ตอนที่ 803 เห็นค่าตนเองเกินไปแล้ว
“ซูหลี!!! นี่เจ้าจะกลั่นแกล้งผู้อื่นเกินไปแล้ว!” ป๋ายไต้ซือถูกนางทำให้โมโหจนแทบจะล้มพับไป!
เหล่าขุนนางที่อยู่รอบข้างต่างมองหน้ากัน ใบหน้าเผยความตื่นตกใจเป็นอย่างมากออกมา
บนท้องพระโรงขุนนางที่ไม่ลงรอยกับเรื่องการเมืองจนเกิดเหตุทะเลาะกันนั้นมีมิน้อย เพียงแต่ทุกคนนั้นเป็นคนมีการศึกษา แม้จะทะเลาะกันก็ต้องแยกแยะ
ทว่าการกระทำเหมือนกับซูหลีเช่นนี้ ทั้งยังเป็นสตรี ก็…
“เมื่อวานเจ้านำคนไปก่อความวุ่นวายในจวนของข้า ข้ายังมิได้ซักถามเจ้า บัดนี้เรื่องของแว่นแคว้นเจ้ายังใช้ความแค้นส่วนตัว หาเรื่องข้าอีก ซูหลี ราษฎรช่วยเจ้าออกมามิใช่เพื่อให้เจ้ามาถกเถียงบนท้องพระโรงเช่นนี้!”
ป๋ายไต้ซือชี้ไปที่ซูหลี ใบหน้าทั้งหน้าแดงก่ำ เกือบจะสบถด่าซูหลีว่าเป็นคนไร้การศึกษาเสียแล้ว
ซูหลีกลับหัวเราะเยาะอยู่ด้านข้างอย่างต่อเนื่อง แล้วเอ่ยว่า “ความแค้นส่วนตัว ป๋ายไต้ซืออย่าได้เห็นค่าตนเองเกินไป!”
“ทูลฝ่าบาท ที่กระหม่อมกล่าวว่าป๋ายไต้ซือพูดจาส่งเดชนั้น มิใช่เอ่ยอย่างไร้จุดหมาย กระหม่อมยังจำได้ว่า ป๋ายไต้ซือก็เป็นจิ้นซื่ออันดับสอง ก่อนจะเข้ามาในราชสำนัก ก็อยู่ในครอบครัวที่ฐานทางบ้านมิดีนัก ไยบัดนี้เวลาผ่านไปนานขึ้นเรื่อยๆ กลับไม่ทราบแล้วว่าอะไรคือเรื่องดีเลว!”
“ซูหลี!!!” ป๋ายไต้ซือแผดเสียงเกรี้ยวกราดออกมาดังสนั่นทั้งท้องพระโรง ดูจากอากัปกิริยาของเขาแล้ว เขาแทบจะกลืนซูหลีลงไปทั้งเป็นๆ มิปาน!
“อย่าเพิ่งร้อนใจ ป๋ายไต้ซือรอฟังข้าพูดให้จบก่อน” ใครจะรู้ว่าซูหลีกลับมิกลัวเขาเลยสักนิด มิหวาดหวั่นต่ออำนาจยิ่งใหญ่ที่เขามีมานาน
“ก่อนหน้านี้ยามก่อนเพาะปลูกในช่วงวสันตฤดูก็เรียกเก็บภาษีไปแล้วครานี้ บัดนี้ผ่านไปเพียงมิกี่เดือนก็ต้องการเรียกเก็บภาษีอีกครา ป๋ายไต้ซือทราบหรือไม่ว่า แต่ละครั้งที่เรียกเก็บภาษีเป็นเงินกี่ชั่งกัน รู้หรือไม่ว่าในหนึ่งปี ราษฎรทั่วไปนั้นมีรายได้เท่าไหร่กัน พูดว่าจะเก็บภาษีเพิ่มก็จะเก็บ เช่นนั้นมิต่างอะไรกับบีบให้ราษฎรสู่เส้นทางแห่งความตาย!”
