ตอนที่ 805 ภายในหนึ่งเดือน
“ใต้เท้าซูหากไม่มีวิธีการอื่น เพียงแค่ต้องการอวดความเก่งที่นี่แล้วล่ะก็ เช่นนี้คงจะเป็นการกระทำที่หน้าไม่อายนัก” ผู้ที่ออกมาโต้แย้งซูหลีเป็นคนแรกก็คือ ใต้เท้าจาง ที่กำลังเปิดปากเอ่ยในเวลานี้
“ใช่แล้ว ทั้งยังพูดว่าไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว จะพูดอย่างไรก็แค่สตรีคนหนึ่ง จะสามารถรับรู้อะไรได้!”
แม้จะเผชิญหน้ากับความสงสัยของคนจำนวนมาก สีหน้าของซูหลีก็ยังคงเดิม
ทว่าเรื่องนี้ถูกคนเหล่านี้พูดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนกลายเป็นเรื่องของนางไปเสียแล้ว
พวกเขาจักต้องให้นางหาหนึ่งวิธีเพื่อจ่ายเงินเดือนเบี้ยหวัดทหารนี้ซะ มิเช่นนั้นนางก็แค่รับรู้ทุกอย่างอย่างตื้นเขิน และเป็นแค่สตรีคนหนึ่งเท่านั้น มิมีวิธีที่จะสามารถจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้
ซูหลีอดยิ้มหยันออกมาไม่ได้ ขุนนางเหล่านี้ช่างเก่งกาจโดยแท้ การมีอคติต่อสตรีนั้นเกินกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้เยอะเลย
ทว่าเรื่องเหล่านี้ ยามที่นางตัดสินว่าจะมาว่าราชกิจยามเช้าก็ได้เตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว
และนางไม่รู้สึกย่ำแย่อะไรนัก
“ใต้เท้าซูไยถึงไม่พูดไม่จาแล้ว หรือจะเป็นดังที่ใต้เท้าหลายท่านพูดไว้ เพียงแค่ต้องการหาเรื่องข้าเท่านั้น” ป๋ายไต้ซือที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างประชดประชัน
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงยิ้มอย่างเย้ยหยัน แล้วเอ่ยว่า “ป๋ายไต้ซือพูดอะไรออกมากัน!”
ทันทีที่นางเปิดปากพูด ทุกคนต่างคิดว่างนางจะเอ่ยโต้แย้งคำพูดของป๋ายไต้ซือ ต่างก็หยุดพูดและรอฟังคำพูดของนาง
“หาเรื่องเจ้าหรือ? ป๋ายไต้ซือจะคิดว่าตนเองถูกต้องเกินไปแล้ว!” น้ำเสียงของซูหลีนั้นมีแต่ความเฉยเมย ถึงขั้นแฝงด้วยความเหยียดหยาม
ถูกต้องแล้ว นางกำลังเหยียดหยามป๋ายไต้ซือที่มีชื่อเสียงขจรไปทั่วใต้หล้า
“เมื่อเปรียบกับราษฎรในใต้หล้าแล้ว ท่านนั้นถือเป็นสิ่งใดกัน ไยข้าจักต้องจงใจหาเรื่องท่านด้วย”
มือของป๋ายไต้ซือกำแน่นจนเส้นเลือดใต้ผิวหนังถึงกับโป่งขึ้นมา มองดูแล้วคล้ายกับโมโหจนถึงขีดสุดแล้ว
เขาคลุกคลีอยู่ในราชสำนักมาหลายต่อหลายปี มิเคยมีใครพูดกับเขานี้ต่อหน้าคนทั้งท้องพระโรงและต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้มาก่อน
หากมิใช่เพราะเขาวางแผนอย่างลับๆ มาตลอดหลายปี เกรงว่าเขาคงจะกระโจนเข้าไปสังหารซูหลีเสียเดี๋ยวนี้!
“ทำไมรึ ไต้ซือท่านรู้สึกโมโหหรือ นี่ช่างไร้ประโยชน์โดยแท้…” น้ำเสียงของซูหลีดังก้องกังวานข้างใบหูเขา
“พวกท่านก่นด่าว่าข้าเป็นเพียงสตรี ใช้คำพูดที่ไม่รื่นหูพูดกับข้า ข้าก็แค่โต้ตอบพวกท่านเท่านั้น ไยถึงรับมิได้เสียแล้ว” ซูหลีหัวเราะเยาะแล้วเอ่ยว่า
“อนาคตยังอีกยาวไกล!”
