ตอนที่ 673 ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยอวี่เสียน
ทว่าเพียงพริบตาเดียวนางก็ปล่อยวางแล้ว ฉินเย่หานคงจะมีความลับอะไรที่ต้องการสั่งนางเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ให้หวงเผยซานตามเข้ามาด้วยกระมัง
กระมัง…
ซูหลีได้แต่พูดโน้มน้าวจิตใจตัวเองเท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นนางยังสามารถทำอย่างไรได้กัน
ซูหลีสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงผลักประตูห้องทรงอักษรเข้าไป
แกรก หลังจากนางเดินเข้าไป ประตูก็ถูกปิดจากทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เข้าไป ซูหลีก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
นางมาที่ห้องทรงอักษรหลายต่อหลายครา นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นฮ่องเต้มิได้ประทับอยู่หน้าโต๊ะมังกร ทว่ากลับยืนเอามือไขว้หลังหันหลังมาทางนาง และทอดพระเนตรไปทางด้านนอกหน้าต่าง
มองจากทางด้านนอกของห้องทรงอักษรดูว่างเปล่า นอกจากทางที่ซูหลีเดินมาไม่มีทิวทัศน์อะไรทั้งสิ้นแม้แต่ต้นไม้ต้นหนึ่งก็ไม่มี และไม่มีอะไรที่น่ามองเท่าไรนัก
แน่นอนว่าคำพูดนี้ต่อให้ซูหลีมีความกล้าเป็นร้อยๆ ซูหลีก็ไม่กล้าพูดออกมา
นางเพียงกวาดตาไปทางนั้นอยู่นาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปแล้วโค้งคำนับและเอ่ยว่า
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฉินเย่หานหมุนกายกลับมา เมื่อมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม บนร่างสวมชุดขุนนางสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ต้าโจวเอาไว้ ดวงตาของเขาพลันปรากฏความลุ่มลึก
เพียงแต่ซูหลีก้มศีรษะลงจึงมองไม่เห็นแววตาของเขา
“นั่งลง” ตั้งแต่เข้ามาในห้องทรงพระอักษร นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่หานสั่งให้นางนั่งลง กลับไม่ใช่การเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
ซูหลีตะลึงไปครู่หนึ่ง หลังจากรู้สึกตัวจึงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แดงที่ฉินเย่หานชี้ให้นางนั่งลง
“ฝ่าบาท เรื่องในวันนี้…”
“เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับบุตรคนโตของสกุลเซี่ย?” ในขณะที่ซูหลีต้องการเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา นึกไม่ถึงว่าทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นจะเห็นฉินเย่หานเดินเข้ามา จากนั้นเขาจึงโน้มตัวใช้มือวางบนพนักเก้าอี้ด้านหลังซูหลี เช่นนี้เป็นการโอบร่างทั้งร่างของซูหลีไว้ในอ้อมแขน
ซูหลีตะลึงงัน
ในชั่วขณะนี้แม้แต่คิดว่าตนเองต้องการพูดอะไรออกมายังจำไม่ได้ ตรงหน้าของตนนั้นมีแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาหมดจดของฉินเย่หาน อีกทั้งยังมีดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้น ดวงตาที่ดำสนิทสะท้อนให้เห็นภาพซูหลีที่ดูทึมทื่อ
ฝ่าบาทนี่คือท่าทางอะไรกัน…
ยังมีเรื่อง…
เซี่ยอวี่เสียน?
“ข้า ข้าน้อย…กระหม่อมเป็นสหายกับบัณฑิตจอหงวน” เขาเข้าใกล้นางอย่างกะทันหัน ทำให้ลมหายใจของซูหลีเปลี่ยนเป็นติดขัด ผ่านไปพักหนึ่งถึงสามารถรวบรวมสติสัมปชัญญะ จากนั้นจึงพูดอธิบายประโยคหนึ่ง
“เป็นเพียงสหาย?” ฉินเย่หานจ้องมองนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูหลีกลับรู้สึกว่า ยามตกอยู่ภายใต้สายตาของเขาเช่นนี้ หัวใจของนางแทบจะเต้นออกมาจากนอกอก
นางค่อยๆ ผงกศีรษะ
หลังจากนางผงกศีรษะ ความเย็นยะเยียบบนใบหน้าของฉินเย่หานลดน้อยลงไปบ้าง เพียงแต่สิ่งที่ตามก็คือ…
“เสื้อผ้าบนร่างนี้ ช่างขัดตานัก” เขาตวัดตามองที่ชุดอาภรณ์บนร่างซูหลี แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูหลี…
นี่เป็นถึงชุดขุนนาง ขัดตา!
