ตอนที่ 815 ทำอย่างกับเห็นผี
เมื่อนับดูแล้วจี้ฉินก็มิได้เจอซูหลีมาระยะหนึ่งแล้ว
เมื่อได้พบเจอกันอีกครั้ง นางแต่งกายด้วยชุดกระโปรง บนศีรษะมีปิ่นปักผมสีทอง ชุดสีแดงพลิ้วไสว หน้าตางดงามดุจภาพวาด งดงามมากเสียจนเหมือนผู้ที่เดินออกมาจากในภาพวาดก็ไม่ปาน
จี้ฉินไม่กล้ามองนางมากไปกว่านี้ เขาเอาแต่รู้สึกว่าหัวใจดวงนี้ของตนเองกำลังจะกระโดดออกมาจากอกของเขาแล้ว
“ยืนนิ่งอยู่ทำอะไรอยู่เล่า” ซูหลีเห็นเขาไม่พูดไม่จาจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้มให้เขาเล็กน้อย
จี้ฉินดึงสติกลับมาบนใบหน้าดูตะลีตะลานเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ” เขาพยายามเก็บซ่อนอารมณ์ของตนเองอย่างหนัก ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างของซูหลีอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ แต่ทว่าไม่ทันได้สังเกตทางจี้ฉิน สิ่งที่ภายในใจของนางกำลังครุ่นคิดคือเรื่องที่เตรียมจะทำในวันนี้
สำนักเต๋อซั่นยังคงเป็นสำนักเต๋อซั่นที่คุ้นเคยเช่นเดิม ซูหลีจากไปนานกว่าครึ่งปีแล้วแต่ก็ยังคงรูปลักษณ์เดิมเหมือนตอนที่นางจากไปไว้อยู่
งานเฉลิมฉลองในครานี้จัดขึ้นที่ลานภายในของสำนักเต๋อซั่น
ลานหลักแห่งนี้สรรค์สร้างขึ้นได้วิเศษมาก ระหว่างทางเดินมาผู้คนรอบข้างที่เพิ่งจะเคยมาสำนักเต๋อซั่นเป็นครั้งแรกต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน
เนื่องจากวันนี้ได้เชื้อเชิญสำนักศึกษาแต่ละสำนักทั้งยังมีผู้ที่เคยออกจากสำนักเต๋อซั่นไปด้วย เช่นนั้นจึงคึกคักครึกครื้นมาก มีทั้งบุรุษและสตรี ซูหลีถือพัดแต้มทองที่นางชอบใช้เอาไว้ในมือ เดินอยู่ข้างๆจี้ฉิน ซึ่งดูเหมือนจะมิได้สูงโดดเด่น
เพียงแต่เพราะหน้าตารูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเขาทั้งสองต่างดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง
โดยเฉพาะซูหลี ใบหน้างดงามใบนั้นมีรอยยิ้มล่อลวงชวนให้หลงใหล ทำให้หัวใจผู้คนไร้ซึ่งกำลังวังชาลงไปกว่าครึ่ง
จี้ฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปที่ซูหลีสองสามคราก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า: “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงแต่งตัวเช่นนี้?”
ความจริงแล้วหลังจากที่ได้รู้ว่าซูหลีเป็นผู้หญิงจริงๆ ความรู้สึกของผู้คนทั่วทั้งสำนักเต๋อซั่นต่างยุ่งเหยิงซับซ้อนไปกันหมด หนึ่งในนี้ย่อมรวมถึงตัวจี้ฉินเอาไว้ด้วยเป็นธรรมดา
“หือ? มีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือ” ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับไม่ค่อยเข้าใจพลางเอ่ยว่า: “ตอนนี้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้แล้วว่าข้าเป็นสตรี เช่นนั้นย่อมไม่ต้องปิดบังซ่อนเร้นแล้ว”
จี้ฉินรู้ว่าสิ่งที่นางพูดไม่ผิด แต่เมื่อมองสายตาผู้คนรอบข้างที่มองนางแล้วเขารู้สึกว่าให้นางสวมเสื้อผ้าผู้ชายยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีคนมากมายมาจับจ้องมองนางเช่นนี้
ทำให้เขาอยากเอาตัวนางไปซ่อนไว้ไม่ให้ผู้ใดได้เห็นเลย
“นี่ ถึงแล้ว!” เมื่อเข้ามาถึงด้านในลานหลัก ซูหลีเหลือบเห็นกลุ่มผู้คนที่คุ้นเคยในสำนักเต๋อซั่นกลุ่มหนึ่ง ริมฝีปากของนางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางเร่งฝีเท้าเดินไปทางด้านนั้น
“ทำไมรึ เมื่อวานพวกเจ้าปีนข้ามกำแพงออกไปค้างคืนที่หอหร่วนเซียงมาเพียงหนึ่งคืน มาวันนี้หมดแรงกันแล้วหรือ”
“ฮ่าๆๆ อย่าว่าไปผู้หญิงที่หอคณิกานั่นร้ายกาจเกินไปจริงๆ!”
ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยเหล่านั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหลีลึกขึ้นไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงออกไปว่า “ก่อนงานเฉลิมฉลองแท้ๆ ยังกล้าปีนกำแพงออกไปช่างใจกล้าเสียจริงนะ!”
ทันทีที่นางเอ่ยออกไปก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที ผู้คนในสำนักเต๋อซั่นแทบจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่นางอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเห็นนางในชุดกระโปรง เค้าโครงรูปร่างเป็นสตรีผู้หนึ่ง บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม ในมือยังถือพัดแต้มทองที่คุ้นหน้าคุ้นตาเอาไว้ด้วย
ทันใดนั้นทุกคนต่างตกตะลึงไป
“ทำไมหรือ เพิ่งจะไม่ได้พบกันเพียงครึ่งปีกว่าก็ไม่รู้จักข้าแล้วหรือ” ซูหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยใบหน้าที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“ไม่ ไม่ใช่! เจ้า…” เจียงหยางที่เพิ่งจะหยอกล้อผู้อื่นอยู่เมื่อครู่ มาตอนนี้ขนาดพูดก็ยังพูดไม่ชัดเลย พลางชี้นิ้วไปทางซูหลี ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ พูดตะกุกตะกักไปหมด
คนข้างๆ เขาก็มิได้ดีไปกว่าเขาสักเท่าไหร่
สายตาที่มองซูหลีต่างเหมือนกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ามาได้ยังไง!?”
ตอนที่ 816 คนคุ้นเคย
นานมากกว่าเจียงหยางจะดึงสติของตนเองกลับคืนมาได้และพ่นประโยคเช่นนี้ออกมา
“นี่เป็นพิธีเฉลิมฉลองของเต๋อซั่น ข้าก็เป็นคนของสำนักเต๋อซั่นเหตุใดจะมาไม่ได้เล่า หรือว่าพวกเจ้าไม่ต้อนรับข้า?” ซูหลีกวาดสายตามองพวกเขาปราดหนึ่ง บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยความโกรธเล็กน้อย
เมื่อนางเอ่ยปากเช่นนี้ คนเหล่านั้นต่างพากันส่ายหัวไปมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จึงไม่หยอกล้อพวกเขาต่อ ก่อนจะหาที่นั่งข้างๆ พวกเขานั่งลงไป มือข้างหนึ่งวางเท้าคางของตนไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ข้านึกว่าพวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นสตรีตั้งนานแล้วเสียอีก!”
หลังจากนางกลับมาอยู่ในร่างหญิงสาว นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับทุกคนในสำนักเต๋อซั่น ตอนนี้แต่ละคนทำอย่างกับเห็นผีไม่มีผิดเพี้ยนเลย
ซึ่งก็ทำให้นางหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เช่นกัน
“อย่าได้กล่าวไป ก่อนหน้านี้ข้าเคยสงสัยมาก่อนจริงๆ แต่เมื่อลองคิดอย่างละเอียดแล้ว การกระทำความประพฤติของเจ้ามันไม่เหมือนเลยจริงๆ…”
หวงเฮ่าที่เพิ่งจะได้สติกลับมาหยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง พลางมองมาที่ซูหลีด้วยดวงตาสว่างแวววาวก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ไม่เหมือนอย่างไร” ซูหลีรู้สึกงงงวย
ทุกคน “…”
หรือว่าเหมือนรึ?
นางไม่ดูบ้างหรือไร ในเมืองหลวงแห่งนี้จะสามารถหาซูหลีคนที่สองเช่นนางได้จากที่ใดอีก?
นางเป็นสตรีแต่ออกไปเที่ยวเล่นกับพวกเขา ถึงแม้ว่านางจะมิได้ดื่มสุราแต่เรื่องที่ไม่ควรทำนางก็ทำไปมิใช่น้อย เป็นดั่งหนังหน้าไฟ[1] ทั้งนางยังชื่นชอบติดตามไปหอหร่วนเซียงกับพวกเขาอีกด้วย
นั่น…
นั่นมันคือหอคณิกาเชียวนะ!
