะมีสิทธิ์สั่งอาหารได้ตามใจชอบ แต่ก็มีราคาเช่นกัน ตามวัตถุดิบที่ใช้ เช่น เช้านี้มาร์สั่งแซนวิชเบค่อน กับ นม ก็มีราคาอยู่ที่ 1 ซิลเวอร์ แต่นักเรียนข้างมาร์ที่สั่ง สลัดผักออแกนิค น้ำส้มคั้น ที่เป็นวัตุดิบสดใหม่พิเศษ ก็เลยเสียเงินไป 3 ซิลเวอร์

สกุลเงินที่นี้เหมือนกับในนิยายที่มาร์เคยยืมเพื่อนอ่าน เงินเริ่มที่ ตระกูล บลอนซ์ ที่เป็นค่าต่ำสุด 1000 บลอนซ์ เท่ากับ 1 ซิลเวอร์ และ 1000 ซิลเวอร์เท่ากับ 1 โกลล์

"นึกว่าจะไม่ทันได้กินข้าวแล้วนะเนี้ย ต่อไปก็ ห้อง F ห้อง F สินะ ทางไหนหว่า" มาร์เดินหาห้องเรียนที่เขาอยากไปลองนั่งวันนี้ที่ทางเดินอาคารเรียนปี 1

ระบบห้องนั้น เรียงจาก คะแนนที่ได้ตอนสอบเข้า และตอนสอบปลายภาค ทว่านักศึกษาบางคนที่ได้คะแนนดีมากๆ ก็สามารถเลือกที่จะอยู่ห้องไหนก็ได้ตามใจชอบ เพราะเป็นสิทธิ์ที่ครูใหญ่มองว่า สมควรได้รับเป็นรางวัลจากความพยายาม

โดยที่รอบๆนั้น เหล่านักศึกษาปี 1 เอง ก็มองมาร์ ด้วยสายตาแปลก เพราะว่า ไม่มีใครคิดว่านักเรียนหลักสูตรพิเศษจะมาเดินในชั้นปีที่ 1 นี้

"มาร์จังงง อรุณสวัสดิ์ วันนี้เธอก็มาเรียนด้วยเหรอเนี้ย แปลกจังน้า" เสียงนั้นดังขึ้นจากข้างหลังมาร์ เป็นเสียงที่มาร์คุ้นเคยดี

"อ้าว ดี ดี เอเลน เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งแต่เปิดภาคเรียนเลยนินะ ว่าแต่ รบกวนเรียกผมว่า มาร์คุงจะดีกว่านา แบบว่า มาร์จังเนี่ยผมอนุญาตแม่คนเดียวเท่านั้นแหละที่จะเรียกได้อ่ะ"

มาร์หันกลับไปหาเอเลนที่อยู่ข้างหลัง และเขาก็เดินเข้าไปหาเธอ ใกล้ๆและกระซิบข้างหูเอเลนด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่มีแรงกดดันบางอย่างอยู่

ใช่ มาร์นั้นไม่ชอบให้ใครมาเรียกเขาแบบเรียกผู้หญิงสักเท่าไหร่ ตัวมาร์นั้นจะอนุญาตให้คนที่จะเรียกชื่อเขาตามใจชอบได้ก็ต่อเมื่อเขานับถือคนนั้นหรือรักคนนั้นจริงๆ แบบที่ พ่อกับแม่ที่เรียกเขาว่า"มาร์จัง"

"เอ…ขอโทษน้า มาร์จั…คุง คือว่าเราเรียกเธอแบบนี้เพราะมันเข้ากับเธอมากอ่ะ จริงนะๆ เราขอโทษษษษ" เอเลนตอบกลับด้วยความสำนึกผิด เธอพึ่งจะรู้ว่ามาร์ไม่ชอบที่เธอไปเรียกเขาว่า..จังแบบนั้น

"เอาเถอะๆ เรื่องผ่านๆมาแล้วอย่าไปกังวลเลย ว่าแต่เอเลนอยู่ห้องไหนนะ? S ปะ ถ้าจำไม่ผิด" มาร์พยายามเปลี่ยนประเด็นเพื่อให้เอเลนรู้สึกดีขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผล สีหน้าเธอดีขึ้น เขาถอยห่างออกมาแล้วกลับมาคุยแบบปกติ

"อื้ม!! เราอยู่ห้อง S ละ เป็นหัวหน้าห้องด้วย มาร์ละจะไปไหนเหรอ หลักสูตรพิเศษนิ ปกติไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ไม่ใช่อ๋อ???" เอเลนถามพร้อมกับเอียงหัวไปมาด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นแต่ว่าหน้าเธอก็เริ่มแดงขึ้นมาแปลกๆ

"ผมน่ะเหรอ กะว่าจะมาดูวิธีการเรียนการสอน กับนั่งฟังบรรยายเพื่อจะได้ไอเดียไปทำวิจัย ตอนนี้ก็เลยกะว่าจะไปห้อง F ก่อนแล้วค่อยคิดอีกที ทำไมเหรอเอเลน?" มาร์ถามเอเลนเพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าทำไมเธอจึงสนใจว่าเขาจะไปเข้าเรียนทำไม

"แหมมม เสียดายจัง นึกว่ามาร์คุงจะมาเข้าห้อง S ซะอีก งั้นเราไม่กวนมาร์คุงละ โชคดีกับการหาไอเดียน้า" เอเลนเธอพูดจบก็วิ่งออกไปพร้อมกับใบหน้าที่เขินอาย ผิดกับตอนที่เธอเข้ามาทักมาร์

[วันนี้ทำไมมาร์จัง…..ไม่สิมาร์คุง ดู..เท่ห์จัง] นั้นคือความคิดของเอเลนที่ตอนนี้หน้าแดงสุดๆไปแล้ว

"เอเลนจังวันนี้ก็ดูร่าเริงดีนะ นายว่างั้นไหมละฮะ พี่ชาย" เสียงนั้นมาจากข้างๆมาร์ เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มผมสีเงินหูยาว ตาสีเงิน สวมแว่นกลม และต่างหูขนาดใหญ่

"เออ ไม่ทราบว่านายเป็นใครเหรอครับ?" มาร์หันไปถามเด็กผู้ชายคนนั้นพร้อมกับความคิดในหัวว่า [ อะไรของหมอนี้วะครับเนี้ย อยู่ก็เดินเข้ามาแล้วเรียกเราว่าพี่ชายแบบนี้อ่ะนะ? ]

"แหมๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ชายนะฮะ ฮ่าๆ ผมไม่ถือๆ อ่าใช่ๆ ผมชื่อ เคอมิท ดรีมชามเมอร์ ฮะ เรียกมิทเฉยๆก็ได้ ผมเป็นน้องชายของท่านประธานน่ะฮะอยู่ปี 1 ห้อง F ยินดีที่ได้รู้จักฮะ พี่ชาย" เขาพูดกับมาร์ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่น้ำเสียงที่เฉื่อยๆ ช้าๆ

"อ๋อเหรอ เราชื่อ มาร์ ซันเบิร์น ยังไงนายก็คงรู้สินะว่าเราอยู่หลักสูตรพิเศษ แต่ว่าเราไม่ค่อยสนเรื่องสถานะด้วยสิ แต่ว่ายินดีที่ได้รู้จักนะมิท ว่าแต่ทำไมนายถึงเข้ามาหาเราแบบนั้นละ แล้วเรียกเราว่าพี่ชายอีก?" มาร์ถามด้ยความสงสัยเพราะเขาไม่ไว้ใจมิทสักเท่าไหร่

โดยไม่รู้เลยว่า มิทนั้นตอนนี้กำลังคิดว่า [ ต้องรีบพา มาร์คุงออกจากที่นี้เดี๋ยวนี้แล้วสินะ ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้ว่า มีบางอย่างตามแอบมองอยู่บนเพดานนั้น ]

มิทเหลือบขึ้นไปมองเพดานบริเวณทางเดินที่เขากับมาร์อยู่ ที่นั้นมีช่องเล็กๆที่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นเส้นผมสีแดงห้อยลงมา พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักอยู่บนนั้น

"พี่ชาย เอางี้ ผมได้ยินว่าพี่จะไปเข้าห้อง F ใช่ม้าาฮะ ก็ระหว่างที่เดินไปผมก็จะเล่าไปด้วยละกัน" มิทพูดจบเขาก็เดินนำมาร์ทันที มาร์เองก็ไม่ได้คิดอะไรแต่ก็ยังแอบระวังตัวอยู่เหมือนกัน ก่อนที่จะเดินตามมิทไป

"อืมม แบบนี้….กว่าเน่จังจะตามมาทันก็อีกสักพักสินะ มาร์คุง คือว่า ตอนนี้มาร์คุงกำลังโดนบางสิ่งตามตัวอยู่น่ะ ยังไง ช่วงนี้พยายามอย่าอยู่คนเดียวจะได้หรือเปล่าตอนที่ออกมาข้างนอกอาคารของมาร์คุงน่ะฮะ"

มิทพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาจนมีเพียงมาร์ที่ยืนข้างๆเท่านั้นที่ได้ยิน

[คำเตือน? เรื่องอะไร? เดี๋ยวนะหรือว่าเราจะโดนหมายหัวตั้งแต่วันแรก แล้วมีคนมาดักตีเรา!! แบบนั้นมันอาชญกรรมเลยนะนั้น ถึงเราจะสวนกลับได้แต่ไม่มีเรื่องจะดีกว่าหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนะเห้ย นี้พึ่ง 5 วันเองหลังจากเปิดภาคเรียนนะสึส จะมาดักตีหัวแบบนี้ไม่ได้!!!]

มาร์ตั้งใจฟังมิทขึ้นมาทันทีที่เขาพูดเรื่องนี้ เพราะมาร์เองก็รู้สึกตัวว่า การที่เขาอยู่หลักสูตรนี้จะต้องสร้างความอิจฉาในหมู่นักศึกษาแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้

"แล้วก็นะ ที่ผมพูดเนี้ย เพราะผมเห็นหรอกนะฮะ ผมเลยพูดได้ คือเมื่อเช้า… ตอนออกจากห้องที่หอใน ผมไปเจอ"คน"แปลกๆ แอบตามพี่ชาย ตอนแรกผมก็คิดว่าไม่มีอะไรหรอก จนกระทั่งอยู่ๆ "คน""คน"นั้นก็ไปยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าตึกพี่ชายด้วยท่าทางแปลกๆละ แบบว่าไงดี อยู่ๆก็ หายใจเสียงดัง ฝืดฝาดอยู่หลายนาทีเลย " มิทพูดพร้อมกับแสดงท่าทีประกอบ แล้วมันก็ทำให้มาร์รู้สึกได้ว่า

[ อ่า….ชีวิต กุข้า อยู่ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัยแล้วสินะ ]

"แบบนี้ เราควรจะอยู่ในห้องดีกว่าออกมาข้างนอกสินะ แบบนั้นจะปลอดภัย….." มาร์พูดขึ้นมาเพราะคิดว่าอยู่ในห้องเขาก็ไม่ด้แย่อะไร แค่จะมีไอเดียวิจัยน้อยลงเท่านั้นเอง

แต่ว่าอยู่ๆ มิทก็เดินเข้ามาเขย่ามาร์พร้อมกับพูดเสียงดังด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนว่า " ไม่ได้นะฮะพี่ชาย!!! ถ้าพี่ชายไม่ออกมาข้างนอกเลยเดี๋ยวโรงเรียนจะมีปัญหาเอานะฮะ!!! " แต่ในหัวของมิทนะเหรอ

[ถ้ามาร์คุงไม่ยอมออกมาละก็….พวกสภานักเรียนได้มารังควานชีวิตผมตั้งแต่เช้าจดเย็นแหงๆ แบบนั้นไม่เอานาาา ถ้าเป็นแบบนั้นก็อดทำตัวเฉื่อยๆในโรงน่ะสิ อุตส่าห์เลือกห้องเรียนง่ายๆแล้วแท้ๆแย่ที่สุดเลย!!]

"งั้นเหรอ…. มันก็จริงละนะถ้าไม่ออกจากห้องเลย มีหวังโรงเรียนโดนมองว่ากักเราไปเป็นแรงงานทาสแหงๆ เนอะ มิท?" มาร์คิดแบบที่เขาพูดจริงๆ เพราะว่านักเรียนที่ตอนนี้ดังระดับประเทศอยู่ๆก็ไม่ยอมออกจากห้อง สิ่งที่แรกที่คนจะสงสัยก็คือโรงเรียนนี้แหละ

"ชะ ใช่แล้วฮะ ไม่งั้นโรงเรียนจะมีปัญหาเอาด้วย อีกอย่างถ้าพี่ชายออกมา แล้วไม่กล้าไปเดินคนเดียวก็บอกผมไม่ก็ เอเลนจังก็ได้นะฮะ ผมว่าเธอน่าจะยินดีที่จะอยู่กับพี่ชายนะฮะ แต่ยังไงก็…อย่าให้ เน่…ท่านประธานเห็นละกันนะฮะ" มิทพูดขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่ทางเข้าห้อง F

"อ่า ถึงแล้วสินะ ยังไงก็วันนี้คงต้องรบกวนให้มิทช่วยแนะนำห้องเรียนแล้วก็วิชาแล้วละ ว่าแต่ทำไมมิทถึงเรียกเราว่า พี่ชายละนั้น มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า?" มาร์ถามมิทที่ตอนนี้เดินนำเขาเข้าไปนั่งที่หลังห้อง ฝั่งติดกระจก

ในห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนที่นั่งเป็นชั้นๆ เรียงขึ้นไป มีกระดานดำอยู่ที่ทางเข้าห้อง ให้อารมณ์เหมือนห้องเรียนในมหาลัย แต่ว่าค่อนข้างจะหรูกว่ามาก เพราะเก้าอี้และโต๊ะเป็นเครื่องไม้อย่างดี

"นั้นสินะ ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกฮะ แบบว่าไงดีละ เห็นพี่ชายแล้วรู้สึกว่า พี่ชายมีความเป็นผู้ใหญ่ในเด็กแปลกๆอ่ะนะฮะ ฮ่าๆๆ" มิทตอบมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มาร์ก็คิดว่านั้นก็สมเหตุสมผลดีและเขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่ที่ถูกเรียกแบบนั้น โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้ มิทกำลังคิดในใจอยู่ ความคิดของมิทนั้น…

[ เพื่อวันนึงเราอาจจะได้เรียก มาร์คุงว่าพี่ชายจริงๆก็ได้ ไม่สิพี่เขยสินะ? ]

*เสียงออดเริ่มเรียนดังขึ้น* แล้วนักศึกษาในห้องทุกคนก็เริ่มที่จะหยิบของขึ้นมาเตรียมเรียน

"นี้มิทวันนี้วิชาแรกวิชาอะไรเหรอ? แบบผม walk-in เข้ามาแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยละน่ะ" มาร์พูดขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆห้อง ด้วยความที่นั่งอยู่บนสุดแถมเป็นมุมห้องมาร์เลยเห็นรอบๆห้องได้อย่างชัดเจน

ในชั้นเรียนห้อง F นี้มีนักศึกษาราวๆ 50 คน แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นเผ่ามนุษย์กับบีสต์โฟค

"วิชาแรกนะเหรอฮะ ก็วิชา…" มิทพูดขึ้นมาแต่ว่ายังไม่ทันได้พูดชื่อวิชาก็มีเสียงดังตรงประตูทางเข้า

*ปั้ง* ประตูถูกเปิดออกและอาจารย์ก็ตะโกนเข้ามาเสียงดัง

"ได้เวลาเรียน คณิตแล้วนะคะทุกคน วันนี้เอาลูกเต๋ามากันหรือเปล่าเอ่ยยยยยย" เสียงผู้หญิงดังเข้ามา พร้อมกับการเขวี้ยงถุงสีดำบางอย่างเข้ามาในห้อง ถุงนั้นพอตกถึงพื้นก็มีบางอย่างกระเด็นออกมามันคือ

[ ชิป สำหรับเล่นพนันนิ? ทำไมถึงเข้ามาในโรงเรียนได้ละ ? ] มาร์มองไปที่ชิปที่กระเด็นออกมา

"วิชาการพนันพื้นฐานน่ะฮะ อย่าไปเชื่อในสิ่งที่จารย์คนนี้พูดนะฮะ พี่ชายคือ จารย์แกมั่วๆยังไงไม่รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วละฮะ" มิทพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะหยิบอุปกรณ์การเรียนขึ้นมา มันคือไพ่และลูกเต๋า

[ เดี๋ยวนะ…..นี้โรงเรียนห้ามไม่ให้ดื่มเหล้า แต่อนุญาตให้ครูมาสอนการเล่นพนันดื้อๆแบบนี้อ่ะนะ? ฮัลโหล ใครกำหนดหลักสูตรให้ออกมาเป็นแบบนี้วะเนี้ย? ]

….

5 วันถัดมา หลังจากการเปิดภาคเรียน นักศึกษาหน้าใหม่ก็ต่างพากันเข้าเรียนแล้ว ช่วงเช้าถึงเที่ยงก็จะไม่ค่อยได้เห็นใครนอกห้องเรียนนัก….ยกเว้น นักศึกษาพิเศษคนหนึ่ง "มาร์"

ตั้งแต่วันนั้นเขาก็มีห้องส่วนตัวอยู่ในโรงเรียนแล้ว วราเรย์ผู้เป็นแม่แรกๆก็ห่วงกับคำตัดสินใจของมาร์ที่ว่า

"แม่ครับ ผมจะไปอยู่ในโรงเรียนตามหลักสูตรพิเศษนะครับ!!!" นั้นคือสิ่งที่มาร์บอกกับแม่ของเขา

ตอนแรกวราเรย์ได้แต่กังวลว่า "มาร์จัง จะเป็นอะไรหรือเปล่าน้า…. ไปอยู่คนเดียวจะไหวหรือเปล่าน้า…" แต่ตอนนี้เธอก็ไม่ค่อยเป็นห่วงลูกแล้วเพราะครูใหญ่เป็นคนรับรองความปลอดภัยของมาร์ให้เอง

ก่อนหน้านี้ วราเรย์ ได้พบกับเคโอทิคตอนที่เขามาสั่งเครื่องแบบนักเรียน เธอเลยได้รู้ว่ามาร์นั้นผ่านเข้าหลักสูตรนี้

เคโอทิคพูดขอร้องกับวราเรย์ผู้เป็นแม่ ให้เธออนุญาตมาร์ให้มาอยู่ในหอที่เขาเตรียมไว้ให้

ซึ่งเธอเองในใจก็อยากอยู่กับมาร์ เพราะว่า มาร์เป็นลูกคนแรกตั้งแต่เธออยู่มาบนโลกนานกว่า …. ปี เธอจึงห่วงเขามากๆ

แต่ว่าเพื่ออนาคตของลูก เธอจึงตกลง รวมทั้งวราเรย์เอง ก็ไม่กล้าปฏิเสธครูใหญ่ด้วยเพราะตัวตนระดับนั้นมาก้มหัวขอร้องให้ลูกของเธอไปอยู่ที่โรงเรียนพร้อมพยายามพูดน้าวโย้มใจวราเรย์อยู่นานหลายชั่วโมงอีก ถ้าเธอปฏิเสธคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

เพราะแบบนี้มาร์จึงได้ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนคอลลาจอย่างเป็นทางการแล้ว โดยทางการนี้คือ….ครูใหญ่ติดประกาศที่ทางเข้าโรงเรียนให้ทุกคนได้ทราบกันเลยทีเดียว

ทีนี้ต้องอธิบายก่อนว่า โรงเรียนคอลลาจนั้นแตกต่างจากโรงเรียนทั่วๆไป ที่นี้เหมือนมหาลัยที่มีระบบหอใน หอนอก เนื่องจากนักศึกษาหลายคนไม่ได้อาศัยอยู่ในทวีปนี้

พวกเขาเลยต้องหาที่อยู่สำหรับมาเรียน ผลก็คือมีหอถูกสร้างขึ้นทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน

หอในโรงเรียนคือหอที่แบ่งชายหญิงและไร้เพศออกจากกัน จึงมี 3 หอ หอละ 50 ห้อง ห้องนึงนอน 4 คน หอในจึงมีความจุ 600 คน แต่จำนวนก็ไม่ใช่สิ่งที่โดดเด่นอย่างเดียวขนาดห้องเองก็ด้วย

เพราะความเป็นหอในของสถาบันก็เลยค่อนข้างอลังการเป็นพิเศษ ขนาดไหนนะเหรอ ก็ขนาดห้องเพนท์เฮ้าส์ ของโรงแรมระดับ 5 ดาว ยังต้องก้มกราบขอร้องว่า "พอเถอะ ถ้ายังมีแบบนี้ต่อธุรกิจโรงแรมหรูล่มจมแน่ๆ"

ส่วนหอนอกมีไว้สำหรับคนที่ยื่นเกณฑ์เข้าหอในไม่ได้ กฎเข้าหอในไม่ยากเลยแม้แต่น้อยแค่มีคะแนนติดท็อป 15 คนแรกของแต่ละวิชาก็พอแล้ว

หอนอกก็มีหลายระดับแต่ไม่มีหอนอกไหนเหนือไปกว่าหอในเลยในด้านคุณภาพการอยู่อาศัย

แต่ว่าหอนอกก็มีดีถึงขนาดที่เด็กหอในยอมเดินทางไกลหลายกิโลออกไป เพราะที่หอนอกนั้นมีแต่ร้านอาหาร…ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แบบเหล้า เบียร์

ที่หอในไม่มีเป็นเพราะหอในอยู่ในเขตโรงเรียนเลยห้ามการขายของพวกนั้น ทำให้เด็กบางคนมีความ"เสี้ยน" ที่จะดื่ม

ส่วนห้องของมาร์นะเหรอ เพราะความเป็นเด็กหลักสูตรพิเศษ ห้องของเขาเลยตั้งอยู่ในตึกวิจัยที่โรงเรียนเตรียมไว้ให้ มันเป็นตึกขนาด 4 ชั้น และใหญ่พอๆกับโรงยิม ตั้งอยู่ข้างๆหอในฝั่งชาย มันเป็นอาคารที่ทนทาน ทั้งยังเพรียกพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆสำหรับวิจัย

ที่สำคัญคือ 1 ตึก 1 คน ดังนั้นทั้งตึกนี้คือที่ของมาร์!!!

แต่ห้องนอนที่อยู่ข้างในนั้นเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ครั้งแรกที่มาร์เข้าไปและเคโอทิคแนะนำส่วนต่างๆในห้อง มาร์ก็มีความคิดขึ้นมาว่า

[ นั้นเตียงนอนหรืออะไรวะนั้น!!! กว้างไปแล้วเว้ยยย จะให้กี่คนนอนละ 10 คน? แล้วไอ้ตู้เสื้อผ้าดันมีตู้เดียวแต่ของที่เอามาทำเป็นตู้จนไม่อยากเปิด คืออะไรห๊ะ? เดี๋ยวนะในตู้มีแต่เครื่องแบบนักเรียนพิเศษ? ไรวะเนี้ย เอ้อ!! เอาเข้าไป!!! แล้วไอโต๊ะอ่านหนังสือนั้นกะจะให้ขึ้นไปนอนอ่านหรือไง ใหญ่ไปเว้ย ใหญ่เกิ๊น!!! ]

ในห้องที่ครูใหญ่เคโอทิคได้เตรียมไว้มาร์นั้น คือห้องนอนขนาด 6*6 เมตร ที่มีเตียงโคตรคิงไซค์อยู่ ตู้เสื้อผ้าก็ทำจากไม้ราคาแพงลงสลักอย่างสวยงามแต่ข้างในมีแต่เครื่องแบบของนักเรียนหลักสูตรพิเศษ

ที่พื้นห้องปูด้วยหินอ่อนสีดำสลับขาว และมีพรมที่ทำจากหนังมอนสเตอร์ขนาดใหญ่สีขาว มุมห้องนั้นมีโต๊ะอ่านหนังสือและชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่ทำจากหินสีขาว โต๊ะนั้นใหญ่มากขนาดที่พอจะให้คนขึ้นไปนอนได้สบายๆ ตัวห้องมีระบบไฟที่ใช้มานาของผู้ที่อยู่ในห้อง

หมายความว่าถ้าเป็นคนอื่นเข้ามาใช้ห้องอาจจะอยู่ได้ไม่นานก็คงสลบหรือตายไป แต่สำหรับมาร์อัตราการดูดมานาของห้องนี้ไม่ได้เยอะเลย

ยิ่งห้องน้ำสำหรับห้องมาร์นั้นเองก็หรูมากจนขนาดที่วันแรกๆของมาร์ เขาเอาแต่แช่ในอ่างน้ำร้อนนานกว่า 2 ถึง 3 ชั่วโมง ทั้งเช้าและเย็น

และตอนนี้ มาร์ก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียน ชีวิตของเขาเริ่มมีความฟรีสไตล์มากขึ้นกว่าเดิม มากกว่าตอนอยู่ที่บ้าน แต่ว่าในใจเขาก็รู้สึกเหงาๆเหมือนกันที่ไม่ได้เจอหน้าครอบครัวในตอนเช้าอย่างในอดีต

เช้าวันนี้มาร์ที่ตื่นขึ้นมาจากเตียงนอน ก็กระโดดออกจากเตียงแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปแช่น้ำทันที ก่อนที่จะออกมาแต่งตัวที่ตู้เสื้อผ้า

"เอาละ ไหนดูสเตตัสปัจจุบันของเราหน่อยดีกว่า" มาร์ยืนอยู่ที่หน้ากระจกที่อยู่ในห้องโดยมีเพียงผ้าขนหนูคาดเอวของเขาเพียงผืนเดียว

—————————————————————————————————–

Stats : ปัจจุบัน

LV : * ”ถ้าว่างแล้วจะมาใส่ให้ จากพระเจ้า”

RACE : HUMAN

JOB : * “อันนี้เดี๋ยวรอไปก่อนนะ คือข้ายังหาอันที่เหมาะกับเจ้าไม่ได้เลย ฮ่าๆ จากพระเจ้า”

AGES : 15

HP : 8025 (N) 16050 (SP) [ BASE(HUMAN) 25 + SOUL 5000*lv + Training 3000 ]

MP : 280010 (N) 560020 (SP) [ BASE(HUMAN) 10 + SOUL 50000*lv + Training 230000 ]

STR : 908 (N) 1816 (SP) [ BASE(HUMAN) 8 + SOUL 200*lv + Training 600 ]

DEX : 685 (N) 1370 (SP) [ BASE(HUMAN) 10 + SOUL 200*lv + Training 475 ]

CON : 401 (N) 802 (SP) [ BASE(HUMAN) 1 + SOUL 200*lv + Training 200 ]

INT : 2710 (N) 5420 (SP) [ BASE(HUMAN) 5 + SOUL 200*lv + Training 2505 ]

WIS : 1328 (N) 2656 (SP) [ BASE(HUMAN) 6 + SOUL 200*lv + Training 1122 ]

CHA : 741 (N) 1482 (SP) [ BASE(HUMAN) 9 + SOUL 200*lv + Training 532 ]

SKILLs :

[EX] Absolute Evolution [ แค่เห็น เรียนรู้ อ่าน ฟัง สัมผัส รู้สึก โดน ก็สามารถเลือกที่จะก็อปสกิลนั้นมา แล้วพัฒนาไปอีกขั้น ]

[EX] Absolute Deny [ สามารถเลือกที่จะ ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ ]

ภาษา อิคดีย์ ระดับ ศาตราจารย์

*NEW* ก้าวข้ามขีดจำกัดขั้นต้น ระดับ 9 จาก ปลุกปั่นพลังกาย ระดับ 6

ฟื้นฟูมานา-สูงสุด ระดับ 9

รังสรรค์ ระดับ 11

เวทย์พื้นที่มิติ ระดับ 10

วางเพลิง ระดับ 2

ถ่วงน้ำ ระดับ 2

บอลดิน/น้ำ/ลม/ไฟ/แสง/มืด – ใหญ่ ระดับ 4

กำแพงดิน/น้ำ/ลม/ไฟ/แสง/มืด – กลาง ระดับ 3

เหยียบฟ้า (เวทย์สำหรับวิ่งบนท่องฟ้า) ระดับ 8

รักษาสมบูรณ์ ระดับ 9

รู้ใจจริง ระดับ 6

ข้อมูลปลอมสมบูรณ์ ระดับ 15

[EX] มองกลางคืน (สี) [มองกลางคืนได้เหมือนมองในตอนลกลางวัน]

เปิดเผยตัวตน ระดับ 14

*NEW* [EX] เก็บแสงสุริยัน [ สเตตัส*2 หากพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ] จาก

[EX] ใต้แสงสุริยัน [ สเตตัส*1.5 หากพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ]

*NEW* [EX] นิรันดร์ใต้แสงสุริยัน [ อายุยืนขึ้น 2 เท่า และร่างกายจะไม่เปลี่ยนไปหลังจากอายุ 18 ปี ] จาก

[EX] เยาว์วัยใต้แสงสุริยัน [ อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า และร่างกายจะไม่เปลี่ยนไปหลังจากอายุ 21 ปี ]

*NEW* [EX] ความเย้ายวนของซัคคิวบัส – สูง [ สามารถหว่านเสน่ห์ให้หลงไหลได้และคุ้มครองการโดนครอบงานทางจิตใจจากสกิลระดับต่ำกว่า ] จาก

[EX] ความเย้ายวนของซัคคิวบัส – กลาง [ สามารถหว่านเสน่ห์ให้หลงไหลได้และคุ้มครองการโดนครอบงานทางจิตใจจากสกิลระดับต่ำกว่า ]

APTITUDEs :

ทักษะ ปืน/มีด/ระเบิด/มือเปล่า : สูงสุด

ทักษะ ดาบสั้น/เรเพียร์/ยาว/สองมือ/หอก/ขวาน : สูง

ทักษะ ธนู/หน้าไม้ : กลาง

อาวุธง่ายๆ : สูง

ทักษะทำอาหาร : ที่ 1 ในประเทศ

ทักษะเอาชีวิตรอด : อยู่สบายกว่าอยู่บ้าน

ทักษะขโมย : ปลดเปลื้องผ้าโดยไม่รู้ตัว

ทักษะประกอบอาวุธ สร้างอาวุธ : โดดเด่นไม่อาจเลียนแบบได้

วิชาดาบ : ล้านแสง

—————————————————————————————————–

"เพิ่มมาเยอะเหมือนกันแหะ แต่ว่าข้อจำกัดจากสังคมก็เยอะเหมือนกันนะที่โลกนี้" เพราะว่าที่โลกนี้การจะใช้สกิลนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดก่อนใช้ ไม่ใช่อยากจะใช้ก็ใช้ได้แบบที่มาร์คิดตอนเด็กๆ หรือแบบที่เขาได้เข้าใจมาจากโลกในอดีต

มาร์ได้รู้ว่า [ การจะใช้สกิลใส่ใคร…หรือใช้ตามใจอยาก…เป็นเรื่องที่โคตรเสี่ยงคุกชิบหาย!!! ]

มีสกิลเพียงหยิบมือที่อนุญาตให้ใช้ได้ ตามใจคือ สกิลประเภทตรวจสอบ สกิลประเภทปกปิด สกิลประเภทใช้กับตนเอง หรือใช้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น

เพราะว่าสกิลพวกนั้นที่โลกนี้มองว่าเป็นการใช้กับตนเองหรือใช้เพื่อหาข้อมูลพื้นฐาน จึงไม่จำเป็นต้องห้ามแต่อย่างใด ทั้งไม่ได้ไปล่วงละเมิดใครด้วย เขาจึงไม่ห้ามกัน ดังนั้นมาร์จึงคิดเสมอว่า [ ถ้าเราจะใช้สกิลกับคนอื่นหรือว่าเอาไปทำอะไรตามใจ จะต้องไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นคนใช้เด็ดขาด ไม่งั้นงานหยาบแน่ ]

เพราะว่าถ้าถูกจับได้ จะจบด้วยการเข้าคุก ไปรับโทษตามความเสียหายที่เกิดขึ้น แถมพอเข้าไปแล้วในคุกพวกนั้นจะดึงมานาออกมาทำเป็นแหล่งพลังงานส่งไปชดใช้ให้กับเมืองที่นักโทษก่อปัญฆา และมีมานาเหลือให้นักโทษเพียงพอแค่อยู่ใช้ชีวิตไปได้…..มันจึงเป็นนรกสำหรับคนบนโลกนี้

และการเข้าจับกุมของตำรวจของทวีปพ็อกซ์เองก็ใช่ย่อย พวกเขาพร้อมจะทุ่มสุดกำลังเพื่อจับผู้ร้ายเพียงคนเดียว [ในอดีตมีเรื่องเล่าว่า มีคนใช้สกิลตามใจฆ่าผู้คนในเมืองอย่างต่อเนื่อง ทวีปเลยส่งกองกำลังขนาดใหญ่มาตามจับผู้ที่ก่อเหตุ การตามล่านั้นเป็นไปนานกว่า 1 เดือน ตอนแรกส่งมาเพียงตำรวจไม่กี่ราย พอนานๆเข้าก็กลายเป็นส่งยันนักเวทย์ อัศวินมาล่ากันเลยทีเดียว]

ไม่พอระบบจำกุมของที่ทวีปนี้เองก็ให้รางวัลกับคนที่มีส่วนร่วมในการจับกุม แม้เพียงมอบน้ำอาหาร หรือระบุตำแหน่งให้ ก็รับรางวัลได้ แบบนี้พอมีเหตุอะไร ประชาชนก็จะเป็นฝ่ายไล่จับก่อนที่ตำรวจจะมาถึงเสียอีก

มาร์เลยต้องวางแผน เพิ่มเป็นพิเศษมากกว่าเดิม เพราะเขาจะใช้สกิลทั้งหมดได้เฉพาะตอนกลางคืน เท่านั้น เป็นช่วงเวลาที่มาร์จะทำอะไรตามใจได้มากสุด เพราะไม่มีคนมาจับตาดูหรือเป็นจุดเด่นมากนัก รวมไปถึงทักษะของเขาเองที่มีประโยชน์มากๆในเวลากลางคืน เช่นมองกลางคืน หรือเหยียบฟ้า เป็นต้น

ที่สำคัญเลย หลังจากที่มาร์ได้สกิลต่างมาๆเขาก็ลองใช้ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาปวดหัวคือสกิล [ รังสรรค์ ]

มาร์ก็ลองใช้หลายครั้งแล้วก็รู้ว่า สกิลนี้ ได้แค่ "สร้าง" ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงคือต้องทำลายและสร้างใหม่ แถมยังไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตได้ ทั้งยังต้องการวัตถุดิบอีกด้วย เช่น

ตอนที่ได้สกิลมาใหม่ๆ มาร์พยายามจะเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองเวลาออกไปนอกบ้าน แต่กลายเป็นว่ามันทำลายเสื้อผ้าจนหมดและสร้างขึ้นมาใหม่จนไม่เหลือความเป็นเสื้อผ้า เพราะวัตถุดิบไม่พอ

หรือแม้แต่มาร์เองก็ได้ลองสร้าง"แมว"ขึ้นมา แต่ว่า สิ่งที่ได้มันก็เป็นเพียงก้อนเนื้อรูปร่างแมวที่มีขน แต่ไร้จิตวิญญาณ พอปล่อยทิ้งไว้ได้ 10 นาทีก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็นออกมา

[ ตอนนี้สกิลที่พอจะมีประโยชน์ก็…เวทย์พื้นที่มิติ เพราะเราใช้มันแทบจะตลอดทั้งวัน แต่แบบว่าถ้าไม่ติดที่มันดูน่าสยดสยองจะดีกว่านี้ละนะ ] สกิลเวทย์มิติของมาร์ ทุกครั้งที่ใช้สภาพเหมือนกับมีเงาของคนรอยขึ้นมาอยู่ข้างหลังของเขา แถมยังปล่อยออร่าที่น่าขยะแขยงออกมาด้วย มาร์จึงจำกัดให้มันทำงานอยู่ในสภาพของคนร่างเท่านิ้วก้อยของเขา

[ ส่วนสกิล Absolute Evolution เองก็ด้วย เราพึ่งก็จะรู้ว่ามันมีข้อจำกัดที่เราจะต้อง เห็น เรียนรู้ อ่าน ฟัง สัมผัส รู้สึก โดน หมายความว่า….เราจะต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของสกิลนั้นหรือโดนกับตัวเองตรงๆ ไม่ใช่จะนึกและสร้างขึ้นมาได้เพราะมันไม่ได้เกิดตามจินตนาการของตัวเราเอง.. ชิ!!! อุตส่าห์นึกว่าจะสร้างเวทย์ปั้มตังได้แล้วแท้ๆเชียว พระเจ้านี้รอบคอบชะมัด!! ]

มาร์เดินวนอยู่ในห้องของเขา พร้อมกับคิดเรื่องต่างๆคนเดียวอย่างกับคนบ้า ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความครุ่นคิดอย่างหนัก ที่วัยเด็กเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้

[ Absolute Deny เองก็ด้วย มันไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเรา หมายความว่าถ้าเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเราก็จะรอดได้ง่ายๆ….แต่คนอื่นสิ เราไม่มีทางช่วยได้ด้วยสกิลนี้เลย แถมสกิลมันเองก็ไม่ทำงานตามที่เราอยากด้วย….เหมือนกับว่ามันมีความคิดเป็นของตัวเอง..]

นั้นคือความจริง สกิลทั้ง 2 อย่างที่มาร์ขอพระเจ้ามาร์ มันใช้กับมาร์ได้เพียงคนเดียว!! แถมข้อจำกัดพระเจ้าก็ทำให้มันไม่สามารถทำเกินกว่าที่พระเจ้าเคยบอกไว้ว่า "สกิลที่ขัดกับกฎธรรมชาติข้างล่างขนาดนั้นน่ะ ข้าไม่ให้หรอกนะ"

"เอาเถอะ มีแค่นี้ก็พอแล้วละ ส่วนวิธีใช้เดี๋ยวคืนนี้ก็ลองดูอีกทีละกัน ถึงหลายๆวันมานี้เราจะเอาแต่สนุกอยู่ในนี้ก็เถอะนะ ฮ่าๆๆๆ" มาร์ขำเป็นบ้าอยู่คนเดียวในห้องนอนของเขา

แต่ว่าแม้มาร์จะขำออกมาแบบนั้นแต่ในใจเขากลับรู้สึก "เหงา" ที่ไม่ได้เจอครอบครัวที่เขารัก

ย้อนกลับไปในอดีตก่อนที่มาร์จะมาโลกนี้ เขาเป็นทหารรับจ้างที่ชีวิตค่อนข้างจะอาภัพ อยู่พอตัว พ่อกับแม่หย่ากันตั้งแต่เขายังเป็นทารก แล้วพ่อก็พามาร์เข้ามาอยู่ตอนที่ตัวของพ่อเป็นทหารรับจ้าง แต่พอเข้าได้ไม่นานพ่อเขาก็ตาย ชีวิตเลยขาดความทรงจำของสิ่งที่เรียกว่า"ครอบครัว" มาโดยตลอดยิ่ง หน้าของ"แม่" เขาก็ไม่เคยจะได้เห็นแม้แต่รูปเลย

พอมาที่โลกนี้มาร์ก็เลยตัดสินใจว่า [ กุจะใช้ชีวิตใหม่กับครอบครัวในแบบที่กุไม่คยได้มีโอกาสมีมาก่อน ]

วันนี้เป็นวันที่มาร์คิดว่าจะลองไปเข้าเรียนดูสักครั้งเพื่อจะได้ไอเดียอะไรมาพัฒนาปืน หรือทำวิจัยอื่นตามที่ครูใหญ่อยากให้เขาทำ

[ เห้ออออ นี้ไม่ได้ทำเพราะว่าเงินวิจัยจริงๆนะเออ… ] มาร์อยากจะพูดแบบนั้นแต่ในดวงต่อตอนนี้กลายเป็นเหรียญทองไปแล้ว

"เอาละ วันนี้ไปเข้าห้องเรียนไหนดีน้า? " มาร์พูดออกมาในตอนที่กำลังเปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบนักเรียนหลักสูตรพิเศษ แต่เขาตัดแต่งมันเพิ่มเติมที่กางเกงเล็กกิ้งนั้นเขาใช้ "รังสรรค์" สลายกางเกงบางตัวไปแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ให้เป็นกางเกงสูทสีดำ ส่วนรองเท้าที่สีสดใสเขาก็ทำให้มันกลายเป็นสีดำแทน

หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้วมาร์ก็เดินออกจากตึกของเขา และตรงไปยังตึกเรียนที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ……. 12 กิโลเมตร

"อ่า…ชิบหายละ รถม้าไปที่ตึกเรียนมันให้ขึ้นก่อนตี 5 นี้หว่า แต่นี้มันก็..เวร 7 โมงเช้าแล้ว อีก 1 ชั่วโมงเข้าเรียน มีแต่ต้องวิ่งแล้วสินะ!!! ยายสปีดโปรดส่งความเร็วของยายมาทีเถอะ!!! ไม่งั้นผมไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหารไม่ทันก่อนเข้าเรียนแน่ๆ!!! " มาร์ตะโกนออกมาก่อนที่จะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วด้วยสกิล [ ก้าวข้ามขีดจำกัดขั้นต้น ]

มาร์ไม่รู็ตัวเลยว่าที่ข้างหลังนั้นมีผู้หญิงคนนึงกำลังแอบมองดูเขาอยู่เธอมีผมสีแดง และยังสวมฮู้ดกับผ้าปิดปากสีดำ

"แฮ่กๆ มาร์คุงในที่สุดก็ออกมา…แล้วสินะ ฮ่าห์..กลิ่นของมาร์คุง หะ หอมจังเลย" เธอพูดพร้อมกับส่งเสียงหอบแปลกๆออกมา

"นี้เน่จัง รีบไปได้แล้วนา ไม่งั้นเดี๋ยวที่สภาก็มีเรื่องหรอก โดดมา 5 วันแล้วไม่ใช่อ๋อ เนี่ย เพราะแบบนเนี้ยพวกสภามาถามผมทุกวันเช้าเย็นเลยอ่ะ เน่จัง เน่จัง ได้ยินอ่ะเปล่า ฮัลโหลลล" ชายหนุ่มผมสีขาวหูยาวสวมแว่นตากลม พยายามสะกิด พี่สาวของเขาแต่เหมือนเธอจะไม่สนใจเข้าเลย

[ เห้อออ เน่จังน้า ไปโดนอะไรมาละนั้น ถึงไปสนใจนักเรียนใหม่คนนั้นน้าาา แต่ช่างเถอะ! ถามไปมีหวังได้ฟังคำร่ายคุณงามความดีแหงๆ ]

เด็กชายคนนั้นทำเป็นไม่สนใจพี่สาวของเขาและเริ่มเดินตรงไปทางเดียวกับที่มาร์วิ่งไป ปล่อยให้พี่สาวของเขายืนหายใจหอบ *แฮ่ก* *แฮ่ก* ที่ตรงทางเข้าตึกของมาร์

"อึ๋ยยยย ยังยืนดมอยู่ตรงนั้นอีกเหรอเนี้ยยย แบบนี้แจ้งให้จารย์แพทย์มาดูดีไหมเนี่ยยยย ไม่สิแจ้งตำรวจมาจัดการจะดีกว่าละมั้ง…หยึยย ขนลุก เน่จังนี้เกินเยียวยาเกินไปแล้ว…" เขาแอบหันกลับไปมองก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายแทนพี่สาวของเขา

….

*ขอเชิญนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกท่านที่ห้องประชุมใหญ่ในเวลานี้ด้วยค่ะ*

เสียงประการดังขึ้นมา ทั่วโรงเรียนคอลลาจ และที่ทางเดินหน้าห้องครูใหญ่ตอนนี้ก็ถูกเปิดออก

ชายหนุ่วผิวสีดำมาดขรึมในชุดบาทหลวงกับหญิงสาวสองคน คนหนึ่งผมสีเขียวในเครื่องแบบแม่ชี และอีกคนผมสีดำแดงในผ้าคลุมสีดำที่ทักลายลูกไม้สีทองเต็มทั้งผ้าคลุมแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน

แต่คนที่เห็นก็รู้ได้ว่าเธอเป็นผู้ทรงเกียรติคนสำคัญของโรงเรียนแน่ๆ

ทั้งสามคนนั้น คือ เคโอทิค เชอรี่ และ มาร์ และทั้งสามคนกำลังมุ่งตรงไปที่ห้องประชุมใหญ่

[ ครูใหญ่กับผู้ช่วยบอกว่าให้เราไปร่วมพิธีด้วยนินะ แต่ไม่นึกว่าจะต้องตามมาเลยทันทีแบบนี้รู้สึกกดดันยังไงไม่รู้แหะ ] มาร์คิดเช่นนั้นเพราะว่าตอนนี้เขากำลังเดิมตาม Supreme Being ของโรงเรียนอยู่

ระหว่างทางก็ดูจะเงียบผิดปกติ นักเรียนที่กำลังเดินไปไม่มีใครกล้ามองหน้าทั้งสามคนนี้เลย แม้แต่จะพูดอะไรกันยังไม่ทำ ทุกดคนล้วนแต่เงียบและหลบสายตาพวกเขาด้วยการเดินก้มหัว

คงเป็นเพราะออร่าแสงที่ปล่อยออกมาจาก เคโอทิค ทำให้รอบๆหย่ำเกรงเขาเป็นอย่างมาก แม้แต่บางทีเมื่อเขาเดินผ่านอาจารย์ อาจารย์คนนั้นก็หันมาก้มหัวทำความเคารพทันที

ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงที่ห้องประชุมใหญ่ ประตูถูกเปิดออกด้วยอาจารย์สองคนที่หน้าประตู พวกเธอเป็นแฝดเผ่ากูลที่มาร์เจอบ่อยๆ….อาจารย์บีและอาจารย์พี

ข้างในห้องประชุมตอนนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาหน้าใหม่นั่งเรียงแถวกันอยู่ที่ลานกว้างด้านล่าง ส่วนด้านบนที่เป็นที่นั่งชั้นสองก็มีอาจารย์กับผู้ปกครองรวมกันหลายร้อยคน นั่งดูลูกหลานและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

"อะแฮ่ม..!! โปรดอยู่ในความสงบด้วยครับทุกท่าน.. " เสียงนั้นดังมาจากเวที เป็นเสียงของฮาล์ฟเอล์ฟฮาล์ฟไทรนีผมสีเขียว หรือก็คืออาจารย์เจมส์ เขาพูดเตือนคนในห้องประชุม พร้อมกับกวาดสายตาหน้ากลัวไปทั่ว

"บัดนี้ท่าครูใหญ่และผู้มีเกียรติสำคัญได้เดินทางมาถึงแล้ว ทุกคนโปรดยืนขึ้น!!" เขาพูดอีกครั้งและทุกคนก็ทำตามแต่โดยดี

*เสียงเพลง* เปิดดังขึ้นในห้องประชุมและครูใหญ่ก็เดินนำมาร์กับเชอรี่ไปที่เวทีอย่างสง่างาม เหล่านักเรียนจับตามองทั้งสาม

ผู้ปกครอง และอาจารย์ก็เช่นกัน ตอนนี้จุดเด่นของพิธีเปิดภาคเรียนได้มาถึงแล้ว!!

ครูใหญ่เคโอทิค เดินขึ้นเวทีและเชิญให้ผู้ช่วยของเขาเชอรี่ กับนักเรียนพิเศษมาร์นั่งที่โซฟาที่ถูกเตรียมไว้ เชอรี่ก็พามาร์ไปนั่งแต่ละว่างที่ไปมาร์ก็ได้เห็นคนที่มานั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ข้างๆโซฟานั้น 3 คน

คนแรกเป็นเอล์ฟ ที่มาร์จำได้ดี เขาคือ เอลาน [ เอ๋..นี้ หัวหน้าอัศวินที่เคยเจอตอนไปเรียกเก็บ…ตอนไปช่วยเรื่องผีโกดังนิ อืมมมเป็นคนสำคัญของที่นี้ด้วยสินะ ]

คนที่สองนั้นมาร์ไม่คุ้นหน้าเลย แต่เธอเหมือนกับมีพลังบางอย่างที่ทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้เลย เธอเป็นผู้หญิงผมสีแดงหูยาวกว่าเอล์ฟและนัยตาเองก็แดง เธอเป็นคนที่ดูอายุเยอะกว่ามาร์ แต่มาร์ก็ไม่เชื่อเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของโลกนี้เท่าไหร่ เพราะขนาดแม่ของเขายังดูสาวผิดปกติอยู่เลย

[ เอ..ความรู้สึกใจเต้นนี้มันอะไรกันน้า….อาาา น่ารักจัง ผู้หญิงคนนี้ เธอส่งสายตามาให้เราด้วย อาาาาา เอ๋!! เดี๋ยวนะ ไม่สิเกิดอะไรขึ้นกับเราเนี่ยยยย ทำไมอยู่ๆเราไปมองเธอแบบนั้น!! ] มาร์เกือบขาดสติไปตอนที่มองไปยังผู้หญิงผมสีแดงคนนั้น

[ Absolute Deny : เริ่มทำการปฏิเสธมนต์เสน่ห์ของสกิล ความเย้ายวนของซัคคิวบัส – กลาง ]

[ ท่านต้องการจะรับสกิล [EX] ความเย้ายวนของซัคคิวบัส – กลาง หรือไม่ YES/NO ] เสียงของสกิล Absolute Evolution ดังขึ้นมาในหัวของมาร์และเตือนสติเขา

[ นะ….นี้สินะสาเหตุ ยัยนี้….ซัคคิวบัสนิหว่า แถมทำไมมาปล่อยสกิลใส่เราแบบนี้กัน ช่างเถอะ ยังไงก็เกือบไปแล้วไหมละ งั้นสกิลใหม่ก็ YES ไปละกัน….แปปนะ….ดะ ดะ เดี๋ยวนะ!!! แบบนี้คนก็จะตกกับดักเราเพิ่มเยอะกว่าเดิมดิ!! ไม่ ไม่ ไม่ I say N.. ]

[ ท่านได้รับสกิล [EX] ความเย้ายวนของซัคคิวบัส – กลาง [ สามารถหว่านเสน่ห์ให้หลงไหลได้และคุ้มครองการโดนครอบงานทางจิตใจจากสกิลระดับต่ำกว่า ] พัฒนาเป็น [EX] ความเย้ายวนของซัคคิวบัส – สูง [ สามารถหว่านเสน่ห์ให้หลงไหลได้และคุ้มครองการโดนครอบงานทางจิตใจจากสกิลระดับต่ำกว่า ] ]

เสียงนั้นประกาศขึ้นในหัวของมาร์ก่อนที่เขาจะได้ปฏิเสธ

และจู่ๆ นักเรียน ผู้ปกครอง อาจารย์ แม้แต่ 3 คนที่นั่งอยู่บนเวที ก็หันมามองเขาด้วยสายตาที่หลงไหล สายตาที่ส่งแสงสีชมพูออกมา!!!

[ ปิดสกิลใหม่เดี๋ยวนี้เลยยยย ปิดได้มะ? ต้องปิดได้สิ!! เห้ยยยยย ปิดโว้ยยยยย!! ] มาร์ควบคุมสกิลของตัวเองอย่างสุดกำลัง และผลของสกิลก็หยุดลง ทุกคนกลับไปเป็นปกติ…เว้นแต่ ผู้หญิงผมแดงคนนั้นอยู่เธอก็ยิ้มขึ้นมาและเริ่มที่จะไม่ละสายตาจากมาร์อีกต่อไป

ส่วนคนสุดท้ายนั้น คือ เอเลนน่า เกรย์แวพไพร์ เด็กสาวเผ่าแวมไพร์ที่ผมสีเงินทรงผมม้วนจนมีหูแมวเล็กๆขึ้นบนหัว เธอสวมแว่นและห้อยไม้กางเขนไว้ที่คอ เธอคือคนที่สอบในสนามสอบเดียวกับมาร์และเป็นคนแรกที่อาจะเรียกได้ว่า รู้จักกับมาร์ในฐานะนักศึกษาใหม่มากกว่าคนอื่นในโรงเรียนตอนนี้

เธอมองมาที่มาแล้วก็โบกมือทักทายให้ด้วยรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สวยมากถึงขนาดที่มาร์เองก็เผลอตัวโบกมือและยิ้มตอบกลับ ทว่าระหว่างตรงกลางนั้นกำลังมีสาวผมแดงจ้องไปที่เอเลนด้วยสายตาอาฆาตอยู่

มาร์นั่งลงที่โซฟาพร้อมกับเชอรี่ที่อยู่ข้างๆ เสร็จแล้ว ครูใหญ่ก็เริ่มพูดกล่าวเปิดพิธีเปิดภาคเรียน

"สวัสดีทุกท่านนะขอรับ ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนคอลลาจที่น่าภาคภูมิใจของกระผม ที่นี้ผมไม่แบ่งเรื่องเผ่าพันธุ์หากมีความสามารถคุณก็เป็นศิษย์ของที่นี้ได้ ที่นี้ไม่มีการดูถูกผู้ทรงปัญญาเพราะมันเป็นการหยามในศักดิ์ศรีแห่งวงการวิชาการ ผมมีเจตจำนงและความหวังในนักศึกษาใหม่ทุกคนว่าจะปฏิบัติตามที่ผมได้กล่าวเอาไว้ และจบการศึกษาจากที่นี้ไปเพื่อสานต่อเจตจำนงของผม และรับใช้ประเทศของตนอย่างสุดความสามารถ ที่ผมจะกล่าวก็มีเพียงเท่านี้ขอรับ" พอเคโอทิคพูดจบเขาก็โค้งคำนับและเดินไปนั่งที่โซฟาทันที

[ โห….แม้แต่นั่งโซฟายังนั่งหลังตรง เชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผยเลยแหะ ครูใหญ่นี้สมกับเป็นปราชญ์จริงๆ] มาร์นั้นชื่นชมเคโอทิคมาก ด้วยท่าทางกริยา การพูดจาและการปฏิบัติของเขาที่ยิ่งกว่าสุภาพบุรุษ ทั้งยังมีไทรนีอย่างเชอรี่ เป็นลูกน้องอีกแค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเคโอทิคนั้นเป็นชายเหนือชายทั้งปวงขนาดไหน

เชอรี่ลุกขึ้นและหันมาโค้งคำนับให้กับเคโอทิคก่อนที่จะเดินไปที่เวที

"ต่อจากนี้ขอเชิญผู้มีเกียรติทั้ง 3 คน ขึ้นมากล่าวความรู้สึกในวันเปิดภาคเรียนด้วยเจ้าค่ะ" เธอหยิบกระดาษขึ้นมาและอ่านมัน

"ท่านแรก เอลาน เจอโร ตำแหน่งปัจจุบัน หัวหน้าอัศวินแห่งเมืองไฮทคอลลาจ ศิษย์เก่ารุ่นที่ 2387 และยังเป็นประธานรุ่นดังกล่าวอีกด้วยเจ้าค่ะ

ท่านที่สอง คาริโลโล่ ดรีมชามเมอร์ นักศึกษารุ่นที่ 2558 นักศึกษาปีที่ 4 และเป็น ประธานนักศึกษาคนปัจจุบันของโรงเรียนคอลลาจ ซึ่งครองตำแหน่งประธานนักศึกษามาแล้วติดต่อกัน 4 สมัยเจ้าค่ะ

ท่านสุดท้าย เอเลนน่า เกรย์แวมไพร์ นักศึกษารุ่นที่ 2562 นักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในภาคปกติของปีการศึกษานี้เจ้าค่ะ " เธอพูดจบก็เชิญให้ทั้งสามคนที่ได้ถูกแนะนำตัวไปก่อนหน้านี้ขึ้นมากล่าวความรู้สึกในวันนี้

คนแรกหัวหน้าอัศวิน เอลานเขากล่าว โดยยาวเยื้อไร้สาระ และพูดแต่ความภาคภูมิใจที่ได้จบไป สาระสำคัญที่มาร์พอจะจับใจความได้คือ [ อย่าหยุดพยายามแม้จะล้มเหลวมากแค่ไหน พวกเธอคือนักศึกษาและอนาคตของประเทศตนเอง อย่าถอยและลุกขึ้นสู้ไปจนกว่าจะสิ้นสุดเส้นทางของตนเอง ]

ทว่าไม่รู้ทำไมตอนที่ เอลานกล่าว มาร์สังเกตุว่าเขาเอาแต่มองไปที่หน้าอกของนักศึกษาหญิงที่อยู่ข้างล่าง มันทำให้มาร์รู้สึกขยะแขยงแปลกๆ

คนถัดมาคือ ประธานนักเรียน ที่พึ่งจะพยายามจะหว่านเสน่ห์ใส่มาร์ไปเมื่อกี้เธอ เดินออกไปอย่างสง่างามและกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านักศึกษาใหม่ คำพูดของเธอนั้นคมและตรงไปตรงมา เช่น

"หากพวกเธอที่เข้ามาใหม่มัวแต่หลงละเริงกับความรู้สึกชั่วครู่นี้แล้ว ชั้นเห็นได้ว่าอนาคตพวกเธอต้องยอมแพ้ให้กับสถาบนันนี้แน่นอน เช่นนั้นจงอย่าคิดริอาจเชิดชูตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ พวกเธอยังเป็นเพียงเด็กใหม่ในโลกของการศึกษาเท่านั้น!!"

หลังจากที่เธอพูดจบก็มีเสียงตบมือจำนวนมากดังขึ้นมาจากฝั่งของผู้ปกครองและอาจารย์ ในทางกลับกันเหล่านักศึกษาหน้าใหม่ต่างพากันก้มด้วยแรงดดันจากเธอ และคำพูดที่เสียดแทงเข้ามาในตัวของพวกเขา

และเมื่อทุกอย่างสงบลง คาริโลโล่ ก็เดินจากเวทีมาที่ที่นั่งของเธอ พร้อมกับส่งสายตา *วิ้งๆ* มาที่มาร์

[หยึยยย สงสัยเราคงโดนประธานจองหัวแล้วสินะเนี้ย…ไปทำอะไรให้คุณเธอไม่พอใจหรือเปล่าหว่า เอาเป็นว่าต่อจากนี้พยายามอย่าไปยุ่งเกี่ยวละกัน เพื่อความปลอดภัย] นั้นคือความคิดหลังจากที่ได้รับการส่งสายตาวิ้งๆมาจากท่านประธานนั้นเอง

คนสุดท้ายที่ต้องขึ้นคือ เอเลน เธอดูลุกลี้ลุกลนแต่ว่าก็พูดออกมาได้ดี เธอพูดถึงความหวังในชีวิตในโรงเรียนต่อจากนี้ และ พูดถึงคนที่เธอหวังไว้ว่าเป็นคู่แข่งทั้งเธอเองก็หวังเสมอว่าสักวันนึงจะต้องชนะ"เธอ" คนนั้นให้ได้

[ คำถามคือ ทำไมเรารู้สึกว่า ไอคำว่า "เธอ" ที่ว่ามันหมายถึงเราหว่า……หวังว่าคงจะไม่ใช่นะ ] มาร์นั่งฟังการพูดของเอเลนต่อจนจบ และเธอก็ได้รับเสียงปรบมือจากนักศึกษาใหม่และผู้ปกครองอย่างล้นหลาม

แต่ว่าตอนเอลเลนเดินลงมาเธอกลับไม่ไปที่นั่งของเธอแต่ตรงมาคุยกับมาร์ซะอย่างนั้น และเพราะที่เดินมาคุยตรงๆ ก็เลยมีสายตาอาฆาตบางอย่างจับจ้องมาที่เธอสายตา จากประธาน

"ต่อจากนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ มาร์จัง" เธอกุมมือของมาร์ไว้และเขย่าเช็คแฮนด์

"อื้อ ยังไงก็กลับที่นั่งก่อนนะเอเลน คือท่านประธานจ้องมาแล้วน่ะ นั้นน่ะ" มาร์ส่งสายตามองไปยังประธาน เอเลนก็เลยรู้ตัวก่อนจะขอโทษมาร์และเดินกลับไปนั่งที่ของเธอ

………

…..

อยู่ๆ ไฟในห้องประชุมก็ดับลง และ ครูใหญ่ก็ขึ้นไปยืนบนเวที โดยที่แม้แต่ตัวของมาร์เองก็ไม่ได้ทันสังเกตุ

"ทุกท่านขอรับ ต่อจากนี้ เป็นประกาศสำคัญจากทางโรงเรียนเรา ทุกท่านคงได้ทราบแล้วว่าปีนี้มีสิ่งที่เรียกว่า ชั้นเรียนพิเศษเกิดขึ้น เป็นหลักสูตรใหม่ที่ทางเราได้มติสร้างขึ้นมา เป็นหลักสูตรพิเศษที่ตอนนี้ ขณะนี้ได้มีชื่อออกมาแล้ว เราเรียกหลักสูตรนี้ว่า " Alius gradu educationis หรือ หลักสูตรอีกระดับของการศึกษา"

เป็นหลักสูตรที่มีไว้เพื่อนักศึกษาที่สามารถทำคะแนนได้เต็ม 2 วิชา จาก 3 ซึ่งจะได้รับสิทธิ์คือจบล่วงหน้าในสาขาวิชานั้นๆ

ผู้ที่อยู่ในหลักสูตรนี้มีห้องเรียนเป็นของตัวเอง มีห้องพักส่วนตัวแยก มีอาคารแยก และได้ค่าศึกษาเล่าเรียนจากทางโรงเรียนตลอดการศึกษาโดยจะมอบให้เทอมละ 500 โกลล์ และมีค่างานวิจัยแยกให้ตามแต่ที่จะร้องขอมา

ซึ่งหลักสูตรนี้ กระผมมิได้เป็นคนกำหนดขึ้นมาเองตามใจชอบ แต่เป็นมติในที่ประชุมของอาจารย์อาวุโส ศาตราจารย์ และปราชญ์ ประจำโรงเรียนคอลลาจแห่งนี้

โดยปัจจุบัน นักศึกษาที่อยู่ในหลักสูตรนี้…" แสงไฟฉายไปที่มาร์ ทำให้ทุกคนจับจ้องมาที่เขา

[ น่าาาาา นั้นไง นั้นไงงงง ทำไมถึงต้องลากเรามาด้วย เพราะแบบนี้สินะ เพราะแบบนี้จริงๆสินะ เรากะจะใช้ชีวิตสบายๆแล้ว เพราะแค่ครูใหญ่กับผู้ช่วยครูใหญ่จับตามองก็รู้สึกอึดอัดแล้วนะเนี่ย นี้ประกาศให้คนทั้งโรงเรียนรู้เลยงั้นเหรอออออ ปัดโธ่ธ่ธ่ ฮือๆๆๆ อยากกลับบ้านแล้วอ่ะ ฮืออ ] มาร์ได้แต่ร้องไห้ในใจเพราะเขารู้แล้วว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป

"…นี้คือ มาร์ ซันเบิร์น ผู้ทำคะแนนวิชาควบคุมสกิลและความแม่นยำของการใช้ ที่คะแนน 45 เต็ม 10 ขอรับ ด้วยทักษะที่พวกเราเองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้เช่นกันขอรับ

ทั้งยังสามารถตอบโจทย์ในวิชาที่สองซึ่งมี 25 ข้อ โดย 5 ข้อนั้นมีความยากระดับปราชญ์ซ่อนอยู่ เขาสามารถตอบได้ครบทุกความเห็นและทำคะแนนได้ เต็ม 25 คะแนนเป็นคนแรกในรอบ 2562 ปี โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงขอรับ

สุดท้ายคือวิชาต่อสู้เขาสามาารถชนะผู้ช่วยคุมสอบที่เราจ้างมาโดยใช้เกณฑ์ระดับอัศวินขั้นสูง ด้วยทักษะเดียวกัน และยังไม่โดนโจมตีกลับเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญเขาชนะด้วยการทำให้ผู้คุมฝึกที่เราคัดกรองมาหมดสติอีกด้วยขอรับ

เช่นนี้ มาร์ ซันเบิร์นจึงเป็นผู้เหมาะสมกับหลักสูตร Alius gradu educationis เป็นอย่างมาก ทั้งพวกเราเองก็ต้องกล่าวขอโทษต่อเขา ที่ไม่สามารถตอบสนองความรู้่ความสามารถและช่วยพัฒนาให้เขาก้าวขึ้นไปด้สูงกว่านี้ได้อีกขอรับ"

เมื่อพูดจบสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เหล่าอาจารย์ ที่อยู่บนชั้นสองลุกขึ้นและก้มหัวขอโทษมาทางที่มาร์อยู่ แม้แต่ตัวครูใหญ่กับผู้ช่วยครูใหญ่เองก็เช่นกัน

เหตุการณ์ในภายหลังจะถูกกล่าวขานไว้ในชื่อ "ต้นกำเนิดของผู้มียิ่งกว่าพรสวรรค์" ที่จะถูกกล่าวขานและเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษารุ่นหลังสืบต่อไป

"ขอเชิญ มาร์ ซันเบิร์นขึ้นกล่าวความประทับใจและเหตุผลที่เลือกเข้าโรงเรียนคอลลาจด้วยเจ้าค่ะ" เสียงนั้นดังขึ้นมาจากข้างๆเวที เป็นเสียงของผู้ช่วยครูใหญ่เชอรี่

ตอนนี้มาร์นั้น อยู่ในสภาพที่เขารู้สึกแปลกประหลาด มันไม่ใช่ความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ แต่ยิ่งยืนอยู่ใต้แสงไฟที่ฉายเขากลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ได้รู้สึกมานาน นั้นคือความภาคภูมิใจ

ตัวของมาร์ในชาติที่แล้วเขาเป็นทหารรับจ้าง ซึ่งเป็นอาชีพที่ คนส่วนใหญ่มองว่าไร้เกียรติ ไม่น่าภาคภูมิใจ เป็นพวกเห็นแก่เงิน มาร์จึงลืมความรู้สึกของการที่ผู้คนชื่นชมเขา ชื่นชมในตัวเขา ไปตั้งแต่ตอนนั้น

ทว่าตอนนี้ความรู้สึกนั้นกำลังกลับมา และมันยิ่งใหญ่กว่าที่เขาเคยได้รับมาตลอดชีวิต มาร์ก้าวเดินขึ้นไปบนเวที และ เมื่อมาถึง ครูใหญ่อย่างเคโอทิคก็ให้เกียรติถอดผ้าคลุมสีดำลายลูกไม้ทองนั้นออกเผยให้เห็นเครื่องแบบนักศึกษาหลักสูตร Alius gradu educationis

มาร์ที่ตอนนี้ยืนอยู่เป็นจุดเด่นใต้แสงสว่างของไฟที่ฉายลงมาท่ามกลางความมืดในห้องประชุม เขามองไปรอบๆแล้วก็ได้เห็นอีกด้วยว่า วันนี้ทุกคนในบ้านซันเบิร์นเองก็มาด้วย พ่อและแม่ กำลังกอดกันทั้งสองมองมาที่มาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ออร่า พิเรีย อลิซเซียและเตย์เองก็ตั้งหน้าตั้งมองมาที่เขาด้วยสายตาแบบเดียวกับที่พ่อมแม่มองมาที่เขา

มาร์ จึงเผลอตัวมองไปที่ครอบครัวของเขา แล้วยิ้มออกมาพร้อมกับชูสองนิ้วด้วยมือทั้งสองข้าง น้ำตาเริ่มไหลออก

……….ใบหน้าของมาร์ตอนนี้คือ เด็กที่กำลังมีความสุขที่สุดในชีวิตตอนนี้……..

มาร์เริ่มตั้งสติและหยุดร้องไห้ เขาหันกลับมามองทุกคนในห้องประชุมและเริ่มพูดออกมาด้วยความรู้สึกของเขาว่า

"ผม…รู้สึกขอบคุณที่ได้มาที่นี้ ได้เข้าสอบ เข้าเรียนที่นี้ แต่ที่สำคัญกว่า ผมต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ พี่สาวและพี่ชายที่คอยดูแลผมให้มายืนที่จุดๆนี้ได้ ผมไม่คิดมาก่อนว่าผมจะได้มาอยู่ในหลักสูตร Alius gradu educationis นี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผมก็ได้มายืนที่นี้

ต่อจากนี้สิ่งที่ผมพูดอาจจะทำร้ายใครหลายๆคน ผมก็ต้องขอโทษกับคำพูดเหล่านั้นด้วย

คือว่า..ที่ผมมาเข้าที่โรงเรียนนี้ไม่ใช่เพราะชื่อเสียง แต่เป็นเพราะเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้าน ใกล้ครอบครัวของผม ทั้งยังมีหนังสือมากมายในห้องสมุดที่ผมจะสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้

ผมไม่ได้รู้สึกว่าการที่อาจารย์ทุกท่านไม่สามารถสอนผมได้เป็นความผิดหวังแต่อย่างใด กลับกันมันเป็นความภาคภูมิใจที่ผมสามารถทำให้อาจารย์คิดเช่นนั้นได้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ

และต่อจากนี้ ผมจะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับครูใหญ่ ท่านเคโอทิค เดียโบลอส ผมจะสร้างความเท่าเทียม ผมจะปฏิบัติกับทุกคนทุกเผ่าเหมือนกัน… โดยไม่แบ่งแยกว่าคนคนนั้นจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม

สุดท้ายนี้ผมก็ขอฝากเนื้อฝากตัว กับอาจารย์ เพื่อนๆร่วมโรงเรียน รุ่นพี่ ทุกคน

ขอบคุณครับ…" การกล่าวของมาร์นั้นไม่ได้เริศหรูอะไรเลย แต่ว่ามันกลับทำให้ครอบครัวของเขาที่ได้ยินต่างพากันร้องไห้ ซึ่งก่อนที่เขาจะเดินลงจากเวทีก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

"อ่า…ฟังให้ดี…..ไม่มีใครสั่งการณ์ผมได้นอกจากเขาผู้นั้นจะแลกความนับถือจากตัวผมไปได้เสียก่อน ผมจะไม่ก้มหัวใครง่ายๆ และผมพร้อมจะทำให้คนที่คิดไม่ดีกับผมพบเจอกับหายนะ…." มันเป็นคำพูดเบาๆ แต่ทุกคนก็รู้ได้ว่า นี้คือคำขู่ของนักศึกษา Alius gradu educationis

และคำพูดนั้นกลายมาเป็นคำพูดประจำ หลักสูตร Alius gradu educationis ในอนาคตที่ว่า

"เรานั้นคือผู้แตกต่าง เรานั้นไม่ก้มหัวให้ใคร ไม่มีใครสั่งการณ์เราได้โดยปราศจากความนับถือของเรา และ เราพร้อมเสมอที่จะทำให้อริของเราพบกับหายนะ" แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าละนะ

เมื่อมาร์เดินลงจากเวทีแล้ว เสียงปรบมือก็ดังขึ้น จากทุกกลุ่ม ผู้ปกครอง อาจารย์ นักศึกษา ตัวครูใหญ่และผู้ช่วยของเขาเองก็ด้วย มันไม่ใช่การปรบมือ เพราะคำพูดที่มาร์กล่าว

แต่เป็นการปรบมือให้กับความน่าเกรงขาม ที่แสดงออกมาจากตัวของเขา

เสียงพูดมากมายดังขึ้น ทุกคำพูดนั้นส่วนใหญ่เป็นคำชม ไปในทางเดียวกันว่า "เด็กคนนั้นช่างน่าเกรงขาม ช่างน่านับถือ และดูสง่างามแม้จะอยู่ในที่มืดมิดเพียงใด"

หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็สงบลง และก็มีการแสดงจากรุ่นพี่ของโรงเรียนคอลลาจ ก่อนที่จะปล่อยให้นักศึกษาใหม่ทุกคนแยกย้ายพบปะผู้ปกครอง ถ่ายรูป พูดคุยกัน

และหลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องเรียนของตน แต่ว่ามาร์นั้นยังคงถูก ครูใหญ่และผู้ช่วยของเขาคุมตัวไว้เพราะว่า..

"คุณมาร์ ต่อจากนี้เดี๋ยวกระผมจะขออนุญาตพาคุณไปที่ห้องส่วนตัวของคุณกันนะขอรับ.." เคโอทิคพูดพร้อมกับเดินนำมาร์ออกไปจากห้องประชุม

แม้แต่ตอนที่เดินออกไปทุกคนก็จับตามองมาที่มาร์ เหล่าอาจารย์ต่างพากันชื่นชม ผู้ปกครองก็เช่นกัน แต่ในหมู่นักศึกษาก็มีทั้งอิจฉาริษยา ชื่นชม หลงไหล โกรธแค้น อยู่ปะปนกันไป

ในขณะเดียวกัน ในห้องที่ว่างเปล่าและไม่มีอะไร กำลังมีชายแก่หุ่นล่ำผมขาว เขาคือพระเจ้า กำลังออกกำลังกายด้วยการเต้นประกอบเพลงอยู่

"แหมๆ แบบนี้ข้าก็ทำตามสัญญาไปได้ส่วนหนึ่งแล้วสินะ พ่อหนุ่ม…ข้าไม่น่าไปพูดไว้ว่า จะรับประกันเรื่องความสุขสบายเล้ย พับผ่าสิ แต่ว่าความสบายมันก็ไม่ตลอดหรอกนะ ไม่งั้นชีวิตเจ้าก็จะไม่สีสันสิพ่อหนุ่ม"

และพระเจ้าก็กลับไปเต้นต่อโดยแสงสว่างในห้องกลับเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆก็มพระเจ้าเพิ่มมาอีก 2 ข้อมาเต้นคู่กับร่างต้นซะอย่างนั้น

….

หลังจากสอบจบลง วันถัดมา มาร์ก็ไปที่โรงเรียนเพื่อดูผลประกาศห้องที่เขาต้องอยู่ แต่ว่าในหัวของเขานั้น

[เห้ออออ…..ต้องรีบไปทำเรื่องขอเครื่องแบบชายด่วนเลย ไม่งั้นมีหวังมีคนตกกับดักตายเพิ่มแน่ แค่ตอนนี้ก็เยอะจนคุมไม่ไหวแล้ว]

มาร์เดินไปที่ประตูโรงเรียนโดยมีสายตาจับจ้องมาจากรอบด้านของเขา แต่มันไม่ใช่แค่กับจัจบจ้องมา เพราะมีการกระซิบ ชมว่า

"ดูนู้นสิดาวโรงเรียนเหรอนั้น แต่เดี๋ยวนะดาวโรงเรียนตอนนี้ก็แย่ละ พึ่งเปิดเรียนนี้หว่า"

"โหหหห ขาสวยมากอ่ะเธอ นางแบบแน่ๆ จากบริษํทไหนเนี่ยไม่เคยเห็นมาก่อนเลย"

"ขนาดทำหน้าบึ้งยังน่ารักเลยวะ ให้ตายเถอะถ้าเข้าไปตอนนี้จะโดนมองไงวะเนี้ย"

[แย่ที่สุด… แย่ที่สุด แม่นะแม่ พอรู้ว่าเราจะใส่ชุดอื่นมาก็โดนล็อกคอจับเปลี่ยนมาใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนหญิงอีก ดีนะว่าหากระโปรงที่เราซ่อนไม่เจอ ไม่งั้นละก็ บรื๋ยยยย เย็นล่างแน่ๆ!!]

ภาพวันนี้คือมาสวมเครื่องแบบนักศึกษาหญิงท่อนบนสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีดำและถุงเท้ายาวรองเท้าผ้าใบขาวลายทางสีชมพู

"เธอ เธอ… จำเราได้หรือเปล่า เราไง ที่สอบสนามสอบเดียวกันอ่า.." อยู่ๆก็มีคนเข้ามาทักมาร์จากด้านหลัง เป็นเสียงเล็กๆน่ารักมากๆ เธอคือผู้หญิงผมสีเงินม้วนผมเป็นหูแมว เธอทักมาด้วยสีหน้าเขินอาย และกลัวๆนิดหน่อย

"อ๋ออออ เธอ จากตอนที่สอบนิ!! ว้าว…เครื่องแบบนั้นเข้ากับเธอมากเลยน้า แบบว่าไงดีละดูน่ารักดีนะ ฮ่าๆๆ" มาร์มองดูเรือนร่างของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับหลุดปากชมไปโดยไม่ตั้งใจ

"อื้อ…ขอบคุณนะ เราชื่อ เอเลนน่า เกรย์แวมเพียร์ เรียกเอเลน ก็พอนะ เธอก็ด้วยใส่ชุดแล้วเข้ากับผมของเธอดีนะ แต่ว่าไม่ใส่กระโปรงเหรอ?" เอเลนถามมาร์ด้วยสายตาสงสัยและจ้องมองไปที่กางเกงขาสั้นของมาร์

[น่ะ….ยังไม่ทันได้เข้าโรงเรียนก็มีเหยื่อตกกับดักไปแล้วสินะ เห้ออออ] มาร์ถอดหายใจเฮือกใหญ่ออกมา พร้อมกับใช้มือทั้งสองเขากุมไหล่เอเลนไว้

เอเลนที่โดนจู่โจมแบบไม่ตั้งตัวก็ลุกลี้ลุกลน เธอหันซ้ายหันขวามองคนรอบๆ ทั้งยังมีใบห้นาที่เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ

"ฟังนะ เอเลน เราชื่อมาร์ ซันเบิร์น ที่สำคัญกว่าชื่อเราคือ เราเป็น ผู้ชาย!!!" มาร์พูดเสียงดังกับเอเลน ส่วนเอเรนนะเหรอพอได้ยินก็

"คะ?" แต่ในหัวเธอนี้สิกลับคิดว่า [ เอ? ผู้ชาย? สงสัยอยากเกิดเป็นผู้ชายละมั้ง? ] เอเลนมองด้วยความสงสัยและไม่เชื่อในสิ่งที่มาร์พูดแม้แต่น้อย

"เห้อออ….ฟังเราดีๆนะ เอเลน ถึงเธออาจจะยังไม่เชื่อ แต่สักวันนึงเมื่อเธอรู้ความจริง ก็ขอให้จำวันนี้ที่เราบอกนะ งั้นขอตัวก่อนละ" มาร์ที่เห็นเอเลนมองมาแบบนั้นก็เข้าใจได้ว่า เอเลนเป็นเหมือนกับเอม พนักงานอำเภอที่แม้จะผ่านมาจากตอนนั้นหลายปีแล้ว ก็ยังเชื่อว่ามาร์เป็นผู้หญิงอยู่ดี

มาร์ปล่อยเอเลน แล้วเดินหันหลังให้เธอ ตรงไปที่ประตูทางเข้าโรงเรียนด้วยความหดหู่ จากการถูกเข้าใจผิดในสิ่งที่เขาพยายามแก้มาตลอด 6 ปี

"มาร์..จัง….. ถ้าเราได้อยู่ห้องเดียวกันก็ดีนะ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยละ มาร์จัง!!!" เอเลนตะโกนมาจากข้างหลังของมาร์ ส่วนมาร์ก็ยกชูนิ้วโป้งส่งสัญญาณว่าโอเค

และเมื่อมาร์มาถึงตรงทางเข้าโรงเรียนก็เกิดความสงสัย [ ทำไมวันนี้อาจารย์มายืนกันเต็มเลยเนี่ย มีอะไรหรือเปล่า หรือแค่อยากเห็นหน้าเด็กใหม่หว่า? ]

มาร์มองอยู่สักพักแต่เขากลับรู้สึกได้ว่าพวกอาจารย์เหล่านั้นตอนนี้หันมามองมาร์กันหมด อาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้ามีรวมๆเกือบ 20 คน พวกเขาสวมเครื่องแบบที่เหมือนกับพร้อมจะออกไปรบที่ไหนได้เลย

แต่มาร์ก็ไม่ได้สนใจ แถมคิดว่านี้คงเป็นมาตราการเพื่อความปลอดภัยเพื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นตั้งแต่วันแรกจะได้รับมือได้

มาร์เดินไปที่บอร์ดสำหรับติดประกาศผลห้อง ที่นั้นมีนักศึกษาใหม่มามุงดูอยู่หลายสิบคน มาร์ก็พยายามแทรกตัวเข้าไปให้ถึงบอร์ด แล้วก็เริ่มหาชื่อของเขา

"เหหหห ทำไมชื่อเราไปอยู่ตรงนั้นละ" มาร์มองขึ้นไปที่หัวกระดาษก็พบกับชื่อของเขา และข้อความที่ทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่

[ เนื่องจากปีนี้ได้มีการเปิดห้องเรียนพิเศษสำหรับ นักศึกษาพิเศษคนหนึ่ง ชื่อ [ มาร์ ซันเบิร์น ] หานักศึกษาตามชื่อที่ปรากฎได้อ่านขอให้ไปรายงานตัวกับอาจารย์ที่บริเวณประกาศด้วย ]

"เอ๋?!?!?! เราติดห้องเรียนพิเศษเหรอเนี้ยยยย!!!" ด้วยความตกใจมาร์เลยตะโกนออกมา

แต่เขาไม่คิดว่าการตะโกนนั้นจะทำให้อยู่ๆอาจารย์ 20 กว่าคนแถวๆนั้นกรูเข้ามาล็อกตัวเขาและพันธนาการด้วยสายรัดก่อนจะพากันแบกเขาออกไปโดยที่มาร์ไม่ได้ทันตั้งตัวหรือเตรียมใจอะไรเลย

[อะไรก้านนนนนนนนนนน!!!! แค่มาวันแรกเราจะโดนจารย์ซิ่วแล้วเหรอวะะะ!!! ชิบหายยยย!!! ขอโทษครับคุณพ่อ คุณแม่ ลูกชายคนนี้คงไม่สามารถจบจากที่นี้ได้แล้ววววว!!!!] มาร์รู้ว่าตนเองขัดขืนได้แต่จะมีปัญหาตามมาเปล่าๆ เขาเลยต้องยอมโดนอุ้มไปทั้งแบบนั้น

ผ่านไปราว 10 นาที มาร์ก็ถูกพามายังห้องๆหนึ่ง ที่ห้องนี้มีชายหนุ่มที่เปร่งออร่าสีขาวออกมา แต่ว่าตัวเขานั้นเป็นคนผิวสีน้ำตาลสวมชุดคล้ายบาทหลวงในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ว่าใบหน้าของเขาก็มีรอยสักสีน้ำเงินและบนหัวของเขาก็มีเขางอกออกมา

[เผ่าอสูรนิ…..แถมรอยสักสีน้ำเงิน นั้นมันระดับปราชญ์!!! ตัวตนระดับนี้อยากบอกนะว่า…] มาร์ใช้สกิล [เปิดเผยตัวตน] สกิลตรวจสอบระดับ 14 เขาก็รู้ได้ว่าชายตรงหน้าเขานั้นเป็นตัวตนที่อยู่สูงเกือบสุดในระบบเผ่าพันธ์ุ

"สวัสดีตอนเช้านะขอรับ มาร์ บุตชายแห่งบ้านซันเบิร์น กระผม เคโอทิค เดโบลอส ครูใหญ่ประจำโรงเรียนคอลราจแห่งนี้ ก่อนอื่นกระผมต้องขออภัยที่เชิญ คุณมาร์ มาโดยวิธีที่รุนแรงเสียหน่อย แต่เป็นเพราะพวกเรากลัวว่าคุณมาร์จะขัดขืนยังไงกระผมก็ต้องขออภัยด้วยนะขอรับ" เคโอทิคพูดจบเขาก็ก้มหัวขอโทษมาร์พร้อมกับ หญิงสาวผมสีเขียวข้างๆเขา

[ได้ยินมาว่า เผ่าอสูรที่โลกนี้เป็นเผ่า[พ่อพระของโลก] แต่ไม่คิดว่าจะ….อ่อนน้อมขนาดนี้เลยแหะ] มาร์ประหลาดใจกับสิ่งที่เขากำลังเจอ เขาหันไปมองผู้หญิงอีกคนที่อยู่ข้างๆ เคโอทิค

เธอสวมชุดของแม่ชี เธอเป็นคนตัวเล็กคล้ายเด็ดประถม แต่ว่าตามตัวของเธอนั้นมีรอยสักของเถาวัลย์ ผมของเธอมีสีเขียวและที่หัวของเธอก็มีมงกุฎหนามกุหลาบและดอกกุหลาบอยู่บนหัวของเธอ แต่ว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจกว่าคือรอบๆตัวเธอมีกลีบกุหลาบร่วงหล่นลงมาตลอดเวลา กลีบพวกนั้นพอลงแตะถึงพื้นก็สลายไปและส่งกลิ่นหอมออกมา

"เอาละ เธอเองก็แนะนำตัวกับคุณมาร์เขาสิขอรับ" เคโอทิคเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหญิงสาวคนนั้นก่อนจะบอกให้เธอแนะนำตัวเอง

"ดิชั้น เชอรี่ สไปน-ฟอเรส ผู้ช่วยครูใหญ่แห่งโรงเรียนคอลลาจ ยินดีที่ได้พบบุตรชายของบ้านซันเบิร์นและได้ทำความรู้จัก คุณมาร์นะเจ้าคะ" เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะเหมือนกับดนตรีที่ถูกบรรเลงโดยเทพีแห่งพืนป่า

"ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องสุภาพกับผมก็ได้นะครับ คือ…รู้สึกอึดอัดมากๆเลยละครับ ฮะๆ" มาร์พยายามบอกให้ทั้งสองคนนั้นพูดจาไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก เพราะเขารู้สึกกดดันและอิดอัดการสนทนาแบบนี้

แต่ว่า เคโอทิคก็ส่ายหน้าแล้วบอกว่า "ไม่ได้หรอกขอรับ ผมไม่อาจปฏิบัติหยาบคายจนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของเผ่าอสูรได้หรอกนะขอรับ ผมต้องขออภัยที่ไม่อาจทำตามคำร้องขอ ของคุณมาร์ได้นะขอรับ อย่างไรก็ดีผมขออนุญาตเข้าเรื่องเลยนะขอรับ"

[จ่ะ พ่อพระของโลก] หลังจากนั้นมาร์ก็ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด

สาเหตุที่เขาต้องอยู่ห้องพิเศษ และเรื่องที่เขาจะต้องเจอต่อจากนี้นั้นคือ

[ เนื่องจากเราสอบได้คะแนนสูงที่สุดตลอดที่โรงเรียนเปิดมา 2000 ปี ทั้งยังตอบโจทย์วิชาการที่มีคำถามถึง 5 ข้อ ที่เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบกันให้ลงตัวไม่ได้

แต่เพราะไอที่เราตอบดันตอบทุกความเห็นไป จึงแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนที่ตามเรื่องนี้และมีความรู้เทียบเท่ากับศาตราจารย์

ส่วนในเรื่องทักษะต่อสู้กับการคุมพลังเวทย์ เราก็ถูกตรวจสอบแล้วหลายครั้ง ซึ่งทุกคนมีความเห็นว่าเป็นเด็กมีพรสวรรค์ที่ไม่มีใคiสามารถสอนได้

ดังนั้น อาจารย์ในโรงเรียน ทั้ง 500 คน จึงลงมติกันว่า ให้เราอยู่ในโรงเรียนต่อไปได้โดย ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องสอบ อยากทำอะไรก็ทำ

แลกกับทางโรงเรียนจะมอบ "ห้องเรียนพิเศษ" หรือก็คือห้องส่วนตัวให้เราไว้ใช้ทำอะไรก็ได้

ถึงครูใหญ่จะบอกว่าไว้เพื่อการวิจัยสิ่งที่เราสนใจ กับ เรามีหน้าที่ช่วยสอนหรือลงแข่งในชื่อของโรงเรียน ]

นี้คือสรุปสิ่งที่ครูใหญ่บอกกับมาร์ แต่มาร์นะเหรอในหัวเขาตอนนี้กลับคิดว่า

[ ทว่านะ สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เรื่องห้องหรือชื่อเสียงแต่เป็น …. เงิน ใช้ โรงเรียนจะให้เงิน เราเป็นรายเทอมเหมือนจ้างเรียนซึ่ง แม่งงงคือความแจ่มแมวอย่างหาที่สุดมิได้จริมๆ ค่าจ้างเรียนนะเหรอ 500 โกลล์ แล้วโกลล์นึงเนี่ยพออยู่ได้ 1 เดือนเลยนะเออ นี้คืออยู่ไปยาวๆ 500 เดือนได้ง่ายๆเลย ฟินสึส!!!] มาร์แอบกุมมือ*เยส* ใต้โต๊ะเพราะสิ่งที่เขาจะได้รับนั้นเหนือคาดหมายเกินไปลิบลับ

ตอนแรกมาร์คิดว่า มาเข้าเรียนและจบไปด้วยคะแนนดีๆเพื่อเอาต่อยอดหางาน สร้างเนื้อสร้างตัว แต่นี้ข้ามขั้นไปไกลโขเลย

[ ยังไม่หมดเท่านั้น โรงเรียนยังให้เงินทุนวิจัยอีกต่างหาก ย้ำว่า "ต่างหาก" อย่างงี้เราก็สามารถพัฒนาอาวุธปืนได้ตามใจชอบแล้วสินะ สุดๆไปเลยยยยยเหวยยยยยยยยยย ]

โลกนี้มีปืนเป็นอาวุธด้วย แต่ว่าปืนเป็นอาวุธสำหรับมนุษย์ที่ไร้ซึ่งพลังและความสามารถ จนอ่อนแอกว่าเผ่าอื่นๆมาก พวกเขาจึงเริ่มประดิษฐ์ปืนมาใช้เพื่อป้องกันตัวนานกว่า 100 ปีแล้ว แต่ปืนในโลกนี้ก็ยังเป็นเพียงปืนคาบศิลาเท่านั้น รวมกับมนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบกับทุนสำหรับวิจัยเรื่องปืนได้เลย ปืนจึงยังไม่สามารถพัฒนาไปไหนได้ไกลนัก

หากมองจากข้างนอกมาร์ยังคงนั่งยิ้มอยู่ตรงข้ามเคโอทิคกับเชอรี่ แต่จริงๆแล้วข้างหลังของมาร์ตอนนี้กำลังมีเงาคนสีดำขนาดเท่านิ้วชี้เต้นรำฉลองความร้ำรวยกันอยู่

"แล้วเธอมีความเห็นว่าอย่างไรละเจ้าคะ คุณมาร์" เชอรี่พูดขึ้นมาพร้อมกับยื่นเอกสารสัญญาให้มาร์

มาร์ก็หยิบมาอ่านเช็คเพื่อความมั่นใจ หลังจากอ่านเสร็จเขาก็เซ็นต์ชื่อของเขาและสัญญานั้นก็ม้วนตัวเองและปิดผนึกด้วยตราสีแดงก่อนจะแตกตัวออกเป็น 2 ฉบับ

"เช่นนี้ ยินดีต้อนรับ คุณมาร์สู่การเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนคอลลาจนะขอรับ" เคโอทิคยื่นมือมาหามาร์และมาร์ก็ตอบกลับด้วยการจับมือนั้น

"เช่นกันครับครูใหญ่!!!" มาร์ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าร่าเริง

"งั้นก่อนอื่นเลยคงต้องขอให้คุณมาร์ช่วยเปลี่ยนเครื่องแบบแล้วตามเรามาด้วยนะเจ้าคะ" อยู่ๆเชอรี่ก็เดินมาหามาร์ในมือเธอมีซองถุงกระดาษสีขาวห่ออย่างดีและบนห่อนั้นก็ผูกโบว์พร้อมกับข้อความว่า [สำหรับนักศึกษาพิเศษสุดน่ารัก]

"นี้คือเครื่องแบบ ใหม่สำหรับนักศึกษาพิเศษ ทางเราได้ให้บริษัทแฟนชั่นชื่อดังอย่าง [แมรี่&วราเรย์ แกรนด์แฟชั่น] ออกแบบให้โดยเราได้ส่งรูปของคุณมาร์ให้กับทางบริษัทเพื่อออกแบบชุดนี้เป็นพิเศษ หวังวาคุณมาร์จะชอบนะขอรับ" เคโอทิคเดินมาและแกะซองใส่เครื่องแบบนั้นออก

มันเป็นชุดรัดรูปสีดำที่เปิดไหล่และมีเสื้อคลุมให้มันเป็นเสื้อคลุมสีดำที่มีแทบขาวทั้งสองข้าง ส่วนช่วงล่างเป็นกางเกงเล็กกิ้งสีดำแทบขาวเหมือนกัน รองเท้าก็เป็นรองเท้าผ้าใบดำแทบขาว

มาร์ที่เห็นก็ถึงกับหน้าซีดและกอดตัวเองทันที เขาพยายามจะหันหลังและเดินออกจากห้องแต่ที่ประตูนั้น แต่จู่ๆก็มีรากไม้ขึ้นมาขวางไว้เหมือนไม่ให้ออก

"ขออนุญาตนะเจ้าคะ คุณมาร์ไม่งั้นพวกเราจะไปไม่ทันพิธีเปิดนะเจ้าคะ!!!" เชอรี่เริ่มลงไม้ลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้ามาร์ทันที เธอใช้เถาวัลย์จำนวนมากเข้าจับตัวมาร์ก่อนจะเริ่มเปลื้องผ้าและเอาชุดที่สั่งตัดมาใส่ให้

"ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!" มาร์กรีดร้องอยู่ในห้องของครูใหญ่ เสียงนั้นไม่อาจส่งไปหาใครที่จะมาช่วยเขาได้เลย…. มาร์ได้แต่คิดในใจว่า [ มีบริษัทเป็นร้อยเป็นพัน ไหงไปจบที่บริษัทแม่ได้ล่ะโว้ยยย!!!! ]

….

