ตอนที่ 813 ลากตัวออกไป!
“เจ้าพูดอะไรออกมา!?” ในชีวิตนี้เซียวเซวียนเอ๋อร์มิเคยได้ยินใครพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้
“พูดอะไรรึ” ซูหลีค่อยๆ จิบน้ำชา มองเซียวเซวียนเอ๋อร์ด้วยสายตาเยียบเย็นแล้วเอ่ยว่า “ก็พูดว่าท่านไม่มีมารยาท ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจ พูดจาหยาบคาย ประหนึ่งสตรีปากคอเราะราย!”
“เจ้า…”
“หึ!” หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างเกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้มิไหว
ใบหน้าเซียวเซวียนเอ๋อร์ที่ถูกซูหลีทำให้โมโหแทบจะเปลี่ยนเป็นดำทะมึนไปแล้ว
นางอ้าปากค้างถึงกับพูดอะไรมิออกอยู่พักใหญ่ ความไม่มีเหตุผลในยามปกติถึงกับใช้การมิได้
ไม่ต้องพูดถึงว่า คนที่ไม่มีเหตุผลอย่างเซียวเซวียนเอ๋อร์นั้น หวาดกลัวคนที่ไม่เสียดายชีวิตอย่างซูหลี
“ฝ่าบาท!” เซียวเซวียนเอ๋อร์หาคำพูดมาโต้แย้งซูหลีมิได้ จึงทำได้เพียงเปลี่ยนวิธี นางหันศีรษะมองไปทางฉินเย่หานด้วยท่าทีที่ได้รับความมิเป็นธรรมมากที่สุด
“ใต้เท้าซูไยถึงสามารถพูดกับหม่อมฉันเช่นนี้! ถึงหม่อมฉันจะเป็นอย่างไร ก็ยังเป็นสนมของฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ ใต้เท้าซู นี่เป็นการกระทำที่มิรู้จักที่ต่ำที่สูงเพคะ!” นางเอ่ยด้วยท่าทางร่ำไห้
หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างถึงกับมุมปากกระตุก หากให้เขากล่าวก็ต้องบอกว่า ซูเฟยผู้นี้เป็นคนที่ไม่มีเหตุผล นางเข้ามาอยู่ในวังเป็นเวลานานมากแล้ว ทั้งยังได้รับการโปรดปรานแล้ว ทว่าคนที่โปรดปรานนางนั้นเป็นอั้นจิ่ว มิใช่ฉินเย่หาน
ซูหลีถึงถือว่าเป็นสตรีของฉินเย่หานอย่างแท้จริง
เมื่อเปรียบกันแล้ว เซียวเซวียนเอ๋อร์ถือว่าเป็นสิ่งใดกัน ทั้งยังร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นนี้ ฮ่องเต้ไม่ตบนางและไล่ออกไปก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว!
“กระหม่อมมีความผิด ขอฝ่าบาททรงลงโทษเพคะ!” ซูหลีเห็นอากัปกิริยาของนางแล้ว จึงหัวเราะเยาะออกมา ทว่าซูหลีกลับไม่พูดออกมา แต่กลับเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉินเย่หานในทันที และคุกเข่าลงเช่นกัน
ฉินเย่หานก้มศีรษะลง เมื่อมองเห็นใบหน้าเล็กบึ้งตึงของซูหลีเช่นนี้ มิรู้ว่าเพราะเหตุใดอารมณ์ของเขาจึงดีขึ้นในชั่วพริบตา
“ใครก็ได้เข้ามา นำตัวซูเฟยสั่งกลับตำหนักเสวียนอวี่เสีย นับแต่นี้เป็นต้นไปหากมิได้รับคำสั่ง ห้ามซูเฟยออกมาภายนอก!” แม้เขาจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเซียวเซวียนเอ๋อร์นั้นขวางหูขวางตา
วังหลังนั้นมีสนมจำนวนมาก เขานั้นจำหน้าตาของพวกนางมิได้
สนมตรงหน้านี้กลับมีภาพในความทรงจำอยู่หลายส่วน ทว่าก็มิใช่ภาพความทรงจำที่ดีอย่างแน่นอน
ในเวลานี้เขายิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นทันทีที่เปิดปากพูด จึงสั่งกักบริเวณเซียวเซวียนเอ๋อร์มิให้ออกมาภายนอก
ในเวลานี้เซียวเซวียนเอ๋อร์ถึงกับตื่นตระหนกไปหมด ภายใต้สถานการณ์คับขันนี้ทำให้เลือกคำพูดไม่ถูก จึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงลำเอียง ซูหลีผู้นี้แทบจะขี่ขึ้นหัวหม่อมฉันแล้ว เป็นดังที่เล่อผินเอ่ยมาจริงๆ ด้วย พระทัยของฝ่าบาทถูกซูหลีนางปีศาจนี้ชักนำไปหมดแล้ว!”