ในคำพูดของนางแฝงไปด้วยความนัยจำนวนมาก ชั่วขณะนี้แม้แต่ฉินเฮ่าที่แสดงท่าทีสบายๆ ก็ยังอดมองซูหลีปราดหนึ่งไม่ได้
ในช่วงที่เขาไม่อยู่ในเมืองหลวง ข่าวคราวที่เขาได้ยินคนพูดถึงที่สุดก็คือเรื่องของซูหลีผู้นี้
ในเวลานี้ดูเหมือนว่านางจะมิใช่คนธรรมดา และยิ่งไม่ใช่สตรีโดยทั่วไป
“ใต้เท้าซูมิจำเป็นต้องยุแหย่ป๋ายไต้ซือ หากเจ้ามีวิธีจริงๆ ก็สู้พูดออกมาเสียดีกว่า และอย่าได้ตำหนิว่าใต้เท้าทุกท่านกล่าวว่าเจ้าเป็นเพียงสตรี!” ด้านข้างมีคนรับไม้ต่อและเอ่ยต่อซูหลีอย่างดูแคลนทันที
หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดที่คนผู้นี้พูดออกมา จึงเก็บสีหน้าลงทันที
นางก้าวไปด้านหน้าอย่างทันใด แล้วยกชายกระโปรงคุกเข่าลงข้างป๋ายไต้ซือเอ่ยเสียงดังว่า
“ขอฝ่าบาททรงให้เวลากระหม่อมสักช่วงเวลาหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
ทุกคนต่างมองไปที่นาง
“กระหม่อมขอเวลาหนึ่งเดือน ภายในเวลาหนึ่งเดือนกระหม่อมจะให้คำตอบที่ทำให้ฝ่าบาทพึงพอพระทัยเพคะ!” ซูหลีมิได้ยืนหยัดฮึดสู้ในทันที และมิได้เจตนาแบกภาระนี้ไว้ที่ตนเอง
นางพอจะมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
นางนั้นเคยไปจวนสกุลป๋ายเพื่อท้าทายพวกเขาแล้ว และจะจัดการสั่งสอนพวกสกุลป๋าย ทว่าเกรงว่าทุกคนจะคิดว่านางพูดเล่น!
ถึงเวลานั้นนางจะแสดงอำนาจบนท้องพระโรงแห่งนี้ให้ดู!
ตอนที่ 806 คุกเข่าลง!
มิเช่นนั้นทุกคนคงจะใช้ความเป็นสตรีนางหนึ่งมาปฏิบัติต่อนาง และหลังจากนี้นางจะมีที่ยืนบนท้องพระโรงได้อย่างไร
ในเมื่อทุกคนอยากจะเห็นความวุ่นวายนัก เช่นนั้นนางจะแสดงให้พวกเขาดู!
คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะเล่นงานใครจนตาย!?
“หนึ่งเดือน…” ซุนเฉียงที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว คล้ายกับรู้สึกมิพอใจเท่าไรนัก
“ทำไมรึ ใต้เท้าซุนรู้สึกว่า ภายในหนึ่งเดือนเหล่าทหารชายแดนก็อดทนรอมิไหวหรือ เช่นนั้นขอถามใต้เท้าซุนสักหน่อย เงินเดือนเบี้ยหวัดนี้นำไปใช้ที่ไหนหมดแล้ว!?” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยอย่างเชื่องช้า
น้ำเสียงนั้นเบามาก ทว่าแฝงไปด้วยอำนาจคุกคาม
ซุนเฉียงขมวดหม่นย่นคิ้วเป็นปม มองไปหน้าด้านอย่างล่องลอยปราดหนึ่ง หลังจากเห็นคนผู้นั้นส่งสายตาที่สื่อว่าอย่าเพิ่งวู่วามให้ดูสถานการณ์ไปก่อน เขาถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกังวานว่า
“ในเมื่อใต้เท้าซูมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงหันศีรษะกลับไปมองฉินเย่หาน แล้วเอ่ยว่า “ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบในทันที ผ่านไปนานมากถึงได้ยินเขาเอ่ยว่า “เราอนุญาต!”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” ซูหลีก้มศีรษะลงอย่างมิลังเล นางกล้าเอ่ยเช่นนี้ออกมา นั่นเป็นเพราะนางมีความมั่นใจ
“จบการว่าราชกิจ…”
“ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆปี!”