มาร์หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น เขาก็ยังคงอยู่ที่อาคารที่ว่านั้น อีกหลายวัน ในฐานะ "บอส"

องค์กรใต้ดินนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ผี" และชื่อบังหน้าก็คือ " โรงงานผลิตของเล่น Ghost "

มาร์ควบคุมคนในองค์กรของเขาด้วยความหวาดกลัวผสมความนับถือ และมาร์ก็ไม่ได้เป็นคนยัดเยียดให้ทุกคนต้องคิดกับเขาเช่นนั้น

แต่เป็นเพราะคนในองค์กรนั้นแหละที่คิดกันแบบนั้นเอง เพราะว่าแต่ละคนตอนที่โดนมาร์จับกุมตัวได้ ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย ทั้งยังไม่รู้สึกว่ามาร์กดดันหรือเหนื่อยแม้จะจับพวกเขาไปเยอะมากแค่ไหนก็ตาม

ที่สำคัญกว่านั้นคือในสายตาของพวกเขา มาร์มีพลังแปลกๆที่ไม่มีใครรู้จักมากมาย ทั้งการทำให้เหล็กหรือสิ่งของกลายเป็นอย่างอื่น หรือแม้แต่การที่เขาสามารถเดินบนท้องฟ้าได้ สกิลพวกนั้นไม่มีใครในองค์กรรู้

และเพราะความไม่รู้นี้แหละ ที่ทำให้ทุกคนตีโพยตีพายไปเพิ่มเติมว่า มาร์ หรือ บอสคนใหม่ของพวกเขาต้องมีสกิลแปลกๆอีกมากแน่ๆ

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเชื่อในความคิดนั้นมากที่สุดคือ การที่มาร์ล้มบอสเก่าของพวกเขาได้โดยไม่มีบาดแผลใดๆติดตัวเลย และยิ่งการที่สวมชุดแปลกๆที่ไม่เคยมีใครเห็น กับอาวุธที่ส่งเสียง*จิ๊บ*ออกมาและทำให้คนที่โดนถึงกับสาหัส

พวกเขาต่างเรียกบอสใหม่ของพวกเขาว่า "Laruam [Specter]" ด้วยหน้ากากที่บอสของพวกเขาใส่นั้นเหมือนวิญญาณบางอย่างกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

"เอาละ ทุกคนๆ หลังจากที่ผมสอนวิธีการไปแล้ว รบกวนช่วยทำให้ได้อย่างน้อย 20 ลัง ภายใน 1 เดือนนะ"

มาร์พูดกับพวกเขาที่ยืนเรียงแถวกันในห้องของบอสเก่า แต่ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้มาร์ได้เปลี่ยนห้องนี้เป็นสำนักงานด้วยการ [รังสรรค์] จนมันกลายเป็นเหมือนห้องของ CEO บริษัทไปแล้ว

ข้างๆที่มาร์นั่งอยู่นั้นมีเหล่าผู้หญิงในชุดพนักงานออฟฟิสผสมสายรัดกับอาวุธที่มาร์สร้างขึ้นมา ยืนเรียงแถวกันอยู่ราวๆ 10 คน ให้บรรยากาศเหมือนบอดี้กาดหญิงมากกว่าเมดเสียอีก

พวกเธอคือเหยื่อเคราะห์ร้ายที่รอดมาได้ และหลังจากที่ทุกคนฟื้นก็ต่างพากันเข้ารับใช้มาร์ โดยพวกเธอมองมาร์ว่าเป็นเหมือนเทวทูต ที่ลงมาโปรดพวกเธอ

บางคนในกลุ่มที่รอดมาได้ ก็แอบนับถือมาเป็นพระเจ้าของตนอย่างลับๆ

ต้นเหตุที่เป็นแบบนี้ เพราะสกิล [รักษาสมบูรณ์] ที่มาร์ใช้กับพวกเธอนั้นแหละ

สกิลรักษานั้นคือการ แลกเปลี่ยน มานา กับสภาพร่างกาย และในตอนนั้นที่พวกเธอก็อยู่ใกล้ปากทางเข้าโลกความตายแล้ว มาร์สามารถดึงพวกเธอกลับมาได้ ในสภาพที่สมบูรณ์ และเขาก็ไม่ได้มีอาการเหนื่อยอะไรเลย

"ครับ/ค่ะ บอส" พวกเขาทุกคนตอบกลับำร้อมกับก้มหัวอย่างสุภาพเรียบร้อยให้กับมาร์ ตอนนี้ทุกคนได้ทิ้งผ้าคลุมดำไปหมด แล้วหันมาใส่เสื้อผ้าที่บอสของพวกเขาวาดขึ้นและสั่งตัดให้พวกเขา มันคือชุดสูทสีดำ

[ อืม….ตอนนี้สภาพ รวมๆแล้ว…ไม่ว่าจะดูยังไง จากมุมไหน ตรงไหน ที่นี้มันก็ที่กบดานมาเฟียชัดๆ!! ] มาร์ที่มองไปรอบๆคิดแบบนั้น บรรยากาศในห้องตอนนี้มันมากกว่าองค์กรใต้ดินจะทำกันแบบแค่สั่งแล้วก็ไปทำงาน

มันเหมือนสัมมนาประชุมของกลุ่มมาเฟีย ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อยยืนเป็นระเบียบ และแสดงสีหน้าพร้อมทำงานแต่ก็ซ่อนความกลัวเอาไว้ ในห้องก็ถูกตกแต่งจนดูผิดจากอดีตที่เป็นห้องกำแพงหิน ตอนนี้มาร์เปลี่ยนหินพวกนั้นให้เรียบและทาสีดำลงไป

"เอาละ พวกน.."

"อะแฮ่ม…ขอโทษนะคะนายท่าน ขอเวลาสักครู่นะคะ" มาร์กำลังจะพูดแต่ก็ถูกยูเรย์ห้ามเอาไว้

"นายท่านคะ นายท่านต้องทำตัวให้สมกับเป็นบอสหน่อยนะคะ ไม่ต้องไปเกรงใจพวกนี้หรอกค่ะ พูดแบบเดียวกับตอนที่จับพวกนั้นมาจะดีกว่านะคะ นายท่าน.." ยูเรย์เดินมากระซฺบข้างหูมาร์เบาๆ

"อ่า งั้นเหรอ แบบนั้นก็น่าจะดีกว่านะ" มาร์ที่ได้ยินก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆเบาๆ

"พวกแกฟัง!!! ที่นี้ใครกล้าฝ่าฝืนกฎ ก็เตรียมไปอยู่กับบอสเก่าของพวกแกได้เลย เข้าใจไหม!!!" มาร์พูดออกมาเสียงดัง ทำให้พวกลูกน้องของเขาตัวสั่นแต่ก็พูดตอบกลัด้วย "ค่ะ/ครับ" ทุกคน

กฎของ"ผี" นั้นคือ

1. บอสและเมดของเขาถือเป็นที่สุด

2. ไม่ทำร้ายหรือยุ่งกับคนทั่วไปโดยไม่จำเป็น

3. ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด

4. ค้าอาวุธเพื่อกำไร และไม่ขายให้คนที่อาจจะเป็นศัตรู

5. ไม่เข้าใจกลับไปดูข้อ 1.

"ดี… งั้นพวกแกก็เริ่มไปทำงานกันได้แล้ว ใครทำอาวุธก็ไปทำ ใครทดลองก็เอาไปลอง ใครจะหาเส้นสายสำหรับขายก็เอาไปรีบๆไป อย่าให้ช้าเราจะมาเปลี่ยนแนวทางการใช้อาวุธของโลกใบนี้กัน!!!" มาร์พูดกับพวกนั้น และทุกคนก็ก้มหัวก่อนที่จะแยกย้ายกันออกไป

ตอนนี้บริษัท "โรงงานผลิตของเล่น Ghost" เริ่มทำหน้าที่ของพวกเขาแล้ว แม้เบื้องหน้าจะเป็นร้านค้าทาสเกรดต่ำ ถึงกลาง ที่มีราคาทาสตั้งแต่ 1 โกลล์ ถึง 100 โกลล์ ทว่าตอนนี้ที่ใต้ดินกำลังมีโรงงานผลิดอาวุธและพื้นที่ทดสอบขนาดใหญ่ ที่ผลิตสิ่งที่เรียกว่า"ปืน" ออกมา ทว่าปืนของที่นี้ต่างจากที่อื่น ปืนของที่นี้ทรงพลังพอจะฆ่าพวกอัศวินที่เผลอได้อย่างง่ายได้ ด้วย *ปั้ง* ครั้งเดียว

หลังจากที่ลูกน้องของมาร์แยกย้ายออกไปหมดก็เหลือเขากับเมดอยู่ในห้อง ทุกคนยกเว้นยูเรย์ต่างพากันเดินอ้อมไปที่ข้างหน้าของมาร์ และก้มหัวคุกเข่าลงทำความเคารพเขา

"พวกเธอน่ะ ยืนขึ้นเถอะนะไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก แล้วก็ยังไง..ผมก็ขอโทษด้วยที่ไม่สามารถช่วยให้พวกเธอกลับไปที่บ้าน…ในตอนนี้ได้ละนะ" มาร์พูดออกมาเขารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถช่วยพวกเธอไปจนถึงที่สุดได้ ไม่สามารถช่วยให้พวกเธอได้กลับไปที่บ้านที่รักของพวกเธอได้

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะนายท่าน แค่พวกดิชั้นรอดมาได้และได้รับใช้ท่านต่อจากนี้ก็เป็นสุขยิ่งแล้วค่ะ" หนึ่งในพวกเธอกล่าวขึ้นมา

"งั้นเหรอ ผมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่มีคนมาทำงานให้แต่ว่าบางที…" มาร์หยิบถุงเงินออกมา

[ จะให้มาทำงานฟรีๆ ก็ไม่ใช่เราละนะ อย่างน้อยก็ให้เงินเดือนพวกเธอไปละกัน เพื่อว่าถ้าอยากกลับจะได้มีเงินติดตัวไว้บ้าง ] มาร์คิดแบบนั้น เพราะในโลกเก่าที่จากมาเขาไม่เคยทำงานให้ใครฟรีๆ และไม่ชอบให้ใครมาทำงานให้เขาฟรีๆ

"เอ้า… ต่อจากนี้ผมจ้างพวกเธอละกันนะ เงินเดือนที่คนละ 20 โกลล์ 11 คนก็ 220 โกลล์ใช่ไหม มารับทุกๆสิ้นเดือนละกันนะ…อ๊ะ…จะไม่เอาเงินเดือนกันสินะ" มาร์พูดออกไปแต่ว่าคราวนี้เขาสัง้กตุเห็นว่าเหล่าเมดของเขารวมถึงยูเรย์เองต่างแสดงสีหน้าที่รู้สึกกระอักระอ่วย ไม่อยากรับเงินจากเขา

"เห้อออ ฟังนะ พวกเธอน่ะทำงานใต้คำสั่งผมก็ควรจะมีเงินเดือนไว้บ้าง เวลาอยากได้อะไรก็จะได้เอาไปใช้" มาร์มองไปที่ทุกคน แต่ว่าพวกเธอก็ยังคงแสดงสีหน้าปฏิเสธขึ้นมา

"เอาละ ถ้าไม่อยากรับก็ไม่ต้องมาทำงานให้ แบบนี้จะเอาหรือไม่เอาละ" ทุกคนที่ได้ยินเปลี่ยนสีหน้าทันทีและก้มลงเอาหัวกราบกับพื้น พวกเธออยู่ๆก็วาดกลัวขึ้นมา แม้แต่ยูเรย์ที่อยู่ข้างๆมาร์ก็เข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้น

ทุกคนต่างพึมพำเป็นเสียงเดียวกันว่า "พวกเรากำลังจะถูกทอดทิ้ง"

มาร์ที่ได้ยินก็ถึงกับกลุ้มขึ้นมา [ ….เห้อออ ทำไมถึงไม่อยากได้เงินกันขนาดนั้นกัน แล้วอะไรคือถูกทอดทิ้ง เราเองก็ไม่ได้รับพวกเธอมาเป็นทางการซธหน่อย นี้ที่จะให้เงินก็เพื่อเรื่องนี้ด้วยนะเห้ยยย ฮัลโหลลล ไหวกันหรือเปล่าา??? ]

"เอาละ สรุปจะรับหรือไม่รับ เลือก ไม่เลือกเราจะถือว่าพวกเธอปฏิเสธนะ" มาร์พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆก่อนจะวางเงินลงที่หน้าของเขา 11 กอง กองละ 10 โกลล์

สิ่งที่ตามมานั้นมาร์ไม่ได้คิดเลยว่าจะเกิดขึ้น พวกเธอหมอบคลานเข้ามาและหยิบเงินนั้นใส่ในกระเป๋าที่ละเหรียญพร้อมน้ำตา ทุกครั้งที่พวกเธอหยิบเหรียญทองขึ้นมาจะกุมมันไว้ในมือและจูบเหรียญนั้นก่อนที่จะอมเหรียญเอาไว้ราวๆ 1 นาทีก่อนจะเอาใส่กระเป๋า

[เอ่อ…สรุปคืออยากได้หรือไม่อยากได้เนี้ย แล้วก็หยุดอมเหรียญได้แล้วเว้ย มันสกปรก เห้ยย ตรงนั้นน่ะ ยูเรย์ เธอจะเอาเหรียญทองไปถูหน้าอกเพื่ออะไรวะนั้น หยุด หยุด] มาร์มองไปที่พวกเธอทั้ง 11 คน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

"เห้ยๆๆ หยุดอมเหรียญได้แล้ว มันสกปรกพวกเธอก็รู้ไม่ใช่เหรอไง" มาร์พูดออกไปกะให้พวกเธอหยุดแต่ว่า คำตอบที่ได้รับคือ

"มิได้ค่ะ นายท่าน พวกเราต้องทำความสะอาดพวกเหรียญที่ท่านมอบให้แก่พวกเรา และถ้ามันจะสกปรกก็ไม่ควรสกปรกด้วยน้ำมือของคนอื่นนอกจากพวกเราและนายท่านค่ะ" หนึ่งในนั้นพูดออกมาและเมื่อเธอพูดจบก็เริ่มอมเหรียญต่อด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

[อืม…สงสัยจิตใจยังไม่ฟื้นดีละมั้ง เอาเถอะ ร่างกายพวกเธอเองตอนนี้แค่อมเหรียญคงไม่ทำให้ถึงตายหรอก] มาร์นั่งรอพวกเธอทำ "กิจกรรมอม" ต่อจนเสร็จ

พวกเธอคลานถอยออกไปที่ตำแหน่งเดิมของตนเอง แล้วก็กลับไปก้มหัวอีกครั้ง

"เอาละ ในเมื่อรับเงินแล้ว พวกเธอก็ถือว่ามาทำงานให้ผม ต่อจากนี้หวังว่าจะทำงานกันคุ้มเงินที่ได้นะ" มาร์พูดพร้อมกับมองไปรอบๆ ใบหน้าของเขาตอนนี้มีรอยยิ้มแห่งความสุขที่สามารถมอบเงินให้พวกเธอได้สักที

ยูเรย์ที่อยู่ข้างๆเดินออกมายืนด้านหน้าของมาร์ก่อนที่จะคุกเข่าลงและพูด "แน่นอนค่ะ นายท่าน พวกเรา ทั้ง 11 คนจะรับใช้นายท่านไปตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ใช่ไหม ทุกคน"

เมดทั้ง 10 คนที่อยู่ข้างหลังก็ตอบรับด้วย คำว่า "ค่ะ!!" พร้อมกัน

"ไม่ต้องถึงจนตายหรอก แต่ผมดีใจนะที่พวกเธอเต็มใจมาทำงานกับผม งั้นงานที่ผมจะมอบให้คือ พวกเธอต้องช่วยเรื่องจัดการบริหารองค์กรนี้ในตอนที่ผมไม่อยู่ แล้วก็คอยช่วยเหลือผมด้วย หวังว่าพวกเธอจะทำมันได้ดีนะ" มาร์พูดออกมาเพราะไม่รู้ว่าเขาจะมอบงานอะไรให้พวกเธอ ในหัวเขามีแค่

[เอ่อ…..รับมาทำงานแต่ดันลืมไปเลยว่าไม่มีงานอะไรให้ทำเงลยแหะ พูดไปแบบนั้นคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง จริงใช่มะ คงไม่เป็นอะไรหรอก??] มาร์นั่งคิดอย่างเรื่อยเปื่อยจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ เขารู้แค่ว่าตอนนี้ผู้หญิงทั้ง 11 คนกำลังล้อมวงประชุมบางอย่างอยู่

"งั้นก็ชั้นยูเรย์จะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าของกลุ่ม [ผู้รับใช้ผี] นะ ส่วนหลังจากนี้ ดูแล้วพวกเราต้องแบ่งงานกันทำ มีใครถนัดงานเอกสารอะไรบ้าง?" ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นไปได้ด้วยดี

"ชั้นค่ะ งานเอกสารประเภทตัวเลขเป็นงานก่อนที่จะถูกลักพาตัวมาค่ะ" ผู้หญิงคนนึงพูดขึ้นมาแล้วยูเรย์จัดการตำแหน่งให้เธอ

การยืนประชุมของทั้ง 11 คนก็ค่อยๆผ่านไป มาร์เองที่เริ่มเหนื่อยหลังจากต้องตื่นติดต่อกันหลายวันก็ค่อยๆงีบหลับลง

………

…….

…..

"นายท่านคะ นายท่าน ตื่นได้แล้วค่ะ เช้าแล้วนะคะ" เสียงของยูเรย์ดังขึ้น มาร์ที่ได้ยินเองก็ค่อยๆลืมตาแล้วก็เห็นว่าตอนนี้เขาไม่ได้นั่งที่เก้าอี้แล้วแต่กลับมานอนที่เตียงแทน

"เช้าแล้วเหรอ ยูเรย์ หึบบบบ นี้ตอนนี้ผ่านไปกี่วันกันแล้วหลังจากที่ผมยึดที่นี้น่ะ พอจะรู้ไหมยูเรย์" มาร์ถามเธอที่ตอนนี้กำลังเดินไปเข็นรถเข็นที่บนนั้นมีอาหารถูกเตรียมเอาไว้

"โอ้…ขอบคุณสำหรับอาหารนะ" มาร์ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่โต๊ะของเขา

"ค่ะ ตอนนี้ผ่านมา 5 วันแล้วหลังจากที่นายท่านมาที่นี้ อืมม ทำไมเหรอคะนายท่าน?" เธอพูดขึ้นในขณะที่เตรียมอาหารเช้าให้มาร์

[ชิบหายยยย 5 วัน ถ้าติดต่อเข้ามาในช่วงนี้ แล้วเราไม่ตอบกลับนานขนาดนั้นนี้ครูใหญ่คงกำลังตามหาตัวเราอยู่แหงๆ ตายละ ตายละ ต้องรีบกลับละมั้งเนี้ยยยย] มาร์รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปที่ทางออกทันที

"นายท่านคะ!!! นายท่านจะไปไหนเหอคะ นี้พึ่งจะเช้าเองนะคะ ออกไปแบบนี้เดี๋ยวผู้คนก็เห็นหรอกนะคะนายท่าน" ยูเรย์เดินตามมาร์มาอย่างรวดเร็ว

"เราต้องรีบกลับไปที่"ของเรา"แล้วละ นี้ผ่านมา 5 วันแล้ว ขืนไม่กลับไปแล้วมีเรื่องอะไรละก็โดนแน่ ตาย ตาย" มาร์ยังคงเดินตรงไปที่ทางออกโดยเขาผ่านทุกห้องจนตอนนี้มาอยู่ที่ทางออกตึกแล้ว

"งั้นดิชั้นขอตามไปด้วยนะคะนายท่าน!!" เธอพูดขึ้นมาเสียงดัง มาเลยหยุดและหันกลับไปมอง

ตอนนี้ใบหน้าของยูเรย์เต็มไปด้วยน้ำตา เธอคิดแต่ว่า [ นายท่านกำลังจากจากเราไป ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ เราต้องอยู่เคียงข้างท่านและรับใช้ท่านไปตลอด เราจะยอมให้ท่านไปไม่ได้เด็ดจขาด ]

"เห้ออออ แต่ผมต้องกลับละนะ ไว้กลางคืนวันไหนผมจะมาที่นี้เพื่อตามดูผลงานละกัน ระหว่างนี้ก็…"

"ไม่ค่ะ นายท่าน ดิชั้นต้องอขอนุญาตตามไปด้วย เพราะนี้"เป็นงาน" ที่ท่านมอบให้นะคะ ยังไงก็ต้องมีพวกเรา 1 ใน 11 คนไปตามดูแลท่าน หวังว่าท่านคงจะเข้าใจดีนะคะ" ยูเรย์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง เธอเดินเข้าไปหามาร์และมองไปที่เขา

มาร์ที่โดนแบบนั้นก็รู้สึกใจอ่อนทันที มันแปลกมาก มาร์ไม่ควรจะใจอ่อนแบบนี้ เขารู้สึกว่าเหมือนกับมันเป็นหน้าที่ ที่ต้องพายูเรย์ไปด้วย

"เห้อออ เอาเถอะ งั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะ เดี๋ยวผมจะรออยู่…." มาร์ยังไม่ทันได้พูดจบ คราวนี้ยูเรย์เริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอ

เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยการถอดมันออกทีละชิ้นอย่างช้าๆ จากบนลงล่าง ผิวของเธอนั้นเปร่งปรั่ง และเนียนสวย

มาร์เองก็เป็นครั้งแรกที่พึ่งจะได้เห็นยูเรย์ชัดๆแบบนี้ เธอเริ่มสวมเสื้อผ้าที่ 1 ใน 10 เมด เตรียมมาอย่างช้าๆ เป็นชุดลำลองสีขาวเสื้อในสีดำและกระโปรงสั้นสีดำ เธอสวมมันก่อนที่จะดึงถุงน่องขึ้นมาจากปลายเท้าสู่เอว จบด้วยการใส่รองเท้าหนังสีดำที่มีขนสัตว์ประดับที่ข้อเท้า ก่อนจะจบด้วยการผูกโบวสีขาว

"เสร็จแล้วค่ะ นายท่าน!!" ยูเรย์ที่เปลี่ยนชุดเสร็จก็พูดขึ้นมาโดยที่ไม่สนสายตาของลูกน้องมาร์ที่กำลังจัดคงจัดของกันอยู่แม้แต่น้อย

"อะแฮ่ม พวกแกกลับไปทำงานได้แล้ว อย่ามัวแต่ยืนเฉย เดี๋ยวก็.."

" "ครับบอสสส!!!" " พวกเขากลับไปทำงานกันอีกครั้ง

"นี้วันหลังยูเรย์เองอย่าทำแบบนี้จะได้หรือเปล่า มันล่อตาล่อใจผู้ชายนะเออ เห้อออ" มาร์ถอนหายใจ และกุมหัวด้วยความเครียดเล็กน้อย

"ก็นายท่านคะ…แบบว่า ถ้าไปเปลี่ยนที่ห้องกว่าจะกลับมานายท่านจะรอนานเสียเปล่าๆนะคะ" เธอพูดกับมาร์มันเป็นใบหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ

[ จร่ะ ตามใจเลยจร่ะ ] มาร์ได้แต่สายหัว กับความคิดของยูเรย์

"งั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ ช้ากว่านี้มีแต่จะเสี่ยงกว่าเดิม ฮะๆ" มาร์หัวเราะออกมาแห้งๆก่อนที่จะรีบเปิดประตูออกไปข้างนอกโดยมียูเรย์ตามมาข้างหลังเขา

ทั้งสองเดินไปตามถนนอยู่สักพัก แล้ววันนี้ก็โชคดีที่ยังไม่ค่อยมีคนมาที่ตลาดค้าทาสเยอะซักเท่าไหร่

"ยูเรย์เดี๋ยวผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแปปนึงละกันนะ" มาร์เดินเลี้ยวเข้าซอยแคบๆด้านหน้า ยูเรย์ก็ตามหลังมาติดๆกะไม่ให้เขาหนีไปจากสายตาได้เลย

มาร์เปลี่ยนชุดของเขาอย่างรวดเร็วกลับไปเป็นชุดนักศึกษาหลักสูตรพิเศษ และถอดหน้ากากออก ทำให้ยูเรย์ได้เห็นหน้าจริงๆของมาร์ครั้งแรก

[ สง่างาม…. ] นั้นคือสิ่งที่ยูเรย์คิด มาร์มองมาที่เธอแต่ยูเรย์ก็หลบสายตาของเขาด้วยความเขินอายและความไม่คุ้นเคย

"ต่อจากนี้เรียกเราว่า มาร์ก็พอ ไม่ต้องมีท่าน คุณ หรืออะไรเพิ่มมาล่ะ" มาร์พูดพร้อมกับโยนเสื้อผ้าของเขาเข้าไปใน [พื้นที่มิติ]

"ค…ค่ะ มาร์.." ยูเรย์พยายามพูดออกมาแต่ก็ทำได้ดีไม่มีติดขัดอะไร

[ว่าแต่จะอ้างกับ ครูใหญ่ยังไงละวะเนี้ยยยย ลืมเฉยยยยย เอาไงดีวะ เอาไงดี เอางี้ละกัน ดูน่าเชื่อถือสุดละมั้งงง]

"เอาละตามมาแล้วอย่าทำตัวน่าสงสัยล่ะ แล้วช่วยจำไว้ว่า ที่เราเจอเธอเพราะ…" มาร์เริ่มเล่าเรื่องที่เขาพึ่งคิดได้ให้กับยูเรย์ เพื่อให้เธอเอาไว้ใช้ตอนโดนถามว่าทำไม ยังไง หรืออะไร

เรื่องก็คือตอนออกไปหาข้อมูลในป่าสำหรับทำวิจัย มาร์พบยูเรย์นอนบาดเจ็บอยู่โดยพ่อแม่ของเธอนั้นกำลังถูกมอนสเตอร์กินทั้งเป็น มาร์จึงเข้าไปช่วยยูเรย์ออกมา แล้วพาเธอไปรักษากับคนที่มาร์รู้จัก แบบนี้มาร์เลยต้องอยู่ดูอาการหลายวัน พอเธอฟื้นก็ไม่มีที่ไป มาร์เลยยื่นข้อเสนอไปว่า "มาเป็นน้องสาวของเราไมหมละ" ยูเรย์ที่ได้ยินก็ตอบตกลงทันที หลังจากนั้นมาร์ก็พาเธอกลับมาที่หอ

[ อ๊ะ แต่เดี๋ยวนะ ยูเรย์..อายุเท่าไหร่หว่า ] มาร์สงสัยขึ้นมาเพราะถ้าเกิดยูเรย์อายุมากกว่าเขาเขาจะได้แต่งเรื่องใหม่ได้

"ยูเรย์ นี้เธออายุเท่าไหร่เลยเหรอ?" มาร์หยุดเดินแล้วหันกลับไปถามยูเรย์

"ปีนี้ชั้….น้องอายุได้ 13 แล้วค่ะ" เธอตอบกลับมา มาร์ที่ได้ยินก็ถึงกับจะอุทานออกมาว่า "เชี้ย!!" เลย แต่เขายังหยุดเอาไว้ได้

"โตไวเหมือนกันนะเรา…" เพราะถ้ามองดูดีๆแล้วยูเรย์นั้นเตี้ยกว่ามาร์เพียงหน่อยเดียว

"ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่" ยูเรย์พูดด้วยสีหน้าที่เขินอาย และบิดตัวไปมา มาร์เองก็ลูบหัวยูเรย์ด้วยความอ่อนโยน และห่วงใย มาร์คิดว่า [ เล่นได้ตามบทบาทดีนิ นี้ยังไม่ได้บอกให้เรียกว่าพี่เลยนะ สงสัยมีแววด้านการแสดงละสิ อืมๆ น่าชื่นชมๆ ]

[ นายท่านกำลังลูบหัวเรา อาห์ อ๊ะ อ่าาาาาห์ ฟินสุดๆไปเลยค่ะะะ] แต่นี้คือสิ่งที่อยู่ในหัวของยูเรย์

ทั้งสองเดินต่อจนกระทั่งมาหยุดที่หน้าโรงเรียนคอลลาจ ที่นั้นมีผู้หญิงผมสีแดงยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่ เธอกำลังส่งสายตาอาฆาตบางอย่างออกมา

"ไปไหนมาเหรอคะ คุณมาร์ ทางโรงเรียนตามหาคุณแทบแย่เลยนะคะ แล้วยะ…ยั…ผู้หญิงคนนั้นใครเหรอคะ?" เธอพูดขึ้น เธอนั้นคือประธานนักศึกษา ของโรงเรียนคอลลาจ คาริโลโล่

"อ่าาา นั้นไง ขอโทษนะครับท่านประธาน… อ่าใช่ๆ นี้น้องสาวบุญธรรมของผม ยูเรย์ ยูเรย์นี้ ท่านประธานนักศึกษาคาริโลโล่"

"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ท่านประธานนักศึกษา" ยูเรย์พูดขึ้นมาเฉยๆด้วยน้ำเสียงเรียบๆเหมือนไม่สนใจ

"เช่นกันค่ะ…" คาริโลโล่เองก็ด้วย

หลังจากนั้นน่ะเหรอ ก็เป็นการถูกสอบปากคำฝ่ายเดียวจากประธานอยู่นานหลายนาที ก่อนที่เธอจะอนุญาตและตามไปส่ง มาร์กับยูเรย์ แต่ว่าไม่รู้ทำไม เธอมองยูเรย์ด้วยสายตาอาฆาตมากเป็นพิเศษ แต่ว่ายูเรย์เองก็ไม่ได้อยู่เฉยเธอมองกลับด้วยสายตาแบบเดียวกัน เหมือนทั้งสองจะประกาศในใจแล้วว่า "อีนี้ คือศัตรู"

[เดี๋ยวนะ ไม่ใช่พึ่งเคยเจอกันหรือไง?? ทำไมถึงต้องมองกันด้วยสายตาแบบนั้นละครับบบ]

….

เวลาผ่านมาได้ 7 ปีแล้ว… เช้าวันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับการสอบเข้าโรงเรียนคอลลาจ โรงเรียนอันดับ 1 ของ เขตคอลลาจ โรงเรียนประจำเมืองไฮท์คอลลาจ

จริงๆเขตนี้มีหลายเมืองมาก แต่ก็ยังไม่เมืองไหนสู้เรื่องการศึกษากับเมืองไฮทคอลราจ สาเหตุนะเหรอ ก็เพราะเมืองนี้มีเศรษฐกิจกับฝ่ายบริหารที่ดี การศึกษาเลยดีตามกันไปด้วยนั้นเอง

และที่หน้าทางเข้าโรงเรียนก็มีการตั้งโต๊ะรับสมัครสอบอยู่ ที่นั้นมีชายหนุ่มผมเขียวในชุดสอบนั่งรอรับสมัครนักเรียนคู่กับฝาแฝดสาว ทั้งสามคนต้องช่วยการทำงานอย่างขยันขันแข็ง

เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะนักศึกษาที่พยายามจะเรียนที่โรงเรียนนี้มีจำนวนมาก ปีนึงสมัครสอบร่วมหลักหมื่น แต่รับเพียงหลักร้อย จริงๆก็ไม่ได้รับสมัครที่เมืองเดียว แต่ว่า ปีนี้มีคนไปปล่อยข่าวลือว่า

"ถ้าใครมาสมัครสอบที่เมืองไฮทคอลลาจ โอกาสสอบผ่านจะเพื่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์เลยนะเออ……."

ชายผมเขียวคนนี้ก็คิดว่า [ คนที่เชื่อก็คงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ ] เขาคิดแบบนั้นจนกระทั่งวันรับสมัครสอบหรือวันนี้

"เอาไงดีคะ!!! อาจารย์เจมส์!!! อาจารย์เป็นฮาร์ฟเอล์ฟฮาร์ฟไทรนีคงไม่เป็นไรหรอกมั้งคะ แต่แบบพวกเราเผ่ากูลนี้อาจตัวแตกเป็นผงแน่เลยค่ะะะะ!!!"

สาวแฝดคนขวาเธอเป็นผู้หญิงผมยาวตาสีแดงสวมแว่นเหลี่มสีดำขนาดใหญ่ เธอพยายามกรอกเอกสารและยื่นใบสมัครให้คนที่มาสมัครสอบ

เธอคนนั้นเรียกผู้ชายผมเขียว…หรือก็คือเจมส์ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง เธอเริ่มแสดงออกด้วยสีหน้าและการกระทำที่เชื่องช้าลง

"ฮ่า ฮ่า ฮ่ า ฮ่ า า…. อย่ามาตลกนะครับ ทางโรงเรียนจ้างพวกคุณเป็นอาจารย์ก็เพราะเป็นกูลที่ไม่มีวันหมดแรงไม่ใช่เหรอครับ? ตอนนี้หยุดบ่นแล้วรีบช่วยกันรับสมัครเด็กให้ทันก่อนเที่ยงเถอะ อาจารย์บี อาจารย์พี"

เจมส์พูดกับทั้งสองคน พร้อมกับส่งสายตากดดันโดยในมือของเขายังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ในหัวคิดว่า [ ยัยกูลพีนี้ให้ตายเถอะ หัดทำงานเงียบๆแบบ คุณกูลบีบ้างไม่ได้หรือไงว้า? ]

"นี้…..พี….เงียบๆ…..และ….ทำงาน…..ต่อ….ได้…แล้ว….ยัย…ขี้…เกียจ…."

บี ผู้หญิงเผ่ากูลผมสั้นสีดำตาสีฟ้าที่อยู่ข้างๆพีบ่นขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยไม่มองพีเลยแม้แต่น้อง เธอจัดการส่งเอกสารอย่างรวดเร็วจนสายตาปกติไม่อาจมองตามได้ ทั้งสีหน้าก็ไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย

"ชิ ยัย กูลลลลล ไร้จิตวิญญาณเอ้ยยยยย!!! ทำเป็นพูดดีใจจริงก็อยากพักใช่ไหมมมละะะะ!!! "

พีตะโกนขึ้นมาแต่มือเธอก็ยังคงทำงานอยู่ เหมือนกับว่าปากกับตัวไม่ได้ใช่สมองเดียวกันควบคุม

"ขอโทษนะครับ…..พี่สาว ขอใบสมัครให้ผมได้หรือเปล่าครับ….?"

เด็กสาวคนนี้ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

เสียงนั้นดังมาจากข้างหน้าของพี เธอที่ได้ยินก็ก้มลงมอง เธอจึงเห็นเด็กเผ่าเดย์แมร์ผมสีดำปลายสีแดง ดวงตาสีแดงส้ม เด็กคนนี้สวมชุดลายทางสีแดง สวมหมวกสีดำขนาดใหญ่ ที่นิ้วของเธอทาสีเล็บขาวสลับดำ

[น่ารักจัง….. นางแบบปะเนี่ย….. ตายละ!! ตาใสสุดเลยๆ แล้วไหล่นั้นอีก อิย๊าาาา อยากกอดจัง…ไม่ได้ๆ งานต้องมาก่อน งาน งาน พี งาน ต้องมา ก่อนนะ]

"เอ้า นี้จ่ะ ยังไงขอพี่สาวขอดูแผ่นสเตตัสของน้องได้หรือเปล่าจ้ะ?" พียื่นมือไปหาเด็กผู้หญิงคนนี้ เธอก็ทำหน้าสงสัย แต่ว่าหน้าสงสัยของเธอนั้นกำลังละลายหัวใจของพี

"คิคิ นี้ครับ พี่สาว" เด็กคนนั้นยื่นใบสเตตัสมาให้เธอ แต่สมองของพีคิดว่า

[ ครับ? ครับ? อะไรกันวิธีพูดแบบนี้… น่ารักกกกกกกกกกกก อ๊ายยยย ] พีหยิบใบสเตตัสนั้นมาแล้วใส่เข้าเครื่องบันทึกด้วยใบหน้าที่เหมือนจะเลือดกำเดาพุ่งได้ถ้าเผลอตัวแม้แต่นิดเดียว

"โอ…สเตตัส….เด็ก…คนนี้…สุดยอด…เลย..นะ" บีโผล่มาข้างๆพี พร้อมกับกระซิบข้างหูเธอ ทำให้พีสะดุ้งตกใจและ..เลือดกำเดาก็พุ่งออกมา ดั่งน้ำที่ไหลออกจากสายยาง

"แย่ละ!!! ไปเรียกหน่วยพยาบาลเร็วเข้า มาพาอาจารย์พีไปรักษาก่อน ส่วนผู้สมัครทางนั้นเชิญมาทางนี้ก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องสมัครให้ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ"

เจมส์วิ่งเข้ามาและอุ้มร่างที่ไร้สติที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขของพี ขึ้นโต๊ะที่อยู่ข้างหลังที่รับสมัคร ก่อนที่จะวิ่งไปจัดการรับสมัครผู้สมัครสอบคนอื่นต่อ

[แย่ละสิ หวังว่ายัยกูลพี จะตื่นทันมาช่วยตอนบ่ายนะ ไม่งั้นเราไปไม่ทันกินเค้กที่ร้านดังของเมืองแน่ๆๆๆ แย่จริงๆเลยเว้ยยยยยยยย] เจมส์ส่งเสียงกรีดร้องภายในใจจนมีออร่าสีดำหลุดรอดออกมาหน่อยๆ

"อืม…..เธอ….เดี๋ยว….ชั้น…..จัดการให้เอง….ไม่ต้องห่วงนะ…." บีจัดการดูแลผู้สมัครสุดน่ารักที่อยู่ตรงหน้าของเธอ

"เอาละ…..เสร็จแล้ว…..ด้วยระดับ….และสกิล…ของเธอ….หวังว่า……จะได้….มาอยู่….ห้อง…ของ…ชั้น..นะ" บีพูดขึ้นมาก่อนจะยื่นเลขประจำตัวผู้สมัครให้เด็กผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเธอเองก็มีความคิดที่ว่า

[เด็กคนนี้..น่ารัก…อยากดูแล…..ถ้า..ผ่าน…สอบ…จะไป..ขอ..ครูใหญ่….มาไว้….ห้อง…เรา….อื้ม…]

"ขอบคุณครับพี่สาว แล้วก็ขอให้โชคดีกับการรับสมัครสอบนะครับ"

เด็กคนนั้นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หวานไพเราะ ทั้งเด็กคนนี้ยังยิ้มให้กับเธอก่อนที่จะวิ่งจากออกไป…และหันกลับมาก้มหัวขอบคุณพร้อมกับโบกมือให้กับบี นั้นเหมือนศรทองคำที่เจาะผ่านเข้ามาในใจของบีอย่างรุนแรง

เธอยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนที่เลือดกำเดาไหลจะพุ่งออกมาจากจมูกและลงไปนอนกับพื้น สภาพไม่ต่างกับพี

เจมส์เห็นสถานการณ์นั้น ถึงกับตะโกนออกมาอย่างสุดแรงเกิด "โธ่ธ่ธ่ เว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!"

และวิ่งเข้าไปแบกบีขึ้นไปวางกองไว้ข้างๆพี ทั้งสองกำลังเลือดกำเดาไหลแต่ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยความสุข ส่วนเจมส์นะเหรอ

[ อดดดดดดดดดดดดดดดด แน่น่น่น่น่น่น่ แล้วววววววววววว เค้กซูพรีหมี่(ชื่อเค้กจริงๆนะเออ)ของช้านนนนนนนนนนนนนน] แต่เขาก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากกลับไปทำงานรับสมัครนักเรียนต่อ

ในขณะที่เด็กน้อยผมสีดำปลายสีแดงนั้นกลับเดินออกไปอย่างร่าเริงโดยไม่รู้ว่าเขาได้ทำการตัดคู่แข่งออกไปจำนวนมากอย่างมิได้ตั้งใจเสียแล้ว….

….

ปีนี้ก็อายุได้ มาร์ 8 ขวบ แล้ว งานฉลองวันเกิดของเขาก็ถูกจัดขึ้นเหมือนทุกๆปี ซึ่งก็น่ารำคาญทุกปี

ช่วงหลายปีมานี้มาร์ได้ฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง เขาได้รับสกิลใหม่จากการอ่านหนังสือและได้ฝึกสกิลจากการไปดอยของจากป้อมปราการใกล้ๆ คฤหาสน์ ตลอด สกิลตอนนี้ก็เลยพัฒนาอัพขั้นไปก็มี

แต่ว่าการที่ไปดอย(ขโมย)ของนี้ไม่ใช่เพราะเขาอยากทำหรอกนะ เป็นเพราะความจำเป็นจริงๆ แบบว่า

[ เหล็กในบ้านมันไม่พออ่ะ แบบอันที่น่าดอย พอจะดอย เตย์ก็เอาไปขัดจนสะอาด อันเล็กๆเตย์ก็เอาไปหลอมเป็นเครื่องสวนหมดเลย ]

แถมตอนดอยที่ป้อมปราการก็มีปัญหาอยู่บ้าง เพราะอยู่ๆที่ประจำ ที่มาร์ชอบไปใช้บริการ ก็ไม่มีของให้ดอย เลยต้องไปจัดการอะไรนิดหน่อย

ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มลงตัวแล้ว ทั้งสายการส่งของ(เซ่นไหว้) ณ ที่ประจำของมาร์ มาร์ก็เอา [ พื้นที่มิติ ] ไปปล่อยไว้ พอตกกลางคืนมันก็ทำการเก็บกวาดตามคำสั่งของมาร์ ช่วงนี้เลยมีเหล็กไว้ใช้ราวๆ 2-3 ตันแล้ว

ถึงเหล็กที่ได้มาจะมีสนิมหรือเป็นเศษเล็กๆ มาร์ก็จะใช้ [ รังสรรค์ ] ละลายแล้วขึ้นรูปใหม่เป็นแท่งเหล็กบริสุทธิ์แทน ทว่ามันก็มีลิมิตของมัน เพราะว่าเขาไม่สามารถจะทำให้มันบริสทุธิ์สุดๆได้ หรือทำให้มันกลายเป็นของที่มีความละเอียดสูงได้เลย จากการที่ตัวของมาร์ยังขาดความรู้ในด้านนั้นๆอยู่

หลังจากงานฉลองวัย 8 ขวบ จบลง วันที่มาร์รอคอยก็มาถึง วันที่ มาร์จะได้รู้สเตตัสของตนเอง!!

เช้าวันใหม่ ในห้องของมาร์ ใช่มาร์ย้ายมาอยู่ห้องใหม่นานแล้วตั้งแต่ตอนอายุ 4 ขวบ แต่วันนี้มาร์ก็ยังต้องพบกับปัญหาที่เจอมาตลอดตั้งแต่ อายุ 6 ขวบ ปัญหาที่ไม่คิดว่าจะเกิดมาได้นานขนาดนี้

"เห้อ….. 8 ปีแล้วแหะ ห้องเรายังไม่มีอะไรเลยดีๆเลย มีแต่เตียง หนังสือ โต๊ะหมากรุก ที่เก็บของเล่นที่ใส่แต่ตุ๊กตาที่พ่อซื้อมาให้… แถมตู้ ไอเสื้อผ้าบ้านี้ ก็มีแต่เสื้อผ้าน่ารักปาไปเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้ ผมจะใส่อะไรไปอำเภอละแม่!!!"

มาร์พยายามตะโกนออกมาให้เบาที่สุด ด้วยความเจ็บแค้น จากการที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ไปอำเภอ

เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนมาร์อายุได้ 6 ขวบ ลักษณะเด่นของเขาจะไปทางแม่มากกว่าพ่อ ทำให้หน้าตาของเขานั้นออกน่ารักน่าชัง สวยงามเหมือนแม่ และก็อย่าลืมไปว่าตัวของควาโด้ผู้เป็นพ่อเอง..ก็เป็นหนุ่มหน้าสวยอีกต่างหาก มันก็เป็นการสงเสริมให้ตัวเขาดูราวกับเทพี มากกว่าเทพ จนแม้แต่เพื่อนๆของพ่อแม่ที่มาเยี่ยมเยือนยังทักว่า

"โอ้ว นั้น ลูกสาว นายเหรอ? น่ารักดีนิ แบบนี้โตไปแต่งงานกับลูกชายบ้านข้าเลยไหมละ ฮ่าๆ"

เพื่อนของควาโด้ได้พูดเอาไว้ ในวันฉลองวันเกิด 6 ขวบของมาร์

" นี้ๆ วราเรย์ นั้น ลูกสาว เธอหรออ เหห แต่ไหนบอกว่าได้ลูกชายไง!! ว้าว!! หน้าเหมือนๆกันเลยนะ แบบนี้โตไปน่ารักแน่ๆเลย สนให้มาทำงานกับบริษัทชั้นไหมละ อนาคตไกลแน่เลย แบบ นางแบบเด็กเงี้ย หรือแบบดารา ก็ไม่เลวนะ"

เพื่อนสาวของวราเรย์ พูดไว้ตอนมาเยี่ยมที่บ้าน

" โหยๆๆๆ ทุกคนเห็นยัง คุณหนู บ้าน ซันเบิร์นน่ะ น่ารักสุดๆไปเลยนะเห้ย ข้าน่ะเห็นตอนไปยืมเฝ้าหน้าคฤหาสน์มา เธอนี้อย่างกับนางฟ้าเลยละ"

อัศวินรายหนึ่งประจำป้อมปราการ ที่หลังจากพูดแบบนั้นไปไม่รู้ทำไม ของในห้องของเขาถึงหายไปทั้งหมด อย่างเป็นปริศนา

" นี้ๆ ทุกคนๆ ไปชวน เด็กผู้หญิงที่คฤหาสน์นั้นเล่นกันดีมะ แบบว่าเธอน่าจะเหงาแน่ๆเลย ที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนั้น น่าสงสารเนอะ.."

เด็กชายหัวหน้ากลุ่มเด็กๆในระแวกนั้นพูดกับเพื่อนๆถึงเด็กหญิงที่คฤหาสน์ซันเบิร์น

ใช่…ทุกคนคิดแบบนั้น ยกเว้นคนในคฤหาสน์หรือบางคนเท่านั้นที่รู้ว่ามาร์ เป็นเด็กผู้ชาย ไม่ใช่เด็กผู้หญิง

แต่ปัญหาจะไม่เกิดเลย ที่ควาโด้ไปเป่าหูวราเรย์จนเธอคิดว่า

[ แหม… ลูกชายเราออกจะสวยเหมือนเราขนาดนี้ งั้นก็หัดแต่งตัวสวยๆไปเลยดีกว่า ไหนๆก็เราก้ทำงานด้านเสื้อผ้าด้วยสิ แต่คงยากละเนอะแรกๆ อื้ม อันนี้ก็เหมาะ อันนั้นก็ได้!! เยี่ยมไปเลยยย ]

หลังจากนั้นในตู้เสื้อผ้าก็เริ่มมีชุดที่ผู้น่ารักๆ สวยๆมากขึ้น แรกๆก็สัปดาห์ละตัว สองตัว แต่นานๆเข้าเสื้อผ้าธรรมดาอย่างเสื้อคลุมสีเทาๆของมาร์ก็เริ่มหายไป เหลือแต่เสื้อผ้าแบบอย่างว่าที่เต็มไปด้วยแฟชั่นมากขึ้น มากขึ้น จำนวนตู้เสื้อผ้าเองก็ด้วยแรกๆ มีตู้เดียว ตอนนี้ ล่อไป 4 ตู้แล้ว

แถม ควาโด้ ผู้เป็นพ่อก็ยังคอยเอาหนังสือแปลกๆมาใส่ในชั้นหนังสือของมาร์เพื่อซ่อนมันจากวราเรย์อีก เช่น

[ ฝันหวานของเธอกับชั้น Yuri 21+ Limited Edition ]

[ คืนนี้ที่ผม ค้นพบตัวเอง Trap-Yaoi 21+ Limited Edition ]

[ ผมจะอุ้มลูกของเธอเอง!!! Trap-Futa 21+ Limited Diamond Edition ]

พวกมันถูกซ่อนโดยใช้ปกนิทานสำหรับเด็ก แต่มาร์ทันทีที่เจอก็จะเอามันไปวางคืนที่ห้องของพ่อเขาด้วยความหวังดี พร้อมกับเอาปกนั้นออกแล้วก็เอาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะไปหาวราเรย์แล้วพูดว่า

"แม่คับๆ บนโต๊ะพ่อ มีหนังสือนิทานด้วย อยากฟังๆ" หลังจากนั้นน่ะเหรอ ก็มีต้นหอมมนุษย์ปักอยู่ที่สวนยังไงละ

เอาละ กลับเข้าเรื่องหลักดีกว่า มาร์เลยตัดสินใจที่จะใส่กางเกงขาสั้นโชว์ต้นขา และถุงเท้ายาวสีดำ รองเท้าผ้าใบสีแดง กับเสื้อเชิร์ตสีดำ เสื้อคลุมสีขาว และหมวกใบโปรดของเขา ถึงมันจะทำให้เขาดูเป็นเด็กสาว แต่ว่าในโลกนี้เด็กชายก็นิยมใส่แบบนี้กันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเอาเข้าจริง ต่อให้มาร์ใส่เสื้อผ้าธรรมดา ความงามของเขาก็ยังทรงพลังอยู่ดี

"เอาละ แบบนี้คงไม่ดูเป็นผู้หญิงหรอกนะ…มั้งนะ หวังว่า ไปถึงแล้วจะไม่โดนมองแบบนั้นนะ โอ้ว พระเจ้า ขอละ ขออย่าให้มีเหยื่อที่ถูก กับดักรูปลักษณ์ของผมหลอกอีกเลยน้าาา " มาร์กุมมือขึ้นแล้วสวดภาวนาต่อพระเจ้า

ที่ตอนนี้ ไม่ได้ว่างมาสนอะไรเขาเลย เพราะวันๆเอาแต่คิดท่าเก๊กเทพๆ อย่างตอนที่มาร์กำลังภาวนาอยู่ พระเจ้าก็ Pose ท่า บิดสะโพกและยกมือขึ้นมาปิดหน้า พร้อมกับซาวน์เอ็ฟเฟ็คข้างหลัง *โด* *โด* *โด*

"มาร์จัง ได้เวลาไปกันได้แล้วนะ อ๊ะ…." วราเรย์เข้ามาในห้องเพื่อจะเรียกมาร์แต่พอเห็นมาร์ในชุดนั้น เธอก็ยืนนิ่งไปพร้อมกับคิดว่า

[ อุ๊ย!! แต่งตัวน่ารักดีมากเลยนะเนี่ย ให้บรรยากาศแบบเด็กน้อยผู้กระตือรือล้น แบบนี้เอาไปให้บริษัทนั้นส่งออกเป็นแฟชั่นได้เลย ฮุฮุ ลูกเรานี้น่ารักและเก่งจริงๆเลย ]

"อ๊ะ!! แม่คับ ไปกันเถอะ ผมรอไม่ไหวแล้วละ!!" มาร์หันมามองวราเรย์ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดเธอแล้วเอาหน้าซูกหน้าอกของวราเรย์

"จ้าๆ ไปกันเถอะมาร์จัง ทุกคนรออยู่นะ" วราเรย์จูงมือมาร์ไปขึ้นรถมาร์ที่ทุกคนในคฤหาสน์นั่งรออยู่ ก่อนที่รถม้าจะค่อยๆออกเดินทาง

ราว 30 นาที รถม้าก็มาถึงยังอำเภอ ที่อยู่ในตัวเมือง อำเภอนั้นสร้างต่างจากตึกอื่นเพราะอำเภอทำจากไม้ทั้งหลัง ตามตำนานของทวีปพ็อกซ์

[ อำเภอมักเป็นที่แรกที่เกิดความซวย ดังนั้นถ้าความซวยจะเกิด ก็ทำลายที่ที่มันจะเกิดไปก่อนเลยละกัน – พระราชาองค์แรกกล่าวไว้ก่อนที่จะทุบอำเภอทิ้งและทำให้ทวีปรอดจากเหตุการณ์ มนต์ดำแตก ที่เกิดขึ้นที่อำเภอของทุกทวีป ]

พอมาถึว เตย์ก็รีบวิ่งมาเปิดประตูและออร่ากับพิเรียก็เดินนำ ควาโด้ วราเรย์ มาร์ ลงจากรถม้าเข้าไปในอำเภอ ส่วน อลิซเซียเธอก็คอยเดินตามพร้อมกับกางร่มขนาดใหญ่ให้กับทั้งสามคน

*กริ๊ง* *กริ๊ง*

เสียงกริ่งดังขึ้นเมื่อประตูเปิดออก

"ยินดีต้อนรับครับบบบ!!!!!" เสียงนั้นดังมาจากเค้าเตอร์ของอำเภอ

ที่นั้นมีผู้ชายผิวสีน้ำเงิน….เขาสวมแว่นตาข้างเดียวที่ตาขวา และมีที่ปิดตาที่ตาซ้าย สวมผ้าคาดหัวสีแดง และชุดพนักงาน

[ ที่ป้ายคอนั้นเขียนไว้ว่า ชื่อ-เอม แอน เอ็ม เผ่า-ฟาบ้า ??? ครั้งแรกที่ได้เห็นเลยนะเนี่ย…สมกับคำอธิบายจริงๆ] มาร์มองไปที่ป้ายคอที่ชายคนนั้นห้อยไว้อยู่

"โอ้วววว สวัสดีตอนเที่ยงครับ ท่านชายซันเบิร์น กับท่านหญิงซันเบิร์น ทั้งสองยังดูงดงามเหมือนเดิมเลยนะครับ" เขาก้มหัวทำความเคารพควาโด้กับวราเรย์

"อื้มๆ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรหรอกนะเอม วันนี้เราพาลูกของเรามาลงทะเบียนกับอำเภอ ยังไงฝากเธอจัดการด้วยละกัน" ควาโด้พูดขึ้นมาอย่างสุภาพผิดกับเวลาที่พูดตอนอยู่ที่บ้านลิบลับ

"เข้าใจแล้วครับ ท่านชาย งั้นขอเชิญ….. คุณหนู…นายน้อย เอ่อ…" เอมมองมาร์ด้วยสายตาสับสนที่ไม่สามารถสันหาคำพูดเรียกชื่อของเขาได้

"ผมชื่อมาร์คับ พี่ชาย? เอม เรียกผมว่ามาร์ก็ได้คับ?" มาร์ตอบแก้ความสับสนของเอม พร้อมกับคิดว่า

[ อื้ม… นั้นไง อีกคนละ นี้ถ้าไม่บอก มีหวังโดนเรียกคุณหนูแน่ เหอะๆ ]

แต่ว่า…..

"คุณหนูซันเบิร์นนี้!!! ทำตัวสมชายดีนะครับ!!! แต่ไม่คิดว่าลูกสาวบ้านซันเบิร์นจะทำตัวเป็นผู้ชายเลยนะครับ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วครับ!!! พยายามเข้านะครับคุณหนู สักวันคุณหนูต้องเป็นผู้ชายได้แน่ๆ!!" เอมพูดออกมาก่อนจะโค้งคำนับมาร์และเปิดประตูที่อยู่ข้างหลังเขา เพื่อที่จะเชิญมาร์เข้าไป

"หุหุ พยายามเข้านะจ้ะ มาร์จังงงง สักวันลูกต้องเป็นผู้ชายที่ดีได้แน่ๆเลยยยย" วราเรย์พูดขึ้นมาข้างหลังมาร์โดยใช้พัดปิดหน้าของเธอเอาไว้ไม่ให้มาร์เห็นรอยยิ้มแห่งความภูมิใจในด้านผิดๆของเธอ

[ เห้อ…………..อีกรายแล้วสินะ…เอาเถอะ..เดี๋ยวโตไป..ก็คงเปลี่ยนแหล่ะ อย่างชาติที่แล้วตอนเด็กผมอย่างเยอะ ไม่รู้โตอีกท่าไหน ล้านเลย….] มาร์ถอนหายใจพร้อมกับไหล่ตก แต่เขาก็ไม่ลืมเป้าหมายหลักที่มา มาร์จึงค่อยๆเดินตามเอมไปที่ห้องที่เขาเชิญเข้าไป

ในห้องนี้มีไม้ปูอยู่รอบด้าน แต่ที่พื้นมีพรมและเสาหินที่มีลูกแก้วขนาดใหญ่ตั้งอยู่…

เอม เชิญมาร์ให้จับที่ลูกแก้วนั้นพร้อมกับอธิบายว่า ลูกแก้วนี้จะใช้เวลาตรวจสอบราวๆ 10 นาที แล้วจะได้รู้สเตตัสของมาร์ ระหว่างนี้ เอมต้องออกไปรออีกห้องหนึ่งเพื่อเตรียมเอกสารสำหรับบันทึกสเตตัส ทำให้มาร์อยู่ในห้องคนเดียว

" อืมมมม สุดท้ายก็มีคนติดกับดัก เพิ่มสินะ เอาเถอะ เดี๋ยวพอเราโตคงจะรู้ตัวเองแหล่ะ แต่ว่าต้องจับบอลแบบนี้ไปอีกตั้ง 10 นาที เห้อออ นึกว่าจะเป็นสกิลแบบจับปุ๊บรู้ปั๊บไรงี้ซะอีก…โถ่ " มาร์บ่นอยู่ลำพังแต่ว่ามันก็มีเรื่องเกิดขึ้น

[ ท่านต้องการจะรับสกิล ตรวจสอบ หรือไม่ Yes/No ] เสียงนั้นดังขึ้นในหัวของมาร์

[ เอ๋? สกิลจะเครื่องใช้นี้ก็เอามาได้เหรอ??? จริงดิ??? เอาวะ Yes ] มาร์ประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลงไป

[ ท่านได้รับ สกิล ตรวจสอบ ระดับ 7 และพัฒนาสู่ เปิดเผยตัวตน ระดับ 14 เรียบร้อยแล้ว ]

มาร์ที่ได้ยินก็ถึงกับยืนนิ่งไปด้วยความตกใจ แต่ว่า…..

[ ท่านต้องการจะรับสกิล เขียนข้อมูล หรือไม่ Yes/No ] เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

[ Yes ] มาร์ตอบไปด้วยความาสับสน ตอนนี้เขาเริ่มงงไปหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

[ ท่านได้รับ สกิล เขียนข้อมูล ระดับ 4 และพัฒนาสู่ แถบข้อมูล ระดับ 5 เรียบร้อยแล้ว ] แต่มันก็ไม่หยุดแค่นั้น

[ เนื่องจากท่านได้รับผลกระทบจาก เขียนข้อมูล ระดับ 4 อย่างต่อเนื่องโดยปัจจัยภายนอก กำลัง..ตรวจสอบ…. พบสกิลแถบข้อมูล ระดับ 5 ในคลังสกิล ต้องการวิวัฒนาการหรือไม่ Yes/No ]

นี้เป็นครั้งแรกที่มาร์ได้ยินสิ่งนี้ ซึ่งมาร์ที่เข้าใจก็สับสนเป็นอย่างมาก แต่ด้วยสติที่มีและจิตวิญญาณของเขาจึงเลือก [ Yes ]

[ ท่านได้วิวัฒนาการ สกิลแถบข้อมูล ระดับ 5 และสู่ แถบไม่เปิดเผยตัวตน ระดับ 8 เรียบร้อยแล้ว ]

มาร์ที่ได้ยินยังคงสงสัยว่าทำไมมันถึงเกิดอะไรต่อเนื่องแบบนี้ แต่เขายังไม่ทันอะไรต่อมาร์ก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง

[ เนื่องจากท่านได้รับผลกระทบจาก เขียนข้อมูล ระดับ 4 อย่างต่อเนื่องโดยปัจจัยภายนอก กำลัง..ตรวจสอบ…. พบสกิลไม่เปิดเผยตัวตน ระดับ 8 ในคลังสกิล ต้องการวิวัฒนาการหรือไม่ Yes/No ]

มาร์เริ่มกังวล เขาคิดว่า [ นี้มันต้องเป็นเพราะเรายังเอามือจับไอลูกแก้วนี้แน่ๆ… แบบนี้สกิลก็พัฒนาเรื่อยๆเลยสิ อต่ว่าทำไมรู้สึกอยากจะอ้วก…..ไม่ไหวๆ ขืนฝืนต่อตายแน่ สุดท้ายแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว…YES ]

มาร์ตอบตกลง แต่ว่าทุกครั้งที่เขาได้สกิลและพัฒนามันขึ้นอีกขั้นในแบบที่โดนสกิลต่อเนื่อง มาร์รู้สึกได้ว่ามานาโดนดึงออกไปเป็นจำนวนมาก และมันเริ่มเหมือนกับตอนที่เขาฝึกจน "ตาย" ไปช่วงแรกๆ

[ ท่านได้วิวัฒนาการ สกิล แถบไม่เปิดเผยตัวตน ระดับ 8 และสู่ ข้อมูลปลอมสมบูรณ์ ระดับ 15 เรียบร้อยแล้ว ] เสียงนั้นดังขึ้น มาร์เริ่มสติที่จะเลือนลางแต่ว่า

[ เนื่องจากท่านได้รับผลกระทบจาก เขียนข้อมูล ระดับ 4 อย่างต่อเนื่องโดยปัจจัยภายนอก กำลัง..ตรวจสอบ…. พบ สกิลข้อมูลปลอมสมบูรณ์ ระดับ 15 ซึ่งเป็นสกิลขั้นสุดท้ายไม่สามารถพัฒนาต่อได้ ]

"เห้ออออ รอดแล้วสินะ…… แต่ว่าได้สกิลสูงสุดมาแบบนี้…..คุ้มเสี่ยงสินะ อุ๊บบบบ" มาร์อ้วกลงพื้นก่อนที่จะปล่อยมือออกจากลูกแก้วนั้น

เอมที่ได้ยินเสียงก็วิ่งเข้ามาดูแล้วพบมาร์ที่อยู่ในสภาพไม่สู้ดี เขาจึงพามาร์ไปนั่งที่ห้องกรอกข้อมูล และเตรียมน้ำ เตรียมผ้ามาให้มาร์บ้วนปาก

"ขอโทษนะคับ พี่เอม ผมทำห้องเลอะเลย…ขอโทษ ครับ….." มาร์พูดด้วยความรู้สึกผิดแต่ว่า เอมที่ได้ยินก็ไม่ได้ว่าอะไรเขากลับลูบหัว แล้วพูดด้วยน้พเสียงที่เบาผิดปกติ

"ไม่เป็นไรๆ อาจจะตกใจหรือเครียดสินะ อืมม ดีแล้วละที่ไม่ถึงชีวิตเอาละ พักซํกพักนะ เดี๋ยวพี่ไปทำความสะอาดห้องก่อน เสร็จแล้วเรามาคุยเรื่องสเตตัสกันนะ" เอมพูดจบเขาก็ยิ้มขนาดที่ว่าสามารถกระชากใจสาวๆให้นอนตายตรงนั้นได้เลย

แต่มันไม่มีผลอะไรกับ มาร์แม้แต่น้อย แถมมาร์ยังคิดว่า [ ถ้าพี่ไม่พูดเสียงดังนะ ผมว่าพี่น่าจะมีแฟนคลับไปแล้วละ ]

หลังจากนั้นก็ผ่านไป อีก 10 นาที เอมก็มาพร้อมกับแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งขาดประมาณ Ipad ของโลกที่มาร์จากมา

เอม เริ่มสอนมาร์ใช้แผ่นนั้น เขาบอกว่า มันคือเครื่องอ่านสเตตัสแบบเดียวกับลูกแก้วต่างกันเพียงหน้าที่ของมัน ลูกแก้วมีไว้เพื่อทำให้ร่างกายชินกับสกิล ที่จะมีในเครื่องนี้และเจ้าเครื่องนี้มันสามารถแชร์ให้คนอื่นดูด้วยได้ซึ่งแชร์เฉพาะกับคนที่เราอนุญาตเท่านั้น

พออธิบายเสร็จเอมก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมา มันอธิบายค่าสเตตัสที่จะปรากฎ

—————————————————————————————————

HEALTH POINT [HP] : จำนวนที่เหลือของสภาพของร่างกาย ที่จะรับการโจมตีจากมะเขือเทศได้

MANA POINT [MP] : จำนวน พลังเวทย์ที่เหลือ พอจะสร้างบางอย่างมาช่วยตัวเองจากมะเขือเทศได้

STRENGTH [STR] : ความแข็งแรงที่จะบีบมะเขือเทศให้แตกคามือได้

DEXTERITY [DEX] : ความว่องไวที่สามารถหลบมะเขือเทศที่ถูกปามาได้

CONSTITUTION [CON] : ความแข็งแรงทนทานของร่างกายที่สามารถจะกินมะเขือเทศเน่าๆได้

INTELLIGENCE [INT] : ความฉลาดที่พอจะรู้ว่ามะเขือเทศเป็นผลไม้

WISDOM [WIS] : ความรู้พอจะรู้ว่าไม่ควรเอามะเขือเทศไปทำสลัด

CHARISMA [CHA] : ความสามารถในการพูดพอที่จะเอามะเขือเทศมาขายเป็นสลัดในร้านผลไม้ได้

มาตราฐานเฉลี่ยของทุกเผ่ารวมกันในช่วงวัย 5 ปี คือ

HP : 62

MP : 27

STR : 23

DEX : 26

CON : 22

INT : 28

WIS : 26

CHA : 25

*ค่าสเตตัสทั้งหมดนี้ ยิ่งมีมากยิ่งหมายถึงมีความชำนาญและโอกาสพัฒนาในด้านนั้นๆมากกว่าคนที่มีน้อยกว่า ทั้งนี้ยังมีผลต่อการเรียนรู้สกิล ทักษะ และความถนัดต่างๆ แต่ไม่มีผลต่อประสบการณ์ต่อสู้ หรือประสบการณ์ในสนามรบ จึงแจ้งเตือนไว้เสมอว่าอย่าหลงไปในค่าสเตตัสของตนเอง * *

*ปัจจุบัน ค่าสเตตัสที่เยอะที่สุดในวัย 5 ปี เป็นของ เผ่า ดรีมดรากูลแมร์

HP : 420

MP : 660

STR : 110

DEX : 180

CON : 60

INT : 240

WIS : 220

CHA : 150

*อาชีพจะปรากฎให้เลือกต่อเมื่ออยู่ปี 3 ของโรงเรียน หรืออายุครบ 21 ปี

*อาชีพจะเพิ่มสกิลพิเศษให้ตามสายอาชีพ เช่น นักดาบ เพิ่มสกิล กวัดแกว่งว่องไว เป็นต้น

—————————————————————————————————–

มาร์ไม่รอช้าที่จะลองใช้เครื่องนั้นทันทีแล้วสิ่งที่เขาได้เจอก็คือ….

—————————————————————————————————–

Stats : มาร์ [REAL]

LV : * ”ถ้าว่างแล้วจะมาใส่ให้ จากพระเจ้า”

RACE : HUMAN

JOB : * “อันนี้เดี๋ยวรอไปก่อนนะ คือข้ายังหาอันที่เหมาะกับเจ้าไม่ได้เลย ฮ่าๆ จากพระเจ้า”

AGES : 8

HP : 8025 [ BASE(HUMAN) 25 + SOUL 5000*lv + Training 3000 ]

MP : 280010 [ BASE(HUMAN) 10 + SOUL 50000*lv + Training 230000 ]

STR : 658 [ BASE(HUMAN) 8 + SOUL 200*lv + Training 450 ]

DEX : 560 [ BASE(HUMAN) 10 + SOUL 200*lv + Training 350 ]

CON : 301 [ BASE(HUMAN) 1 + SOUL 200*lv + Training 100 ]

INT : 2205 [ BASE(HUMAN) 5 + SOUL 200*lv + Training 2000 ]

WIS : 1006 [ BASE(HUMAN) 6 + SOUL 200*lv + Training 800 ]

CHA : 659 [ BASE(HUMAN) 9 + SOUL 200*lv + Training 450 ]

SKILLs :

[ EX ] Absolute Evolution [ แค่เห็น เรียนรู้ อ่าน ฟัง สัมผัส รู้สึก โดน ก็สามารถเลือกที่จะก็อปสกิลนั้นมา แล้วพัฒนาไปอีกขั้น ]

[ EX ] Absolute Deny [ สามารถเลือกที่จะ ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ ]

ภาษา อิคดีย์ ระดับ ศาตราจารย์

*NEW* ก้าวข้ามขีดจำกัดขั้นต้น ระดับ 9 จาก ปลุกปั่นพลังกาย ระดับ 6

ฟื้นฟูมานา-สูงสุด ระดับ 9

รังสรรค์ ระดับ 11

เวทย์พื้นที่มิติ ระดับ 10

*NEW* ลบล้างตัวตน ระดับ 9 – จากการฝึกฝนขโมยของอย่างต่อเนื่อง

*NEW* เปิดเผยตัวตน ระดับ 14

*NEW* ข้อมูลปลอมสมบูรณ์ ระดับ 15

APTITUDEs :

ทักษะ ปืน/มีด/ระเบิด : สูงสุด – จากความทรงจำของพลังวิญญาณ

ทักษะ ทำอาหาร : ที่ 1 ในประเทศ – จากความทรงจำของพลังวิญญาณ

ทักษะ เอาชีวิตรอด : อยู่สบายกว่าอยู่บ้าน – จากความทรงจำของพลังวิญญาณ

ทักษะ ขโมย : ปลดเปลื้องผ้าโดยไม่รู้ตัว – จากการฝึกฝนขโมยของอย่างต่อเนื่อง

ทักษะ ประกอบอาวุธ สร้างอาวุธ : โดดเด่นไม่อาจเลียนแบบได้ – จากความทรงจำของพลังวิญญาณ

—————————————————————————————————–

[ ชิบบบบบบบ แบบนี้ถ้าพ่อแม่เห็นละก็… แย่แน่ๆ เอาแล้วไงๆ บ้าเอ้ยยยย เดี๋ยวดิเรามีสกิลนั้นนี้หว่า!!! ]

มาร์ที่เห็นก็รีบ จัดการใช้สกิล ข้อมูลปลอมสมบูรณ์ทันทีและผลที่ได้ในหน้าจอนั้นก็เปลี่ยนเป็น

—————————————————————————————————–

ส่วนสถานะปลอมที่มาร์รีบลองสร้างมาคือ

Stats : FAKE

LV : 5

RACE : DAYMARE [ * 1.5 WHEN THE SUNRISE ]

JOB : –

AGES : 8

HP : 136 (N) 204 (SP) [ BASE(DAYMARE) 75 + SOUL 10*lv + Training 11 ]

MP : 85 (N) 127.5 (SP) [ BASE(DAYMARE) 50 + SOUL 5*lv + Training 10 ]

STR : 40 (N) 60 (SP) [ BASE(DAYMARE) 20 + SOUL 3*lv + Training 5 ]

DEX : 32 (N) 48 (SP) [ BASE(DAYMARE) 15 + SOUL 3*lv + Training 2 ]

CON : 28 (N) 42 (SP) [ BASE(DAYMARE) 10 + SOUL 3*lv + Training 3 ]

INT : 62 (N) 93 (SP) [ BASE(DAYMARE) 22 + SOUL 3*lv + Training 25 ]

WIS : 58 (N) 87 (SP) [ BASE(DAYMARE) 18 + SOUL 4*lv + Training 20 ]

CHA : 37 (N) 55.5 (SP) [ BASE(DAYMARE) 12 + SOUL 3*lv + Training 10 ]

SKILLs :

[EX] ใต้แสงสุริยัน [ สเตตัส*1.5 หากพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ]

[EX] เยาว์วัยใต้แสงสุริยัน [ อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า และร่างกายจะไม่เปลี่ยนไปหลังจากอายุ 21 ปี ]

เสริมกำลังกาย ระดับ 2

การฟื้นฟูมานา-ต่ำ ระดับ 3

จุดไฟ ระดับ 0

เสกน้ำ ระดับ 0

ทำอาหาร : มือใหม่หัดหั่น

ทักษะเอาชีวิตรอด : อยากกลับบ้าน

APTITUDEs :

อาวุธง่ายๆ : กลาง

—————————————————————————————————–

หลังจากที่ข้อมูลทุกอย่างขึ้นมาแล้ว มาร์ก็ส่งมันให้ เอมจดบันทึก ก่อนที่พวกเขาจะพากันออกมาแล้วเอม ก็ส่งมาร์กลับสู่พ่อแม่ของเขา

ทันทีที่ขึ้นรถกลับ ควาโด้กับวราเรย์ก็ขอดูแผ่นสเตตัสของมาร์ มาร์ก็ส่งของ [ ปลอม ]ให้ทั้งสองได้เห็น

ทว่าพวกเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก ถึงกับสั่งให้จอดรถและลงไปซื้อกรอบทองคำที่ร้านในเมืองเพื่อเอาใส่โดยเฉพาะเลยทีเดียว

"ลูกของเรา ทำไมสเตตัสเยอะขนาดนี้ เยอะกว่าพวกเราตอนนั้นเกือบเท่าตัว สุดยอดอัจฉริยะ ชัดๆ!!!" ควาโด้ตะโกนออกมา

ส่วนวราเรย์ก็กอดมาร์จนมาร์เริ่มหน้าซีดเซียว เขาไม่ได้ทรมานเพราะแรงกอดแต่เป็นเพราะหายใจไม่ออกจากก้อนเนื้อที่หน้าเขาโดนฝังลงไปต่างหาก

แม้แต่พวกออร่า พิเรีย อลิซเซียเองที่ได้เห็นก็ต่างพากันชื่นชมมาร์ตลอดการเดินทาง

และแน่นอน พอถึงบ้านก็มีการฉลองทันที คราวนี้มาร์ที่เป็นตัวเด่นของงานเป้นพิเศษถึงกับได้ของขวัญจากพ่อและแม่แบบสปอยมากๆ มาร์เลยขอแม่ว่า…

"แม่ครับผมอยากได้เสื้อผ้า เท่ห์.."

"ก็ได้นะลูก อืม งั้นเลือกได้ตามใจชอบจากในนี้เลยนะ " วราเรย์ยิ้มก่อนที่จะเดินหยิบแคทตาล็อกเสื้อผ้าของบริษัทของเธอมาให้มาเลือกซึ่งมันเป็นบริษัทแฟชั่นสำหรับผู้หญิง.. ส่วนควาโด้ก็จัดการซื้อหนังสือ….แปลกๆ มาแล้วขนมันไปไว้ที่ห้องของมาร์อย่างไม่เข็ดหลาบ ก่อนจะจบลงด้วยการลงทัณฑ์จากภรรยาของเขา

ไม่นานงานเลี้ยงก็จบลง ถึงมันจะน่าเหนื่อยใจแต่เป็นงานที่ทำให้คืนนี้มาร์ได้รู้สึกถึงคำว่าครอบครัวที่ชาติที่แล้วเขาแทบไม่มีโอกาสได้รู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่อบอุ่นจากการที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

….

หลังจากวันนั้น วันที่มาร์เริ่มฝึก การเพิ่มพลังมานาด้วยการเผามันทิ้งกับ สกิล[ เสริมแกร่ง ]ทำต่อเนื่องจนตัวมาร์เองเริ่มไม่นับแล้วว่าเขา "เกือบตายไปกี่ครั้ง"

ช่วงเวลาชีวิตของมาร์ก็จะเป็นแบบนี้

[ อืมมมม เช้า ก็สมบทบาทแกล้งเป็นเด็กทารกบอแบะ และหลอกจับนมออร่า พิเลีย อลิซเซีย แต่ไม่รู้ทำไมเวลาจับของอลิซเซียเธอถึงหน้าแดงหว่า? หรือว่าเราจับไม่ถูกที่หว่า?