“ป๋ายไต้ซืออยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลานานจึงลืมกำพืด ลืมไปแล้วสกุลของตนเคยยากจนมากก่อน ยามเก็บภาษีทุกครา หากผลเก็บเกี่ยวมิดี ยังต้องหาของมาสมทบถึงจะสามารถจ่ายภาษีจนครบได้! บัดนี้ทันทีที่ป่าวประกาศเรียกเก็บภาษี ราษฎรจำนวนนับไม่ถ้วนคงต้องขายบุตรเพื่อจ่ายเงินเดือนเบี้ยหวัดให้กับทหารเหล่านั้น”
“ข้าพูดว่าท่านพูดจาส่งเดช ท่านยังคิดว่าข้าใส่ร้ายอีกหรือ” ซูหลีมีท่าทีที่ดุดันเป็นอย่างมาก คำพูดทุกคำทุกประโยคล้วนออกมาจากใจ น้ำเสียงของดังก้องกังวานเป็นอย่างมาก แม้น้ำเสียงจะอ่อนหวานไปบ้าง ทว่าในเวลานี้รัศมีของนางแผ่ซ่านออกมาทั่วบริเวณโดยรอบ
ทำให้คนจำนวนมากจึงมิได้สังเกตถึงน้ำเสียงอ่อนหวานของนาง
ในทางกลับกันต่างก็ตกอยู่ในความคิดของตน
เป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ พวกเขามิใช่ราษฎรทั่วไป จึงมิทราบถึงความลำบากเหล่านี้
ทว่าสำหรับคนที่เป็นชนชั้นสูง หลายคนต่างใช้วิธีการนี้มาเติมเต็มกองคลังของแว่นแคว้นจนเคยชิน นี่จึงถือว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง ยามที่ป๋ายไต้ซือเสนอวิธีนี้ จึงมิมีใครรู้สึกว่ามิถูกต้อง
ทว่าเมื่อซูหลีเอ่ยเช่นนี้ มีขุนนางที่เกิดในครอบครัวแร้นแค้นจำนวนมิน้อย ต่างหวนคิดถึงตนเองในอดีต
เพียงชั่วพริบตาเดียวบรรยากาศภายในท้องพระโรงก็มีความกระอักกระอ่วน
“ยังไม่ต้องพูดเรื่องความเหมาะสมที่จะเก็บภาษีเพิ่มในช่วงนี้ สถานที่ที่ประสบภัยอย่างเจียงซี ยูนนานและที่อื่นๆ บัดนี้มิมีแม้แต่ผลเก็บเกี่ยว ราษฎรมิมีที่อยู่อาศัย เพราะท่านป๋ายไต้ซือคนเดียว ทำให้ทุกคนต้องจ่ายภาษีมากมายขนาดนี้ ราษฎรนับแสนมิต้องกินเปลือกไม้กันแล้วหรือ”
“บัดนี้ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองถึงเพียงนี้ ยังก่อเรื่องที่น่าขันเช่นนี้ออกมา ในหน้าประวัติศาสตร์บันทึกไว้ในวันหน้าว่า นี่คือคุณูปการของป๋ายไต้ซือ หรือจะบันทึกเรื่องนี้ตราหน้าว่าเป็นความผิดฮ่องเต้กัน?”
“ตุบ…!” ทันทีที่ซูหลีพูดจบ ป๋ายไต้ซือคนนั้นก็คุกเข่าลงในทันที
บนศีรษะถึงกับเหงื่อตก และมิหลงเหลืออารมณ์ที่ก่นด่าใส่ซูหลีเมื่อครู่นี้ จะมีใครที่พูดโน้มน้าวจิตใจเก่งกว่าซูหลีอีก
วิธีเรียกเก็บภาษีเพิ่มธรรมดา เมื่อถูกซูหลีพูดออกมาแล้ว กลับกลายเป็นความชั่วร้ายมหันต์ ในใจของป๋ายไต้ซือรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก
ทว่าเขานั้นทราบดีว่า นี่ไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกย่ำแย่
ตอนที่ 804 ปลายเข็มต่อปลายเข็ม
อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นนี้ หากเขาพูดผิดแม้แต่ประโยคเดียว อย่าว่าแต่คุณงามความดีเลย เกรงว่าจะกลายเป็นนักโทษไปตลอดกาลอย่างที่ซูหลีเอ่ยมา
“ทูลฝ่าบาท!” ป๋ายไต้ซือถึงกับเหงื่อตก เขารีบเอ่ยอย่างรีบร้อน “กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ในอดีตยามที่กองคลังว่างเปล่า ก็จักต้องรีบเรียกเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อเติมเงินในกองคลังของแว่นแคว้น เป็นกระหม่อมเองที่คิดมิรอบด้าน! ฝ่าบาททรงยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาททรงยกโทษด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ป๋ายไต้ซือมิได้ต้องการจะขูดรีดราษฎร! เพียงแต่ในอดีตก็ใช้วิธีการนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
“ขอฝ่าบาททรงเมตตา!”