แควก! ผลก็คือยังไม่รอให้นางตำหนิเขาในใจ นางก็รู้สึกว่าร่างของตนนั้นเย็นวาบ นางแหงนศีรษะขึ้นก็พบว่ามือใหญ่ของฉินเย่หานกำลังยกขึ้น
“ฝ่าบาท!” น้ำเสียงของซูหลีสั่นคลอน
นี่ไม่ใช่ควรจะพูดจาเรื่องผงฝิ่นกันดีๆ หรือ นี่เป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดนี้เชียวนะ!
“กะ กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องเอ่ยพ่ะย่ะค่ะ!” นางมึนงงไปหมด นางยื่นมือต้องการจะผลักเขาออกไป คิดไม่ถึงว่านางจะถูกเขาใช้กำลังกุมมือของนางเอาไว้ ดวงตาลุ่มลึกจับจ้องที่นางและเอ่ยว่า
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน!”
“แต่ว่า…อื้อ!” ต่อจากนั้นนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาทั้งสิ้น คำพูดทั้งหมดถูกบุรุษผู้นี้บีบบังคับให้กลับเข้าไป นางพยายามอย่างสุดชีวิตก็สามารถเพียงส่งเสียงอู้อี้ออกมา
นี่ยังไม่ถือว่าเป็นอะไร เรื่องตื่นเต้นยังรออยู่ด้านหลัง
ตอนที่ 674 มาส่งน้ำแกง
“ไม่ได้ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ใบหน้าเล็กๆ ของซูหลีแดงระเรื่อ เชือกผูกผมที่มัดเส้นผมบนศีรษะเอาไว้ล้วนหลุดรุ่ยออกมาหมดแล้ว ทำให้ผมสีดำสลวยกระจายจรดช่วงเอว ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
ทว่าไม่ว่านางจะขอร้องอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น บุรุษควรกระทำอะไรก็ยังกระทำสิ่งนั้นอยู่
ฉินเย่หานเหลือบตามองนาง เขาเห็นเพียงความแดงก่ำที่ปรากฏทั่วใบหน้า ใบหน้าจิ้มลิ้มขาวดุจเครื่องเคลือบของนางยังเปื้อนไปด้วยน้ำตา หาได้มีท่าทางองอาจห้าวหาญเหมือนยามที่อยู่บนท้องพระโรง
ยามอยู่บนท้องพระโรงก่อนหน้านี้เขายังเห็นนางพูดจาฉะฉาน ยามเห็นนางที่มีรอยยิ้มที่มีความมั่นใจ เขาก็อยากจะทำเช่นนี้แล้ว
“เราสอนเจ้าว่าอย่างไร” เขาหายใจเข้าลึกจรดลงบริเวณช่วงคอของนาง ทำให้ร่างของนางสั่นเทิ้ม
ซูหลีได้ยินเช่นนี้ทั้งร่างจึงสั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง นางถูกสายตาที่ลุ่มลึกของเขาทำให้ตกใจ และถูก…
นางไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ซูหลีเพียงต้องการหลุดพ้นออกจากเรื่องตื่นเต้นตรงหน้านี้ นางได้แต่ยอมรับความโชคร้าย นางร้องไห้แล้วเอ่ยว่า “นายท่าน… หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์ไม่เอาแล้ว!”
พอพูดจบก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ฉินเย่หานเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของสาวงาม ดวงตายิ่งดูลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม หาได้มีความคิดที่จะปล่อยนางไป
ซูหลีเพียงรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจ นางอยากจะส่งเสียงหยุดยั้งเขาไว้ ทว่าก็เป็นกังวลถึงคนที่อยู่ด้านนอก
นางเพียงหวังว่าความเคร่งครัดของหวงเผยซานผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องภายในและภายนอกจะสามารถขัดขวางคนด้านนอกเอาไว้ได้ อย่าให้พวกเขาเข้ามาภายใน!