เที่ยง นี้ดีสุดละ กินนมจาก"คุณแม่"สุดสวยของผม แล้วก็พยายามหนี"ไอพ่อ"ที่ทำตัวน่ารำคาญ ด้วยการวิ่งเข้ามาขออุ้ม เลยแกล้งแบบว่า พออุ้มปุ๊บก็ร้องไห้จน "คุณแม่" ต้องขอกลับไปอุ้มต่อ เหอะๆๆๆ

เย็น อืม…ก็เหมือนเที่ยงแค่คราวนี้พวกพิเรียจะคอยเล่นกับเราแทน ช่วงที่พ่อกับแม่กินข้าว

กลางคืน ก็ฝึกตนจนสลบ ตื่น สลบ ตื่น วนๆกันไป ]

จนกระทั่ง อายุได้ 6 เดือน มาร์ก็เริ่มทำตัวตามที่เด็กทารกควรทำ เขาเริ่มจะเดินให้พ่อแม่ดู ซึ่งวันนั้นก็มีฉลองในบ้านอีกรอบ….และมาร์ก็ไม่สามารถนอนได้เหมือนเดิม

อายุ 1 ปี มาร์ก็พูดได้คล่องแคล่วแล้ว เสียงของเขานั้นไพเราะมากแต่ก็อันตราย ถึงขั้นที่ว่า…

– มาร์ วันแรกที่ พูดได้ –

" มาร์จัง เรียก พ่อสิ พ่อ พะ พ่อ " ควาโด้พยายามให้มาร์พูดด้วยการใช้ขนมล่อ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามาร์มองด้วยสายตาสมเพชเวทนาสุดๆ

กลับกัน วราเรย์ เธอที่นั่งพักอยู่ข้างๆมาร์ก็มองดูทั้งสองอย่างอบอุ่น

" พะ พะ…" มาร์เริ่มเปล่งเสียงออกมาเป็นคำบางอย่าง ทำให้ควาโด้กับวราเรย์หันมาจดจ่อและตั้งใจฟัง ต่างฝ่ายต่างเชียร์ให้มาร์พูดชื่อของตนเอง

" พะ พะ พะ พะ แม่!!!! แม่ แม่ แม่ คะ วะ วะ ระ เรย์ วาเรย์" ใช่นั้นคือสองคำแรกที่มาร์พูด…แม่ วราเรย์

หลังจากที่พูดไปก็เกิดเหตุการณ์สองอย่าง ควาโด้ลงไปนอนคุกเข่าเศร้าอยู่กับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ในขณะที่ วราเรย์ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นพร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดก่อนที่จะวิ่งไปเรียก ออร่า พิเรีย อลิซเซียมาดูมาร์

ทว่ามันไม่จบเท่านั้น….

" พะ พะ พี่สาว อะ อะ ออร่า พะ พิเรีย อะ อะ ลิซ เซีย อลิซเซีย " หลังจากพูดชื่อแม่ก็จัดคอมโบชื่อเมดทั้งสามคน ทำให้ควาโด้ตอนนี้ลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมด้วยใบหน้าที่เศร้าโศก เขาชักดิ้นชักงอไปมา

"นายน้อยเก่งที่สุดเลยยยยยยยย " ออร่าพูดขึ้นมาก่อนจะเข้าไปลูบหัวมาร์ จนผมสีดำบนหัวของมาร์เริ่มกระเจิงไม่เป็นทรง

"นั้นสินะคะ นายน้อยพัฒนาการไวมากเลยนะคะ สำหรับเด็กวัยเดียวกัน ช่างน่าชื่นชมมากเลยค่ะ" พิเรียพูดพร้อมกับมองมาร์อย่างประทับใจ ก่อนที่จะเดินไปดึงตัง ออร่าออกมา

"นายน้อย…..งืม…..อ่าา..อ่า..อ้าาาาา…..นายน้อย..นายน้อย" อลิซเซียก้มลงไปหอมแก้มมาร์ด้วยหน้าที่แดงจากแก้มไปถึงหู ทันทีที่เธอทำเหล่าเมดอีกสองคนก็จ้องด้วยสายตา จี่ๆๆๆๆ

"ใช่ไหมละ มาร์ของชั้นน่ะเก่งมากๆเลย เหมือนแม่เลยเนอะ นี้คุณ นี้คุณได้ยินหรือเปล่า แม่ละ แม่ละ" วราเรย์พูดออกมาโดยที่มองไปยังควาโด้ที่นอนหมดสภาพหลังจากชักดิ้นชักงอ ไม่รู้ไม่สนเรื่องรอบตัว

*ตึก* *ตึก* *ตึก*

"คุณหญิงขอรับ เมื่อกี้นี้มีใครกรี๊ดหรือเปล่าขอรับ?!?!" เสียงนั้นคือเตย์ที่วิ่งมาดูสถานการณ์เพราะเสียงกรี๊ดของวราเรย์ที่ดังลั่นคฤหาสน์ เขาโผล่มาด้วยการพังประตูเข้ามาอย่างเร่งรีบ

"นี้ไง นี้ไง เตย์ คือว่าเมื่อกี้มาร์น่ะ มาร์น่ะ เรียกชื่อพวกเรายังไงละ เนอะๆ ออร่า" วราเรย์ตอบเตย์ด้วยความร่าเริง ส่วนออร่าก็พยักหน้ารัวๆด้วยรอยยิ้ม

และแล้วระเบิดก็ถูกปล่อยลงจากเครื่องบิน

"พะ พะ พี่ชาย ตะ เตย์?" คำพูดนั้นดังขึ้นมาในขณะที่วราเรย์กับกลุ่มสาวๆกำลังสาธยาเรื่องของมาร์ให้เตย์ฟัง

"เอ๋!" "ห๊ะ?" "อ๋ะ?!" "ฮืม?" "อะไรนะ?" ทั้ง 5 คนพูดออกมาพร้อมๆกัน ยกเว้นควาโด้ที่ตอนนี้เริ่มตัวสั่นๆ งึกๆๆ เหมือนระบบจะรีบูทถ์แล้ว

"ขอบคุณขอรับนายน้อยที่ขานนามของผม ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ" เตย์พูดขึ้นมาพร้อมกับคุกเข่าต่อหน้ามาร์ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มปิติ

ทว่า ……….

"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่ไหวละเว้ยยยยยยยยยยย" ควาโด้ลุกขึ้นก่อนที่จะกระโดดออกนอกหน้าต่างลงไป ซึ่งชั้นที่ทุกคนอยู่นั้นคือชั้น 3 ของคฤหาสน์ หัวปักดินข้างล่างอย่างน่าอนาจ พร้อมกับเสียงดัง *ฉึก*

"ตายละ สงสัยคนบางคนอิจฉาจนคุมตัวเองไม่ได้ เห้อออ แย่จริงๆเลย เตย์รบกวนเธอช่วยลงไปเก็บซากคุณท่านหน่อยได้หรือเปล่า เป็นไปได้ก็รบกวนฝังดินไปเลยนะ แบบว่ามาร์มีแค่ชั้นคนเดียวก็พอแล้วละฮุฮุ"

วราเรย์พูดออกมาแล้วก็มองลงไปยังหลุมที่มีควาโด้หัวปักดินเป็นต้นหอมอยู่ ก่อนที่จะโยนไหลงไปทับวราโด้อีกครั้ง *เพล้ง*

"แต่คุณหญิงคะ ถ้าเราฝังคุณท่านไปใครจะหาเงินละคะ โธ่ธ่ธ่" พิเรียพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความกังวล ก่อนที่จะเดินไปลากเตย์ให้ไปกับเธอ

[สมน้ำหน้าาาาาา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ] เด็กทารกที่นอนอยู๋กำลังแสยะยิ้มพร้อมกับเอียงตัวไปนอนที่หน้าต่างอย่างมีความสุข

หลังจากเหตุการณ์นั้นก็นานกว่า 3 เดือน ที่มาร์ไม่เคยจะพูดชื่อของควาโด้ จนสุดท้าย วราเรย์ก็เป็นคนพยายามพูดกับมาร์จนมาร์ยอมปริปากพูดตามที่ขอ แต่ก็พูดแค่ว่า "พ่อง ควายโด่"

เอาละกลับมาปัจจุบัน ตอนนี้มาร์ก็อายุได้ 1 ปีครึ่งแล้ว คืนนี้นั้นต่างกว่าคืนทั่วๆไป คืนนี้เป็นคืนที่ควาโด้ต้องออกไปตรวจตราที่ป้อมปราการ ทิ้งวราเรย์ดูแลมาร์ในตอนกลางคืน

คืนนี้ วราเรย์ก็เลยเหงาเป็นพิเศษ นอนไม่หลับแล้วก็จบด้วยการไปเอาหนังสือนิทานเล่มหนึ่งมันเป็นหนังสือที่มาร์ไม่เคยคิดจะไปยุ่งเพราะมันอยู่ในโซนที่ มาร์คิดว่า [ เด็กเกินไปปป อ่านไปคงไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอกมั้งเผลอๆสมองจะถูกทำลายด้วยสิ ]

"มาร์จัง วันนี้มาฟังนิทานนะจ้ะ เรื่อง อัศวินกับเจ้าหญิงละ!!" วราเรย์หยิบหนังสือขึ้นมา มันเป็นหนังสือปกที่วาดเป็นภาพ อัศวินในชุดเกราะและผ้าคลุมสีขาว กับเจ้าหญิงเอล์ฟ

[ ชิ!! นี้ถ้าไม่ใช่แม่อ่านให้ฟังนะ…….. ] มาร์ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเซ็งสุดๆออกมา แต่ก็ปั้นสีหน้าใสซื่อต่อ

"เอาละ เรื่องมีอยู่ว่า….." หลังจากนั้นวราเรย์ก็เริ่มเล่านิทานให้มาร์ฟัง

เรื่องมันมีอยู่ว่า ……. อัศวินหนุ่มคนหนึ่ง เป็นเผ่าที่ไม่มีใครรู้จัก เขารับใช้อาณาจักรหนึ่ง

อัศวินคนนี้เป็นที่ยอมรับจากทุกคน ไม่ว่าเขาไปไหน ก็จะมีคนพาลูกสาวมาแนะนำตัวเสมอ

ทว่า ตัวเขานั้นกลับไม่สนใจในสตรีใดๆ ด้วยความที่ตนนั้นยังคงหมุกมุ่นกับงานปกป้องอาณาจักร

[ หืม…..พระเอกเกินไปมั่ง หญิงมาหาแต่ปฏิเสธแบบนี้ คนเถื่อนชัดๆ ]

แต่ว่าวันหนึ่ง เขาก็ได้พบกับเจ้าหญิงผู้เลอโฉมแห่งอาณาจักร….เธอเป็นเอล์ฟ

[ อ่า…เบสิก สินะ เอล์ฟก็ต้อง สวยงาม เล่นตัว เห้อออ น่าเบื่อ…]

หลังจากที่เจ้าหญิงได้เห็นอัศวินคนนี้ เธอก็กระโจนเข้าใส่ และใช้กำลังของเธอลากอัศวินคนนี้เข้าไปในห้อง

ก่อนที่จะลงมือกระทำชำเรา อัศวินหนุ่มอย่างดุร้ายราวกับสัตว์ป่า

[ ดะ ดะ เดี๋ยววววววว ไม่ใช่เหรอวะ เอล์ฟบ้าอะไรวะเนี่ยยย แม่ๆ ใจเย็นๆ นี้ไม่ใช่ของที่เด็กควรฟังนะแม่!! ] มาร์พยายามที่จะพูดแต่ก็กลัวความจะแตกว่าเขารู้ดีเกินไปจึงได้แต่ทำใจ ตาใสนั่งฟังต่อ

เกราะของอัศวิน ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อัศวินหนุ่มพยายามขัดขืนด้วยดาบของเขา

แต่ดาบที่กระทบเข้ากับพลังเสริมแกร่งของเจ้าหญิงทำให้ดาบแตกกลายเป็นผงละอองเล็กๆ

กระเด็นเข้าตาเจ้าหญิง นั้นทำให้เธอเสียจังหวะ อัศวินหนุ่มรีบลุกขึ้นและเขาก็หยิบเชิงเทียนเหล็กข้างเตียงมา

[ เอ่อ….. นี้กะจะหวดเจ้าหญิงของประเทศที่เอ็งรับใช้? ] มาร์นั่งฟังด้วยสีหน้าสับสน

อัศวินหนุ่มตะโกนเสียงดัง " ถ้าเธอยังไม่หยุดชั้นจะหวดเธอด้วยเหล็กนี้จริงๆนะเห้ยย หยุดดด หยุดได้แล้ว"

แต่เหมือนคำพูดของเขาจะไม่เป็นผล เจ้าหญิงจับไปที่เชิงเทียนนั้นแล้วพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงลามก

"ฮ่าห์ อ๊าาาาา สะ [สร้าง]งงงง" ทันใดนั้นเองเชิงเทียนเหล็กก็ส่องแสงสว่างกลายเป็นกุญแจมือล็อกแขนของอัศวินหนุ่มไว้กับหัวเตียง

[ ท่านต้องการจะรับสกิล สร้าง ระดับ 5 หรือไม่ Yes/No ] เสียงนั้นดังขึ้นในหัวของมาร์

[ เอิ่ม……แบบนี้ก็ได้เหรอ? เอาเถอะดูแล้วจะเป็นสกิลที่มีประโยชน์ละมั้ง I say YES! ] มาร์ตอบตกลงทันที

[ ท่านได้รับ สกิล สร้าง ระดับ 5 และพัฒนาสู่ รังสรรค์ ระดับ 11 เรียบร้อยแล้ว ] เสียงดังในหัวของมาร์อีกครั้งประกาศความสำเร็จในการอัพสกิล

[พรูดดดดดดดดดดดดดดดดด เดี๋ยวๆๆๆๆๆ สกิล ระดับ 11 อะไรตอนนี้เนี้ย ทำไรได้บ้างวะเห้ยยย เดี๋ยวนะ เรารู้สึกได้ว่า มันเป็นสกิลที่….สร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ โดยที่จะเป็นของที่ไม่เคยมีมาบนโลกก็ตาม แต่ว่าข้อจำกัดคือ ต้องจินตนาการภาพให้ถูกต้องและมีวัตถุดิบเพียงพอ]

ใช่..อยู่ๆมาร์ก็เข้าใจในสกิลของเขา ต่างกับตอนที่ฝึกสกิล เสริมแกร่ง และ ฟื้นฟูมานา เหมือนกับว่าเขาเริ่มเข้าใจในสกิล Absolute Evolution แล้ว

หลังจากที่เจ้าหญิง ล็อกมือของอัศวินได้นั้น เธอก็เริ่มปลดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วๆ แต่ว่าอัศวินหนุ่มก็ไม่ยอม

เขาใช้แรงผนวกกับ [ เสริมกำลังกาย ] ดิ้นหลุดจากเจ้าหญิง ก่อนที่จะพุ่งออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว

อัศวินหนุ่มวิ่งตั้งหน้าตั้งตาลงไป ตามทางเดิน จนกระทั่งเขามาถึงตรงทางออกแต่ว่า….

"เธอจะหนีไปไหนจ้ะ พ่อหนุ่ม มาให้พี่สาว "เคี้ยว" ซะดีๆเถอะน่า นี้เชื่อพี่สิ พี่ไม่"กิน" จนหมดหรอกน้าา"

ใช่ ตรงหน้าของอัศวิน มีเจ้าหญิงในสภาพเปลือยกายท่อนบนอยู่ เธอไม่มีท่าทีอับอายเลยแม้แต่น้อยกลับกันเธอจ้องมองมาที่อัศวินหนุ่มด้วยสายตาแทะโลม

"เจ้าหญิง ปล่อยผมไปเถอะ ผมยังไม่พร้อมที่จะมีความรัก หรือความสัมพันธ์ใดๆ ท่านอย่าฝืน…."

อัศวินหนุ่มยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกได้ว่าข้างหลังเขามีเงาบางอย่างอยู่

มันเป็นเงาคนสีดำ อัศวินหนุ่มหันกลับไปมองทันที มันเป็นรูเล็กๆที่กำลังขยายอยู่ข้างหลังเขา

" [ ช่องมิติ ] เอ๊ย จงพัฒนาการชายผู้นี้ซะ " เสียงเจ้าหญิงดังขึ้นมาแต่มันดังกึกก้องไปทั่วที่ๆอัศวินหนุ่มยืนอยู่

[ ท่านต้องการจะรับสกิล ช่องมิติ ระดับ 4 หรือไม่ Yes/No ] เสียงดังขึ้นในหัวของมาร์อีกครั้ง

[ เอาสิสกิลที่แค่ฝังก็รู้ถึงประโยชน์แบบนี้ ไม่เอาคงจะเสียดายแย่ สกิลดีๆแบบนี้ YES!! ] มาร์ตะโกนเสียงดังในใจ

[ ท่านได้รับ สกิล ช่องมิติ ระดับ 4 และพัฒนาสู่ พื้นที่มิติ ระดับ 10 เรียบร้อยแล้ว ] มันประกาศขึ้นให้มาร์ได้รู้

[ จ่ะ ] มาร์คิดแค่นั้น ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา

เงาคนสีดำเริ่มหลุดรอดมาจากรูเล็กๆข้างหลังนั้น มันพุ่งเข้าหวังพันธนาการอัศวินหนุ่ม อย่างรวดเร็ว

เขาไม่อาจแม้จะปัดป้องได้เลยแม้แต่น้อย…..ทว่า

เงาพวกนั้นกลับพุ่งผ่านอัศวินหนุ่มไป มันไม่แม้แต่จะแตะตัวอัศวินหนุ่มเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันลอยอยู่รอบๆอัศวินหนุ่มอย่างช้าๆ

"หืมมม ดิชั้นจำได้ว่า…สั่งไปแล้วนิคะว่าให้พันธนาการผู้ชายตรงนี้..นิ? หรือว่า?" เธอพูดพร้อมกับเอียงคอสงสัย

"เจ้าหญิงผม ถ้าเป็นเช่นนี้ ผมคงต้องเปิดเผยตัวจริงเสียแล้ว" อัศวินหนุ่มโยนผ้าคลุมขึ้น

"ฉันคือสาวน้อยน่ารัก ผู้พิทักษ์ความสงบและความยุติธรรม ลอวบริงเกอร์ ตัวแทนแห่งดาวอันโดรเมด้า จะลงทัณฑ์แกเอง" ปรากฎภาพ เป็น หญิงสาวในชุดรัดรูปคล้ายชุดกะลาสีเรือสีน้ำเงิน เธอมีผมสีทอง ดวงต้าสีฟ้า ในมือถือค้อนขนาดเท่าคน

จากอัศวินสู่สาวน้อยเวทย์มนต์ เธอค่อยๆลอยลงสู่พื้น แต่เท้ายังไม่ทันได้แตะและเธอยังไม่ได้พูดอะไร

" [ ช่องมิติ ] เอ๊ย จงพันธนาการนังนี้ซะ " เสียงเจ้าหญิงดังขึ้นอีกครั้ง

เงาคนสีดำเริ่มทำตามคำสั่ง พุ่งเข้าหาสาวน้อยเวทย์มนต์และพันธนาการร่างเธออย่างรวดเร็ว คราวนี้มันจับได้สำเร็จ สาวน้อยเวทย์มนต์ไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย

"ดะ เดี๋ยวสิ เจ้าหญิง เธอจะทำอะไรน่ะ ชั้นไม่ใช่ผู้ชายนะ ปล่อยชั้นไป อิย๊าาา อาห์ ตรงนั้นไม่ได้นะ อย่าน้าาาาาา" สาวน้อยเวทย์มนต์พยายามดิ้นรน แต่เงาสีดำพวกนั้นก็เริ่มเลื้อยไหลเข้าไปในส่วนต่างๆของเธอ

"แหมๆ…. ใครบอกละว่าชั้นสนเรื่องเพศกัน ชั้นก็แค่"มีอารมณ์" จะหญิงชายก็เหมือนๆกันนั้นแหละ" เจ้าหญิงตอบเสร็จ เธอก็เดินเข้าไปแล้วเอายาออกมาจากช่องมิติสีดำนั้น

ในขวดยาเป็นสารสีชมพูที่ข้างขวดเขียนเป็นรูปกากาบาท [X] เธอราดมันลงบนตัวของสาวน้อยเวทย์มนต์ ก่อนจะเริ่มบรรจง"กิน" อย่างช้าๆ ตลอดทั้งคืน

เสียงกรีดร้องดังไปทั่ววัง จนกระทั่ง 9 เดือนผ่านไป เจ้าหญิงก็ประกาศแต่งงานกับ อัศวินหนุ่ม(?) และทั้งสองก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

"จบแล้วล่ะจ่ะ มาร์เป็นไงบ้าง สนุกไหม…อ้าว หลับไปแล้วแหะ แต่จำได้ว่าที่เราอ่านมันไม่ใช่แบบนี้นี่หน่า ช่างเถอะ ฝันดีน่ะจ้ะ ลูกชายสุดน่ารักของแม่"

วราเรย์วางหนังสือลงไว้บนเตียง และก็ค่อยๆห่มผ้าหลับไปในที่สุด

[ หลับก็เหี่ยแล้วแหม่ะ บ้าไปแล้วนิทานสำหรับเด็กก็แย่แล้ว นี้มันอาชญกรรมชัดๆ ไอบ้าเอ้ย ถึงจะรู้ว่าเอล์ฟโลกนี้มันแปลกๆ แต่แบบนี้มันแปลกเกินไปแล้วววววว เว้ยยยยย แล้วคืนนี้จะนอนยังไงละเนี่ยย!!! ]

มาร์ส่งเสียงกรีดร้องตลอดทั้งคืนภายในใจ เสียงนิทานนั้นยังคงตามหลอกหลอนเขาจนเช้า

เวลาผ่านไปไม่นานหนังสือนั้นก็ตกลงสู่พื้น และปกที่ห่ออยู่ก็หลุดออกจากหนังสือ เผยให้เห็น หน้าปกที่แท้จริง

[ อัศวินสาวน้อยเวทย์มนต์ กับ เจ้าหญิงเอล์ฟ สุดหื่นนนนนน Yuri 21+ Limited Edition ]

และที่ข้างหลังปกนั้นก็มีลายเซ็นต์ว่า

"หนังสือเล่มนี้ขอมอบให้แฟนพันธุ์แท้อย่างควาโด้ เจ้าชายผมสีแดง"

…….

เวลาผ่านไปได้ 4 ปี หลังจากที่มาร์ได้เกิดลงมาบนโลก

ที่ป้อมปราการแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ ที่นี้เป็นป้อมปราการสำหรับกองทัพอัศวินประจำเมือง ใช้ทั้งอยู่อาศัย เก็บของและเป็นปราการด่านแรก

ทว่าตอนนี้ในป้อมปราการนั้นกำลังเกิดเรื่องสยองขวัญที่ทำให้เหล่าอัศวินไม่อาจหลับตาลงในยามที่พระอาทิตย์ตกดินได้

เรื่องมีอยู่ว่าในคืนวันหนึ่ง มีอัศวินสาวที่กำลังทรมานจากการอั้น****ไว้ ได้ทุลักทุเลเดินไป ห้องน้ำที่ตั้งอยู่ข้างๆโกดังเก็บของ

"โอ๊ยยยย จะแตกแล้ววว บ่อจะแตกแล้ววว ไอเอล์ฟบ้านั้นคิดยังไงวะเนี่ย ย้ายห้องน้ำจากในป้อม ไปไว้ข้างโกดัง ไอเอล์ฟระยำเอ้ยยยยย"

เสียงของอัศวินสาวตะโกนออกมาในขณะที่ตอนนี้เริ่มเดินกระเพก พิงผนังป้อมไปที่ห้องน้ำ

*ครืดดดดดดดดด*

เสียงบางอย่างดังมาจากโกดัง

"ดะ…เดี๋ยวนะ ดึก ดึก แบบนี้..ยังมีคนมา ทำอะไร อีกระ เหรอ" อัศวินสาวพูดขึ้นพร้อมกับขาที่เริ่มสั่นเทา

"เห้ย!! มีใครอยู่ในโกดังหรือเปล่า มาทำอะไรดึกๆป่านนี้ ได้ยินไหม โห้ยย"

เธอตะโกนออกไป แต่ว่าก็ไม่มีเสียงตอบกลับเลยแม้แต่น้อยมีแต่เสียง

*ครืดดดด* *ตุบ* *ครืดดดดด* *ตุบ*

ด้วยหน้าที่ของความเป็นอัศวินของเธอ อัศวินสาวคนนั้นจึงต้องเดินขาสั่นด้วยความอดกลั้นเข้าไปที่โกดัง

พอมาถึงเธอก็พบว่าโกดังนั้นถูกเปิดออกแล้วโซ่ที่ล้ามประตูไว้ก็…

"ยะ แย่แล้ว….โซ่ขาด…ได้ยังไงกัน"

เธอพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่จะชักดาบข้างเอวแล้วมองเข้าไปข้างในโกดังที่ถูกเปิดออก

สิ่งที่อัศวินสาวคนนี้ได้เห็นคือหมอกควันสีดำที่ลอยไปมา และบนพื้นก็มีรอยของการ"ลากจูง"

อัศวินสาวตัดสินใจเดินเข้าไปช้าๆ และเงียบที่สุด โดยในหัวได้แต่คิดว่า [ โจร!! มะ มันต้องเป็น โจรแน่ๆ!! ใช่แล้วมันคือ โจร โจร มันไม่ใช่….ผะ ]

เธอเดินเข้ามาลึกจนถึงด้านในสุดก็ถึงกับเข่าทรุด

"ผะ ผะ ผี!!! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

เธอกรีดร้องเสียงดังออกมา ก่อนที่ใต้บริเวณที่ที่เธอทรุดลงจะมีน้ำเสียงเหลืองๆไหลออกมาจากบริเวณนั้นของเธอ

ข้างหน้านั้นมีเด็กผิวสีขาวผมสีดำยาวปลายสีแดง ดวงตาของเด็กนั้นมีสีแดงส้มสด สวมชุดสีดำที่เผยให้เห็นแค่ดวงตา แต่ว่า ผีเด็กนั้นกำลังลากและยกลังขนาดใหญ่ลงไปในหลุมที่มีสีดำด้วยมือเดียว ทั้งหลุมนั้นก็กำลังแผ่ออร่าคล้ายเงาคนไปทั่วบริเวณ

และนั้นจึงเป็นเรื่องราวของผีเด็ก ที่อาฆาตแค้นคนที่มาสร้างโกดังบนที่พำนักของตน ทุกๆคืน ผีเด็กจะออกมาเอาของในโกดังและทำให้หายไปเพื่อเป็นการลงโทษ

แต่ว่ามันก็เป็นเพียง คำบอกเล่าของเหล่าอัศวินที่ป้อมนี้ มีหลายครั้งที่หัวหน้าอัศวินไปจ้างหมอผีมาแต่ว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย กลับกันหมอผีเองก็โดนซ้อมปางตายทิ้งไว้ในโกดังแทบจะทุกราย

ยิ่งนานวันเข้าของในโกดังก็เริ่มจะหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่สามารถไปเข้าห้องน้ำเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

พวกอัศวินจึงได้แต่สำรวจหาผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วก็รู้ว่า ของที่หายไปทั้งหมดมีแต่ ชิ้นส่วนเหล็กหรืออุปกรณ์ที่ขึ้นสนิมที่ใช้ไม่ได้แล้ว

และในที่สุดก็มีการตั้งกฎใหม่ขึ้นมาใหม่ในหมู่อัศวินว่า

"ถ้าพวกเธอคนใด…จะไปที่ห้องน้ำข้างโกดัง จงอย่าลืมหาเศษเหล็ก หรือ ของขึ้นสนิมไปวางเซ่นหน้าโกดัง แล้วผีเด็กนั้นจะอนุญาตให้เธอเข้าห้องน้ำ…"

หัวหน้าอัศวินกล่าวและเขียนไว้ที่ทางเข้าป้อมปราการ

สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ มีวันหนึ่งหัวหน้าอัศวินตัดสินใจย้ายของที่ทำจากเหล็กออกจากโกดังทั้งหมด แล้ววันถัดๆมา ของในป้อมปราการเริ่มทยอยหายไป

ตอนแรกก็แค่พวกเศษเหล็กในป้อม พอสัปดาห์กว่าๆเครื่องครัว อุปกรณ์ซ่อมอาวุธ และแม้แต่หมวกเหล็กของหัวหน้าอัศวินก็หายไป

จนหัวหน้าอัศวินถึงกับกลุ้มแล้วหายหัวไปจากป้อมปราการอยู่บ่อยครั้งเพื่อไปดื่มและเตร็ดเตร่ในย่านโสเภณี

ในโรงอาหารของอัศวิน และตอนนี้พวกอัศวินกำลังนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่

"เห้ยๆ แกได้ยินหรือเปล่า ไอเอล์ฟงี่เง่านั้นช็อกเลยวะ โดนดอย(ขโมย)หมวกเหล็กราคา 6000 โกลล์ไปดื้อๆเลย"

อัศวินหญิงพูดในระหว่างที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่กับหน่วยของเธอ

"ชูวววว อย่าไปพูดให้หัวหน้าอัศวินได้ยินนะเจ๊ เดี๋ยวพวกเราก็โดนโทษทั้งหน่วยหรอก"

ลูกน้องของเธอพูดขึ้นมาแล้วพยายามห้ามเจ๊ของเขา

"แกนี้จะไปกลัวอะไร ไอเอล์ฟบ้านี้ตอนนี้มันไปเมาหัวลาน้ำยังไม่กลับมาเล้ย นี้ยิ่งถ้าไปซ่องนะ อย่าถามหาเลยดีกว่า จำไม่ได้หรือไงฝึกรวมคราวที่แล้วที่ยกเลิก ก็เพราะมันมัวแต่เข้าซ่องนี้แหละ ฮ่าๆๆ"

เจ๊ของพวกเขากล่าว พร้อมกับกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย

"นั้นสินะคะ ไอเอล์ฟขี้หงี่นั้น ปกติถ้าไม่ทำงานก็ไปวนๆกับพวกโสเภณีตลอดเลยนิคะ น่ารังเกียจเสียจริงๆเลย เห้อออ อย่างน้อยหัดทำตัวเหมือนฝ่ายบริหารจากเผ่าเดย์แมร์หน่อยก็น่าจะดีนะคะ"

อัศวินสาวอีกคนพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ

"โอ้วววว นี้เธอหมายถึงท่านควาโด้หรือเปล่า ชั้นละปลื้มเขามากเลยน้า ทั้งน่ารัก ทั้งสุภาพเรียบร้อย สมหญิงจริงๆเลย ไหนตอนเวลางานจะทำตัวเป็นผู้นำที่น่าติดตามอีก ผิดกับไอเอล์ฟขี้หงี่นั้นสุดๆไปเลยน้าาา" อัศวินสาวที่นั่งตรงข้ามพูดออกมาพร้อมกับเอาส้อมขูดจานด้วยความเขินอาย

"นั้นสินะ เห้อออ ข้าละอยากให้ท่านควาโด้มาดูแลกองอัศวินของเราแบบจริงจังแทน ท่านหัวหน้าอัศวินจริงๆเลย ผับผ่าสิ ถึงพวกเราผู้ชายจะนับถือฝีมือของหัวหน้าอัศวินก็ตามนะ แต่ว่าไอนิสัยติดซ่องนี้ยอมใจจริงๆเลยวะ" อัศวินชายบ่นขึ้นมาพร้อมกับนั่งกลุ้ม

"เอาเถอะ พวกเอ็ง วันนี้ก็รีบกินรีบไปลาดตระเวนกันดีกว่า จะได้มีผลงานแล้วไต่ขึ้นไปแทนไอเอล์ฟขี้หงี่นั้นกัน" เจ๊ของพวกเขาลุกขึ้นแล้วพูดขึ้นมาเสียงดัง

*อะแฮ่ม*

"ไม่ทราบว่า "ไอเอล์ฟขี้หงี่" ที่ว่านั้นใครเหรอครับ ผู้กอง" เสียงนั้นดังมาจากประตูทางเข้าโรงอาหาร เป็นเอล์ฟหนุ่มในชุดเกราะเหล็กของเขาที่สวมผ้าคลุมสีแดงแสดงความเป็นหัวหน้ากองอัศวิน

"ซวยแหล่ว….." นั้นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินในวันนั้นจากปากของ อาเจ๊

เวลายังคงผ่านไป ข้าวของก็หายไปเช่นกัน ล่าสุด เกราะของหัวหน้าอัศวินก็โดนผีเด็กดอย(ขโมย)ไปแล้วด้วย…

จนวันหนึ่ง ฝ่ายบริหารได้ทราบเรื่องและส่งผู้บริหารจากเผ่าเดย์แมร์ก็มาที่นี้ ซึ่งหัวหน้าอัศวินก็ได้โอกาสไปคุยกับ "เขา" และ "ลูกชาย" ของฝ่ายบริหาร

แต่ว่าตัวฝ่ายบริหารขอตัวไปดูสถานที่เกิดเหตุแล้วปล่อยให้หัวหน้าอัศวินกับลูกชายอยู่คุยด้วยกัน ซึ่งหัวหน้าอัศวินก็ถูกแนะนำมาว่า

"…ก็พี่ชายไม่ยอมจ่ายส่วยให้ ผ…ผ.ม…ผีนิคับ ผมว่าแบบนี้ผีคงโกรธแน่ๆเลย ถ้าเป็นผมนะ คงเอาของที่ผีอยากได้ไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว"

เด็กน้อยผมสีดำปลายสีแดง ตาสีแดงส้มพูดด้วยน้ำเสียงที่หวานกับหัวหน้าอัศวิน

"แบบนั้นก็เหมือนยอมให้ไม่ใช่เหรอ พวกเราอัศวินไม่ยอมเสียเกียรติด้วยการไปกลัวผีแบบนั้นหรอกนะ"

หัวหน้าอัศวินกล่าว พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นฟ้า

"อืม แต่ว่าจาก…ที่ผมฟังมา ก่อนที่ของในปราสาทจะเริ่มหายไป ผีก็เอาไปแต่ของที่ใช้ไม่ได้แล้วนิครับ แบบนี้ถ้าเราให้ของผี ก็ถือว่ากำจัดเศษขยะไปด้วยเลย ผีเองก็จะได้ไม่มากวนพวกพี่ๆด้วยนิครับ" เด็กน้อยคนนั้นพูดพร้อมกับยิ้มออกมา

[นั้นสิ ก่อนหน้าผีเด็กนั้นก็เอาไปแต่เศษเหล็กกับของขึ้นสนิม แบบนี้ เราก็ไม่ได้เสียหายอะไรแถมได้กำจัดขยะตามที่บอกด้วย… ลูกชายบ้านซันเบิร์นนี้ ฉลาดสมคำล่ำลือจริงๆ] หัวหน้าอัศวินคิดเช่นนั้นก่อนจะชม เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขา

และหลังจากนั้นการเอาเศษเหล็กไปวางในโกดังหรือหน้าโกดังตอนกลางคืนเพื่อขออนุญาตเข้าห้องน้ำจึงกลายมาเป็นกฎสำคัญของอัศวินที่ป้อมปราการนี้ในที่สุด

อ่า…ส่วนต้นเหตุนะเหรอ……..ทั้งหมดนั้นเป็น เพราะ ผม…

….

หลังจากงานฉลองในคืนนั้นจบ นรกในสายตาของเขาก็จบลงเช่นกัน สเวน..ไม่สิ มาร์คิดแบบนั้น

[ให้ตายพ่อกับแม่โลกนี้มันคึกกันจังวะ คือเด็กแรกเกิดมันควรจะได้นอนเยอะๆ จะได้โตไวๆ นี้เล่นตะโกนโหวกเวกโวยวายตั้งแต่ กุคลอด..ไม่สิ ไม่สิ ไม่ได้ ไม่ได้ จะหยาบไม่ได้!! ตั้งแต่แต่เราคลอด

ตอนนี้ต้องหัดพูดจาสุภาพสินะ ดูเหมือนครอบครัวเราจะเป็นขุนนางขืนถ้าไม่หัดพูดสุภาพแล้วไปหลุดปากพูดตอนโตมีหวัง พ่อแม่เสียใจแน่ๆเลย ฮ่าๆๆ ]

มาร์ในวัยทารกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนที่นอนเด็กของเขาซึ่งวางอยู่ข้างๆเตียงนอนของวราเรย์

ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเขาเมาหลับไป มาร์ก็เริ่มฝึกขยับร่างกายไปมาอย่างช้าๆ

ใช่ถึงแม้ว่าร่างกายจะเป็นเด็กแต่สมองและจิตวิญญาณของเขาคือผู้ใหญ่ ชื่อของเขาคือ มาร์ ซันเบิร์น เขาเริ่มขยับนิ้วมือ แขน ขา และลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

ทว่าการที่ทำแบบนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่เด็กปกติจะทำได้ ต้องย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าอธิบาย!!

"ร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มีกุญแจ เป็นส่วนประกอบ FROM สองอย่าง 1 คือกายเนื้อ 2 คือวิญญาณ

กายเนื้อนั้น เป็นสิ่งที่พ่อแม่สร้างขึ้น กำหนดรูปลักษณ์ภายนอก ส่วน เผ่าของเจ้านั้นก็ถูกกำหนดด้วยพลังวิญญาณหน่วยชีวิตของพ่อแม่ พวกเจ้าและที่นั้นเรียกมันว่า HP ละนะ

โดยที่สิ่งที่แข็งแกร่งมากกว่า จะมอบการกำหนดเผ่า ให้ สิ่งที่อ่อนแอกว่า

พอเป็นแบบนี้ร่างกายของเจ้าที่จะเกิดบนโลกนั้นคงไม่มีทางเป็นเผ่าที่พ่อแม่เจ้าเป็นแต่เป็นเผ่า มนุษย์ นั้นแหละ สาเหตุง่ายมาก ค่าเฉลี่ยพลังวิญญาณหน่วยชีวิตตอนแรกเกิดนั้น แต่ละเผ่ามีมากสุดก็หลักร้อย แต่เจ้านี้สิที่เป็นมนุษย์จากโลกนี้แถม อยู่ที่นี้นานๆอีก "

พระเจ้าพูดจบก็หยิบป้ายขึ้นมาเขียนอะไรสักอย่าง

[ 5000 ] นั้นคือเลขในป้ายที่พระเจ้าหันมา

"พอเป็นแบบนี้ มันก็เลยไปกลบ พลังวิญญาณของพ่อแม่เจ้า จนหมดเกลี้ยงแน่ๆ ข้าทำนายได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงนะ เพราะว่า……อืมมม …เอ่ออ ไม่ดีกว่า พอลงไปเจ้าก็จะรู้เองว่าทำไม ข้าไม่อยากสปอย์เจ้าละนะ ฮ่าๆๆ"

และนั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไม เขาถึงสามารถขยับร่างกายได้ เป็นเพราะ จิตวิญญาณของมาร์ตอนนี้กลืนกินร่างกายไปแล้ว จิตวิญญาณของหนุ่มวัย 40 ในร่างเด็กทารกวัย 1 วัน ก็เลยทำให้ร่างกายต้องทำตามจิตนั้นอย่างขัดขืนไม่ได้

ระหว่างที่กำลัง"ข่มขืน"กล้ามเนื้อวัยเด็กด้วยจิตวิญญาณของตัวเอง มาร์ก็สงสัยว่า

[ จะว่าไปทำไม เราฟังภาษาของโลกนี้ออกหว่า จำได้ว่าพระเจ้าไม่ได้ให้ไว้นิ หรือว่า…..!!! Absolute Evolution!! จะเริ่มทำงานแล้ว…. ใช่ตอนนั้นไง

ตอนที่ไอหมอมันตีตูดเรา เหมือนจะในหัวจะขึ้นให้รับ หรือปฏิเสธอะไรสักอย่าง ตอนแรกกับปฏิเสธไป พอเจ้าหมอนั้นเริ่มบ่นอะไรสักอย่างมันก็ขึ้นมาอีก แล้วเราก็ยอมรับไปเพราะรำคาญ….หลังจากนั้นเหมือนว่าจะฟังออกหมดเลยแหะ ]

หลังจากที่ขยับร่างกายได้จนชินแล้ว มาร์ก็ลองฝึกขยับร่างกาย ด้วยการปีนออกนอกเตียงนอนของตนเองแล้วกระโดดไปมา ทั้งม้วนหน้า ม้วนหลัง กลิ้งตัว หรือแม้แต่ปีนชั้นหนังสือในห้องก่อนที่จะโดดลงมาม้วนตัวสู่พื้นอย่างสวยงาม

[เหมือนร่างกายจะขยับได้ตามใจชอบแล้วสินะ เหอะๆๆๆ เสร็จเราละ ว่าแต่เราจะดูค่าสเตตัสเหมือนในเกมยังไงหว่า] เขาคิดแบบนั้นก่อนจะพูดออกมาเบาๆว่า " สเตตัส "

[ ….เงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่มีสเตตัสหรือเปล่า เอาเถอะตอนนี้ควรหาข้อมูลก่อน ]

มาร์เดินไปที่ชั้นวางหนังสือและมองหาหนังสือในนั้นมาอ่าน ระหว่างที่เขากวาดสายตา ก็พบกับหนังสือ….

[ วิธีการดูความสามารถของต้นเอง ฉบับ วัยก่อน 8 ขวบ ]

[นี้แหละๆ ดีจริงๆที่เจอ ไหนๆดูสิ…….] มาร์เริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้น

เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง

[ไอชิบ…… ไอระ……. ไม่ได้ๆ แย่จังเลยโว้ยยยย หนังสือนี้มันไม่บอกอะไรเลยนอกจากว่า จนกว่าจะอายุ 8 ขวบ จะไม่รู้สเตตัสของตัวเองเพราะยังไม่ได้ไปขึ้นทะเบียนที่อำเภอ แถมสกิลที่ใช้ในอำเภอนั้นก็เป็นความลับอีก อะไรเนี้ยยยย แบบนี้ก็ต้องทน งม ค่าความสามารถไปจนกว่าจะ 8 ขวบ เหรอออ ไม่ยอมหรอกเว้ยยยย ถ้าไม่รู้ก็ฝึกมันไปเรื่อยๆเลยละกัน!!!] มาร์คิดเช่นนั้นก่อนจะเริ่มควานหาหนังสือมาอ่านต่อ

คราวนี้เขาหยิบ [หนังสือประวัติศาสตร์] มาอ่าน ซึ่งก็อ่านได้ไม่นาน เขาก็รู้ว่า โลกนี้มีภาษากลางคือ อิคดีย์ เป็นภาษาที่จะใช้สื่อสารกันเป็นปกติ และโลกนี้มีหลายทวีปมากๆ

แต่ทวีปที่เขาอยู่คือ พ็อกซ์ เป็นทวีปที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและเป็นทวีปที่สงครามแทบจะไม่เกิดเพราะเป็นแหล่งวิทยาการที่ทวีปอื่นๆจะส่งลูกหลานมาศึกษา โดยมีระดับการศึกษาตั้งแต่ โรงเรียนไปจนถึงมหาลัย

ทว่า โรงเรียนในโลกนี้เริ่มเรียนตอน….อายุ 15 ปี และมหาลัยเริ่มตอน อายุ 22 ปี มาร์ที่เห็นข้อความนี้ก็ถึงกับเกาหัวเพราะมันนานมากๆ นานจนเหมือนจะเรียกได้ว่าแบบนี้มันเสียเวลาชัดๆ

เขาอ่านหนังสือจนจบก็เก็บมันเข้าที่ ก่อนที่จะหยิบหนังสืออีกเล่มมาอ่าน [ ชีวิตเพื่อเตรียมเข้าเป็นอัศวิน เวทย์ที่ควรรู้และระบบต่างๆก็เข้าเรียน ] เป็นหนังสือหนาประมาณ 30 เซนติเมตร

"อ่า…. อืมมม อ๋ออออ เอ๋!! งี้ก็ได้เหรอ?!?!" มาร์บ่นพึมพำในระหว่างที่อ่านหนังสือเล่มนั้น

เนื้อหาในหนังสือ 15 เซนติเมตรแรก นั้นเป็นเรื่องของเวทย์มนต์หมายถึงระดับของเวทย์มนต์

โลกนี้เวทย์มนต์มีระดับตั้งแต่ 0 ถึง 20 และระดับชั้นสังคมของแต่ละที่มักจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่าง ชั้นกลาง และ ชั้นสูง ระดับเวทย์เองก็เรียงง่ายๆคือระดับต่ำๆ เรียนง่ายใช้มานาน้อย ระดับยิ่งสูงยิ่งใช้ยาก ซึ่งเวทย์มนต์สามารถพัฒนาได้ถ้าหากใช้มันบ่อยๆ

โดยโลกนี้แบ่งคนทำงานตามระดับเวทย์ที่ใช้ได้จากเวทย์ระดับ 0 ถึง 3 คือคนทั่วไป มากกว่า 3 ไปถึง 7 คือนักเวทย์หรืออัศวิน แต่ถ้ามากกว่า 8 ถึง 10 คือจอมเวทย์หรือยอดขุนพล ส่วนมากกว่านั้นไม่ปรากฎว่ามี ถ้ามีก็ระดับเทพ ไม่ก็ตำนาน

เผ่าพันธุ์มีมากมาย แต่ว่ามนุษย์โดนดูถูกมากที่สุดเพราะไม่มีดีอะไร ทั้งเวทย์ ทั้งกำลัง เลยโดนเท ตลอด มนุษย์ใช้เวทย์ได้สูงสุดตามธรรมชาติที่ ระดับ 2 แต่การพัฒนาร่างกายก็แล้วแต่คนแต่ไม่เคยมีใครไปถึงยอดขุนพล

ต่อมาคือเรื่องเข้าเรียน เวลาจะเข้าเรียนต้องมีการสอบ ซึ่งหนังสืออก็อธิบายไว้คร่าวๆแค่ ว่า [ จำข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ไปก็สามารถสอบผ่านได้ เพราะข้อสอบข้อเขียนไม่เคยเปลี่ยน และ ข้อสอบปฏิบัติเองก็เช่นกัน ]

หลังจากที่อ่าน มาร์ก็พบกับคำตอบของชีวิตว่า [ หนังสือบ้านี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเล้ย ให้ตายเถอะ เขียนมาแต่น้ำ นี้ลองเขียนสรุปลงกระดาษไอความหนา 20 เซนติเมตร สรุปออกมา 5 แผ่น 10 หน้า คือ….จะพิมให้เปลืองกระดาษทำดอยอะไร แล้วในหนังสือก็มีแต่วลีเหยียดเผ่าพันธุ์ เห้อออ ]

และแล้วก็มาถึงส่วนสำคัญของหนังสือ 10 เซนติเมตรสุดท้ายของเล่ม…..

[อื้ม…. สกิล ที่สอน มีแค่ 2 อย่าง เห้ออออ… ไหนดูสิ] มาร์เริ่มอ่านซึ่งในหนังสือนั้นก็มีแต่วิธีฝึกซึ่งให้ได้สกิลนั้นมา ทั้งการรวบรวมพลังมานาไว้ในร่างกาย การสัมผัสพลังมานา

แต่ว่าอยู่ๆก็มีเสียงผู้หญฺงพูดในหัวของมาร์[ ท่านต้องการจะรับสกิล เสริมกำลังกายระดับ 2 หรือไม่ Yes/No ]

[ อ่านี้สินะสกิล Absolute Evolution ไหนๆก็สำคัญสำหรับเข้าโรงเรียนนิน่า เอาสิ Yes ] ทันทีที่ตอบตกลงมาร์ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างปรากฎขึ้นในตัวเขา

[ ท่านได้รับ สกิล เสริมกำลังกายระดับ 2 และพัฒนาสู่ เสริมแกร่ง ระดับ 3 เรียบร้อยแล้ว ] เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

[เดี๋ยวนะ? เราได้สกิลแล้วเหรอ? แค่อ่านเนี่ยนะ แค่อ่านว่ามันคือสกิลอะไรเนี่ยนะ? จริงดิ แถมรู้สึกได้ว่ามีสกิลนี้อยู่ในตัวเลยด้วย เหมือนดึงคำออกมาจากหัวชัดๆ ไหนๆลองดูสิ ] มาร์ลองใช้สกิลทันทีแล้วผลที่ได้คือ

ร่างกายของมาร์เริ่มมีกล้ามขึ้นตามส่วนต่างๆ แต่มันดูน่ากลัวประหลาดๆ เพราะว่าเด็กอายุ 1 วัน นั้นกำลังเบ่งกล้ามและตั้งท่าทางแบบนักเพาะกาย

"โอ้วววว นี้ละสุดยอด ความฟิตนี้มันอะไรกันนนน" มาร์พูดออกมาเบาๆ พร้อมกับยิ้มเก็กหล่อ

แต่ว่าระหว่างที่เขาเบ่งกล้ามอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่า มานา กำลังถูกดูดออกไป และมันเริ่มทำให้สติของเขาเลือนลางจางๆ หลังจากเบ่งกล้ามนานกว่า 30 นาที

[หยุดแค่นี้ก่อนดีกว่า รู้สึกมึนๆยังไงไม่รู้ ] มาร์หยุดเสริมแกร่งร่างกายแล้ว อ่านหนังสือต่อก็พบว่า

อัตราการใช้มานาของ[เสริมกำลังกาย]นั้นปกติ จะใช้เฉพาะตอนที่มีจังหวะโจมตีหรือจำเป็นต้องหลบหรือป้องกัน เพราะว่าอัตราของการใช้มานานั้นสูงมากๆ ยิ่งถ้าใช้เสริมทั่วร่างกายยิ่งกินมานาสูงสุดๆ ปกติมือใหม่แค่คงสภาพไว้ได้ 1 นาทีก็สลบได้แล้ว

[อ่า…แต่เรา เบ่งกล้ามเล่นเกือบ 30 นาทีเลยนาาา แถมใช้สกิลที่สูงกว่าด้วย แบบนี้มานาเราคงเยอะมากเลยละสิเนี่ย….ดีไม่ดีหว่า แต่แบบว่า ยังมึนๆอยู่เลยแหะ เอาเถอะ อ่านต่อๆ เหลืออีก 1 สกิลนิ]

มาร์อ่านหนังสือนั้นต่อ คราวนี้เขาเลือกที่จะข้ามส่วนที่เกี่ยกับการฝึกไปเลยเพราะรู้ว่า….คงไม่ได้ฝึกเพื่อเอาสกิลแน่ๆ

สักพักก็มีเสียงดังขึ้นในหัวอีกครั้ง [ ท่านต้องการจะรับสกิล ฟื้นฟูมานา-ต่ำ ระดับ 3 หรือไม่ Yes/No ]

มาร์ไม่รอช้าที่จะตอบว่า [ YES!! ]

[ท่านได้รับ สกิล ฟื้นฟูมานา-ต่ำ ระดับ 3 และพัฒนาสู่ ฟื้นฟูมานา-กลาง ระดับ 5 เรียบร้อยแล้ว] ทันทีที่ได้รับสกิล มาร์ก็รู้สึกได้ว่าอาการมึนของเขาเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มาร์รีบหยิบหนังสือมาอ่านข้อมูลของสกิลนั้นทันที

สกิล [ ฟื้นฟูมานา-ต่ำ ] สกิลที่เพิ่มปริมาณความจุมานาเพียงเล็กน้อยและเพิ่มอัตราการฟื้นฟูมานา ตราบใดที่ยังคงมี "สติ" อยู่ หากหมดสติเมื่อไหร่ หรือ นอนเมื่อไหร่ สกิลจะหยุดทำงานลงทันที

[หมายความว่ายิ่งเราตื่นและตั้งสมาธิ เราก็จะฟื้นฟูมานาได้เรื่อยๆสินะ] มาร์เดินกลับไปที่เตียงของตนเอง แล้วนั่งขัดสมาธิบนนั้น

[ เอาละ ในหนังสือบอกว่า ถ้าเรายิ่งใช้สกิลบ่อย สกิลก็จะพัฒนาต่อได้สินะ แบบนี้ระหว่างที่เรายังไม่ได้สกิลที่สูงกว่าก็ฝึกใช้เพื่อให้ชินไปก่อนละกัน ]

[เอ้า [เสริมแกร่ง] แอคทีฟได้!!! ] กล้ามเริ่มปรากฎขึ้นบนร่างของมาร์อีกครั้ง คราวนี้แม้เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงมาร์ก็ยังทนได้ จนกระทั่ง

1 ชั่วโมงครึ่ง มาร์ก็พบกับความมืด…..สลบ

[เห้ย…. นี้เราสลบเลยเหรอ ไม่ดินี้มันไม่ใช่สลบ เชี้ยยยยยย ใครจะไปยอมละเว้ยยยยยย]

[ ABSOLUTE DENY : เริ่มทำการปฏิเสธความตาย ] เสียงนั้นดังขึ้นในหัวแต่มาร์ก็ไม่ได้ยินมัน

มาร์เริ่มใช้จิตของตัวเองดึงสติกลับมาจากโลกแห่งความมืดและตื่นขึ้นบนเตียงของเขา….

"แฮกๆๆ แฮกๆ เมื่อกี้ไม่ใช่สลบแล้ว สลบบ้าอะไรมืดขนาดนั้นวะนั้น แถมรู้สึกเย็น เย็นไปทั่ว…เลย หรือว่า.." ใบหน้าของมาร์เต็มไปด้วยเหงื่อและสีหน้าของเขาก็ซีดเซียวสุดๆ

มาร์ปีนลงจากตีนไปอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลว่า ถ้ามานา หมดจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคำตอบที่ได้คือ

"ตาย"

ใช่ ตาย ถ้ามานาหมดก็คือพลังจิตวิญญาณหมด แบบนั้นร่างก็ไร้ซึ่งวิญญาณที่จะคงอยู่ต่อได้

[ นี้เราอายุ 1 วันก็จะตายแล้วเหรอ ไรวะเนี้ยฮ่าๆๆๆ บ้าระห่ำดีแหะ……] หลังจากนั้นมาร์ก็ฝึกแบบเดิมอีก แต่คราวนี้เขาคงสติไว้ได้ถึง 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะสลบ..ไม่สิ ปางตายไป

[เดี๋ยวๆๆๆ นึกว่าได้แล้วนะนั้น เห้ยๆ อย่าพึ่งตายเว้ยยยย]

[ ABSOLUTE DENY : เริ่มทำการปฏิเสธความตาย ] มาร์ก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงนี้อีกเช่นเดิม

มาร์ชักสะดุ้งขึ้นมาจากการจำลองตายอีกครั้ง แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่า มานา ของเขาเพิ่มขึ้นกว่าตอนสลบครั้งแรกมาก มันเพิ่มมาพอจะให้เขาใช้สกิลได้นานขึ้นตั้ง 30 นาที

"เห้อ….แบบนี้ ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ น่าจะพัฒนาสกิลได้เร็วขึ้นสินะ ไม่สิมานาก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย สุดยอดไปเลยแหะ แต่เสี่ยงตายสุดๆเลยเห้ย เอาเถอะ แบบนี้สิถึงจะสนุก!!! "

แสงพระอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างลงมา แถมร่างกายของควาโด้กับวราเรย์เริ่มเรืองแสงขึ้น

[ชิบๆๆๆ เดย์แมร์ได้รับเอฟเฟคแสงแล้วแบบนี้ พ่อกับแม่คง…]

"ฮาวววววว เช้าแล้วแหะ ตื่นได้แล้วค่ะคุณ ต้องไปทำงานแล้วนะคะ… งืม…. มาร์ อยู่ดีไหมเอ่ย.."

มาร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบกลับไปแกล้งนอนต่อทันที ส่วนวราเรย์ก็เดินมาดูลูกชายของเธอนอนหลับอยู่บนเตียง

[น่ารักจริงๆเลยน้า ลูกใครเนี้ย ฮุฮุ ]

….

ในโลกใบนี้มีเผ่าพันธ์ุอยู่มากมาย ชั้นกับสามีพวกเราเป็นเผ่าที่ถูกเรียกว่าเดย์แมร์ พวกเรามีจุดเด่นที่ผมสีปลายสีแดง ดวงตาของพวกเรานั้นมีแดงส้มดั่งพระอาทิตย์ และที่สำคัญเมื่อไหร่ที่พระอาทิตย์ขึ้นพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้น

ทว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเรานั้นถึงจะเหมือนมนุษย์เท่าไหร่ ก็มีจุดต่าง เมื่อไหร่ที่เราอายุ 25 ร่างกายก็จะหยุดโตและคงสภาพแบบนั้นไว้จนกว่าพวกเราจะตาย

ส่วนใหญ่อายุขัยของพวกเราคือ 200 ปี แต่ว่าส่วนใหญ่พวกเราจะตายในฐานะอัศวินเวลาออกไปรบเสียมากกว่า แต่ที่แย่กว่านั้นคือ พวกเรานั้นมีอัตราการเกิดที่น้อยมากๆ….น้อยขนาดที่ บางปี ก็ไม่มีเด็กเผ่าเดย์แมร์เกิดเลย

ทว่า ความฝันของชั้นกับสามีก็สำเร็จหลังจากที่แต่งงานมานานกว่า 20 ปี เราก็มีลูกด้วยกัน ในวันนี้วันที่เด็กคนนั้นคลอดออกมา ชั้นได้ยินเสียงกระซิบจากพระเจ้า

ชั้นสวดภาวนาขอบคุณ ขอบคุณที่ทำให้ความหวัง ความฝันของเราทั้งสองเป็นจริง

"อุแว๊ อุแว๊" เสียงนั้นดังมาจากเด็กทารกที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของหมอที่มาทำคลอดให้กับชั้น

"คุณหญิงวราเรย์คะ จะให้คุณหญิงกับคุณท่านจะตั้งชื่อเด็กผู้ชายคนนี้ว่าอะไรดีคะ" พยาบาลที่ตอนนี้กำลังอุ้มลูกของวราเรย์พูดขึ้นมา ในขณะที่พาเด็กคนนั้นเข้ามาหาเธอ

พยาบาลคนนี้ค่อยอุ้มเด็กและส่งให้วราเรย์อุ้มต่อ เป็นภาพของหญฺงในชุดพยาบาลกำลังส่งทารกตัวน้อยๆ ให้กับผู้หญิงหน้าตาของเธอนั้นน่ารักเหมือนเด็กวัย 18 ต้น ผมเธอนั้นยาวเป็นสีดำไล่ไปสีแดง ดวงตาของเธอนั้นมีนัย์ตาสีแดงส้ม

เธอหยิบแว่นตากลมโตขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆเตียงขึ้นมาใส่ และเธอมองทารกคนนั้นด้วยรอยยิ้มของผู้เป็นแม่

"ไหนขอแม่เห็นน่าชัดๆหน่อยนะ….น่ารักจริงๆเลย นั้นสินะ…..งั้นเอาชื่อเป็น…."

*ปั้ง*

วราเรย์ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็มีชายหนุ่มหน้าสวยผมยาวดำปลายสีแดงในชุดสูทสีดำพังประตูเข้ามา

"ลูกของเราาาาา ในที่สุด โอ้วววว ที่ร้ากกกกกก"

เขาเดินเข้าไปหาวราเรย์อย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม

"โธ่ โธ่ ควาโด้ของชั้น คุณก็โตแล้วนะคะหยุดร้องไห้ได้แล้ว ยังไงก็มาช่วยตั้งชื่อลูกกันดีกว่านะคะฮุฮุ" วราเรย์ลูบหัวสามีของเธอ ควาโด้อย่างช้าๆ

"แล้วที่รักละเป็นอะไรหรือเปล่าไหวไหม พึ่งจะคลอดลูกของพวกเราไม่ใช่อ๋อออ พักก่อนไหม…"

"ไม่ได้นะคะคุณ!!! ตอนนี้เราต้องตั้งชื่อลูกชายของพวกเรากันก่อนนะคะ ดูสิเด็กคนนี้กำลังมองพวกเราอยู่นะคะ ดูท่าคงอยากจะได้ชื่อดีๆแน่เลย" วราเรย์มองไปที่เด็กที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของเธอ

ในห้องพยาบาลก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่จะมีเสียงเบาๆพูดขึ้นมาจากปากของควาโด้

"มาร์….ลูกเรา ลูกชายคนนี้ต้องชื่อว่ามาร์!!!" เขาพูดพร้อมกับจ้องไปที่ทารกในอ้อมแขนของวราเรย์ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับถูกเด็กคนนั้นมองด้วยสายตาแขยงเหมือนจะไม่ชอบชื่อที่ถูกตั้งให้

"มาร์งั้นเหรอคะ… เป็นชื่อที่ดีจัง งั้นคุณพยาบาล เด็กคนนี้ชื่อมาร์นะคะ" วราเรย์พูดจบก็หลับตาและอุ้มทารกคนนี้คนที่ชื่อว่ามาร์ขึ้นมาหอมแก้ม

"ได้ค่ะ คุณหญิงเดี๋ยวดิชั้นจะดำเนินการต่อให้นะคะ ชื่อ มาร์ นามสกุลซันเบิร์น นะคะ" พยาบาลสาวคนนั้นกล่าว

"จ้า ฝากด้วยนะคุณพยาบาล …คุณคะว่าแต่พวกออร่าละคะ ไปไหนกันหมดแล้วละ ไม่ใช่ว่าตอนชั้นปวดท้อง พวกนั้นก็มาด้วยไม่ใช่เหรอ"

วราเรย์ถามควาโด้ด้วยสีหน้าสงสัย พร้อมกับมองไปที่ประตูห้อง

แต่ว่าควาโด้กลับส่ายหน้าแล้วถอนหายใจก่อนจะเชิญให้พยาบาลกับหมอออกไปก่อน ซึ่งทั้งสองคนก็ออกไปแต่โดยดี

"พวกออร่า พิเรีย ตอนนี้อยู่กับเตย์ที่รถม้าน่ะ ส่วนอลิซเซียเธอต้องรีบกลับไปจัดการเรื่องงานฉลองของเด็กคนนี้นะ.." ควาโด้พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนมีเพียงวราเรย์คนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน

"ทำไมล่ะคะ ให้ทั้งสามคนเข้ามารอในห้องก็ได้นี้.." วราเรย์พูดพร้อมกับสงสัยว่า [ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องนั้น…]

"ไม่ได้หรอกที่รัก พวกยามของโรงพยาบาลน่ะไม่ยอมให้มนุษย์เข้ามาในพื้นที่รักษาขั้นสูงของคุณนางหรอก จริงๆ..พี่ก็ลองขอ ผอ โรงพยาบาลแล้ว แต่ว่ากฎก็คือกฎละนะ พี่ละเกลียดเรื่องแบบนี้จริงๆ" ควาโด้พูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บแค้น

[ นั้นสิ….มนุษย์ไม่สามารถเข้าเขตการรักษาขั้นสูงในโรงพยาบาลได้นี้น่า….แบบนี้ทั้ง 3 คนนั้นจะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ ] วราเรย์เอื้อมมือไปกุมมือของควาโด้พร้อมกับยิ้มให้เขา

"งั้นเดี๋ยวรอชั้นฝื้นตัวอีกสักพักนะคะคุณ แล้วเดี๋ยวพวกเรากลับบ้านกันนะ" เธอพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าควาโด้จะมองอีกกี่ครั้งเขาก็รู้สึกใจเต้นเหมือนตอนที่เจอเธอครั้งแรกเสมอ

"อื้ม!!!"

หลังจากนั้นผ่านไปได้ราว 1 ชั่วโมง อาการของ วราเรย์ก็ดีขึ้นด้วยความที่ตอนนี้เป็นตอนเช้า เผ่าเดย์แมร์จะแข็งแกร่งกว่าปกติมาก ดังนั้นแผลจากการคลอดลูกหรือความเหนื่อยล้าก็เลยหายไปอย่างรวดเร็ว

"เอาละที่รัก เดินดีๆนะ พึ่งฟื้นตัว อย่างโหมละ ใกล้ละ ใกล้ถึงรถม้าแล้วนะ โอยยยย!!! ออร่า พิเรีย มาช่วย เราพยุงวราเรย์หน่อย!!"

ตอนนี้ควาโด้กำลังช่วยพยุงวราเรย์ที่อุ้มมาร์ เดินไปยังรถม้าที่มาจอดรอรับพวกเขา มันเป็นรถม้าไม่ได้หรูหราแต่ก็ไม่ใช่ของที่คนทั่วไปจะมีได้

"เจ้าค่ะคุณท่าน ออร่ากับพิเรีย มาแล้วค้าาา คุณหญิงระวังๆหน่อยนะคะ นี้คะ" เสียงนั้นตะโกนมาจากรถม้าคันที่จอดอยู่แล้วก็มี ผู้หญิงสองคนวิ่งลงมาจากรถม้า

คนที่ตะโกนเสียงดังนั้น เธอชื่อออร่า เรย์เป็นมนุษย์ผมดำยาว ในชุดเมดสีดำ ที่ใบหน้าและตามร่างกายของเธอมีบาดแผลจำนวนมาก เป็นรอยแผลของการถูกของมีคมฟันและรอยทุบตี ทั้งที่คอของเธอมีรอยของการที่เคยถูกบางอย่างรัดไว้ด้วย เธอมีผิวสีแทน และร่างกายดูแข็งแรงมากกว่าผู้หญิงทั่วไป

ส่วนข้างๆ ที่วิ่งตามมานั้นเป็นมนุษย์ผมสีดำเช่นกัน ในชุดพ่อบ้าน แต่ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีชื่อว่าพิเรีย แมรี่ เพราะสัดส่วนมันดันแสดงออกมาชุดพ่อบ้านเลยไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ เธอเป็นคนสุภาพแม้ดูจากภาคนอกก็รู้

ในแววตาทั้งสองจับจ้องมาที่ทารกในอ้อมแขนของวราเรย์ พวกเธอที่ได้เห็นก็แสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมากันทันที พร้อมกับเข้าไปช่วยควาโด้และวราเรย์เดินไปขึ้นรถม้าของพวกเขา

"ขอบใจทั้งสองคนมากเลยนะ ออร่า พิเรียที่ช่วยพยุงชั้นขึ้นรถ ขอบใจนะ"

วราเรย์พูดในขณะที่ยังอุ้มมาร์อยู่ ตอนนี้ทั้ง 5 คนได้ขึ้นมาบนรถ วราเรย์นั่งข้างๆควาโด้โดยที่ยังใจจดใจจ่อกับมาร์ ส่วน ออร่ากับพิเรียทั้งสองนั่งตรงข้ามพวกเขาและก็เช่นกันเธอทั้งสองจ้องมองไปที่มาร์ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

"อะแฮ่มๆ พิเรีย ว่าแต่เตย์ไปไหนละหึ นี้จะให้พวกเรานั่งรอในรถม้านี้อีกนานแค่ไหนกัน.." ควาโด้พูดออกมาโดยพยายามทำให้เสียงดูน่าเกรงขามที่สุดแต่ว่า ความสาวของ"เขา" ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

"ขอโทษเจ้าค่ะ เตย์เขาออกไปหาดอกไม้สำหรับงานฉลองให้กับคุณท่านและคุณหญิง อีกไม่นานก็กลับแล้วค่ะ" พิเรียพูดขึ้นมาพร้อมกับก้มหัวขอโทษแทนเตย์ที่ไม่อยู่ตอนนี้

ควาโด้ก็ชักสีหน้าแล้วคิดว่า [ ให้ตายเถอะคนใช้บ้านเราจะขยันฉลองให้กับวันนี้เกินไปแล้ว แบบนี้จะโกรธลงได้ยังไงเนี่ย…]

"เอาเถอะ บ่นไปเตย์ก็ไม่ได้มาไวขึ้น งั้น…" ควาโด้พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าบึงตึงที่น่ารัก

"ขออนุญาตคร้าบบบบ คุณท่าน กับ คุณหญิง ยินดีด้วยนะครับผมมมมมม" เสียงตะโกนดังขึ้นจากนอกรถม้า เป็นเสียงที่ทุ้มและดุดัน

"เตย์ รบกวนช่วยเบาๆหน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวคุณหนูก็ตื่นหรอกไม่สิ….ตื่นแล้วหรือเปล่า" พิเรียเปิดประตูออกไปบ่นคนข้างนอกก่อนจะรีบหันกลับมาดูมาร์ซึ่งดูเหมือนว่ามาร์ยังไม่ตื่น

ข้างนอกนั้นมีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ผมสั้นกับหนวดเคราดกดำ ในชุดชาวสวน เขามีชื่อว่า เตย์ เทเรฟีน เขาเป็นคนที่หน้าตาเข้มและดุดัน กล้ามของเขานั้นสามารถมองเห็นได้แม้จะมีเสื้อบังอยู่ ในมือของเขามีตระกร้าที่ใส่ดอกไม้หลากสีเอาไว้หลายสิบดอก

"อ่า…. ขออภัยครับคุณท่าน คุณหญิงแล้วก็คุณหนู" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาและก้มหัวขอโทษทั้งสาม

"เอาเถอะๆ นายมาก็ดีแล้ว พวกเธอฟังให้ดี นี้คือบุตรชายคนแรกของบ้านซันเบิร์น มาร์ ซันเบิร์น!!!..อุ๊บส์ "

ควาโด้ยังไม่ทันได้ตะโกนออกไปก็ถูกวราเรย์หวดหน้าคว้ำเสียก่อน

"ชี่ๆๆๆ ชี่ๆๆๆ คุณคะอย่าเสียงดังได้ไหมเดี๋ยวลูกก็ตื่นหรอก เตย์ เธอมาก็ดีแล้ว พาพวกเรากลับบ้านได้แล้วละนะ ต้องกลับไปฉลองกันไม่ใช่เหรอ หุหุ" เธอกวักมือให้รีบๆไปด้วยรอยยิ้มบางๆ

"ขอรับคุณหญิง เดี๋ยวกระผมจะรีบนำพาทุกท่านกลับไปที่คฤหาสน์เดี๋ยวนี้ละครับ" พูดจบเตย์ก็เอาตระกร้าดอกไม้วางลงในรถม้าแล้วปิดประตูเบาๆก่อนที่สักพักรถม้าจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไป

ไม่นานรถม้าก็วิ่งออกจากตัวเมือง ตัวเมืองที่รถม้าออกมาเป็นเมืองที่มีกำแพงอิฐล้อมรอบและตัวตึกราวบ้านช่องก็ใช้อิฐก่อสร้าง ผู้คนมากมายใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข ใช่ที่นี้คือเมืองแห่งการศึกษา เมืองไฮทคอลราจ ตอนที่ผ่านประตูเมืองเองเหล่าทหารก็ก้มหัวแสดงความเคารพรถม้าคันนั้น

รถม้าคันนี้ยังคงวิ่งอยู่บนถนน โดยที่ทั้งสองข้างเป็นทุ่งนาและสวนขนาดใหญ่ ห่างไกลออกไปหน่อยก็มีภูเขาสูงหลายสิบลูก ทิวทัศน์รอบๆในตอนที่รถม้าวิ่งไปนั้นสวยงามอย่างกับภาพวาดเลยทีเดียว นกโบยบินอยู่บนฟ้า เหนือกว่านกพวกนั้นก็เป็นไวเวิร์นของเหล่าอัศวินที่ใช้ตรวจการรอบๆ

ไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าคฤหาสน์หนึ่ง เป็นคฤหาสน์ที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มองออกได้ว่าหรูหรา ที่หน้าคฤหาสน์มีอัศวินเดินตรวจตราตลอด พวกเขาเมื่อเห็นรถม้าก็ก้มหัวเคารพเช่นกัน และวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้รถม้าวิ่งผ่านเข้าไป

"ถึงแล้วขอรับคุณหญิง" เตย์ลงมาเปิดประตูรถม้าก่อนที่จะวิ่งไปเปิดประตูคฤหาสน์ ออร่าและพิเรียเองก็รีบลงไปจัดแถวต้อนรับเช่นกัน ทว่าที่ปลายแถวมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย

"ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ คุณท่าน คุณหญิง และก็นายน้อย!!" พวกเขาทั้ง 4 คนกล่าวอย่างพร้อมเพรียง

"กลับมาแล้วจ้า นี้ๆ อลิซเซียดูสิดูสิ นี้ลูกชายของชั้นกับควาโด้เองละ เป็นไงน่ารักไหม??" วราเรย์เรียกผู้หญิงที่อยู่ปลายแถว เธอคนนั้นที่ได้ยินก็เดินเข้ามาหาวราเรย์

เธอเองก็เป็นผู้หญิงที่มีผมยาวสีดำปิดหน้าครึ่งซ้ายและผมสั้นสีดำแดงครึ่งขวา ดวงตาข้างขวาสีแดงส้มและดวงตาข้างซ้ายสีดำ เธอสวมชุดเมดที่มีมีผ่ากันเปื้อนของแม่ครัวอยู่ด้านหน้าของเธอ ใช่ ผู้หญิงคนนี้คือ อลิซเซีย โซล่า

"ยินดีด้วยนะคะ คุณหญิง นายท่าน ..นายน้อยช่างเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆเลยนะคะ.." อลิซเซียพูดก่อนจะเข้ามามองดูมาร์ใกล้ๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมา ทารกที่อยู่ตรงหน้าเธอเองก็มองดูอลิซเซียด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

[เด็กคนนี้ ลูกของนายท่านกับนายหญิง ช่างดูยิ่งใหญ่ ฮ่าห์…..ทำไมใจเราเต้นแบบนี้นะ]

*ตึก* *ตึก* *ตึก* อลิซเซ๊ยที่มองดูมาร์ก็หน้าแดงขึ้นมา เธอพยายามเลี่ยงหน้าไม่มองมาร์และเงยหน้าขึ้นมาหา วราเรย์

"นายหญิงคะ ตอนนี้ดิชั้นได้เตรียมงานฉลองไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ยังไงก็…"

"เอาละ ทุกคนเข้าไปในบ้านแล้วฉลองกันเถอะ วันนี้ เป็นวันดี วันที่สำคัญของเรากับวราเรย์ เร้ว เข้าไปฉลองกันเถอะ ฮ่าๆๆ" คนที่พูดขึ้นมาเสียงดังนั้นคือควาโด้ที่ตอนนี้เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ลงมา ก่อนที่จะจูงมือวราเรย์เข้าไปในคฤหาสน์

"…คุณนี้พอกลับบ้านแล้วก็หลุดเลยนะคะ เอาเถอะวันนี้วันดีจริงๆนั้นแหละน้าา"

แล้วทุกคนก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ และคืนนั้นก็มีการฉลองของตระกูลซันเบิร์นงานฉลองวันเกิดของมาร์ ซันเบิร์น เด็กน้อยที่ในร่างนั้นได้ก้าวข้ามบางอย่างไปแล้ว

….

ในห้องที่มีแต่ความว่างเปล่า มีเพียงชาชราร่างกำยำในชุดสีขาว และ ชายหนุ่มหัวล้านที่ล่อนจ้อนไม่สวมเสื้อผ้าอะไร ทั้งสองนั่งบนเห้าอี้ไม้สีน้ำตาลที่มีโต๊ะคั้นเอาไว้ บนโต๊ะนั้นมีชุดเครื่องชาสีขาว

"เอาละเรื่องมันเป็นอย่างนี้…"

ชายชรายกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะวางมันลง แล้วหยิบขึ้นมาจิบอีกครั้ง ชายชราที่ได้ชื่อว่าพระเจ้านั่งจิบชาแล้ววาง จิบชาแล้ววาง อยู่สักพัก ปล่อยให้สเวนนั่งงง

"ขอโทษนะครับพระองค์ สรุปแล้วเรื่องที่จะเล่านี้…"

สเวนถามขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่พระเจ้าด้วยสายตากดดัน

"อ๋อ นั้นสิๆ เมื่อกี่เผลอไปหน่อยบังเอิญไม่ค่อยมีใครมาคุยด้วยแบบนี้นานหลายสิบปีแล้วก็อยากจะเก็บช่วงเวลาดีๆไว้บ้าง ฮ่าๆ"

หลังจากนั้นพระเจ้าก็เล่าให้ สเวนฟัง อยู่ราวๆ 1 ชั่วโมง ก่อนจะขอตัวไปจัดการปัญหาเล็กน้อยแล้วปล่อยสเวนนั่งทำความเข้าใจอยู่คนเดียวในห้องสีขาวโล่งๆนี้

[ อืมหลังจากที่นั่งฟังมาโลกที่ทดลองสร้าง พระเจ้าบอกว่าทดลองก็จริงแต่อายุของโลกก็นั้นก็ปาไป มากกว่าล้านปีแล้ว ทั้งเป็นโลกที่เกือบจะตรงกันข้ามกับโลกที่เราจากมา

มนุษย์กลายเป็นชนชั้นล่างเกือบที่สุด ที่นี้มีเวทย์มนต์ มีมานา เป็นพลังงาน ที่นี้มีสงคราม…อันนี้น่าสนใจ และมีจอมมารเหมือนการ์ตูนแฟนตาซีที่เราเคยยืมทานากะอ่าน กับเกมที่เราเล่นสินะ

สรุปคือโลกแฟนตาซีสินะ อืม…ส่วนสาเหตุที่เราต้องไปก็เพราะ อย่างแรก เราเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สงครามจบลงและโลกกลับไปสมดุลซึ่งลดงานพระเจ้าไปได้อย่างเยอะ

อย่างที่สองคือเรากลับไปไม่ได้แล้ว ตอนแรกพระเจ้าก็จะสร้างปาฏิหารย์ให้เรารอดด้วยการคืนชีพ แต่กระสุนปืนใหญ่ที่ตกใส่ทำลายร่างของเราจนกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว

เห้อออ ขืนไปฝืนธรรมชาติขนาดคืนร่างจากเศษเหนือ จะทำให้ระบบธรรมชาติปั่นป่วนเกินไป ว่ามางั้นนะ

เราก็เลยต้องไปโลกใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ดีที่ว่าพระเจ้ารับรองรองให้เราไปอยู่ในที่ที่ไม่ยากลำบากนัก…..ท่านว่ามาอย่างนั้นละนะ ]

สเวนนั่งคิดอยู่เงียบๆ เพราะปัญหาคือหลังจากที่พระเจ้าเล่าเรื่องให้ฟัง มันเป็นสิ่งที่ทำให้เดชกลุ้มใจเอามากๆ นั้นคือ

[ พร 2 ข้อ 2 ข้อ !!! สำหรับ 1.รางวัลที่ช่วยงานอ้อมๆ และ 2.คำขอโทษที่ไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตให้ นี้แหละแล้วไอพรสองข้อก็เรื่องมากชิบหายยยยยยยย!!! ]

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักหน่อย

"เอาละหลังจากที่ฟังมาหมดแล้ว พ่อหนุ่ม เจ้าเลือกจะขออะไรข้าดีละ" พระเจ้ากล่าวขึ้นมาพร้อมกับยืนขึ้นแล้วเผยแขนออกสองข้า ส่งแสงสว่างที่แสบตาไปทั่วห้อง

[ขอ อะไรก็ได้งั้น ขอเป็นอมต….] สเวนคิดอย่างนั้นเพราะเขาไม่อยากตายแล้วอยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยได้สักที

"โอ้ว พ่อหนุ่มข้าลืมบอกไป ไอพวกขออะไรที่มันฝืนธรรมชาติแบบอมตะ หรือ มานาไม่หมดนี้ ทำไม่ได้นะเอ้อ ไม่งั้นระบบมันจะเสียหาย ข้าขี้เกียจซ่อมด้วยสิฮ่าๆๆ งั้นตัดเรื่องอมตะ กับไม่มีวันหมดไปเลยละกันนะ"

พระเจ้าพูดขึ้นมา สเวนเองก็รู้ว่าพระเจ้าอ่านใจเขาได้แค่ไม่พูดเท่านั้น เพราะถามไปก็ได้คำตอบที่รู้อยู่ดี

[อมตะไม่ได้ มานาไม่หมดไม่ได้ อืม….ขอเป็นร่ำรวยสุดขั้วเลย…] ยังไม่ทันได้ปริปากขอ ก็โดนสวนกลับมาว่า

"อ่าใช่ๆ อะไรที่เป็นของ ข้าก็ให้ไม่ได้นะ เพราะของพวกนั้น คนบนโลกนั้นสร้างข้าไม่เกี่ยว ยิ่งเงิน ที่มนุษย์สร้างไม่ใช่ข้าสร้างจะเสกมาตู้มต้ามให้เจ้าก็ไม่ได้หรอกนะ ฮ่าๆๆ"

พระเจ้ากล่าวพร้อมกับขำแล้วก็จิบชาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่สเวนตอนนี้กลับกลุ้มกว่าเดิม

[อยากอยู่สบายๆ นี้ยากเกินไปสินะ…. จะว่าไปสุขสบายแต่ละคนก็ไม่ตรงกันละเนอะ เอาเถอะงั้น เอาเป็นมีสกิลทุกอย่างเลยละกัน ไหนก็พูดมาแล้วนิเนอะ]

"เหอะ" เสียงหัวเราะแบบเยาะเย้ยดังมาจากพระเจ้าที่นั่งตรงข้าม

"ข้าไม่อาจให้เจ้าตามคำขอนั้นได้ ตรงๆเลย คือตัวเจ้าแห้งแน่ทันทีที่ลงไปเพราะมานา จะไม่พอกับสกิลที่มี" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พร้อมกับซดชาช้าๆ

[คือจะขออะไรไม่ได้เลยหรือเปล่าเนี่ย งั้น เอาพลังที่สั่งตายได้]

"ไม่ได้ๆ เจ้าไม่ใช่พระเจ้า เจ้าเป็นเพียงดวงวิญญาณที่จะไปเกิดใหม่เท่านั้น เข้าใจไหม Do you…"

"ครับๆ เข้าใจแล้วครับ งั้นผมขอโลกครึ่งหนึ่งได้หรือเปล่า…" สเวนพูดออกมาเล่นๆ

"เจ้านี้ ก็เข้าใจเล่นมุกตลกดีนิ ฮ่าๆ แต่ว่าข้าไม่ให้หรอกนะ" พระเจ้าพูดกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

"ชิ งั้น ขอ…."

หลังจากนั้นอีกเกือบๆ 30 นาที สเวนก็ลองๆไล่เรียงของพรที่อยากได้ แต่ก็จะถูกปฏิเสธตลอด เช่น

ขอพลังโจมตี 999999 ผลที่ได้คือ "ไม่ได้ๆ เจ้าจะเกิดมาเกินตัวแบบนั้นไม่ได้ ไม่มีใครเกินมาผิดธรรมชาติแบบนั้นหรอกเจ้าหนุ่ม มันเกินธรรมชาติ"

ขอพลังในการสร้างอะไรก็ได้ตามใจอยาก พระเจ้าก็บอก "ไม่ได้เหมือนกัน ข้างล่างนั้นมีของแบบนั้นอยู่แล้วมันไม่พิเศษข้าไม่ให้"

พลังฟื้นฟูทันที ตาลุงก็บอก "อันนี้ไม่ได้เหมือนกัน คืออะไรที่มีแล้วข้าไม่ให้หรอกนะเออ เห้ออ…"

จนปัจจุบัน พระเจ้าก็ออกไปทำธุระของเขา ส่วนสเวนก็นั่งคิดอยู่อย่างนั้น

[ ถ้างั้น….สกิลที่ข้างล่างนั้นมีครอบคลุมทุกอย่างสินะ แล้วมันมีแบบว่า อะไรที่…. อ่า นั้นไง ตั้งแต่ที่เล่นเกมมา อ่านหนังสือมาเรายังไม่เคยเจอเลยนี้หว่าไอสองอย่างนี้ ไหนๆ ลองดูคงไม่เสียหายละมั้ง ]

ไม่นานพระเจ้าก็ปรากฎตัวขึ้นเหมือนกับจะรู้ว่าสเวนคิดยังได้แล้ว

"อืม…. เหมือนว่าเจ้าจะรู้แล้วสินะ พ่อหนุ่ม… เอาละ เจ้าอยากจะได้อะไรกัน พูดมาได้เลย"

พระเจ้าอ้าแขนออกเผยแสงสว่างรอบตัวเขาอีกครั้ง

"ผมขอ พลัง 2 อย่าง อย่างแรก พลังในการขโมยและวิวัฒนาการ เพียง แค่เห็น เรียนรู้ อ่าน ฟัง สัมผัส รู้สึก โดน ก็สามารถเลือกที่จะก็อปสกิลนั้นมา แล้วพัฒนาไปอีกขั้น ผมขอเรียกมันว่า Absolute Evolution

และอย่างที่สอง พลังในการปฏิเสธสมบูรณ์ – สามารถเลือกที่จะ ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์…Absolute Deny " สเวนพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

ส่วนพระเจ้าที่ได้ยินถึงก็หยุดชะงักไปหลายวินาทีก่อนที่หลุดยิ้มออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังไปทั้งห้องที่ว่างเปล่านี้

"หึๆๆ… ให้ตายเถอะ เจ้าหนุ่มแกนี้มันช่างคิดจริงๆเลย… เอาสิ ในเมื่อมันไม่เคยมีบนโลกนั้น มันไม่ใช้อะไรที่ไร้จำกัดและขัดกฎธรรมชาติ ก็ได้ 2 พลังนั้น เจ้าหนุ่มเอาละ ในเมื่อเจ้าได้พลังนี้ไปแล้วก็ลงไปข้างล่างไปสู่ชีวิตใหม่ที่เจ้าควรได้รับ ไปได้!!!"

พูดจบพระเจ้าก็สบัดมือเกิดหลุมใต้เท้าสเวน และเขาก็โดนดูดลงไปในหลุมนั้นหลุมที่มืดมิดนั้น

[เอาละ…..ต่อจากนี้จะทำอะไรดีน้า….] สเวนคิดแบบนั้นและโลกรอบๆก็เปลี่ยนไปมันมืดลง

[หืมม…เราเกิดใหม่แล้วสินะ ว่าแต่ทำไมมันมืดจัง] สเวนพยายามจะดิ้นไปมาแต่ว่า

[ทำไม ร่างกายเราถึงขยับไม่ได้ละ แล้วนั้นแสงอะไร!! เดี๋ยวนะเดี๋ยวใครมันจับหัวกูวะเนี้ย เห้ยๆ อย่าดึงๆ มันเจ็บเว้ยยย]

และแล้วสเวนก็ถูกดึงออกมา สิ่งแรกที่เขาได้เห็นคือใบหน้าของผู้ชายผมดำปลายผมสีแดง เขาสวมแว่นและที่ปิดปาก

[อยากบอกนะว่า….กุพึ่งเกิดอ่ะเห้ยยยย]

"หมอคะ เด็กไม่ตอบสนองค่ะ!!" เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาในห้อง

"งั้นคงต้องใช้ไม้หนักแล้วละ" ผู้ชายคนนั้นยกแขนข้างขวาขึ้นและเหวี่ยงมันลงมา

[ใจเย็นๆ เดี๋ยวร้องแล้ว ใจเยนนนนนนน]

*เพียะ*

"อุแว้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"

….