ทันทีที่ป๋ายไต้ซือคุกเข่าลงก็มีคนจำนวนมิน้อยรีบคุกเข่าลง แล้วรีบร้องขอความเมตตาให้กับเขา
ฉินเย่หานผู้ซึ่งมีใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตานั้นมีความลุ่มลึก คล้ายกับสามารถอ่านคนเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งมิปาน
เขากวาดตามองที่ป๋ายไต้ซือปราดหนึ่ง จากนั้นเขาจึงมองทางซูหลีที่อยู่ด้านหลังของป๋ายไต้ซือด้วยแววตาอ่อนโยนปราดหนึ่ง
นางมักเฉลียวฉลาดเช่นนี้อยู่เสมอ สามารถยืนหยัดในช่วงเวลาที่สำคัญ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับใคร นางก็จะยืนหยัดอยู่ฝั่งที่คิดว่าถูกต้อง
ถูกต้องแล้ว การขึ้นภาษีเป็นไปมิได้อย่างแน่นอน ภาษีที่เก็บก่อนนั้นเพียงพอแล้ว ในปีนี้ก่อนการเก็บเกี่ยวในช่วงสารทฤดู อย่างไรก็มิอาจเรียกภาษีเพิ่มได้อย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าราษฎรที่ลำบากจำนวนมาก คงจะถึงขั้นก่อความวุ่นวายใหญ่โต
ดังนั้นเรื่องขึ้นภาษี จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เขาขุ่นเคืองมากกว่าเรื่องต้องการเงินเดือนเบี้ยหวัดทหาร
โดยเฉพาะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงนี้ การใช้ชีวิตของราษฎรมิใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญในเวลานี้คือการสร้างความมั่นคงให้กับจิตใจของราษฎร มิใช่การขึ้นภาษี การขึ้นภาษีนี้อาจทำให้ทั้งต้าโจวไม่มั่นคงแล้วก็ได้
ความสั่นคลอนในใจของคน อาจบีบให้พวกเขาทำเรื่องที่มิอาจเป็นไปได้ก็ได้
ทว่าเขานึกไม่ถึงว่า คนแรกที่ลุกขึ้นมาโต้แย้งจะเป็นซูหลี นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งที่เผชิญหน้าและไม่อ่อนโอนกับคนทั้งท้องพระโรง
ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ขาวกระจ่าง คล้ายกับมีเปล่งประกายอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่คนอย่างฉินเย่หานก็ยังรู้สึกหวั่นไหว
“กระหม่อมคิดว่า ที่ใต้เท้าซูกล่าวมานั้นมีเหตุผล การขึ้นภาษีเป็นความเคยชินที่มีมาตั้งแต่อดีต ทว่าบัดนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ อย่างไรก็มิอาจเพิ่มภาษีได้ มิเช่นนั้นจะถือเป็นการบีบราษฎรสู่ความตายพ่ะย่ะค่ะ!”
จี้เหิงหรานช้าไปก้าวหนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ลุกขึ้นพูด
ในเวลานี้เขาลบอคติที่มีต่อซูหลีหมดแล้ว
เพราะเรื่องการขึ้นภาษี เป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้อย่างแน่นอน!
“สิ่งที่ใต้เท้าซูพูดมานั้นถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ทันทีที่เขาเอ่ย หลายคนต่างลุกขึ้นมาเห็นด้วย
เรื่องในวันนี้ทำดำเนินมาถึงเวลานี้ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเอ่ยเห็นด้วยกันทุกคน
ประการแรกปัญหาเรื่องเงินเดือนเบี้ยหวัดทหาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาการเก็บภาษี และขุนนางทุกคนก็เกือบมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว
“หากไม่เพิ่มภาษี ใต้เท้าซูลองพูดสิว่า เหล่าทหารที่ยอมพลีชีพเพื่อแว่นแคว้นนั้นมิสำคัญหรือ หรือจะให้ทหารฝั่งชายแดนได้รับความลำบาก”
เมื่อป๋ายไต้ซือตั้งสติได้อย่างมั่นคงแล้ว และเห็นว่าฮ่องเต้ทรงมิได้ตำหนิเขา เวลานี้เขาจึงเลือกที่จะนิ่งเฉย และใช้สติตอกกลับซูหลี
“ใช่แล้ว หรือจะไม่ให้เงินเดือนเบี้ยหวัดทหารเช่นนี้?” เมื่อป๋ายไต้ซือเอ่ยขึ้น ก็กระตุ้นความอารมณ์ของซุนเฉียงที่อยู่ด้านข้าง ซุนเฉียงนั้นเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ น้ำเสียงของเขาดังมาก ยามอยู่ต่อหน้าเขา ร่างของซูหลีเล็กลงถนัดตา
“ทหารชายแดนกินไม่อิ่มทั้งยังมีเครื่องนุ่งห่มที่ไม่อบอุ่น พวกเจ้าเหล่าสตรีจะสามารถรับผิดชอบได้หรือ เรื่องใหญ่ของแว่นแคว้นเหล่านี้เจ้าสามารถเข้าใจได้หรือ” ซุนเฉียงตวัดสายตามองที่ซูหลี และขมวดคิ้วอย่าห้ามมิได้
เขาเป็นคนหยาบกระด้าง ยามพูดจาจึงมิน่าฟังเป็นอย่างมาก
ทว่าเขากลับพูดความในใจของคนหลายคนออกมา
“ใต้เท้าซูมีความสามารถขนาดนี้ หรือคิดจะบริจาคทรัพย์สินของตนเองเพื่อเติมเต็มเงินคลังของแว่นแคว้นกัน?”
“หึ มิแน่ใต้เท้าซูคงอยากจะเข้าบ่อนไปเล่นพนันสักครา!”
ซูหลีเป็นขุนนางในราชสำนักในช่วงเวลาสั้นๆ ทว่านางได้รับการเลื่อนตำแหน่งเร็วมาก คนที่รู้สึกขัดหูขัดตานางจึงมีมาก อีกทั้งพวกเขาต้องการจัดการกับนางมานานแล้ว