“หาได้สนใจชีวิตพวกเราคนในวังหลังไม่!”
คำพูดวรรคนี้ของเซียวเซวียนเอ๋อร์ กลับทำให้สีหน้าของซูหลีเยียบเย็นจนถึงขีดสุด
เล่อผิน?
ป๋ายถานหรือ
สตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งก็ยังอดกลั้นต่อไปมิไหว
ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร บัดนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น นางมิได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย!
“หวงเผยซาน!” สีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อยฉินเย่หานถูกเซียวเซวียนเอ๋อร์ทำให้อันตรธานหายไปแล้ว
“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เซียวเซวียนเอ๋อร์ปฏิบัติตนไร้มารยาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ทำลายอำนาจสวรรค์ ลดตำแหน่งเป็นผิน ทั้งยังต้องย้ายออกจากตำหนักเสวียนอวี่ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมิได้รับคำสั่ง ห้ามเข้าห้องทรงอักษรแม้แต่ครึ่งก้าว!”
ใบหน้าของเซียวเซวียนเอ๋อร์ค้างเติ่งในทันที นางคิดมิถึงว่า บัดนี้จะก่อความวุ่นวายจนแม้แต่ตำแหน่งซูเฟยก็ยังมิมีแล้ว!
“ฝะ…ฝ่าบาทเพคะ!” นางร้อนรนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา
“ลากตัวออกไป!” ฉินเย่หานมิทนต่อความรำคาญเลยแม้แต่น้อย เขาสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ขอรับ!” หวงเผยซานมิกล้าประวิงเวลา เขาก็มิใช่คนอื่น ทั้งยังรู้สึกปฏิบัติต่อเซียวเซวียนเอ๋อร์ผู้นี้อย่างมิไว้หน้า ในใจของเขานั้นรู้สึกว่า มีเพียงซูหลีเท่านั้นที่เหมาะสมที่อยู่จะอยู่เคียงข้างฉินเย่หาน และถือว่าเป็นสตรีของฉินเย่หานอย่างแท้จริง
คนเหล่านี้มีสิทธิ์อะไรสะดีดสะดิ้งต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้กัน!
“นำตัวไป!” ดังนั้นเขาจึงมิคิดจะไว้หน้าเซียวเซวียนเอ๋อร์ เขาสั่งให้คนปิดปากเซียวเซวียนเอ๋อร์และลากตัวออกไป!
ตอนที่ 814 งานเฉลิมฉลองของสำนักเต๋อซั่น
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ล้วนอยู่ในสายตาของซูหลี
ทว่านางกลับมิแสดงอาการใดๆ ออกมานัก ทั้งไม่ได้เห็นใจเซียวเซวียนเอ๋อร์ผู้นี้ นางกล้าปฏิบัติตัวเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ แค่คิดก็พอรู้ว่าสตรีผู้นี้ยามอยู่ในวังปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร ยังมีเหล่าข้ารับใช้ของตนอีก
ยิ่งไปกว่านั้นเซียวเก๋อเหล่ากับซูหลีนั้นมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันนัก
หากจะกลั่นแกล้งนางซ้ำแล้วซ้ำแล้ว นั่นก็เป็นการทำให้ฮ่องเต้ทรงมิเบิกบาน ดังเช่นบัดนี้ที่เซียวเซวียนเอ๋อร์ถูกลงโทษ ก็แสดงถึงท่าทีของฮ่องเต้แล้ว
ความมิเบิกบานใจที่เกิดขึ้นในใจของซูหลี พลันหายไปในกลีบเมฆ
นางมิใช่สตรีธรรมดา จึงพอจะทราบว่าสตรีในวังหลังเหล่านี้ที่จริงแล้วล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเหล่าขุนนางอย่างแนบแน่น ยกตัวอย่างเช่นเซียวเซวียนเอ๋อร์ นางเป็นหลานสาวของเซียวเก๋อเหล่า
บัดนี้ระหว่างนางกับซูหลี ฮ่องเต้ทรงเลือกที่จะลงโทษนาง
นี่หากแพร่งพรายออกไปสู่เหล่าขุนนางที่อยู่เบื้องหน้า คงจะทำให้คนครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ฮ่องเต้นั้นทรงปฏิบัติกับนางอย่างลึกซึ้ง
“ให้คนไปตรวจสอบ!” ดวงตาของฉินเย่หานลุ่มลึก ซูหลีเพิ่งจะเข้าอยู่ในห้องทรงอักษรแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ทางด้านป๋ายถานก็ทราบข่าวนี้แล้ว ทั้งยังยืนถือข้างเซียวเซวียนเอ๋อร์มาสร้างความลำบากให้กับซูหลี
นางจักต้องมีคนสอดส่อง และนำเรื่องภายในห้องทรงอักษรไปแพร่งพรายอย่างแน่นอน!
