ตอนที่ 711 พูดจาส่งเดช!
ร่างกายที่ค่อนข้างอ้วนท้วมของป๋ายไต้ซือหมอบลงบนพื้น ทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้
การกระทำของซูหลีรวดเร็วมาก อีกทั้งทันทีที่นางลงมือก็โจมตีจุดยุทธศาสตร์โดยตรง นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง
มีหลักฐานจำนวนมากวางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นถึงป๋ายไต้ซือ ทว่าก็ไม่ทราบว่าจะเริ่มอธิบายจากที่ใดดี!
แม้ปากจะเอ่ยว่าได้รับความไม่เป็นธรรม ทว่ากลับพูดโต้แย้งไม่ออก
นี่ถึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด!
“ป๋ายไต้ซือนี่เป็นอะไรไปแล้ว ฝ่าบาทมิได้ตรัสอะไรออกมาเลย ท่านก็ตะโกนออกมาว่าได้รับความไม่เป็นธรรมเสียแล้ว ได้รับความไม่เป็นธรรมหรือ รอให้คุณชายมาก็ทราบแล้ว!” ซูหลีมองเขาด้วยใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ
ทว่าคำพูดนี้กลับเต็มไปด้วยการตำหนิ
ป๋ายไต้ซือที่คุกเข่าอยู่บนพื้น มือทั้งสองของเขากำแขนเสื้อแน่น
ที่ถานเอ๋อร์กล่าวมานั้นมิผิดจริงๆ การจัดการกับซูหลีนั้นเป็นเรื่องที่มองข้ามมิได้ เป็นเพราะเขาประเมินศัตรูต่ำเกินไป เขาคิดว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กอายุ 20 กว่าปี นึกไม่ถึงว่าจะถูกนางสร้างเรื่องวุ่นวายเหล่านี้
“ทูลฝ่าบาท ป๋ายเฮ่อถูกนำตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ป๋ายไต้ซือรู้สึกว่าหนาววูบที่กระดูกสันหลัง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วถึงจะรู้สึกหวาดกลัว ฉินลิ่วที่ออกไปแล้วกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น
ไยถึงรวดเร็วขนาดนี้
ป๋ายไต้ซือสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ แต่เขาครุ่นคิดอะไรมิทันแล้ว ทันทีที่หันศีรษะไปก็พบว่า ป๋ายเฮ่อถูกคนจับกุมเข้ามาในท้องพระโรง
ถูกจับกุมเข้ามาจริงๆ!
ป๋ายเฮ่อนั้นมีท่าทีจนตรอกอย่างบอกไม่ถูก คุณชายผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างคนมั่งคั่งร่ำรวยมาโดยตลอด ชีวิตนี้มิเคยต้องประสบเรื่องเช่นนี้เลยสักนิด สีหน้าของเขาจึงดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ทหารเหล่านั้นที่จับกุมเขาเข้ามาที่ท้องพระโรงเมื่อมาถึงได้ปล่อยมือออกจากเขาอย่างรวดเร็ว ภายในท้องพระโรงล้วนมีคนอยู่เต็มไปหมด ป๋ายเฮ่อเดินเข้ามาก็หันมาสบตากับบิดาของตนปราดหนึ่ง จากนั้นจึงถูกทหารที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผลักตัวให้คุกเข่าลงข้างป๋ายไต้ซือ
“ตุบ!” รสชาติของชีวิตเช่นนี้ ทำให้คนบางคนยากที่แบกรับไหว ในชีวิตนี้ป๋ายเฮ่อไม่เคยประสบเรื่องเช่นนี้มาก่อน เขากัดฟันและควบคุมตัวเองให้สงบลง
“คุณชายป๋าย สบายดีหรือไม่” ซูหลีมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่รอยยิ้มที่นางเผยออกมาในเวลานี้ ไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความใกล้ชิด อีกทั้งยังทำให้คนเกิดความรู้สึกขนลุกขนพองอีกด้วย
ในดวงตาของป๋ายเฮ่อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น หากเขาสามารถหลุดพ้นออกไปได้ครานี้ เขาจะต้องทำให้ซูหลีชดใช้สถานหนัก!
นางกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้!