“ อืม…แค่ดูภาพลวกๆก็วาดแปลนได้ขนาดนี้ สงสัยถ้าสร้างมาจริงๆคง เออ… ”

ในบ้าน บนยอดเขาสูงสุดของยูโทเปีย บ้านไม้ที่แสนอบอุ่น เจ้าของบ้าน เจ้าของเกราะ หรือก็คือมาร์ เขากำลังทำงานประจำวันของเขานั้นก็คือการตรวจรายงานไปเรื่อยๆแล้วก็เซ็นอนุมัติ

ติ๊ด ติ๊ด

“ มาแล้วสินะบันทึกอะไรที่ว่านั้น ไหน ไหน… ”

ทว่านอกจากงานรายงานตามปกติแล้ว เขายังต้องคอยดูบางอย่างประกอบกับแผนที่ที่ฉายบนจอขนาดใหญ่บนเพดานห้อง ภาพ 48 จอ จากดาวเทียมจำนวน 48 ดวง ที่ทยอยยิงขึ้นสู่ทองฟ้าตลอด 5 วันที่ผ่านมา

“ ภาพขยายชัดดีทุกทีเลยนะเนี้ย แบบนี้มันยิ่งกว่าเครื่องบินบินสำรวจอีก ”

โดยทุกดวงมีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ 1 ถ่ายภาพของโลกทั้งใบจากมุมสูง และ 2 เพื่อการทำงานทางการทหาร อาทิเช่น ปัจจุบันในจอจอหนึ่ง จอที่มาร์กำลังมองดูอยู่ มันคือการบันทึกการทำงานที่ส่งเข้ามารายงานให้กับเขา

“ เอ็กซิ เดคกะ เอาอีกแล้วนะ ตอนแรกบอกจะสร้างรุ่นต้นแบบตามคำขอ แต่นี้เล่นอืม 4 ชุด ชุดล่ะสิบล้าน…สงสัยต้องเรียกมาคุยอีกแล้วมั้งเนี้ย ไม่เข็ด ไม่หลาบ ไม่จำกันเลยน้า ”

ในจอนั้นกำลังมี คน 4 คน ในชุดอำพรางรูปแบบใหม่ที่ทุ่มเงินไปอีกเช่นเคย แม้จะไม่มากแต่ในตอนนี้ก็สำคัญมากเพราะเขาต้องเก็บเงินเข้าคลังเอาไว้เพื่อเหตุการณ์อะไรตามคำแนะนำของทิเรีย

ชุดอำพรางที่ว่านั้นคือสิ่งใหม่ที่เอ็กซิและเดคกะ ส่งมาเป็นคำขอตามที่มาร์พูดออกมา คำขอที่มีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาชุดเกราะให้กับหน่วยพิเศษในหน่วยพิเศษ หน่วยที่เรียกว่า MAR's Secret Service หรือชื่อย่อ MSS หน่วยปฏิบัติการณ์ภายใต้เป้าหมายเดียวคือ อำนวยความสะดวกให้แก่มาร์

ทว่าไอชุดนี้มันก็เกินบรรยายไปมาก นิยามของมันคือ ฟูลอามเมอร์ หมวกเหล็กที่มีกล้อง 4 อันและระบบประมวลผลแยก ระบบจอแยก มองกลางคืน อินฟาเรท และตัวเกราะเองนั้น ก็ทำมาเป็นอย่างดี เสริมเกราะ เสริมความเร็ว และพรางตัวได้เกือบ 99 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้พลังงานจากมานาแพ็ครุ่นใหม่ที่กลั่นพลังงานจากรอบๆได้เอง

เห็นแค่นี้อาจจะว่าเยอะแล้ว แต่นั้นก็แค่ชุดไม่ใช่ ไม่รวมเกราะด้านนอกที่ถูกทาเป็นสีเขียว ความสามารถมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า การป้องกันระดับ mithril แร่ธรรมชาติที่แข็งเป็นอันดับต้นๆของโลกใบนี้ ทว่าด้วยคุณภาพนั้นเองก็ทำให้ทุนสูงขึ้นไปอีก

เกราะต้นแบบที่ว่า

และตอนนี้ทั้ง 4 คนนั้นกำลังเข้าล้อม ชายหญิงกลุ่มหนึ่งบนทวีปยูโทเปีย โดยสาเหตุก็เป็นเพราะชายหญิงกลุ่มนี้นั้นทำตัวลับๆล่อๆมาแล้วสักพักใหญ่ๆ

“ ออบิท ถึง เล็กซอล ตอนนี้เป้าหมายทั้ง 4 เข้าสู่พื้นที่แดงแล้ว อนุมัติแผนการณ์ เทคดาวน์ ”

“ รับทราบ เอาล่ะ เริ่ม เทคดาวน์!! ”

[ ตามรายงาน พวก 4 คนนี้ชอบเดินเข้าใกล้พื้นที่ที่จำกัดการเข้าถึงแบบเฉียดๆสินะ และตามบันทึก วันนี้เองสินะ ที่พวกนั้นเริ่มลงมือกันในเวลากลางคืน คิดจะลักลอบเข้าเขต [04] เลยเหรอเนี้ย? แบบนี้พอพวกหน่วยข่าวกรองรู้เรื่องก็แจ้งเรื่องให้หน่วยพิเศษจัดการต่อ… เลย? เกินไป เกินไป แบบนี้มันเกินไปนะ เอาปืนไปยิงแมลงเนี้ย ]

มาร์นั้นอ่านรายงานไปพร้อมกับดูวีดีโอไปด้วย แน่นอนว่าการดูนั้นเขาไม่ได้แค่มอง แต่ก็คิดตามไปด้วยในเวลาเดียวกัน อย่างไรเสียเจ้าตัวก็ดูจะไม่พอใจเล็กน้อยเพราะสำหรับมาร์การจับกุมคนแค่ 4 คนไม่จำต้องใช้อะไรอย่างหน่วยพิเศษเลย

แซค แซค แซค แซค

“ เสียงอะไรน่ะ?? ”

“ ไม่รู้สิ ลมมั้ง? ”

“ ชู่!! เงียบๆแล้วตามมา ไอพวกเด็กใหม่ ”

วีดีโอนั้นเปลี่ยนไปจากภาพมุมสูงมาเป็นภาพจากกล้อง บนหน้ากากของหนึ่งในทีมพิเศษ ภาพของเป้าหมายที่ยืนอยู่โดยไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขากำลังถูกจับตามองอยู่ใกล้ๆเพียง 1 เมตร

“ เอาเลย ”

ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก ฉัวะ

สิ้นเสียงให้สัญญาณของหัวหน้าทีม หน่วยพิเศษก็เริ่มลงมือทันที พวกเขาปรากฎตัวออกมาอย่างว่องไว พร้อมกับใช้มีดสีดำแทงเข้าหัวเข่า มือ ก่อนจะทุ่มลงมพื้นจนเป้าหมายไม่อาจจะตอบโต้ได้ และจึงรีบฉีดยาสลบใส่ที่คอของเป้าหมาย ก่อนจะลากตัวออกจากบริเวณ

“ หลังจากนั้นก็เอาไปส่งให้พวกกองสอบสวนสินะ อืม อืม จริงๆ ทำได้ขนาดนั้นก็ไม่น่าจะต้องพึ่งชุดก็ได้มั้ง ”

พูดจบมาร์ก็ปิดวีดีโอนั้นก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบเอกสารที่ทิ้งไว้ที่โต๊ะ เอกสารข้อมูลของกองสอบสวน หน่วยที่จะนำกลุ่มคนเหล่านี้เข้าไปในพื้นที่พิเศษซึ่งกักกั้นไม่ให้มานาไหลออกมาได้ สถานที่ที่จะทำให้อุปกรณ์ที่พึ่งมานาเป็นตัวนำทั้งหมดไร้ประโยชน์ ทั้งการระบุตำแหน่ง การส่งข้อมูลใดๆไปกลับ มิอาจเป็นไปได้ และมันก็ตั้งอยู่ลึกใต้เขาลูกนี้เนี้ยแหล่ะ

“ จะว่าไปในชีวิตที่แล้วคงไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้มั้ง ดาวเทียมเอย โคตรเกราะเอย ตอนนั้นมากสุดก็คงเป็นเสียงวิทยุแจ้งจากเครื่องบินลาดตระเวน ไม่ก็การรายงานตรงหน้าเลย ดีจริงๆเลยน้าเทคโนโลยีเนี้ย ”

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

“ ทิเรีย? ”

ทว่าระหว่างที่กำลังเหม่อๆ อยู่นั้นก็มีเสียงแจ้งเตือนเข้ามา มาร์ก็เลยกดดูผ่านปุ่มบนโต๊ะของเขา แล้วก็ปรากฎเป็นรูปจดหมายที่มีรูปภาพของทิเรียประทับอยู่

“ จดห… ข้อความ? ”

[ เรียนนายท่าน ตอนนี้ดิชั้นกำลังพบปัญหาเกี่ยวกับหลักสูตรโรงเรียนของยูโทเปียหากท่านสะดวกได้โปรดให้คำแนะนำด้วยเจ้าค่ะ ]

และทันทีที่เปิดก็เจอข้อความเช่นนั้น ข้อความจากทิเรียที่กำลังเจอปัญหาอยู่ สำหรับมาร์แล้วมันค่อนข้างแปลกเพราะปกติทิเรียสามารถจัดการงานอะไรได้ด้วยตัวเองอย่างไม่ยากเย็น ซึ่งพอลองคิดเช่นนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจกดโทรไปทันที

… … …

“ สวัสดีเจ้าค่ะนายท่าน ”

“ อ่า มีปัญหาเรื่องหลักสูตรสินะทิเรีย ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ตอนนี้ดิชั้นยังคิดไม่ได้เลยว่าจะจัดการอย่างไรดีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะทำให้การเรียนของยูโทเปียโดดเด่นกว่าที่อื่นเจ้าค่ะ ”

“ ขอคิดแปปนึงนะทิเรีย ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ”

เมื่อได้ยินแบบนั้นมาร์ก็เงียบไป เขาเดินไปยังหน้าต่างของห้อง มองลงไปยังเมืองที่เขาอยู่พร้อมกับคิดถึงวัยเรียนในชาติก่อนของเขา วัยเรียนที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีทางได้พบที่ไหนในโลกได้ง่ายๆ การเรียนที่มีเพียงเขาที่เจอ เขานำสิ่งที่อยู่ในหัวตอนนั้นมาผสมกับสิ่งที่เขาอยากให้เป็น

“ เอางี้นะทิเรีย ขั้นแรกแยกหลักสูตรไปเลยไม่เหมือนที่อื่น โดย ปี 1 ถึง 2 ให้เลือกเรียนตามใจไม่มีวัดผลอะไร พอปี 3 ถึง 6 ก็ให้เลือกว่าจะเข้าสายไหนแบบจริงจัง ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน แต่ว่าสายที่ว่านี้?? ”

“ นี้ล่ะจุดสำคัญเลย ตั้งใจฟังล่ะ สายหลักที่คิดไว้ก็จะแยกออกเป็น 4 สาย โดยแยกไปตามความถนัด เริ่มจากสิ่งที่คิดว่าคนของเราจะถนัดน้อยที่สุดอย่างสายวิชาการก่อนเลยก็แล้วกัน สายนี้จะเน้นไปที่การวิจัยเรื่องของวิทยาศาสตร์ การพัฒนาเรื่องทางวิชาการ และค้นหาคำตอบในสิ่งที่เรายังไม่รู้ ว่าง่ายๆ ก็คือเน้นหลักวิทยศาสตร์ผสมเวทย์มนต์ไปให้ได้มากที่สุด ”

แค่เปิดสายแรกมา คนที่ฟังอยู่อย่างทิเรียก็ต้องเงียบไป เธอรู้จักคำว่าวิทยาศาสตร์ แต่ก็เป็นการรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผิดกับคนที่สอนให้เธอรู้จักมันอย่างนายท่านของเธอ

คำคำนี้ที่โลกใบนี้แทบจะไม่ปรากฎอยู่เลยและก็ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฎขึ้นชัดเจนด้วย จนกระทั่งวันที่ปล่อยจรวดขึ้นสู่ฟ้า วันที่มาร์พิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าโลกมันกลม…เธอก็น้อมยอมรับทันทีว่า วิทยาศาสตร์อาจจะก้าวข้ามเวทย์มนต์ได้หากศึกษาพัฒนาดีๆ และเพราะแบบนี้พอนายท่านบอกว่าจะให้สอนเรื่องดังกล่าวก็ทำให้เธอได้แต่ยืนประหลาดใจอยู่ที่ปลายสาย

“ อ่า จริงด้วยไหนๆก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้สมองมากๆอยู่แล้ว งั้นก็ใส่เรื่อง การรักษา การผ่าตัด ไอนั้นน่ะ เอ่อ วิชาแพทย์!! เข้าไปด้วยเลยละกันนะ ไม่สิ เอาเรื่องวิศวกรรมเข้าไปด้วยเลยก็ดี แต่ว่า…ไม่ดีกว่า ”

“ เจ้าคะนายท่าน?!? ”

“ นั้นสินะ ทิเรีย!! สายที่สองเป็นสายด้าน วิศวกรรมโดยตรง เน้นออกแบบ สร้าง พัฒนา สนับสนุน ถ้าจะให้เห็นภาพก็… ศึกษาในเรื่องแบบเดียวกับที่ เอ็กซิ เดคกะ อัลฟ่า ทำนั้นแหล่ะนะ พอจะนึกภาพตามออกหรือเปล่า? ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ดิชั้นเข้าใจภาพดีเลยเจ้าค่ะ เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกนักเรียน นักศึกษาในหลักสูตรนี้ก็จะเน้นไปที่การศึกษาและพัฒนาเพื่อการสร้างสิ่งต่างๆ ใช่หรือเปล่าเจ้าคะ แต่ว่าถ้าแบบนั้นเรื่องอาวุธกับเทคโนโลยีของพวกเรา… ”

ทิเรียที่ได้ฟังตอนแรกเธอก็เห็นด้วยทว่า พอพูดแล้วคิดตามไป ก็ทำให้เธอสงสัยขึ้นมาถึงเรื่องอาวุธกับเทคโนโลยีของยูโทเปีย สิ่งที่ล้ำหน้าจนกล่าวได้ว่าตลอดชีวิตของเธอนั้น ไม่สิ ต่อให้นับจากนี้ไปอีก 1000 ปีก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้แน่ๆ นั้นทำให้เธอกังวลถ้าเรื่องพวกนี้หลุดออกไปก็จะมีปัญหากับยูโทเปียได้

“ ส่วนนั้นไม่ต้องปล่อยออกไปมากหรอกทิเรีย ”

“ ปล่อยออกไปมาก? ส่วนตรงนี้หมายความว่าอย่างไรอย่างงั้นเหรอเจ้าคะนายท่าน?? ”

“ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ปล่อยไอเรื่องอาวุธกับเทคโนโลยีออกไปนิดหน่อยแค่พื้นฐานการสร้าง อะไรพวกนั้น ถ้าเทียบก็เหมือนสอนสิ่งที่เรามีกันตอนเริ่มต้นน่ะนะ อย่างปืนดินดำคัดปลอกรุ่นทดลอง รถยนต์ไอน้ำรุ่นต้นแบบแรก อะไรพวกนั้นน่ะ ”

“ แบบนั้นเองสินะเจ้าคะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน ”

พอได้ยินเช่นนั้นทิเรียก็สบายใจขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่นายท่านของเธอได้กำหนดให้เป็นลิมิตไว้นั้น ในสายตาของเธอมันคือของจำพวกไร้ประโยชน์ และก็เป็นเธอนี้แหล่ะที่คอยโต้แย้งเอ็กซิกับเดคกะไม่ให้สร้างพวกมันออกมาเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเข้าสู่ยุคกระสุนปืนที่ใช้สู้ได้จริงกับรถยนต์พลังงานมานา นั้นแหล่ะ

“ สายถัดไปนะทิเรีย ตามตรงผมคิดว่ามันคงยากพอๆกับสายแรกเลยล่ะนะ สายที่เรียกว่า ระบบสังคม สายนี้ปัญหาของมันเลยก็คือการศึกษาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สิ่งสมมุติที่ดันทำให้ยูโทเปียเป็นยูโทเปีย ไม่พังทลายไปซะก่อน อาทิเช่นกฎหมาย เป็นต้น ”

“ หมายความว่าสายนี้จะให้ศึกษากฎหมายของพวกเราอย่างนั้นสินะเจ้าคะ แต่ว่าแบบนี้พวกนักเรียนจบไปแล้วจะได้อะไรอย่างงั้นแหรอเจ้าคะนายท่าน เพราะถ้าไม่มีเป้าหมายให้ คนก็จะไม่ลงเรียนเอาได้นะเจ้าคะ ”

กฎหมาย สำหรับโลกใบนี้มันเป็นอะไรที่พื้นๆ กฎมีไม่มากและมีชัดเจน เช่น กฎห้ามใช้เวทย์มนต์อันตรายในเขตเมืองเอย กฎห้ามนู้นนี้นั้น แล้วแต่ประเทศ แล้วแต่รัฐ แล้วแต่ทวีปไป โดยทำผิดพวกทหาร อัศวินก็จะจัดการเองเป็นไปตามกฎนั้น ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องศึกษาอะไรขนาดนั้นเลย ทว่ามาร์นั้นเห็นต่างกว่ามาก

“ ก็เยอะแยะนิโดยเฉพาะในอนาคตของยูโทเปียนี้แหล่ะ คิดตามนะทิเรีย ยิ่งคนเยอะการดูแลของเราจะมากขึ้นใช่หรือเปล่า อีกทั้งพวกเราก็ไม่ได้มีขุนนางมาคอยตัดสินชี้ขาดในกรณีพิเศษเหมือนที่อื่น ดังนั้นเราก็เลยต้องมีสิ่งที่เรียกว่าศาลกับผู้พิพากษาในอนาคตล่ะนะ ส่วนถ้าจะให้อธิบายในสาขานี้มันจะนานเกินไป ยังไงหลังจากนี้จะส่งแนวหลักสูตรไปให้ก็แล้วกัน ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน… ”

ทิเรียนั้นรู้ว่าศาลคืออะไร แต่ผู้พิพากษานั้นเธอไม่รู้จักสิ่งนี้เลย เพราะปกติคนตัดสินในศาลจะเป็นขุนนางเสมอ ขุนนางชั้นสูงที่ทำหน้าที่วิเคราะห์หาความเป็นธรรม

“ สายสุดท้ายเรียกว่า สายอิสระ ก็แล้วกัน ง่ายๆ อยากเรียนอะไรก็เรียน อาหาร กีฬา ศิลปะ ออกแบบพื้นฐาน สถาปัตยกรรม ทุกอย่างตามสะดวกเลย คิดวิชาอะไรได้มาเพิ่มก็เอามาลงให้พวกนักเรียนที่อยากเรียนได้เรียน แต่ว่านะสายนี้จะแตกต่างกับสายอื่นออกไปนิดหน่อย ที่ผมน่ะอยากให้พวกนักเรียนในสายอิสระสามารถไปร่วมเรียนกับสายอื่นได้ด้วยโดยเรียนแค่ในส่วนพื้นฐานพอรู้ก็พอ ”

“ แต่ว่าถ้าแบบนั้น มันจะไม่ทำให้สายอื่นมาลงสายนี้หมดอย่างงั้นหรอกเหรอเจ้าคะนายท่าน ”

“ ไม่หรอกทิเรีย ผมน่ะไม่ให้สายอิสระเรียนเยอะและลึกลงไปเฉพาะทางเหมือนสายอื่นๆหรอกนะ เพราะยังไงก็กะไว้แล้วว่าคนที่มาสายนี้ คงไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็มีสิ่งที่ตัวเองถนัดเป็นพิเศษ เช่นชอบร้องเพลง แต่ก็อยากศึกษาการสร้างสิ่งของ ทว่าก็ไม่ได้อยากจะรู้ลึกเกินจำเป็น ก็จะได้มาอยู่สายนี้ไปและเรียนอย่างมีความสุข ราวๆนี้ล่ะมั้ง ”

“ เจ้าคะ?!? ”

คำพูดของมาร์นั้นทำเอาทิเรียสับสน เธอไม่เข้าใจเป้าหมายของสายอิสระที่ว่าเลย แต่ว่าเธอก็ไม่คิดที่จะเอามันออกไป เพราะว่าในใจลึกเธอก็รู้สึกได้ว่าสายนี้จะกลายมาเป็นจุดเด่นได้แน่ๆ แต่ไอความคิดนั้นไม่นานมันจะถูกกลบไปด้วยคำแนะนำส่วนสุดท้ายจากนายท่านของเธอ

“ อ๋อใช่ ใช่ เรื่องที่ทำให้เป็นจุดเด่นกว่าที่อื่นอีกอย่างก็ นี้ละกัน ที่ยูโทเปียปืนของพวกเราถือว่าเป็นของที่โดดเด่นใช่หรือเปล่า? ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ตอนนี้จากการสำรวจทั้งโลก พบว่ายูโทเปียเป็นที่เดียวที่มีปืนทรงพลังพอจะหักล้างเวทย์มนต์ได้เจ้าค่ะ ”

“ งั้นก็เอางี้เลยละกัน ในทุกชั้นปีมันจะต้องมีสอบใช่หรือเปล่า ก็เพิ่มกฎของการเลื่อนชั้นของพวกเราขึ้นไปว่า นอกจากวิชาที่ลงเรียนไว้แล้ว ยังต้องสอบทักษะการยิงปืน ประเภท ปืนพกสั้น จำนวน 50 นัด ที่ระยะ 25 เมตร โดยต้องเข้าเป้าจุดตายเกินกว่า 30 นัด ”

“ เข้าใจแล้วเจ้า… ”

“ อ่า ยังไม่หมดนะทิเรีย ”

ทว่าทิเรียที่คิดว่าการสอบที่เพิ่มมามีเพียงเท่านั้น ก็ทำให้เธอกำลังจะพูดรับทราบขานรับตามปกติ ทว่ามาร์ก็แย้งขึ้นมาก่อน ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเขามีแผนไว้มากกว่านั้น…

“ อันนั้นน่ะของทุกชั้นปีเท่านั้นนะทิเรีย มีไว้วัดว่ายังมีพื้นฐานหรือเปล่า ดังนั้นพอปี 3 ถึง 6 ที่มีสายเมื่อไหร่ก็ต้องเพิ่มเข้าไปอีก โดยจะไม่ได้เป็นหลักว่าผ่านไม่ผ่าน แต่เป็นหลักว่าเหมาะจะเข้าทำงานในยูโทเปียหรือเปล่า… ”

หลังจากนั้นมาร์ก็ร่ายยาวถึงสิ่งที่อยู่ในหัวของเขา สิ่งที่เรียกว่า หลักสูตรพิเศษเฉพาะ โดยมันเป็นการแบ่งไปตามสายหลักทั้ง 4 โดยเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนในสายเหล่านั้นมีค่ามากพอจะเข้าทำงานในยูโทเปียทั้งบู้และบุ๋น

สายวิชาการ ถูกกำหนดว่า จะต้องจบหลักสูตรปืนพกสั้น ปืนกลมือ ระดับชำนาญ และยังต้องผ่านหลักสูตรการปะทะในพื้นที่แคบ การปะทะในเขตเมือง

สายวิศวกรรม ง่ายๆ จะต้องจบหลักสูตร ปืนพกสั้น ปืนกลมือ ปืนลูกซอง ปืนกลหนัก ระดับชำนาญ และต้องผ่านหลักสูตร Sapper ผนวกคู่กับ EOD ด้วย

สายระบบสังคม มาร์ได้วางไว้ว่าจะต้องจบหลักสูตร ปืนพกสั้น ปืนลูกซอง ระดับชำนาญพิเศษ รวมทั้งต้องจบหลักสูตรการป้องกันตัวด้วยปืน ประกอบกับการรักษาพยาบาลขั้นกลางด้วย

สายสุดท้ายอิสระ ตามชื่อ มาร์ไม่ได้บอกว่าอะไร แต่เขากำหนดง่ายๆมาเลยว่า ต้องจบอย่างน้อย หลักสูตรเกี่ยวกับปืน 6 อย่าง ประกอบกับหลักสูตรทักษะอีกอย่างน้อย 2 หลักสูตร

โดยทั้งหมดนี้เมื่อเรียนไปแล้วทุกๆ 2 ปีจะต้องวัดมาตราฐานเสมอ จนกว่าจะจบการเรียนในโรงเรียนของยูโทเปีย ซึ่งมาร์ได้กำหนดด้วยว่าการเรียนหลักสูตรเพิ่มกับค่ากระสุนนั้น

“ ทั้งหมด ฟรี!! ไม่ต้องไปเก็บตังนักเรียนนะ ใครอยากก็ให้เรียนฟรีไปเลย กระสุนก็ด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ยิงเรื่อยเปื่อยนา มันต้องมีมีลิมิตอย่างวันนึง 25 นัดอะไรทำนองนี้ ”

“ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน ถ้าเช่นนั้นเพื่อให้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ดิชั้นขอตัวไปดำเนินการก่อนนะเจ้าคะ ”

“ อื้ม ฝากด้วยล่ะ ”

ติ๊ดดดด

“ ทีนี้ก็กลับไปตรวจเอกสารต่อสินะ แล้วก็พรุ่งนี้ก็ต้อง… อ่า… นั้นสินะ ”

ทิเรียได้วางสายไป ส่วนมาร์เองก็กลับมาทำงานอันแสนน่าเบื่อของเขาตามปกติ ทว่าระหว่างที่ทำเขาก็มองไปยังซองเอกสารที่วางไว้ที่ใต้โต๊ะของเขา วางไว้ในมุมมืดที่แสงส่องไม่ถึง

“ เห? สั่งไปเมื่อวาน ก็มีรายงานส่งกลับมาแล้วงั้นเหรอเนี้ย ไหน ขอดูหน่อยนะเพนเท ”

เจ้าตัวหยิบเอาซองเอกสารนั้นขึ้นมาพร้อมกับตรวจดูของด้านใน ภาพของคน 4 คน และข้อความที่ระบุทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่สกิล ทักษะ ส่วนสูง ขนาดร่างกาย สภาพจิตใจ ทั้งหมดคือผลลัพธ์การสอดแนมของเพนเท ทว่ายิ่งดู สีหน้าของมาร์ก็เปลี่ยนไป จากยิ้มแย้มก็กลายมาเป็นเงียบสงบ เขานั่งลงก่อนจะเขียนบางอย่างลงกระดาษแล้วสอดมันลงไปใต้โต๊ะ ไปยังมุมมืดนั้น ก่อนไที่ไม่นานมันจะหายไป

“ ทีนี้ก็รอสินะ… อ๊ะ? จะว่าไปพวกกองทัพจอมมารนั้นเราจะเอายังไงดีหว่า? ”

……

ฉัวะ เฉ๋งงง ผัวะ ผัวะ อ๊ากกกกก กี๊ กี๊ กี๊ กรี๊ดดดดด

ณ หอคอยหรือก็คือดันเจี้ยนชั้นที่ 1 ในตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยเสียงของการปะทะมากมายนับไม่ถ้วน และทั้ง 3 คน มาร์ อคโต และคอนเซนเทลก็สามารถมองเห็นได้ทุกอย่างแบบชัดเจนสุดๆ ภาพของเหล่ามอนสเตอร์ที่อคโตเรียกว่าแฮมสเตอร์กำลังพุ่งเข้าใส่นักพจญภัยมากมายจนหลายต่อลหายคนต้องบาดเจ็บ

“ ดูแล้วแผลไม่ได้ใหญ่…แต่เน้นเยอะสินะครับคุณมาร์ ”

“ ใช่แล้วล่ะ มอนสเตอร์ในชั้นนี้ ตามที่เราออก… ตามที่เราได้ข้อมูลมามันเน้นจำนวนกับหน้าตาเข้าว่าน่ะนะ ถ้าเผลอใจไปก็จะโดนรุมตอดแบบนั้นจนตายน่ะแหล่ะ ”

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก

“ นั้นไง นั้นไง พลาดท่าไปอีกคนแล้ว เห็นมะ? ”

ในระหว่างที่ทั้งสามกำลังเดินไปยังทางลงตามแผนที่ที่ละเอียดสุดๆนั้น ( แหงล่ะก็เจ้าหนุ่มนี้มันสร้างเองกับมือนี้!! ) คอนเซนเทลก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมกับจับตาดูรอบตัวของเขา ภาพเหล่านักพจญภัยหน้าใหม่กำลังโดนรุมด้วยมอนสเตอร์ตัวเท่าอุ้งมือนับสิบตัว มาร์เองก็ได้พูดอธิบายไปด้วยท่าทางภูมิใจอะไรก็ไม่รู้ กระนั้นก็ดีเวลาก็ช่างเหมาะเจาะพอเขาพูดจบ นักพจญภัยคนหนึ่งก็ล้มลงแล้วก็ถูกพวกแฮมสเตอร์รุมกัดนอนดิ้นแล้วจมลงไปในกองเลือดของตน

“ อืมมม ช่างเป็นมอนสเตอร์ที่มีหน้าตาเป็นอาวุธสินะครับเนี่ย ฮึบบบ ผมเองก็ต้องระวังบ้างสินะ ”

ว่าแล้วตัวของคอนเซนเทลก็คว้าเอาดาบกับโล่ของตนออกมาพร้อมกับเดินนำหน้ามาร์ออกไป โดยที่สายตาของเขานั้นเห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้กำลังระมัดระวังตัวขนาดไหน เช่นกันมาร์เองก็ได้หันไปมองยังอคโตที่เดินตามมาอยู่ เธอที่เห็นก็รีบวิ่งตามไปยังด้านหลังของอัศวินหนุ่มในทันที

“ ก็นะ ยังไงฝากแนวหน้าด้วยล่ะ ”

“ ครับ!! ”

คอนเซนเทลขานรับในทันที ส่วนมาร์ก็เริ่มจะเดินช้าลงเพื่อให้อยู่ที่ด้านหลังของทั้งสอง ทว่าเขาเองก็รู้สึกอะไรบางอย่างได้จากการเดินช้าลงแบบนี้ ความรู้สึกที่ผิดปกติจากตัวของอคโต ราวกับว่าเธอที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ไม่ใช่เธอตามปกติที่เป็นเลยสักนิด

[ เอาเถอะ ยังไงหอคอยนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกมั้ง ก็นะ…มาตราฐานขั้นต่ำก็คือให้เดคกะจัดการได้นี้น่า อคโตที่เก่งกว่าก็คงสบายๆแหล่ะ ]

อย่างไรก็ตามมาร์ก็ไม่ได้จะกังวลอะไรมากนัก เพราะเขารู้ว่าตอนนี้กำลังเจอกับอะไร ผนวกกับดันเจี้ยนนี้ที่เขาเป็นคนสร้างอีก ต่อให้มีปัญหาจริงเขาก็จัดการได้ไม่ยากเย็น ทำให้ตอนนี้เจ้าตัวยังคงเดินตามต่อไปด้วยใบหน้าที่สดใสยิ้มแย้มตามปกติ ก่อนที่ทั้งสามจะเข้าสู่พื้นที่ปะทะ

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ แก็ง พลัค ฉัวะ

“ โอ๊ส โอ๊ส โอ๊ส!! ”

“ [ เสริมแกร่ง ] [ เพิ่มความเร็ว – กลาง ] [ เพิ่มต้านทาน – กลาง ] [ ตอบสนองไว ] [ หนาม ] [ เพิ่มพลังกาย ] ”

“ ขอบคุณครับผม!! ”

นั้นเองทำให้ระหว่างการเดินไปยังจุดลงไปชั้นถัดไปนั้นคอนเซนเทลได้จัดการสังหารมอนสเตอร์มากมายอย่างกับมดกับปลา ซึ่งตามปกติคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับนักพจญภัยระดับล่างแบบเขา แต่ตอนนี้นั้นมันไม่ใช่เวลาตามปกติทั่วไปเพราะ มาร์ เขาที่กำลังเดินตามมาด้านหลังนั้นคอยร่ายเวทย์มนต์ สกิล บัฟให้กับอัศวินหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง

“ เห้ยๆๆ ดูนั้นสิ!! พวกนั้นมันอะไรกัน?!? ”

“ สายรัดขาว!! พวกประชาชนของยูโทเปีย?!? ไม่ดิ แต่ไออัศวินนั้นสีเขียวนิ!! ”

“ เชี้ย!! แรงขนาดนั้นระดับ S หรือเปล่าวะ?!? ”

“ เขร้! หวดทีกลายเป็นผงไปเลย ได้ยังไงกัน!! ”

แต่ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปยังจุดลงไปชั้นล่างนั้น ก็ใช่ว่าจะมีแค่พวกเขาเพียง 3 คนแต่อย่างใด รอบๆตัวนั้นมีเหล่านักพจญภัยระดับล่างนับไม่ถ้วนกำลังยืนสู้กับแฮมสเตอร์อยู่ด้วย และแน่นอนด้วยการเดินทะลวงฝ่าฟันเป็นเส้นตรงโดยไม่สนความอันตรายของแฮมสเตอร์เลยนั้นก็ทำให้พวกเขาทุกคนต้องหันมามองดู

และภาพที่ได้พบได้เจอนั้นก็เกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถทำตามได้ ภาพของอัศวินที่ถือทั้งโล่หนักทั้งสวมเกราะกำลังตวัดดาบไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบจะมองไม่เห็น ไหนแรงฟันของมันนั้นก็มากขนาดที่พวกแฮมสเตอร์ละลายกลายเป็นฝุ่นไปในทีเดียว นอกจากนี้หลายคนยังสังเกตุเห็นอีกด้วยว่าตัวไหนที่รอดเข้าไปโจมตีเขาได้ก็จะถูกหนามสีดำพุดขึ้นมาจากเกราะและแทงสวนตายกลายเป็นผงไปในทันที

[ อึก…สงสัยเราจะทำเกินไปแล้วแหะ บัฟตามความรู้ในหัวไปจนลืมนับจำนวนแบบนี้…แหะ แหะ แย่จัง ]

ทางด้านมาร์เองก็รู้สึกตัวได้ว่าตอนนี้คอนเซนเทลทรงพลังมากจากการบัฟของเขา ซึ่งการที่มารู้ตัวได้ก็เพราะเขาที่จับตามองดูเพื่อเล็งที่จะเรียนรู้สกิลใหม่ๆจากอัศวินหนุ่มนั้น ก็ไม่เห็นว่าเขาจะโจมตีด้วยวิธีอื่นเลยนอกจากการหวดดาบไปมาแบบธรรมดาสุดๆ ซึ่งปกติคงไม่มีทางแน่ที่จะทำแบบนั้นแล้วรอดในสถานการณ์มอนสเตอร์รุมใส่แบบนี้

[ คงอดดูดสกิลไปอีกสักพัก ไม่ดิ ถ้าตามปริมาณมานากับจำนวนที่ให้ไป อ่า…ชิบหายละ ]

ทว่าพอเจ้าตัวรู้สึกตัวก็เหมือนจะช้าไปสุดๆเสียแล้ว มาร์นึกถึงบัฟที่ใส่เข้าไปให้กับคอนเซนเทล คุณภาพของมันนั้นไม่ได้ดีเด่อะไรแต่ด้วยจำนวนกับประเภทที่มากมาย ทำให้กว่าบัฟจะสิ้นผลลงจนทำให้อัศวินหนุ่มต้องหันมาใช้สกิลของตนเองก็ตีเป็นเวลาไปอีกราวๆ 2 ถึง 3 ชั่วโมง หมายความว่าตอนนี้คอนเซนเทลไม่ใช่อัศวินธรรมดาแล้ว เขากลายมาเป็น ซุปเปอร์อัศวินS เรียบร้อย จนกว่าเวลาบัฟจะหมดลง

“ ทำไม…ต้องรุนแรงกับพวกมันแบบนั้นด้วย…ฮึก ”

ท่ามกลางการเดินลุยไปข้างหน้านั้น อคโตที่เดินตามหลังคอนเซนเทลอยู่เงียบๆมาโดยตลอดก็พูดพึมพำออกมาด้วยเสียงที่เบาแสนเบาจนไม่มีใครนอกจากเธอที่จะได้ยิน ทางด้านของมาร์นั้นก็ไม่ได้สังเกตุแต่อย่างใด เขาเอาแต่คิดว่าจะหาทางลดเวลาบัฟลงยังไงได้บ้างแต่ก็ดูจะไม่พบคำตอบอะไรเลย

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ

“ ย้ากกกกกกกกก!!! ”

“ อี๊!! ”

“ เอายังไงดีน้า… ลดเวลาลงหรือร่ายดีบัฟใส่ดีล่ะ? อืมมม จะลบหมดเลยเดี๋ยวผิดสังเกตุอีก งืมงืม ”

และก็เพราะแบบนี้เองต่างคนก็เลยต่างทำในสิ่งที่คิดว่าตนเองต้องทำ คอนเซนเทลเดินหน้าฆ่าฟัน อคโตเอาแต่หลบไม่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น สุดท้ายมาร์ก็มัวแต่หลงอยู่ในความคิดของตนเองว่าต้องทำยังไงต่อ จนมันทำให้เกิดสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครในกลุ่มได้สังเกตุเลย

“ เอ้า ตามไปเร็วเข้า!! ตามไปเร็ว!! ”

“ ของข้าาาา ของ ของข้าาาาาาาา!! ”

“ โอ้ยยย!! เงินตกเว้ยยย เงินโต๊กกก!! ”

“ น น นั้นมันขนแฮมสเตอร์นิ!! เก็บอีกแค่ 99 อันก็เอาไปขายได้ตั้ง อึก… หมื่นเครดิต!! ”

ใช่… เหล่านักพจญภัยพันตัวเองมาเป็นปลิงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาหลายสิบคนรวมกลุ่มกันเป็นขบวนรถไฟตามติดด้านหลังของปาร์ตี้ Pathfinder โดยที่หลักๆก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ากันไล่เก็บไอเทมที่ดรอปออกมาจากแฮมสเตอร์ ซึ่งตามปกติจะเก็บไม่ได้เพราะมันจะเป็นของของปาร์ตี้ที่ที่จัดการ เว้นแต่ปาร์ตี้นั้นจะไม่สนใจมันเลยนั้นแหล่ะทำให้ตอนนี้ทุกคนที่ตามมาดูดกินไอเทมกันอย่างเมามันส์ และก็เพียงไม่นานนักเลยที่ทุกคนจะมาถึงยังทางลงไปชั้นถัดไป

“ คอนเซนเทลนำหน้าเหมือนเดิมนะ ส่วนอคโต…อืม ย้ายมาคอยกันหลังให้ผมดีกว่า ”

“ รับทราบครับผม!! ”

“ ค ค ค่ะ…ขอบคุณมากเจ้าค่ะน น ท่านมาร์… ”

ทั้งสองตอบรับในทันที โดยคนนึงก็ทำเสียงมั่นใจเต็มที่ อีกคนก็สั่นไหวปนกันกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก อย่างไรก็ตามเมื่อกำหนดแนวทางของทีมได้แล้วการบุกตะลุยไปชั้นถัดๆไปก็ได้เริ่มขึ้นต่อในทันทีโดยไม่มีหยุดพัก อ่า…ไม่หยุดพัก เพราะมาร์นั้นคอยร่ายบัฟเสริมพลังร่างกายไว้รอบตัวเองเป็นระยะรัศมีเกือบๆ 50 เมตรทำให้ใครที่อยู่ในวงนั้นไม่มีทาง “เหนื่อย” เลยสักนิด

… … …

“ ข้างหน้าอีกไม่กี่ร้อยเมตรเราจะถึงห้องบอสแรกแล้วนะ!! ”

“ ครับผม!! ถึงผมจะไม่รู้ว่าไอร้อยเมตรที่ว่ามันคือเท่าไหร่แต่ยังไงผมจะนำไปให้ถึงให้ได้ครับ!! ”

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ไม่สิ ครึ่งวันเห็นจะได้ ปาร์ตี้ Pathfinder และขบวนปลิงนับร้อย ก็มาถึงยังปลายทางของชั้น 5 โดยตลอดการเดินทางนั้นก็ยังคงเป็นคอนเซนเทลที่จัดการกับมอนสเตอร์ทุกตัว ตั้งแต่ชั้น 1 ยัน 4 จวบจน 5 มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็กที่มีจุดเด่นในด้านหน้าตา อย่างเช่น ในชั้น 3 นอกจากแฮมสเตอร์แล้วยังมีมอนสเตอร์ที่อคโตเรียกมันว่า กระรอกอยู่อีกด้วย หรือแม้แต่ในชั้น 4 ที่เริ่มจะได้เห็นมอนสเตอร์โจมตีจากใต้ดินที่มันถูกเรียกว่าตุ่นและมอนสเตอร์ประเภทนกที่ถูกเรียกว่า นกกระจอก

แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูไม่ดุร้ายแต่สิ่งที่พวกมันทำนี้เรียกได้ว่าตรงกันข้ามเลย เพราะยิ่งลงลึกมาแต่ละชั้นคอนเซนเทลก็ยิ่งได้เห็นเหยื่อของพวกมันที่ต้องนอนหมดสภาพจมกองเลือดของตัวเองแล้วรอให้กิลล์มาช่วยขึ้นไป ยิ่งบางที บางจุดก็ดันไปหมดสภาพในบริเวณที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์อีก ทำให้กิลล์ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ตามปกติและต้องพึ่งนักพจญภัยระดับกลางให้เข้าไปจัดการแทน

[ อึก…ถ้าเราไม่ได้มากับท่านมาร์และท่านอคโต เราคงหลงในรูปลักษณ์ของมันแล้วประมาทจนชีวิตอาจจะจบแบบเจ้าพวกนั้นก็ได้สินะ… ]

คอนเซนเทลคิดเช่นนั้นและจะยิ่งจำความคิดนี้ลึกลงไปในหัวใจของเขาถึงตัวอย่างที่มีให้เห็นรอบตัว ตัวอย่างของคนที่ประมาทในรูปลักษณ์ของศัตรูจนประเมินพวกมันต่ำเกินไปและนำไปสู่ความชิบหายต่อตัวเองในที่สุด และเขายิ่งระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นเพราะตรงหน้าที่เขาได้มายืนอยู่นั้นคือห้องบอส ประตูศิลาบานใหญ่ที่เรียบเนียน

“ พวกนักพขญภัยคิดยังไงกันน้าถึงเรียกที่นี้ว่า ที่เปิดซิงนักพจภัยน่ะ? เห้อออ…หัดคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องใต้สะดือบ้างเถอะ ขอร้องล่ะ ”

มาร์เองที่เห็นก็บ่นๆออกมา ก็แหงล่ะ ที่นี้ถูกเรียกกันเล่นๆในเหล่านักพจญภัยว่า “ ที่เปิดซิงนักพจภัย ” และมันก็สมกับชื่อของมัน ที่นี้จะคัดกรองเอาคนที่คู่ควรให้สามารถลงไปพจญภัยต่อในดันเจี้ยนชั้นถัดๆไปได้ ดังนั้นสำหรับนักพจญภัยหน้าใหม่ที่ซ่า ไม่เจียมตัว ก็จะตายอยู่ในนั้นเพราะความประมาทของตนเอง ส่วนคนที่เก่งพอก็จะมีความเป็นผู้ใหญ่(แบบนักพจญภัย) และก้าวขึ้นไปแรงค์ถัดๆไปได้อย่างไม่ยากเย็น

“ โอ…ถึงแล้วแหะ ไหนๆ อัยย๊าาา!! เห็นว่ากิลล์อุตส่าห์มีการเตือนกันแล้วแท้ๆ จำนวนคนตายยังไม่ได้ลดลงเลยวุ้ย ”

“ จำนวนคนตายเหรอครับ? ”

“ นั้นไงคะ…บนนั้น ”

อคโตพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ พร้อมกับชี้ไปยังด้านบนของประตูขนาดใหญ่ เหนือสุดของมันนั้นมีกระจกสีดำที่มีอักษรประหลาด อักษรที่คอนเซนเทลไม่อาจจะเข้าใจได้ แต่สำหรับมาร์กับอคโตนั้นมันไม่ยากเลยที่จะเข้าใจ พวกมันคือตัวเลข ตัวเลขอารบิก ที่มีเพียงคนในยูโทเปียเท่านั้นจะอ่านออก

“ มันคืออักษรโบราณที่เราชาวยูโทเปียใช้กันถ้าแปลออกมาก็ นั้นไง 10112 อ๊ะ… 10116 ละ ตายกันไปเยอะจริงๆแหะ ”

“ อึก ม ม …หมื่นชีวิตต้องมาตาย ”

ครึก ครืนนนนนนน

“ ท่าน… มาร์คะประตูเปิดแล้วค่ะ ”

คอนเซนเทลพอได้รู้ถึงจำนวนของคนที่ตายเพราะสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูนั้น เขาก็เกิดกังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดผ่านสีหน้า ทว่าในระหว่างที่เจ้าตัวกำลังตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ประตูบานใหญ่ตรงหน้าก็ถูกเลื่อนออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นหมอกหนาสีเทาที่ไม่ว่าจะส่องไฟหรือมองเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังของมันได้ และเพราะแบบนั้นอคโตจึงได้เดินเข้าไปกระซิบกับมาร์ด้วยท่าทีที่เรียบร้อย

“ อืม เห็นแล้วแล้ว งั้นไปกันเถอะ!! ”

“ รับทราบค่ะ!! ”

“ อ อึก…ครับ ”

ทั้งสามเดินผ่านเข้าไปยังด้านในด้วยการใช้มือสัมผัสกับหมอกสีเทานั้น โดยคนแรกที่ทำก็คือมาร์ เขาก้าวไปข้างหน้าราวกับรู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านหลังนั้นคืออะไร เช่นกันกับอคโตเธอยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วก็ตามเขาไปติดๆ สุดท้ายคอนเซนเทลก็ฝืนตัวเองจนเดินทะลุผ่านหมอกเข้าไปได้ ทิ้งไว้เพียงเหล่าปลิงที่อยู่ด้านนอกที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ เพราะประตูหมอกนี้จะปิดไม่ให้คนเข้าไปในอีก ไม่กี่นาทีนับแต่คนแรกก้าวเท้าเข้าไป

ครึก ครึก

อย่างไรเสียพอเข้ามาได้แล้วนั้น ภาพที่ทุกคนได้เห็นก็เปลี่ยนไปมาก จากตอนแรกในชั้นก่อนหน้านี้ ทุกที่ล้วนแล้วแต่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียว กับต้นไม้ ก้อนหินและดอกไม้ที่มองยังไงก็น่ารื่นรมณ์มิใช่น้อย ทว่าบัดนี้ตรงหน้ากลายเป็นทุ่งหญ้าที่มีหินเป็นพื้นซะส่วนใหญ่ ทั้งต้นไม้เองก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเมื่อเข้ามาได้ไม่นาน คอนเซนเทลก็เห็นได้ชัดว่าที่ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งห่างออกไปไกลสุดนั้นกำลังมีบางอย่าง บางอย่างขนาดใหญ่พอๆกับเขากำลังปีนป่ายอยู่ จากเงาลางๆที่เห็นมันมีเขี้ยวขนาดใหญ่และหางที่ยาวฟูเป็นสีดำกำลังถือกระโหลกของนักพจญภัยผู้เคราะห์ร้ายอยู่

“ น น นั้นมันอะไรกัน!! ”

ตัวของคอนเซนเทลที่ได้เห็นเงาลางๆก็ได้แต่หลุดปากพูดออกมาเสียงดังเช่นนั้น แน่นอนเขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะหลุดตะโกนออกมา แต่กับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างมาร์นั้น เขามีดวงตาที่ดีที่สุดในบรรดาคนที่อยู่ที่นี้ เขานั้นเห็นทุกอย่างและรู้ว่ามันคืออะไร ทว่าเจ้าตัวก็…

“ นั้นสิน้า ก็ไม่รู้สิน้า… ”

……

“ ทำไมทำสีหน้าอย่างงั้นล่ะเรา? อ่า…คงอยากจะถามอะไรสินะเชิญเลย เชิญเลย ”

ภายในพื้นที่รับรองนักพจญภัยระดับสูง มาร์ที่ได้เห็นว่าชายหนุ่มในชุดเกราะนามว่าคอนเซนเทลที่อยู่ตรงหน้ากำลังตกอยู่ในความสับสนอะไรบางอย่างนั้น เขาก็ถามออกมาด้วยท่าทีสุภาพและเป็นมิตรทั้งๆที่แม้ว่าในใจของเขาจะรู้อยู่แล้วว่าทำไมชายผู้นี้ถึงได้เป็นแบบนี้

“ ก ก ก็…ท ท ท่านมาร์เป็นระดับ S และท่านอคโตเป็นระดับ A ผมก็ ล ล เลยตกใจ… ต ต แต่ว่าถ้าแบบนี้ ผมก็คง… ”

[ เราก็คงเข้าร่วมปาร์ตี้ไม่ได้แน่ๆ… ระดับต่างกันเกินไป ]

คอนเซนเทลพูดออกมาอย่างติดๆขัดๆ ก่อนที่ไม่นานเขาจะนึกขึ้นมาได้ว่า กฎของการเข้าร่วมปาร์ตี้นั้นระดับ S จะรับขั้นต่ำที่ A- เท่านั้น นั้นทำให้เขาจะถามออกไปแต่ดูเหมือนว่าก็คงจะไม่ได้ถามเพราะมาร์ที่อยู่ตรงหน้าส่ายหน้าเป็นการตอบกลับก่อนจะเริ่มพูดต่อพร้อมกับยื่นมือเข้ามาหาเขา

“ อย่าทำสีหน้าอย่างกับจะบอกว่า[ ถ้าแบบนี้ ผมก็คงเข้าร่วมปาร์ตี้ไม่ได้แหงๆเลย ]สิคอนเซนเทล ไอกฎข้อนั้นทางกิลล์ที่นี้เขายกเว้นให้เพราะว่าต่อจากนี้จะเป็นภารกิจพิเศษน่ะนะ ”

“ ภารกิจพิเศษเหรอครับ? ”

ด้วยคำพูดราวกับรู้ใจของมาร์ ก็ทำให้คอนเซนเทลต้องชะงักไปอีกครั้งแล้วเริ่มจะตั้งคำถามขึ้นมาในระหว่างที่เขากำลังลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อได้มองหน้าของมาร์ผู้เป็นระดับ S อีกครั้ง เขาก็รู้ได้ว่าเด็กชายคนนี้ทรงอำนาจและมีข้อมูลมากมายจากกิลล์ ถ้าเขาบอกเช่นนั้นตัวของคอนเซนเทลก็จำต้องเชื่อเช่นนั้น นั้นทำให้เขาตัดสินใจหยุดที่จะสงสัยก่อนจะหันมาสนใจในสิ่งที่เรียกว่าภารกิจพิเศษแทน

“ อ่า ใช่ ใช่ ภารกิจไม่ได้ยากอะไรหรอกก็แค่ เอ่อ…นั้นน่ะ สำรวจหอคอ… สำรวจดันเจี้ยนให้ครบทุกที่ก็เท่านั้นเอง ”

“ เอ๋!!!! จะเป็นไปได้เหรอครับ!! ภารกิจระดับนั้นมันเหมือนกับถูกส่งไปตายเลยนะครับ!? ”

กึง!! หมับ!!

“ แก…กำลังจะบอกว่าท่านมาร์ไร้ความสามารถอย่างงั้นน่ะเหรอ? ”

เมื่อได้รู้ถึงภารกิจ คอนเซนเทลก็หน้าซีดทันที ภารกิจที่ให้ไปเสี่ยงตายสำรวจดันเจี้ยนลึกลับทั่วทั้งทวีปยูโทเปีย ดันเจี้ยนที่คร่าชีวิตนักพจญภัยระดับสูงไปแล้วอย่างน้อยๆก็ 100 กว่าคน ถ้าเทียบเป็นระดับทั่วไปก็คงเป็นหมื่นแล้ว ทว่าการพูดแบบนั้นก็ดันไปทำให้คนคนหนึ่งไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนเดินมากระชากคอเสื้อและยกร่างที่หุ้มไปด้วยเกราะให้สูงขึ้นจากพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียว…อคโต

“ อ อ ออค ป ป เปล่า เปล่าครับ! ผ ผ ผมก็แค่… ”

“ เห้ออ… วางเขาลงก่อนเถอะอคโต ”

“ ค ค ค่ะ!! ”

ตึง

ยังไงก็ตามมาร์ที่อยู่ตรงนั้นก็ได้เข้ามาห้ามก่อนที่ทุกอย่างจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ และอคโตที่ได้ฟังคำสั่งของนายท่านของเธอก็ปล่อยมือในทันที ทิ้งให้คอนเซนเทลตกลงสู่พื้นอย่างรุนแรงเพราะน้ำหนักของชุดเกราะของเขาจนเกิดเป็นเสียงดังไปทั่ว ทว่าก็ไม่มีใครเข้ามาห้ามหรือล้อมดูเหตุการณ์แต่อย่างใดเนื่องจากเหตุการณ์ทะเลาะกันของนักพจญภัยนั้นมีขึ้นอยู่ตลอดทุกคนก็เลยชินกันไปหมดแล้ว หากจะเข้ามาก็คงตอนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะฆ่ากันเท่านั้นนอกนั้นไม่เป็นไร

“ ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะ เธอค่อนข้างจะใจร้อนเวลามีคนมาพูดอะไรเสียๆหายๆเกี่ยวกับผมน่ะ เอ้าลุกขึ้นมาสิ ”

“ ค ค ครับท่านมาร์ ฮึบบ…?? ขอบคุณครับ แต่ว่ายังไงผมเองก็ผิดที่พูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ท่านเป็นถึงระดับ S แท้ๆ ”

มาร์ดึงตัวของคอนเซนเทลขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้คอนเซนเทลก็ต้องประหลาดใจกับแรงของมาร์ แรงจากร่างเล็กๆที่จัดว่าเตี้ยกว่าเขามาก ไหนจะกล้ามเนื้อที่ดูบอบบางราวกับเป็นหญิงสาว สิ่งเหล่านั้นไม่น่าจะมีแรงดึงให้เขาลุกขึ้นมาได้ด้วยมือเดียวแน่ๆ แถมการดึงนี้ก็ทำให้ตัวของคอนเซนเทลรู้สึกเหมือนกับว่าร่างเขาเป็นเพียงก้อนหินไม่ก็เศษกระดาษที่ถูกยกขึ้นด้วยฝ่ามือขนาดยักษ์

“ น่า น่า ถือว่าหายกัน โอเคนะ เอาล่ะทีนี้เข้าเรื่องเลยละกัน สรุปจะร่วมสำรวจดันเจี้ยนด้วยกันหรือว่าจะถอนตัวล่ะคอนเซนเทล? ”

เด็กชายตรงหน้าถามอีกครั้ง คำถามที่จะชี้อนาคตของคอนเซนเทลและด้วยการยื่นโอกาสเข้ามานี้ประกอบกับจดหมายที่นำพาให้เขาได้มาพบ เจ้าตัวก็ไม่ช้าเลยที่จะตอบกลับอย่างผู้ศรัธราในโชคชะตาจะตอบ

“ ไปครับ แม้ว่าผมจะทำอะไรไม่ได้มากอย่างน้อยก็จะไม่เป็นตัวถ่วงแน่นอนครับผม!! ”

“ ดีๆ ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะ อืมมม ต่อจากนี้ก็ไปลงทะเบียนปาร์ตี้แล้วก็เริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ?? ”

“ อ๊ะ!! จะเริ่… อ่าา อืมม เข้าใจแล้วครับ ”

มาร์ที่ได้รับการตอบตกลงแล้ว เขาก็ยิ้มพร้อมกับมองอคโตก่อนจะพยักหน้าให้สัญญาณเธอ ทำให้อคโตก้มหัวลงแล้ววิ่งตรงไปยังเค้าเตอร์แล้วก็จัดแจงเอกสารที่ต้องใช้ทั้งหมดร่วมกันกับวัลคีย์ที่ลงมือจัดงานนี้ด้วยตัวเอง ก็แหงล่ะ ถ้าให้คนอื่นมาทำก็คงไม่ได้ดั่งใจของเธอแล้วก็เขาคนนั้นแน่ๆ ส่วนทางด้านคอนเซนเทลที่ตอนแรกจะถามขึ้นมา ก็หุบปากของตัวเองแล้วก็ได้แต่พูดรับทราบไปแบบนั้น

“ ระหว่างรอลงทะเบียนให้เสร็จ เรามาคุยเรื่องหน้าที่ของนายกันดีกว่านะ ”

“ ครับผม ”

ในระหว่างที่อคโตไปจัดการในส่วนของเธอนั้น มาร์ก็ได้เชิญให้คอนเซนเทลนั่งลงที่โซฟาก่อนที่ตัวของเขาจะนั่งลงที่ข้างๆแล้วก็เริ่มรินชาที่ยังร้อนๆให้กับอัศวินหนุ่มอย่างสวยงามและก็เริ่มพูดไปพร้อมๆกัน พูดถึงสิ่งที่คอนเซนเทลต้องทำเมื่อเข้ามาในปาร์ตี้

“ ตำแหน่งในปาร์ตี้ทั่วไปก็อย่างที่เห็นนะผมเป็นหัวหน้า ส่วนอคโตจะจัดการงานเอกสารกับเงินให้ แต่ว่าเรื่องเงินนี้ไว้ได้แล้วค่อยมาคุยกัน ส่วนตำแหน่งในตอนต่อสู้นั้นไม่ยากเลย ผมจะรับหน้าที่แนวหลังคอยซัพพอร์ตให้ ส่วนอืมมม อคโตเธอจะเป็นแนวหน้าร่วมกันกับนายนะ ต่างกันที่เธอจะเป็นดาบ ส่วนนายจะเป็นโล่ เค๊? ”

“ หมายความว่าผมมีหน้าที่ปกป้องสินะครับ ”

“ ว่างั้นก็ได้ อ๋อ! ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะคอยเสริมพลังให้ดังนั้นเรื่องความเจ็บปวดไม่มีแน่นอน ”

“ อ่า… ถ้าแบบนั้นผมก็สบายใจขึ้นมาได้บ้างล่ะมั้งครับ ฮ่าๆๆ ”

“ นั้นสินะ แล้วก็งานตอนไม่ได้ต่อสู้ก็ไม่มียากหรอก แค่วาดรูปกับบันทึกเรื่องราวของพวกเราก็พอเนอะ? ”

“ ถ้างานนั้นก็สบายๆเลยครับ ผมถนัดงานบันทึกกับวาดรูปอยู่แล้วไว้ใจได้เลยครับท่านมาร์ ”

“ โอ้ ขอบใจมากนะ แล้วก็ไม่ต้องเรียกท่านมาร์หรอก เรียกมาร์ก็พอ เรียกแบบท่านๆนี้มันรู้สึกแปลกไงก็ไม่รู้อ่ะนะ ”

ทั้งสองคนคุยกันอย่างสนิทสนม พร้อมกับจิบชาไปด้วยนานกว่า 10 นาที โดยระหว่างที่พูดคุยนั้นมาร์ก็สังเกตุเห็นได้ว่าตัวของคอนเซนเทลนั้นค่อนข้างจะไม่ถือตัวแม้เขาจะเป็นอัศวินก็ตาม อย่างไรก็ดีอคโตนั้นกำลังเดินมาทางที่เขาอยู่ และมาร์ก็รับรู้ถึงการมานั้นได้ ทำให้เขาลุกขึ้นแล้วหันไปมองยังอคโต

“ เสร็จแล้วเหรอ? ”

“ ค่ะท่า… ค่ะมาร์ ตามที่ได้สั่… ตามที่ตกลงไว้ปาร์ตี้ของเราจะชื่อว่า Pathfinder ที่มีสมาชิกแบบ 6 คนค่ะ ”

“ 6 คน? ”

คอนเซนเทลมองไปรอบๆพร้อมกับพยายามหาสมาชิกอีก 3 คนที่เหลือเพราะสิ่งที่เขาได้ยินนั้นมันขัดกับสิ่งที่เห็นอย่างชัดเจน ส่วนมาร์เองก็เดินเข้าไปหาอคโตแล้วรับเอกสารยืนยันการตั้งปาร์ตี้ไว้ก่อนจะทำท่าทีเป็นใส่ในกระเป๋าที่จริงๆแล้ว ด้านในคือความมืดสีดำที่ดูดกลืนเอาเอกสารเข้าไปเก็บเอาไว้

“ อืม 6 คนแหล่ะ แต่ตอนนี้มีแค่ 3 ล่ะนะ ไม่สิ 4 คน บังเอิญว่าอีกคนดันติดงานน่ะ เห็นว่าถ้าเสร็จแล้วก็จะรีบตามมาทันทีเลย ”

“ อ๋อ แบบนั้นเองสินะครับ เห้ออ ผมก็นึกว่าจะไปกันแค่ 3 คน ”

“ ไม่หรอก จริงๆ สอ… อ่าา ไม่หรอกภารกิจแบบนี้ 4 คนขึ้นไปเท่านั้น ไม่งั้นคงไม่รอดหรอก ”

“ นั้นสิครับ ขนาดทีมระดับ 36 คน ยังไปกันไม่รอดเลยนี่ครับ ”

“ ก็นะ…เอาล่ะอย่าเสียเวลาแล้วไปกันเลยดีกว่า ”

มาร์เริ่มเดินออกไปในทันทีมุ่งตรงไปยังทางลงใต้ดินแล้วก็ลงไปยังข้างล่าง โดยที่อคโตกับคอนเซนเทลก็ตามไปติดๆ อย่างไรก็ตามระหว่างที่เดินไปนั้นอคโตก็แอบยิ้มอยู่ตลอดเพราะว่าเธอที่ตั้งใจฟังนายท่านตลอดเวลานั้นก็สังเกตุได้ว่า ตอนที่เขากำลังพูดเกือบจะหลุดปากออกมาในทำนองที่ว่า [ “ ไม่หรอก จริงๆ สองคนก็พอแล้วที่เอามาเพิ่มเพราะไม่งั้นลงดันไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ” ]

“ ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ทางลงดันเจี้ยนรหัส ศูนย์หนึ่ง จะลงไปข้างล่างด้วยกันทั้ง 3 คน… สินะคะ อืมม ไม่ทราบว่าจะต้องการรับอุปกรณ์ช่วยเหลือไว้หรือเปล่าคะ? ”

พนักงานสาวถามเช่นนั้นทันทีที่เห็นทั้ง 3 คน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เธอจะถามเพราะการจะลงดันเจี้ยนในทวีปยูโทเปียยังได้มีกฎเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า [ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ปาร์ตี้หรือทีมใดจะลงไปต้องมีสมาชิกรวมอย่างน้อย 4 คน อย่างไรก็ตามหากต่ำกว่านั้นทางเราก็มิได้ห้ามลงแต่อย่างใด ]

ทั้งนี้นอกจากเรื่องจำนวนของคนที่ลงไปแล้ว ยังมีอีกเรื่องคืออุปกรณ์ที่กิลล์ได้ว่าจ้างให้ยูโทเปียออกแบบและผลิตให้เพื่อใช้มันในการออกสำรวจในดันเจี้ยน โดยสิ่งนั้นถูกเรียกว่า “ อุปกรณ์ช่วยเหลือรุ่น VIII ” ชื่อง่ายๆคือ “ อุปกรณ์ช่วยเหลือ ” พวกมันคือสิ่งที่เต็มไปด้วยความสำคัญต่อการสำรวจของเหล่านักพจญภัย

อุปกรณ์นี้มีหน้าตามากมายหลายแบบ ทั้งแหวน สร้อยคอ กำไล ต่างหู โดยมันมีหน้าที่คือการระบุว่าผู้สวมใส่ตายหรือไม่ หรือหลงอยู่ที่ใด รวมทั้งยังคอยสำรวจแผนที่ด้านในให้อีกด้วย กระนั้นก็ดีรุ่นใหม่ที่ออกมาอย่างตัวปัจจุบันมีความสามารถเสริมคือ วาป วาปส่งคนที่สวมใส่ขึ้นมายังบนดินในทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกฆ่า อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ทำงานแบบอัตโนมัติ มันจะทำงานก็ต่อเมื่อ เอ่ย “ Save Word ” ที่ตั้งค่าไว้ เช่น “ แม่จ๋าช่วยด้วย ” “ ไม่นะ หนูไม่อยากตาย ”

กระนั้นก็ดีพลังที่ยิ่งใหญ่ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ นั้นคือการจะวาปขึ้นมานั้นจะวาปมาเฉพาะร่างของผู้สวมใส่กับอุปกรณ์ที่ที่นำติดตัวลงไปเท่านั้น ของอย่างอื่นที่ถูกพบในดันเจี้ยนจะไม่สามารถเอาออกมาได้เว้นเสียแต่จะเช่ารุ่นพรีเมี่ยมที่มีฟังก์ชั่นเอาของออกมาด้วยแต่ก็ได้มากสุดสุ่มที่ 1 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แถมของที่จะเอาออกมาก็สุ่มอีก ยังไงก็ตามมันก็เป็นฟังก์ชั่นที่นักพจญภัยหลายต่อหลายคนเลือกจ่ายเพิ่มอยู่ดี

“ งั้นผมขอแบบธรรมดาอันนึงละก… ”

คอนเซนเทลเขาไม่เคยใช้มัน แต่ก็อยากจะลองใช้เพราะราคาที่ต้องจ่ายก็ไม่ได้แพงมากเพราะเป็นสิทธิพิเศษของนักพจญภัย ไหนการได้ใช้มันก็เป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าเขาเคยลงไปนั้นดันเจี้ยนที่แสนจะอันตรายนี้ ทว่าทางด้านของมาร์กับอคโตนั้นต่างออกไปและมาร์ก็เป็นคนพูดออกมา

“ ไม่เป็นไรครับ พวกเราไม่ใช้หรอกครับ ขอบคุณมากสำหรับข้อเสนอนะครับ ”

“ เอ๋!! ถ้าแบบนั้นมัน?!? ”

คำตอบของมาร์ทำเอาคอนเซนเทลหันมาถามเลยทีเดียว ส่วนพนักงานที่ดูแลยืนงงไปชั่วครู่เลยด้วย เพราะตลอดการทำงานมานั้นพนักงานในกิลล์มักจะเจอคนขี้งกไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือมาก็มาก แต่ว่าพวกคนตรงหน้าที่เป็นประชาชนจากยูโทเปีย น่าจะมีเงินเยอะแต่กลับไม่ใช้แบบนี้มันผิดปกติ ยังไงก็ตามพนักงานก็ไม่มีสิทธิไปยัดเยียดให้กับนักพจญภัย

“ ค่ะ 3 ท่านไม่รับอุปกรณ์ช่วยเหลือนะคะ ยังไงก็ขอให้ระวังตัวไว้ตลอดนะคะ เชิญค่ะ ”

แอ๊ดดดดดด

อคโตวางเงินค่าเข้าให้กับพนักงานสาวและประตูก็เปิดออกพร้อมกันนั้นมาร์ก็เดินลงไปโดยไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด เช่นกันกับอคโตที่อยู่ด้านหลังเธอก็ตามลงไปติดๆ ก่อนที่คอนเซนเทลจะได้สติและรีบวิ่งตามลงไปในทันทีสู่ทางเดินยาวที่จัดเรียงสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ระเบียบ เรียบร้อย สะอาดและสว่าง

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ไม่มืดเลยนะครับ นึกว่าจะเป็นแบบพวกถ้ำที่มีมอนสเตอร์ซะอีก สมกับคำบอกเล่าเลยแหะ ”

“ อืมมม นี้น่ะไม่ใช่รูปลักษณ์จริงๆหรอก ”

“ ครับ?? ”

และก็เพียงไม่นานเลยที่ทั้งสาม จะลงมาถึงยังชั้นแรกของหอคอยนี้ คอนเซนเทลก็ได้พบเห็นกับสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมีอยู่ในนี้ สถานที่ที่ราวกับเป็นต่างโลก สถานที่ที่เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นจริงภาพของทุ่งหญ้ากว้างขวางสีเขียวที่เต็มไปด้วยดอกไม้มากมาย และที่สำคัญเหล่ามอนสเตอร์ทุกตัวในสายตาของเขานั้น…มันไม่เหมือนมอนสเตอร์เลย

“ ไอตัวเล็กๆกลมๆที่วิ่งกันนั้นมัน…?? ”

“ อ๋อ นั้นน่ะเรียกว่า…อะไรนะ อคโต? ”

“ แฮมสเตอร์ค่ะ มอนสเตอร์ประเภทสี่ขา มีหลากหลายแบบตัวขาวที่ถูกเรียกว่า White Winter , ตัวขนาดไม่ใหญ่มากแต่นิสัยดุ เรียกว่าแคมเบลค่ะ ”

“ เอ่อ… รู้เยอะสมกับเป็นอคโตเลยนะ ”

“ ค ค ค่ะ… ขอบคุณค่ะ ”

……

ก็อง ก็อง ก็อง ก็อง

“ Dia dhaoibh, an dtreorófá inniu mé chun an t-ádh a bhaint amach anseo, agus go ndéanfainn eachtraí maith díom. ”

ภายในโบสถ์ โบสถ์หนึ่งที่หมู่บ้านคนนอกบนทวีปยูโทเปียที่มีเสียงระฆังดังไปทั่ว ชายหนุ่มผมสีฟ้าปลายสีดำ ตาสีเหลือง ใบหน้าคม หูเรียวแหลมแต่ไม่ยาวเท่าเอล์ฟ เขาสวมเกราะหนักสีขาวและกำลังนั่งคุกเข่าสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าของเขาเป็นภาษาโบราณที่ไม่อาจจะแปลออกมาเป็นคำพูดได้ง่ายๆ โดยนอกจากเขาแล้วรอบๆก็มีคนมากมายกำลังร่วมสวดมนต์อยู่ด้วยโดยทุกคนล้วนสวมชุดเกราะคล้ายๆกันกับเขา

กึงงงง ครืดดด

“ mar sin? aoi teacht? ”

แกร็ก

อย่างไรก็ตามจู่ๆก็มีคนในชุดคลุมเดินเข้ามาภายในโบสถ์ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้ต้องลุกขึ้นแล้วเดินไปต้อนรับกับบุคคลลึกลับคนดังกล่าว โดยระหว่างที่เดินไปนั้นเขาก็ได้หยิบเอาดาบกับโล่ขนาดใหญ่ประจำตัวของตนเองมาด้วย ส่วนอีกฝ่ายที่ได้เห็นท่าทางที่ดูแล้วไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่ก็ไม่ได้จะทำอะไรนอกไปจากยืนรออยู่ตรงนั้น

“ beannachtaí strainséir ”

“ … ”

“ อ่า…ข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่ยังพูดภาษาดั้งเดิมของศาสนจักรอัศวินไอริชเราไปแบบนั้น อะแฮ่ม!! สวัสดีท่านผู้เดินทาง ”

“ สวัสดี… ”

ในตอนแรกชายหนุ่มพูดภาษาโบราณออกมาด้วยท่าทีที่เป็นมิตรอย่างมาก แต่ก็เพราะภาษานี้แหล่ะทำให้คู่สนทนาตรงข้ามไม่อาจจะเข้าใจได้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร อย่างน้อยก็ยังดีที่เจ้าตัวพอจะรู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปทำให้เขาเปลี่ยนมาใช้ภาษากลางที่ใครๆก็เข้าใจได้ ทว่าอีกฝ่ายที่แม้จะเข้าใจแล้วก็ยังคงตอบกลับแบบนิ่งๆไร้อารมณ์ใดๆ

“ ไม่ทราบว่าท่านผู้เดินทางมาที่นี้เพราะอะไรอย่างงั้นเหรอครับ? ”

“ แค่จดหมาย ”

คนในชุดคลุมนั้นพูดเพียงเท่านั้นด้วยเสียงที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เสียงที่บอกอะไรไม่ได้ก่อนที่คนคนนี้จะวางจดหมายลงบนพื้นตรงหน้าแล้วหันหลังเดินกลับออกไปยังด้านนอกปล่อยให้หนุ่มคนนี้ได้แต่ยืนมองด้วยความสับสนสักพัก ก่อนที่เขาจะค่อยๆโน้มตัวลงหยิบเอาจดหมายนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน เนื้อหาข้างในที่ถูกเขียนด้วยอักษรที่สวยงามราวกับว่าพวกมันถูกเขียนขึ้นพร้อมๆกัน

[ คอนเซนทอล

หากเจ้าอยากจะได้ความร่ำรวย ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ จงไปยังกิลล์นักพจญภัยประจำเมืองที่ 01 ในบ่ายของวันพรุ่งนี้

และเมื่อไปถึงจงวาดภาพของผู้คนตรงหน้าและนำมันไปวางไว้ที่หน้าทางเข้าพื้นที่ต้อนรับ A-

พระเจ้า ]

“ Ó! DIA! Buíochas le Dia!! ”

ชายหนุ่มผู้นี้ คอนเซนทอล หรือ คอนเซน เขาตะโกนออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มดีใจเป็นอย่างยิ่งพร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็เอาแต่กุมมือไว้ที่หน้าอกด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติอะไรบางอย่าง ก่อนที่ไม่นานเจ้าตัวจะเก็บจดหมายนั้นใส่ในกระเป๋าของกางเกงแล้วเดินออกไปจากโบสถ์เพื่อเริ่มออกเดินทางตามจดหมายนั้นด้วยความตั้งมั่นเป็นอย่างยิ่ง

เวลาล่วงไปได้ไม่นานนักคอนเซนก็มาถึงยังสถานที่แรก ท่ารถตู้ของยูโทเปียอย่างไรเสีย การที่เขาออกเดินทางไปโดยไม่บอกอะไรกับศาสนจักรเลยสักนิดนั้นทำให้ค่าใช้จ่ายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เงินเก็บของตัวเอง แน่นอนการเดินทางไปไกลให้ทันภายในเวลาอันสั้นนั้นจำแต่ต้องใช้การขนส่งโดยยูโทเปียระดับสูงที่ส่วนใหญ่จะมีแค่ประชาชนเท่านั้นที่มีเงินพอจ่าย

“ ด่วนภายในพรุ่งนี้ ตั๋วพิเศษราคา 20000 เครดิตค่ะ ”

“ นี้ครับ! เอาไปเลย!! ”

“ อ… เอ๋?? ”

และด้วยเหตุนี้คอนเซนก็จำต้องจ่ายเงินหลายพัน หลายหมื่นเครดิตเพื่อให้ได้ไปยังสถานที่นั้น สำหรับคนอื่นคงจะยากที่จะตัดสินใจจ่ายเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้แต่สำหรับ คอนเซนทอลผู้เชื่อมั้นและศรัธรา เขาไม่ลังเลที่จะเทเงินบัตรเหล็กจำนวนมากออกจากถุงที่พกมาจนเกือบเกลี้ยง เงินสะสมของเขาทั้งหมดตั้งแต่มาทนี้ เพื่อจะใช้มันเดินทางไปตามจดหมาย

บรืนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน บรื้นนนนนนนนน

“ สถานทีถัดไป เมือง รหัส ศูนย์ หนึ่ง เมืองรหัสศูนย์หนึ่ง ”

“ ถึงแล้ว!! ”

แกร็ก แกร็ก

เสียงประกาศภายในรถนั้นดังขึ้น แล้วคอนเซนก็ลุกตามในทันที เขาเอื้อมมือไปหยิบของบนชั้นวางที่บนนั้นไม่ได้มีอะไรนอกไปจากดาบกับโล่และกระเป๋าขนาดเล็กของตัวเองเขาเอง เมื่อหยิบมันมาได้แล้วคอนเซนก็ก้าวลงจากรถ เดินเข้าจุดตรวจยื่นหลักฐานผ่านโดยอาศัยบัตรประจำตัวของกิลล์นักพจญภัย

“ เชิญครับ ”

“ go raibh maith agat ”

“ เอ่อ ครับ??? ”

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก บรื้นนนนนน เอี๊ยดดดด

เจ้าตัวเดินมุ่งตรงไปยังกิลล์นักพจญภัยอย่างรวดเร็ว ไม่สนแม้แต่รถที่วิ่งอยู่ที่ถนน ทุกวินาทีสำหรับเขานั้นมีค่ามาก มากเสียจนบางทีชีวิตอาจจะหมดประโยชน์ถ้าไปไม่ทันก็เป็นได้ นั้นแหล่ะเขาเลยทำอะไรไปแบบนั้นจนไม่รู้เพราะโชคหรือฟ้ากำหนด ในที่สุดเขาก็มาถึงยังที่หมายได้ พร้อมกันก็ไม่รอช้าจะเปิดประตูเข้าไปในทันที

ครืดดดดด

“ Tarraingeoidh sé pictiúr de dhaoine… ”

เขาเอ่ยคำนั้นออกมาก่อนจะนั่งลงตรงทางเข้าแล้วลงมือวาดภาพของผู้คนในนั้นอย่างรวดเร็ว ภาพที่เสมือนจริงยิ่งกว่าอะไร เขาวาด วาด วาดไม่หยุดมือทุกรายละเอียด ทุกใบหน้า ทุกอาวุธ คอนเซนบันทึกมันเอาไว้ได้ด้วยภาพที่เห็นจนเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ภาพที่ถูกร่างด้วยดินสอก็เสร็จสิ้น

“ téigh go, ah … ar an mbealach sin!! ”

“ เห้ยยย ทำบ้าอะไรวะ!! ”

“ อิย๊าาาา!! ”

“ หลบ เร็ว หลบเร็วเข้า!! ”

เมื่อวาดจนเสร็จก็ทำตามขั้นถัดไปในทันที เขาลุกขึ้นแล้วพุ่งไปยังบริเวณที่ต้อนรับนักพจญภัยระดับสูงอย่างรวดเร็วเหมือนกับโผยพุ่งเข้าใส่ และนั้นก็ทำให้ผู้คนที่ยืนอยู่ต้องรีบหลบกันอย่างวุ่นวาย ซึ่งก็ดีที่ว่าคนส่วนใหญ่เป็นนักพจญภัยที่มีฝีมือกันก็เลยทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บนัก

“ le treoir Dé, tugaim ómós don líníocht seo!! ”

ป๊าบบบ เปรี้ยงงง

คอนเซนทอล ฝาดภาพที่เขาวาดลงกับพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นแตกแล้วส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณของกิลล์นักพจญภัยทำเอาหลายต่อหลายคนต้องหันมามอง แต่ว่า 1 ในคนที่มองนั้นก็ได้ลุกแล้วเดินเข้ามาหาเขา หญิงสาวในชุดเครื่องแบบประหลาดที่ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยเกราะบางอย่างซึ่งส่งแสงสว่างสีเขียวออกมา เธอเดินมาตรงหน้าแล้วหยิบเอาภาพที่เขาวาดขึ้นมาดู

“ นาย…คอนเซนทอล? ”

“ Sea ma'am?!? อ๊ะ! ครั… ”

“ อ่า งั้นก็ลุกแล้วตามมา ”

“ ครับ?? ”

หญิงสาวนั้นบอกให้เขาตามไปด้วยเสียงที่เย็นชาเป็นอย่างมาก ทว่าความเย็นชานั้นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกสับสนเท่ากับการที่เธอ เข้าใจในภาษาโบราณของเขาที่หลุดปากพูดออกมาก่อนหน้า นั้นทำให้ระหว่างที่เดินตามไปนั้นเขาได้แต่สับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น กระนั้นก็ดีความสับสนก็จะหายไปเมื่อเขาได้เจอกับเด็กชายที่นั่งอยู่บนโซฟา ที่ด้านหน้าคือโต๊ะที่เต็มไปด้วยถ้วยชามากมาย

“ sir, this knight who stand beside me is the one which Tiria find to serve us. ”

“ ??!?! ”

ทางด้านของหญิงสาวนั้นเธอพูดอะไรบางอย่างกับเด็กชายตรงหน้าเป็นภาษาที่คอนเซนไม่มีทางเข้าใจ นั้นทำให้เขางุนงงอยู่ชั่วครู่ แต่สำหรับเด็กชายนั้นเขาลุกขึ้นมาแล้วมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้นั้นเป็นมิตรหรือไม่ เพราะแม้จะยิ้มแต่ในดวงตาของเขามันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มิอาจจะคาดเดาได้

“ นายน่ะชื่ออะไรเหรอ? ”

“ ผม คอนเซนเทล ไนท์ ออฟไอริช ครับ ”

“ แล้วแรงค์ล่ะ? ”

“ E- ครับผม ”

เขาตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะขัดขืนหรือหยุดคิด คำพูดของเด็กชายตรงหน้านั้นเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่เขารู้สึกได้ว่าทุกคำถามจำเป็นต้องตอบ และการตอบก็ต้องตอบอย่างสุภาพ เหมือนกันกับตอนที่เขาพูดคุยกับมาสเตอร์ผู้เป็นอาจารย์ของตน

“ ดีๆ เรา มาร์ แรงค์ S ส่วนนั้น อคโต แรงค์ A ยินดีต้อนรับนายมาเป็นโล่ห์มนุษย์ให้กับพวกเรานะคอนเซน ”

“ ค ค ครับ?!? ”

……

“ มากันเรื่อยๆเลยเนอะอคโต ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน พวกคนนอกทยอยเข้ามาเรื่อยๆ อย่างเช่นวันนี้น่าจะมีคนเข้ามาอีกราวๆ พันถึงสองพันคนเจ้าค่ะ ”

บนยอดเขาที่สูงที่สุดบนยูโทเปีย มาร์กำลังมองดูวิวไปทางตัวเมืองด้านหน้า ทั้งเมืองคอนกรีตที่อยู่หลังกำแพงใหญ่และเมืองเล็กที่ทำจากไม้กับหินด้านนอกกำแพง โดยที่ข้างๆนั้นมีอคโตยืนอยู่ด้วย ทว่าเธอนั่นต่างจากปกติเพราะตอนนี้เธอได้ถอดผ้าปิดตาออกแล้วก็มองดูนายท่านของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข

“ อืมมมม นี้ถ้าเกินห้าพันเมื่อไหร่คงต้องหาวิธีจัดการใหม่แล้วล่ะ ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ”

มาร์กวาดสายตาไปเรื่อยจนไปหยุดลงที่ท่าเรือซึ่งห่างออกไปที่ไกลที่สุด ไกลขนาดที่ว่ามันลากยาวลงไปในทะเลเลยทีเดียวซึ่งนั้นก็คือท่าเรือของคนนอก ท่าเรือที่ไม่ได้ถูกสร้างโดยยูโทเปียแต่เป็นการสร้างโดยคนนอกทั้งหมด มันจึงไม่ได้หรูหราเท่าท่าเรือหลักของยูโทเปีย อย่างไรก็ตามที่นั้นเต็มไปด้วยเรือสำเภามากมายวนเข้าออกตลอดเวลา

“ เอาล่ะ ฮึบบบ ปะ ตามข่าวที่ทิเรียหาให้ วันนี้แหล่ะที่คนนอกจะมาถึง ”

“ ตามนัด แคนดิเดตที่ 1 จะมาถึงราวๆเย็นๆวันนี้ที่กิลล์นักพจญภัยสินะเจ้าคะ อืมม สมกับเป็นท่านพี่ทิเรียจริงๆเลยนะเจ้าคะที่หาข้อมูลในพื้นที่ของเราได้เร็วขนาดนี้… ”

อย่างไรก็ดีระหว่างที่อคโตกำลังจ้องมองดูมาร์นั้น เขาก็ได้ยืนขึ้นพร้อมกับหยิบเอากระดาษขึ้นมายื่นให้กับอคโต ซึ่งเธอก็รับเอาไว้ก่อนจะอ่านอย่างเงียบๆแล้วก็เดินตามนายท่านของเธอไปอย่างช้าๆ ไปยังห้องพักของมาร์เพื่อเปลี่ยนชุดที่สวมใส่ มาร์เลือกที่จะใส่ชุดสูทสีดำขนาดพอดีตัวแล้วก็ใส่ซองปืนคาดบ่าก่อนจะปิดด้วยชุดโค้ทสีเทาอ่อน

ทางด้านอคโตเอง เธอก็เปลี่ยนจากชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวของเธอ มาเป็นชุดรัดรูปสีดำที่มีแผ่นเกราะเบาสีเทาติดตั้งอยู่ตามจุดสำคัญต่างๆเช่น หน้าอก ต้นแขน ต้นขา อีกทั้งที่เอวเองก็มีซองปืนกับซองไว้ห้อยอะไรสักอย่าง นอกจากนี้เธอก็ได้ถอดผ้าปิดตาออกพร้อมกับสวมแว่นตาที่มีกล้องส่งแสงสีเขียวมากมายออกมาเอาไว้แทนผ้าของตนด้วย