นอกจากนี้คราหนึ่งในหอคณิกา คนที่ไปดึงผมทะเลาะหาเรื่องกับผู้อื่นก็เป็นนางอีก
นี่เป็นเรื่องที่สตรีผู้หนึ่งจะสามารถทำออกมาได้ที่ไหนกัน!
นางยังถือได้ว่าเป็นลูกผู้ลากมากดีคนแรกในสำนักเต๋อซั่นอีกด้วย!
มาวันนี้ได้รู้ว่านางเป็นสตรี ทุกคนจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร
“ตอนนี้เสียงของเจ้าฟื้นคืนแล้วก็ดูเหมือนสตรีผู้หนึ่งแล้ว แต่ทว่า…” ผู้ที่พูดอยู่กวาดสายตามองทางซูหลีปราดหนึ่ง และยังคงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ
ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใด วันนี้มีสตรีสูงศักดิ์หลายคนมาที่นี่
ล้วนเป็นคนจากสำนักฉยงสือฝ่ายหญิงทั้งหมด
เวลาผู้หญิงเหล่านั้นเอ่ยปากพูดต่างก็กระซิบเสียงเบานุ่มนวล ยามหัวเราะพวกเขาก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ แลดูบอบบางสง่างาม
ไหนเล่าจะเหมือนซูหลี
แม้ว่าสถานะของซูหลีจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่นางยังคงท่าทางเช่นดังเมื่อก่อน เจ้าพลังงานผู้ลากมากดีนั่นยังไม่สลายไป
นางมานั่งทางฝั่งนี้อย่างใจกว้างเปิดเผยเช่นนี้มันทำให้พวกเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา
ซูหลีหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าพวกเขาต่างไม่เป็นเช่นดังเมื่อก่อนที่ต่างพูดหยอกล้อเล่นกับนาง ภายในใจก็พลันหยุดนิ่งลง แต่มันก็เพียงชั่วครู่หนึ่งเท่านั้นก่อนจะเข้าใจขึ้นมา
นางรู้มานานแล้วว่ามันมิอาจเป็นดังเช่นเมื่อก่อนไปเสียทั้งหมด เมื่อวันนี้ได้พบเห็น ความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อก่อนพวกเขามองนางเป็นบุรุษผู้หนึ่งจะพูดคุยหรือทำสิ่งใดต่างทำอย่างสบายตามใจ แต่ตอนนี้ทั้งสถานะของนาง ทั้งตำแหน่งต่างก็แตกต่างกับพวกเขาไปเสียทั้งหมด
ไหนเล่าจะสามารถเป็นดังเช่นเมื่อก่อนได้
ซูหลีมิได้พูดอะไร นางเหล่ตาเหลือบมองไปรอบๆ จากนั้นถึงหันหน้าไปพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ใช่ว่าคนของสำนักฉยงสือมาด้วยหรอกหรือ เหตุใดจึงไม่เห็นคนคุ้นเคยเลย?”
เซี่ยอวี่เสียนไม่อยู่ก็มิว่า แต่นี่กระทั่งป๋ายเฮ่อกับหวังเฮ่อต่างก็ไม่อยู่ทั้งสิ้น
“เซี่ยเสียนก็ไม่อยู่?” ทางฝั่งสำนักเต๋อซั่นก็ขาดคนไปเช่นนั้น ฉินมู่ปิงกับเซี่ยเสียนต่างก็หายไป
ส่วนจี้ฉินก็มาด้วยกันกับนาง
“เจ้าคงยังไม่รู้ ระยะนี้เซี่ยเสียนถูกองค์หญิงใหญ่ขังไว้ที่บ้าน ไม่อนุญาตให้เขาออกมา!”
เมื่อหวงเฮ่าได้ยินจึงอธิบายให้ซูหลีฟัง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ซูหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ก็มิใช่เพราะองค์หญิงวางแผนแต่งงานให้เขาหรอกรึ ดูเหมือนว่าจะหมั้นหมายไว้กับคุณหนูรองสกุลป๋าย ทว่าเซี่ยเสียนไม่ยินยอมจนทะเลาะกับองค์หญิงยกใหญ่ วันนั้นเขากำลังเตรียมตัวจะออกจากจวนขององค์หญิงแต่ปรากฏว่าถูกจับได้! หนีออกมาไม่สำเร็จ!”
——
[1] หนังหน้าไฟ หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรืออันตรายก่อนผู้อื่นซึ่งเป็นต้นเรื่อง