“ใต้เท้าเสิ่น คุณชายป๋ายมาถึงแล้ว มีเรื่องที่ต้องหยั่งเชิงกับเขาหรือ” ซูหลีไม่สนใจสายตาของป๋ายเฮ่อเลยแม้แต่น้อย นางเพียงหันเหสายตามองไปทางเสิ่นฉางชิง
สีหน้าของเสิ่นฉางชิงในเวลานี้ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก หากมีโอกาสเขาก็อยากจะฆ่าซูหลีให้ตายเช่นกัน
บัดนี้เขายังอยู่ในกำมือของนาง อย่างไรก็ต้องทนก้มหัวให้นางต่อไป
เขาใกล้จะตายแล้ว ทว่าสกุลเสิ่นไม่อาจล่มสลายเช่นนี้ได้!
เสิ่นฉางชิงหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ป๋ายเฮ่อ เจ้าขอให้ข้าตามหาต้นฝิ่นเป็นการส่วนตัว และเรื่องที่เจ้าปลูกต้นฝิ่นไว้บนพื้นที่ขนาดใหญ่ในหมู่บ้านปี้สุ่ยที่อยู่ห่างไกลจากชานเมืองถึงสามสิบลี้ ได้ถูกเปิดโปงแล้ว”
“เจ้ายังจะสามารถพูดอะไรได้อีก”
ทันทีที่ป๋ายเฮ่อได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันควัน เขาเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นฉางชิงอย่างรวดเร็วและเอ่ยด้วยโทสะว่า
“ท่านโหว นี่ท่านพูดจาส่งเดชอะไรกัน เรื่องที่ท่านพูดมาทั้งหมดเหล่านี้ ข้าไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง!” เมื่อเสิ่นฉางชิงชี้เป้ามาที่ตน หัวใจของป๋ายเฮ่อก็สะดุ้งโหยง ทว่ายามที่ทุกคนตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนก็โต้แย้งออกมาตามจิตใต้สำนึก
ป๋ายเฮ่อก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของป๋ายไต้ซือ
ตอนที่ 712 แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่ที่ไร้ช่อ
เขาไม่มีทางที่จะไม่มีความกล้าเลยแม้แต่น้อย และถูกผู้อื่นพูดจูงจมูกโดยงานเช่นนี้
ป๋ายเฮ่อคิดเช่นนั้นจึงยิ่งพยายามตั้งสติเอาไว้ เขาจ้องมองเสิ่นฉางชิงด้วยสายตาเยียบเย็นแล้วเอ่ยว่า
“ท่านโหว การพูดจาและการกระทำจักต้องมีหลักฐาน เจ้าพูดปรักปรำคนอื่นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นนี้ เจ้าคงจะได้รับคำสั่งจากใครกระมัง”
ทันทีที่พูดจบยังปรายตามองไปทางซูหลี
ซูหลีปิดปากเงียบ นางเพียงมองทางพวกเขาทั้งสองคนด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม คล้ายกับมิใส่ใจในคำพูดของเขามิปาน
“ทูลฝ่าบาท หลักฐานที่กระหม่อมถวายแก่เบื้องบนทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ในมือของป๋ายไต้ซือแล้ว ภายในทั้งยังมีจดหมายที่ป๋ายเฮ่อเขียนด้วยตนเอง นี่ไม่มีทางปลอมแปลงได้ อย่างไรก็อยากให้ฝ่าบาทโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นฉางชิงมองที่ป๋ายเฮ่อปราดหนึ่ง เขาได้แต่หัวเราะเยาะเย้ยต่อท่าทีที่แตกหักไม่คุ้นเคยอยู่ในใจ
แม้เขาจะพอเข้าใจดีว่า หลังจากเกิดเรื่องขึ้น สกุลป๋ายจักต้องหาวิธีกำจัดออกจากเรื่องนี้อย่างสะอาดหมดจด ทว่าเขาคิดไม่ถึงว่า ป๋ายเฮ่อจะตีตนออกหากได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
เมื่อคิดดังนั้นเสิ่นฉางชิงก็ไม่เสียดายที่นำเรื่องของสกุลป๋ายสารภาพออกไป
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทีของสกุลป๋ายในเวลานี้แล้ว เขายังโชคดีที่เชื่อฟังคำพูดของซูหลี อย่างน้อยก็ยังรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองไว้ได้อย่างสมบูรณ์!