เรื่องนี้หากพูดตามข้อเท็จจริงแล้ว ถือเป็นความรับผิดชอบของหวงเผยซาน
หวงเผยซานได้ยินดังนั้น ใบหน้าจึงเย็นยะเยียบ แล้วรีบเอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะให้คนจับคนปากมากผู้นี้ออกมา และโบยให้ตายไปเสียพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไปเรียกเล่อผินมาดูด้วย!” ฉินเย่หานที่มีใบหน้าเย็นชา เอ่ยคำพูดนี้ออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ซูหลีได้ยินดังนั้น สีหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้
แม้ฉินเย่หานจะมิได้ลงโทษป๋ายถาน ทว่ากลับเรียกนางมาดูเรื่องนี้ นี่มันสาหัสยิ่งกว่าถูกลงโทษเสียอีก ฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้านางท่านนี้ ดูเหมือนจะไร้ความรู้สึกยิ่งกว่าที่นางคิดไว้…
ทว่านางไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ฉินเย่หานกระทำเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อปกป้องนาง
นางยังไม่ได้มีน้ำใจถึงขั้นช่วยข้ารับใช้คนหนึ่ง และล่วงเกินฉินเย่หาน
โดยเฉพาะพวกเกลือเป็นหนอน ข้ารับใช้ที่นำข่าวภายในไปแพร่งพรายภายนอก มิอาจเก็บเอาไว้อย่างแน่นอน คนที่ข้ารับใช้ผู้นั้นขายเรื่องของเขาให้กับป๋ายถาน หากเป็นคนที่มีใจคิดจะกระทำสิ่งใดเล่า
“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานถึงกับใจหายวาบ ทว่ากลับรู้สึกว่าฉินเย่หานจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมแล้ว ดังนั้นเขาจึงมิพูดอะไร เพียงแค่เอ่ยรับคำเท่านั้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมควรจะกลับไปแล้วเพคะ” ซูหลียังคุกเข่าอยู่บนพื้น ทั้งร่างกายของนางมิมีเรี่ยวแรง หลังและเอวก็ปวดเมื่อยไปหมด เมื่อถูกเซียวเซวียนเอ๋อร์ก่อความวุ่นวายเช่นนี้ นางก็ไม่อยากอยู่ในวังต่อไปแล้ว
ฉินเย่หานกวาดตามองนางครู่หนึ่ง จากนั้นผงกศีรษะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “จำคำพูดของเราเอาไว้ให้ดี”
หัวใจของซูหลีหวั่นไหว พลางขานรับคำ
…
ซูหลีตื่นขึ้นให้เช้าวันถัดมา
วันนี้เป็นวันพักการว่าราชกิจ จึงมิต้องไปว่าราชกิจ ทว่ายังมีเรื่องที่นางต้องกระทำอยู่เรื่องหนึ่ง
และวันนี้มีงานเฉลิมฉลองของสำนักเต๋อซั่น
สำนักเต๋อซั่นสถาปนามาเป็นเวลาหลายปี จะมีการจัดการเฉลิมฉลองในทุกๆปี
ซูหลีก็เป็นบัณฑิตที่จบจากสำนักเต๋อซั่น แน่นอนว่าควรรีบไปแสดงความยินดี
กอปรกับนางไม่ได้เจอสหายร่วมชั้นในสำนักเต๋อซั่นนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร วันนี้จึงเป็นเวลาอันดีที่จะได้พบปะกัน
นางยังมีบางเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา!
เมื่อซูหลีคิดได้ดังนั้นจึงฉีกยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงสั่งให้เย่ว์ลั่วกับป๋ายฉินผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า มวยผมให้นาง จากนั้นขึ้นรถม้าเดินทางไปยังสำนักเต๋อซั่น
คนจำนวนมากต่างอยู่ในสำนักเต๋อซั่นจนแน่นถนัดไปหมด
เมื่อซูหลีมาถึง ก็เป็นเวลาไม่เร็วหรือช้าเกินไป เป็นช่วงเวลาที่งานเฉลิมฉลองภายในกำลังเริ่มพอดี
และเมื่อนางจากลงม้าก็พบกับจี้ฉิน
“จี้ฉิน!” ซูหลียกมุมปากขึ้นฉีกยิ้มและโบกมือให้กับเขา
จี้ฉินหันศีรษะกลับมา เมื่อเห็นนางเดินย้อนแสงมา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย สีหน้าก็ผ่อนคลายไปด้วย