บรื้นนนนนนนนนนนนนนน

ทั้งสองพอเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ขึ้นรถส่วนตัวที่ทิเรียจัดเตรียมทั้งรถและคนขับไว้ให้เพื่อมุ่งตรงไปยังเมืองย่อยที่ 01 โดยตลอดทางมาร์ก็ไม่ได้พูดอะไร เขานั่งเฉยๆพร้อมกับมองดูผู้คนด้านนอกที่กำลังหลีกทางให้กับรถของเขา และก็เพียงไม่นานเลยที่รถจะมาถึงยังที่หมายอาคารใหญ่สีขาวนวลหรูหรา

บรื้นนน ครืดดด ครึก

“ ขอบใจที่มาส่งนะ ”

“ ยินดีครับเสมอท่านมาร์ ยังไงก็ขอให้สนุกกับงานที่ท่านลารวมมอบให้นะครับ ”

“ อ่า…เอ่อ… อืม… หวังว่านะ ”

“ ฮ่าๆๆๆ ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับท่าน โชคดีครับผม! ”

มาร์ได้ลงจากรถแล้วก็หันไปขอบคุณคนขับ แน่นอนว่าเขาก็รีบหันมาตอบกลับพร้อมรอยยิ้มก่อนจะขับออกไป ปล่อยให้ทั้งมาร์และอคโตยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าของกิลล์โดยมีสายตาจากผู้คนรอบๆจับตามองดูอยู่ เจ้าตัวก็ไม่ได้จะใส่ใจอะไรแล้วก็ได้เดินต่อเข้าไปยังตัวกิลล์ผ่านประตูหน้าสุด โดยผู้คนที่ยืนออกันอยู่ก็ต่างหลีกทางให้เพราะพวกเขารู้ว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา มาโดยรถหรูอันเป็นสัญลักษณ์ของประชาชนระดับสูงแห่งยูโทเปีย

“ ไหนน้า อยู่ไหนน้า? อ่า… ”

และเมื่อเข้ามาแล้วมาร์ก็เริ่มมองหาสิ่งๆหนึ่งแปปเดียวเท่านั้น เขาก็พบกับสิ่งที่ว่า หญิงสาวผมสีทองที่สวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ คนที่เขาไม่ได้สนิทด้วยนักแต่แม่ของเขาน่าจะสนิทด้วยมากเป็นพิเศษ วัลคีย์อดีตพนักงานกิลล์ที่พัฒนาตัวเองมาเป็นหัวหน้าใหญ่ผู้คุมกิลล์นักพจญภัยทุกกิลล์ในยูโทเปีย

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ เป็นไงบ้างครับพี่วัลคีย์? ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยเนอะ? ”

“ ฮี๊!!!! ท่านลา…อุ๊!! คุณมาร์!! อึก!! ”

“ ตกใจอะไรกันน่ะครับพี่วัลคีย์? ”

“ จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะคะ!! จู่ๆก็โผล่มาแบบนี้!! ไหนจะเหตุการณ์เมื่อวานอีก!! ผู้วัดระดับประจำกิลล์ของดิชั้นโดนคนของคุณอัดจนหมดสภาพแล้วมาทำงานไม่ได้สักคนน่ะค่ะ!! ”

การเข้ามาทักทายของมาร์ในระหว่างที่วัลคีย์ทำงาน ทำเอาเธอหน้าซีดพร้อมกับรีบเดินตรงเข้ามาบ่นใส่มาร์ในทันที ด้วยเหตุนี้เองผู้คนต่างมองมาแต่มาร์ก็ยังคงไม่สนใจ เขาเดินเข้าไปหาวัลคีย์ก่อนจะเอียงตัวหลบอย่างช้าเพื่อให้ได้เห็นคนที่ตามหลังมา

“ ใช่คนนี้หรือเปล่าครับพี่? ”

“ คะ?? คนเมื่อวานเป็นผู้หญิงชุดทหาร สวมผ้า… อ๊ะ!! ”

ตอนแรกวัลคีย์ที่เห็นอคโตในชุดใหม่ก็จำไม่ได้แต่พอได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้สวมอุปกรณ์ที่ปิดตาของเธอเอาไว้ ก็ทำให้เธออ๋อทันที ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วหันไปหยิบซองเอกสารให้กับอคโตทันที

“ ขอบใจ… ”

“ ค ค ค่ะ…คุณอคโต ”

“ อืมม ยังทำงานอยู่สินะครับ ยังไงเดี๋ยวพวกผมไปนั่งรอพี่อยู่ที่โซนรับรองก็แล้วกันนะครับ ”

“ ค ค่ะคุณมาร์ เดี๋ยวจะรีบจัดการงานแล้วรีบตามไปนะคะ ”

เมื่ออคโตรับซองเอกสารมาแล้ว มาร์ก็ได้ขอตัวออกไปเพราะเขาเห็นว่าวัลคีย์ยังทำงานของเธออยู่ เขาและอคโตจึงได้เดินไปนั่งที่โซนระดับสูงซึ่งมีไว้รองรับระดับ A- ขึ้นไป พื้นที่หรูหราที่มีโซฟาอันแสนสบายไว้สำหรับนั่งนอนตามใจอยาก ส่วนอคโตก็เปิดซองเพื่อเอาบัตรของตนออกมาดู บัตรที่แกะสลักสวยงามเกือบจะพรีเมี่ยมสัญลักษณ์ของระดับ A

“ คนเยอะดีจังเลยเนอะ ”

“ นั้นสินะเ…นั้นสินะคะมาร์ แต่ส่วนใหญ่ก็มีแต่ระดับ B เอง ”

“ ก็แหงล่ะนะ นี่เมืองแรกด้วยคงยากแหล่ะที่จะมีระดับ A มาอยู่ที่นี้ หรืออาจจะมีก็ได้แต่คงตะลุยอยู่ด้านล่างล่ะมั้ง? ”

“ ขอโทษนะคะ จะรับอะไรดีคะชาหรือว่ากาแฟ หรือว่าจะเป็นโกโก้ดีล่ะคะ? ”

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ทั้งสองกำลังนั่งพักอยู่นั้น ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาสอบถามสิ่งที่ทั้งสองต้องการ ซึ่งมาร์ก็ได้หันไปมองอคโตที่กำลังนิ่งเหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาสักทีทำให้เขาต้องพูดออกมาแทนด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา

“ อ เอ่อ… เอาเป็น อืมมม ก.. ”

“ เอาเป็นโกโก้กับชาละกันครับคุณพนักงาน ”

“ รับทราบค่ะ ชาหนึ่งที่ โกโก้หนึ่งที่นะคะ ”

พนักงานสาวพอรับทราบถึงออเดอร์แล้วเธอก็โค้งคำนับก่อนจะเดินถอยออกไปเพื่อไปเตรียมเอาชากับโกโก้กลับมา ทว่าระหว่างที่เดินออกไปนั้นเอง มาร์ก็มองเห็นอะไรบางอย่างกำลังเดินตรงเข้ามาหาเขากลุ่มคนจำนวน 6 คน โดยที่เดินนำมานั้นก็เป็นชายในชุดเกราะสีเงินหรูหราที่มีอาวุธเป็นดาบและโล่

“ ดูท่าจะมีคนมาทักทายพวกเราแล้วนะอคโต ”

“ ค่ะ คนที่เจอได้ทั่วในกิลล์นักพจญภัยนี้สินะคะ พวกที่ไม่เจียมตัวน่ะ ”

มาร์นั้นมองออกได้ทันทีว่าทั้ง 6 คนที่กำลังมานั้นไร้ซึ่งความเป็นมิตรสุดๆ สายตาของพวกมันมองมาที่เขาด้วยความรังเกียจ ใช่มองมาแค่ที่เขาคนเดียวเท่านั้น และทางด้านอคโตเองก็พอจะสังเกตุได้และเธอเองก็เตรียมตัวด้วยการค่อยๆลุกขึ้นมายืนอยู่ยังด้านข้างของมาร์

ตึก ตึก ตึก

“ เห้ย! ไอหนู! ลุกออกไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย! ที่นี้มันที่สำหรับ A- ไม่ใช่ที่สำหรับคุณหนูอย่างแก!! ”

“ เออ!! ลุกออกไปได้แล้ว!! คิดว่ารวยแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง?? ”

“ หึ ก็คงเป็นแค่คุณหนูอยากลองพจญภัยทั่วไปสินะ? ”

“ เอ้า ยังไม่ลุกอีก!! ”

“ เห้อ…เบื่อจริงๆแหะ ไปไหนก็เจอแต่อะไรแบบนี้ตลอดเล้ยย ”

“ จะให้ทำยังไงดีคะมาร์? จัดการเลยดีไหมคะ? ”

“ ใจเย็นก่อนสิอคโต ถึงอยากจะให้จัดการให้มันจบๆไปเลยก็เถอะ ”

แล้วก็จริงอย่างที่มาร์คิด นักพจญภัยพวกนั้นมาเพื่อหาเรื่องกับเขา โดยเหตุผลจากที่ฟังๆมาก็คงเป็นเพราะมาร์ในสายตาคนอื่นนั้นเป็นแค่คุณหนูจะมานั่งโซนระดับสูงได้ยังไง เขามีความสามารถไม่พอแน่ๆ คนที่นั่งได้ในสายตาของพวกนั้นจึงมีเพียงแค่อคโตที่มีบัตรของระดับ A อยู่ในมือเท่านั้น

“ ใจเย็นๆนะ ผมเองก็มีสิทธิมานั่งนะนี้ไง ”

และเพื่อไม่ให้เรื่องมันลำบากกับเขาไปมากกว่านี้ มาร์ก็ได้ทำเป็นหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โดยที่จริงๆแล้วด้านในมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเงาสีดำ [พื้นที่มิติ] สกิลทำมาหากินของเขานั้นเอง ส่วนสิ่งที่หยิบออกมานั้นก็ไม่ใช่อะไรนอกไปจาก บัตรของเขา บัตรระดับ S ที่หายากยิ่งในหมู่นักพจญภัย

ครึก ครึก กิ๊ง กิ๊ง

“ ขอโทษนะคะทุกท่าน นี้ค่ะโกโก้และชาตามที่สั่งค่ะ ”

“ ขอบคุณครับผม นี้ครับทิปเล็กๆน้อยๆ ”

“ เอ๋!! จะดีเหรอคะ!! ”

“ ดีสิครับ เท่านี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ”

“ ข ข ข ข ขอบคุณค่ะท่าน ”

ว่าแล้วพอพนักงานมาเสิร์ฟของที่เขาสั่งให้ นิสัยเก่าของมาร์ก็ออก การให้ทิปโดยที่เขาไม่ตั้งใจสักเท่าไหร่ ทิปเป็นเงินสกุลเครดิตแห่งยูโทเปียที่มีจำนวน 10000 เครดิต เงินที่มากพอจะอยู่สบายๆไปได้เป็นสัปดาห์ พอพนักงานได้เห็นเธอก็ทำตัวไม่ถูกแต่พอมาร์บอกให้เอาไปเธอก็ก้มหัวรับมันไว้ด้วยมือที่สั่นอย่างเห็นได้ชัด

“ เอาล่ะทีนี้เรื่องของพวกเรา ยังไงดีล่ะครับเห็นแบบนี้แล้วจะให้ผมนั่งได้หรือเปล่าล่ะ? ”

“ อึก… ของจริงงั้นเหรอ อย่ามาโม้น่า! เด็กอย่างแกจะไปมีบัตรของระดับ S ได้ยังไงกัน!! ”

“ แกโกงมาสินะ! คงให้นักพนักงานออกบัตรให้ด้วยเงินแบบที่แกทำเมื่อกี้ล่ะสิ!! ”

ฟุบ

“ เห้ออ ”

แต่ดูท่าว่าอีกฝั่งจะไม่เชื่อเลย นั้นทำให้มาร์ได้แต่นั่งจิบชาที่พนักงานเอามาเสิร์ฟให้ ส่วนโกโก้นั้นเขาเลื่อนมันไปทางอคโต อย่างไรก็ตามความไม่เชื่อที่ว่ายิ่งทำให้พวกนั้นโกรธเพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนหยามอยู่ โดยเฉพาะนักรบที่ใช้หอก หมอนั้นชี้หอกมายังมาร์ ชี้ไปที่หน้าของเขาอย่างรวดเร็ว

หมับ แกร็ก แกร็ก กร็อบ

“ คิดจะทำอะไร… ”

ทว่าหอกนั้นก็ไม่มีทางได้ไปหยุดที่ตรงหน้าของมาร์เลย อคโตเธอคว้าเอาหอกนั้นไว้ด้วยมือแล้วก็บีบมันแตกเสียดื้อๆราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่ท่อนไม้ไม่ก็แก้วกระจอกๆ ทั้งๆที่อาวุธนั้นมองยังไงก็ถูกสร้างจากเหล็กที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ

“ อึก!! ”

“ พลังอะไรกัน!?!? ”

“ นั้นมันทำจากเหล็กผสมใหม่ของยูโทเปียเลยนะเห้ย!! ทำไมแตกง่ายแบบนั้น??! ”

อีกฝ่ายที่โดนไปแบบนั้นก็ต้องรีบถอยห่างออกมาในทันที พร้อมกับต้องตกอยู่ในความสับสนที่อาวุธแสนแพงของพวกเขาถูกทำลายด้วยผู้หญิงที่ไม่มีอาวุธอะไรให้ได้เห็น หรือร่างกายที่แสดงให้เห็นว่ามีพละกำลังมหาศาล

“ หึ ระดับ S แต่ให้ผู้หญิงมาป้องกันตัวเองเนี้ยนะ! ”

“ จริงๆแล้วแกก็คงหลบอยู่ด้านหลังของคนอื่นที่จ้างมาตลอดล่ะสิ!! ”

“ นั้นสินะ!! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วทำเป็นไม่สนใจเพราะกลัวล่ะสิ!! ”

พวกนั้นเริ่มดูถูกมาร์ต่างๆนานา จนแม้แต่อคโตเองก็เริ่มจะตัวสั่นแล้วมือของเธอกำหมัดจนแน่น ทว่ามาร์นั้นต่างออกไปเขาจิบชาจนหมดก่อนจะลุกขึ้นอย่างช้าๆแล้วเงยหน้ามองดูพวกมันทุกคนด้วยรอยยิ้มและสายตาที่ไร้ความกลัวใดๆ

“ ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้ว อยากจะลองดูไหมล่ะครับว่า ผมน่ะ S จริงหรือปลอม? ”

“ หึ…ก็ เอา… ”

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

“ เดี๋ยววววววววว!! หยุดเลยนะ!! ”

การตกลงที่กำลังจะสำเร็จนั้นก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยหญิงสาวที่วิ่งเข้ามายืนขั้นตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย วัลคีย์ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนจะหันไปมองฝ่ายนักพจญภัยที่เข้ามาหาเรื่องมาร์ด้วยดวงตาที่โกรธแต่กลับมีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลาตามปกติของเธอ

“ หยุดความคิดบ้าๆนั้นเดี๋ยวนี้!! พวกนายไม่รู้หรอกว่ากำลังเจอกับอะไร ถ้ายังเชื่อชั้นแล้วก็ยังรักตัวกลัวตายอยู่ก็ไปขอโทษเขาซะแล้วถอยไปอย่างเงียบๆจะดีกว่านะ!! ”

“ หึ แม้แต่หัวกิลล์เองก็ด้วยเหรอเนี่ย พวกข้าคงต้องขอปฏิเสธคำแนะนำนั้นล่ะนะ ก็พวกข้าเป็นนักพจญภัยนี้จะให้มากลัวคุณหนูที่ไหนไม่รู้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องหรือเปล่า? ”

“ ใช่ ใช่ พวกข้าไม่ยอมก้มหัวให้เงินหรอกนะเว้ย! ”

ทว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะยอมทำตามที่วัลคีย์พูดเลย ยิ่งเห็นว่า คุณหนูคนนี้เดินนำไปที่ลานประลองอย่างชิวๆแถมเจ้าตัวก็หันมามองด้วยสีหน้าท้าทาย ก็ยิ่งทำให้พวกนั้นโกรธและเดินตามไปในที่สุด ทำให้วัลคีย์ได้แต่ยืนผิดหวังอยู่ตรงนั้นไปอีกสักพัก

แอ๊ดดดด

“ เอาล่ะ การต่อสู้คงไม่มีอะไรมากไปกว่าฝ่ายไหนหมดสติก็แพ้ไป โอ้!! ห้ามถึงตายด้วยนี้เนอะ เท่านี้โอเคหรือเปล่าล่ะ? ”

“ หึ ถามตัวเองเถอะ… แกคิดว่าแกจะทำอะไรได้หรือไงไอหนู? ”

“ นั้นสินะครับ นั้นสิน้าาา? ”

บัดนี้ ทั้งสองฝั่งก็ได้มายืนในสนามประลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตามธรรมเนียมนั้นนี้เป็นการปะทะแบบ 1 ต่อ 1 โดยไม่มีกฎการใช้อาวุธหรือห้ามโจมตีส่วนใด กฎง่ายๆกฎเดียวคือห้ามฆ่ากันเท่านั้น แล้วถ้ามองจากกฎนี้โดยทั่วไปคงคิดว่าฝ่ายของนักรบที่สวมเกราะกับถือดาบและโล่ดูจะได้เปรียบกว่ามาร์ที่ไม่มีเกราะ ไม่โชว์อาวุธใดเลยๆ

“ ยังจะอวดดีอีก…ดี งั้นข้าจะให้แกเป็นคนเริ่มก็แล้วกัน… ”

“ เอาเลย เอาเลย!! สั่งสอนไอคุณหนูลูกผู้ดีให้มันรู้ซะบ้าง!! ”

“ ใช่ ใช่ หวดให้หน้าหล่อๆนั้นมันพังไปเลย ”

“ เห้อ… ถ้างั้น… ”

ฝ่ายคู่ต่อสู้ที่ยังคงรู้สึกว่าตนได้เปรียบนั้นก็ให้โอกาสมาร์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ซึ่งมันก็ทำให้คนดูต่างคิดว่ายังไงเด็กหนุ่มคนนี้ก็คงแพ้แน่ๆในสถานการณ์นี้ เว้นเสียแต่อคโต วัลคีย์และเหล่าพนักงานที่มาจับตาดูสถานการณ์ทุกคนรู้ดีถึงพลังของมาร์ พลังที่ขนาดหารแล้วหารอีกก็ยังทำให้เขาขึ้นมาอยู่ระดับ S ได้ตั้งแต่ตอนสอบวัดระดับ

“ …เริ่มเลยก็แล้วกัน ”

ฟุบ คุ่ม ครืนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ฟุบ ตึม

มาร์ก็ไม่ได้อ่อนให้แต่อย่างใด พอเริ่มบอกให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เจ้าตัวก็พุ่งเข้าไปต่อยท้องจนทำให้เกราะแตกเป็นเสี่ยงๆพร้อมกับส่งร่างของศัตรูกระเด็นไปติดกำแพง ยังไงก็ตามมาร์ไม่ได้ปล่อยให้ร่างของคู่ต่อสู้ฝังลงไปในกำแพงจนหมด เขาคว้าเอาไว้ก่อนจะวางร่างลงกับพื้น อัศวินนั้นสลบไม่ได้สติไปแล้ว

“ ก ก เกิดอะไรขึ้น!? ”

“ นี้มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!? ”

“ อึก…หัวหน้า… หัวหน้า!! ”

“ มา มา คนถัดไปมาได้เลยครับ ”

“ “ !!!!! ” ”

ปาร์ตี้ของคนที่มาหาเรื่องนั้นถอยหนีกันทันทีพวกเขาไม่ได้โง่ เพราะขนาดอัศวินยังเป็นแบบนี้ คนที่เหลือที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ทนไม้ทนมือก็คงไม่รอดแน่ๆ แล้วคุณหนูนั้นที่เป็นทุกคนในตอนนี้เข้าใจไปว่าเป็นนักสู้อีก ก็คงยากแน่ๆทั้งความเร็ว กำลัง อันตรายชัดๆ

ตึก ตึก ตึก

“ ไปเรียกหมอมาเร็วเข้า!! ”

“ ค ครับ!! ”

“ ดีนะที่ไม่ปล่อยให้ปลิวฝังลงไปในกำแพง ”

วัลคีย์นั้นรีบเข้ามาดูอาการของอัศวินที่นอนสลบในทันที ส่วนมาร์ก็ถอยมายืนข้างๆพร้อมกับก้มดูอาการด้วยสีหน้าเซ็งๆ และทางด้านอคโตก็เข้ามาพร้อมกับจิบโกโก้ร้อนอย่างช้าๆทีละนิดโดยที่เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังแอบยิ้มอย่างสะใจอยู่ด้วย

“ นี่…พี่วัลคีย์ ไหนๆก็ไหนๆละผมขอคุยเรื่องหนึ่งหน่อยสิ ”

“ คะ?? ”

“ คือว่านะรบกวนช่วยเอาข้อจำกัดการเข้าปาร์ตี้ผมที่ต้องเป็นแรงค์ระดับ A- ขึ้นไปออกไปได้หรือเปล่า คือผมจะลงไปสำรวจดันเจี้ยนน่ะนะ อ๋อ…แล้วก็ถ้าทำให้ผมจะให้พนักงานของผมมาช่วยจัดการเรื่องวัดระดับให้แทนในช่วงนี้ไปก่อน ว่ายังไงล่ะครับพีวัลคีย์? ”

มาร์ค่อยๆก้มลงมากระซิบบอกกับวัลคีย์ด้วยเสียงที่เบาแสนเบาราวกับเป็นการเสนอทำสัญญาของปีศาจ ทางด้านวัลคีย์นั้นพอได้ยินก็นิ่งเงียบไปพร้อมกับก้มมองลงกับพื้นเพื่อคิดพิจารณาข้อเสนอนั้น ข้อเสนอที่เหมือนจะหอมหวานแต่ก็ไม่เลยสักนิด

[ อยากจะปฏิเสธจังแหะ… “พนักงาน” ของท่านมาร์แต่ละคนธรรมดาที่ไหนกัน ถ้าให้เทียบก็ราวๆ B- กันหมด รวมทั้งเรื่องทักษะต่อสู้ที่แปลกประหลาดหลากหลายรูปแบบอีก แต่….ถ้ารับคำเสนอนี้ ไม่สิเราต้องรับข้อเสนอนี้แหล่ะ เพราะอย่างน้อยพอคิดดูดีแล้วๆ การมาของพนักงานนี้ก็จะทำให้นักพจญภัยหน้าใหม่มีคุณภาพมากขึ้น อีกอย่างเราก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ด้วยสิ ]

“ … ”

“ ขอบคุณครับ ”

พอตัดสินใจได้แล้ววัลคีย์ก็ค่อยๆหันหน้าไปมองมาร์ที่อยู่ข้างๆอย่างช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าให้ นั้นทำให้มาร์ยิ้มออกมาแล้วก็ลุกเดินจากออกไปโดยมีอคโตเดินตามอยู่ข้างหลัง ทั้งสองหายออกไปจากสายตาของวัลคีย์ส่วนเธอนั้นก็กลับมาสนใจยังคนที่นอนสลบตรงหน้าต่อทันที

มาร์ได้เดินมาจนถึงยังที่โซฟารับรองนักพจญระดับ A- ขึ้นไปก่อนหน้านี้ เขานั่งลงพร้อมกันกับอคโต ก่อนจะค่อยๆเอนหลังลงอย่างช้าๆ พร้อมกับหยิบเอาภาพภาพหนึ่งขึ้นมาดู ภาพของชายหนุ่มที่สวมเกราะกับใช้อาวุะดาบและโล่ห์ขนาดใหญ่

“ ที่เหลือก็แค่รอจนกว่าจะมาสินะ หาววว ”

……

ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ ครึก ครืนนนน

เวลานั้นผ่านมาแล้วหลายชั่วโมงและในที่สุด บอริสที่คืนร่างกลายเป็นมาร์ก็ได้มาถึงยังสนามบินหลักในยูโทเปีย สนามบินทางการทหารขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ทำไมเหล่าทหารต่างพากันย้ายเครื่องบินหลายสิบลำกลับเข้าโรงเก็บ ทั้งๆที่ปกติจะจอดเครื่องเอาไว้ด้านนอกเพื่อให้ไวต่อการนำเครื่องขึ้นแท้ๆ

“ ค่อยๆนะจุส ค่อยๆจอด อย่าดับเครื่องในทีเดียว นั้นแหล่ะ นั้นแหล่ะ เอ้า กำคันบังคับเอาไว้อย่าส่าย อืมม อย่าา เห้ยยย!! ”

“ ค ค ค่ะ! ”

ทว่าหากมองขึ้นไปเพียงเล็กน้อยจากที่ลานบินนั้นก็จะพบกับสาเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เครื่องที่บอริสกำลังโดยสารอยู่นั้นมันไม่ได้ลงจอดดีๆแบบที่ชาวบ้านเขาทำกัน ทั้งบินไปซ้ายที ขวาที โยกไปมาอย่างกับลูกตุ้มที่แกว่งไปเรื่อยเดาทิศเดาทางไม่ได้ ยังดีที่ว่าภายในนั้นคนขับไม่ได้มีเพียงแค่จุส มาร์ที่ควรจะนั่งพักเฉยๆตอนนี้เขาก็ได้ลุกมานั่งข้างๆคนขับแล้วก็คอยประคองเครื่องช่วย

ครืนนนน กึง

“ เห้ออออออ เกือบไปแล้วไหมล่ะ ดีนะที่พวกข้างล่างไหวตัวทันไม่งั้นมีชนเละเทะแน่ ”

“ นั้นสินะคะ ฮ่าห์ เหนื่อยจริงๆเลย ”

“ พูดได้นะเราน่ะ? ไอที่เกือบจะเละนี้ก็เพราะใครล่ะ หืมม? ”

“ แหะ แหะ ขอโทษค้าาา! ”

และเมื่อล้อแตะถึงพื้น มาร์ก็ได้เอนหลังลงพิงกับเบาะด้วยความเหนื่อยจากการที่ต้องมาแก้ปัญหาฉุกเฉินเช่นนี้ ทว่าตัวของจุสที่เป็นต้นเหตุกลับนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นั้นทำให้เธอโดนมาร์ดุไปทีนึงจนต้องไปนั่งก้มกอดเข่าหน้าหงอยอยู่บนที่นั่งของตนเอง

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ แกร็ก

“ ฮัลโหล? ค่ะ… อ๊ะ! เข้าใจแล้วค่ะ! นายท่านคะ ท่านทิเรียติดต่อเข้ามาน่ะค่ะ ”

“ อืม ขอบใจ ”

ทว่าระหว่างที่จุสกำลังนั่งหงอยอยู่นี้เอง เสียงของการติดต่อเข้ามาก็ดังขึ้นทำให้เธอหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาก่อนจะยื่นมันให้กับมาร์ที่มองดูอยู่ เพื่อที่เขาจะได้คุยกับเมดผู้มากไปด้วยปัญญา ทิเรีย

“ มีอะไรหรือเปล่าทิเรีย? ”

“ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกเจ้าค่ะนายท่าน… เพียงแต่ ดิชั้นอยากจะได้ยินเสียงท่านก่อนใครก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ ”

ในตอนนี้เองที่คำพูดของทิเรียต่างไปจากปกติ เธอที่มักจะพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไม่ก็เสียงที่จริงจังๆ จู่ๆเสียงนั้นก็แผ่วเบาลงจนเหมือนกับว่าเธอกำลังพูดโดยไม่ให้ใครได้ยิน ส่วนมาร์เองที่ตั้งใจฟังก็รู้สึกได้ว่าเสียงนั้นเบาลงแต่ไม่ได้เอะใจอะไรนัก

“ หืม…งั้นเหรอ? เอ แต่เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วนิ? ”

“ เดี๋ยว เดียว มันก็นานนะเจ้าคะ อ่า…จริงด้วย จะว่าไปแล้วดิชั้นขอเรียนให้ทราบว่าอีกไม่นานยานพหนะที่จะรับนายท่านกลับมายังบ้านกำลังจะถึงแล้วเจ้าค่ะ ”

“ เข้าใจละ เออ แต่ว่าทิเรีย ระหว่างผมเดินทางกลับ ยังไงรบกวนช่วยเตรียมข้อมูลสถานการณ์ของหอคอยในเมืองทั้ง 8 ให้ทีนะ ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ดิชั้นจะเตรียมไว้ให้เจ้าค่ะ ”

“ ขอบใจนะ ”

และเมื่อสิ้นคำพูดของมาร์ เขาก็วางสายก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังทางลงของเครื่อง พร้อมกับฟัง ฟังเสียงที่ใกล้เข้ามาและเสียงของบางอย่างที่กำลังเดินไปมาอยู่ด้านนอกมากมายนับไม่ถ้วน เขายิ้มก่อนจะหยิบหน้ากากของตนขึ้นมาใส่แล้วก็เปิดประตูออกไป

ครืดดดดดดดดด กึง

“ ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะนายท่าน!! ”

เสียงกล่าวต้อนรับนั้นดังขึ้นที่ปลายของบันไดทางลง และภาพที่มาร์ได้เห็นก็คือหญิงสาวผมสีเทาในเครื่องแบบทหารสีเขียวกำลังคุกเข่าก้มหัวลงต่อหน้าของเขา ใบหน้าของเธอนั้นเห็นได้เพียงแค่ปากอันเล็กๆเท่านั้นเพราะส่วนครึ่งบนของใบหน้านั้นถูกปิดไว้ด้วยที่คาดตาสีดำ

พรึบ

อย่างไรก็ดีนอกจากเธอผู้นี้แล้ว สองข้างทางกระหนาบยาวไปจนถึงรถยนต์หรูคันสีดำนั้นคือเหล่าโกเล็มสงครามที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นหญิงสาวมากมาย จนเหมือนกับตุ๊กตาหินอ่อน พวกเธอนั้นต่างใส่ชุดเครื่องแบบทหารพร้อมกับโบกสะบัดธงที่มีตรากะโหลกผีอยู่ตรงกลาง ธงอันเป็นสัญลักษณ์ของ ลารวม ผู้นำของ ผี

“ อืม! ขอบใจที่มารับนะอคโต เอาล่ะรีบไปกันเถอะ ”

“ น้อมรับบัญชาเจ้าค่ะนายท่าน! ”

ทันใดนั้นเองมาร์ก็ได้เดินต่อไปยังรถโดยที่อคโตคอยเดินนำ เช่นกันเหล่าโกเล็มมากมายที่ยืนกระหนาบอยู่สองข้างนั้นก็ตั้งธงขึ้นก่อนจะเดินตามหลังเขาไป และทันทีที่ตัวของนายท่านผู้นี้ได้ขึ้นไปบนรถแล้ว เหล่าโกเล็มก็วิ่งไปขึ้นยังรถบรรทุกทหารด้านหลังในทันที

บรืนนนนนนนนนนนน

“ สมกับเป็นอคโตเลยนะ ไม่พึ่งใครเลยจริงๆ ”

“ ขอบพระคุณสำหรับคำชมเจ้าค่ะนายท่าน ”

และด้านในรถหรูนี้เองก็ด้วย มันไม่มีคนขับเป็นมนุษย์แต่เป็นโกเล็มสาวอีกตน เธอนั้นไม่ได้หันมามองแต่อย่างใดนอกจากมองตรงไปข้างหน้าแล้วทำหน้าที่ของตนนั้นคือการพามาร์ไปยังบ้านที่ภูเขาใจกลางเกาะนี้ มาร์ที่ได้เห็นก็ต้องเอ่ยปากชม ส่วนอคโตเธอก็น้อมรับมันไว้ด้วยรอยยิ้มแล้วก็คำขอบคุณที่แสนอ่อนโยน

… …

บรื้นนนนน บรืนนน ครืดดด ครึก

หลังจากนั้นราวๆ 30 นาทีรถก็ได้มาถึงยังที่หมาย ภูเขาลูกใหญ่ที่มีบ้านไม้ตั้งอยู่ด้านบนซึ่งทางด้านของมาร์พอลงจากรถก็ได้เดินเข้าไปในบ้านของตนเองโดยมีอคโตตามมาเพียงคนเดียว ส่วนเหล่าโกเล็มนั้นต่างออกเดินลาดตระเวนรอบเขากันในทันที

ก็อก ก็อก

“ ยินดีต้อนรับกลับมานะเจ้าคะนายท่าน แล้วก็ขอบคุณที่เหนื่อยเพื่อพวกเราเจ้าค่ะ ”

“ อืม อืม เอาล่ะเข้าเรื่องรายงานเลยดีกว่านะทิเรีย ”

“ เจ้าค่ะ! ”

ส่วนสถานที่ที่ทั้งสองคนนั้นเดินมาถึง มันไม่ใช่ห้องใดเลยนอกจากห้องทำงานของมาร์เอง ที่ด้านในนั้นเต็มไปด้วยโมเดลของหอคอยทั้ง 8 และที่ตรงกลางในตอนนี้ก็คือโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ที่มีเจ้าตัวนั้นแหล่ะนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ และทิเรียกับอคโตก็ยืนอยู่ที่ข้างๆของเขา

วืนนนน

“ อ่า… เรียงแผนที่เรียบร้อยแล้วสินะเนี้ย ”

มาร์พูดออกมาเช่นนั้นด้วยความรู้สึกประทับใจไม่ใช่น้อย เพราะภาพโฮโลแกรมที่ฉายอยู่ตรงหน้าคือภาพของเมืองทั้ง 8 ที่ละเอียดจนเห็นได้ว่าอาคารไหนเป็นอาคารไหน มีหน้าต่างเท่าไหร่หรือทำจากอะไร อย่างไรก็ตามทุกที่นั้นมีสิ่งที่เหมือนๆกันคือ แท่งบางอย่างที่ฝังลงไปลึกใต้ดิน

“ ใช่แล้วเจ้าค่ะนายท่าน ตอนนี้ทางดิชั้นได้ทำการปรับแผนที่ใหม่เรียบร้อยทุกอย่างแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าในประเด็นสถานการณ์ของหอคอยทั้ง 8 ที่นายท่านต้องการทราบนั้นดิชั้นจะขอรายงานเป็นภาพรวมดังนี้นะเจ้าคะ ”

“ อืม อืม ”

ภาพแผนที่ทั้งหมดนั้นหายไป แล้วเปลี่ยนเป็นแท่งสีแดง แท่งหอคอยทั้ง 8 ที่เรียงจากซ้ายไปขวาคือ 1 ไป 8 โดยที่เห็นได้ชัดเลยว่ายิ่งไปลำดับหลังมากเท่าไหร่ หอคอยนั้นยิ่งสูงกว่าเดิมหลายต่อหลายเท่า ถ้าให้เทียบชัดๆนั้น หอคอยที่ 1 นั้นมีขนาดเล็กกว่าหอคอยที่ 8 ราวๆ 6 ถึง 7 เท่าเห็นจะได้ ทว่าในหอคอยที่ 1 นั้นกลับมีสีเขียวกินพื้นที่ไปแค่ 3 ใน 4 ของมัน

“ อย่างที่ได้เห็นนะเจ้าคะนายท่าน ปัจจุบันหอคอยแรก หอคอย 100 ชั้น ที่ถูกตั้งไว้ว่าง่ายขนาดที่พนักงานของยูโทเปียจำนวน 100 คน สามารถพิชิตได้ แต่นักพจญภัยที่มากันนั้นกลับไปได้ไกลสุดที่ชั้น 76 เจ้าค่ะ ”

ทิเรียอธิบายอย่างช้าๆประกอบกับภาพขยายของหอคอยที่ 1 ซึ่งคำอธิบายนั้นถึงกับทำให้มาร์ต้องกุมขมับในทันที หอคอยแรกที่เขาใช้เกณฑ์ง่ายๆ ซึ่งได้ผ่านการตรวจแล้วตรวจอีกจากเหล่าเมดนั้นกลับไม่มีนักพจญภัยหรือใครสามารถพิชิตมันได้เลย แม้เวลาจะผ่านไปเป็นปีแล้วก็ตาม

“ จริงจังไหมเนี้ย ทั้งๆที่ออกแบบห้องพัก ห้องอะไรไว้ให้ในชั้นแต่ก็ยังไปได้ไกลแค่ชั้น 76 เห้อออ อุตส่าห์วางแผนกับตั้งความหวังซะสูงไหงเงี้ยล่ะ ฮ่าห์ เอาเถอะ แล้วหอคอยอื่นๆล่ะทิเรีย? ”

เขาบ่นออกมาพร้อมกันกับถอดหายใจอีกหลายครั้ง ทำเอาทิเรียกับอคโตต้องหันมามองด้วยสายตาที่เป็นห่วง ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้เป็นอะไร เขาถามทิเรียแบบนั้นทำให้ทิเรียเปิดภาพของหอคอยทั้ง 8 ที่คราวนี้มีเลขกำกับจำนวนชั้นเอาไว้ที่ด้านล่างของพวกมัน

“ หอคอยที่ 1 ปัจจุบันผู้ที่ไปได้ไกลสุดคือ ชั้นที่ 76 จาก 100 ถัดมาหอคอยที่ 2 60 จาก 120 , หอคอยที่ 3 ไปได้ที่ 43 จาก 160 , อืม… หอคอยที่ 4 ปัจจุบันคือ 50 จาก 220 , หอคอยที่ 5 อยู่ที่ 41 จาก 300 กับ หอคอยที่ 6 คือ 41 จาก 400 , ส่วนหอคอยที่ 7 นั้น ไปได้ไกลสุดที่ชั้น 32 จาก 520 และ หอคอยที่ 8 … สถิติดีสุดคือ ชั้นที่ 13 จาก ทั้งหมด 660 ชั้นเจ้าค่ะ ”

“ อึก…สร้างไว้คัดสรรคนเพื่อตามหาผู้คู่ควรแก่รางวัล แต่ดั๊นไม่มีเลยนี้ยังไงกัน?? ”

“ นั้นสินะเจ้าคะนายท่าน เพราะแบบนี้รางวัลที่เตรียมไว้เพื่อระบายเงินในคลังก็เลยยังค้างอยู่เช่นนี้ หรือว่าเราควรจะทำการปรับปรุงแก้ไขดีเจ้าคะ อย่าง ระบบจุดเซฟไว้เคลื่อนย้ายลงมา แล้วก็ยกเลิกระบบ 1 คน พิชิตได้ 1 ครั้ง ต่อ 1 หอคอยดีล่ะเจ้าคะ? ”

“ นั้นสิน้า… ”

หลังจากที่ได้ฟังผู้เป็นนายบ่นเช่นนี้ทิเรียก็รีบหาวิธีแก้พร้อมกับเสนอให้เขาได้ทราบในทันที ซึ่งตามตรงนั้นสิ่งที่ว่ามา มาร์ก็เคยอยากจะทำแต่ว่าเขารู้สึกว่ามันจะทำให้ทุกอย่างง่ายเกินไป จนเซฟที่วาร์ปมาจากชั้นบนสุดได้เอย การยกเลิกระบบที่จะทำให้ไม่สามารถป้องกันการเฟ้อของรางวัลเอย แต่พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้เขาก็เลยเริ่มจะเห็นด้วยถึงการเปลี่ยนแปลง

“ รางวัลที่เตรียมไว้ให้ผู้พิชิตเองก็มีตั้งมากมายซะด้วย ทั้งปืน ทั้งไอเทมแปลกๆ แต่ขืนยังไม่มีใครพิชิตแบบนี้ต่อไป… ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ถ้ายังไม่มีใครมาทำได้ สิ่งที่วางแผนกันเอาไว้คงไม่สำเร็จแน่เลยเจ้าค่ะ การเชื้อเชิญนักพจญภัยทั้งโลกให้มาที่นี้ด้วยรางวัลพิเศษจากการพิชิตหอคอย แล้วเปลี่ยนยูโทเปียให้เป็นมหาอำนาจที่กุมนักพจญภัยเอาไว้ได้ ”

“ วางไว้ซะดิบดีแต่ไม่มีแววจะสำเร็จเล้ย… แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความผิดเราล่ะนะ ”

มาร์เอนหลังลงอิงกับเก้าอี้ก่อนจะหลับตาเพื่อใช้ความคิดของเขา ส่วนทางด้านทิเรียกับอคโตก็หันมามองกันก่อนจะเปลี่ยนสายตาไปจับจ้องนายท่านของพวกเธอโดยไม่แม้แต่จะกระพริบ ทั้งคู่จ้องมองดูอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่มาร์จะค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าที่นึกสนุกกับความคิดที่ว่า [ ไหนๆ ก็กะจะกลับมาทดสอบทั้งที งั้น…หึหึหึ ใช่!! ]

“ ดีล่ะ ถ้าไม่มีใครมาก็ไม่เห็นยากนิ เราก็แค่เอาตัวตน มาร์ เนี่ยแหล่ะไปพิชิตซะก็สิ้นเรื่อง สัก 4 หอคอยกำลังดี แล้วก็เพื่อจะได้สร้างชื่อเสียงให้กับเราในฐานะนักพจญภัยเองอีกขั้น งั้น…ทิเรีย อคโต ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ”

“ พร้อมรับบัญชาเจ้าค่ะ! ”

ทั้งสองคนนั้นพอได้เห็นท่าทีที่ตื่นเต้นของนายท่านของพวกเธอ ทิเรียและอคโตก็คุกเข่าลงไปพร้อมกับก้มหัวลงรอรับคำสั่งในทันที ส่วนมาร์เองก็ยืนขึ้นพร้อมกับวางมือขวาลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ เขามองไปที่ภาพของหอคอยนั้นก่อนจะหันกลับมามองยังทั้งสอง

“ อคโต! เธอไปสมัครกิลล์พจญภัย แล้วก็ใช้เส้นสายกับวัลคีย์จัดการให้เข้าปาร์ตี้กับเราให้ได้! ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน!! ดิชั้นรับทราบแล้วเจ้าค่ะ! ”

“ ทิเรีย! จัดหารนักพจญภัยหน้าใหม่มาสักคน เอาที่ไม่มีอคติมานะ เพราะเราจะเอานักพจญภัยคนนี้ตามเราไปในการสำรวจนี้ด้วย แล้ว นี้แหล่ะจะเป็นการแพร่กระจายวิธีของมาร์และเรื่องราวของมาร์เองด้วย ”

“ ยินดีเจ้าค่ะนายท่าน ดิชั้นจะรีบคัดสรรให้โดยเร็วเจ้าค่ะ ”

“ เอ้า ไปได้!! ”

มาร์เมื่อมอบคำสั่งเสร็จก็ได้ให้ทั้งสองแยกย้ายกันออกไปทำตามคำสั่งของเขา ส่วนตัวของมาร์เองก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปอย่างแข็งขันพร้อมกับรอยยิ้ม

“ คราวที่แล้วเราเป็นแนวหน้าสินะ งั้นคราวนี้ให้ อืมมม แล้วก็อคโต หึ ฮะ ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆ ทำไมกันน้า…ไอความรู้อย่างกับว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแบบนี้ ไอความรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้ ”

……

ครึก ครึก ครึก ครืดดด กึก กึก

“ เห้อออออ พระเจ้า เสร็จสักที ใครจะไปคิดล่ะว่าต้องนอนเขียนนั่งเขียนนานขนาดนี้ หวังว่าเลวิทานจะเข้าใจนะ… ไม่สิ ไม่เข้าใจก็เรื่องของคุณเธอเลยก็แล้วกัน ส่วนเรา ฮึบบ อึบบบ อาาา เหมื่อยชิบ ”

ภายในห้องอันแสนจะว่างเปล่า ที่มีเพียงโต๊ะทำงานกระจอกๆตั้งอยู่ตรงกลางและชายในชุดนายทหาร…พันเอกบอริส เขากำลังยืดเส้นยืดสายหลังจากที่นั่งเขียนจดหมายฉบับหนึ่งมาตั้งแต่เช้า จดหมายที่จะส่งให้กับราชินีแห่งโซลิทานโดยเนื้อหาที่ปรากฎด้านในก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า [ การแจ้งเรื่องการกลับของเขา ]

“ อืม… ส่วนนั้นคงไม่ว่าหรอกมั้ง ก็จริงนี่น่าที่เราไม่รู้ว่าใครจะมาแทนแบบจริงๆจังๆด้วย เห้ออ ”

ทว่า ในจดหมายนี้นั้น บอริสได้พูดลากยาวถึงเหตุและการจะย้ายออกไปโดยอ้างว่า เขาต้องกลับไปดูแลและควบคุมสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างกองทัพจอมมารและยูโทเปีย แต่ในจดหมายก็ดันไม่มีบอกเลยว่าใครจะมาแทนเขา ซึ่งสำหรับผู้ปกครองประเทศนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆเพราะถ้ารู้ว่าใครจะมาแทน รู้ว่าคนนั้นมีนิสัยอะไร มันก็จะง่ายต่อการเข้าหาและพูดคุย

[ แต่มาคิดไปก็เสียเวลาล่ะนะ ยังไงตอนนี้สิ่งที่เลวิทานสนใจ ก็คงมีแต่ ไฮโดรนู้น ไฮโดรนี้ ยัยอควานั้น ยัยอควาโน้นล่ะมั้ง ]

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

อย่างไรก็ตามบอริสที่เขียนเสร็จแล้วก็ปิดผนึกจดหมายนั้นแล้วก็เดินออกจากห้องทำงานของเขา เข้าสู่ทางเดินใหญ่ภายในฐานทัพที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาหิมะอันเป็นแดนสุดท้ายก่อนเข้าสู่โซลิทาน โดยตลอดทางที่เขาเดินไปเหล่าทหารก็ได้หันมาทำความเคารพกันอย่างปกติและเช่นเคยทหารหลายกลุ่มก็ตามมากรี๊ดบอริสเป็นธรรมดา

ครืดดดดดดดดด กึง

“ เตรียมเครื่องรอไว้ตามนัดเป๊ะ… ใช่ได้ ใช่ได้ ”

ซึ่งก็ไม่นานสักเท่าไหร่ เขาก็มาถึงยังตอนบนของฐานทัพนี้ซึ่งเป็นโรงเก็บเครื่องบิน TwinWings ราวๆ 5 ถึง 6 ลำ รวมทั้งเครื่องบินรุ่นก่อนหน้าอีกหลายสิบลำ ยังไงเสียตรงด้านหน้าทางเข้าโรงเก็บนี้เองก็ได้มี TwinWings อยู่ 1 ลำที่กำลังสตาร์ทเครื่องอยู่ เครื่องบินสีดำที่มีตราประทับเป็นรูปของหญิงสาวพื้นดำที่ครึ่งหน้าด้านซ้ายของเธอนั้นช่างหมองหม่นแต่ทางด้านซีกขวากลับเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มทั้งยังสวมใส่เครื่องประดับของเมดอีกด้วย และยิ่งจะชัดขึ้นไปอีกว่าเครื่องนี้เป็นของใครก็คงไม่พ้นข้อความที่เขียนอยู่ใต้ตราประทับนี่ว่า [ SERVANT OF HIS HIGHNESS ]

กึง กึง กึง กึง ก็อง ก็อง

“ ฮัลโหล มีใครอยู่ไหม? ”

และสำหรับบอริสเองเขาก็ไม่ได้ยืนมองเฉยๆ เจ้าตัวก้าวเดินขึ้นไปยังเครื่องบินตรงหน้าพร้อมกับเคาะไปตามตัวเครื่องพร้อมกับส่งเสียงถามอยู่เรื่อยๆเพื่อส่งเสียงให้คนด้านในได้รู้ ซึ่งไม่นานนักเขาก็ได้พบกับคนที่รอคอยเขาอยู่… หญิงสาวผมสั้นสีดำผู้มีใบหน้าที่หล่อเหลา เธอสวมเครื่องแบบพ่อบ้านที่ตัดขากับแขนจนสั้นเสียเหมือนกับว่าเป็นชุดนักเรียกเสียมากกว่า

“ ฮืมม ฮึ่มม ฮืม ฮืม ฮึ ฮึ ฮื่มมม ”

“ เห้อ…เอาแต่ใส่หูฟังจนไม่สนใจผมเลยนะ จุส!! ”

แกร็ก

“ อ๊ะ!?? ใครมันกล้ามา อ่า… …แหะ แหะ นายท่านนี่เอง ”

ส่วนสาเหตุที่เธอไม่ตอบบอริส ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกไปจากหูฟังที่เธอสวมเอาไว้ ซึ่งพอตัวของบอริสได้เห็นเขาก็ตรงเข้ามาดึงออกในทันที ทำให้จุสต้องหันกลับมามองด้วยความโกรธ แต่ก็นะแค่เห็นหน้า ของนายท่านที่ปลอมตัวอยู่ก็ทำเอาเธอก้มหน้าหนีพร้อมกับเกาหัวตัวเองในทันที

“ หึ… ถ้าวันนี้ไม่ติดว่าเหนื่อย กับมีธุระต้องทำต่อนะจุส… ”

“ เอ๋!! อ๊ะ จริงด้วย ธุระ ธุระ!! นายท่านคะ น น นี้ค่ะ!! รายงานทั้งหมดที่ท่านทิเรียได้เรียบเรียงไว้ให้ค่ะ!! ”

แต่ก่อนที่บอริสจะได้บ่นนั้น จุสก็ได้หยิบเอาแผ่นกระจกใสมาให้กับเขา มันคืออุปกรณ์ที่ล้ำยุคที่สุดในตอนนี้ หน้าที่ของมันคือการถ่ายทอดข้อมูลสู่ผู้ใช้ เจ้าสิ่งนี้ก็ไม่ได้จะมีให้ใช้ทั่วไปเพราะปัจจุบันมันถูกจำกัดไว้มีสำหรับเหล่า เมด และบุคคลสำคัญเท่านั้น

“ อืม… ”

ซึ่งพอจุสยื่นมาให้แบบนี้ ประกอบกับสิ่งที่เธอพูดบอริสก็รับมันไว้ ก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งผู้โดยสารซึ่งอยู่ด้านหลังของห้องคนขับไปเพียงเล็กน้อยแล้วเขาก็ได้เริ่มเปิดการทำงานของกระจกนี้

“ จะว่าไปแล้วนะจุส นักบินประจำเครื่องล่ะ นี้อย่าบอกนะว่าออกไปพัก? ”

กระนั้นก็ดีแม้เจ้าตัวจะนั่งลงเตรียมอ่านข้อมูลในกระจกที่อยู่ในมือแล้ว แต่ตัวเครื่องก็ไม่ได้กดปุ๊บเปิดปั๊บ มันสว่างพร้อมกับกำลังเริ่มระบบด้วยการถอดรหัสบางอย่างมากมายโดยจุดเด่นก็คงเป็นมือของบอริสที่ใช้จับอยู่นั้นมีแสงสว่างสีฟ้าพร้อมกับอักษรมากมายมาวนล้อมรอบเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ระหว่างที่รอเจ้าบอริสก็ได้พูดถามกับจุสถึงนักบินที่จะมาขับเครื่องนี้

ครึก ครึก ฟุบ ฟุบ ฟุ่มมมมม

“ มาแล้วงั้นเหรอ? ”

อย่างไรก็ตามบอริสไม่ได้รับคำตอบใดๆจากจุสเลย สิ่งเดียวที่ได้ยินคงไม่พ้นเสียงเครื่องยนต์กับใบพัดที่กำลังเริ่มหมุน ทั้งในสายตาตอนนี้เองที่ทางขึ้น ประตูกั้นก็ค่อยๆปิดตัวลง บอริสที่เกิดสงสัยจึงค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆแล้วเดินไปยังห้องนักบินที่ตนพึ่งจะเดินออกมาได้ไม่นานก่อนหน้านี้

“ เอ่อ…จุส? ”

ทว่าพอเปิดประตูเข้ามาแล้ว แทนที่บอริสจะได้เห็นนักบินสักคนนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ เขากลับเห็นจุสกำลังเปิดเครื่องแล้วก็ควบคุมเครื่องบินลำนี้อยู่ตรงนั้น กระนั้นก็ตามการที่ได้เห็นจุสอยู่ในที่นั่งคนขับก็ทำให้เขานึกขึ้นมาได้ว่า… [ เดี๋ยวนะ? จุสขับเครื่องบินเป็นด้วย? ]

“ คะ? นายท่าน? มีอะไรให้จุสรับใช้หรือเปล่าคะ? ”

ส่วนทางจุสเองพอได้ยินเสียงเรียกของบอริส เธอก็หันกลับไปมองพร้อมกับถามด้วยความสงสัย ซึ่งบอริสก็นิ่งไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มมองไปรอบๆอีกครั้งแล้วก็กลับมาหยุดที่ตัวของจุสเอง

“ คือว่านะจุส นักบินนี้? ”

“ อ๋อ!! ด ด เดี๋ยวจุสขับเองค่ะนายท่าน ”

“ เดี๋ยวนะเดี๋ยว?!? ขับเอง? แต่ว่าจำไม่ผิดจุสไม่เคยขับเครื่องบินใหญ่นิ? ไม่สิ ไปฝึกขับจนสามารถขับคนเดียวได้มาตอนไหนล่ะนั้น?? ”

บอริสได้ถามออกไปด้วยความสงสัยเช่นนั้น ซึ่งทางจุสเองก็ส่ายหน้าด้วยความเขินอายอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันกลับไปยังแผงควบคุมของเครื่องแล้วก็ก้มหน้าลงพร้อมกับพูดในสิ่งที่ทำให้บอริสถึงกับต้องรีบขึ้นไปนั่งในที่นั่งกัปตัน

“ ค ค คือว่า…ท่านเอปต้ากำชับให้จุสบินคนเดียวตอนขากลับ อ อ เอ่อ…นี้จึงเป็นการบินแบบไม่มีคนคอยคุมช่วยครั้งแรกของจุสค่ะนายท่าน… ”

[ อ่า… ok ]

วื้ดดดดดดดด ฟุบ ฟุบ ฟุบ

และเมื่อนายท่านของจุสได้ขึ้นมานั่งในที่นั่งกัปตันแล้วเขาก็ได้รัดเข็มขัดจนแน่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของการโดยสารเครื่องบิน อีกทั้งเขายังได้วางแผ่นกระจกลงไว้ตรงที่วางที่อยู่ด้านหน้าก่อนจะมองไปยังแผงควบคุมและจับตาดูทุกอย่างโดยตั้งใจ

… …

[ ดูท่าจะปลอดภัยแล้วสินะ? เห้อ… กว่าจะบินขึ้นมาระดับ 11 กิโลเมตรได้ก็ปางตายเหมือนกันนะเนี่ย ดีนะ ที่เรา… อ่า เข้าใจละว่าทำไมถึงไม่มีนักบินมาช่วยคุม หึ…ฉลาดจริงๆเลยนะเอปต้า ]

เมื่อเริ่มออกบินมาได้ราวๆ 30 นาที ตัวเครื่องก็ได้บินมาอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยระดับหนึ่งนั้นคือความสูงจากพื้นดินราวๆ 11 กิโลเมตร ที่นี้ไม่ค่อยมีมอนสเตอร์ปรากฎออกมาถึงมีก็มีแต่ตัวใหญ่ๆที่เห็นได้ไม่ยากนัก ทว่ากว่าจะมาถึงบอริสก็ต้องทำหน้าที่หลายอย่างทั้งประคองเครื่องเอย ทั้งดูเรดาห์ จนนั้นทำให้เขารู้ได้ว่าทำไมถึงไม่มีนักบินมาคุมตามปกติ

“ ทีนี้ก็… อ่านรายงานได้สักที เห้ออออ ”

การเดินทางนั้นยังคงอีกยาวนานกว่าจะไปถึงเพราะตอนนี้บนท้องฟ้าไม่ได้มีแค่ความว่างเปล่า เครื่องบินขนส่งอีกหลายร้อยลำก็กำลังบินกันไปมาอยู่ด้วย ดังนั้นการบินจึงต้องคอยตรวจดูเรดาห์อยู่เสมอ นั้นทำให้ต่อจากตลอดทางของบอริส เขาจะมีเวลาให้นั่งอ่านรายงานอะไรหลายๆอย่างผ่านกระจกในมือได้สบายๆ โดยรายงานนั้นมันเรียงตามลำดับของเมดที่รับใช้ตัวของเขา ดังนี้

[ รายงาน รหัส 0 – เคนโทร

ตำแหน่งปัจจุบัน – มหาวิทยาลัยเวทย์มนต์โอดุนยา

สถานการณ์ปัจจุบัน – เคนโทรได้ส่งข้อความมาแจ้งถึงสถานการณ์ที่โอดุนยาว่า เธอสนิทกับเฟิร์นและกำลังจะร่วมทีมแข่งทัวร์นาเมนต์เกียรติยศประจำปี การต่อสู้โดยเวทย์มนต์ประจำมหาวิทยาลัยโอดุนยาที่จะมีนักรบ นักเวทย์ นักพจญภัย อัศวินเวทยม์มนต์มากมายเข้าร่วม ]

“ อืม จุส? สมมุติว่าเมดของผมไปสู้กับคนนอกเนี่ย ผลลัพธ์จะออกมาประมาณไหนดีล่ะ? ”

หลังจากอ่านรายงานอันแรกของยูเรย์ผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมของตน บอริสก็ได้เงยหน้าขึ้นมาถามจุสที่กำลังดูเครียดๆจากการขับเครื่องบินอยู่ เขาถามด้วยเสียงที่ดูสงสัย ซึ่งจุสเองพอได้ยินก็ไม่ได้หันหน้ามามองตามปกติที่เธอมักจะทำ เธอตอบออกมาด้วยเสียงที่ดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ ก ก ก็ ถ ถ ถ้าอีกฝ่ายเป็น น น นักพจญภัยระดับ S หรือจอมเวทย์หน้าใหม่ก็อาจจะมีโอกาสชนะ ป ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ค่ะนายท่าน แต่ถ้าต่ำกว่านั้น อ อ อืม…เละค่ะ ยังไงก็เละ เพราะขนาดพวกเราหน่วย Elite ยัง…อึก ”

“ อ่า เข้าใจละ ”

ด้วยคำตอบของจุสนี้เอง บอริสก็พอเข้าใจและประเมินสถานการณ์ของทั้งสองคนนั้นได้อย่างไม่ยากนัก ยูเรย์กับเฟิร์นที่ได้เรียนทักษะต่างๆจากเขา ทั้งยังมี 1 ในนั้นเป็นถึงเมดลำดับที่ 0 อีก อีกฝ่ายถ้าไม่มีจอมเวทย์เก่งๆ ก็คงไม่อาจจะชนะได้แน่ๆ ซึ่งพอได้รู้แบบนี้ บอริสก็ก้มหน้าพร้อมกับอ่านรายงานต่อไปเรื่อยๆ โดยที่สังเกตุได้เลยว่าเขากำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขบางอย่างอยู่

[ รายงาน รหัส 1 – เอนนา

ตำแหน่งปัจจุบัน – ฐานทัพหลักที่ 1 ยูโทเปีย

สถานการณ์ปัจจุบัน – ตอนนี้กำลังคุมสอนกำลังทหารหน่วย Elite ของยูโทเปีย เพื่อฝึกซ้อมสำหรับการต่อสู้ทางภาคพื้นดินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ รวมไปถึงการฝึกบุกขึ้นชายฝั่งด้วยยานพหนะรุ่นใหม่ที่สามารถเดินทางทั้งบนบก ในน้ำ และใต้น้ำได้ด้วย อย่างไรก็ตามมันผลิตยากมากทำให้มีไว้สำหรับทีมเกราะหนักเท่านั้น

รายงาน รหัส 2 – ดีย์โอะ

ตำแหน่งปัจจุบัน – ฐานทัพหลักที่ 4 โซลิทาน

สถานการณ์ปัจจุบัน – รับผิดชอบเรื่องปัญหาแม่ยายไม่ยอมเป็นอริกับว่าที่ลูกสะใภ้ ส่วนตัวลูกชายเองก็ไม่กล้าหือกับมารดานักเพราะแม่ก็คือแม่แถมเป็นคนที่สอนเขาหลายๆอย่าง ทำให้ดีย์โอะต้องจบปัญหานี้ให้ได้แล้วเธอจะตามมาร์กลับไปทีหลัง ]

[ เอเมน ขอให้แก้ปัญหาได้เร็วๆนะดีย์โอะ ]

[ รายงาน รหัส 3 – ทิเรีย

ตำแหน่งปัจจุบัน – ฐานทัพหลักที่ 0 ที่พำนักของนายท่าน

สถานการณ์ปัจจุบัน – ทิเรียกำลังจัดการเรื่องการเมือง กับเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีปัญหามาจากการที่ยูโทเปียมีแต่ผลลัพธ์ดีๆเกิดขึ้นตลอด ผลลัพธ์พวกนั้นดันสร้างงานให้กับทิเรียมากเป็นพิเศษไม่ว่าจะกำไรที่มากล้นจนจัดการเงินไม่ทัน พนักงานที่มากขึ้น กำลังการขยายของอำนาจความมั่นคงของยูโทเปียที่มากล้นจนหลายทวีป เมือง ประเทศ จักรวรรดิ หมู่บ้านมากันหมด ยังไงก็ตามขอบเขตพันธมิตรนั้น ถูกจำกัดไว้เพียงที่ บลิซ โอดุน เมืองแฟรี่ของเซฟ และเมืองทั้ง 3 ที่อยู่ภายใต้การชักใยของ ผี อย่าง ไฮทคอลลาจ(หรือคอลลาจ) เกรทไลน์ โอลิเอน ทว่าปัญหาใหญ่สุดคงไม่พ้นการที่นายท่านไม่นำเงินออกไปใช้จนทำให้คลังส่วนตัวเริ่มจะเต็มและต้องหาที่เก็บใหม่โดยเร็ว

รายงาน รหัส 4 – เทเสล่า

ตำแหน่งปัจจุบัน – ยูโทเปีย

สถานการณ์ปัจจุบัน – เทเสล่านั้นวุ่นกับการช่วยทิเรียส่งเอกสาร ทั้งยังต้องคอยแก้ปัญหาด้านสมการเวทย์มนต์ อักขระโบราณเพื่อหาทางการรักษาคนที่กลายเป็นหิน ในส่วนนี้จัดอยู่ในระดับที่ยากมากเพราะทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะกระเทาะหินแล้วช่วยชีวิตคนด้านในได้เพราะจะทำให้คน"ทั่วไป"ที่ฟื้นขึ้นมาเสี่ยงตกอยู่ในสภาวะโคม่าจากการขาดสารอาหาร ช็อคและติดเชื้อโรคจากสภาพแวดล้อมในยุคปัจจุบันได้ ผิดกับ ตอนฟื้นอควา เธอที่เป็นเทพการมีสถานะโคม่าจึงไม่อาจจะเกิดกับเธอได้

รายงาน รหัส 5 – เพนเท

ตำแหน่งปัจจุบัน – เมืองหอคอยที่ 1

สถานการณ์ปัจจุบัน – ติดตามสังเกตุสปาย ชื่อ รินรินเท สปายจากกองทัพจอมมาร และพบว่าตอนนี้เธอหรือเขา มีเงินมากพอจากการเปิดร้านโฮสต์และกำลังติดต่อจะหาทีมนักพจญภัยเพื่อมานำทางลงไปสำรวจหอคอยใต้ดินลำดับที่ 1 นอกจากนี้การส่งจดหมายทุกฉบับนั้นทางเพนเท ก็ได้ตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดแล้วพบว่า เป้าหมายที่ส่งไปคือหญิงสาวผู้มีนามย่อว่า [ TQ ] ]

“ แต่ละคนขยันทำงานกันดีจริงๆแหะ โดยเฉพาะทิเรียกับเพนเท กลับไปคงต้องให้พั… ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าให้พักคงมองว่าเป็นการลงโทษแหงๆ งั้นคงต้องให้รางวัลสินะ อืมมม พอดีเลยจะได้เอาเงินส่วนตัวออกมาใช้สักที ”

บอริสที่ได้อ่านมาแล้วถึง 6 รายงานเขาก็วางกระจกลงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตาก่อนที่ไม่นานจะเริ่มอ่านต่อ ส่วนทางด้านจุสเองก็ยังคงตั้งหน้าตั้งใจขับเครื่องบินโดยไม่ได้ฟังบอริสเลยสักนิด

[ รายงาน รหัส 6 – เอ็กซิ

ตำแหน่งปัจจุบัน – ฐานทัพหลักที่ 0 ที่พำนักของนายท่าน

สถานการณ์ปัจจุบัน – พัฒนาอาวุธชิ้นใหม่โดยอาศัยตัวต้นแบบที่เอปต้าเคยใช้ ปัญหาที่พบคือระบบข้อต่อที่ต้องรับภาระมาก รวมไปถึงสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์มันมีความซับซ้อนต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะจัดการประกอบเข้าไปและคงต้องใช้เวลาอีกนานเป็นปีกว่าจะผลิตเข้าประจำในกองทัพได้

รายงาน รหัส 7 – เอปต้า

ตำแหน่งปัจจุบัน – คอลลาจ

สถานการณ์ปัจจุบัน – เอปต้าได้กลับไปทำหน้าที่เดิมคือการเป็นคนชักชวนผู้คนให้เข้ากับกลุ่มผีและโรงงานผลิตของเล่น GHOST ทำให้ตอนนี้เธอออกเดินทางร้องเพลงเพื่อแพร่ศาสนาของยูโทเปียที่มีชื่อว่า Sun O Sunshine ไปตามเมืองต่างๆ

รายงาน รหัส 8 – อคโต

ตำแหน่งปัจจุบัน – ฐานทัพหลักที่ 1 ยูโทเปีย

สถานการณ์ปัจจุบัน – ตอนนี้กำลังทำหน้าที่สอนทหารเด็กที่ได้มาจากทางด่วนพิเศษรวมทั้งฝึกสอนเด็กๆที่เรียนในโรงเรียนของยูโทเปียโดยปลูกฝังความจงรักภักดีต่อกลุ่มเมด ส่วนอีกงานก็คือกำลังเตรียมตัวการกลับมาของนายท่านเพื่อเริ่มแผนการตรวจดูหอคอยทั้ง 8

รายงาน รหัส 9 – เอเนอา

ตำแหน่งปัจจุบัน – โรงพยาบาลประจำยูโทเปีย

สถานการณ์ปัจจุบัน – วิจัยยาสามัญประจำบ้านไปพร้อมกับการศึกษาเพื่อเข้าใจในตัวของกองทัพจอมมารที่จับมาได้ ไม่ว่าจะความคิด ความอ่าน และพยายามจะ"ปรับทัศนคติ" เพื่อให้พวกนี้ย้ายมาเป็น “แรงงาน” ในยูโทเปียทว่าหลายคนก็ขัดขืนทำให้ตอนนี้ยังมีคนถูกขังไว้จนกว่าจะหาทางจัดการต่อได้

รายงาน รหัส 10 – เดคกะ

ตำแหน่งปัจจุบัน – เมืองหอคอยที่ 8

สถานการณ์ปัจจุบัน – คุมการทำงานของพวกแฟรี่ที่ถูกส่งมาโดยราชาแฟรี่ ทั้งหมดถูกใช้ให้ทำหน้าที่ในการขยายเมืองกับอาคารใหม่ๆในเมืองหอคอยทั้ง 8 รวมทั้งเดคกะยังมี

รายงาน รหัส A – อัลฟ่า

ตำแหน่งปัจจุบัน – [เดินทาง]

สถานการณ์ปัจจุบัน – กำลังย้ายมาทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะทางร่างกายผ่าน “การตัดแต่งเพิ่มเติม” ที่ฐานทัพในโซลิทาน และทำหน้าที่ดูแลแนวป้องกันนี้แทนนายท่าน ทั้งนี้อัลฟ่าจะประจำอยู่ที่ฐานทัพดังกล่าวจนกว่าจะทำการสร้าง “ สุดยอดทหาร ” ออกมาได้

รายงาน รหัส B1B2 – เบต้าวัน เบต้าทู

ตำแหน่งปัจจุบัน – ฐานทัพหลักที่ 4 โซลิทาน

สถานการณ์ปัจจุบัน – ลาดตระเวนตรวจสอบที่แนวช่องแคบในหุบเขา รวมทั้งเตรียมเข้าทำการสนับสนุนการทำงานของอัลฟ่าเมื่อเธอเดินทางมาถึง

รายงาน รหัส C – ชาลี

ตำแหน่งปัจจุบัน – ฐานทัพหลักที่ 2 บลิซ

สถานการณ์ปัจจุบัน – ชาลีได้เดินทางกลับไปจับตาดูการทำงานของลูน่า รวมทั้งคอยจัดการสถานการณ์แนวหน้าในเมืองบลิซที่อยู่ใกล้กับที่ตั้งของกองทัพจอมมาร อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานเรื่องความผิดปกติใดๆ นอกจากการส่งเนื้อหาบ่นถึงความไร้ประสิทธิภาพของบลิซเมื่อเทียบกับยูโทเปีย ]

“ เคร๊ จบรายงานเรียบร้อย ทีนี้ก็ได้เวลานอน…ไม่สิ จับตาดูจุสต่อ ”

บอริสที่ได้อ่านรายงานจนเสร็จนั้นก็เกือบจะเอนตัวลงนอนตามนิสัย ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่าเครื่องบินไม่ได้มีนักบินที่ชำนาญคอยควบคุมเขาก็กระตุกตัวเองขึ้นมาแล้วก็มองแผงควบคุมในทันที ส่วนจุสที่ได้ยินก็พูดออกมาด้วยสีหน้าซีดๆว่า

“ อย่ากดดันกันสิค้าานายท่าน… ”

……

แก็ง แก็ง แก็ง

“ ทุกท่าน ต่อจากนี้ท่านวาสิล่าจะตรัสสิ่งที่พระองค์ปรารถนาแล้ว ได้โปรดอยู่ในความสงบและสำรวมกริยาของพวกท่านด้วย ”

ภายในวังของโซลิทาน บัดนี้กำลังมีจะมีการน้อมฟังคำตรัสของราชินีผู้สูงส่งของพวกเขา และคนที่พูดเตือนให้ทุกคนเตรียมก็คือคาร์ดินัลเฟนทินี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆราชินีของเธอที่ยังคงลอยตัวอยู่เหนือสูงกว่าใคร

“ พวกเจ้าทั้งหลายคงรู้แล้วว่าตอนนี้ 1 ในความหวังแห่งโซลิทานได้ถูกพวกกองทัพจอมมารลักพาตัวไป ตัวเราจึงได้ประกาศให้ทั่วทั้งโลกรู้แล้วว่าโซลิทานจะทำสงครามกับกองทัพของจอมมารอย่างเต็มกำลังจวบจนนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสูญสิ้นไป… ”

อย่างไรเสียระหว่างที่กำลังตรัสให้เหล่าสาวกฟัง กลุ่มของความหวังที่เหลือเพียง 3 คนก็ได้แต่ยืนเศร้าที่แม้ว่าพวกเขาจะจับทหารของจอมมารมาได้ แต่…

“ สรุปแล้วเจ้าพวกนั้นก็แค่ลิ้วล้อสินะ โธ่เว้ย… อาโอะ… ”

“ พอเถอะนะ จะฮินพวกเราบ่นไปก็เท่านั้น ตอนนี้มาช่วยกันคิดเถอะว่าจะไปช่วยอาโอะยังไงน่ะ ”

“ ใช่แล้วล่ะ จะฮินอย่างที่นานาบอก ในเมื่อพวกเราเอาข้อมูลจากจอมมารมาไม่ได้ เราก็ควรคิดหาทางอื่นต่อแทน ”

“ … ”

แต่แล้วระหว่างที่ทุกคนกำลังทำในสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ เลวิทานก็เงียบลงก่อนจะหันหน้ามองไปยังทางเข้า ไม่สิมองไปไกลกว่านั้น เธอจ้องอยู่ครู่ใหญ่ๆก่อนจะหันไปหาเฟนทินี่ที่ยังคุกเข่ารอเธอกล่าวอะไรต่อ

“ คาร์ดินัลของเรา นับจากนี้อีกไม่นานจะมีกลุ่มคน 3 คนจากแดนใต้ เดินทางมาเพื่อพบตัวเรา พวกเขามาพร้อมกับจุดประสงค์ที่แม้แต่ตัวเราเองก็มิอาจทราบถึงได้… ”

นั้นทำให้เฟนทินี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเลวิทานด้วยความศรัธราก่อนจะกุมมือขึ้นเหนือหน้าอกของตนและหลับตาลงพร้อมกับถามออกมาอย่างช้าๆว่า

“ เช่นนั้นแล้วพระองค์ประสงค์จะให้ลูกทำอย่างไรดี จะให้ลูกขับไล่พวกมันหรือต่อต้านสุดกำลัง ก็ขอให้ท่านได้โปรดชี้นำและบอกกล่าวกับพวกเราสาวกด้วยเถิด ”

เลวิทานที่ได้ฟังเธอก็ออกมารอยยิ้มจากราชินีเพียงหนึ่งเดียว…ยิ้มแรกในรอบหลายร้อยปี ทำให้ผู้คนที่ได้เห็น สาวกที่ได้ชมถึงกับคุกเข่าหลั่งน้ำตาแห่งความปิติออกมา

“ อย่าก่อสงครามกับพวกเขาเลยคาร์ดินัลของเรา บัดนี้ตัวเราต้องการเพียงการได้พูดคุยกับพวกเขาเหล่านั้น ”

เธอพูดเช่นนั้นด้วยเสียงที่อ่อนโยนก่อนจะเงียบไปทิ้งให้เหล่าผู้คนได้แต่หลั่งน้ำตาจากความอ่อนโยนนั้น ส่วนสายตาของเธอก็ยังคงจับจ้องไปที่นั้น หัวใจของเธอที่เคยเงียบสงบก็แปลเปลี่ยนไป มันกลับมาเต้นอีกครั้ง และในหัวของเธอก็เช่นกัน

แก็ง แก็ง แก็ง

“ เหล่าผู้คนตามคำทำนายของท่านเลวิทานได้มาถึงแล้ว… ”

และไม่นานทุกอย่างก็เป็นไปดั่งที่เธอกล่าวไว้ ณ ห้องโถงของวังนี้ มีชายวัยกลางคนร่างกำยำแต่ผิวซีดขาว ผู้มีสั้นและไว้เปียยาวสีเงิน ดวงตาของเขานั้นแดงสว่างราวกับเปลวเพลิง พร้อมกับใส่เครื่องแบบสีเขียวที่แปลกตาทว่าก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเครื่องแบบทางการเพราะมันถูกทักทอเป็นอย่างดี เดินเข้ามาเป็นคนแรก

นอกจากนี้ด้านหลังของเขาก็ยังมีคนอื่นตามมาติดๆกันอีกด้วย นั้นคือหญิงสาวฝาแฝดผิวเข้ม 2 คน พวกเธอมีใบหน้าที่ดูน่ารักและวัยเยาว์เป็นอย่างมาก อีกทั้งผมสีแดงของพวกเธอก็ช่างตัดกับสีผิวยิ่งนัก

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองแตกต่างกันก็คงเป็นทรงผมที่คนหนึ่งเก็บเรียบร้อย และอีกคนก็รวบเป็นหางม้าสวยงาม อย่างไรเสียนอกจากทรงผมก็คือเสื้อผ้า

ใช่คนที่เก็บผมนั้นสวมเสื้อดำกางเกงดำเข้มๆเข้ากับใบหน้าที่จริงจังของเธอ แต่อีกคนนั้นกลับสวมกระโปรงน่ารักและเสื้อสีขาวที่ทำให้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มด้วยความเขินอายน่าเอ็นดูขึ้นไปหลายเท่า ทั้งสามเดินมาจนหยุดอยู่ห่างจากเลวิทานไปราวๆ 10 เมตร และก็ยืนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับจ้องมองไปยังเลวิทาน

“ พวกแก!! คุกเข่าลงซ… ”

“ หยุดก่อนคาร์ดินัลของเรา ”

“ ข ข ข ขออภัยค่ะพระองค์ ”

ซึ่งพอทั้งสามมาอยู่ตรงหน้าของเลวิทานแต่กลับไม่คุกเข่าลง เฟนทินี่จึงโมโหและพยายามจะให้ทั้ง 3 คุกเข่าก้มหัวลงต่อหน้าเลวิทานทว่าเลวิทานก็ได้ห้ามปรามเอาไว้ก่อนที่เธอจะได้พูดจมจบ

“ ขอโทษแทนคาร์ดินัลของเราด้วยนะ ว่าแต่พวกเจ้ามีนามและที่มาจากที่ใดรือ? ”

พอทุกอย่างสงบลงจากการพูดของเลวิทาน ชายที่อยู่นำหน้าสุดก็ได้ก้าวออกมาและเงยหน้าขึ้นพร้อมกับทำท่าทำความเคารพที่แปลกประหลาดด้วยการยกมือขวาขึ้นมาแตะที่ปลายหางคิ้วของเขา เช่นเดียวกันผุ้ติดตามของเขาก็ทำด้วย

“ ผมพันเอกบอริส ข้าราชบริพารฝ่ายการทหารของราชินีอควา ผู้ปกครองแห่งยูโทเปีย ส่วนทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของผมคือผู้ติดตามนามว่า บาลอฟน่า กับ บูเรนย้า ”

“ ยูโทเปีย…? ”

เมื่อฝ่ายตรงข้ามบอกแล้ว ฝ่ายของเลวิทานก็จะต้องแนะนำตัวตามปกติ ทว่าก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เลวิทานได้หันไปมองทุกคนราวกับเป็นการบอกว่าเธออยากจะพูดเอง

“ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อผู้มาเยือน เราเลวิทาน ราชินีเพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรโซลิทานนี้ เอาล่ะบอริสไหนบอกตัวเราสิว่าเหตุใดเจ้าถึงได้เดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ ”

“ ครับท่านเลวิทาน ผมมาเพราะต้องการเชื่อมสัมพนธไมตรีระหว่างโซลิทานกับยูโทเปียเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นไปตามประสงค์ของอควาที่จะสร้างไมตรีกับทุกประเทศอย่างเท่าเทียมครับผม ”

[ อควา? งั้นเหรอ… นั้นสินะ แต่ว่าตอนนี้อย่าพึ่ง…จะดีกว่า… ]

เขาขานตอบรับในทันที อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินชื่อของอควาถึงสองครั้ง นั้นก็ทำให้เลวิทานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจเท่ากับชายตรงหน้าที่ช่างน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูกนั้นทำให้เลวิทานถามต่ออีกครั้งโดยที่สายตาของเธอยังจับจ้องไปที่ชายตรงหน้า

“ แล้วสัมพันธไมตรีที่ว่าถ้ามีแล้วโซลิทานของเราจะได้อะไรอย่างงั้นเหรอบอริส ตามที่ตัวเรายังจำความได้ อาณาจักรของเราไม่เคยได้อะไรจากสิ่งที่เรียกว่าการเชื่อมสัมพันธไมตรีนอกจากความว่างเปล่าและภาระเลย ”

ในอดีตโซลิทานมีพันธมิตรมากมายจากการเป็นประเทศศาสนาชั้นสูง แต่ว่าเมื่อใดที่มีปัญหา ก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเลย มีแต่ต้องส่งคนไปช่วยพันธมิตรเสมอ ทั้งหมดนั้นก็มีเหตุผลมาจากการที่โซลิทานตั้งอยู่ในตอนเหนือที่การเดินทางสันจรไปมายากลำบาก อีกทั้งอาณาจักรของเธอก็ห่างไกลและโดดเดี่ยวจนไม่อาจจะมีสงครามได้ง่ายๆ พันธมิตรจึงเริ่มไม่จำเป็นสำหรับที่นี้ และเธอก็ยังคิดด้วยว่า

[ ถ้ายูโทเปียรู้ว่าโซลิทานประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับจอมมาร พวกเขาก็คงถอนตัวในไม่ช้าเพราะไม่อยากมาเสี่ยงร่วมรับความเสียหายกับกองทัพที่กล้าโจมตีไปทั่วอย่างไม่ลังเลแบบนั้น และระยะการเดินทางมาช่วยรบในที่ห่างไกลแบบนี้ก็คงเปลืองทรัพยากรต่างๆอีก ]

แต่ว่าคำพูดของชายตรงหน้าก็ทำให้เธอต้องเปลี่ยนความคิดทันที คำพูดที่ราวกับว่าเขารู้สิ่งที่อยู่ในใจของเธอ และรู้ด้วยว่าสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้คือสิ่งใด

“ ระหว่างที่ผมเดินทางมานั้นสายข่าวได้แจ้งว่าตอนนี้โซลิทานกำลังมีสงครามกับจอมมาร ซึ่งผมก็ทราบดีในจุดนี้และท่านองค์ราชินีของยูโทเปียเองก็ยินดีที่จะเข้าให้การสนับสนุนทั้ง อาวุธพื้นฐาน อาหาร และยา จะมีจัดหาส่งให้กับโซลิทานอย่างสม่ำเสมอ จนกว่าสงครามจะจบ รวมทั้งตัวของผมเองก็จะเข้ามาช่วยในการวางแผนและดำเนินการรบด้วยตัวเองจนกว่ากองทัพจอมมารจะถอยล้นกลับไป นั้นคือสิ่งที่โซลิทานจะได้หากการเป็นเชื่อมสัมพันธไมตรีเกิดขึ้น ”

“ …ช่างใจกว้างจริงๆนะราชินีแห่งยูโทเปีย ”

คำพูดนั้นทำให้เลวิทานนั้นค่อนข้างจะประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าจะมีประเทศใดที่กล้าพูดข้อเสนอเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะเหรอ ก็อย่างที่บอกไป โซลิทานนั้นโดดเดี่ยว ไม่มีเรือเข้ามาค้าขาย ไม่มีการเดินทางที่ง่ายดาย แต่ยูโทเปียกลับบอกว่าจะหาของมาให้

“ ตัวเรานั้นดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ว่าในทางกลับกันพันธไมตรีนี้ โซลิทานจะต้องเสียอะไรบ้างเพื่อให้ได้ซึ่งการสนับสนุนของยูโทเปียล่ะบอริส ”

เลวิทานเธอไม่เหมือนคนอื่นที่มองว่าพันธไมตรีเป็นสัญญาพึ่งพากัน จากประสบการณ์ตลอดการมีอยู่ของเธอ เลวิทานรู้เสมอว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่มีราคา แม้แต่ศรัธราเองก็ด้วย ทว่าบอริสที่ถูกเธอมาอย่างนั้นเขาก็แอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

“ ทางยูโทเปียจะไม่คิดค่าอาวุธพื้นฐานอันได้แก่ ดาบ โล่ห์ และ ไม่คิดค่าเสบียงที่ขนมาให้ แต่สำหรับยากับอาวุธอย่างอื่นที่ยูโทเปียไม่ได้ใช้นั้น จะคิดไปในราคาที่ถูกลงกว่าที่ขายในตลาดและอาจจะถูกยิ่งขึ้นตามจำนวนของที่ต้องการครับ ”

“ อาวุธอย่างอื่นที่ยูโทเปียไม่ได้ใช้ มันหมายความว่าอย่างไรกันเหรอบอริส? ”

เลวิทานนั้นไม่สนใจในเรื่องยานัก เพราะโซลิทานนั้นมีป่าไม้ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรอยู่แล้ว สิ่งที่เธอสนใจคืออาวุธอย่างอื่นที่บอริสพูดถึง โซลิทานนั้นพออยู่อย่างสันโดษเช่นนี้ จึงมิได้รับรู้ว่าเทคโนโลยีภายนอกไปถึงไหนแล้ว

“ เช่นนั้นผมขออนุญาตนำของที่ว่าเข้ามาได้หรือเปล่าครับท่านเลวิทาน ”

“ ตัวเรานั้นอนุญาต ”

ซึ่งทันทีที่ได้รับการยืนยัน เขาก็หันกลับไปมองผู้ติดตามทั้งสองพร้อมกับพยักหน้าเป็นการสั่งให้พวกเธอไปขนของตัวอย่างเข้ามา และพอได้รับคำสั่งทั้งคู่ก็รีบวิ่งออกไปโดยมีเหล่าอัศวินตามไปสังเกตุการณ์ด้วย

ในขณะนั้นเองเหล่าความหวังทั้ง 3 ที่ได้มองดูก็เริ่มเปลี่ยนจากเรื่องที่จะหาทางไปช่วยอาโอะมาเป็นเรื่องของยูโทเปียแทน พวกเขาในตอนนี้ต่างรู้สึกเหมือนกันว่าชายหญิงตรงหน้านั้นเหมือนกับหลุดมาจากโลกของพวกเขา

“ เครื่องแบบนั้นเอย ท่าทางเอย อย่างกับทหารที่โลกของพวกเรา…เลย ”

“ ว่างั้นอ๋อ? แต่ว่าทหารโลกเราไม่หล่อ ไม่ผมยาวแบบนี้ไม่ใช่หรือไงยูดะ? ”

“ นั้นสิขนาดพ่อของชั้นเป็นทหารยังต้องตัดผมตลอดเลยไม่มาไว้ยาวเป็นเปียแบบนั้นหรอกนะ ”

“ อ้าวเหรอ? กุก็นึกว่าทหารไว้ผมยาวได้ซะอีก ”

“ เห้ออ ดูหนังมากไปนะเราน่ะ ”

“ เห้ย เห้ย เห้ย ไหงมาบอกว่าข้าดูหนังมากไปเฉยเลยวะไอยูดะ??!! ”

กึง กึง กึง กึง ตึ้ง!