“จดหมายที่เขียนด้วยตนเอง!?” ยามที่ป๋ายเฮ่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป แม้เขาจะมีแผนการล้ำลึกถึงเพียงใด ทว่าในมือของเสิ่นฉางชิงมีหลักฐานอยู่เช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน!
“ใช่แล้ว ทำไมรึ คุณชายป๋ายไม่รู้สึกว่าตนไม่ต้องโทษทั้งที่มิผิดแล้วหรือ” ซูหลีหัวเราะออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาดอกท้อคู่งามตวัดสายตาไปที่ป๋ายเฮ่อ ในดวงตาเต็มไปด้วยความประกายความเย็นชา
หัวใจของป๋ายเฮ่อสั่นสะท้าน ใบหน้าปรากฏริ้วความตะลึงงันขึ้นมา ในเวลานี้เขาไม่สามารถตอบคำถามของซูหลีได้
“ทูลฝ่าบาท!” และในเวลาเช่นนี้ท่าทีตอบสนองป๋ายไต้ซือถือว่ารวดเร็วกว่าบ้าง
“แม้ในยามปกติบุตรของกระหม่อมจะเป็นคนดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังคำสอนสักเท่าไหร่นัก และมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นบ่อยครั้ง ทว่าเรื่องเหล่านี้แม้เจ้านี่จะมีใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงไร เขาก็ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้ได้! สิ่งของในกล่องนั่นเป็นสิ่งที่ใต้เท้าเสิ่นนำมา อีกทั้งยังผ่านมือของใต้เท้าซูมาก่อน…”
ป๋ายไต้ซือพูดถึงตรงนี้ก็คล้ายกับมีความลังเลใจอยู่บ้าง ทว่าหลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันพูดต่อว่า
“นี่มีคนเจตนาจัดการพวกเราสกุลป๋ายพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท!!!” คำพูดที่เอ่ยว่า ‘ฝ่าบาท’ ในท่อนสุดท้าย น้ำเสียงของป๋ายไต้ซือมีความสั่นคลอนอย่างบอกไม่ถูก
“กระหม่อมเป็นขุนนางมาหลายต่อหลายปี เป็นคนที่สุขุมรอบคอบและระมัดระวังมาโดยตลอด กระหม่อมนั้นมีทายาทน้อย มีเพียงบุตรชายคนเดียวเท่านั้น อย่างไรกระหม่อมก็ไม่มีทางให้เขากระทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนั้นเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาช่างเป็นคนที่มีวาทศิลป์โดยแท้ มีประกายความเยียบเย็นพาดผ่านในดวงตาของซูหลี
นางสาวเท้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง นางยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “คำพูดของป๋ายไต้ซือช่างเปิดเผยนัก ทูลฝ่าบาท กระหม่อมนั้นมีเรื่องที่ไม่ค่อยดีกับคุณชายป๋ายอยู่จริงๆ ทว่ากระหม่อมเพิ่งจะเข้ามาเป็นขุนนาง และมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับติ้งอันโหวนัก กระหม่อมจะสามารถพูดโน้มน้าวใจท่านอ๋องผู้หนึ่งให้ใส่ร้ายป้ายสีบุตรของป๋ายไต้ซือได้อย่างไรกัน”
“อีกทั้งภายในราชสำนักมีขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊จำนวนมากขนาดนี้ ใต้เท้าเสิ่นกลับไม่ใส่ร้ายป้ายสีใครทั้งสิ้น แต่กลับเอ่ยถึงคุณชายป๋าย เหอะ!” ซูหลีหัวเราะด้วยน้ำเสียงไม่พอใจออกมา อารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้ากลับนิ่งเฉย
นางมองป๋ายไต้ซือด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “หรือป๋ายไต้ซือจักมิเคยได้ยินคำพูดที่เอ่ยว่า แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่[1]ที่ไร้ช่อหรือ!?”
“ใต้เท้าซู!” ป๋ายไต้ซือมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จากนั้นเอ่ยด้วยโทสะ
ซูหลีไม่รู้สึกกลัวเขาเลยแม้แต่น้อยและยังกล้าสบตาเขาโดยตรง
——
[1] แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่ที่ไร้ช่อ เป็นสำนวน หมายถึงมีไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นโดยไม่มีมูล ทุกเรื่องล้วนมีสาเหตุ