…
หลังจากจบการว่าราชกิจ สายตาของขุนนางบางคนที่ใช้มองซูหลีนั้นมีความแปลกประหลาด
นางคุยโม้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นนี้ นี่หากทำตามที่สัญญาไว้มิได้ เช่นนั้นคงจะพูดยากแล้ว
อีกทั้งหลังจากซูหลีเปิดเผยตัวตนความเป็นสตรีของตน ในใจของคนจำนวนมากต่างเหยียดหยามนาง และรู้สึกว่านางมิอาจกระทำสิ่งใดออกมาได้สำเร็จผล
คาดว่านางคงจะทำให้สำเร็จมิได้ คงทำได้เพียงนำทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดออกมาขาย และใช้เงินส่วนนี้เติมเต็มให้กับแว่นแคว้น นี่เป็นวิธีที่ไม่ผิดคำพูด เพียงเพื่อลมปากของตน ถึงกับใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองชดเชย
นี่ช่างไม่คุ้มค่าเลย!
“ซูหลี…”
“ใต้เท้าซูโปรดหยุดก่อน!” ซูไท่ที่อยู่ภายในคณะขุนนางเหล่านี้ยังต้องการจะเรียกซูหลีเอาไว้ เขาต้องการพูดอะไรบางอย่างกับซูหลี ทว่าทันทีที่เงยหน้าเขาก็เห็นหวงเผยซานยืนอยู่เบื้องหน้าซูหลี
ซูไท่จึงทำได้เพียงกลืนคำพูดของตนเองลงไป
“หวงกงกงมีเรื่องอะไรหรือ” ซูหลีมองซูไท่ปราดหนึ่ง จากนั้นหมุนกายไปยิ้มให้กับหวงเผยซาน
“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงอักษรขอรับ!” หวงเผยซานมิหลบหลีกขุนนางที่อยู่โดยรอบเลยแม้แต่น้อย เขาพูดกับซูหลีด้วยรอยยิ้มแฉ่ง
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงเลิกคิ้ว ทว่าก็มิได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงตอบรับเสียงหนึ่ง จากนั้นเดินออกจากตำหนักอวิ๋นเซียวไป
หวงเผยซานเป็นคนมีไหวพริบ เขารอให้คนทั้งหลายเดินออกมาก่อน เขาถึงเรียกตัวซูหลีเอาไว้ คำพูดนี้เมื่อพูดต่อหน้าทุกคน แน่นอนทุกคนต้องรู้ว่าต้องได้รับคำสั่งของคนผู้หนึ่ง
หวงเผยซานเป็นคนของฉินเย่หาน เรื่องที่เขากระทำนั้นจึงเป็นไปตามคำสั่งของฉินเย่หาน และซูหลีก็ต้องทำตามคำสั่งของฉินเย่หาน
นี่เป็นการบอกทุกคนกลายๆว่า ซูหลีมีเขาเป็นคนคอยหนุนหลัง!
เพียงเมื่อคิดว่าต้องไปพบฉินเย่หาน ซูหลีก็รู้สึกปวดหัวอย่างเลี่ยงมิได้ ในเรื่องบางเรื่องฉินเย่หานนั้นเหมือนกับมีพรสวรรค์โดยแท้ คล้ายกับเขามิเคยพบสตรีมิปาน นาง…ทนรับเอาไว้มิไหวนะ!
“ใต้เท้าซูรีบเข้าไปเถิด” หวงเผยซานเดินนำนางมาถึงหน้าห้องทรงอักษร ทว่าเมื่อถึงหน้าประตูเขาก็ไม่เข้าไปแล้ว ซูหลีเห็นดังนั้นใบหน้าจึงกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่นางออกจากเมืองหลวงจนถึงบัดนี้ ก็ทิ้งร้างฉินเย่หานไปนานขนาดนี้ ในเวลานี้ช่าง…
“ขอบคุณหวงกงกงมาก!” ซูหลีโยนความคิดที่สับสนวุ่นวายออกจากสมองของตน นางฉีกยิ้มบางๆ แล้วหมุนกายเข้าไปในห้องทรงอักษร
ภายในห้องทรงอักษรนั้นเงียบสงัดมาก ตลอดทางที่ซูหลีเดินมานั้นเพียงได้ยินเสียงฝีเท้าของตน
“คุกเข่าลง…” เมื่อนางเดินอ้อมไปจากด้านนอกเข้าไปภายในห้อง ใครจะรู้ว่าทันทีที่เดินเข้าไปจะได้ยินคำพูดประโยคนี้
ซูหลีหยุดชะงักค้างไปในทันที