“ เปิดเลยบาลอฟน้า บูเรนย้า… ”

“ “ ค่ะพันเอก!! ” ”

จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวๆ 10 นาที พวกเธอก็กลับมา พร้อมกับกล่องเหล็กขนาดใหญ่กว่าร่างกายของพวกเธอถึง 3 เท่า กล่องนั้นถูกวางลงพร้อมกับส่งเสียงกระแทกที่แสดงให้เห็นว่ามันหนักขนาดไหน และทันทีที่เปิดออกเหล่าความหวังทั้ง 3 ก็ถึงกับตาเหลือกทันที สิ่งที่อยู่ในนั้นพวกเขารู้จักมันหน้าตาที่แค่เห็นก็รู้ได้ว่ามันคือ…

แกร็ก

“ นี้ครับอาวุธที่ว่า ปืนยุค 0.5 แต่ว่านี้ไม่ใช่ปืนทั่วๆไปที่มีกระจายอยู่ตามเผ่ามนุษย์หรือบีสต์โฟค ปืนนี้มันสามารถหักล้างเวทย์มนต์ระดับกลางลงมาได้ และเป็นปืนที่ได้ปลดประจำการแล้วในยูโทเปีย ทว่าก็ไม่ได้ขายให้กับประเทศใดเป็นอิสระ เว้นแต่กับประเทศพันธมิตรเท่านั้นซึ่งตอนนี้ก็มีบลิซเพียงที่เดียวที่ได้ครอบครองปืนเหล่านี้อยู่… ”

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายปืนทีละกระบอก โดยกระบอกแรกที่เขาหยิบขึ้นมามันเป็นปืนไรเฟิลยาวที่มีไม้เป็นองค์ประกอบที่เห็นได้มากกว่าส่วนที่เป็นเหล็ก

“ ปืนนี้มีชื่อว่า ลีเอนฟิล รุ่น R หรืออีกชื่อก็คือ สไมลี่R ที่สามารถจุกระสุนได้ทีละ 5 นัด ความสามารถของมันอธิบายง่ายๆก็คือ สามารถยิงสังหารอัศวินในชุดเกราะที่ระยะ 300 เมตรได้อย่างไม่ยากเย็น… ”

เขาวางปืนนั้นลงพร้อมกับหยิบประบอกถัดไปทันที ทว่ากระบอกนี้พอเขายกขึ้นมาก็เห็นได้ว่ามันเป็นปืนที่เป็นเหล็กเกือบทั้งหมด อีกทั้งขนาดของมันก็ยาวมากๆเสียด้วย

“ นี้มันคือมาร์ติน เฮนรี่ รุ่น R เป็นปืนที่จุกระสุนได้ทีละนัด ทว่าแม้จะจุได้ทีละนัดก็ตาม มันก็มาพร้อมกับพลังทำลายที่รุนแรงพอจะล้มมอนสเตอร์ระดับ C ได้ในการยิงเพียงไม่กี่นัด ”

และสุดท้ายเขาวางปืนที่ถือลงไว้ข้างๆปืนก่อนหน้านี้ แล้วก็หยิบเอาปืนกระบอกสุดท้ายขึ้นมาด้วยมือทั้งสอง ปืนที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีจานเหล็กหนาติดตั้งอยู่บนปืนนั้น

“ ถัดมาเป็นปืนตัวสุดท้ายที่เรียกว่า เลวิส รุ่น R สำหรับแม็กกาซีนที่ยูโทเปียจะขายให้จุกระสุนได้ทีละ 47 นัด มันเป็นปืนที่ยิงได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็มีความแม่นยำที่สูงกับพลังทำลายเทียบเท่า สไมลี่R รวมทั้งยังใช้กระสุนประเภทเดียวกันด้วย จึงง่ายต่อการสั่งและนำส่ง ทว่ามันก็ยากในเรื่องการผลิตราคาจึงอาจจะสูงกว่า 2 ตัวหน้าค่อนข้างมากนะครับ ”

อย่างไรเสียผู้คนที่อยู่ในห้องต่างไม่ค่อยจะเชื่อว่าปืนพวกนี้จะทำอะไรได้ พวกเขาต่างหันมาคุยกันด้วยเสียงที่เบาเพื่อไม่ให้บอริสได้ยิน ซึ่งใจความทั้งหมดก็ไปในทางที่ว่าบอริสกับผู้ติดตามนั้นเป็นนักต้มตุ๋นไม่ใช่ตัวแทนจากที่ใดทั้งนั้น โดยเฉพาะเฟนทินี่เธอนั้นเรียกได้ว่าไม่มองทั้งสามคนเป็นแขกเลยด้วยซ้ำ

“ ดูท่าหลายๆท่านจะไม่เชื่อสินะครับ เช่นนั้นไหนๆห้องโถงที่นี้ก็กว้างขวางและยาวเกือบ 150 เมตรแล้ว ผมขออนุญาตได้หรือเปล่าครับท่านเลวิทาน ขออนุญาตให้ผมได้แสดงอำนาจของมัน ”

เลวิทานที่ยังไม่ไว้ใจในปืน เพราะความเชื่อของเธอที่ว่าปืนอย่างมากก็มีไว้แค่ล่าสัตว์ จะสามารถทำในสิ่งที่บอริสพูดได้ แต่เธอก็ใช่จะกีดกัน ความอยากรู้นั้นนำพาให้เธออนุญาตท่ามกลางการพยายามขัดค้านของเฟนทินี่ที่ไม่เชื่อในปืนแม้แต่น้อย

“ เอาสิบอริส ถ้าเจ้าอยากจะแสดงว่าสิ่งที่เจ้าถือมันทรงพลังขนาดก็ทำได้ แต่…ห้ามฆ่าใครในนี้ เข้าใจหรือเปล่า? ”

“ ขอบคุณครับท่านเลวิทาน เช่นนั้น… ”

“ เช่นนั้นเดี๋ยวชั้นจัดการเรื่องเป้าเอง พวกแ.. พวกนายรออยู่ที่นี้นั้นแหล่ะ ”

และพอได้รับคำอนุญาตมาเช่นนั้นการเตรียมการก็ได้ถูกจัดขึ้นโดยเป้าที่ใช้ยิง เฟนทินี่เป็นคนเตรียมทั้งสิ้นเพื่อไม่ให้มีการหลอกลวงเกิดขึ้น เป้านั้นจึงเป็นเกราะของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งหนาและแข็งเป็นพิเศษเพราะเป็นการทำขึ้นผ่านการตีเหล็กด้วยมือ ไม่ใช่การหล่อขึ้นมาเหมือนทหารทั่วๆไป

[ หึ!! พวกแกพลาดแล้วที่คิดจะมาหลอกพวกเราและคิดที่จะหลอกท่านเลวิทานด้วยอาวุธโง่ๆนั้น ]

อีกทั้งระยะห่างของมันก็ห่างออกไปจนถึงหน้าทางเข้าห้องโถงนี้เลยทีเดียว โดยขณะที่เฟนทินี่เดินกลับมานั้นเธอก็มีท่าทีชัดเจนว่าต้องการจะทำให้บอริสอับอายให้ได้ เช่นเดียวกับความคิดของคนในห้องโถงนี้ซะส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าดาบกับธนูและเวทย์มนต์คือคำตอบมากกว่าไอท่อเหล็กเหล่านั้น

“ อึก… มีของแบบนั้นจริงๆด้วยสินะ ”

“ เสียงมันจะดังไม่อ่ายูดะ?? ”

“ ผมว่าเราควรไปหาอะไรมาอุดหูรอไว้เลยดีกว่านะ ที่ปิดแบบนี้เสียงมันจะดังกว่าปกติ ”

เว้นแต่ความหวังทั้ง 3 คนที่รู้ดีถึงพลังอำนาจของปืน แม้ปืนที่เห็นจะไม่ได้ใหม่ หรือทันสมัยเท่าของที่เห็นได้ในยุคที่พวกเขาจากมา แต่มันก็ยังคงเป็นปืนอยู่ดี

“ “ พร้อม ” ”

“ เอ้าเชิญเลย คุณตัวแทนจากยูโทเปีย ”

เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมแล้วเฟนทินี่ก็บอกชายที่ถือปืนด้วยท่าทางเยาะเย้ยอย่างเห็นได้แม้จะไม่ชัดเจนหรือตรงๆก็ตาม บอริสเองก็เดินไปไปพร้อมกับปืน สไมลี่R ในมือพร้อมกับโหลดกระสุนจากด้านบนให้ทุกคนในห้องเห็น กระสุน 5 นัดถูกยัดลงไปในตัวปืน ก่อนที่เขาจะดันกลไกทำให้ลูกกระสุนนัดแรกเข้ารังเพลิงพร้อมยิง

“ เอาล่ะครับ รบกวนทุกคนช่วยระวังเรื่องเสียงเอาไว้ให้ดีนะครับ เพราะมันค่อนข้างจะดังเลยทีเดียว ”

ปั้ง

“ !!!! ”

พูดจบเจ้าตัวก็หันกลับไปเล็งแล้วยิงอย่างรวดเร็ว เสียงปืนนั้นดังสนั่นไปทั่ว มันก้องกังวาลเพราะที่นี้ไม่มีที่ให้เสียงออกไปนอกจากทางเข้าห้องโถง

อย่างไรเสียคนที่อยู่ปลายทางนั้นก็เดินไปดูยังเป้าที่อยู่ในชุดเกราะเหล็กและเขาก็ต้องล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที เกราะนั้นมีรูเหล็กๆปรากฎอยู่ ทว่าสิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ หลังจากรูเล็กๆที่เกิดขึ้นที่ด้านหน้า มันยังมีอีกรูที่ด้านหลังของเกราะ และอีกรูที่ประตูทางเข้าห้องโถงนี้

“ อ อ อึก… ทะลุ ทะลุผ่าน น น น หน้าหลัง.. ”

หลังจากยืนยันได้แล้ว ทุกคนก็ต่างตกอยู่ในความเงียบสงบ พวกเขาเข้าใจในทันทีว่าอาวุธปืนนี้ต่างออกไป มันจะทำให้การสู้รับเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งเรื่องระยะที่ไกลกว่าดาบและหอก พลังโจมตีที่แม้จะเล็กแต่ก็ทรงพลังหากใช้ดีๆ

“ เอ้า!! รบกวนช่วยหลบออกไปเร็วๆด้วยครับ ผมจะเริ่มยิงต่อแล้ว!! ”

“ อี๊!!! ”

ทว่ามันไม่ได้จบแค่นั้น บอริสตะโกนบอกอีกครั้ง เพราะเขาจะเริ่มยิงปืนกระบอกถัดไปแล้ว ปืนเลวิส R ที่ตั้งอยู่กับพื้น ซึ่งทันทีที่ชายคนนั้นลุกขึ้นเขาก็รีบวิ่งออกจากแนวยิงทันที

“ เอ้า!! อุดหูกันด้วยครับ!! ”

“ !!! ”

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง … ปั้ง ปั้ง ปั้ง

ทันใดนั้นบอริสก็ตะโกนบอกกับทุกคน ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 47 ครั้ง พร้อมกับภาพของเกราะอัศวินที่พรุนจนไม่อาจจะเรียกว่าเกราะได้อีกต่อไป

“ เอาล่ะสุดท้ายก็… ”

แกร็ก ตู้ม

“ กรี๊ดดด!! ”

“ อ๋าา!! หูชั้น!! ”

และสุดท้ายเจ้าตัวก็หยิบปืนที่ผู้ติดตามส่งให้ ปืนมาร์ตินเฮนรี่R เข้านอนลงไปกับพื้น ตั้งท่าแล้วยิงทันที เสียงปืนนั้นดังสนั่นจนเหล่าสาวกหลายๆคนถึงกับยืนไม่ไหว ส่วนเป้าหมายน่ะเหรอพังยับเยิน เศษเหล็กกระจายไปทั่วบริเวณ และที่ประตูเองก็มีรอยรอยขนาดเล็กเกิดขึ้น บอริสลุกขึ้นมาแล้วหันไปถามกับเลวิทานด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ว่า

“ สรุปแล้วท่านสนใจจะตอบรับข้อเสนอและเป็นพันธมิตรกับยูโทเปียเลยดีหรือเปล่าครับ เพราะถ้ายืนยันตอนนี้ผมอาจจะขออนุญาตให้ท่านอควา ยอมให้ขายสัตว์เหล็กที่ไม่ได้ใช้แล้วกับโซลิทานก็ได้นะครับ สัตว์เหล็กที่มีเป็นดั่งป้อมปราการเคลื่อนที่น่ะครับ ”

……

ณ ทิศตะวันตกของโซลิทานมันคือหุบเขาและป่าสูงที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยมอนสเตอร์ สัตว์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติที่ยังไม่ได้ถูกเก็บเกี่ยว ซึ่งในวันนี้เองก็ต่างจากวันปกติออกไปเล็กน้อยที่กำลังมีกลุ่มคนราวๆ 200 กว่าคนกำลังอยู่ในสถานที่เหล่านั้น

“ เอาล่ะค่ะ ท่านความหวังทั้ง 4 วันนี้พวกท่านจะต้องสู้จริงแล้ว ดังนั้นอย่าประมาทเป็นอันขาดนะคะ แม้ว่าพวกท่านจะแข็งแกร่งกว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราก็ตาม ”

และตอนนี้ที่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคนกว่า 200 คนนั้น ก็คือหญิงสาวผมยาวสีออกบลอนด์เงิน ดวงตาของเธอนั้นถูกซ่อนอยู่หลังแว่นตาขอบเหลี่ยมสีดำ ดวงตานั้นช่างแดงดุจเลือดของมนุษย์ไม่มีผิด และใบหน้าของเธอก็อ่อนเยาว์อย่างเป็นที่สุด ส่วนรูปลักษณ์ของเธอนั้นก็มิอาจจะรู้ได้ว่าเป็นเช่นไรเพราะชุดแม่ชีที่ใส่มันปิดบังทุกสัดส่วนอย่างมิดชิด

“ ไม่ต้องกังวลหรอกครับท่านเฟนทินี่ ”

“ ตามที่ไอ้ยูดะพูดนั้นแหล่ะเจ๊ ไม่ต้องมาห่วงพวกข้านักหรอก ”

“ เดี๋ยวเถอะ!! เรียกใครว่าเจ๊กันยะ!! ”

อย่างไรเสียแม้ว่าตัวของเฟนทินี่จะมียศสูงถึงระดับคาร์ดินัล แต่ก็ไม่พ้นการถูกปฏิบัติแบบขอไปทีของจะฮิน ซึ่งสำหรับคนทั่วไปก็คงจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติแล้ว แต่จะฮินที่เป็นถึงผู้ถูกอัญเชิญมาเป็นความหวังจึงไม่ตกอยู่ใต้กฎทั่วไปของโซลิทาน

“ เน่เน่?? นานาวันนี้เค้าต้องเจ็บตัวจริงๆอ๋อ?!? ”

“ แน่นอนสิอาโอะ ก็เธอเป็นโล่ห์ของพวกเราไม่ใช่เหรอ ไม่สิ ของชั้นคนล่ะมั้ง? ”

ส่วนทางด้านของหญิงสาวสายซัพกับแทงค์นั้นทั้งคู่ก็ดูจะกล้าๆกลัวๆเล็กน้อยเพราะพวกเธอไม่เคยใช้ความรุนแรงมาก่อน สิ่งเดียวที่ทั้งสองทำในการซ้อมก่อนหน้าก็คือรับดาเมจและสนับสนุนยูดะกับจะฮืนที่อยู่แนวหน้า

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ท่านคาร์ดินัลขอรับ พวกเราเจอมอนสเตอร์แล้วขอรับ ”

ทว่าระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อัศวินในเกราะสีเงินก็วิ่งเข้ามาหาเฟนทินี่พร้อมกับคุกเข่าลงแล้วรายงานในสิ่งที่เขาเจอให้กับหญิงสาวตรงหน้า ส่วนเฟนทินี่นั้นก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะหันไปมองเหล่าความหวังทั้ง 4 คน

“ ท่านความหวังทั้งหลาย เชิญทางนี้ค่ะ… ”

“ รบกวนด้วยนะครับ ”

“ ฝากนำทางด้วยล่ะเจ๊ ”

“ เห้ออ..ค่ะ ”

หลังจากนั้นทั้ง 5 คนก็ได้เดินตามอัศวินคนที่ว่าไปยังที่หมายทันทีโดยมีกองกำลังอีกเกือบ 200 คนตามมาข้างหลังติดๆ และเพียงไม่นานพอพวกเขามาถึงก็ได้เห็นมอนสเตอร์ที่ว่า มอนสเตอร์สูง 2 เมตรที่มีหัวเป็นไก่ ตัวเป็นยักษ์กล้ามเนื้อแน่นเปรี๊ยะสีเข้มข้น พร้อมกับถือเสาหินอันเท่าตัวมันเองไว้อยู่

“ นั้นมัน…คูริตซ่า มอนสเตอร์ระดับ A อืมม ถือว่าหามาได้ดีเลยนะ ”

“ ขอบคุณขอรับท่านคาร์ดินัล ”

เฟนทินี่นั้นรู้จักมอนสเตอร์ที่ว่าเป็นอย่างดี สัตว์ประหลาดที่ในหัวไม่มีอะไรนอกจากซัดทุกอย่างที่ตัวเล็กกว่ามัน โดยเป้าหมายก็เพื่อป้องกันถิ่นของตนเท่านั้น ซึ่งทันทีที่ระบุเป้าหมายได้การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นทันทีภายใต้การควบคุมของเฟนทินี่

คนแรกที่เข้าไปก็คือจะฮิน หมอนี้พุ่งเข้าไปตรงๆ พร้อมกับดาบใหญ่ในมือของเขา ตามมาติดๆกันก็คือยูดะ เขาใช้จะฮินเป็นกำบังในการอำพรางตัวเพื่อจะลอบโจมตี อาโอะยังคงยืนถือโล่ห์กับพลั่วของเธอไว้ โดยด้านหลังก็มีนานาที่เตรียมตัวจะร่ายเวทย์ซัพพอร์ตให้กับแนวหน้าทั้ง 2 คน

การต่อสู้นั้นจึงเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แม้ว่ามันอาจจะดูอันตรายแต่ก็อย่างที่ได้บอกไป เฟนทินี่นั้นคอยจับตาดูทั้ง 4 คนอยู่เสมอ เพราะนี้เป็นหน้าที่ของเธอในวันนี้ มันจึงทำให้โอกาสที่จะเกิดอันตรายแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

แซค แซค แซค

ใช่… เป็นไปไม่ได้เลย หากคิดเพียงแค่ปัจจัยตรงหน้าอย่างมอนสเตอร์ที่กำลังโดนรุมโดยคน 4 คนซึ่งมีคนอีกกว่า 200 คนรอหนุนหลังในกรณีที่อันตรายอยู่ ทว่า ในวันนี้เฟนทินี่ก็ลืมคิดถึงปัจจัยอื่นอย่างศัตรูของพวกเธอ

“ บุก!!!! ”

“ “ โอ้!!!!!! ” ”

ในพุ่มไม้ของป่าแห่งนี้นั้น จู่ๆก็เกิดเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วและเพียงไม่นานเจ้าของเสียงก็ปรากฎตัวขึ้น เหล่ากองทัพในชุดเกราะสีดำ ที่กำลังยกธงสีดำตราเลือดขึ้นสูง

“ เพื่อท่านจอมมาร!! จงฆ่าไอเด็กเปรต 4 ตัวนั้นซะ!! ”

“ “ แด่ท่านจอมมาร!! ” ”

พวกนั้นคือ…กองทัพจอมมาร เกือบพัน ที่ได้มาดักรอศัตรูของพวกเขาอยู่นานแล้ว เป้าหมายไม่ใช่อื่นใดนอกไปจากตัวของผู้กล้าหรือเหล่าความหวังทั้ง 4 คน ที่ถูกอัญเชิญมาจากต่างโลก ตอนนี้ทั้งหมดจึงกำลังพุ่งชาร์จไปที่ 4 คนนั้นอย่างไม่ลังเล

[ ชิ!! พวกมันรู้ได้ยังไงว่า พวกเราพาท่านความหวังมาซ้อมจริงที่นี้!! อุตส่าห์ปิดเป็นความลับกับเลือกจุดที่ห่างจากแนวหน้าแล้วแท้ๆ!! ]

เฟนทินี่ต้องคิดเช่นนั้นเพราะสิ่งที่กำลังเกิดอยู่มันเกินกว่าที่เธอคาดไว้มาก แต่อย่างไรก็ตามเจ้าตัวก็หาใช่จะยืนนิ่งเรื่อย รอให้ศัตรูเข้ามาจัดการคนสำคัญของโซลิทานได้ง่ายๆ

“ เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งโซลิทาน จงแสดงเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ของท่านเลวิทานและปกป้องเหล่าความหวังเอาไว้ให้ได้!! ”

“ “ น้อมรับบัญชาขอรับท่านคาร์ดินัล ขอให้ท่านเลวิทานทรงคุ้มครองพวกเรา!! ” ”

ทันใดนั้นการปะทะของสองฝั่งจึงได้เริ่มขึ้น และเพียงไม่นานแนวของสงครามก็เริ่มจะปรากฎให้ได้เห็นอย่างไม่เกินคาดภายใต้การคาดเดาของเฟนทินี่ ฝ่ายของเธอนั้นกำลังได้ชัยเหนือกว่าพวกจอมมารขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

[ หึ!! คิดว่าคนไม่ถึงหมื่นจะเอาชนะกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์และเหล่าความหวังที่ได้รับพรตรงๆจากท่านเลวิทานได้รึไง!! จอมมารนี้มันงี่เง่าจริงๆ!! ]

“ ทุกคนอย่าบุกเกินไป ให้ไอพวกโสมมนั้นเข้ามาแล้วสัมผัสกับแสงแห่งการคุ้มครองของท่านเลวิทาน!! ”

เธอยังคงสั่งการต่อ ณ ใจกลางของกองอัศวินของเธอ อีกทั้งเหล่าความหวังเองก็ดูจะไม่เกรงกลัวศัตรูและลงมือจัดการกองทัพจอมมารได้อย่างไม่ยากเย็น ทว่า…

“ โอเค้! ดูท่าจะได้เวลาแล้วสินะ ปะ ไปกันเถอะ ”

ในเงามืดที่ซ่อนตัวบนต้นสนทั่วทั้งป่า เสียงของหญิงสาวขี้เล่นได้ดังขึ้นและทันใดนั้นเองจากเงาธรรมดาๆ ก็มีกลุ่มคนในชุดเกราะประหลาดมากมายกำลังยืนอยู่แทน ชุดเกราะสีดำรัดรูปพร้อมกับสวมหน้ากากเรียบเนียนไม่โดดเด่นแต่อย่างใด

“ จำไว้นะเป้าหมายคือใครก็ได้ใน 4 คนนั้น อย่าให้พลาดล่ะ ”

“ รับทราบครับ/ค่ะ ท่านหญิง ”

ทันใดนั้นเองกลุ่มคนราวๆ 10 คนก็ได้กระโดดลงจากต้นไม้ที่ใช้หลบซ่อนอยู่ พร้อมกับชักเอาดาบยาวออกมา ดาบพื้นๆที่เห็นได้ทั่วไปในสนามรบตอนนี้ รวมไปถึงหยิบเอาผ้าคลุมสีทรายมาคลุมกันจนหมดและทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น พวกเขาทั้งหลายก็กรูเข้าจากซ้ายและขวาของแนวรบทันที

“ นั้นมันพวกไหนกันวะยูดะ?? ”

“ ไม่รู้สิ ท่านเฟนทินี่กฌไม่เห็นบอกว่ามีกองเสริมมาด้วยนะ งั้นก็ระวังตัวไว้ก่อนแล้วกัน ”

“ อ่า อ่า เข้าใจแล้ว ”

“ อื้อ! เดี๋ยวเค้าจะคุ้มกันนานาไว้ให้เอง ”

“ ระวังงั้นสินะ โอเค เข้าใจแล้วล่ะยูดะ แต่ยังไงพวกนายเองก็ระวังด้วยล่ะถ้าออกไปไกลชั้นก็รักษาให้ไม่ได้นะ ”

“ ขอบใจที่เตือนนะนานา ”

ส่วนเหล่าความหวังทั้ง 4 คนนั้นก็เห็นกลุ่มคนที่ว่าด้วย พวกเขาและเธอจึงระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น รูปแบบการต่อสู้เองก็เริ่มบีบแคบเข้ามาจนอยู่ห่างกันไม่เกิน 10 เมตร เป็นรูปแบบการรบที่ระมัดระวังเป็นพิเศษ โจมตีก็ได้ ตั้งรับก็ดี

[ เดี๋ยว?!?! พวกนั้นมันอะไรน่ะ?!? มาจากไหนกัน? เดี๋ยวนะ เดี๋ยว!! กำลังเสริมของจอมมาร?!?… ]

ส่วนทางเฟนทินี่เธอนั้นตอนนี้กำลังตกใจเป็นอย่างมาก กองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้เข้าโจมตีมาจากสองฝั่งซึ่งนั้นมันจะเป็นการปิดล้อมเหล่าอัศวินเอาวไว้ได้ง่ายๆ แทนที่จะเป็นการปะทะมาจากด้านหน้าด้านเดียว ซึ่งทางยุทธศาสตร์แล้วมันถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ อีกทั้งพวกนั้นเองก็สามารถวิ่งฝ่าอัศวินเข้าไปหาความหวัง ได้อย่างรวดเร็วจนไม่มีใครเข้าขัดขวางไงไว้ได้

“ เอาล่ะ ไหนเอ่ย ฝีมือของพวกคนที่ถูกอัญเชิญมาขอดูสักพักก่อนก็แล้วกันนะ ”

ทว่าเจ้าของเสียงนั้น เธอไม่ได้โดดลงมาตามลูกน้องของเธอเลย กลับกันตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งกินขนมอยู่บนกิ่งไม้เพียงลำพังพร้อมกับกล้องส่องทางไกลไว้คอยดูคนทั้ง 4 คนนั้นที่เริ่มจะได้ปะทะกับลูกน้องของเธอ

ฟุบ กึก!!

“ เชี้ยเอ้ย!! ไอพวกนี้มันบ้าอะไรกันวะ!! ”

“ ทนหน่อยนะจะฮิน เดี๋ยวชั้นจะเพิ่มพลังให้เดี๋ยวนี้แหล่ะ!! ”

และคนแรกที่ต้องปะทะเลยก็คือจะฮิน ดาบยักษ์ของเขาที่เหวี่ยงเข้าปะทะหาศัตรูในชุดคลุมตรงหน้า มันไม่อาจจะตัดผ่านได้เหมือนกับศัตรูก่อนหน้าได้เลย ทุกการโจมตีของเขาถูกหยุดไว้ด้วยหลังมือของศัตรูทั้งสิ้น

ควับ ควับ ควับ

[ ไอเจ้าพวกนี้มันรู้ได้ยังไงกันว่าเราหลบอยู่ตรงนี้!? แบบนี้ก็ลอบโจมตีไม่ได้น่ะสิ!! ]

ส่วนทางด้านของยูดะเองเขาก็ตึงมือพอๆกับจะฮิน ศัตรูนั้นโจมตีเข้าใส่เขาได้แม้ว่าตัวของเขาจะแอบหลบซ่อนอยู่ด้วยสกิลของเขา สกิลที่จะลบและจางตัวตนของเขาลงเป็นอย่างมากถึงขนาดที่แม้จะอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถเห็นได้

ทว่าก็อย่างที่บอกไป ตอนนี้เขากำลังถูกไล่ฟัน ไล่ซัดอยู่อย่างต่อเนื่อง ขนาดที่ตอนนี้เจ้าตัวจะป้องกันและสวนกลับก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงเหลือเพียงแค่การหลบ หลบ หลบ ไปอย่างเรื่อยๆ

“ ไม่มีใครเก่งเลยแหะ อุตส่าห์ตั้งความหวังไว้เยอะเลยนาาา ”

และทางด้านหญิงสาวผู้นั้นก็ด้วย เธอกินขนมจนเสร็จแล้วก็โดดลงจากต้นไม้มายืนอยู่ที่ด้านล่างด้วยท่าทางที่ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่ที่เธอแสดงอาการอย่างนั้น เพราะทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมาแสงก็สาดส่องให้ได้เห็น

หญิงสาวผู้สวมชุดรัดรูปสีดำและสวมหน้ากากที่ปล่อยหมอกออกมาตลอดเอาไว้ เธอหยิบเอามีดเล่มเล็กขึ้นมาแล้วชะโลมมันด้วยของเหลวสีชมพูทันที

“ เอาล่ะ มารีบจบภารกิจของนายท่านกันเลยดีกว่า จะได้กลับไปนั่งเย็บชุดใหม่สำหรับงานหนังสือคราวหน้าต่อให้เสร็จ ”

พูดจบหญิงสาวผู้นี้ก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เธอเข้ามาสู่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยดวงไฟสีฟ้ามากมายนับไม่ร้อยกำลังมุ่งตรงไปยังทางข้างหน้า ส่วนตัวของเธอนั้นก็มีเทียนไขที่จุดไฟสีดำหมุนอยู่รอบกาย

………

[ ถอยก่อน!! ใช่ต้องถอยไม่งั้นแย่แน่ๆ!! ]

“ ถอย!! ถอยเร็วเข้า!! เจ้าพวกผ้าคลุมนั้นมันต้องเป็นระดับสูงของพวกจอมมารแน่!! ถ้าเรายังสู้ต่อท่านความหวังจะตกอยู่ในอันตราย!! เร็วเข้า!! รีบถอยซะ!! ”

เฟนทินี่นั้นมองออกถึงสถานการณ์ตอนนี้ ศัตรูเพียงไม่ถึงหยิบมือกลับสามารถต้อนเหล่าความหวังที่ได้รับพรจากเลวิทานได้อย่างง่ายดาย ขืนปล่อยต่อเธอจะต้องเสียพวกเขาไปแน่ๆ นั้นทำให้เธอกล้าจะออกคำสั่งนั้นในทันที

ซึ่งทันทีที่คำสั่งนั้นถูกถ่ายทอดออกไปกองอัศวินก็ทำตามอย่างรวดเร็วพวกเขาถอยพร้อมกับคอยเข้าคุ้มกันเหล่าความหวังทั้ง 4 ทันที ทว่าการออกคำสั่งนั้นไปมันก็เหมือนไปดึงความสนใจจนเกิดเป็นช่วงเวลาที่ “ผิดพลาด”

“ นานา เราต้องถอยกันแล้วนะ เร็วเข้าเดี๋ยวเค้าจะกันเอาไว้ให้!! ”

“ อื้อ!! ฝากด้วยล่ะอาโอะ!! ”

แน่นอนว่ากลุ่มที่ต้องถอยก่อนเสมอคือกลุ่มของแนวหลัง โดยเฉพาะนานากับอาโอะที่ไม่ความสามารถด้านโจมตีอยู่เลย และด้วยโชคยังดีที่พวกเธอไม่ได้ถูกกลุ่มชุดคลุมเข้าถึงตัวได้ไวเหมือนกับที่ยูดะกับจะฮินเจอ

หมับ

“ หุ หุ หุ จะไปไหนกันน่ะจ้ะเด็กๆ? ”

แต่แล้ว สิ่งที่ทั้งสองไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ๆที่ด้านหลังโล่ห์ยักษ์ของอาโอะ ก็ปรากฎร่างของหญิงสาวผู้สวมหน้ากากซึ่งมีหมอกถูกปล่อยออกมาตลอดเวลา และทันทีที่เธอปรากฎตัวออกมานั้น มือข้างหนึ่งของคนตรงหน้าจับเข้าที่แขนของอาโอะอย่างรวดเร็ว

“ เอาล่ะไป กันเถอะ… ”

ฟุบ

“ อาโอะ? อาโอะ?!? ”

และเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นอาโอะที่ควรจะถือโล่ห์ยักษ์เอาไว้ก็ได้หายไปราวกับว่าเธอไม่เคยออยู่ตรงนั้นมาก่อน ทิ้งให้นานายืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น

ตึก ตึก ตึก

“ นานา!! อาโอะล่ะ?!? อาโอะหายไปไหน ”

“ เชี้ยเอ้ย แม่งบ้าอะไรวะเนี้ย!! จู่ๆพวกเวรผ้าคลุมก็หายไป? อ้าว อาโอะล่ะ??! ”

เพียงชั่วครู่ แนวหน้าทั้งสองก็กลับมา ทว่าทันทีที่ทั้งคู่มาถึงก็เห็นเพียงโล่ห์กับพลั่วของอาโอะ และนานาที่ยืนนิ่งพร้อมกับจ้องมองไปที่สิ่งของตรงหน้าเธอด้วยดวงตาที่เริ่มจะมีน้ำไหลรินออกมา

“ อาโอะ.. อา โอะ…ถูกพวกมัน..ฮึก…เอา…ฮึก…ตัว..ไป… ”

“ จะฮิน… ”

“ ชิ!! อ่า เข้าใจแล้วน่ายูดะ เห้ย!! เจ๊ทอง!!กุไม่ถงไม่ถอยนะเว้ย!! ยัยอาโอะรอเดี๋ยวนะ!! เดี๋ยวพวกกุจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหล่ะ!! ”

ทั้งสามคนคนที่เหลืออยู่ ก็ล้วนคิดว่านี้เป็นฝีมือของจอมมารแน่ๆ และเริ่มโจมตีกลับอย่างกล้าหาญทันทีโดยไม่สนใจคำสั่งถอยของเฟนทินี่แต่อย่างใด ทำให้ พวกจอมมารที่ตอนแรกเริ่มจะได้เปรียบต้องกลับไปเสียเปรียบอีกครั้ง…

……

เพล้ง

“ อะไรนะ!! เซบาสนี้แกจะบอกว่ากองทหารที่ข้าคัดมาแล้วส่งไปจัดการผู้กล้าตายหมดเนี้ยนะ?? ”

ภายในห้องโถงของปราสาทสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซึ่งกว้างขวางและใสสะอาด ที่นี้คือวังของจอมมาร วังหลังใหม่ที่ย้ายมาเพราะเหตุการณ์การโจมตีของแมลงประหลาดจนกองทัพจอมมารไม่ได้หลับไม่ได้นอนหลายวันติดๆกัน

“ ขอรับท่านจอมมาร กองทัพอันเกรียงไกรของท่าน ทัพ “ไม้เรียวฝาดหน้าจนก่อเกิดหยดน้ำตาแห่งผู้กล้า” โดนเหล่าผู้กล้าทั้ง 3 คนและเหล่าอัศวินของโซลิทานสังหารจนหมดครับ ”

และที่ด้านหน้าของเขาก็คือเซบาสตุนพ่อบ้าน ชายหนุ่มหน้าชราร่างท้วมหุ่นดีผมยาวล้านเตียน กำลังคุกเข่ารายงานต่อจอมมารผู้เป็นนายเหนือหัวอยู่

“ ชิ ไอพวกนั้นมันอะไรกันวะ!!! ”

“ ใจเย็นก่อนไม่เป็นหรือไงเป็นจอมมารแท้ๆ แต่ไร้วุฒิภาวะชะมัด.. เออ แล้วเมื่อกี้บอกว่า 3 คนใช่หรือเปล่าเซบาสตุน ถ้าชั้นจำไม่ผิดตอนแรกบอกว่ามี 4 คนไม่ใช่รึไง? ”

“ ไร้วุฒิภาวะ?? แกกกกก!! ”

โป๊ก

“ อ๊ากกก หัวข้าาา หัวเข่าของข้าาาาา!! ”

“ เอ่อ ลงไปนอนดิ้นอยู่นั้นแหล่ะไอเจ้าจอมมารเศษเดน ”

แน่นอนว่าจอมมารอย่างออฟซิลนั้นก็ต้องโกรธเป็นธรรมดาตามปรกติของเขาที่โดนต่อว่าแบบนั้น ทำให้เจ้าตัวกระโดดเข้าใส่หวังจะจัดการกับฟารุน ส่วนฟารุนก็สวนกลับง่ายๆด้วยการเตะอัดหัวเข่าจอมมารเข้าไปจนล้มลงไปนอนร้องกับพื้น

“ ขอรับท่านฟารูน เดอรัน ออฟลิฟวิ่งเดท อินเดอะเอ็าส์ โฮลล์จูนีเอ็ตต้า ตามรายงานของสายมีเพียง 3 คนขอรับ ”

“ เห้ออ หยุดเถ้ออขอร้องล่ะไอเรื่องเรียกชื่อเนี้ย…แต่ว่า… 3 คน งั้นก็จริงสินะ ที่ว่ามีมือที่ 3 เข้ามาก่อเรื่องให้พวกเราโดนหมายหัวหนักกว่าเดิม ”

ฟารูนนั้นตอนนี้เธอปลงกับการเรียกชื่อของเซบาสตุนไปแล้ว แต่ว่านอกจากเรื่องนั้น ตอนนี้เธอก็กำลังกังวลอีกเรื่องนั้นก็คือการประกาศอย่างชัดเจนจากโซลิทานว่าจะทำสงครามเต็มรูปแบบกับกองทัพจอมมาร เพราะพวกนั้นเข้าใจว่ากองทัพจอมมารลักพาตัว 1 ใน ผู้กล้าไป

ไอการประกาศแบบนี้ก็เป็นสัญญาณแล้วว่า ต่อจากนี้โซลิทานจะเริ่มเป็นฝ่าย “บุก” บ้าง ซึ่งตัวของฟารูนก็รู้ดีว่าโซลิทานจะไม่ทำแบบนี้แน่ๆ เพราะโซลิทานเป็นอาณาจักรที่รักสงบเป็นอย่างมากและสงครามก็คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ

“ เห้อ… เพราะแกแท้ๆเล้ย ไอจอมมารเวร แค่ชั้นไม่อยู่ไม่กี่เดือนก็ก่อเรื่องก่อราวจนได้สินะ ”

ถ้าไม่ติดที่ว่า…ช่วงที่เธอกำลังสืบเรื่องของทวีปใหม่อยู่นั้น จอมมารที่รู้สึกเบื่อก็คิดจะหาอะไรทำ เช่นการส่งทหารของเขาไปเกรียนประเทศที่ดูอ่อนแอ และประเทศที่อ่อนแอในสายตาของจอมมารก็คือประเทศที่ไม่เคยคิดจะเปิดใครก่อน

ซึ่งที่ที่ว่าก็แสนจะอยู่ใกล้ตัว โซลิทาน ที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร นั้นจึงทำให้เขาสั่งการกองทัพจอมมารไปทำการป่วนประสาทและโจมตีใส่หัวเมืองของโซลิทานไปเรื่อย

“ เอาเถอะ จะมาบ่นไปก็ไม่ได้อะไรแล้วด้วยสิ เซบาสตุนต่อจากนี้ก็ฝากคุมไม่ให้ไอบ้านั้นออกจากห้องไปทำอะไรพิเรณๆอีกล่ะ แล้วก็กระจายคำสั่งไปว่าเราจะต้องจัดการกับโซลิทานก่อนที่อื่นไม่งั้นคงแย่ๆแน่ ”

“ จะจัดการให้ตามที่ท่านบัญชาเลยขอรับท่านฟารูน เดอรัน ออฟลิฟวิ่งเดท อินเดอะเอ็าส์ โฮลล์จูนีเอ็ตต้า ”

“ ส่วน…แนวการรบเอาเป็นยิดยื้อและลอบโจมตีไปเรื่อยๆให้ศัตรูบาดเจ็บหนักไว้ก่อนก็แล้วกัน ฮ้าาา แต่ยังไงก็ต้องเรียกพวกขุนศึกกลับมาก่อนล่ะนะ ”

ฟารูนนั้นถอดหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องโถงนี้ไป พร้อมกับคิดวนไปวนมาถึงการจัดการต่อจากนี้ การจัดการภาระที่จอมมารก่อไว้ให้กับเธอ

“ ทั้งๆที่ค่อยๆทำตามแผนไปป่านนี้โลกครึ่งใบก็เป็นของเราได้แล้วแท้ เพราะแกแท้ๆเลย ไอ้ออฟซิลน่าโง่ แล้วก็ไอพ่อบ้าที่เลี้ยงมันมาอย่างงี้ด้วย… ”

……

“ เอาล่ะ เอาล่ะ หมดเวลาสนุกแล้ว ได้เวลาประชุมแล้วนะ ”

“ ค้าาาาา ”

“ เจ้าค่ะ ”

“ ได้ตามบัญชาของนายท่านค่ะ ”

ใต้ภูเขาใจกลางยูโทเปียที่นั้น มาร์ได้เรียกประชุมกลุ่มเมดที่ยังอยู่บนเกาะของเขาเพื่อกำหนดเป้าหมายฉุกเฉินใหม่ในปีนี้ เป้าหมายฉุกเฉินที่เจ้าตัวไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นสักเท่าไหร่

“ หัวข้อการประชุมครั้งนี้ก็อย่างที่ได้บอกไป เราต้องกำหนดเป้าหมายฉุกเฉิน เพราะตอนนี้ผมได้รับแจ้งแล้วจากสายข่าวอย่างเพนเท อ่า…แล้วขอบใจนะเพนทสำหรับข้อมูลที่ไปหามา… ”

“ ยินดีเสมอค้าาา นายท่านขาาา!! ”

มาร์หันไปยิ้มให้กับเพนเทที่นั่งอยู่ ณ เก้าอี้หมายเลข 5 ของเธอพร้อมกับทักชุดอะไรบางอย่างไปด้วย ตัวของมาร์นั้นไม่ได้จะห้ามเธอ เพราะเขารู้สึกว่าไหนๆ เพนเทก็ทำงานได้เป็นอย่างดีให้เจ้าตัวได้ทำตามใจบ้างคงไม่เป็นอะไร

“ …ข่าวนั้นคือไออาณาจักรที่ชื่อว่าโซลิทานเนี้ย ได้ทะลึ่งไปอัญเชิญสิ่งที่เรียกว่า คนจากต่างโลกมาเป็นที่เรียบแล้ว แน่นอนว่าพอมีสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาแบบนี้ ผมจึงได้ออกคำสั่งให้เพนเทไปสังเกตุการณ์มาแล้วก็พบว่า ที่อัญเชิญมานั้นมีถึง 4 คนเลยทีเดียว อีกทั้ง 4 คนที่ว่าก็น่าจะเติบโตเป็นบุคคลทรงพลังที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ไม่ยาก ”

เขาพูดเสร็จก็หยิบเอาน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วหยิบเอากระดาษที่พกมาขึ้นมาอ่าน ในขณะเดียวกันภาพที่จอก็เปลี่ยนไปเป็นภาพมุมสูงของเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ เหตุการณ์จับกุมคนบุกรุกทั้ง 4 คนโดยหน่วยพิเศษ

“ ส่วนนอกจากไอเรื่องนั้นก็มีปัญหาอีกอย่าง นั้นก็คือกองทัพของจอมมารที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นปัญหากับพวกเราได้แน่ๆในอนาคต หากปล่อยไปเรื่อยๆไม่สนใจ คำถามว่าทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะกองทัพเวรนั้นไม่สนอะไรเลยน่ะสิจ้องแต่จะตีมันเสียทุกฝ่าย ตีแบบมีแบบไม่มีแผนด้วยซะส่วนใหญ่ล่ะนะ เห็นง่ายๆก็จากการที่รุกรานทุกประเทศไปทั่ว อีกทั้งเอ่อ… ทิเรีย เอนนาสอบสวนเสร็จแล้วใช่หรือเปล่า? ”

แต่ละหว่างที่พูดอยู่นั้นมาร์ก็หยุดและหันไปมองเอนนากับทิเรียที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน ทั้งสองลุกขึ้นก่อนจะตอบคำถามของเขาด้วยท่าทีที่สุภาพเรียบร้อยและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ เจ้าค่ะนายท่านพวกเรา"สอบถาม" ผู้บุกรุกพวกนั้นเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ”

“ ตามที่ทิเรียบอกเลยค่ะนายท่าน พวกนั้นมาจากกองทัพจอมมารแถมดูเหมือนว่าจะผ่านการฝังคำสาปไว้ด้วยค่ะ เพราะทันทีที่ยอมปริปา… ยอมให้ความร่วมมือในการตอบคำถามกับพวกเรา ก็เฉาตายไปในทันทีเลยล่ะค่ะนายท่าน ”

“ เฉาตาย? ”

มาร์นั้นสงสัยในส่วนที่ว่าจึงได้พูดออกมา ซึ่งทั้งสองก็หันไปมองยังหญิงสาวที่นั่งจิบกาแฟอยู่เนื่องๆด้วยใบหน้าเซ็งๆ เอเนอา และเธอที่รู้สึกตัวก็ลุกขึ้นทันทีอย่างเร่งรีบก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสแทน

“ ฮะ!! นายท่าน!! ผมตรวจสอบร่างของผู้ถูกส ส ส อบถามเรียบร้อยแล้วฮะ พบว่าในร่างของพวกเขา เอ่อ…ส่วนของหัวใจได้มีการสลักคำสาปบางอย่างเอาไว้ที่ดูเหมือนว่าจะทำงานให้ร่างกายสูญเสียน้ำกับกล้ามเนื้อทั้งหมดไปหากพูดอะไรที่คนสาปไม่ต้องการหลุดออกมาน่ะฮะ ”

“ คำสาปนี้เอง ขอบใจนะทั้งสามคน… อ่าที่นี้ก็จะเห็นได้ไม่ว่าจะอะไรก็ช่าง มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องที่ว่าเจ้าพวกนั้นกล้าจะลักลอบเข้าเมืองของเราล่ะนะ ”

เมื่อได้รับการอธิบายเรียบร้อยมาร์ก็พูดต่อด้วยท่าทีสบายๆ ในขณะที่ทั้งสามคนนั้นได้แก เอนนา ทิเรีย และเอเนอา ก็นั่งลงพร้อมกับตั้งใจฟัง

“ ดังนั้นเป็นไปได้เพื่อเป็นการตอบแทนความกล้าดีต่อพวกเรา ผมก็อยากให้กองทัพจอมมารเสียหายมากที่สุดโดยไม่ต้องไปเสนอหน้าก่อสงครามเอง แต่ตามตรงก็ไม่ได้ถึงกับอยากให้หายไปเพราะว่าตอนนี้พวกกองทัพจอมมารเนี้ยเป็นเหตุให้ทั่วโลกยังไม่มาสนใจยูโทเปีย หรือมองเราเป็นศัตรูต่ออำนาจของพวกเขาสักเท่าไหร่ ”

ระหว่างที่พูดอยู่นั้นมาร์ก็ได้เลื่อนไปภาพถัดไป ภาพมุมสูงของโซลิทานที่เต็มไปด้วยเส้นของการวางแผนมากมาย ซึ่งเมดทุกคนในห้องพอได้เห็นก็พยักหน้าพร้อมกับพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นทันที

“ ตอนนี้โซลิทาน รัฐนี้ ประเทศนี้ ทวีปนี้ อาณาจักรนี้เป็นเพียงไม่กี่ที่ที่ไม่ได้มีชื่อเป็นคู่การค้ากับบริษัทโรงงานผลิตของเล่นGHOSTของพวกเรา และไม่มีแม้แต่ร้านค้าย่อยขององค์กร [ผี] ของพวกเราอยู่เลย ดังนั้นโซลิทานจึงไม่จัดอยู่ในประเภท [ พันธมิตร ] หรือ [ ศัตร ] อย่างชัดเจน ซึ่งก็มีเรื่องดีอีกอย่างก็คือ ที่นี้ดันอยู่ใกล้กับกองทัพจอมมารอย่างพอเหมาะพอดีเลย ”

เจ้าตัวนั่งลงก่อนจะมองไปที่เหล่าเมดของเขา เอนนา ดีย์โอะ ทิเรีย เทเสล่า เพนเท เอ็กซิ อคโต เดคกะ เอเนอา เอปต้า อัลฟ่า เบต้าวันและเบต้าทู ที่นั่งอยู่ ซึ่งที่นี้ขาดไป 2 คนด้วยกันคือ ยูเรย์ที่ติดเรียน กับอัลฟ่าที่ยังต้องคุมบลิสอยู่ในเงามืด

“ ผมจึงได้ข้อสรุปแล้วว่า ในปีนี้เป้าหมายฉุกเฉินของเราก็คือการทำให้เกิดสงครามยืดเยื้อระหว่างโซลิทานกับกองทัพจอมมาร แล้วเราก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยโซลิทานในนามของพันธมิตรใหม่ โดยประโยชน์ที่ผมเล็งไว้มีด้วยกันหลักๆ 4 อย่าง

1.เพื่อให้ปืนของเราเข้าไปสร้างฐานผู้ใช้ในโซลิทานได้

2.เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของผู้ที่ถูกอัญเชิญมาอย่างใกล้ชิดได้โดยไม่ผิดสังเกตุรวมไปถึงแทรกซึมสร้างรากฐานองค์กรของเราในนั้น

3.ลดกำลังของจอมมารลงจนพวกนั้นต้องตัดสินใจเดินเกมรัดกุมกว่านี้จนพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงอีก

และ 4.เพื่อให้ทั้งโลกทราบข่าวว่ายูโทเปียเป็น ฝ่ายดี ที่เป็นมิตร ”

ทันทีที่เมดทุกคนในตอนนี้ได้ฟัง ก็ต่างหันมาพูดคุยกันเล็กน้อยอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าให้กัน และหนึ่งในนั้นก็ยกมือขึ้น ทิเรียเธอยังสงสัยอยู่อย่างหนึ่งอยู่

“ นายท่านเจ้าคะ ขอเสียมารยาทถามอะไรสักอย่างได้หรือเปล่าเจ้าคะ? ”

“ ว่ามาสิทิเรีย… ”

“ คือว่าดิชั้นสงสัยว่าพวกเราจะเข้าไปยื่นมือได้อย่างไรกันเจ้าคะ ไม่สิจะเข้าไปทำให้ทั้งสองฝั่งก่อสงครามยืดเยื้อได้อย่างไร ในเมื่อทั้งสองฝั่งนั้นเป็นกลุ่มที่ไม่เคยมีความคิดจะประกาศสงครามกันจริงๆจังๆน่ะเจ้าค่ะ ”

ทิเรียถามคำถามนี้ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่แปลกนักที่เธอจะถามแบบนั้น เพราะเธอรู้ว่าโซลิทานคงไม่ไปบุกกองทัพจอมมารแน่ๆเพราะเป็นอาณาจักรศาสนาที่รักสงบ ส่วนฝั่งจอมมารก็ไม่เคยจะประกาศสงครามจริงๆสักทีเอาแต่ตีไปทั่วแบบนั้น

“ อ๋อ… เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกอีกไม่นานก็คงประกาศสงครามกันแล้วล่ะ ”

“ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกันเจ้าคะ ?!? ”

เธอที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ทว่ามาร์กับเพนเท ทั้งสองต่างยิ้มออกมา โดยเฉพาะเพนเทที่นั่งอยู่ทักเสื้ออยู่เธอถึงกับหยุดมือลงและหันมามองทิเรียที่นั่งถัดออกไปโดยมีเทเสล่าคั้นกลางเอาไว้

“ ก็ไม่เห็นจะยากนิทิเรีย นายท่านของเค้านะพึ่งสั่งให้เค้าไปลักพา 1 ในนั้นน่ะ พวกคนจากต่างโลก ออกมาเมื่อเช้านี้เองแหล่ะนะ ฮะ ฮ่าๆๆ ”

“ อะไรนะเจ้าคะ!! ”

“ ใช่แล้วล่ะทิเรีย ผมได้สั่งให้เพนเทไป “เชิญตัวมา” มาเพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับคนจากต่างโลกที่ว่าพร้อมโดยทั้งหมดทำไปโดยมีเบื้องหน้าเป็นกองหนุนของกองทัพจอมมาร… ”

และเมื่อมาร์พูดจบ ภาพของคนที่ถูก “เชิญตัวมา” ที่ว่านั้นก็ถูกฉายขึ้นให้เห็นที่ตรงกลางโต๊ะประชุม ภาพของหญิงสาวที่กำลังถูกปิดตาด้วยสายรัดสีดำ กับยัดบอลเล็กๆไว้ในปากไม่ให้เธอได้พูด นอกจากนี้ก็ยังถูกตรึงไว้ด้วยโซ่เหล็กพิเศษที่แขนและขาข้างละ 4 เส้นที่ทำหน้าที่ดูดมานาออกตลอดเวลาเพื่อลดความสามารถลง

ซึ่งเธอคนนี้ก็กำลังถูกจับขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดินลึกสุดของฐานทัพ ที่นั้นได้มีการล้อมรอบไปด้วยอุปกรณ์แทรกการติดตามทุกประเภทดังนั้นมันจึงไม่น่าเป็นห่วงเรื่องความจะแตกเลยแม้แต่น้อย

“ …ส่วนหลังจากนี้จะศึกษาอะไรยังไงนั้น อัลฟ่าจะเป็นคนรับผิดชอบต่อไป ฝากด้วยนะอัลฟ่า ”

“ ยินดีเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะนายท่าน ”

อัลฟ่าลุกขึ้นและโค้งตัวลงเคารพนายท่านของเธออย่างสง่างามท่ามกลางสีหน้าอันแสนจะอิจฉาของเอเนอาที่มองเธออยู่ เพราะเจ้าตัวในฐานะนักวิจัยเองก็อยากจะลอง “ศึกษา” คนจากต่างโลกดูเหมือนกัน

“ ข.. ข เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน เช่นนี้อีกไม่นานโซลิทานก็จะประกาศสงครามเพื่อทวงตัวหญิงสาวคนนี้คืนจากจอมมารสินะเจ้าคะ ”

“ อื้ม ใช่แล้วล่ะ และเมื่อมาถึงตอนนั้นพวกเรา ในฐานะฑูตของยูโทเปียก็จะเข้าไปยื่นมือแล้วใช้โอกาสนั้นทำสงครามยืดเยื้อเพื่อเงินขึ้นมายังไงล่ะ ”

……

ณ ประเทศ สารขัณฑ์ บริเวณชายแดน ในป่าทึบ กำลังมีห่ากระสุนปืนปลิวว่อนไปทั่วพื้นที่นั้น ทหารมากมายในชุดลายพรางสีเขียวแก่ต่างพากันหลบกระสุน พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนต่างชาติ ผมสีบลอนบ้าง ผิวสีบ้าง ไว้หนวดเคราหนาเตอะบ้าง

พวกเขาพยายามต่อสู้กับกองทัพศัตรูที่ทาโทมเข้ามา ศัตรูพวกนั้นสวมชุดสีน้ำตาลอ่อนสวมหมวกที่มีรูปดาวแดงไว้ ทุกคนล้วนเป็นคนผิวสีเหลืองที่แค่เห็นก็รู้ว่ามาจากที่ใด

"จ่าครับ ผมยิงไอหมอนั้นตายไปแล้ว ทำไม!! ทำไมมันยังกลับมาอีกครับ จ่า!!!!" ทหารคนนึงตะโกนขึ้นในขณะที่กำลังสาดกระสุนจากปืนกลหนักของเขาไปยังเหล่าทหารที่กรูกันเข้ามาเป็นคลื่นมนุษย์

"ที่นี้มันเอเชียนะเว้ย ชินได้แล้ว เอ็งก็อยู่มาจะ 2 สัปดาห์แล้วไม่ใช่หรือไงวะ ไอเบื้อกก"

ชายหัวล้านสวมชุดลายพรางตะโกนกลับมาพร้อมกับเขวี้ยงถังกระสุนมาที่ทหารคนนั้น

"โอ้ว ขอบคุณคับจ่าสเวน แต่เราต้องตรึงอยู่ที่นี้อีกนานไหมครับจ่าสเวน เห้ยๆๆ ไอหมอนั้นอีกแล้วว จะหน้าซ้ำกันเยอะเกินไปแล้วเว้ย!!! โอ๊ย ไอพวกเชี้ย โยนแม็กมาทำดอยไรวะ โอ๊ย"

ทหารคนนั้นยังคงยิงปืนไปพร้อมกับบ่นเสียงดังโวยวาย จนเพื่อนทหารรอบๆเริ่มโยนซองกระสุนเปล่าๆใส่

"อย่ามัวแต่บ่นแล้วยิงๆเข้าไป พวกเราต้องตรึงกำลังไว้จนกว่าไอพวกไรซ์ฟิลนั้นจะถอยกลับไปได้นะเหวยยย โอ้วววว" จ่าหัวล้านที่ชื่อว่า สเวน ตะโกนสั่งทหารของเขาด้วยเสียงที่ดังจนได้ยินไปทั่วแนวยิง

[เห้ออออ ถ้ายังต้องยื้อแบบนี้อีก 1 หรือ ชั่วโมงมีหวังพวกเราเองก็ไม่ไหวแน่ๆ เชี้ยเอ้ยยย ไอพวกทหารสารขัณฑ์ใช้งานพวกกูเป็นหมากใช้แล้วทิ้งเลยนะเว้ยยยยย] จ่าคนนั้นคิดในใจด้วยความโกรธจนสีหน้าเขาแดงก่ำ

ใช่ เรื่องทั้งหมดไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย…..ย้อนกลับไป 24 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ในห้องประชุมของกองทัพสารขัณฑ์ ได้มีการตกลงจ้างทหารรับจ้างจากบริษัทยุโรป ให้เข้ามาช่วยการถอนกำลังจากชายแดน โดยพวกเขาบอกเพียงว่าให้เข้าไปช่วยในจุดดังกล่าว

"ยังไงก็รบกวนด้วยนะคุณสเวน"

ชายวัยกลางคนหุ่นพุงพลุ้ยในเครื่องแบบนายพลพูดกับนายทหารหัวล้านด้วยท่าที่ไม่เป็นมิตรนัก

"เห้ออ เอางั้นก็ได้ แต่อย่าลืมโอนเงินค่าจ้างพวกเราให้บริษัทด้วยละไอพวกไรส์ฟิว" ชายหัวล้านกล่าวพร้อมกับเดินออกไป

เขาเป็นชายผิวสีแทนอ่อนๆตัวใหญ่สวมเสื้อกล้ามสีเขียว บนหลังมีรอยสักมังกร พร้อมกับอักษรประเทศนึงเขียนไว้ เขามีบาดแผลจากสงครามจำนวนมากทั่วตัวจนเห็นได้ชัดทั้งรอยมีด รอยกระสุน

20 ชั่วโมงต่อมา สถานการณ์ที่คิดไว้ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยเพื่อถอยกำลังกลายเป็นเข้าไปล่อศัตรูแล้วยื้อไว้ซะงั้น พวกทหารรับจ้างที่ถูกจ้างมามีเพียง 24 คน แต่ตอนนี้ต้องสู้กับ ทหารศัตรู 2 กองพัน

ปัจจุบัน… ก็เป็นตามที่เห็น พวกเขาทุกกดดันจากรอบด้านด้วยคลื่นมนุษย์ดาวแดง ตัวจ่าที่เป็นคนคุม…สเวน โฟลเด้น ก็ได้แต่กลุ้มและวางแผนโดยใช้อุปกรณ์เท่าที่มีเหลือไว้ในแนวยิงนี้

สถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลง เลงร้ายลงเรื่อยๆ ทุกนาทีที่ผ่านไป กระสุนน้อยลง คนบาดเจ็บเริ่มมีมากขึ้น

[เอาวะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปมีแต่จะเสียหายเปล่าๆ ในนี้ก็มีกุคนเดียวสินะที่พอจะไปต่อยาวๆได้ ชิบหายเอ้ยยย ถ้ารอดไปได้นะ กุจะไปเป่าหัวไอนายพลไรส์ฟิลนั้นแน่!!] สเวนคิดแบบนั้น

"เห้ย พวกแก ได้เวลาถอย!!! คนที่หามคนเจ็บได้ก็หามไป ใครพอแบกอาวุธแบกยาได้ก็เอาไปด้วยเข้าใจไหมพวกเอ็ง!!!"

สเวนตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ดังกว่าเสียงกระสุนที่พุ่งไปมา แต่การตะโกนนั้นทำให้พวกทหารใต้บังคับต่างพากันส่งเสียงร้องดีใจแล้วเริ่มจัดการตามที่สั่ง

เวลาผ่านไปเพียง 20 นาที ทุกอย่างก็พร้อม พวกทหารต่างพากันเริ่มถอยตามที่ได้สั่งแต่ว่า…

"จ่าสเวน!!! ทุกคนพร้อมแล้วครับ จ่าเองก็ถอย…" ทหารผมดำคนนึงตะโกนเรียกเขา

"พวกเอ็ง!!! ถอยไปก่อนเลยเดี๋ยวกุตามไป!!!" สเวนตะโกนตอบกลับพร้อมกับยิงสนับสนุนด้วยปืนกลหนักสองกระบอกใส่ทหารที่ยังกรูกันเข้ามา

เหล่าทหารของเขาที่ได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ได้ยิน พวกเขาหันมองหน้ากัน และเริ่มจะเดินกลับเข้าไปที่แนวยิง แต่ว่า!!

*ปั้ง*

เสียงปืนดังขึ้นกระสุนพุ่งเข้ามาที่ข้างหน้าของพวกทหาร

พวกเขาเงยหน้ามองคนที่ยิง…จ่าสเวน เขายิงมาด้วยสีหน้าที่โกรธและกัดฟัน สะบัดหน้าบอกอ้อมๆให้พวกทหารของเขารู้ว่าถ้ายังเข้ามาเขาจะยิง

"ถอยไป พวกแกมีลูกเมียที่ต้องกลับไปหาไม่ใช่เหรอไง ไป ไปได้แล้ว ไป!!!" สเวนยังตะโกนอยู่แบบนั้น

พวกทหารต่างพากันก้มหน้าและหันหลังให้สเวนด้วยสีหน้าเศร้าโศก พวกเขาเริ่มออกวิ่งหามของหามคนตามที่สเวนได้สั่งให้ทำไว้ เว้นแต่นายทหารนายหนึ่งเขาดูเป็นคนเอเชียผมสีดำใส่แว่นกลม

สเวนหันไปมองแล้วตะโกนไล่เขา แต่ว่านายทหารคนนั้นก็ยิ้มและก้มหัวให้เขาก่อนจะตะโกนกลับมา

"จ่าครับ ผมมีเรื่องจะสารภาพ รอยสักของจ่าที่สักน่ะ ไอภาษาที่เขียนไว้ มันแปลว่า ฝรั่งขี้เมา!!! แล้วคนที่ให้ช่างเขียนก็ผมเองนี้แหละ!!!"

สเวนที่ได้ยินก็หลุดขำขึ้นมา "เออ!!!กูรู้แล้ว ไว้กลับไปจะซ้อมให้ยับเลย ไอเบื้อกทานากะ!!!"

"งั้นจ่าต้องรอดกลับมาซ้อมพวกผมให้ได้นะครับ!!!" เขาก้มหัวอีกครั้งก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป

[ให้ตายเถอะ ไอพวกบ้าพวกนี้….หวังว่าเราจะรอดกลับไปนะ แต่ตอนนี้พวกเอ็งที่กรูเข้ามา ตายซะ!!!]

"อ้ากกกกกกกกก ตายๆๆๆ ตายไปซะให้หมด แล้วเป็นใบเบิกทางให้ไอพวกบ้านั้นรอดกลับไปซะ!!!"

เสียงตะโกนนั้นดังกึกก้องไปทั่วป่า ทหารที่หนีออกมาต่างพากันร้องไห้แล้วก้มหน้าก้มตาวิ่งต่อไปโดยไม่อาจจะมองกลับไปได้อีก

30 นาทีผ่านไป พวกทหารดาวแดงเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สเวนที่เห็นก็รู้ว่า [ ถ้าไม่ถ่วงไว้นานกว่านี้พวกนั้นคงหนีไม่รอดแน่ๆ ]

สเวนเริ่มทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิด เขาออกจากแนวยิงและแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วยระเบิดC4 จำนวนมาก ในมือเขาถือเพียงปืนกลเบา

เขาคลานไปตามพุ่มไม้เข้าหาศัตรู และปาระเบิดใส่พวกนั้น สร้างความสับสนในหมู่ศัตรู ทั้งการทำแบบนั้นทำให้ศัตรูชะลอการบุกลงเพราะเข้าใจว่ามีแนวปืนใหญ่ยิงสนับสนุน พวกนั้นจึงเริ่มบุกช้าลง

ทว่า สเวนกลับทะลวงเข้าไปในแนวศัตรูและยังคงปาระเบิดไปทั่วสนามรบ จนกระทั่ง 2 ชั่วโมงต่อมา ศัตรูก็หยุดโจมตีและเริ่มถอยร้นออกไป

สเวนคิดว่า [ได้เวลาถอยแล้วสินะ] เขาจึงเริ่มถอยเหมือนกันแต่ว่า……

[ทำไมมันเงียบแปลกๆ]

*ตู้ม* *ตู้ม* *ตู้ม*

เสียงประสุนปืนใหญ่ตกแถวที่เขาอยู่

[อ่า…..ปืนใหญ่สินะ]

สเวนยืนมองท้องฟ้าแล้วเห็นห่ากระสุนปืนใหญ่ตกลงมา ในบริเวณที่เขาอยู่ เขาได้แต่ยืนยิ้ม

"อย่างน้อย ไอพวกบ้านั้นก็น่าจะรอดกลับไปได้ละนะ ฮ่าๆๆ…ลาก่อน"

คำพูดนั้นเป็นคำพูดจากลมหายใจสุดท้ายของสเวน เป็นคำพูดที่ไม่มีใครได้ยินอีก

……………………..

………………

………

…..

[ทำไมโลกหลังความตายมันขาวดีจังแหะ]

โห้ย…พ่อหนุ่ม เจ้าได้ยินไหม

[ผ่านมากี่นาทีแล้วหว่า…หลังจากที่เราโดนกระสุนปืนใหญ่พวกนั้น]

เห้ย..เจ้าน่ะได้ ยินข้าหรือเปล่า

[แหม่…โลกหลังความตายนี้ช่างเงียบสงบดีจริงๆแหะ นี้สินะดินแดนอันเป็นนิรันดร์]

ไอโล้นได้ยิน ข้าไหม เห้ยๆ ไอโล้น!!

[ห๊ะ?….เมื่อกี้ใครพูดว่าอะไรนะ? โล้น?]

เออ!!! เอ็งนั้นแหละไอโล้นได้ยินข้าหรือเปล่า อย่ามัวแต่มองท้องฟ้าขาวๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว!!!

สเวนที่ได้ยินก็เลือดขึ้นหน้าแล้วลุกขึ้นทันทีเขามองไปรอบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดแต่สิ่งที่เขาเห็นก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

"เดี๋ยวนะ นี้เราคงหูฝาดไปเองละมั้ง… ว่าแต่ทำไมมันเย็นๆโล่งๆจังวะเห้ย เดี๋ยวนะนี้กูเปลือยอยุ่เหรอวะเนี่ย!!"

สเวนตะโกนขึ้นพร้อมกับก้มหน้ามองตัวเองที่เปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งปกปิดใดๆนอกจากขนบนตัวเขา

"เอ่อ…. เจ้า หันหลังกลับมาคุยกันดีๆซิ"

เสียงชายชราดังขึ้นที่ข้างหลังสเวน เขาที่ได้ยินก็หันตามเสียงนั้นแล้วก็พบกับ..

ชายแก่ไว้หนวดรุรัง เขาสวมชุดสีขาว บนหัวมีวงกลมเรืองแสงและมือข้างหนึ่งถือคฑาสีทอง ที่สำคัญคือเขาเรืองแสงสีทองออกมารอบๆตัว

สเวนที่เห็นก็ยืนยิ้มแห้งๆแล้วก็หัวเราะ

[สรุปเราตายจริงๆสินะ]

"ใช่ เจ้าน่ะตายไปแล้ว"

ชายชราคนนั้นพูดพร้อมกับชี้นิ้วมาที่สเวนและเอนตัวไปข้างหลังพร้อมกับยกมือซ้ายขึ้นมาปิดหน้า

"ห๊ะ!!! สรุปคือ กะ…กุ….. ผมตายแล้วสินะ อย่างงั้นแก….ท่านก็คือพระเจ้า?"

สเวนพูดด้วยความสับสนแต่ที่แน่ๆเขารู้ว่าคนข้างหน้าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ

"ใช่แล้ว พ่อหนุ่ม ข้าน่ะคือ พระเจ้า พ ร ะ เ จ้ า G O D น่ะเข้าใจไหม I AM GOD!!! DO YOU UNDERSTAND!!"

ชายชราพูดพร้อมกับเปลี่ยนท่าไปยืนดึงเสื้อของตัวเองเผยให้เห็นหน้าอกข้างซ้ายที่กำยำ

"คะ..ครับ ถ้างั้นทำไมท่านถึงให้ผมมาที่นี้…ละครับ"

สเวนกลืนน้ำลายในขณะที่ตอบกลับคำถามของพระเจ้า

"เจ้านั้นได้ทำความดีและความน่าประทับใจในฐานะผู้เสียสละ เจ้าช่างเหมาะสมนักกกกกก OHHHH OHHH "

ชายชรา..พระเจ้า เปลี่ยนท่าอีกครั้งคราวนี้เขาปล่อยมือออกจากเสื้อแล้วเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะเสกหมวกแก็ปสีดำมาใส่ พร้อมกับเสียงแตรดังขึ้นมาข้างหลัง

"เจ้าได้ช่วยชีวิตคน 23 คน ลูกน้องของเจ้า พวกเขาจะกลับไปแล้วกลายเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดสงครามนี้ และนำไปสู่สันติภาพนานกว่า 50 ปีต่อจากนี้ รู้ไว้ซะ!!!"

พระเจ้าพูดเสร็จก็นั่งเก้าอี้สีขาวที่อยู่ๆก็โผล่มา แล้วก็ไขว่ห้างแล้วก็ห้อยแขนไว้หลังเก้าอี้

"เพราะฉะนั้น เจ้าจะได้รับสิทธิพิเศษ ไปเกิดใหม่อีกครั้ง อีกครั้ง ที่โลกที่ข้าทดลองสร้างอยู่ โอ้ว!!" พระเจ้าพูดจบก็เสกลูกโลกขึ้นมา

[เดี๋ยวนะ เกิดใหม่? แล้วมันต่างกับธรรมดายังไงละ? ไม่ใช่ว่าถ้าเราตายก็ควรจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไม่ใช่เหรอ] สเวนคิดแบบนั้น แต่ตอนที่คิดพระเจ้าก็หลุดยิ้มออกมา

.

.

"ต่างสิพ่อหนุ่ม เจ้าจะไปโดยที่ข้าจะให้ พร 2 ข้อ บวกกับ การันตีเรื่องความสบายเมื่อไปถึงยังไงละ อะแฮ่ม.."

พระเจ้าเสกโต๊ะขึ้นมาด้วยการดีดนิ้วดัง *เป๊าะ* บนโต๊ะไม้นั้นนั้นมีเครื่องชาสีขาว พระเจ้ามองที่สเวนและตบที่โต๊ะเบาๆ เหมือนสั่งให้เขานั่งลง สเวนก็นั่งตามที่สั่ง

" พะ พะ พร 2 ข้อ "

"ใช่แล้ว พร 2 ข้อ พ่อหนุ่มเจ้าจะได้เลือกมันหลังจากที่ข้าอธิบายเรื่องราวของที่ที่เจ้ากำลังจะไป และทำไมเจ้าถึงต้องไปที่นั้น" พระเจ้าหยิบชาถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ ก่อนที่จะยิ้ม

"เอาละเรื่องมันเป็นอย่างนี้…"

….

กุบกับ กุบกับ กุบกับ บรื้นนนนน แป๊นๆ แง๊นนน

ท่ามกลางป่าไม้ในยามรุ่งสาง ที่นั้นมีถนนลาดยางรายล้อมไปด้วยเสาไฟแสนสว่างปูเป็นเส้นยาวเหยียดไม่รู้ว่าจะไปบรรจบลงที่ใด บัดนี้กำลังมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าเกวียนม้า ขับเคลื่อนไปบนนั้น ทว่า…ที่น่าตลกก็คือนอกจากมันแล้วก็มีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์อีกหลายคันกำลังขับขี่ไปบนนั้นเช่นกัน

“ เห้อ… ถ้ามีเงินกว่านี้ก็ดีสิ ข้าจะได้ขยับขยายจากเกวียนนี้ไปเป็นสัตว์เหล็กพวกนั้นแทน ”

“ เอาน่าาา ลุงเดี๋ยวก็มีเองแหล่ะ ที่ขับพาพวกผมไปก็คิดตั้งหลายพันเครดิตเลย ”

“ นั้นสินะ ขอบคุณเอ็งละกันพ่อหนุ่มที่อุตส่าห์ใช้บริการแสนลำบากยากเย็นของข้า ”

และบนนั้นเองก็มีชายหนุ่มในชุดแสนเรียบร้อย รินรินเท เขากำลังนั่งเกวียนที่ว่ากับคนขับซึ่งเป็นชายชราอายุมาก เหตุที่เป็นแบบนี้นั้นก็เพราะรินรินเท ต้องการจะเดินทางไปยังเขตที่ 01 ทว่า ด้วยงบที่ต้องเก็บสะสมไว้เพื่อทำอย่างอื่นก็ทำให้เขาต้องเลือกการเดินทางที่ประหยัดที่สุดด้วยราคา 5000 เครดิต การเดินทางด้วยเกวียนนาน 3 วัน 3 คืน

“ โอ้ นั้นไงเสาเขตเซโร่วัน แบบนี้ก็ใกล้ถึงแล้วสินะ ”

“ หืม…. ”

ซึ่งก็ไม่นานนักทั้งสองก็ได้เห็นตัวบอกทางที่แสนจะเด่น มันคือเสาเหล็กสีแดงสลับขาวสูงหลายสิบเมตร สูงจนเห็นได้ชัดเจน อีกทั้งบนยอดเสานั้นก็มีแสงไฟสีแดงเรียงเป็นรูปที่เขาไม่เคยเห็น รูปวงกลมและแท่งแท่งหนึ่ง ( 01 ) มันกระพริบอยู่เป็นจังหวะ

…….