……
ภายในห้องทรงอักษรเต็มไปด้วยความงามชดช้อย หวงเผยซานที่รออยู่ด้านนอก ที่ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มตลอดเวลา
สุดท้ายแล้วก็มีแต่ใต้เท้าซูที่ดึงดูดฝ่าบาทให้ชื่นชอบ ดูสิ หลังจากที่ฝ่าบาทได้ลิ้มลองรสชาติของสิ่งนี้เข้าไปแล้ว ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้จะเคยกระทำเรื่องเช่นนี้ภายในห้องทรงอักษรเสียที่ไหนกัน
เกรงว่าหากเขาเอ่ยขึ้นเรื่องนี้ คงจะถูกฉินเย่หานประหารชีวิต!
“หวงกงกง” ใบหน้าของหวงเผยซานเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ คล้ายกับเขาเป็นผู้ที่ค้นหาวสันตฤดูจนพบมิปาน ในขณะที่เขากำลังอารมณ์ดี พลันได้ยินเสียงเช่นนี้ดังขึ้น
หวงเผยซานชะงักไปทันที ทันทีที่แหงนศีรษะขึ้นก็พบกับสาวงามสะคราญ ในมือของนางถือกล่องอาหารสีแดงเอาไว้และหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“หวงกงกงรบกวนแล้ว” ป๋ายถานเดินเข้ามา จากนั้นถอนสายบัวให้แก่หวงเผยซานด้วยรอยยิ้ม ที่จริงแล้วหากอิงจากตำแหน่งของนางแล้ว นางไม่จำเป็นทำความเคารพผู้ดูแลภายในและภายนอกอย่างหวงเผยซาน
ในเวลาแรกหวงเผยซานก็รู้สึกตัวไม่ทัน หลังจากเขาจึงสะดุ้งตกใจอย่างรุนแรง จากนั้นเขาปลีกตัวออกมาและเอ่ยว่า “นี่เล่อผินเหนียงทรงกระทำสิ่งใดกัน บ่าวรับเอาไว้มิได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ป๋ายถายเห็นอากัปกิริยาของหวงเผยซาน นางเพียงฉีกยิ้มบางออกมา ทันทีที่นางแย้มยิ้มก็ราวกับดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งมิปาน จากภายในถึงภายนอกแผ่ซ่านกลิ่นอายของสตรีที่สง่างามออกมา
จะว่าไปแล้ว ป๋ายถานกับซูหลีมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงโดยแท้ คนที่อยู่ภายในนั้นหวงเผยซานเคยเห็นนางแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นสตรีแล้ว นั่นราวกับเป็นปีศาจสาว!
“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่หรือ” ทางด้านป๋ายถานกวาดตามองไปที่ประตูใหญ่ที่ปิดสนิท นางจึงฉีกยิ้มอย่างเขินอายครู่หนึ่ง
เดิมรอยยิ้มของนางนี้งดงามเป็นอย่างมาก ทว่าในสายตาของหวงเผยซานในเวลานี้ดูแล้วคล้ายโดนฟ้าฝ่าตอนกลางวันก็มิปาน
จบแล้ว จบแล้ว นี่จะเป็นเรื่องได้อย่างไร
ป๋ายถานเข้ามาอยู่ในวังหลวงนานมากแล้ว ทว่านางยังไม่เคยถูกฮ่องเต้โปรดปรานมาก่อน ก่อนหน้านี้นางเคยไปเข้าในห้องทรงอักษรครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นหวงเผยซานรายงานฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้จึงทรงอนุญาตให้ป๋ายถานเข้าไป
ทว่าเรื่องของการโปรดปราน ฮ่องเต้กลับทรงไม่ใส่พระทัยในตัวนางเลย
หวงเผยซานสามารถเข้าใจความร้อนใจของป๋ายถานดี อย่างไรก็กลายเป็นเหนียงเหนียงแล้ว ทว่ากลับยังบริสุทธิ์อยู่ หากพูดออกไปคงจะถูกคนหัวเยาะจนฟันร่วง
ทว่าเข้าใจก็ถือว่าเข้าใจ