“ เอ้า ถึงแล้ว ยังไงก็โชคดีล่ะพ่อหนุ่ม ข้าอยู่ด้านนอกนี้อีกราวๆ สัปดาห์นั้นแหล่ะ ถ้าไม่มีเงินแล้วอยากจะกลับก็บอกข้าได้นะ ”

“ ครับผม ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ”

หลังจากที่มาถึงรินรินเทก็ลงจากรถเกวียนซึ่งจอดอยู่ด้านนอกที่หมายของเขา เขาลงมาพร้อมกับกระเป๋าหนังใบเดียวที่ใส่ของใช้ประจำวันไว้ อย่างไรเสียที่ไม่ได้เข้าไปเลยตรงๆผ่านประตูใหญ่เพราะว่าลุงคนนี้ แกเป็นเพียง “คนนอก” จึงไม่มีสิทธิใดๆเข้าไปยังเมืองด้านหลังกำแพงตรงหน้าได้ กำแพงสีเทาเรียบเนียนเหมือนกับที่เมืองหลวงของยูโทเปีย

รินรินเทเมื่อแยกจากลุงมาแล้ว เขาก็มุ่งตรงไปยังจุดตรวจคนเข้าเมืองทันที ที่นั้นไม่มีอะไรนอกจากประตูเหล็กกับผู้คนมากมายที่แยกออกเป็นสองแถว

แถวแรกนั้นเต็มไปด้วยนักพจญภัยมากมาย พวกเขาต่างต่อแถวยาวเหยียดรอรับการตรวจสอบจากเหล่าคนในเครื่องแบบสีขาวที่สวมสายรัดแขน เป็นอักษรประหลาดที่ตัวรินรินเทไม่เคยเห็นเช่นเดิม ทว่าที่ท้ายสุดของอักษรนั้นก็เหมือนกับแสงไฟที่กระพริบอยู่นั้นแหล่ะ

“ แถวนี้สินะ.. อ๊ะ คนน้อยจริงแหะ หรือเพราะว่าเราได้รับการตรวจสอบแล้วก็เลยไม่ต้องอีกล่ะมั้ง? ”

และอีกแถวก็แทบจะไม่มีคนเลย มันเป็นแถวที่ไม่มีแม้แต่คนในเครื่องแบบสีขาวด้วยซ้ำ รินรินเทที่มาถึงก็เดินตรงไปยังหน้าประตูเหล็กที่ตั้งอยู่ ซึ่งทันทีที่มาถึงก็มีแสงไฟสีเขียวฉายลงมาที่ตัวเขา ที่คอของเขา

ปิ๊บ ฟึบ

“ เอ่อ…ขอบคุณ? ”

เขาหลุดปากพูดออกมาหลังจากที่เสียงนั้นดังขึ้น คำขอบคุณจากความสับสน เพราะตรงหน้านั้นประตูบานใหญ่เลื่อนออกอย่างรวดเร็วและเขาก็เดินผ่านเข้าไปอย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาจากเหล่านักพจญภัยที่ต่อแถวอยู่

“ ทางนี้เลยครับผม ”

[ สุดท้ายก็เจอสินะ…แต่ว่านั้นมันไม้อะไรน่ะ? ]

และเมื่อเดินเข้ามาเขาก็พบกับโครงประตูอีกบานที่ด้านในนั้นมีพนักงานชุดขาวที่กำลังเรียกให้เขาเข้าไปหา รินรินเทก็ทำตามแต่โดยดีด้วยการเดินเข้าไปหา และคนตรงหน้าก็ใช้ไม้นั้นเคลื่อนไปรอบๆตัวของเขาสักพัก

“ เรียบร้อยครับ ยินดีต้อนรับสู่ เขตซีโร่วัน นะครับ ”

“ อ่า… ขอบคุณครับผม ”

รินรินเทยังสับสนเล็กน้อยแต่เขาก็เดินเข้าไปพร้อมกับสัมภาระของเขา และเมื่อออกมาได้เขาก็ได้เห็นภาพแสนอลังตา ภาพของเมืองที่ไม่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

[ อึก… นี้ขนาดไม่ใช่เมืองหลักก็ยัง… ]

ตรงหน้าเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกหลากหลายรูปแบบ อย่างไรเสียตึกพวกนั้นก็เป็นสถาปัตยกรรมระดับที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งสวยงามทั้งใหญ่ประดับมากมายไปด้วยกระจกและป้ายไฟหลากสี

นอกจากนี้ก็ยังมีถนนสีดำที่ลาดยาวเป็นทางให้สัตว์เหล็กที่เรียกว่ารถวิ่งไปมาอย่างสะดวก ส่วนผู้คนที่ไม่ใช้มันก็เดินกันบนทางที่ติดกับถนนนั้น ทางเดินที่ปูด้วยแผ่นสีเทาเรียบเนียนสวยงามและ…

[ สะอาดกว่าที่เมืองคนนอก ไม่สิ ไม่มีของแบบนี้ที่นั้นด้วยซ้ำนี้หว่า ที่นี้มันอะไรกัน!! นี้มันยิ่งใหญ่กว่าเมืองหลวงของๆหลายทวีป หลายๆประเทศไปแล้วไม่ใช่รึไง?!? ]

เขาได้แต่คิดแบบนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกเลย เพราะสำหรับนักพจญภัยที่ผ่านเข้ามาแล้วได้เห็นก็แสดงท่าทีแบบเดียวกันกับรินรินเทอยู่ข้างๆเขานั้นแหล่ะ ท่าทีอ้าปากค้างและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ นั้นจึงทำให้รินรินเทได้สติเพราะเขาไม่อยากจะมีสภาพแบบนั้นสักเท่าไหร่

“ อึก… ก ก ก่อนอื่นต้องไปที่.. ซอย? ฮาร์ท? งั้นเหรอ ที่นั้นกัน?!? ”

รินรินเทนั้นพอได้สติก็หยิบกระดาษขึ้นมาในนั้นมันคือข้อความจากเจ้าของร้าน ที่จะนำพาเขาไปยังที่พักซึ่งเป็นห้องเล็กๆที่เขาเตรียมไว้กับรินรินเท อย่างไรเสียรินรินเทนั้นก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ทำให้เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาวนักพจญภัยซึ่งยืนคุยกันอยู่ตรงหน้าทางออกจุดตรวจ

“ ขอโทษนะครับ ขอถามอะไรได้หรือเปล่าครับคุณผู้หญิง?? ”

“ คะ?? ”

อย่างไรก็ดีการเปิดคำถามของเขามันก็เต็มไปด้วยสกิลของการเป็นโฮส ทำให้หญิงสาวเหล่านั้นพอได้ยินก็ต่างหันมามองพร้อมกับกลืนน้ำลายกันทันที

“ พอดีว่าผมพึ่งมาที่นี้เป็นครั้งแรกเลยไม่ทราบว่า ซอบฮาร์ทนี้มันอยู่ตรงไหน คุณผู้หญิงพอจะทราบหรือเปล่าครับ? ”

“ อ อ อ๋อ!! ซอยฮาร์ทสินะคะ! เดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามแล้วเลี้ยวซ้ายไปเจอแยกที่ 5 ก็เลี้ยวขวา แล้วก็ตรงไปเรื่อยๆก็จะเจอเองค่ะ ว่าแต่ถ้าไม่เป็นอะไรให้พวกชั้… ”

“ ขอบคุณมากนะครับ ยังไงผมขอตัวก่อน อ๊ะถ้าไม่ว่าอะไรหลังจากนี้สักสัปดาห์ลองไปที่นั้นดูก็ได้นะครับ ”

“ อ๊ะ?!? ค่ะ?!? ”

เจ้าตัวรีบชิงตัดจบก่อนแถมยังเดินจากมาพร้อมรอยยิ้มพิมใจและข้อความที่น่าสงสัย แต่ว่ารินรินเทก็ไม่ได้จะใส่ใจอะไรอีกมากเขาเดินไปตามทางนั้นเพียงคนเดียว ตามทางที่ถูกบอกมาจนมาถึงยังที่หมาย…

“ ตรงตามรูปเป๊ะเลยแหะ เหมือนกับภาพที่ถูกยกออกม…ก็ปกติของที่นี้นี่น่า เนอะ… ”

อาคารที่กำลังก่อสร้างบริเวณชั้นล่างอยู่ มันเป็นอาคารที่ยังดูไม่ค่อยดีนักในตอนนี้ แต่ว่าถ้าเทียบกับโลกภายนอกเกาะนี้ ก็ถือว่าหรูหรากว่าอยู่พอตัวโดยเฉพาะส่วนชั้นบนที่เหมือนจะเสร็จแล้ว ส่วนรินรินเทก็ยืนมองอยู่สักพักก่อนจะเดินไปยังทางขึ้นชั้น 2 ซึ่งติดอยู่ข้างๆบริเวณก่อสร้าง

แอดด

“ คร้าบๆ เข้ามาได้เลยประตูไม่ได้ล็อกคร้าบ ”

แกร็ก

รินรินเทเมื่อกดออดตรงประตูและได้รับการตอบรับมาเช่นนั้น เขาก็เปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบกับชายหนุ่มผมทองสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงขาสั้น หน้าตัวกวนประสาทและท่าทีที่ไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่

“ สวัสดีครับ ผมรินรินเท จากร้านโมฟุโมฟุ… ”

“ อ๋อ นายที่เจ้าของร้านบอกว่าจะมาดูการก่อสร้างสินะ แล้วอาศัยอยู่ที่นี้สินะ ดี ดี เรา ไทลี เป็นผู้ได้รับการตรวจสอบแล้วเหมือนนายนั้นแหล่ะ มา มา เดี๋ยวจะพาไปห้อง ”

ชายตรงหน้านั้นพูดขัดรินรินเท อย่างไม่สนอะไรเลยแถมพอเจ้าตัวพูดแนะนำตัวจบก็เข้ามาจูงมือรินรินเทไปทันที ไทลีนั้นดูเหมือนจะมีความสุขเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้บอกว่าอะไร จนกระทั่งทั้งสองมาถึงยังหน้าห้องห้องหนึ่ง

“ นี้ห้องนาย นี้กุญแจ เอาล่ะในเมื่อมีคนเฝ้าที่นี้แล้ว ผมขอตัวไปแต่งตัวก่อนนะ!! ”

“ เอ่อ… ”

พูดจบปุ๊บไทลีก็วิ่งออกไปทันที ทิ้งให้รินรินเทอยู่ตรงหน้าห้องนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะเปิดประตูตรงหน้าด้วยกุญแจในมือ นั้นก็ทำให้เขาได้เห็นห้องด้านใน

“ ไปไม่บอกเลยว่าอะไรคืออะไร…แบบนี้ ให้ตายเถอะ ”

ห้องนอนเตียงเดี่ยวที่มีประตูเข้าห้องสักอย่างอยู่ในเกือบสุด ซึ่งมันก็ติดกับหน้าต่างที่มีระเบียงด้านนอก และสิ่งอื่นที่มีก็คือโต๊ะเก้าอี้ไม้ 1 ชุดอยู่ข้างๆเตียง กับกล่องแปลกๆบนเพดาน 2 กล่อง กล่องหนึ่งใหญ่กล่องหนึ่งเล็ก

“ ช่างเหอะ ยังไงตอนนี้ก็บันทึกก่อนก็แล้วกัน ”

เจ้าตัวเดินเข้าไปแล้วก็ปิดประตู ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับเริ่มบันทึกสิ่งสำคัญลงกระดาษ ข้อความการอธิบายถึงทุกอย่างที่เห็นด้านในเขตแห่งนี้ ทว่าระหว่างที่นั่งเขียนอยู่นั้น

“ ชักจะร้อนๆแล้วแหะ งั้นก็… ”

ด้วยความร้อนที่เพิ่มขึ้นเพราะห้องไม่มีช่องระบายอากาศหรือทำจากไม้ รินรินเทจึงลุกไปยังกระจกใสที่ติดกับระเบียง เขาไม่ได้เปิดมันออกในทันที เนื่องจากมันถูกล็อกเอาไว้ ทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ 5 นาทีก่อนจะรู้ว่าเขาต้องกดปลดล็อกตรงด้ามจับเสียก่อนถึงจะเปิดออกได้

“ เห้ออ… ในที่สุด อากาศ ฮืดดดด ฮ่าห์ สดชื่น ”

ซึ่งทันทีที่เปิดออกมาได้เขาก็เดินมาออกมายังระเบียงสูดหายใจเข้าออกอยู่สักพักใหญ่ๆ โดยสายตาของรินรินเทก็มองไปยังภาพตรงนอกระเบียงนั้น ภาพของผู้คนมากมายที่กำลังเดินไปบนภนนไปยังสถานที่ที่แค่เห็นก็รู้ว่ามันคือคฤหาสน์โบราณ

“ ไปทำอะไรกันเยอะแยะล่ะนั้น? หรือว่าที่นั้นคือ อ่า… ใช่แน่ๆแหล่ะ งั้นที่นั้นก้มีไอนั้นสินะ ”

ทว่าส่วนใหญ่ที่รินรินเทเห็นได้ชัดเลยว่ากลุ่มคนที่กำลังตรงไปยังคฤหาสน์หินนั้น คือนักพจญภัยมากมายหลายร้อยคน โดยทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังถือแผนที่บางอย่างไว้ในมือด้วย ซึ่งแผนที่นั้น จากจุดที่รินรินเทอยู่เขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่เขารู้ก็คือ ที่กิลล์นักพจญภัยนั้นมีโลกใต้ดินอยู่ด้วย

“ นั้นสิ ไหนๆก็ไหนๆ ลองแวะไปดูหน่อยก็แล้วกัน ”

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผนวกกับข้อมูลที่มีน้อยนิดในตอนนี้ ทำให้รินรินเทลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกจากห้องไปยังทางออกของอาคารนี่ ทว่าระหว่างที่เดินไปนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวิ่งมาจากด้านหลัง…

“ ด ด เดี๋ยววว นายจะไปไหนน่ะ?!? เฮ้!? ”

“ ขอโทษทีนะครับผมมีธุระต้องไปที่กิลล์นักพจญภัย ยังไงเรื่องเฝ้าอาคารนี้ไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะครับ ”

“ เอ๋!! เดี๋ยวววว ไม่ ไม่ ไม่! อย่าพึ่ง!! ”

แกร็ก

รินรินเทปิดประตูก่อนที่ไทลีจะได้มาถึง ใบหน้าของรินรินเทนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังแอบสะใจอยู่ผ่านรอยยิ้มของเขา ส่วนชาลีที่ไม่ได้จะพูดจบก็ไม่ได้ตามออกมาแต่อย่างใด ทว่าเมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปก็เห็นว่าเจ้าตัวกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนโต๊ะนั้นแหล่ะ

“ ที่นี้สินะ คนเยอะดีจริงๆแหะ ”

เวลาผ่านไปราวๆ 20 นาที รินรินเทก็มาถึงยังกิลล์นักพจญภัย หรือก็คือคฤหาสน์โบราณที่ว่า และเขาก็ได้พบกับเหล่านักพจญภัยมากมาย ที่กำลังต่อแถวเพื่อลงไปยังสถานที่บางอย่าง ณ บริเวณโถงทางเข้าของที่นี้

อย่างไรเสียรินรินเทก็ไม่อาจจะเข้าไปในแถวนั้นได้เพราะทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนักพจญภัยทั้งสิ้น ทำให้เขาตัดสินใจไปยังจุดต้อนรับแทน

“ สวัสดีครับ วันนี้คุณผู้ชาย.. อืม อยากจะมาฝากเควสอะไรไว้หรือเปล่าครับ? ”

ที่นั้นมีพนักงานชายผิวเข้มล่ำบึกกล้ามโตขนาดแตงโม ในชุดพนักงานกิลล์ยืนอยู่ ใบหน้าของชายคนนั้นไม่เป็นมิตรเลย แต่น้ำเสียงกลับนุ่มฟู ละมุนละไมและไพเราะนัก

“ ขอโทษนะครับคือว่าผมอยากจะถามเรื่องวิธีการลงไปยังด้านล่างโดยไม่ต้องเป็นนักพจญภัยนี้ต้องทำยังไงบ้างหรือครับ หรือว่าห้ามคนนอกลงไปหรือเปล่าครับ? ”

“ เอ… ขอเวลาสักครู่นะครับ ”

นั้นทำให้พนักงานต้อนรับสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็ทำงานได้เป็นอย่างดีด้วยการหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านสักพักก่อนจะเริ่ม อธิบายอย่างช้าๆให้รินรินเทฟังว่า

“ ขอโทษที่ให้รอนะครับ ตามกฎระเบียบพิเศษของที่นี้ หากคุณผู้ชายต้องการจะลงไปข้างล่างแล้วไม่ใช่นักพจญภัย ก็ต้องทำใบอนุญาตพิเศษ 1 ปีที่มีราคาเท่ากับ 30000 เครดิต ประกอบกับสายรัดข้อมือระบุชีพในราคาคนนอกที่ 1000 เครดิต รวมทั้งต้องลงเควสให้นักพจญภัยระดับ D- พาเข้าไปด้วย ซึ่งก็จะใช้เงินอีก 15000 เครดิตเป็นอย่างต่ำครับผม… ”

“ … ”

ทันทีที่เริ่มฟัง รินรินเทก็ได้แต่ยิ้มออกมา เพราะราคาที่ว่านั้นมันโคตรจะเยอะจนน่ากลัวเลยทีเดียว มันมากพอจะตั้งตัวหรือร้านในเขตคนนอกได้อย่างสบายๆ ทว่าไอสิ่งที่ฟังก็ไม่ได้จบแค่นั้น

“ …ซึ่งที่กล่าวมายังไม่รวมค่าดำเนินการอีก 10000 เครดิต และค่าอนุมัติส่งยื่นในกรณีที่เร่งรีบ ซึ่งคิดเป็นเงินอีก 5000 เครดิต ครับ เช่นนี้แล้วคุณชายสนใจจะให้ดำเนินการเลยหรือเปล่าครับผม? ”

“ เอ่อ… ไว้ผมคิดดูก่อนละกันนะครับ แต่ว่าขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับคุณพนักงาน ”

“ ยินดีเสมอครับ ”

หลังจากทราบราคาทั้งหมด รินรินเทก็ขอบคุณอย่างสุภาพก่อนจะเดินกลับออกมาจากกิลล์นักพจญภัยนั้นอย่างช้าๆและมั่นคง ซึ่งทันทีที่ออกมาได้เขาก็หันกลับไปมองด้วยสายตาแหยงๆ

[ อะไรวะ!! แค่ไม่ใช่นักพจญภัยก็กินเงินขนาดนี้เชียว!! ทีไอนักพจญภัยเวลาลงไปข้างล่างนั้น เห็นว่าใช้เงินไม่เกิน 2000 เครดิตด้วยซ้ำนี้หว่า!! ช่างแม่ม ไม่ปงไม่ไปมันละ ]

หลังจากจ้องมองอยู่สักพัก เจ้าตัวก็หันหลังกลับและเดินออกมา ทว่าตลอดการเดินกลับไปยังที่พัก หูของเขาก็เกิดทำงานดีเกินไป ดีเดินจนน่ากลัว ดีเกินจนก่อความรู้สึกนึงขึ้นมา

“ นี้ ลงไปคราวนี้ได้มาเท่าไหร่ล่ะ? ”

“ อืมม 6 ชั่วโมงก็มีเงินตกมารวมกันราวๆ 10 โกลล์ล่ะมั้ง แต่ว่านะได้นี้มาด้วย ก็คงเกือบ 500 โกลล์เลยล่ะ ”

“ เห!! นี้มันหนังน้องตุ่ยนิ?!? ”

“ ใช่แล้วล่ะ นี้แค่ผืนเดียวก็แพงสุดๆเลยนะ เห็นว่าพวกคนใหญ่คนโตที่ทวีปตอนเหนือชอบเพราะมันนิ่มดี ”

“ จริงดิ งั้นวันหลังคงต้องวนชั้น 1 หลายๆชั่วโมงแล้วล่ะ ”

“ ว่าไง ได้ข่าวว่าไปชั้น 3 มางั้นเหรอ? ”

“ อ่า ก็นะ? ทำไมล่ะ? หรือว่าอยากจะไปด้วยหรือไง? ”

“ แหงสิ!! แดนทำเงินเลยนะเออ ทำไมจะไม่อยากล่ะ ว่าแต่ ได้อะไรมาบ้างล่ะคราวนี้? ”

“ มีเงินราวๆ 250 โกลล์ แต่ว่านี้ ดูนี่… มีดเหล็กประหลาดที่โคตรจะทนไม่บิ่นง่ายๆแถมไม่มีสนิมเลยด้วย เห็นว่าร้านตีเหล็กที่เมืองคนนอกเขารับซื้อที่ 4000 โกลล์เลย ”

“ เชี้ย!! โชคดีจังวะ ”

ใช่…ตลอดทาง เหล่านักพจญภัยที่ยืนอยู่ตามถนนก็พูดกันถึงสถานที่ด้านล่างอันลึกลับนั้น ดินแดนแห่งการทำเงิน ดินแดนแห่งวัตถุดิบที่ไม่มีที่อื่น มีทั้งป่าไม้หลากหลายรูปแบบ ทว่ายิ่งลึกก็ยิ่งอันตราย แต่ก็ยิ่งมีของมีค่ามากขึ้น

[ อึก… ถ้าได้เห็นล่ะก็… เราจะได้ทำรายงานได้.. แต่ เงิน ไม่ พอ… ชิ ]

นั้นทำให้รินรินเทอยากลงไปสำรวจมากขึ้น เป้าหมายไม่ใช่อะไรนอกไปจาก ความอยากรู้ว่าด้านล่างมีอะไร และมันมีค่าพอไหมที่จะเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจว่าจะปฏิบัติกับยูโทเปียยังไง

ทว่าก่อนจะได้ทำอะไรแบบนั้น รินรินเทก็ต้องทำสิ่งสิ่งหนึ่งก่อนนั้นก็คือ หาเงิน… ใช่เขารู้และตอนนี้เขาก็มีสถานที่ที่กำลังจะเป็นแหล่งหาเงินซึ่งจพเสร็จภายในไม่กี่วันต่อจากนี้

[ ชิ!! เอาก็เอาวะ 61000 ไม่สิ!! เพื่อหน่อยละกัน 65000 เครดิต!! ต้องทำได้ ที่นี้คนเงินเยอะอยู่แล้ว!! คอยดูเถอะ เรานี้แหล่ะจะลงไปเอาข้อมูลที่ด้านล่างมาให้กับท่าน… ให้ได้!! ]

รินรินเทกล้าคิดเช่นนั้นเพราะ ร้าน โมฟุโมฟุโมอิน สาขา 2 ร้านที่เจ้าของร้านลงทุนประมูลใบอนูญาตมาด้วยเงินเก็บของเขาเกือบทั้งหมด และก็ได้ลงทุนไปอีกจนหมดตัว เพื่อเปิดมัน กำลังจะเสร็จสิ้น ณ ใต้อาคารที่เขาอาศัยอยู่

โดยในอนาคต ร้านนี้จะมีขึ้นเพื่อเป็นสถานที่รองรับคนที่ร้านคัดมาแล้วผ่านการตรวจสอบกับยูโทเปีย เป้าหมายง่ายๆเพื่อมาหาเงินในโซนที่หนาแน่นไปด้วยผู้มีร่ำรวย อย่างเขต [01] เขตพิเศษที่มีเพียงผู้ได้รับการตรวจสอบ นักพจญภัย นักเรียน และ พลเมือง เท่านั้นที่เข้ามาได้ โดยทั้งหมดจะมี เขา รินรินเทเป็นผู้จัดการและคนนำร่องทั้งสิ้น…

………

……

“ ย๊าา!! ”

“ อุ๊ส!! ”

“ ฮิววว!! ”

“ ปราการเหล็กกกกก!! ”

ณ ลานกว้าง ของปราสาท ในโซลิทาน ที่นั้นชายหญิงผมดำสี่คนในเครื่องแบบที่แตกต่างกันกำลังฝึกฝนกันอยู่ พวกเขาและเธอใช้ดาบ ใช้คฑา ใช้มีด และพลั่วกับโล่ห์ยักษ์ ในการซ้อมต่อสู้

“ ดีมากท่านความหวังทั้งหลาย เอาล่ะ!! ทีนี้ก็สังเกตุกันเอาไว้แล้วก็หาจังหวะให้ได้!! ”

“ คุณนานา จับตาดูเพื่อนๆไว้นะคะ!! ”

“ ชิ!! หายตัวเข้ามาได้แบบนี้ขี้โกงชะมัด!! ”

ศัตรูตรงหน้าก็คือเหล่าอัศวินและนักเวทย์ที่กำลังอบรมพวกเขาอยู่ว่าต้องทำยังไงในสถานการณ์อะไรบ้าง โดยคนที่ดูจะปรับตัวได้ง่ายสุดก็คงไม่พ้นยูดะ เขาเรียนรู้ได้ไวทั้งในโลกนี้และโลกที่จากมา ทำให้ตอนนี้เขาลอบกัดคู่ซ้อมได้เป็นอย่างดี

“ ฮ่าๆๆ ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ว่า ทนให้ได้นะเว้ย ย๊าา ย๊า!! ”

ผัวะ พลัค

“ เอามาอีก ตีมาอีกสิวะ!! ”

ส่วนจะฮิน นั้นน่าประหลาดใจมาก เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผิดกับบุคลิกของเขาที่ดูจะขวางโลกหน่อยๆ อีกทั้งเจ้าตัวก็ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเขาสนุกไปกับการซ้อมที่เจ็บตัวจริงๆแบบนี้

“ นานาจัง ขอฮิวววหน่อยยย ”

“ ไม่ได้ ไม่ได้ แค่แผลจากแรงกระแทกน่ะไม่ได้นะ! แล้วก็ ตั้งใจคุ้มกันชั้นด้วยล่ะ!! ”

“ จ้าาา จ้าาา อ๊ายย!! ”

และท่านหญิงอีก 2 คนล่ะ เรียนตามตรงเธอทั้งคู่ค่อนข้างจะช้ากว่าฝั่งผู้ชายมาก แต่ก็ยังไม่จัดอยู่ในระดับแย่แต่อย่างใด นานาเธอเน้นช่วยเหลือเพื่อน และแน่นอนว่าอาโอะ เธอนี้ยืนรับดาเมจด้วยโล่ห์อันใหญ่กว่าร่างกายของเธอถึง 2 เท่าพร้อมกับกวัดแกว่งพลั้วไปมา ทว่าไอความที่โล่ห์มันใหญ่ก็ทำให้อาโอะขยับช้ากว่าคนอื่นและมีหน้าที่คือป้องกันนานาไม่ให้บาดเจ็บ

พลัค พลัค แก็ง กิ๊ง

การซ้อมนั้นเป็นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน พวกเขาและเธอที่กำลังสนุกกับการซ้อมอยู่ก็ไม่ได้ระวังเลยว่า ในเงาของพุ่มไม้ที่ห่างไปไม่มากนั้นกำลังมีใครจับจ้องอยู่ และการจับจ้องนั้นก็มาพร้อมกับการบ่นด้วยเสียงที่แสนเบา

“ หึ… พวกผู้กล้าอะไรนั้นพึ่งเริ่มฝึกได้ไม่นานก็ได้ขนาดนี้แล้ว สงสัยถ้าไม่รีบจัดการคงจะมีปัญหากับกองทัพจอมมารสินะ เอาเถอะยังไงท่าน… ก็คงไม่กังวลอยู่แล้วนี่ ไอเจ้าพวกนี้มันไม่ได้ 1 ใน ล้านของท่านด้วยซ้ำ ฮิ ฮิ ฮิ ”

การบ่นที่ว่า กองทัพจอมมารกำลังจะต้องเจอกับปัญหาคือสิ่งที่เรียกว่า ผู้กล้า แต่ที่โซลิแทนเรียกว่า เหล่าความหวัง สายตานั้นจับจ้องไปพร้อมกับหมายหัวของคนทั้ง 4 ด้วยการวาดภาพลงกระดาษก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไปในเงานั้น

“ หึ… ”

ทว่า…ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีใครรู้สึกตัว ไม่มีใครสัมผัสได้ บนห้องหนึ่งในหอคอยติดปราสาท ที่นั้นหญิงสาวผมสีชมพูในชุดแม่ชีกำลังจ้องมองลงไปยังลานซ้อม และเธอก็พูดขึ้นมาสั้นๆว่า

“ ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่นายท่านที่สนใจเจ้าเด็กพวกนี้สิน้าา ”

……

ณ ทางตอนเหนือของโลกใบนี้นั้นมีทวีปทวีปหนึ่งซึ่งถูกห้อมล้อมจากด้านนอกไว้ด้วยภูเขา หุบเขา เหว มากมายนับหมื่น นับแสน และที่ตรงกลางของหุบเขาพวกนั้นก็เป็นเมืองขนาดใหญ่เมืองเดียวและดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไม่ว่าจะปลูกอะไรก็จะโตและได้ผลผลิตที่ดีเสมอ ยิ่งด้วยความหนาวเย็นในดินแดนนี้แมลงก็ไม่ชอบที่จะอาศัยอยู่อีกต่างหาก

เพราะด้วยเหตุผลที่แสนดีเหล่านี้เลยทำให้ที่นี้ โซลิทาน เป็นที่หมายแรกของกองทัพต่างๆที่ต้องการครอบครองเขตตอนเหนือ ไม่ว่าจะจากโจร หรือประเทศอื่นใด รวมไปถึงปัจจุบันตอนนี้ศัตรูที่ประกาศก้องชัดกับพวกเขา กองทัพของจอมมาร

กองทัพที่ว่านั้น แตกต่างจากกองทหาร หรืออัศวิน หรือศัตรูอื่นใดที่ประเทศนี้เคยเจอ มันเป็นกองทัพที่อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่แตกต่าง ที่ถูกตราว่าเป็นมอนสเตอร์และพวกที่ว่านั้นก็ทรงพลังทั้งด้านมานา ด้านกายา ด้านสติปัญญา

มันจึงเกินกว่าปกติไปมาก พวกมันนั้นกำจัดยาก ยากยิ่งกว่าจัดการพวกกบฎหรือกองโจร และยิ่งยากกว่าเดิมเมื่อพวกมันขยายใหญ่ขึ้น แกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนโซลิทานเองก็เริ่มจะคุมไม่ได้แล้ว

ทว่าเพื่อแก้ปัญหานี้โซลิทานก็ได้ลงทุนทำพิธีกรรมโบราณ ที่ต้องสังเวยมานาของคนนับพันเพื่อความหวังใหม่ ความหวังที่มาปรากฎอยู่ในใจกลางพิธีในวันนี้

และตอนนี้เหล่าความหวังที่ว่าก็ได้มาถึงสถานที่ที่เรียกว่า วังหลวง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในนี้นั้นสวยงาไปด้วยงานแกะสลักหินอ่อน ต้นไม้ ดอกไม้สีขาวมากมาย และที่สำคัญที่นี้ก็เต็มไปด้วยทหารในเกราะหนาหลายร้อยคน เหล่าผู้คนที่สวมเครื่องแบบทางศาสนาอีกนับพันและที่ด้านในสุดก็คือสถานที่ ที่หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังลอยอยู่ในผลึกใส

“ ยินดียิ่งที่ได้พบกับพวกเจ้า ตัวเราคือราชินีเพียงหนึ่งเดียวแห่งโซลิทาน นามว่า เลวิทาน… ”

เธอพูดกล่าวด้วยสายตาที่มองลงมา หญิงสาวผู้นี้เลวิทานเธอมีผมสีเทาออกเงินทรี่ยาวสลวย ซึ่งทุกครั้งที่ผมของเธอนั้นเคลื่อนที่ไปมา ดอกไม้มากมายก็ร่วงโรยลงสู่พื้นพร้อมกับก่อให้เกิดแสงสีฟ้าที่พื้น ใบหน้าของเธอนั้นงดงามจนมิอาจพรรณนาออกมาได้ ความงามอันเป็นนิรันดรนั้นเป็นยิ่งกว่ารูปภาพ รูปวาด รูปปั้นใดๆ

ผิวของเธอนั้นขาวละมุนยิ่งกว่าหินอ่อน ทว่าผิวนั้นก็เรียบเนียนจนดูเปราะบางน่าทะนุทนอม ดวงตาของเธอช่างไร้ความรู้สึกหากมองเพียงผ่านๆ แต่เมื่อใดที่ได้จับจ้องแล้วมันคือมิติที่ทำให้ผู้มองไม่อาจละสายตาไปได้ราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบสงบ ร่างกายของเธอนั้นไม่ได้สูง ไม่ได้เตี้ย ไม่ได้ผอม และไม่ได้อ้วนเลย ทุกส่วนนั้นช่างพอดีเสียเหลือเกิน

อย่างไรเสียทุกอย่างที่กล่าวมานั้นมันยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีกเมื่อเธอผู้นี้อยู่ในชุดเดรสยาวสีขาวที่ประดับด้วยดอกกุหลาบขาว มงกุฎสีเงิน และที่สำคัญร่างกายที่ลอยอยู่กลางอากาศเด่นเหนือผู้ใด

“ … ก่อนอื่นตัวเราต้องขอโทษพวกเจ้าที่เชิญมาโดยไม่ได้กล่าวแจ้งล่วงหน้า เพราะว่าบัดนี้อาณาจักรของเรานั้นกำลังอยู่ในภัยอันตรายยิ่งจากกองทัพของจอมมารที่เริ่มจะมุ่งเล็งมาที่โซลิทาน นั้นทำให้ตัวเราจำเป็นต้องใช้ พิธีกรรมโบราณ อัญเชิญ ผู้ทรงพลังมาจากต่างแดน ซึ่งสิ่งที่พวกเราได้ก็คือพวกเจ้าทั้ง 4 คน พวกเจ้า? ”

คนแรก ชายหนุ่มสมส่วนผู้ใส่แว่น ผมสั้นดำ เขาเป็นคนที่ดูเงียบๆ แต่ว่าทันทีที่ได้ยินเรื่องที่พวกเขาถูกอัญเชิญมา เขากลับดูเป็นคนที่หวาดกลัวและสับสนน้อยที่สุด มิหนำซ้ำเขายังยิ้มออกมาอีกต่างหากชายผู้นี้คุกเข่าและก้มหัวลงอย่างติดๆขัดๆ

“ ผมยูดะครับ ท่านราชินี ”

“ อ่า เราจะฮิน ”

คนที่สอง ชายกำยำตัวสูงใหญ่ยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ ไว้ผมจัดทรงด้านหลัง ใบหน้า สายตาของเขาดูดุดันเข้มแข็ง เช่นเดียวกับท่าทางและน้ำเสียงที่เขาแสดงออก คนที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่น่าเกรงขามที่สุดใน 4 คนนี้เลยก็ได้

“ ค ค ค่ะ? นานาค่ะ… ”

คนที่สาม ผู้หญิงผมยาวสีดำออกไปทางน้ำเงิน เธอเป็นคนตัวเตี้ยและผอมบาง แต่กลับมีใบหน้าที่งดงาม ดวงตาทั้งสองของเธอก็ใส และทั้งดวงตาคู่นั้นก็จ้องมองไปยังองค์ราชินีด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ อ อ โอ้!! อาโอะเอง เอ๋?!? ว่าแต่ถ้าเราพูดแบบนี้เขาจะเข้าใจเหรอ? ”

“ ข้าได้ยินพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว ยูดะ จะฮิน นานา แล้วก็เจ้าอาโอะ ”

สุดท้าย คนที่ตอนแรกก็กลัวๆแต่ตอนนี้กลับตื่นเต้นกว่าใครเพื่อน เธอดูดี๊ด๊าเป็นพิเศษ สายตาของเธอกวาดไปทั่ว ผู้หญิงสวมแว่นกลมโต ผมดำยาวมัดไว้อย่างเรียบร้อย เธอมีร่างกายสมส่วนในทุกด้าน หน้าอก เอว สะโพก รวมถึงสูงตามอุดมคติ ทว่าคำพูดของเธอทำให้เลวิทานต้องมองเธอและตอบอย่างช้าๆ

[ นี้แหล่ะ!! โอกาสหนีจากชีวิตที่น่าเบื่อนั้น!! หึหึหึ!! ]

ยูดะนั้นตอนนี้เขาไม่ได้ไม่พอใจอะไรกลับกันเขากำลังยิ้มอย่างมีความสุขแปลกๆอยู่ ส่วนจะฮินที่ยืนอยู่ข้างหลังเขานั้นก็ดูเหมือนจะเซ็งๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร และนานากับอาโอะ ทั้งคู่ก็ไม่ได้จะขัดอะไร เพราะทั้งสองนั้นสนใจกับโลกใหม่นี้มากๆ

“ ยูดะ จะฮิน นานา และ อาโอะ พวกเจ้าทั้ง 4 จะให้ความช่วยเหลือในการกำจัดจอมมารได้หรือไม่ ซึ่งถ้าพวกเจ้าทำได้ พวกเจ้าก็จะได้อยู่ในโลกที่ปลอดภัยไปเรื่อยๆจนกว่าพวกเจ้าอยากจะกลับ แต่ว่าเมื่อนั้นก็จะมาถึงเมื่อมานาของผู้ทำพิธีจะกลับมาพร้อมเพื่อส่งพวกเขากลับไปอีกครั้ง ”

เลวิทานถามอีกครั้งด้วยท่าทีที่เงียบสงบเช่นเคย ทว่าคำถามนั้นก็ไปกระตุกให้ใครบางคนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย จะฮิน เขาเดินนำหน้าทุกคนออกมาพร้อมกับมองสวนกลับไปยังเลวิทาน

“ ถ้า ไม่ล่ะ? ”

คำถามสั้นๆด้วยน้ำเสียงห้วนๆ นั้นทำให้พวกอัศวินกับข้ารับใช้ต่างไม่พอใจกันเป็นอย่างมาก แต่ว่าเลวิทานก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่สิเธอไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำราวกับว่าคำพูดนั้นไม่ได้มีค่าสำหรับเธอสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ใช่จะเงียบไม่ตอบอะไร

“ พวกเจ้าก็จะได้รับสิทธิให้ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระไม่เกินกว่ากฎของที่นี้ พร้อมกับเงินตั้งตัวคนละ 50 โกลล์ ”

“ แบบนั้นสินะ งั้นก็… ”

“ เอ่อ…? อ่าห๊ะ? อืมๆๆ ”

“ ชั้นก็ว่า… แบบนี้น่าจะ… ”

“ เอ.. อือ… เค้าล่ะ … ฮัลโหล… ”

ทั้ง 4 เลยรวมหัวกันคิดว่าจะทำยังไงดี ตัวพวกเขานั้นสุมหัวกันอยู่สักพัก โดยที่คนที่ดูจะเป็นประโยชน์มากที่สุดก็คือยูดะเขาทำให้การประชุมดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และก็ไม่นานเลยที่จะได้ข้อสรุปขั้นแรกของพวกเขา

“ ท่านราชินีผู้เลอโฉม พวกกระผมนั้นยังมิอาจตอบได้ว่าจะช่วยท่านใดหรือไม่อย่างใด ตราบใดที่พวกกระผมยังไม่รู้ขีดความสามารถของตนเองในตอนนี้ เช่นนั้นแล้วเพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปได้โดยดี ท่านพอจะหยิบยื้นโอกาสในการตรวจสอบตัวเองได้หรือไม่ ”

“ นั้นสินะ… งั้นเจ้าไปเอาลูกแก้วนั้นมาให้ทั้ง 4 คนหน่อยก็แล้วกัน ”

“ เพคะท่านเลวิทาน ”

ข้ารับใช้คนหนึ่งของเธอเดินออกจากโถงนี้ไปสักพัก ก่อนจะกลับมาพร้อมกับลูกแก้วใสขนาดเท่าลูกฟุตบอล เธอเดินตรงไปยังกลุ่มคนทั้ง 4 คนนั้นก่อนจะให้พวกเขาวางมือลงบนลูกแก้วทีละคน ก่อนจะเริ่มพูดผลลัพธ์ที่ได้ออกมาให้แต่ละคนฟัง

“ เจ้า… ยูดะ มีพลังโดดเด่นไปในเรื่องความเร็ว ความแม่นยำ แม้กายาเจ้าจะไม่ได้แข็งแกร่งแต่ก็แลกมาซึ่งสกิลพิเศษ อีก 3 อย่างที่เหมาะสม สกิลแรกทำให้เจ้าอำพรางตัวในเงามืดใดๆได้อย่างมิดชิด และสกิลที่สองโจมตีจากความมืดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายในยามค่ำคืนหรือเงามืดเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น ”

“ โอ…. แอสซาซินสินะ เรา อืมม ก็ดี ก็ดี ”

ยูดะที่รู้ว่าตัวเองมีความถนัดด้านไหน เขาก็พยักหน้าตอบรับคำอธิบายนั้น ส่วนคนถัดมานั้น ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ทำให้ข้ารับใช้ค่อนข้างจะสั่นกลัวเล็กน้อย

“ จะฮิน เจ้านั้นมีกายาที่แข็งแกร่ง และทรงพลัง เจ้ากินขาดอัศวินอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งสกิลพิเศษที่เจ้าได้รับมาก็ทำให้เจ้าา เสริมกำลังตนได้อย่างอิสระ ต้านทานเวทย์ทั้ง 1 ธาตุ และฟื้นฟูตัวเองได้ไวกว่าคนทั่วไปนัก ”

“ เหอะ ”

เจ้าตัวที่ฟังก็ไม่ได้จะสนใจอะไรแล้วก็หันไปมองยูดะ เพื่อนของเขาที่กำลังทำความเข้าใจกับตัวเองและวิธีที่จะใช้พลังอยู่ ทว่าภาพที่เห็นมันก็เหมือนกับว่ายูดะกำลังทำพิธีกรรมเต้นรำอะไรสักอย่าง

“ เจ้า…นานา เจ้านั้นอ่อนแอในด้านกายภาพมากที่สุด มากพอๆกับเด็กน้อยเผ่ามังกร ทว่าเจ้ากลับแฝงพลังที่เข้ามาทดแทนส่วนนี้ พลังที่อ่อนโยน สกิลรักษาระดับสูง สกิลบัฟเสริมสถานะต่างๆเท่าที่โลกจะมี และ สกิลที่ฝืนผิดธรรมชาติ…ฟื้นคืนชีวิต ”

“ เห… ดีจังนะนานา ”

“ งั้นอ๋อ? แต่ชั้นก็ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าพวกนายนะ ”

“ อ้าวเหรอ?? แต่ฟื้นคืนชีวิตนี้ มันคือชุบคนตายได้เลยใช่หรือเปล่าไอยูดะ? ”

“ อ่า ใช่แล้วล่ะ ”

“ เอ้อ!! นั้นแหล่ะ ก็แกร่งแล้วเว้ยนานา ฮ่าๆๆๆ ”

นานานั้นมีสกิลที่ทำให้เพื่อนๆของเธอต้องแสดงความยินดีออกมา โดยเฉพาะจะฮินเขาถึงกับยิ้มเลยทีเดียว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังหน้าบึ้งอยู่เลยแท้ๆ

“ สุดท้าย เจ้า อาโอะ เจ้านั้นสมดุลยิ่งนัก สถานภาพของเจ้าไม่เด่นไปด้านใดเป็นพิเศษ ตัวเลขเหล่านั้นเท่ากันแทบจะทั้งหมด แต่ว่าสกิลพิเศษของเจ้ามันก็ช่างเน้นไปที่การใช้กับตัวเองมากกว่า ผู้อื่นไม่สิ ไม่ใช่การต่อสู้เลยก็อาจจะว่าได้ ทั้ง ช่องเก็บของอันเทียบเท่ามานาขอเจ้า ทั้งการเสริมทุกอย่างเกี่ยวกับการป้องกันของร่างกาย และ เสริมผลลัพธ์สกิลชีวิตประจำวัน ”

“ เห…. ไหงงั้นอ่าาา ”

“ เอาน่าอาโอะ อย่างน้อยก็มีสกิลอเนกประสงค์เยอะนา ”

“ ก็พูดได้เด้ยูดะ แบบนี้ชั้นก็ต้องแบกของหมดเลยไม่ใช่อ๋อ ”

“ อือ…อาโอะ ฝากด้วยนะ ”

“ นานาก็ด้วยอ๋อเนี่ยยยย!! ”

“ เอาเถอะ งั้นเมื่อรู้แล้วนะว่าใครทำอะไรได้ก็ประชุมสรุปๆซะที ”

เมื่อทั้ง 4 รู้แล้วว่าตัวเองได้รับพลังในด้านไหนมา ก็ได้ประชุมกันต่อทันทีว่า จะช่วยหรือไม่ช่วย… โดยทุกที่เลวิทานได้แต่มองดูพวกเขาอย่างเงียบสงบ

……

ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดของยูโทเปีย บริเวณป่าตอนเหนือสุดของทวีป ที่นั้นกำลังมีการเตรียมการอะไรบางอย่างที่ดูวุ่นวายมากๆ

ครืดดดดดดดดดดดด คึก คึก กึ้ง

“ FIVE ”

เสียงแผ่นดินสั่นไหว แล้วผืนก็เปิดออกเผยให้เห็นพื้นอุโมงค์ที่ถูกเปิดออกหลายสิบหลุม และแสงไฟก็สว่างขึ้นทำให้เห็นว่าที่นั้นไม่ได้ว่างเปล่า ด้านนั้นมีแท่งอะไรบางอย่างขนาดใหญ่ตั้งอยู่

“ FOUR ”

และนอกจากนั้นที่ด้านนอกก็ยังมีเสียงดังกระจายไปทั่วบริเวณ เสียงที่ดังที่ละคำ คำที่คนโลกนี้ไม่มีทางรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เสียยงนั้นดังต่อไปอย่างต่อเนื่องช้าๆ

“ THREE… TWO… ONE… IGNITE! ”

เมื่อเสียงนั้นสงบลง แสงไฟสว่างจ้าที่ก้นอุโมงค์แสงของเปลวเพลิงที่ร้อนระอุ ทันใดนั้นแท่งเหล่านั้นก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นสูงขึ้น สูงขึ้น แท่งเหล็กขนาดมหึมาสูงเท่าตึกหลายสิบชั้น หลายสิบแท่งพุ่งตรงขึ้นสูงไวขึ้น ไวขึ้นพร้อมกับปล่อยควันและแสงสว่างสีน้ำเงินออกมาเป็นเหมือนหางของมันที่เชื่อมลงสู่ดิน

“ เฮ!!! ”

“ ตรง ต ต ตรงตามที่คำนวณไว้…ฮึก ฮึก พี่เอคซิ!! ”

“ แงงง น้องเดคกะะะ พวกเราทำได้ ทำได้!! ”

และห่างออกไปไม่มากนัก ราวกลางทวีปของยูโทเปีย ณ ฐาน บัญชาการลับซึ่งอำพรางตัวอยู่ใต้ภูเขาลูกใหญ่ ที่นั้นผู้คนมากมายกำลังโห่ร้องดีใจ โดยเฉพาะเอลด้าสาวสองคน พวกเธอกอดพร้อมกระโดดไปมาอย่างมีความสุข

“ เงียบ! มันยังไม่จบ!! กลับไปประจำตำแหน่งตัวเองเดี๋ยวนี้!! ”

“ ค่ะ!! ”

“ ข ข ค้าา!! ”

“ ขอรับนายท่าน!! ”

“ เจ้าค่ะ!! ”

แต่ว่าความสุขนี้ก็ต้องถูกหยุดลงโดยมาร์ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงที่สุดของห้องขนาดใหญ่นี้ ห้องที่มืดมิดซึ่งมีเพดานเป็นจอ และเบื้องหน้าคือแผงควบคุมมากมายที่พนักงานในชุดสีขาวกำลังนั่งคุมพวกมันอยู่ โดยข้างๆเขานั้นก็คือทิเรียที่มองดุทุกอย่างด้วยความนิ่งเฉย

“ อย่ามัวแต่ดีใจ ของจริงคือหลังจากนี้ต่างหาก ”

“ ตามที่นายท่านสั่ง เมื่อถึงกำหนดก็เปิดระบบเชื่อมต่อทันทีนะเจ้าคะ!! ”

“ ขอรับ!! ท่านทิเรีย ระบบจะต่อได้ในอีก 5…4…3…2…1 ”

ติ๊ด วูม วูม วูม กึ้ง กึ้ง พรึบ

ระบบที่ว่าไม่นาน มันก็ทำงานเริ่มทำงาน ภาพนั้นถูกฉายขึ้นบนเพดานห้อง ภาพของลูกบอลกลมๆ ที่มีลวดลายหลากหลายสี น้ำตาล เขียว ขาว ฟ้า และที่เยอะที่สุดก็คือน้ำเงิน ทุกคนที่ได้เห็นก็ได้แต่ยืนทึ่งกับสิ่งที่เห็น พวกเขาต่างพูดออกมาต่างๆนานา

“ จริงสินะที่โลกกลมได้ขนาดนี้ ”

“ อย่างที่นายท่านพูดเลย ”

“ นั้นสิ… นะ ”

“ สวย… อย่างกับเพชร…เลย ”

ภายในห้องนั้นเงียบสงบลง ทุกคนล้วนมองดูสิ่งนั้นด้วยความสงบ เว้นเสียแต่คนสายตาดีมากๆคนหนึ่ง มาร์… เขามองดูดาวตรงหน้านั้น แล้วก็มอง มองอยู่อย่างงั้น เหมือนกับว่าเขาเห็นอะไร อะไรที่ไม่ควรเห็น

[ อะไรล่ะนั้น?? ]

พื้นที่พื้นที่หนึ่งทางตอนเหนือ ที่นั้นมันผิดปกติเกินไป ท้องฟ้าปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด เป็นวงกลมอย่างพอดี เจ้าตัวเลยขยายเข้าไปดูส่วนนั้น ผ่านภาพฉายที่่อยู่ตรงเก้าอี้ที่เขานั่ง นั้นจึงทำให้เขาได้เห็นจุดสีดำมากมายเรียงล้อมกันกินพื้นที่ไปหลายกิโลเมตร ยกเว้นตรงกลาง ที่มีรองรอยของฟ้าฝ่า

“ มีคนทำอะไรอีกแล้วหรือเปล่า? … อืม… เพนเท อยู่ไหม? ”

“ ค้าาาา นายท่าน!! ”

ทันใดนั้น เพนเทก็ปรากฎตัวขึ้น ณ ที่วางแขนของเก้าอี้ที่มาร์นั่งอยู่ เธอนั่งบนนั้นพร้อมกับเอนหน้าเข้ามาหามาร์ ผู้เป็นนายท่านของเธอด้วยรอยยิ้ม

“ ฝากไปตรวจดูที่นี้ทีนะว่ามีอะไรหรือเปล่า เพราะก้อนเมฆหายไปเป็นวงขนาดนั้นคงเป็นอะไรที่ทรงพลังแน่ๆ ”

“ รับทราบค้าาาา!! ”

พูดจบเจ้าตัวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าทิเรียที่นั่งข้างๆ เธอก็หันมามองนายท่านด้วยความสงสัย ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ขึ้นมาให้ใกล้เขา

“ นายท่านเจ้าคะ? มิทราบว่ามีเรื่องสำคัญใดถึงขนาดที่ต้องสั่งเพนเทเป็นการส่วนตัวแบบนี้เจ้าคะ? ”

“ อ่า… สำรวจไอวงกลมนี้น่ะนะ จริงก็อยากจะให้หน่วยสืบของเราไปแต่ว่าคงไม่ทันแน่ๆ ก็เรากับที่นั้น เอ่อ…โซลิทาน? ”

“ เจ้าค่ะ หากจะไปที่โซลิทานด้วย TwinWings ต้องใช้เวลาราวๆ 2 ถึง 5 วันตามสภาพอากาศเจ้าค่ะ ”

“ นั้นแหล่ะนะ เพราะงั้นตอนนี้ ให้เพนเทไปนั้นแหล่ะ แค่ 5 ถึง 10 วิในโลกเรา เองนี้นะ ”

………

“ 15000 เครดิต พอแล้วสินะ งั้นก็… ”

แอ๊ดดดด

รินรินเท ทำงานมาจนมีเงินเก็บพอ เขาก็มุ่งตรงไปยื่นเรื่องที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในเช้าวันนั้น ซึ่งการไปในครั้งนี้รินรินเทก็ไปเพียงตัวคนเดียว เพราะลูกน้องของเขายังมีเงินทุนไม่พอสักราย

“ โชคดีนะครับท่านรินรินเท ”

“ อ่า พวกนายก็ด้วยรีบๆหาเงินซะละ ”

“ คร้าบบ ”

“ ครับผม ”

นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่เพราะรินรินเท มักจะทำงานได้ดีกว่าคนอื่น โดยเฉพาะตอนที่ “พลเมือง” มา เขารับมือได้เป็นอย่างดีทั้งยังไม่สลบเลยสักครั้ง นั้นทำให้เจ้าของร้านที่เริ่มสลบบ่อยครั้งไว้วางใจและเพิ่มเงินให้กับเขา

“ โอ…. อะไรกัน…. ไม่กี่เดือนแต่เปลี่ยนไปขนาดนี้ สมกับเป็นที่นี้จริงๆล่ะนะ… ขนาดเมืองอโคจรนั้นยังสร้างเสร็จในเวลาไม่กี่วัน… ”

ทว่าเมื่อมาถึงยังสถานที่ที่ว่า เขาก็พบว่ามันเปลี่ยนไปจากวันแรกที่มาสำรวจ อาคารนั้นแทนที่จะเป็นสีเทาปละมีหลังคาเรียบง่าย ตอนนี้กลับพัฒนาให้มีเหล็กห่อหุ้ม มีกำแพงเสริมรอบด้านที่หนาขึ้นอีกทั้งยังมีทหารของยูโทเปียลาดตระเวนอีกต่างหาก

ด้วยความสงสัยประกอบกับต้องไปที่นั้นอยู่แล้ว รินรินเทจึงเดินตรงไปแล้วทำเป็นหยุดที่กำแพงก่อนจะหันไปมองรอบๆ โดยที่ข้างๆเขาก็คือทหารของยูโทเปียที่ยืนเฝ้าทางเข้าอยู่

“ ขอโทษนะครับ? ที่นี้ใช่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรือเปล่าครับ? ”

“ อ่า… ที่นี้แหล่ะครับ ”

“ เอ… เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ ตอนผมมาครั้งแรกไม่เห็นจะอลังการขนาดนี้เลย มันเป็นเพราะอะไรเหรอครับ?? ”

“ …… ”

“ อ่า ขอโทษที่รบกวนนะครับ ”

อย่างไรก็ดีแม้ว่าเขาจะถามไปเช่นนั้น ทหารคนดังกล่าวก็ไม่ได้ตอบกลับแถมหน้านิ่งไม่สนใจเขาอีกต่างหาก เจ้าตัวก็เลยต้องรีบเดินเข้าไปข้างในเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา

[ ชิ!! ทหารของที่นี้มันก็เป็นซะอย่างงี้ ระเบียบวินัยสูงเกิ๊น ปากก็ปิดสนิท เนี้ย..ถ้าเป็นที่อื่นเจอเราที่สวมเสื้อผ้าดีๆ คงลนแล้วก็พูดออกมาหมดแล้วแหงๆ แย่ชะมัด! ]

รินรินเทเดินจนมาหยุดอยู่ที่ตัวทางเข้าของอาคาร ที่นั้นมีประตูเหล็กขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้อยู่ ซึ่งเขาก็กำลังจะเอื้อมมือไปเปิด ทว่า ประตูนั้นก็เลื่อนออกก่อนที่เขาจะได้แตะเสียอีก พร้อมทั้งเมื่อมันเลื่อนห่างจากกันแล้วลมเย็นๆก็พัดออกมาโดนกับรินรินเทที่ยืนอยู่

“ นี้มันอะไรกัน… เพียงเวลาสั้นๆที่เราไม่มาที่นี้ก็เปลี่ยนไปแม้แต่ข้างใน?? ”

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้รินรินเทรู้สึกตกใจมากถึงกับยืนนิ่งไปครู่หนึ่งที่หน้าประตูนั้น ภาพด้านในที่ต่างไปจากที่เขาจำได้ ก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงอาคารที่ด้านในมีจุดต้อนรับ จุดติดต่อที่เรียบง่ายแต่ก็หรูหราเล็กน้อย ทว่าตอนนี้มันกลายเป็นหรูหราไปซะทั้งหมด

พื้นไม้กลายเป็นหินอ่อน เสาไม้กลายเป็นเสาหินแกะสลัก เพดานเองก็เปลี่ยนไปเป็นหินสีขาวที่แกะสลักอย่างสวยงาม เก้าอี้กลายเป็นโซฟา เชิงเทียนมานาก็ไม่มี มันกลายมาเป็นบอลกลมๆที่ให้แสงสว่างไปทั่วบริเวณ ที่นั่งรอก็มีจอบางอย่างมาตั้งพร้อมกับฉายภาพของทิวทัศน์รอบเกาะ พร้อมกับมีหญิงสาวผมสีม่วงหน้าตาน่ารัก พูดบรรยายประกอบด้านขวาล่าง

อย่างไรเสียเมื่อเข้ามาได้รินรินเทก็ดึงสติกลับมาพร้อมกับเดินตรงไปยังแผนกต้อนรับของที่นี้ทันที และก็ได้รับการต้อนรับจากพนักงานสาวที่สวมเสื้อผ้ามิดชิด จนเห็นได้เพียงปากของเธอเท่านั้น

“ สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณคนนอก วันนี้มีธุระอะไรกับทางเราหรือเปล่าคะ? ”

“ สวัสดีครับคือว่า อยากจะมาเข้ารับการตรวจสอบ เพื่อเลื่อนระดับเป็น ผู้ได้รับการตรวจ น่ะครับ ”

นั้นทำให้พนักงานต้อนรับ ยื่น บัตรที่เขียนว่า [ ยื่นขอรับการตรวจสอบลำดับที่ 015 ] ให้ พร้อมกับบอกให้ชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ได้ไร้ความรู้สึก

“ เชิญนั่งรอที่โซฟาจนกว่าจะถึงคิวของคุณคนนอกนะคะ ”

“ ครับ ขอบคุณครับ ”

รินรินเทก็ทำตามแต่โดยดี เขาไปนั่งรอ พร้อมกับมองดูจอที่กำลังฉายภาพรอบเกาะตามปรกติ พร้อมกับขยายเข้าออก ให้เห็นสถานที่ต่างๆ ตัวเมืองคนนอก ตัวเมืองหลวง เขต [01] [02] [03] ต่างๆ แต่ว่ายิ่งดูก็ยิ่งทำให้ในใจของรินรินเทสั่นไหวขึ้นมาช้าๆ

[ วิทยาการ…ล้ำหน้าไปไกลขนาดนี้ ต่อให้พวกคนแคระ หรือเอลด้าที่สาบสูญมาเจอ…เลียนแบบไม่ได้แน่ๆ แบบนี้ถ้าเราได้อะไรไป มันจะเอาไปทำต่อได้จริงๆเหรอเปล่าเนี้ย?? ]

ติ๊ง

“ เชิญ ผู้ขอรับการตรวจสอบลำดับที่ 015 ที่ช่องบริการที่ 1 ค่ะ ”

แต่ระหว่างที่คิดอยู่นั้น เสียงเรียกหมายเลขของเขาก็มาถึง รินรินเทลุกขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปยังจุดที่เรียกเลขของเขา และเมื่อมาถึง รินรินเทก็เจอกับพนักงานรูปแบบเดิม ปิดหน้าเผยให้เห็นแต่ปาก แต่ต่างออกไปที่บริเวณตาของพนักงานคนนี้มีกล่องขนาดใหญ่ที่มีดวงไฟเล็กๆ กำลังเคลื่อนที่ไปมา

“ ไม่ทราบว่าได้เตรียมค่าประกันรายได้จำนวน 15000 เครดิตมาหรือเปล่าคะ ”

“ ครับนี้ครับ ”

พนักงานสาวผู้นี้รับเงินนั้นมา พร้อมกับตรวจสอบด้วยการเทเงินเหล่านั้น ธนบัตรเหล็กจำนวนมากนั้นลงในเครื่อง เพียงไม่นานมันก็นับจนเสร็จ เธอจึงหยิบเอากระดาษออกมา 4 แผ่นแล้วส่งกระดาษนั้นให้รินรินเท

“ นี้ค่ะรบกวนเอาไปกรอกให้ครบด้วยนะคะ ”

ในกระดาษที่ว่ามันคือแบบเอกสารไว้กรอกถึงประวัติของรินรินเททั้งหมด ตั้งแต่ที่อยู่ ทวีปที่จากมา และคำถามมากมายอีกนับไม่ถ้วน ก่อนจะลงท้ายด้วย ข้อตกลงอีก 1 หน้ากระดาษสุดท้าย และปิดท้ายด้วยการลงชื่อผู้กรอกข้อความ

รินรินเทก็กรอกไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง ทุกอย่างที่กรอกไปนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ทุกอย่างถูกเตีรยมการไว้หมดแล้ว ที่อยู่ที่จากมาก็มีอยู่จริง แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้ เงินทุน ครอบครัว ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้วนั้นเอง

พอกรอกเสร็จเขาก็เดินกลับไปหาพนักงานคนเดิมก่อนจะยื่นเอกสารนั้น ตัวพนักงานเองพอรับมาก็ตรวจดูด้วยการโยนลงเครื่องบางอย่างข้างๆเธอ มันส่งแสงออกมาพร้อมกับเสียงติ๊ด เบาๆทุกครั้งที่แสงนั้นดับไป การตรวจสอบใช้เวลาอยู่ชั่วครู่เท่านั้น พนักงานสาวก็ยื่นบัตรให้กับชายผู้นี้บัตรที่เขียนว่า [ รอ ลำดับที่ 11 ]

“ ขอโทษนะครับทำไมของผมรอลำดับที่ 11 ในเมื่อเขาเป็นคนที่มายื่นเรื่องคนที่ 15 ”

“ ค่ะคุณนอก มีบางคนมาพยายามยื่นแต่ข้อมูลกับเงินนั้นไม่ตรงตามเงื่อนไข แถมบางทีมีเงินปลอมปะปนมาด้วยจึงทำให้คนที่ได้ รอ จริงๆ มีน้อยกว่าคนที่มายื่นค่ะ ”

เขาพยักหน้าตอบรับด้วยความเข้าใจก่อนจะเดินออกไป นั่งรออีกครั้งแต่ยังไม่ทันจะได้นั่งเลย เสียงประกาศเรียกก็ดังขึ้น

ติ๊ง

“ เชิญ ผู้รอลำดับที่ 11 ที่จุดสัมพากษ์ค่ะ ”

รินรินเทจึงต้องเดินไปยังสถานที่ดังกล่าว ที่นั้นเป็นห้องกระจกใสหลายห้องติดๆกัน โดยที่หน้าห้องนั้นก็มีทหารของยูโทเปียยืนอยู่ รินรินเทมาถึงก็ยื่นบัตรที่ตนได้รับมาให้แก่พนักงานชายที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า เขาเหมือนกับพนักงานหญิงสองคนก่อนหน้าที่ปกปิดมิดชิดจนเหลือแค่ปากเท่านั้นที่เห็นได้ เขารับบัตรนั้นมาก่อนจะเดินนำรินรินเทไปยังสถานที่ที่เขารอคอย

ห้องกระจกซ้ายสุด ลึกสุด ด้านในนั้นมีคนนั่งรอเขาอยู่ รินรินเทเห็นได้ชัด ชายชราผิวเข้มผมสั้นในชุดสูทสีขาว ทว่ามันก็ไม่ได้เด่นเท่าสิ่งๆหนึ่งที่ชายชราผู้นั้นมี เขาเป็นมนุษย์ ใช่…เขาไม่มีความโดดเด่นใดๆเลย ทั้งออร่ามานาเองก็เป็นมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด

รินรินเทเดินเข้าไปในนั้นและนั่งลงตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ กระจกใสๆรอบ ก็ทึบทันทีที่ประตูปิดลง

“ ขอโทษนะพ่อหนุ่ม ตาอ่านประวัติของเรามาทั้งหมดแล้วเป็นถึงลูกขุนนางเลยนะเรา แต่ไหงเป็นไงมาไงถึงมาที่นี้ได้ล่ะ ”

“ ครับที่บ้านผม พวกกองทัพของจอมมารบุกมาเรื่อยๆ ทำให้งบที่มีเพื่อดูแลหมู่บ้านน้อยลง ในฐานะขุนนางประจำเขต จึงต้องหาทางแก้ปัญหาโดยเร็วก็คือหาเงินมาหนุนครับ แต่ท่านพ่อตัดสินใจจะให้ลูกๆที่ไม่ได้ทำอะไรอย่างตัวของผม ออกไปหาเงินแล้วส่งกลับมา ตอนแรกผมก็จะเป็นนักผจญภัยทว่าตัวผมก็อ่อนแอเกินไปบวกกับไม่ถนัดงานใช้แรง ทำให้ต้องตามหาสถานที่ที่หาเงินได้มากๆ แล้วก็พบว่ายูโทเปียพึ่งเปิดทวีปจึงเห็นโอกาสว่าที่นี้น่าจะมีคู่แข่งน้อยเลยตัดสินใจมาน่ะครับ ”

“ โอ้…น่าสงสารจริงๆนะยังหนุ่มยังแน่นก็ต้องมาทำงานในต่างแดนแบบนี้ ว่าแต่ทำไมถึงต้องการจะเป็น ผู้ได้รับการตรวจสอบด้วยล่ะ ในเมื่อตอนนี้ก็น่าจะทำเงินได้พอแล้วไม่ใช่เหรอเจ้าหนุ่ม? ”

“ ครับ…เรียนตามตรง ผมต้องการเงินมากกว่านี้ เพราะเงินเท่านี้ยังไม่สามารถระงับความทุกข์ยากของคนที่ยังอยู่ที่บ้านเกิดได้ ผมเลยคิดว่าถ้าได้ไปทำงานในเมืองหลวงหรือว่าเขตต่างๆ ก็คงจะได้เงินเยอะกว่า เพียงเล็กน้อยก็ยังดี เพราะเงินทุกเครดิตนั้นจะทำให้คนที่บ้านทั้งหลาย ทั้งครอบครัวเขา ทั้งชาวบ้าน มีความสุขมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้นครับ ”

เจ้าตัวพูดออกมาด้วยท่าทางที่ดูเศร้าสร้อย ซึ่งชายชราที่เห็นก็พยักหน้าพร้อมกับตบบ่าเขาเบาๆ ก่อนที่เขาจะถามต่อด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

“ คิดว่าหลังจากได้รับอนุญาตแล้ว จะไปที่ไหนบ้างล่ะ เขตซีโร่วัน? ทู? หรืออะไรล่ะ? ”

“ ครับผมก็กะจะไปทั้งหมดแหล่ะครับ จนกว่าจะได้ที่ทำงานครับ ”

“ งั้นเหรอ อืมถ้างั้นตาแนะนำให้ไปที่เขตซีโร่ทรีละกันนะ ที่นั้นน่าจะขาดคนอยู่ ”

พูดจบเจ้าตัวก็ยื่นซองเอกสารสีเขียวให้ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังประตูด้านหลังของเขา รินรินเทที่เห็นก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับขอบคุณชายตรงหน้าด้วยการก้มหัวทันที

“ ขอบคุณครับ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ”

“ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แต่ไปแล้วก็อย่าก่อเรื่องล่ะ ไม่งั้นโดนส่งกลับนะ ฮ่าๆๆๆ ”

“ ครับ!! ”

รินรินเทเดินผ่านเข้าไปด้วยรอยยิ้ม แล้วตรงเข้าไปยังสถานที่ด้านหลัง ที่นั้นพาเขาออกไปยังด้านนอกของสำนักงานนี้ ไปยังด้านข้าง แต่ที่นั้นมีกำแพงกั้นอยู่พร้อมกับข้อความที่เขียนว่า “กรุณาสวมสายรัดคอสีเขียว”

เขาเองก็ทำตาม เขาปลดสายสีแดงที่คอออก ก่อนจะแทนที่ด้วยสายสีเขียวที่อยู่ในซองนั้นแล้วเดินตรงไปยังประตูที่ว่า ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก พร้อมกับขึ้นข้อความว่า [ ผ่าน ]

……

เจ้าตัวพอเดินออกมาได้แล้วก็ตรงกับไปที่พักของเขาทันที ที่พักซึ่งอยู่ติดกับร้านที่เขาทำงานอยู่ ซึ่งพอไปถึง เขาก็รีบเข้าไปในห้องนอนทันที

[ ตอนนี้ได้รับการตรวจสอบผ่านแล้ว และจะเข้าไปที่เขต ที่เรียกว่า ซีโร่วัน ก่อนหลังจากนั้นจะค่อยๆหาทางเข้าไปที่เมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นที่พิรุธ จาก รินรินเท ]

จดหมายนั้นเมื่อเขียนเสร็จแล้วข้อความก็ค่อยๆจางหายไปอย่างรวดเร็ว และรินรินเทก็ลงมือเขียนข้อความอื่นลงไปอีก ข้อความที่พูดถึงว่าเงินก้อนนี้ส่งมาแล้วให้เอาไปใช้อะไร ใช้ระมัดระวัง นู้นนี้นั้น ก่อนจะปิดผนึกใส่ซองที่มีแผ่นเงินเครดิต รวมๆ 1 หมื่นเครดิต

เจ้าตัวยิ้มออกมา ก่อนจะพูดกับตัวเองว่าใกล้ได้เวลาเริ่มแล้วสินะ ทว่าในขณะเดียวกันเจ้าตัวก็ไม่รู้เลยว่า… ณ ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นศัตรูกับต้นทางของรินรินเท พวกเขากำลังทำสิ่งสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ทั้งโลกเกิดการแบ่งฝ่ายที่ชัดเจน

โอออออ โอออออมมม อาาาาา เออออ

ผู้คนนับพันกำลังรายล้อมทำพิธีกรรมบางอย่างท่ามกลายสายฝนที่โถมลงมาอย่างรุนแรง พวกเขานั้นเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับชูมือขึ้นเกิดเป็นเส้นแสงสีฟ้าโผยพุ่งสูงขึ้นไป

เปรี้ยงงงงงงงงงง

ทันใดนั้นฟ้าก็ผ่าลง ณ ใจกลางของพวกเขา และเมฆฝนก็หายไปทันที โดยตรงที่ฟ้าผ่าลงมานั้น มีกลุ่มชายหญิงสี่คนกำลังยืนอยู่พวกเขาและเธอสวมเสื้อผ้าประหลาดและก็หันไปมองรอบๆ

“ ที่นี้มันที่ไหน?? ”

“ อะไรกันกันไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ ไหนเนี้ย?!? ”

“ เอ.. มันเกิดอะไรขึ้น ”

“ อ๊ายยย ตาชั้นนน ”

……….

“ เอ้า เร็วเข้า เร็วเข้า เดี๋ยวเย็นนี้ไม่ทันเปิดร้านแล้วจะแย่เอานะทุกคน ”

“ คร้าบบ ”

“ เข้าใจแล้วฮะรินรินเท ”

วันนี้รินรินเท ก็ยังคงต้องทำงานหาเงินอย่างเช่นเคย แต่ว่าวันนี้หนักกว่าปกติหน่อยที่ว่าเขาต้องช่วยเจ้าของร้านขนของไปยังที่ตั้งร้านใหม่ซึ่งห่างออกไปหลายกิโลเมตรจากที่ตั้งเดิม

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ท่านรินรินเทครับ ”

“ มีอะไร?? ”

ระหว่างที่ช่วยกันขนนั้น ลูกน้องของเขาก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของรินรินเท ซึ่งเขาก็ได้ตอบกลับไปด้วยเสียงที่เบาพอๆกัน

“ ครับ! กลุ่มที่แยกออกไปตามแผนที่ 2 จู่ๆก็ขาดการติดต่อไปหลายคนพร้อมกับตัวระบุชีวิตก็ดับไปในเวลาเดียวกันด้วยครับท่านรินรินเท ตอนนี้ที่เหลือติดต่อกลับมาได้ก็คือคนที่ยังไม่ได้เข้าไปครับ ”

“ อ่า อย่างงั้นเหรอ ขอบใจนะ ตอนนี้กลับไปทำงานได้แล้วล่ะ ”

รินรินเทที่ได้ฟังก็ได้ให้ลูกน้องของเขากลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ ส่วนตัวของเขาเอง ก็คิดในใจว่า พวกที่หายไปคงโดนอะไรบางอย่างเข้า แต่ยังดีที่ตัวระบุชีวิตซึ่งใช้มานาในโลกเป็นตัวนำบอกว่าพวกนั้นน่าจะตายไปแล้ว ทำให้เขาไม่ห่วงเรื่องโดนตามจับและคิดมากแต่อย่างใด

……

“ ฮึบบ สุดท้ายแล้วล่ะรินรินเท ”

“ งั้นก็ไปทำในร้านต่อเลยนะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป ”

จนกระทั่งตกเย็นการขนของก็เสร็จสิ้น ร้านใหม่ถูกตั้งขึ้นห่างจากตัวเมืองคนนอกไปราวๆ 2 กิโลเมตร ไม่มากไม่น้อยเกินไป ที่นั้นเต็มไปด้วยแหล่งอบายมุขมากมาย แต่ว่าก็ถูกจัดการไว้เป็นอย่างดี ทั้งระเบียบ ทั้งความสะอาด ราวกับเป็นหมู่บ้านอโคจรเลยทีเดียว

แซค แซค แซค แซค แซค

“ ฮ่าห์… คนเยอะเหมือนเดิมเลยนะ ”

ร้านที่รินรินเททำงานอยู่นั้นโชคดีมากเพราะอยู่ตรงทางเข้าพอดี ทำให้ลูกค้าในวันนี้ที่อดอยากปากแห้งไม่ได้เสพอบายมุขมานานกว่า 3 วันก็มารอเข้าร้านกัน แน่นอนว่าร้านนี้เป็นร้านโฮสคนที่มารอก็คือเหล่านักพจญภัยหญิง ไม่ก็พวกคนมีเงินจากต่างแดน

“ ทางนี้ครับ เชิญเลย เชิญเลย ”

“ วันนี้กลับมาเปิดแล้วนะครับ โมฟุโมฟุ ”

เหล่าพนักงานชายทั้งหลายเลยวุ่นวายกันใหญ่ท่ามกลางอากาศที่เริ่มหนาว พวกเขาต้องต้อนรับแขกเหล่านั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะได้หยุดพักแม้แต่น้อย ส่วนตัวของรินรินเทเองก็เช่นกัน แต่ว่าเขาค่อนข้างจะต่างออกไปหน่อย

“ มากันแล้วสินะ… ”

ในขณะที่คนอื่นรับแขกอย่างๆทั่วๆไป ตอนนี้ เขากำลังเห็นและต้องรับแขก แขกที่มาเพียงครั้งเดียว แต่กลับสร้างความทรงจำที่เละเทะให้กับพนักงานทุกคน หญิงสาวสองรายที่มีสายรัดแขนสีขาว “พลเมือง” แห่งยูโทเปียที่…คุ้นเคย

“ ยะโฮฮฮฮฮ ”

คนแรกคือสาวผิวเข้ม มาเร่ วันนี้เธอมาแปลก เพราะดูเหมือนว่าเธอกำลังสวมเครื่องแบบอะไรสักอย่างอยู่ด้วย เครื่องแบบที่ไม่คุ้นตาแต่ในถ้าได้เห็นก็คงบอกว่ามันน่ารักมากๆแน่ๆ ชุดสีขาวที่มีโบวแดงห้อยอยุ่ เสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อน กระโปรงลายแดงแสนสั้นที่ตัดกับถุงเท้าขาวและรองเท้าสีน้ำตาล

“ อย่าเสียงดังสิมาเร่ ”

ส่วนอีกคนที่ตามมาข้างหลังก็คือหญิงหล่อเท่ห์ที่ไม่เหมือนใคร…จูน วันนี้เครื่องแบบที่เธอใส่มันทำให้เธอดูสุขุมและสมชายยิ่งกว่าปกติ

แม้ว่าเธอจะใส่กระโปรงสั้นแบบเดียวกับมาเร่ แต่ว่าเธอก็สวมถุงน่องยาวสีดำ ทำให้มันดูเรียบร้อยพร้อมกับเสริมทำให้ดูตัวสูงขึ้นไปอีก นอกจากนี้แล้วความเป็นคนคูลของเธอก็ยังไม่หมด ผ้าพันคอสีขาวที่ใช้มันทำให้เวลาที่เธอก้มหน้า จะให้บรรยากาศของคนที่โดดเดี่ยวซึ่งมันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

“ สวัสดีครับคุณหนูทั้งสอง เอ…วันนี้คุณหนูอีกท่านไม่ได้มาด้วยอย่างงั้นเหรอครับ?? ”

รินรินเทต้อนรับทั้งสองทั้งด้วยท่าทีที่สุภาพเรียบร้อย และมอบรอยยิ้มให้กับทั้งคู่ ทว่าทั้งสองก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าหรือแสดงอาการเขินอะไรแต่อย่างใด โดยเฉพาะจูน เธอมองมายังรินรินเทด้วยใบหน้าที่ดูนิ่งเฉย

“ เอฟฟ่า เธอติดงานที่โรงเรียนน่ะค่ะ ก็เลยมาไม่ได้ ”

“ เอ… งั้นเหรอครับ?? น่าเสียดายจังเลยนะครับ ”

โดยท่าทางการพูดของเธอนั้นเปลี่ยนไปมาก มันดูสุขุม ไม่เคอะเขินเหมือนก่อนหน้า อีกทั้งไม่รู้ทำไม เพียงแค่มองสายตานั้นก็ทำเอาตัวรินรินเทรู้สึกใจสั่นไหวแปลกๆ สายตาอันหล่อเหลานั้น

“ ยังไงก็ยินดีต้อนรับนะครับทั้งสองคน เดี๋ยวผมพาไปที่ประจำของทั้งสองท่านนะครับ ”

“ ค้า ค้า ค้าาาา รบกวนด้วยน้าาา ว่าแต่ที่ประจำนี้ยังไงอ่ะ พึ่งจะมาครั้งที่สองเองนาา ”

“ นั้นสินะ ”

ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านโดยมีรินรินเทเดินนำ และพนักงานก็ต้อนรับเป็นอย่างดีทว่ายิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งเป็นเป้าสายตา พวกลูกค้าคนอื่นๆต่างมองมาที่ทั้งสองคน โดยเฉพาะจูน

“ หนุ่มที่ใส่กระโปรง? นั้นพนักงานใหม่งั้นเหรอ ”

“ หืมมม…หล่อจัง… ”

“ สายตาแบบนั้น อ๊าาาาห์!! ”

และเมื่อทั้งสองมาถึงแล้วได้นั่งลงยังโซฟาสีขาวหรูหรา ความบรรลัยก็เริ่มทันที มาเร่เปิดประเดิมด้วยการถาม ถามคำถามที่เหล่าพนักงานทุกคนกลัว กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก

“ รินรินเท วันนี้ใครว่างบ้างอ่าาา?? ”

“ อ่า.. นั้นสินะครับ งั้นก็ แปะ แปะ ”

รินรินเท เห็นอนาคตทันที ซึ่งอนาคตนี้ตัวเจ้าของร้านกับเขาก็รู้และรับทราบอยู่แล้ว เขาจึงเตรียมหน่วยพิเศษเอาไว้ตั้งแต่วันนั้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในวันนี้ เหล่าพนักงานใหม่ที่มีความ “คอแข็ง” และ “ตับเหล็ก” ร่วม 20 คน

“ โอ๊สสส มาแล้วครับ มาแล้ว ”

“ ว ว สวัสดีครับคุณหนูที่น่ารัก ยินดีที่จะได้ร่วมดื่มด้วยนะครับ ”

“ โหห… อึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับบ แหะ แหะ ”

พวกเขาเหล่านั้นต่างมายังโซฟาขาวสถานที่พิเศษที่ถูกเตรียมเอาไว้ ทั้งหมดนั้นเมื่อมาถึงก็แอบตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย เพราะนี้เป็นงานแรก แถมพอเจอเสน่ห์ของมาเร่กับจูนเข้าไปอีกก็แข็งเป็นหินกันไปชั่วครู่เลย

“ นั่งลง นั่งลง มามา มาดื่มก๊านนนน ”

มาเร่มองไปที่ตาของพวกเขาทุกคนก่อนจะบอกให้ทุกคนนั่งลง ซึ่งพวกเขาก็ทำตามโดยไม่ขัดขืนอะไร ทำตามอย่างไม่สงสัย นั่งลงและเริ่มเอาแก้วออกมาวางเรียงกัน

ป็อก

“ เอ้าาาาา ขวดที่ 1!! ”

การดื่มได้เริ่มขึ้น ทุกคนยกเว้นรินรินเทต่างก็คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะวันนี้เกรฟยาร์ดเครื่องดื่มของเป้าหมายก็เตรียมไว้มากกว่าคราวที่แล้วถึง 2 เท่า คนเองก็พร้อมจะดื่มได้คนละเกือบ 10 ขวด

“ อืมมม หวานดีจังเลยน้าาา อ่าาา ฮ่าาาาห์ ”

“ ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับท่านจูน ผมว่าถ้าช่างที่ทำได้ยิน เขาคงมีความสุขจนละลายเลยล่ะครับ ”

“ แหมม… ก็ว่าไปนะคะรินรินเท ”

ส่วนลูกค้าอีกราย จูน เธอสั่งของที่อ่อนสุดๆอย่าง วันพีช เครื่องดื่มกลิ่นหอมที่แอลกอฮอล์ผสมอยู่น้อยนิดจนเหมือนไม่มีอยู่เลย เธอจิบอย่างช้าๆ พร้อมกับมองดูรอบๆ โดยข้างๆก็คือรินรินเท

“ อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก ฮ่าาาาห์ เอามา เอามาอี๊กกกก ”

“ คร้าบ เดี๋ยวนี้แหล่ะครับผมมมม ”

ทว่านั้นมันก็เป็นเพียงลมก่อนพายุมา อัตราการดื่มในวันนี้ของมาเร่นั้น เร็ว เร็วมากๆ เธอดื่มทั้งขวดในการยกครั้งเดียว ใช่ ขวด 1.5 ลิตร หมดในการยกครั้งเดียว และที่มันหมดเร็วก็เพราะก่อนดื่มเธอจะควงขวดเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว พอยกขึ้นดื่มมันก็เหมือนน้ำวนที่ไหลเข้าปากเล็กๆของเธอจนหมด

“ อึก…. น น นั้นเกรฟยาร์ท ล ล ล เลยนะ ”

“ กินไวขนาดนั้น… ไม่เป็นอะไรเลย ได้ยังไงกัน?!? ”

การทำแบบนั้นทำให้เหล่าพนักงานต้อนรับได้แต่เริ่มกลัว กลัวขึ้นเรื่อยๆแต่พวกเขาก็ต้องดื่มไปด้วย จนกระทั่งสิ่งที่พวกเขาไม่คิดก็มาถึง เกรฟยาร์ทที่พอสำหรับ 2 เดือน หมดสต็อก…

“ ท่านมาเร่ครับ ค ค คือว่า เกรฟยาร์ทหมดแล้ว ถ้ายังไง ลอง… ”

“ ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องงง นี้ไง เราเอาของเรามาด้วยล่ะ มา มา ดื่มกันต่อ ”

“ อึก… ”

นั้นแหล่ะ นรกได้เริ่มขึ้น มาเร่ หยิบเอากล่องไม้สีน้ำตาขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้แล้วเปิดมันออก เผยให้ขวดแก้วใสที่เธอเตรียมมาด้วย เมื่อเธอขยับมันก็มีแสงประกายออกมา แสงจากเหล้าที่ใสกิ๊ง จนเหมือนกับไม่มีอยู่ในขวด

“ อ๊ะ จะเริ่มแล้วสินะ ”

จูนที่นั่งดื่มอยู่พอเห็นแบบนั้น เธอก็หยิบหน้ากากบางอย่างขึ้นมาใส่เอาไว้ มันครอบครึ่งหน้าของเธอตั้งแต่จมูกลงมาถึงต้นคอเอาไว้ หน้าที่ของมันก็ไม่มีอะไรนอกไปจากกรองอากาศ

ป๊อก

เหล่าพนักงานชายทั้ง 20 1 ชีวิต ที่ได้เห็นก็ต่ากลืนน้ำลายกันเพราะมีลางได้ว่าของในนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ ซึ่งก็จริง ทันทีที่เปิดฝาออก กลิ่นของแอลกอฮอล์ที่รุนแรงก็ซัดเข้าจมูกของผู้คนในร้าน บางคนที่คออ่อนก็หน้าแดงในทันที

“ เอาล่า เอาล้าาา มาดื่มเครื่องดื่มที่พวกเราดื่มกันตามปกติเถอะนะ นี้ นี้ ”

เครื่องดื่ม “ปกติ” ในกำแพง มาเร่ชอบมันมากเพราะกินแล้วจะรู้สึกเบาๆเล็กน้อย ทว่าไอคนที่ฟังทั้งหลายก็หน้าซีดทันที และยิ่งต้องซีดกว่านี้เมื่อ มาเร่ เทเหล้านั้น ลงในช็อต 21 ช็อตตรงหน้า

“ ดื่มให้แก่วันเปิดเทอมมม ”

“ ดื่มให้คุณหนูมาเร่และจูนนนน ”

“ ฮ ฮ เฮ้!!! ”

พวกเขารู้ว่าถ้าดื่มเข้าไปต้องได้ไปสู่ขิตที่ดีแน่ๆแต่หน้าที่ของโอสก็เข้ามาค้ำคอการเอาชีวิตรอดของพนักงานชายพวกนั้นทันที พวกเขาถูกจ้องมองจากเจ้าของร้านมา สายตาของเขาบอกว่าไม่ดื่มไม่ได้เงิน นั้นทำให้พวกเขายกขึ้นเตรียมดื่มทันที ส่วนมาเร่เองก็ด้วย

[ เผ่นก่อนแล้วกัน ไอเจ้านั้นถ้าดื่มเข้าไปแข็งแค่ไหน…ก็ไม่ไหวแน่ๆ ]

รินรินเทนั้นเขาที่ปลีกตัวมาดูแลจูน ก็ได้อยู่ห่างจากมาเร่มาสักพักและเพราะระยะที่ไม่ใกล้หรือไกลเกินไปเธอจึงไม่ได้เป็นจุดสนใจของมาเร่นัก และที่ทำไปแบบนี้ก็เพราะ เขารู้ว่าอาจจะได้ไปสวรรค์แน่ๆ ทำให้การยกดื่มในครั้งนี้เขารอด รอดไปได้อย่างหวุดหวิด

“ ดื่มม!! อึกกก อ๊าาาห์!! อื้ออ อร่อย!! ”

ปึ้ง

ทันทีที่มาเร่เห็นว่าทุกคนพร้อมเธอก็ยกดื่มทันที และกระแทกแก้วช็อตนั้นลงบนโต๊ะเมื่อมันหมดลง เธอส่งเสียงแสดงความสดชื่นออกมาพร้อมกับใบหน้าของเธอที่แดงขึ้นมาเล็กน้อย

[ เอาก็เอาวะ!! ]

[ ไม่ตายหรอก!! ]

[ ฮืออออ เอาว้าาา ]

อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก

ส่วนพวกพนักงานทั้ง 20 ชีวิต พวกเขาที่เห็นว่ามาเร่ไม่ได้เป็นอะไร ก็ยกดื่มตามทันที ทว่า…แค่หยดเหล้านั้นสัมผัสริมฝีปาก ความร้อนผ่าวก็แผดเผาไปทั่ว

ยิ่งตอนพวกมันผ่านลงไปในคอ ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ โลกที่เคยอยู่นิ่งๆก็หมุนวนอย่างกับมันจะพังทลายลง หูที่เคยได้ยินก็ดับสิ้นและมีเสียงวิ้งๆแทรกเข้ามาแทน บางคนก็วูบลงไปนอนกับพื้นเลยก็มี แต่ทั้งหมดล้วนจบลงที่…สลบ ไม่ก็หยุดนิ่งไปด้วยร่างกายที่แดงอย่างกับแอปเปิ้ล

“ อ้าว… ไหงสลบกันหมดเลยล่ะ อ่อนแอจังน้าาา งั้นก็… ”

มาเร่ที่เห็นก็เลยบ่นออกมา ก่อนจะหันไปมองรอบๆแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เธอหยิบแก้วช็อตที่เตรียมเอาไว้มาเรียงกัน แล้วเริ่มลงมือเทช็อตพวกนั้นพร้อมกับนำไปเสิร์ฟให้กับทุกโต๊ะ รวมไปถึง…

“ นี้ค่ะ คุณเจ้าของร้าน ของคุณเยอะกว่าคนอื่นเลยน้าาา ดื่ม ดื่มม!! ”

[ ช ช ช่วยกุด้วยยยยยย!! รินรินเ… อ๊ากกก ตาย ตายยย แน่ๆๆ!! ]

เจ้าของร้านที่เจอแบบนั้นก็พยายามจะขอความช่วยเหลือ แต่ว่ายาก เพราะการปฏิเสธน้ำใจจาก “พลเมือง” มันอาจทำให้คนคนนั้นเสียเครดิตในการยื่นเข้าเป็น “ผู้ได้รับการตรวจสอบ” หรืออาจทำให้ร้านค้ามีภาพเสียๆหายๆในเมืองหลวงได้

“ ค ค ครับ… ”

“ ว่าแต่เจ้าของร้านคะ ตั้งแต่ย้ายมาที่นี้เป็นไงบ้างเหรอคะ? ”

“ ก็ดีนะครับ สะอาด ระเบียบ ถ ถ ถือว่าดีม ม มากเลย แถมระ ร ร ระบบจำกัดร้านที่ทำให้ไม่ต้องกังวลคุ่แข่งที่จะเพิ่มมากขึ้นเหมือนเมื่อก่อนตอนนี้อะ อะ อะไรก็ดี ขึ้นเยอะค ค ครับ ”

“ เห… ดีจังเลย งั้นก็มาดื่มฉลองให้กับความสำเร็จนี้กันเถอะค่ะ เอ้าาา ทุกคนดื่ม!! ”

ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ

“ อ อ อ้าว… อุเห๊ะ?? ”

เมื่อพูดจบ มาเร่ก็ขอให้ทุกคนยกดื่ม…และนั้นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนในร้านได้รับรู้ ทุกคนรวมไปถึงลูกค้ารายอื่น

………

……

ก๊าาา ก๊าาาา ก๊าาา กาาา ก๊าาาซซซซซซ

“ เหวออ!! อะไรกัน เราหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?!?! ไม่สิ ไอของเหลวนั้น?!? ”

อย่างไรเสียเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เจ้าของร้านก็พบว่าตัวของเขากำลังนอนอยู่บนโซฟาที่ตั้งอยู่ในห้องทำงานของเขา โดยที่ข้างๆมีชายที่เขาคุ้นเคยนั่งนับเงินอยู่

“ ตื่นแล้วงั้นเหรอครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ตื่นแล้วซะอีก ”

“ เห้ออ อย่าแช่งกันสิรินรินเท เห้ออ… ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าตอนที่ข้าหลับไปน่ะ ”

“ ก็ไม่นะครับ เอ่อ…ถ้าไม่นับว่าทุกคนในร้านสลบกันไปจนหมด จนเหลือแค่ผมกับพนักงานคิดเงินน่ะครับ อ๋อ!! นี้ครับ รายได้ของโต๊ะที่ท่านมาเร่ได้ให้ทิ้งไว้ครับ 7 แสนเครดิตถ้วนครับผม ”

รินรินเทเขานำเงินจำนวน 7 แสนเครดิต ออกมาจากถุงพร้อมกับมอบให้กับเจ้าของร้านที่นั่งสับสน โดยมันคือค่าบริการที่มาเร่ได้ให้ไว้ ก่อนจะจากไป

“ 7 แสน!!!!! ”

ภายหลังจากเหตุการ์นี้นั้น ลูกค้าที่ได้ดื่ม พนักงานที่ได้กิน เจ้าของร้านที่ได้ลองเสพ “เจ้าใส” นั้น ก็ล้วนจดจำรสชาติอันแสนพิศวงของมันไว้ได้ และเริ่มจะโหยหายอย่างบอกไม่ถูก จนในไม่ช้ามันจะนำไปสู่การสั่งซื้อจากยูโทเปียโดยเป็นของประจำร้านนี้ในที่สุด เหล้าในขวดใสที่จารึกข้างขวดไว้ว่า “ Spirytus Vodka ” แต่พวกเขาที่อ่านอักษรนั้นไม่ได้ ก็เรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า “ ภาพตัด ”

“ เอ้าาาา ดื่มมมมม ตุบ ”

…….

“ การประชุมวิสามัญครั้งที่ 1 หัวข้อเรื่อง การปรับปรุงพื้นที่อโคจร เอาล่ะ งั้นเริ่มเลยนะ ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ”

“ ค่ะ? ”

ในเช้าวันถัดมา ท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องขึ้นจากทิศตะวันออก แสงนั้นส่องเข้ามาภายในห้องของมาร์ ที่นอกจากจะมีตัวของเขาแล้ว ก็ยังมีหญิงสาวในชุดเมดทิเรียที่กำลังสวมแว่นพร้อมกับเตรียมจะจดทุกสิ่งที่นายท่านของเธอพูด

และสำหรับอีกคน หญิงสาวที่ไม่ค่อยได้โผล่มาเจอนายท่านของเธอบ่อยนัก แอนนา เมดลำดับที่ 1 ของเหล่าพี่น้องเมด เธอเป็นคนที่ทำงานด้านการคุมทหารกับพนักงานภาคพื้นทั้งหมด ทำให้ชีวิตแสนจะวุ่นถึงขนาดที่ไม่สามารถไปตัดผมหรือจัดทรงดีๆได้

สภาพก็เลยจากผมที่เคยยาวปัดไปข้างเดียว ก็ตัดทิ้งจนสั้น แล้วเสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นชุดพ่อบ้านที่ดูเรียบร้อยน้อยกว่าปกติเธอเคยใส่ แต่ว่านอกจากเรื่องทรงผมเสื้อผ้าก็มีหน้าตาของเธอที่เด็กลงเล็กน้อย จากการที่ทำงานโดยไม่เครียดนั้นแหล่ะ

“ ก่อนอื่นขอเริ่มพูดถึงการไปสำรวจสถานที่ก่อนก็แล้วกัน เห้ออ ว่างไงดีล่ะ อึดอัด ไม่เป็นระเบียบ วุ่นวาย แถมสกปกรกอีก ร้านที่พอจะนั่งได้แล้วถึงเกณฑ์ก็มีแค่ร้านเดียวเองด้วย… ”

มาร์พูดออกมาด้วยท่าทางเซ็งๆ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะตัวของเขาพึ่งจะได้ไปยืนยันมา จากการใช้การปลอมตัวเป็นมาเร่นั้นแหล่ะ นิยามของมาเร่ในหัวของมาร์นั้นก็คือ คุณหนูสาวสวยวัยละอ่อนที่หนีเที่ยวแถมใจแตกจนเป็นกบฎครอบครัว

ในความทรงจำของมาเร่…มาร์นั้นแหล่ะ ภาพในตอนนั้นมันเละเทะไปหมด เขาไม่ได้เดินเพียงบนถนนกับทั้งสามคนนั้น เขายังคอยจับมานาเพื่อระบุตัวตนของคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นตอนแรกก็เพื่อความปลอดภัยทว่าพอนานเข้า นานเข้ามันก็กลายมาเป็นเรดาร์แทนและก็เห็นอะไรที่เละเทะยิ่งกว่า

ผู้คนที่เมานอนเกลื่อนถนน นอนเป็นซากในมุมมืด โสเภณีมีอยู่แม้แต่ในตรอกซอกซอยลึกเข้าไปหลายชั่วตึกและผู้คนก็เวียนใช้บริการอย่างไม่สนโรคเลย ไหนจะกลุ่มคนที่เคลื่อนที่ไปมาเป็นจำนวนมากอีก

“ …นี้ยังไม่รวมเรื่องที่หลบมุม หลบซ่อนอีกนะ ว่าไงล่ะมีใครเสนอทางแก้อะไรไหม? ”

“ เจ้าค่ะ ตามที่นายท่านกล่าวมา ดิชั้นเห็นว่าหากเป็นปํยหาระดับนั้นเราควรจะ ทุบ ทำล.. ”

“ เดี๋ยว หยุดเลยนะทิเรีย ”

ในขณะที่ทิเรียจะเสนอแนวทางการแก้ไขนั้น แอนนาก็พูดขัดขึ้นมาพร้อมกับมองไปยังทิเรียด้วยสายตาที่ดุดันสมกับเป็นตัวของเธอ สายตานั้นชัดเจนว่าแอนนาไม่เห็นด้วย “อย่างยิ่ง” กับแนวทางที่ว่า

“ ชั้นเข้าใจนะว่าอยากจะกำจัดปัญหาให้หมดไป แต่ว่าขืนทำแบบสุดโต่งอย่าง เอาออกไปให้หมดเนี่ยจะวุ่นวายนา ”

“ ขอเหตุผลด้วยค่ะแอนนา ”

" สมกับเป็นฝ่ายบัญชีจังเลยน้า ก็ง่ายๆเลยทิเรีย พวกใช้แรงงาน พวกนักพจญภัย หรือไอพวกคนนอกนั้นน่ะ มันต้องการแหล่งบรรเทิง ซึ่งอย่าลืมล่ะว่าพวกเราไม่ได้เข้าไปสร้างสถานบรรเทิงแบบที่มีในยูโทเปียเลย ทั้งโรงหนัง ทั้งร้านเกม

ทุกอย่างที่เมืองคนนอกมันเลยยังเป็น [วัฒนธรรมหาทำ] แบบเก่า แบบที่พึ่งกับเหล้า กับการพนัน และ เซ็กส์ ซึ่งถ้าเราไปบั่นทอนหรือเอาออกมากเกินไปโดยไม่คิดจะใส่อะไรไปเพิ่ม ผลที่ตามมาก็คือความไม่พอใจอย่างถึงที่สุดเลยล่ะนะทิเรีย "

ใช่…แอนนานั้นมองออกและทำให้เธอขัดทิเรีย แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่แอนนาจะรู้ไปไกลขนาดนั้น เดิมทีก่อนจะมาอยู่กับมาร์เธอเคยมีประสบการณ์ในกองทัพมาก่อน และเธอรู้ดีว่าการที่ไปทำอะไรอย่างการตัดแหล่งระบายอารมณ์ของพวกคนที่ทำงานแนวทหาร นักพจญภัย มันก็มักจะจบด้วยความวุ่นวายเสมอ

“ แอนนาพูดถูกแล้วล่ะนะทิเรีย เราจะไปกวาดให้ไม่เหลือเลยไม่ได้ แต่จะปล่อยให้มีมากมายและวุ่นวายแบบนี้เองก็ไม่ได้เช่นกัน ”

มาร์เองที่ได้รับฟังการสนทนาของทั้งสอง เขาก็เห็นด้วยกับแอนนา เพราะตัวของเขาเองก็เข้าใจดีว่าการที่ขาดแหล่งบรรเทิงที่บรรเทาความทุกข์กับความน่าเบื่อมันก่อความโกรธ ความน่างุดหงิดขนาดไหน

“ นายท่านคะ ตัวของดิชั้นขอเสนอให้ มีการออกระเบียบระเบียบใหม่ดูดีหรือเปล่าคะ แบบเดียวกับที่เคยทำแค่เปลี่ยนจากอาวุธมาเป็นอาคารกับที่อยู่แทนค่ะ ”

“ อ่า แบบนั้นเองสินะ ถ้างั้นก็เอาเป็น ระเบียบขอใบอนุญาตเปิดกิจการพิเศษละกัน คิดว่าไงล่ะทิเรีย? ”

“ ถ้าจะกำหนดให้เป็นเช่นนั้นก็ดีนะเจ้าคะ เพราะว่าทางตัวหน่วยของดิชั้นเองจะได้มีข้อมูลและควบคุมได้ ดังนั้นการออกระเบียบนี้ก็ตั้งเป้าหมายไว้ที่ ให้รู้ว่าที่ไหนทำอะไรและจำกัดไม่ให้มีการขยายเยอะเกินไปนะเจ้าคะ ”

“ อืม ตามนั้นแหล่ะทิเรีย ”

ทิเรียนั้นก้มหัวตอบรับคำสั่งของนายท่านทันที ซึ่งนั้นก็ทำให้เธอเริ่มลงมือทำการหยิบเอาแผนที่ของเมืองคนนอกเปิดออกผ่านจอฉายภาพลอยกลางอากาศ ก่อนจะเริ่มลงมือลงตำแหน่งของอาคารที่เปิดในเขตอโคจรนั้นอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่สวยงามมาก แต่ก็เข้าใจได้

" ถ้าเช่นนั้นขดิชั้นก็สามารถกำหนดให้ได้ง่ายๆด้วยการแบ่งสถานที่เหล่านี้ออกเป็นตามสามสัญลักษณ์เหล่านี้เจ้าค่ะ

กลุ่มแรก แก้วเบียร์ เป็นร้านเกี่ยวกับเครื่องดื่ม เป็นโซนว่าด้วยการนั่งดื่ม เหล้า บาร์ เบีย์ โฮส นั่งดริ๊ง อะไรจำพวกนี้ซึ่งจะจำกัดไว้ที่ 16 ร้านเท่านั้นเจ้าค่ะ

กลุ่มสอง ชิพ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการพนัน สำหรับคนนอก คงไม่มีปัญหาอะไรมาก ผนวกกับ พลเมืองมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้านในอยู่แล้ว ดิชั้นเห็นว่าจะแบ่งให้ร้านเหล่านี้ไปแทรกอยู่ข้างๆ กลุ่มแรก โดยจะมีทั้งหมดเพียง 3 แห่งเท่านั้น ทั้งหมดเพื่อไม่ให้การพนันเกิดขึ้นเยอะเกินจนบอนทำลายเมืองคนนอกเจ้าค่ะ

สุดท้ายคือ หัวใจชมพู ร้านเกี่ยวกับการบริการทางเพศต่างๆ เพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบ สถานที่รูปแบบนี้จึงควรมีเพียง 6 ที่ ซึ่งแต่ละที่ต้องห่างกันอย่างน้อย 2 ช่วงตึกเจ้าค่ะ "

“ อ่า ตามนั้นเลย อ้อ…ใช่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไอรูปแบบร้านประเภทสุดท้ายช่วยเพิ่มการลงทะเบียน “โสเภณี” ลงไปด้วยนะ ”

อย่างไรก็ตามมาร์ก็เหมือนจะยังมีเรื่องที่ต้องการอีก เขาจึงพูดเสริมขึ้นมาเช่นนั้น ซึ่่งไอการที่เขาบอกว่าจะให้ลงทะเบียน “โสเภณี” ที่ว่า มันก็ทำให้ทิเรียกับแอนนาหันมามองตัวของเขาด้วยสายตาสงสัย มาร์ก็ยิ้มแล้วเริ่มอธิบายทันที

“ ก็…โสเภณีเหล่านี้ ผมกะว่าถ้ามีการระบุตัวตนชัดเจน ก็จะได้รับการตรวจร่างกายกับรักษาพยาบาลฟรี พร้อมกับมีสวัสดิการที่ดีจากทางยูโทเปียเช่นที่พักอะไรพวกนี้ อนึ่งคือมองง่ายๆว่าคนเหล่านี้ต้องคอยรับ อารมณ์ลูกค้า ซึ่งอาจจะอันตรายหรือมีโรคร้ายอยู่ ดังนั้นพวกเธอหรือเขาที่เสี่ยงอยู่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเรา อย่างน้อยก็ควรได้รับรางวัลบ้างล่ะนะ ”

“ นั้นสินะคะนายท่าน ถ้าเช่นนั้นดิชั้นก็ขอเพิ่มเติมด้วยหรือเปล่าคะ? ”

“ ว่ามาสิแอนนา… ”

“ ค่ะ ดิชั้นอยากเพิ่มการส่งกองทหารรักษาความสงบเรียบร้อยเข้าไปตรวจเป็นระยะระยะด้วยได้หรือเปล่าคะนายท่าน? ”

คำถามนั้นมาร์ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหันไปยิ้มให้กับทิเรีย และเธอเองที่เห็นเช่นนั้นก็ก้มหัวรับทราบทันที ส่วนตัวของมาร์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูทางออกห้องอย่างช้าๆ

“ เดี๋ยวผมไปส่งยูเรย์กลับไปเรียนต่อที่โอดุนยาก่อนนะ ไม่เกิน สองสัปดาห์คงกลับมาแล้ว ดังนั้น…แอนนากับทิเรียฝากจัดการงานให้เสร็จด้วยล่ะ ”

“ เจ้าค่ะนายท่าน ”

“ รับทราบค่ะ!! ”

……

“ ประกาศเว้ย!! ประกาศ!! ฟังซะไอพวกคนนอกที่เข้ามาอยู่ในดินแดนนี้!! ”

ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ณ ใจกลางพื้นที่อโคจร บัดนี้หญิงสาวในชุดสูทสีดำที่มีกระบองด้ามดาบทรงกระบอกสีดำสองด้ามที่เอวของเธอและตัวของเธอนั้น แอนนา…กำลังยืนอยู่ โดยรอบๆกายก็มีเหล่าชายหญิงมากหน้าหลายตาในเครื่องแบบลายพรางสีเขียว ทุกคนล้วนสวมชุดเกราะ สวมอุปกรณ์ครบถ้วน ที่สำคัญไม่มีใครเลยที่ไม่ถือปืน

“ วันนี้ ข้าในฐานะตัวแทนฝ่ายรักษาคงความสงบของยูโทเปีย ได้รับสั่งให้ทำการปรับปรุงเขตอันแสนโสโครกนี้ ดังนั้นเริ่มง่ายๆเลยว่าใครมีสิทธิไม่มีสิทธิ วิธีก็เอ้า!! เริ่ม!! ”

ทันใดนั้นเหล่าทหารของยูโทเปียก็เริ่มเดินหน้าไปยังบริเวณหน้าตึกแต่ละตึก พร้อมกับตั้งแถวเป็นหมวดหมู่เรียบร้อยและมีระเบียบ ท่ามกลางการจับตามองของผู้คนในเขตนี้และเจ้าของอาคารเหล่านั้น

“ ใช่ อย่างที่พวกแกเห็น วันนี้ทหารของพวกเราจะเข้าตรวจเพื่อเตรียมปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมด คนที่ผ่านก็จะได้รับสิทธิเปิดร้านพร้อมรับทะเบียนอนุญาตที่มีจำกัด โดยไม่ต้องเสียสักเครดิต ส่วนใครที่ไม่ผ่านล่ะก็…ต้องคุยกันสักหน่อยล่ะนะ ”

หมดคำพูดของแอนนา ทหารก็เข้าตรวจทุกร้านทันที การเข้าตรวจนี้เพื่อหาการซุกซ่อนของต้องห้ามหรือของที่ผิดกฎระเบียบของยูโทเปีย อันได้แก่ … ของสามประเภทต่อไปนี้

เริ่มจากยาเสพติด สิ่งนั้นมาร์เกลียด เกลียดมันมากๆ แต่ก็แปลกที่เขาก็ดันไม่ได้เกลียดทั้งหมด อาทิเช่น อัญโอชา(กัญชา) ในบ้านเกิดชาติก่อนของเขา ไอสิ่งนี้มันเสรีพอตัวถึงขนาดที่ร้านกาแฟก็มีขาย เขาจึงไม่รู้สึกว่าเป็นภัยนัก ทำให้ในยูโทเปียอนุญาตไว้ แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกันว่าถ้าเสพจนสร้างความเสียหายก็ต้องรับผิดชอบในอัตราที่สูงกว่าความจริง

ดังนั้นยาเสพติดต้องห้ามก็จะมีอาทิเช่น ยาเสริมกำลังที่ต้องเสพตลอด ยากระตุ้นร่างกายที่ไม่ได้ออกโดยกิลล์นักผสมยา ยาสูบประเภทที่ไม่ได้รับการรับรองจากสมาคมยาสูบและไม่ได้ถูกตรวจโดยยูโทเปีย เป็นต้น

ส่วนเรื่องอาวุธ สำหรับด้านนอกใครจะใคร่พกอะไร ถืออะไรก็เชิญตามสบายแต่ในยูโทเปียมันไม่เป็นเช่นนั้น อาวุธทุกชิ้นที่มากกว่าเครื่องมือทำกินในชีวิตประจำวัน จำต้องมีการลงทะเบียนและต้องตรวจสอบที่มาที่ไปได้

กล่าวคือ อาวุธทุกชิ้น หากไร้ซึ่งทะเบียนและยืนยันที่มาที่ไปไม่ได้ จะถูกยึดทันที ทั้งหมดเพื่อป้องกันการก่อกองกำลังอื่นใดนอกจากคนของ “ผี” ในเกาะนี้นั้นเอง

สุดท้ายเรื่องสำคัญที่สุด ทาส ยูโทเปียนั้นไม่ยอมรับทาส ใช่…แต่เป็นบางประเภทเท่านั้น ซึ่งตัวของมาร์ เขาเองไม่อยากให้มีทาสในทวีปของเขาขนาดที่ว่า ไม่ได้พา “มันจา” ทาสหนี้พนันแล้วปล่อยให้ยังอยู่ที่คอลลาจในฐานะผู้ดูแลอาคารของเขาและอาจารย์สอนคณิตศาสตร์

แต่ว่าการจะขาดทาสหรือห้ามไปเลยในตอนนี้จะวุ่นวายเอา ทำให้ตอนต้นทิเรียเสนอว่าควรขึ้นบัญชีห้ามนำเข้าทาสสู่ “เมืองคนนอก ” เฉพาะทาสซึ่งกำหนดออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

ประเภทแรก ทาสเด็ก เป็นทาสที่อายุต่ำกว่า 21 ปี ทั้งหมดถูกห้ามนำเข้ามาในยูโทเปียเด็ดขาดไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ ซึ่งหากพบว่าลักลอบหรือนำเข้ามา ทางยูโทเปียจะยึดเอา “ทาส” นั้นเอาไว้จัดการเอง การขัดขืนหรือขัดขวางมีโทษสูงสุดที่ประหารตรงหน้าทันที

ประเภทที่สอง ทาสกาม หรือทาสที่มีเพื่อการใช้บำเรอทางเพศ หรือกิจการ การกระทำใดๆ ที่เกี่ยวกับเพศและความสุขส่วนตัว รูปแบบใดๆที่เกินกว่าความบรรเทิงทั่วไป ทาสนี้จึงห้ามมีเด็ดขาด เพราะยูโทเปียมองว่าเป็นการปฏิบัติกับทาสอย่างไร้มนุษยธรรม หากพบเจอ ยูโทเปียจะยึดเอา “ทาส” นั้นเอาไว้และจัดการแบบเดียวกับทาสรูปแบบก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ยังมีการออกกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับทาสไว้อีกด้วยว่า ทาสมีสถานเช่นเดียวกับคนนอก แต่ไม่มีสิทธิได้รับกรเลื่อนขั้นเป็น “ผู้ได้รับการตรวจสอบ” เว้นเสียแต่ เจ้าของทาสจะปลดพันธะทาสนั้น

ทำให้ เขตใดที่อนุญาตให้เฉพาะ “ผู้ได้รับการตรวจสอบ” กับ “ พลเมือง ” เข้าถึง ทาสก็จะไม่มีสิทธิเข้าไปเด็ดขาด อีกทั้งเพื่อเป็นการช่วยเหลือทาสอีกทางหนึ่ง ยูโทเปียได้ออกกฎด้วยว่า เมื่อทาสเข้ามาแล้วต้องมีราคาให้ชัดเจน โดยจะได้รับการวิเคราะห์เพิ่มเติมผ่านกิลล์นักประเมินราคา ซึ่งราคาที่ออกมานั้นจะเป็นราคาที่ทาสสามารถไถ่ตัวเองได้

รวมไปถึง ยังมีกฎด้วยว่า ทาสจะต้องได้รับการปฏิบัติดั่งคนในสถานที่แห่งนี้ หากพบเจอว่าทาสถูกปฏิบัติอย่างสิ่งของ ทาสนั้นก็จะถูกยึดโดยยูโทเปียทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ อีกทั้งทาสจะต้องได้รับสิทธิไถ่ตนอีกด้วย โดยคำนวณเป็นเงินเท่าใดนั้นขึ้นแล้วแต่กิลล์นักประเมินจะกำหนดให้กับทาสดังกล่าวตามก่อนหน้านี้

อย่างไรเสียหากเจ้าของไม่พอใจก็สามารถเลือกได้ว่าจะขายทาสให้กับยูโทเปีย หรือส่งกลับสู่ถิ่นฐานของตนด้วยเงินของเจ้าของทาสนั้น โดยหากเลือกจะขาย ยูโทเปียจะรับไถ่ทาสนั้น ในราคา 2 ใน 3 ของราคาประเมิน ซึ่งเงินที่นำมาใช้…ก็คือเงินที่วนเวียนผ่าน ค่าปรับจากการกระทำผิดอื่นๆในยูโทเปียนั้นแหล่ะ [ เงินไถ่บาป ใช้เพื่อไถ่ผู้คน ] มันคือสิ่งที่มาร์บอกเอาไว้

……

ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ตู้มมม

“ เอะอะอะไรกันอีกล่ะ?? ”

ทว่าระหว่างที่แอนนากำลังเฝ้าดูอยู่นั้น อาคารหลังหนึ่งก็มีปัญหา เสียงปืนดังขึ้นและความวุ่นวายก็เช่นกัน แอนนาจึงเดินไปดู โดยผู้คนที่มาฟังและรอการตรวจต่างหลบทางให้

“ หืมม? ดรากูน? ไม่สิฮาร์ฟดราก้อน?? ไม่อ่ะมีดีแค่เกล็ดไม่มีสมองแบบนั้น ¼สินะ? เอาเถอะจะอะไรก็ช่าง… ”

สิ่งที่เธอเจอคือ ชายเกล็ดหนาร่างยักษ์ เผ่ากึ่งมังกรที่กำลังนำกลุ่มคนอีกมากมายต่อสู้กับทหารของยูโทเปีย พวกนั้นต่างใช้โล่ห์เหล็กที่ทำขึ้นมาส่งๆ แต่ก็พอจะกันกระสุนได้ รวมทั้งยังใช้ปืนหน้าไม้ยิงสวนออกมา

ตึก ตึก ตึก

“ ร้อยเอกรายงาน ”

“ เยสแหม่ม!! หมู่ที่ 23 เข้าตรวจตึกตามคำสั่ง ทว่า กลุ่มคนนอกไม่ให้ความร่วมมือจนพวกเราต้องบุกเข้าไปด้วยกำลังครับ!! ”

“ แล้ว? ”

“ ครับผม!! หัวหน้าหมู่ที่ 23 รายงานว่า พวกเขาตรวจพบสารเสพติดต้องห้าม สถานบริการใต้ดินที่ใช้ทาสทำงานในนั้น ”

มาถึงจุดจุดนี้ แอนนาก็หันไปมองยังกลุ่มคนที่กำลังต่อต้านทหารของยูโทเปีย ทหารภายใต้การบัญชาของเธอ สายตานั้นมันเป็นสายตาที่โกรธอย่างมิอาจจะประเมินได้ ใช่…นอกจากมาร์จะชอบไม่ชอบให้มีทาสแล้ว เหล่าเมดรุ่นที่ 1 ทั้งหมด ก็เกลียดพวกนายทาสทุกคน เกลียดราวกับพวกมันเป็นศัตรูของนายท่านของพวกเธอ

“ ใช้ทาสในสถานที่แบบนั้น ทาสอย่างว่าสินะ ”

“ ค ค ครับผม!! พวกทาสเหล่านั้นถูกอำพรางไว้โดยบอกว่าเป็นทาสหนี้แรงงาน ทางพวกเราที่พบว่ามีการกระทำผิดอย่างชัดเจนจึงจะเข้าจับกุมทว่าก็เกิดการขัดขืนขึ้นแล้วเป็นแบบนี้จนได้ครับ!! ”

แอนนายังคงมอง มองไปโดยไม่ละสายตา ทว่าร้อยเอกที่รายงานทุกอย่างให้เธอทราบพอได้เห็นดวงตาทั้งสองของผู้บังคับบัญชาคนนี้แล้ว เขาก็ต้องรีบก้มหน้าทันที สายตาที่มีเปลวเพลิงลุกโชนออกมา

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ เอาสิ… กล้านักนะ กล้านักใช่ไหม? อยากนักก็ได้… ”

เธอนั้นเดินเข้าไปพร้อมกับบ่นออกมาอยู่เป็นระยะ ทว่าไอการบ่นที่ว่าก็เกิดขึ้นไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนจากร่างของแอนนา เธอเดินตรงเข้าไป เรื่อยๆ เรื่อยๆ และ..

เฟี้ยววว ฟู่

“ หึ… ”

ลูกศรจากหน้าไม้ก็โบยบินเข้าหาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เลย ไม่มีดอกไหนเข้าใกล้เธอได้แม้น้อย พวกมันมอดไหม้ไปจนหมดสิ้นกลางอากาศ กลายเป็นผงสะเก็ดเล็กๆน้อยๆสีดำไปเสียหมด

แม้รอบๆตัวของแอนนามันจะร้อนขนาดที่เผาศรที่พุ่งมาได้ แต่คนที่เธอเดินผ่านกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนนั้นเลย แต่ยิ่งใกล้ผู้กระผิดมากเท่าไหร่ มันก็แสดงให้เห็นว่าความร้อนนั้นมันมากขนาดที่…

“ อ๊ากกกกกก!! ”

“ ทิ้งโล่ห์เร็วเข้า!! ”

“ อ่า อ่าา กรอดดด ”

โล่ห์พวกนั้นกลายเป็นสีแดงพร้อมกับหลอมละลายอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับแขนของคนที่ถือพวกมัน เสียงกรีดร้องดังไปทั่ว แต่ผู้กระทำผิดก็ไม่หยุด พวกเขารู้ว่าถ้าหยุดตอนนี้ก็ไม่พ้นโทษสถานหนักอยู่ดี พวกเขาจึงต้องสู้ สู้เพื่อหลบหนีไปให้ได้ ทว่าไอการคิดจะเผชิญหน้าตรงๆแบบนั้นกับแอนนา มันก็คือการฆ่าตัวตายนั้นแหล่ะ

“ มาเริ่มทำความสะอาดก่อนนายท่านจะกลับมาเลยกันเลยดีกว่า…ไอพวกเวร ”

ฟึบ วู่มๆๆๆๆ

แอนนา หยิบเอาอาวุธของเธอออกมา แท่งเหล็กดำนั้นมันไม่มีคมดาบอย่างที่ทุกคนเห็น แต่ว่าเพียงไม่ถึงวินาที ก็เกิดแท่งแสงสีชมพูขึ้นมามันเข้มขึ้น เข้มขึ้นจนกลายเป็นสีแดงและจบที่สีขาว แท่งแสงนั้นยาวเกือบเมตรครึ่ง แถมมันก็มากกว่าคำว่าร้อนไปหลายเท่า

ฟุบ

“ อะไ…. ”

“ ตายไปแล้วนะ…แกน่ะ ”

“ ห๊ะ?!? พูดบ้าอะไรของแก ยัยเปี๊ย…. อ๊ากกกก!! ไฟบ้าอะไรกัน ไม่ ไม่ ร่างของข้า ไม่ ม่ายยยยยย!! ”

ทันทีที่มันสัมผัสกับร่างของเจ้าร่างยักษ์ มันก็แผดเผาทุกส่วนอย่างรวดเร็วจนขนาดที่ร่างกายไม่อาจรับรู้ได้ว่าชิ้นร่างกายนั้นได้หายไปและมอดไหม้จนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น ส่วนตัวของแอนนาเธอก็ไม่ได้สนใจเจ้ายักษ์นั้นแล้วตรงเข้าใส่ศัตรูอีกหลายสิบคนที่พยายามจะถอดเกราะเหล็กของตนออกเพื่อหนีความร้อนนรกนี้

“ ถ้าจะขัดขืนก็อย่ามาป็อดหนีไปก่อนล่ะ ”

………

ในเมือง “คนนอก” ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ยิ่งเวลานี้ที่ย่ามค่ำแล้วแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลับหายขอบฟ้าไป เหลือเพียงแสงจากตัวเมืองนั้น

อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่ในเขตที่พักอาศัยหรือร้านค้าทั่วไป รวมไปถึงกิลล์ต่างๆที่มาตั้งหลักปักฐานที่นี้ก็ต่างเริ่มดับไฟเหลือไว้เพียงแสงสว่างที่บริเวณถนน ทำให้เกือบทั้งเมืองเริ่มจะมืดไปเสียทั้งหมด

ทว่า หากสังเกตุดีๆบางที่ก็ยังคงมีแสงสว่างอยู่… แสงสว่างสีชมพู สีม่วง และสีฟ้า สว่างไสว บริเวณนั้นของเมือง มันถูกเรียกโดยกลุ่ม “คนนอก” ว่า โคมแดง แต่ว่าสำหรับ “พลเมือง” ที่นี้ถูกเรียกว่า “ ที่อโคจร ”

แก็ง แก็ง แก็ง แก็ง

“ ทางนี้ค่ะ เชิญทางนี้!! สาวๆสวยๆ รอทุกท่านมาเล่นด้วยนะค้าาา!! อย่าปล่อยให้น้องๆรอนานแล้วรีบมากันดีกว่าน้าา!! ”

“ เอ้า เอ้า มาเต๊าเอา666 ฝาก 50 ได้ 100 ถอนไว หมดไว รวยไว!! ”

“ โอ้ สาวๆตรงนั้นน่ะ อยากให้พวกพี่ปลอบโยนในคืนนี้หรือเปล่า วะฮ่าๆๆ ”

“ พี่ชาย พี่ชาย อยากนวดไหมมาสิ 1 ชั่วโมง 10 เครดิตเองน้า ”

“ ข้าวพัดจ้า ข้าวพัดสัปปะรดจ้า กินแล้วไม่หลับไม่นอนเสียวซ่านตลอดการกิน ชั่วโมงครึ่ง ไม่จำกัด 20 เครดิต ”

ใช่ ที่แห่งนี้สมกับคำเรียกพวกนั้น เพราะว่าที่นี้เต็มไปด้วย ซ่อง บ่อนพนัน สถานที่ที่เต็มไปด้วยอบายมุขซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด และผู้คนนับร้อย นับพันก็ผ่านเข้ามาและออกไปตลอดเวลานับตั้งแต่พระอาทิตย์หายไปจากท้องฟ้า

และที่แห่งนี้เองก็กำลังมีคนที่เป็นที่สะดุดตาเดินอยู่ คนสามคนที่ไม่เหมือนผู้อื่น พวกเธอล้วนแล้วแต่ไม่ได้สวมสายรัดคอสีแดงหรือเขียว… แต่สวมสายรัดแขนสีขาว สัญลักษณ์ชั้นสูงของผู้คนในเมือง “คนนอก” สัญลักษณ์ของ “พลเมือง”

“ เน่เน่!! เน่!!! จูน เอฟฟ่า เอาร้านไหน เอาร้านไหนดีย์???? ”

เสียงอันแสนหวาน ปนเซ็กซี่ของหญิงสาวตัวเล็ก ผู้ไว้ผมทรงไซด์โพนี่เทลสีทองปลายผมมถูกย้อมด้วยสีชมพูกับขาว เธอนั้นมีจุดเด่นคือดวงตาสีฟ้าโตเห็นผ่านแว่นตาสีดำและดวงตาของเธอนั้นช่างตัดกับผิวแสนเนียนสีเข้มที่อุดมสมบูรณ์

อย่างไรก็ตามจุดเด่นของเผ่าพันธ์ุของเธอก็คือสีดำเล็กๆที่โผล่ออก เขานั้นมันถูกดูแลอย่างดีจนเป็นเงาวาววับสวยงาม และสุดท้ายเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่มันก็เป็นชุดสบายๆสีขาวตัดชมพูพร้อมเครื่องประดับเป็นกำไล กิ๊บหนีบผม และผ้าแมสสีดำที่ไว้ซ่อนปกอันอื่มเอมของเธอ

“ อ่ะ อ่ะ เอ่ออ…. นา ม ม มไม่รู้สิค.. ไม่รู้อ่ะจุ จูนก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ ก็ วันนี้มาเร่ชวนพวกเรามานิ ”

หญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆกัน จูน เธอเป็นสาวหล่อผิวซีด ผู้สูงเกือบ 2 เมตร เธอมีดวงตาสีฟ้าและผมสั้นสีดำ ตามตรงเธอดูไม่ได้โดดเด่นอะไรนักหากมองผ่านๆ ทว่าเมื่อมองดูดีๆแล้วจะเห็นได้ว่าเธอไม่ได้แต่งหน้าอะไรมาก มันทำให้รู้ได้ว่าเธอเป็นคนที่สวยธรรมชาติมาตั้งแต่ต้น สวยราวกับปั้นแต่งขึ้นมาให้สมบูรณ์ที่สุด

“ จูน… ทำไมต้องพูดติดๆขัดๆด้วยหรือว่าเขินอะไรงั้นเหรอ? ”

และสุดท้าย หญิงสาวที่ดูเงียบสงบที่สุด เอฟฟ่า เธอมีดวงตาที่เซ็งเป็นปลาตาย ทว่าดวงตานั้นกลับส่องสว่างและเปร่งประกาย เป็นสีม่วงเช่นเดียวกับเส้นผมอันยาวสลวยของเธอ ตัวของเธอนั้นมีผิวที่ซีดเซียวยิ่งกว่าใครเพื่อนทว่ามันก็ไม่ใช่การซีดเซียวเพราะโรคแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ดีความซีดเซียวนั้นก็ทำให้เส้นเลือดแดงๆของเธอที่อยู่ใต้ผิวหนังเปร่งปรั่งออกมาให้รู้สึกชุ่มชื่นเป็นที่สุด

ตัวของเอฟฟ่านั้น สวมเสื้อผ้าสีดำโกธิคที่ทักทออย่างสวยงามและประดับไปด้วยโบว์มากมาย ชุดนั้นยิ่งทำให้เธอดูเด็กลง อ่อนแอลง และน่าทะนุทนอมยิ่งกว่าใครในกลุ่ม นี้ยังไม่รวมถึงเสียง เสียงของเธอที่เป็นเอกลักษณ์ เสียงอันแสนน่าฟังและจับใจของผู้ที่ได้ยินราวกับเวทย์มนต์ที่สะกดจิตให้ชายทุกผู้หญิงทุกรายต้องหันตาม

“ ไม่ดุจูนสิเอฟฟ่า!! วันนี้เรามาเที่ยวพักผ่อนกันน้าาา!! ”

“ นั้นสิ ย ย อย่าดุเราเลยนะเอ เอฟฟ่าาา!! ”

“ อืม… ว่าแต่เราจะไปไหนกันล่ะมาเร่? ”

“ นั้นสิน้าาาา?? ”

ทั้งสามไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ผู้คนก็จะหลีกทางให้และจับจ้องมองตามไปที่พวกเธอ อย่างไรเสียยิ่งเดินไปมาเร่ก็รู้สึกว่าเธอไม่เจอสถานที่เธออยากเลย

“ ไม่มีเลยอ่าาา ”

“ ไม่มีอะไรงั้นเหรอมาเร่… หนุ่มหล่อ? ”

“ บ้าาาา!! เราก็บอกแล้วเน่ ว่าวันนี้มา หา อะ ไร ดื่ม น่ะ!! ไม่ได้มากินผู้ชายนะ!! ”

“ ช ช ใช่ เราก็ค คุยกันแล้วนิเอฟฟ่า… ”

“ หืมม กล้าพูดตรงๆแล้วเหรอจูน? ”

“ ฮี๊ยยยย!! ”

“ โธ่!! ทั้งสองคน!! ”

แน่นอนว่าระหว่างที่เดินการพูดคุยของทั้งสามคนก็ดูสนิทสนมดี แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่สาวหล่ออย่างจูนมักจะโดนเอฟฟ่าดุอยู่เสมอ ซึ่งมาเร่ก็มักจะเข้ามาห้ามเสมอ ทว่าไอการที่ทั้งสามพูดคุยเสียงดังแบบนั้นก็ทำให้เหล่านักล่าลูกค้ารู้ว่าพวกเธอต้องการอะไร…

“ นี่ท่านหญิง สนใจไปที่ร้านของพวกเราหรือเปล่า? ร้านเหล้าที่ดีที่สุดในเขตนี้เลยนา? ”

“ เฮ้!! ของพวกเราดีกว่าม้างง เหล้าที่นำเข้าจากทวีปตะวันออกที่ลือชื่อเรื่องการนำธัญพืชมาทำเหล้าซึ่งส่งผลดีกับร่างกายมากๆเลย ว่าไง คุณหนูไปร้านของพวกผมดีกว่านาา ”

“ เดี๋ยวววเซ่!! ร้านเหล้าของเราดีกว่าน!ะ มีทุกอย่างเลย ช ช ใช่! ทุกอย่างเลย!! มาสิ!! เดี๋ยวลดให้พิเศษด้วยแล้วกันนะ!! ”

พวกเขาทั้งหลายต่างกรูกันเข้ามาห้อมล้อมทั้งสามคนเอาไว้ พร้อมกับนำเสนอร้านของตนเองอย่างสุดกำลัง ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะว่าถ้าร้านไหน “พลเมือง” เข้าไปใช้บริการ มันก็จะสร้างชื่อเสียงให้กับร้านและนำไปโฆษณาได้อีกด้วย

“ อืมมม เอาไงดีล่ะมาเร่? ”

“ น น นั้นสิ อือออ คนเยอะอ่าาา?!? ”

อย่างไรเสียเพราะการถูกห้อมล้อมแบบนี้ก็ทำให้เอฟฟ่าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ยิ่งจูนยิ่งแล้วใหญ่ เธอรู้สึกอึดอัดมากกว่าใครเพื่อน มาเร่นั้นเธอไม่ได้พูดอะไรและมองไปรอบเพื่อจะหาทางออก

[ ไหน… อ๊ะ ตรงนั้น? ]

และเมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ มาเร่ก็เจอทางออกเธอ มองเห็นร้านร้านหนึ่งที่ถูกประดับอย่างหรูหรา และที่ด้านหน้าก็มีชายหล่อผมดำผู้มีหูแมวและตาสีดำนัยตาสีแดง เขาสวมชุดสูทที่ดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่าปลอกคอแดงเขียวรอบๆตัวพวกเธอที่สวมเสื้อผ้าแบบขอไปที มาเร่จึงชี้ไปที่ร้านนั้น

“ ไปร้านนั้นกันเถอะะะ!! ”

“ อืม… ”

“ ค ค ค่ะ!! ”

ทั้งสามคนเลยเดินตรงไปยังร้านนั้นทันที โดยวงล้อมที่ว่าก็กั้นพวกเธอไว้ไม่ได้ เพราะทั้งสามเป็นสายรัดสีขาว หากพวกคนระดับต่ำกว่ามาขวางก็อาจจะโดนลงโทษด้วยการยกเลิกและขึ้นบัญชีดำห้ามเข้ายูโทเปีย ซึ่งถือว่าเป็นบทลงโทษที่รุนแรงมากๆ สำหรับคนที่จะเข้ามาแสวงหาความมั่งมี

……

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

“ หืมม ลูกค้ามา? !! ”

[ สายรัดสีขาว?!!? ]

ส่วนคนที่พวกเธอเดินกำลังเข้าไปหาก็ไม่ใช่ใครอื่น รินรินเท เขากำลังยืนอยู่หน้าร้านเพื่อรอรับลูกค้าอยู่ ทว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยการแต่งตัวของเขาผนวกกับร้านที่ดูหรูหราเกินไป ทำให้ผู้คนที่จะมาดื่มก็เจอปัญหากับคำถามในใจว่า พวกเธอมีเงินพอหรือไม่ที่จะใช้บริการที่นี้ บริการที่ได้แต่นั่งดื่มไม่ได้มีโอกาสจะมีอะไรกับหนุ่มๆเลย ที่นี้คือบาร์โฮส เพียงไม่กี่แห่งใน “ที่อโคจร” แบบนี้

“ สวัสดีครับคุณหนูผู้น่ารักทั้งหลาย เชิญข้างในก่อนเลยครับ ”

“ อื้ม อื้ม!! รบกวนด้วยน้าพ่อหนุ่มม!! ”

“ อ่า.. ”

“ เห เห?? ร้านนี้จะไม่ พ พ แพงเหรอ ค อึก มาเร่?!? ”

“ เอาน่า เอาน่า วันนี้เราเลี้ยงเอง โอเคนะจูนน! ”

“ งั้นก็ยินดีต้อนรับสู่ร้านๆ โมฟุโมฟุโมอินครับ ”

ประตูร้านได้ถูกเปิดออก ทำให้เห็นได้ว่าในร้านนั้นช่างหรูหราเสียเหลือเกิน โซฟาสีแดงที่กว้างขวาง โต๊ะหินอ่อนขาวที่ตั้งอยู่หน้าโซฟาทุกตัว แสงไฟสลัวๆที่ส่องลงมาให้บรรยากาศที่เย็น และในนี้เองก็มีเสียงเพลงบรรเลงสดโดยเหล่าขายหนุ่มสุดหล่อ เพลงนั้นคลอเบาๆฟังสบายและฟังได้เรื่อยๆ แต่ร้านกลับโล่งไร้ผู้คนสุดๆ

“ คุณหนูมากันแล้ว!! ”

“ โอ้!! ”

รินรินเทพูดขึ้นมาเสียงดัง ทันใดนั้นเหล่าชายหนุ่มรูปหล่อก็รีบวิ่งกันเข้ามาเรียงแถวตรงหน้าของทั้งสามคนทันที หนุ่มหล่อมากหน้าหลายตาหลากเผ่าพันธุ์ ทุกคนยิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้าทันที และยิ่งยิ้มกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าพวกเธอคือ “พลเมือง”

“ คุณหนูทั้งสามคงมาครั้งแรกสินะครับ ร้านเรามีนโยบายให้คุณหนูเป็นผู้เลือกผู้ให้บริการ …ดังนั้นเชิญเลือกได้ตามสะดวกเลยครับผม ”

และเมื่อทุกอย่างพร้อมรินรินเทก็ได้พูดแนะนำทันที ซึ่งทั้งสามคนก็มองชายหนุ่มเหล่านั้นเพื่อเลือกและตัวรินรินเทก้มั่นใจว่าชายหนุ่มพวกนี้จะต้องตอบโจทย์พวกเธอได้แน่ๆ เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกจัดอยู่ในระดับหน้าตาดีเป็นอย่างมาก

“ งั้นชั้นเลือกนายก็แล้วกันนะ ”

“ ครับ ผมเรน ยินดีรับใช้ครับคุณหนู!! ”

คนแรกที่เลือกก็คือเอฟฟ่า เธอชี้นิ้วไปยังหนุ่มน้อยตัวเล็กที่อยู่ซ้ายสุด เขาเป็นชายผมดำปลายสีแดง เป็นชาวเดย์แมร์ที่น่าตาน่ารักน่าเอ็นดู เขาเดินเข้ามาพร้อมกับแนะนำตัวเองและเอฟฟ่าก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยิ้มให้แค่นั้น

“ เอ… เอ… เอ… อือ… อื้อ… อื้อ… อือ… นาย ”

“ !! ผ ผมฟินครับ!! ยินดีที่ได้รับใช้ครับผม!! ”

คนที่สองนั้นถูกเลือกโดยจูน เขาเป็นชายที่ดูไม่โดดเด่นเลย เขาเป็นชายที่มีผิวหลากสีปนเปกันไปหมด อีกทั้งดวงตาเองก็มีนัยตามากมายด้วย

“ นั้นสินะ ไหนๆร้านก็โล่งแล้ว… งั้นเราเลือก ”

[ ใครกันน้อที่จะเป็นผู้โชคดีคนสุดท้ายของวันนี้กันน้า ผู้โชคดีที่จะได้ไปดูแลสายรัดขาว… ]

คนสุดท้ายอย่างมาเร่ เธอนั้นเลือกได้แล้ว แค่ยังไม่พูดว่าเลือกใคร ทำให้รินรินเทที่ยืนดูอยู่มองพร้อมกับลุ้นว่าใครกันจะเป็นผู้โชคดี ทว่า…เมื่อเธอพูดขึ้นมาทุกคนก็ต้องตกใจจนนิ่งกันไปชั่วครู่เลย

“ เราเลือกทุกคนนั้นแหล่ะ เยอะๆไว้ดีกว่าใช่ไหมล้าาา ฮ่าๆๆๆ ”

“ ครับ?!? ”

ใช่แล้ว เธอนั้นไม่เลือกใครเป็นพิเศษ แต่เลือกทุกคนมันเลยทีเดียว นั้นทำให้วันนี้ร้าน โมฟุโมฟุโมอินแห่งนี้ต้องปิดรับลูกค้าเพิ่มก่อนเวลาที่กำหนด ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เหลือพนักงานชายไว้ต้อนรับอีกแล้ว

คนราวๆ 30 คน ได้มานั่งออกันอยู่ที่โต๊ะ โต๊ะเดียว โต๊ะพิเศษที่ใหญ่กว่าใครเพื่อน มันเป็นที่นั่งจากโซฟาสีขาว ซึ่งมีหญิงสาวสามคนนั่งตรงกลางคู่กับชายที่ตนเลือก เว้นแต่มาเร่ เธอนั่งข้างๆรินรินเทที่กำลังยิ้มอยู่

“ ท่านหญิงทั้งสาม วันนี้อยากจะดื่มอะไรดีครับ พวกเรามี … ”

รินรินเทเริ่มเปิดด้วยการเอาเมนูของร้านขึ้นมาให้กับทั้งสามคนดู ในนั้นเป็นรายการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีราคาสูงกว่าปกติมาก เช่น ลาเกอร์ หรือ สปิริต ปกติราคาจะอยู่ที่ 5 ซิลเวอร์ แต่ที่นี้ คิดราคาสูงไปถึง 50 ซิลเวอร์เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเหล้าหรู ซึ่งราคาก็พุ่งไปเป็น 10 โกลล์ เลยทีเดียว

“ เอาที่แรงที่สุดอ่ะ ”

“ งั้นชั้นเอาอ่อนๆก็แล้วกัน ”

“ เอ.. เอ… เอาที่มันหวานๆละกันค ค ค่ะ ”

“ โอ้ ได้เลยครับ!! นาย!! ไปเอา เกรฟยาร์ท มายมิ้น กับ พิงค์ฟูน มาเร็วเข้า ”

เมื่อได้รับออเดอร์มา รินรินเทก็ให้ไปเอาของที่เขาคิดไว้มาทันที เริ่มจากเกรฟยาร์ท มันเป็นเหล้าดำที่แรงมากสำหรับคนในเมือง “คนนอก” นี้ มันมีแอลกอฮอล์สูงถึงขนาดที่คนทั่วไปแค่จิบเบาๆก็หน้าแดงแล้ว

ส่วนมายมิ้นก็เป็นเครื่องดื่มที่ไม่แรง แต่ก็ไม่อ่อนมากเกินไป มันมีกลิ่นอ่อนๆของธรรมชาติ ตามสถานที่ที่มันถูกมักขึ้น รสของมันเองหากได้ดื่มก็อาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นเหล้าแม้แต่น้อย

สุดท้ายคือพิงค์ฟูน เครื่องดื่มประเภทเหล้าซึ่งมีสีขมพูอ่อน มีรสชาติหวานคล้ายกับขนมมากกว่าจะเป็นเหล้า ส่วนกลิ่นเองก็เช่นกัน กลิ่นนั้นหอมเหมือนผลไม้และจะละมุนยิ่งขึ้นหากดื่มไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะแยกไม่ออกว่าเป็นเหล้าหรืออะไร

“ มาแล้วครับ มาแล้ววว ”

“ โอ้ งั้นเราก็มาฉลองกันเถอะะะ!! ”

และเมื่อเหล้าจำนวนหลายขวดมาถึง การดื่มก็ได้เริ่มขึ้น มันถูกเปิดนำโดยรินรินเท เขายืนขึ้นพร้อมกับยกแก้วเติมเหล้าตามที่สั่งให้กับทั้งสาม

มาเร่ จูน และ เอฟฟ่า จึงได้รับการปรนนิบัติเป็นอย่างดีราวกับเป็นเจ้าหญิง และไม่ว่าทั้งสามจะขออะไร พวกเขาเหล่าโฮสก็ทำตามอย่างเต็มใจ ทั้งเต้น ทั้งดื่ม ทั้งร้องเพลง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเพลิดเพลิน แต่…ยิ่งนานก็ยิ่งมีเรื่องให้เห็นได้ชัดขึ้น

“ อีกแก้ว อีกแก้ว อีกแก้ววว ”

“ อึก อึก อึก อึก ฮ่าห์!! ครอก ”

“ แง้ว? สลบไปอีกคนแล้วแหะ เอ้า เอ้า คนต่อไป คนต่อไป ”

“ ค ค ค ครับ!! ”

นั้นแหล่ะ ตามปกติเวลาโฮสดื่มจะได้รับเงินเพิ่มเป็นธรรมดา ทว่าไม่ธรรมดาที่ มาเร่หญิงผิวเข้ากำลังยัดเยียดให้เหล่าโฮสทั้ง 30 ชีวิตต้องพบกับหายนะ พวกเขาถูกขอให้ดื่ม ดื่ม ดื่ม เจ้าเกรฟยาร์ท อย่างน้อยคนละ 2 ขวด ซึ่งขวดนึงก็ราคาตั้ง 3 โกลล์ค่าดื่มอีก 2 โกลล์ ซึ่งสำหรับมาเร่แล้ว เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย

“ อึก อึก ครอก ”

“ อ้าาา!! ไม่มีใครกินถึง 5 ขวดเลย ทั้งๆที่เราดื่มมาตั้งเยอะแล้วนา ”

“ เอ่อ… มาเร่เธออย่าเอาร่างกายของเธอไปเทียบกับคนๆทั่วไปสิ ”

“ น น น นั้น สิ เหะ เหะ คิค เหะ คะ ”

สถานการณ์แบบนี้นั้นทำให้เอฟฟ่าที่เห็นได้แต่พูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มและจิบเหล้าในมือไปด้วย ส่วนตัวของจูนนั้นเธอหลุดไปแล้ว เธอนั้นทั้งเมา ทั้งสับสน ผิวที่เคยขาวก็แดนไปซะหมด

“ ก็แหมมม เหล้าที่บอกว่าแรงสุดแต่ดันไม่รู้สึกอะไรเลย กินไปก็ไม่เมาสิแบบนี้ดูคนอื่นเมาคงง่ายกว่าล่ะนะ ฮ่าๆๆๆ ”

“ ค้า ค้า… เต็มที่เลยค่ะมาเร่ ”

“ เน่!! นายน่ะ มาดื่มด้วยเลย เอ้า หมดขวด หมดขวด ”

สภาพตอนนี้ จากฝ่ายที่ควรจะถูกเชียร์ให้ดื่มก็ดันไปเชียร์ให้โฮสดื่มเอง แม้ว่ามันอาจจะดูไม่เข้าท่าสำหรับโฮส แต่ลูกค้าคือลูกค้า และงานของพวกเขาคือเอนเตอร์เทนตราบใดที่ลูกค้ายังอยู่ในร้าน พวกเขาจึงต้องดื่มในที่สุด ดื่มแล้วสลบ ดื่มแล้วเรื้อน ดื่มแล้วคลาน มีให้เห็นได้ทั่ว

“ ของเราหมดแล้วแหะ เอามาเพิ่มอีก เอามาเพิ่มมมม ”

ส่วนตัวของมาเร่เธอก็ใช่จะเชียร์อย่างเดียว เธอดื่มด้วยแต่ไม่ว่าจะนายแค่ไหน ดื่มไปเท่าไหร่ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลยแม้ว่าข้างๆเธอจะเต็มไปด้วยขวดเปล่ามากมายหลายสิบขวดก็ตาม

[ ขืนเป็นแบบนี้ถึงตาเราแน่ๆ… ขอล่ะ ขืนเมาล่ะก็พรุ่งนี้ทำงานไม่ไหวแน่ๆ ]

รินรินเทนั้นที่ตอนนี้คอยเติมเหล้า เติมน้ำแข็งให้กับมาเร่ เขาก็รู้สึกได้ถึงความหวั่นไหวและความกลัวจากภาพตรงหน้า ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามหน้าที่ของเขา จนกระทั่ง…

“ อ็อค ออค ออค ครอก… ”

“ เห… ไม่เหลือใครแล้วแหะ งั้นก็เร… ”

“ ไม่ได้ ไม่ได้ ขืนน้องเรนหลับแล้วใครจะรินเหล้าให้ชั้นล่ะมาเร่? ”

เป้าหมายแรกที่มาเร่มองไปคือ หนุ่มน้อยเดย์แมร์ที่นั่งตัวสั่น เขากำลังหลบอยู่หลังเอฟฟ่าที่หน้าแดงเล็กน้อยและนั่งจ้องมองกลับมาที่มาเร่ สายตาของเธอบอกเป็นนัยๆเลยว่า “ ขอล่ะ อย่ารังแกเด็กเลย ” ประมาณนั้น

“ งั้นก็ฟินนา.. ”

“ ค ค ครับ?? ”

“ เอ้าดื่มมมมมสิ ดื่ม ”

“ เหหหห ออค ออค อคคค ฮ่าห์ ขอเวลา ออค อออ ”

ส่วนฟินที่คอยดูแลจูน เขาก็ต้องพบชะตากรรมเดียวกันแต่ไม่ได้เกิดจากมาเร่ แต่เป็นคนที่เขาบริการอยู่ จูน เธอล็อกคอชายหนุ่มผู้นี้แล้วเอาเหล้ากรอกปากจนไม่นานฟินก็ดำดิ่งสู่โลกแห่งการวาร์ป

“ เอิ่ม…. งั้นก็นายแล้วนะรินรินเท ”

“ ครับผม.. งั้นก็ดื่มม อึก อึก ”

ชะตากรรมแห่งจุดจบได้วนมาหารินรินเทจนได้ เขารับแก้วที่ท่วมไปด้วย เกรฟยาร์ทสีดำ เขาค่อยๆดื่มมันอย่างระมัดระวัง โดยถ้ามองจากภายนอกเขาก็คงกำลังดื่มสรวดเดียวอยู่แน่ๆ แต่จริงๆแล้วเขาพยายามให้เหล้านั้นไหลเข้าไปให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ ดื่ม ดื่ม ดื่ม นั้นแหล่ะ นั้นแหล่ะ!! ”

“ ฮ่าห์ ฮ่าห์ อึก อึก อึก ”

ในหัวของรินรินเทตอนนี้ เขาเริ่มจะขออะไรบางอย่าง คำขอนั้นมันส่งผ่านออกมาจากดวงตาของเขา คำขอที่ว่า [ ได้โปรดเถอะ ปิดร้านสักที!! ]

แก็ง แก็ง

“ ขอโทษนะครับคุณลูกค้าคือว่าร้านเรากำลังจะปิดแล้ว… ”

เสียงระฆังในร้านดังขึ้น และทันใดนั้นพนักงานหนุ่มอีกคนที่ทำหน้าที่เป็นคนคิดเงินก็เดินออกมาพร้อมกับโค้งคำนับให้กับลูกค้าทั้ง 3 คนของร้าน ดวงตาของเขานั้นก็มีแต่ความเกรงกลัวใน “พลเมือง” ข้างหน้า เพราะเขาเกรงว่าพวกเธอจะรู้สึกว่า ไม่พอ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ชื่อว่า มาเร่ เธอที่ดื่มไปเท่าไหร่ก็ไม่มีอาการใดๆ

“ เอ งั้นเหรอ เสียดายจังแหะ งั้นก็คิดเงินเลยก็ได้ ”

“ ค ค ครับ! ทั้งหมด 1850 โกลล์ครับ หรือจะจ่ายเป็นสกุลเครดิตดีล่ะครับราคาก็คือ 185000 เครดิตครับท่านหญิง ”

“ 185000? เห ดื่มไปขนาดนั้นแค่นั้นเองงั้นเหรอ งั้นก็นี้จ่ะ ”

ว่าแล้ว มาเร่ที่เป็นตัวนำ ก็หยิบเอาเพลทเหล็กแผ่นเท่าฝ่ามือออกมา 20 แผ่น มันคือเงินตระกูลเครดิตนั้นแหล่ะ และราคาก็คือ 2 แสนเครดิต เธอวางมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหาจูนที่สลบเหมือดอยู่

“ ไม่ต้องทอนนะ ถือว่าเป็นทิปที่ทำให้พวกเราสนุกน่ะ ”

“ ครับผม!! ขอบคุณครับ!! ”

“ งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพี่เอฟฟ่าเองนะครับ ”

“ จ้า ขอบคุณนะจ้ะ ม…อุ๊บส์ เรน ”

พูดจบมาเร่ก็อุ้ม จูนขึ้นหลังแล้วเดินออกไปโดยที่เอฟฟ่าเองก็ตามมาติดๆ ทิ้งให้ พนักงานชาย 3 คน คือ ตัวคนคิดเงินที่เริ่มมองดูเงินที่ได้มาด้วยความสุข รินรินเทที่นั่งพะอืดพะอม และเรนที่วิ่งตามไปส่งทั้งสามคนที่หน้าร้าน

……

“ เห้อ… ใครจะไปคิดล่ะว่า จู่ๆพวก “พลเมือง” ก็มาแบบนี้ แถมยังรวยอีก…แค่มาครั้งเดียวแบบนี้ร้านของเราก็คงสบายเรื่องค่าเช่าที่ไปอีกหลายเดือนแล้วล่ะนะ อ๊ะใช่ พวกนายเอ้านี้ รายได้ส่วนแบ่งของวันนี้เอาไปคนละ 32 โกลล์ก็แล้วกันนะ ”

“ โอ๊คคคคคคค ”

“ แคก แคก ยา ใครมียาบ้าง… ”

“ อ๊าา วูบแพรพ ”

“ แฮก แฮก แฮก ยัยนั้นมันทนไปได้ยังไงกันตั้งเกือบ 2 ลังเลยนะนั้น อ้วกกก ”

หลังจากร้านปิดแน่นอนว่าทุกคนก็ต้องมารับเงินรายวันที่ทำได้ และวันนี้ก็ยังดีที่แม้ว่าพวกเขาจะต้องเจอประสบการณ์แสนเหนื่อยล้าจากการโดนยัดให้ดื่มของอันตรายอย่าง เกรฟยาร์ท เข้าไปหลายขวด คนที่ฟิ้นขึ้นมาได้ก็จะอ้วกเลยทันที

“ เอาน่า อย่างน้อยนั้นก็ลูกค้านะ ไม่เห็นเหรอ วันเดียวพวกแกก็ได้เงินเกือบเท่าทำงานทั้งเดือนเลยนะ ”

“ โอ้กกกก ”

“ นั้นสินะคุณเจ้าของร้าน แต่แบบนี้ถ้าพวกเธอมาเรื่อยๆ พวกเราจะไม่แย่เอาเหรอ? ”

รินรินเทนั้นแม้ว่าเจ้าตัวจะต้องการเงินแต่ว่า ร่างกายก็เป็นเรื่องสำคัญ ถึงเขาจะไม่ได้ดื่มจนสลบแต่พูดติดตามของเขาทั้งหมดตอนนี้ยังได้แต่ไปอ้วกคายเอาเครื่องดื่มอันตรายนั้นออกมา

“ ไม่หรอก ไม่หรอก รินรินเท อ๋อ ใช่ แกได้เงินพิเศษนะที่ตกลูกค้ามือเติบแบบนี้มาได้ เอ้า นี้ 10 โกลล์พิเศษสำหรับแก ”

“ อ่า ขอบคุณครับ แต่ว่าไอที่ว่าไม่เป็นอะไรนี้มันหมายความว่ายังไงงั้นเหรอครับคุณเจ้าของร้าน? ”

เขาที่ได้รับเงินพิเศษมาก็รีบเก็บเงินนั้นเข้ากระเป๋าทันที ส่วนเจ้าของร้านที่ได้ยินก็ยิ้มแล้วก็เดินตรงมากอดคอของรินรินเทเอาไว้ เขาพาหันไปมองยังด้านในของร้านก่อนจะพูดขึ้นมาเสียงดังว่า

“ ก็นี้ไง พวกสายขาวมาที่ร้านเราแบบนี้ แถมอยู่ยันร้านปิดด้วย ไม่นานข่าวต้องกระจายออกไปแน่ๆ เท่านั้นแหล่ะพวกลูกค้าก็จะแห่กันมาเยอะขึ้นเยอะขึ้น ซึ่งถ้าทั้ง 3 คนนั้นกลับมาอีกพวกเธอ… ไม่สิยัยคนที่โคตรจะแข็งนั้น ก็คงไม่รบกวนลูกค้าคนอื่นด้วยการดึงตัวโฮสมาหมดหรอกจริงมะ ”

“ แบบนั้นเองสินะครับคุณเจ้าของร้าน ”

“ ใช่ ใช่ แบบนั้นแหล่ะ เอาล่ะ รีบๆตื่นแล้วก็ช่วยกันทำความสะอาดด้วยวันนี้ข้าต้องไปซื้อของเข้าคลังอีก โดนผลาญไปแบบนี้ก็นะ ”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินออกจากร้านไป ทิ้งให้เหล่าหนุ่มหล่อ นอนจมกองอ้วกกันไป ส่วนรินรินเทที่อาการดีขึ้นแล้ว เขาก็เดินตรงไปนั่งยังสถานที่ที่เกิดเหตุ โซฟาขาวขนาดใหญ่นั้น เขามองไปรอบๆ ก่อนจะนึกขึ้นในใจด้วยรอยยิ้มว่า…

[ ถ้าเราทำให้พวกเธอหลงเราได้ ก็อาจจะทำให้มีโอกาสจะเข้าไปในเมืองได้ง่ายขึ้น… ใช่ เราต้องอ้างว่าเรามีคนรักเป็นพลเมืองอยู่ด้านใน แล้วก็ให้พวกเธอมาพาเราเข้าไป แถมสามคนนั้นก็รวยซะด้วย คงเป็นคนมีระดับข้างในแน่ๆ โชคดีชะมัด แบบนี้ภารกิจของเราก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วสินะ หึหึหึหึ อุ๊บ… ]

………

……

……

………

แอ๊ดดดดดด

ในขณะเดียวกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมือง สถานที่ที่คนน้อยคนนักจะได้รู้จัก ที่แห่งนั้น หญิงสาวผิวเข้มกำลังเปิดประตูออกอย่างช้าๆ และเธอก็เดินตรงไปยังด้านในโดยมีผู้หญิงอีก 2 คนตามมาข้างหลัง คนหนึ่งนั้นมีผมดำ อีกคนนั้นมีผมสีม่วง ทั้งสามเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่ทำจากไม้

ทุกคนล้วนเดินขึ้นไปยังห้องชั้นบนสุดด้วยเสียงที่แสนจะเบา และพอมาถึงก็เป็นอีกครั้งที่ผู้หญฺงผิวสีเข้มจะเดินไป เปิดประตูออกอย่างช้าๆ และระมัดระวัง โดยไม่มีใครสามารถรู้สึกถึงตัวตนของเธอได้เลย หญิงสาวผู้นี้เข้าไปในนั้นพร้อมกับตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด ทว่า…

“ ใครน่ะ? ”

ฟึ่ม

เสียงของหญิงสาวอีกคนดังขึ้นที่ทางเข้า เสียงนั้นมาพร้อมกับแสงสว่างภายในห้องทำให้ทุกอย่างที่อยู่ด้านในนั้นสามารถถูกเห็นได้ทั้งหมด รวมไปถึงสามคนที่แอบเข้ามาด้วย

“ กลับมาแล้ว… ”

“ หิ ฮิ อึก ฮิ อึก ”

“ สวัสดีจ้าเคนโทร ไม่เจอกันนานเลยนะ ”

“ เดี๋ยวนะ?? ”

คนที่เปิดไฟนั้นคือยูเรย์ ทว่าคนตรงหน้าของเธอนั้นเธอไม่คุ้นเลย โดยเฉพาะคนแรกกับคนที่สอง ส่วนผู้หญิงผมสีม่วงนั้นเธอเหมือนจะรู้จักว่าเป็นใคร

“ เอปต้า!! ไปพาใครเข้ามา?? ทำไมไม่บอกนายท่าน หรือว่าเธอ…!! ”

ยูเรย์ที่เห็นสถานการณ์ตอนนี้ ทำให้เธอเข้าใจว่าเอปต้านั้นคิดจะทำมิดีมิร้ายพี่ชายของเธอ ถึงขนาดลงทุนเอาหญิงแปลกหน้า 2 คนเข้ามาด้วย นั้นทำให้ยูเรย์ชักเอามีดพกออกมาสองเล่มแล้วตั้งท่าพร้อมจะเข้าปะทะทันที

“ เอ๋?! ใจเย็นก่อนสิเครโทร อย่าพึ่งนะ ฟังเค้าก๊อนนน ”

“ อาเร๊ะะ ท่านเคนโทร ทำอารายยยน่าาครอกกก ”

หญิงสาวผมสีดำนั้นจู่ๆก็หันมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ นัยตาของเธอนั้นมีนับพันมันวนไปมาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เธอจะสลบลงไปนอนกองกับพื้น ทำให้หญิงสาวผมสีม่วงที่ถูกเรียกว่าเอปต้าหันไปมองด้วยสีหน้าตกใจทันที

“ ใจเย็น?? ใจเย็นอะไรกัน?? ก็เธอน่ะจะเข้าไปปล้ำพี่ชายของชั้นใช่ไหมล่ะ เธอจะฝ่าฝืนกฎที่พวกเรามีไว้อย่างงั้นน่… ”

“ เห้อ… ยูเรย์ สงบสติอารมณ์ก่อนได้ไหม? ”

ยูเรย์ที่แตกตื่นอยู่นั้น พอเธอได้ยินเสียงของผู้หญิงผิวสีเข้มเธอก็หันไปมองทันที ร่างกายของเธอคนนั้นกำลังปล่อยควันออกมา และมันก็เปลี่ยนไปช้าๆ สีผิวที่เข้มก็ขาวขึ้น ดวงตาสีฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ผมที่ยาวก็สั้นลงและไม่นานนักควันนั้นก็จางหายไปเหลือเพียง คนที่เธอคุ้นเคย

“ พี่…??!? เอ๊ะ ได้ยังไงกัน?!? ก็เมื่อกี้นี้เป็นผู้หญิง ”

“ อ่า สกิลใหม่ของพี่น่ะได้มาจากความรู้ปฐมภูมินั้นแหล่ะ ตกใจล่ะสิน.. เดี๋ยว!! ”

“ พี่ค้าาาาาาาาาาาาา!! ”

หญิงสาวคนนั้น กลายมาเป็นมาร์ พี่ชายและนายท่านของเธอ ซึ่งทันทีที่เห็นเช่นนั้นยูเรย์ก็พุ่งเข้าหาเขาทันที และมาร์ก็สามารถรับร่างที่พุ่งมาไว้ได้ โดยที่เอปต้าที่อยู่ข้างๆเองก็มีหมอกสีม่วงขึ้นมาปกปิดร่างของเธอและไม่นานมันก็จางหายไปเหลือเพียงเธอที่สวมใส่เสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปพร้อมกับใบหน้าที่สดใสยิ่งกว่าสิ่งใด

สำหรับตัวเอปต้านั้น เธอเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่วันที่เข้ามาเป็นเมด เธอสาวขึ้น เด็กขึ้น ขาวขึ้น เขายาวขึ้น แถมน้ำเสียงเองก็…น่ารักน่าชังขึ้น มันทำให้เธอนั้นแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคนเลยทีเดียว

“ พี่!! พี่ พี่ พี่ ฮ่าห์ หืดดด ฮ่าาห์ ”

“ ใจเย้นนน ใจเย็นเย้นนน เอปต้า…มาช่ว.. ”

“ นายท่านค้าาาาาาาาา!! ”

มาร์ที่ตอนแรกจะขอให้เอปต้าที่กลับร่างเดิมมาช่วยเอายูเรย์ไปสงบสติอารมณ์ก็ต้องเจอกับการพุ่งมาอีกครั้ง เอปต้าเธอชาร์จเข้าจากด้านหลังแล้วกอดมาร์เอาไว้ ในขณะเดียวกัน…

“ แฮะ แฮะ จุสเองก็อยากเล่นด้วยน้าาาา คิ คิ เอิกก เหะ เหะ ”

และไอคนที่ควรจะนอนหลับไป หญิงสาวผมสีดำ เธอคือจุสนั้นแหล่ะ และตอนนี้เธอเองก็กำลังคลานมาเกาะขาของมาร์เอาไว้ ด้วยความเมาจนแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าคือใครกัน เธอแค่เห็นว่าทุกคนสนุก เธอก็อยากสนุกด้วย

“ ปล่อยยยย!! จะไปอาบน้ำนอนนนน!! พรุ่งนี้ต้องวางแผนปรับผังเมืองไม่ใช่หรือไง?!? เนี้ย! วันนี้ต้องสวมบทเป็นหญิงทั้งวันมันเหนื่อยยยนะเห้ยย!! ปล๊อยยย!! ”

……

ครืนนน ซ่าาา ครืนนนน ซ่าาา

เวลาผ่านไปเป็นเดือน และวันนี้ก็เหมือนเดิมอีกเช่นเคยกองเรือใหญ่หลายสิบลำได้เดินทางมาถึงยังบริเวณด้านนอกของทวีปยูโทเปียและผู้คนที่ได้เห็นทวึปก็ต้องตะลึงกับภาพตรงนั้น

“ แบบนี้เองสินะครับท่านฟารุนถึงได้ให้พวกเรามาถึงยังที่นี้ ”

“ อ่า ตอนแรกชั้… เราก็นึกว่าให้มาเอาความลับของเรือเหล็กพวกนั้นกลับไป แต่ดูท่าคงจะมากกว่านั้นแล้วล่ะนะ ”

ภาพตรงหน้านั้นน่าตกใจกว่าภาพเรือเหล็กทั้งหลายที่กำลังล้อมและนำทางเรือสำเภาทุกลำอยู่ เมืองตรงหน้านั้นมีกำแพงสีเทาขนาดใหญ่ขวางกั้นไว้จนมองไม่เห็นข้างในนอกไปจากตึกอาคารสูงที่สูงขึ้นมากว่ากำแพงนั้น

และนอกกำแพงเองก็มีเมืองที่เป็นระเบียบทำจากหินและปูน อีกทั้งยังมียานพหนะประหลาดกำลังวิ่งไปมาระหว่างเมืองกับกำแพงหรือไม่ก็วิ่งหายเข้าไปในป่า

สิ่งเหล่านั้นล้วนมีวิทยาการที่ล้ำหน้ากว่าเมืองใหญ่ๆหรือแม้แต่สถานที่ที่พวกเขาทั้งหลายจากมาอย่างมาก ทั้งตัวสถาปัตยกรรม ทั้งวิศวกรรม ทั้งหมดอาจจะพูดได้ว่าที่ด้านนอกนั้นยังไม่มีที่ใดมีได้ขนาดนี้

ซ่า ซ่า ซ่า ซ่า ซ่าาา

“ พวกตรวจสอบมากันแล้วสินะ ทุกคนเตรียมตัว… ”

อย่างไรก็ดีพวกเขาที่อยู่บนเรือลำหนึ่งในกองเรือนั้น มันเป็นเรือที่แตกต่างจากเรือลำอื่น มันเป็นเรือที่ดูมีภูมิฐานมากที่สุด และคนบนนั้นเองก็เช่นกัน แน่นอนว่าการมีเรือมาทุกครั้งก็ย่อมต้องมีการตรวจสอบเป็นปกติ กองเรือขนาดเล็กหลายสิบลำของยูโทเปียได้ออกจากฝั่งแล้วมุ่งตรงเข้าหาเรือทุกลำไม่เว้นแม้แต่เรือหรูลำนี้

กึง กึก กึก กึก

“ พวกเรากองทหารรักษาชายฝั่งของยูโทเปีย ขอเข้าตรวจสอบเรือลำนี้ตามกฎหมายของพวกเรา หากไม่ให้ความร่วมมือก็ขอเรียนเชิญให้กลับออกไปครับ! ”

ทหารนายหนึ่งในชุดประหลาดที่พวกคนบนเรือไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นชุดที่เป็นลายโทนสีฟ้ามากมาย ที่ทำให้ทหารเหล่านี้ถ้ามองดูผ่านๆก็จะพรางไปกับท้องทะเลที่อยู่ด้านหลังพวกเขา

อย่างไรเสียเมื่อทหารคนนั้นพูดจบ พวกเขาก็กระจัดกระจายเดินเข้าไปในตัวเรือแล้วไล่คนที่ยังอยู่ใต้ท้องเรือขึ้นมาพร้อมกับบังคับให้ทุกคนเข้าแถวเพื่อเตรียมรับการตรวจจากกลุ่มคนที่มาพร้อมกับทหาร กลุ่มชายหญิงในชุดสีดำที่เป็นเครื่องแบบหรูหรา พวกนั้นในมือต่างถือกล่องประหลาดเอาไว้ ซึ่งคนที่เข้ารับการตรวจสอบจะต้องวางมือไว้บนกล่องนั้นทุกคน

[ เครื่องช่วยตรวจสอบประวัติสินะ ก็เอาสิ…พวกเราฝังอุปกรณ์เวทย์มนต์สร้างประวัติปลอมไว้ในร่างกายกันหมด ตรวจยังไงก็ไม่เจอประวัติแดงหรอก ถ้ามีปัญหาก็ใช้สักโกลล์แก้ปัญหาก็ได้ล่ะนะ ]

ใช่…กลุ่มคนเหล่านี้นั้น มีวิธีป้องกันไม่ให้เครื่องตรวจประวัติอาญากรตรวจสอบพวกเขาได้ อีกทั้งพวกเขาก็ฝึกทุกอย่างเพื่อให้สามารถตอบคำถามหรือตอบโต้อย่างไม่เป็นพิรุธได้อีกด้วย ทว่าระหว่างที่รอเข้ารับการตรวจสอบอยู่นั้น

“ ทหาร!! พาผู้กระทำความผิดรายนี้เข้าห้องขังฐานพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่!! ”

“ ค่ะท่านผู้ตรวจการ! ”

“ อย่า อย่านะ อย่าาาา!! ”

[ ใช้โกลล์แก้ปัญหาไม่ได้… ชิ เจ้าพวกนี้มันไม้แข็งสินะ ]

ตามที่เห็น มีบางคนพยายามจะขอผ่านไปด้วยการจ่ายสินบน แต่ว่าก็ต้องถูกกลุ่มคนในชุดดำจับส่งไปยังห้องขังที่เรือลำเล็กด้านล่างนั้น ไปพร้อมกับสัมภาระของพวกเขา และก็ไปในฐานะอาชญกรเสียด้วย แต่นอกจากเรื่องนั้น…

ตึก ตึก ตึก ตึก

“ ท่านผู้ตรวจการครับ!! ไม่พบสิ่งผิดปกติครับผม!! ”

“ อ่า ขอบใจนะ ”

“ ครับ!! ”

[ มีตรวจใต้ทางเรือด้วยสินะ… สมกับเป็นท่านฟารุน นี้สินะทำไมถึงไม่อนุญาตให้พวกเราเอาของอันตรายมาด้วย ]

พวกทหารที่ลงไปตรวจได้กลับขึ้นมาพร้อมกับรายงาน ทำให้หลายคนบนเรือรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่พวกกลุ่มคนที่ว่า ทำให้ตอนนี้คนที่เหลือและไม่ได้ทำผิดอะไรก็ได้ต่อแถวเพื่อรอรับการตรวจสอบกันต่อ

การตรวจนั้นเป็นไปได้อย่างเรียบร้อย คำถามกับเครื่องประหลาดไม่พบคนมีปัญหาสสักราย จนกระทั่งมาถึงคนกลุ่มนั้น กลุ่มที่เป็นวอร์บีสต์ทั้งกลุ่ม พวกเขาสวมชุดดำอย่างเป็นระเบียบโดยหัวที่นำมาเป็นหนุ่มหล่อที่คอยจับตามองทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น เขามีผมสีดำยาวและหูของแมว ทั้งเขาเองก็ยังมีดวงตาสีดำนัยตาสีแดงเลือด

รินรินเท ชายหนุ่มคนนั้น…

“ คุณ…รินรินเท ก่อนอื่นยื่นแขนมาด้วยค่ะ ”

“ ครับ ”

ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…

ชายผู้นี้ยื่นมือออกมา และผู้ตรวจการสาวที่อยู่ตรงหน้าก็เอาสายรัดจากกล่องประหลาดนั้นติดเข้ากับแขนของเขา สายที่มีทั้งสีแดง สีเขียว สีฟ้าซึ่งทันทีที่มันติดตั้งแล้วเครื่องประหลาดก็ทำงานทันที มันเริ่มแสดงเส้นความถี่เป็นเส้นตรงนิ่งๆบนหน้าจอสีเขียวบนกล่องนั้น พร้อมกับเสียงเบาๆที่เป็นจังหวะอย่างพอดี

“ คำถามแรกนะคะ คำถามถัดไป คุณรินรินเทกะจะมาอยู่ที่นี้อย่างถาวรหรือเปล่าคะ? ”

“ ไม่ครับ ”

ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…

“ ค่ะ งั้นคำถามถัดไปนะคะ คุณรินรินเทมีจุดประสงค์อะไรที่มายังที่นี้งั้นเหรอคะ? ”

“ มาหางานทำเพื่อส่งเงินกลับไปที่บ้านเกิดน่ะครับ ”

ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…

“ ถ้าเช่นนั้นคุณรินรินเทคิดว่าจะอยู่นานสักเท่าไหร่กันเหรอคะ? ”

“ จนกว่าจะมีเงินพอให้ที่บ้านตั้งตัวได้ครับ ”

ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…

“ เห… ถ้าเช่นนั้นคำถามถัดไปเลยนะคะ คุณคิดว่าการมาอยู่ที่นี้จะก่อปัญหาอะไรให้พวกเราหรือเปล่าคะ? ”

“ ไม่ครับ ไม่มีทางครับ ”

ติ๊ด… ติ๊ด. ติ๊ด…

“ อืม…? งั้นคำถามสุดท้ายนะคะคุณรินรินเท คุณเป็นสปายจากประเทศ หรือรัฐใดหรือเปล่าคะ? ”

“ … ไม่ครับ ”

ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…

“ เรียบร้อยค่ะ ยินดีต้อนรับสู่โยโทเปียและเชิญรับสายรัดสีแดงแล้วก็ไปรอตรงหัวเรือได้เลยนะคะคุณรินรินเท ”

“ ขอบคุณมากครับ ”

รินรินเทตอบคำถามทุกอย่างโดยไม่มีปัญหาอะไร เครื่องนั้นตัวรินรินเทไม่อาจรู้ได้ว่ามันทำงานอย่างไรแต่ตอนนี้เขาก็รอดมาแล้วและรับสายรัดสีแดงไว้ก่อนจะเดินไปรอตามที่ผู้ตรวจการบอก

ซึ่งจริงๆแล้ว เครื่องนี้มันคือจับเท็จที่อาศัยความผิดปกติของชีพจรของผู้ถูกตรวจ มันจะจับอัตราการเต้นของหัวใจที่เป็นพื้นฐานสักพักก่อนจะตั้งแค่แล้วเริ่มตรวจหาการฝืนของร่างกายเมื่อโกหก ซึ่งทันทีที่มีการโกหกเกิดขึ้นความถี่ของเครื่องที่วัดได้ก็จะแกว่งเป็นพิเศษทำให้ทราบได้ว่าการพูดตอบออกมานั้นเป็นเรื่องที่อาจจะโกหกก็ได้

อย่างไรก็ดีเหล่าผู้ติดตามของรินรินเทก็ผ่านมาได้อย่างไม่ยากนั้น เพราะทุกคน…ฝึกมาแล้ว ฝึกจนการโกหกก็เป็นเหมือนการพูดจริงของพวกเขา ทำให้ทุกคนได้รับสถานะ [คนนอก] และต้องสวมสายรัดคอสีแดงกันหมด

“ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ยูโทเปีย ”

หลังจากนั้นทหารกับผู้ตรวจการก็ได้ลงจากเรือและออกเรือกลับไปที่ฝั่งทันที ส่วนพวกคนที่ได้รับการตรวจขั้นต้นแล้วก็ได้เดินทางต่อไปยังชายฝั่งตรงหน้าด้วยเรือสำเภา

ครืนนน ซ่าาา กึกึกึกึกึ กึงง

“ สมอลงแล้ว ต่อจากนี้ใครจะไปที่ฝั่งก็เชิญใช้เรือเล็กที่ด้านข้างเข้าไปได้เลยนะ ”

“ อ่า เข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะกัปตัน ยังไงผมก็ไปก่อนนะดูแลตัวเองด้วยล่ะ ”

“ คร้าบ คร้าบ ยังไงก็พยายามกู้ชื่อเสียงของตระกูลให้ได้ล่ะคุณรินรินเท ”

รินรินเทที่ได้บอกลากัปตัน เขากับผู้ติดตามหลายสิบคนก็ได้ใช้เรือขนาดเล็กพายเข้าไปยังชายฝั่งใช้เวลานานหลายต่อหลายนาที ทว่ายิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นชัดกำแพงสีเทานั้นมันใหญ่จนรินรินเทรู้ได้เลยว่า…

“ พวกเราลอบข้ามไอกำแพงนั้นไปไม่ได้แน่ๆล่ะนะ ”

“ นั้นสิครับท่านรินรินเท สูงขนาดนั้นถ้าปีนขึ้นไปร่วงลงมาแน่ๆ ”

“ ถ้าเราขุดลอบ… ไม่ได้แหงๆ กำแพงสูงแบบนั้นก็ต้องฝังฐานลงไปใต้ดินลึกน่าดูเลยล่ะ "

“ ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะพวกแก ตอนนี้หาที่พักก่อนก็แล้วกัน ”

เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงต้องเริ่มสำรวจจากจากการหาที่พักก่อน ซึ่งทันทีที่ไปถึงฝั่งและเข้ามาในเมืองได้ พวกเขาก็ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงแล้วก็พบว่า

“ เต็มหมดแล้วแหะ… ”

“ ขอโทษด้วยครับท่านรินรินเทพวกเราหาไม่ได้จริงๆครับ ”

“ เอาเถอะ ยังไงช่วงนี้ก็นอนกันริมป่าก่อนแล้วกัน ขืนกลับไปที่เรือก็จะวุ่นวายอีก ”

คืนนั้นเองพวกเขาจึงต้องอาศัยเต็นท์นอนที่ริมป่า โดยตลอดทั้งคืนก็ไม่ได้มีแค่พวกเขา ผู้คนที่ไม่มีที่พักเองก็มาอยู่ด้วยเช่นกัน ทว่าตลอดทั้งคืนก็มีพวกทหารเดินลาดตระเวนกันตลอดทำให้พวกเขาไม่สามารถไปไหนมาได้อย่างสะดวกนัก

วันถัดมาพวกเขาก็ได้เข้าไปในเมืองอีกครั้งเพื่อสำรวจหาทางที่จะได้เข้าไป แล้วก็พบว่าการจะเข้าไปนั้น จำต้องเลื่อนไปเป็นระดับ [ผู้ได้รับการตรวจสอบ] และใช้เจ้าสิ่งนั้นเป็นใบเบิกทางเข้าไปยังหลังหลังกำแพงหรือไปยังเขต [01]

“ ตามที่รู้กันมา พวกเราคงไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ตราบใดที่ยังไม่มีสายรัดของ [ผู้ได้รับการตรวจสอบ] ดังนั้นตอนนี้คงต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อให้การทำงานของพวกเร็วขึ้น กลุ่มแรกนำโดยเราซึ่งจะใช้วิธีการเข้าไปตามปกติ คือต้องแลกกับการรอสอบสัมพากษ์และการวางเงินประกันรายได้ว่าพวกเรามีเงินทุนมากพอจะอาศัยในเมืองนั้น และกลุ่มที่สองคือการหาทางเข้าไปด้วยวิธีอื่นไม่ว่าจะเดินไป หรืออะไรก็ตามแต่อย่าลืมถ้าถูกจับได้…ปิดปากให้สนิทล่ะ ”

“ ครับท่านรินรินเท ”

“ ค่ะ รับทราบแล้วค่ะ ”

[ เห้อ…ถ้าไม่ติดว่าพวกเรามีพันธะล่ะก็ คงสมัครเป็นนักพจญภัยแล้วใช้ทางนั้นเข้าไป…ชิ… ]

อย่างไรก็ดีมันมีวิธีนึงที่ง่าย แต่ไม่มีทางทำได้ การเป็นนักพจญภัย เพราะว่าทันทีที่พวกเขาสมัครความลับที่ถูกปิดบังไว้ก็จะถูกเปิดเผยทันทีและจะนำอันตรายมาสู่พวกเขา ความลับของพันธะสัญญาที่พวกเขามี

และเมื่อตกลงแนวทางได้แล้วพวกเขาก็แยกกลุ่มกัน ก่อนจะเริ่มทำตามเป้าหมายของแต่ละกลุ่มทันที รินรินเทจึงได้นำกลุ่มที่ 1 ตามเขาไปยังทางเข้าเมืองที่ถูกเรียกว่า เมืองคนนอก

[ ปัญหาตอนนี้ของเราก็คงเป็นการหาเงินวางประกันเท่านั้นสินะ ไอการสอบสัมพากษ์และตรวจประวัติไม่ใช่ปัญหาหรอกยังไงอุปกรณ์เวทย์ก็ช่วยได้ ไหนพวกเราจะถูกฝึกมาเพื่อการแทรกซึมโดยเฉพาะอีกแต่… ]

รินรินเทที่เดินอยู่ ก็มองไปยังถุงที่เล็กๆที่เหน็บไว้ข้างกาย ถุงใส่เงินสำหรับทำภารกิจซึ่งในนั้นก็อัดแน่นไปด้วยเหรียญทองมากมาย ซึ่งถ้าไปยังด้านนอกของยูโทเปียมันก็คงจะมีค่ามากมายแม้ว่าจะเป็นเงินเพียง 1 โกลล์ก็ตาม

[ เห้อ…สมกับเป็นประเทศที่ทรงพลังล่ะนะ แค่ค่าวางประกันรายได้ของคนจะเข้ารับการตรวจสอบก็ปาไป 15000 เครดิต เทียบเป็นเงินโกลล์ในตอนนี้ก็ราวๆ…อึก… 150 โกลล์ เยอะชะมัด… ]

แม้ว่ารินรินเทจะประเมินไว้เช่นนั้น ทว่าความจริงเมื่อต้องแลกเปลี่ยนแล้วราคาค่าก็จะอยู่ที่ 165 โกลล์เพราะต้องรวมค่าแลกเปลี่ยนเข้าไปด้วย ซึ่งนั้นเป็นเงินที่เยอะมากต่อการส่งคนเข้าไปยังเมืองต่างๆ

ตามปรกติแล้ว การจะสอดแนมเมืองๆหนึ่ง สปาย หรือสายสืบจะมีงบอยู่ที่ 5 โกลล์เท่านั้นใช้เป็นทั้งค่าเดินทาง ค่ากินค่าอยู่ ที่มากพอสำหรับภารกิจ 5 เดือนเลยทีเดียว แต่นี้ 1 คน ต้องใช้เงินทุนเทียบเท่ากับการปฏิบัติงานถึง 175 เดือน

“ แบบนี้คงต้องหาเงินทางไวสินะ ”

นั้นทำให้รินรินเทและพวกพ้องไม่คิดมากแล้วเดินตรงไปยังสถานที่อโคจรที่ที่ผู้คนมาเพื่อรับการบำเรออย่าง…ร้านนั่งดื่ม ซ่อง บ่อน ของเมืองคนนอก สถานที่ที่จะทำเงินได้เยอะหากพวกเขาใช้เสน่ห์ความหล่อเหลาและวาจาอันยั่วยวนนั้น

“ ที่แบบนี้อีกแล้วสินะครับท่านรินรินเท ”

“ อ่า ก็มีแต่ทางนี้แหล่ะ ที่จะหาเงินตั้งร้อยกว่าโกลล์ได้เร็วภายในไม่กี่เดือน ”

………

เอ่อ…ขอโทษนะ แต่แกจะขโมยสกิลแบบนี้ไม่ได้นะ

เอ่อ…ขอโทษนะ แต่แกจะขโมยสกิลแบบนี้ไม่ได้นะ

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset