ตอนที่ 659 เจ้าเดรัจฉาน!
ทว่ามีคนจำนวนไม่น้อยได้ยินแล้ว ถึงกับผงกศีรษะ
ใครใช้ให้ซูหลีมีเรื่องบาดหมางใจกับเฉิงเค่อมาก่อน ช่วงฉลองปีใหม่ปีก่อนซูหลียังนำคนสำนักเต๋อซั่นทะเลาะวิวาทกับพวกเฉิงเค่ออยู่เลย
ดังนั้นคนที่นางหามา จึงไม่อาจทำให้คนอื่นๆ เชื่อถือได้อย่างสมบูรณ์!
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ สายตาของทุกคนในท้องพระโรงจึงจับจ้องไปที่ใบหน้าของซูหลี พวกเขาอยากจะรู้ว่าในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ซูหลีจะสามารถมีวิธีอะไรจัดการกับเรื่องนี้ได้!
และในเวลานี้เอง กลับมีคนที่ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึง ลุกขึ้นยืนและก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นเอ่ยว่า
“ทูลฝ่าบาท!”
ฉินเย่หานชะงักเล็กน้อยแล้วมองไปที่คนผู้นั้นปราดหนึ่ง จากนั้นสายตาก็มีความแข็งกระด้างเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ผงกศีรษะเบาๆ
คนที่ลุกขึ้นยืนมิใช่ใครอื่น นั่นก็คือบิดาของลู่เหมียนเหมียน แม่ทัพลู่!
แม่ทัพลู่ถือเป็นคนไม่มีปากมีเสียงในท้องพระโรงมาโดยตลอด ราชวงศ์ต้าโจวในเวลานี้อยู่ภายใต้การบริหารของฉินเย่หาน ถือเป็นช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด จึงไม่มีสงครามอะไรนัก
เมื่ออยู่ในช่วงที่สงบสุข แม่ทัพฝ่ายบู๊จึงไม่ปริปากเอ่ยอะไรในท้องพระโรง อีกทั้งภายในแม่ทัพฝ่ายบู๊ แม่ทัพลู่ถือว่าเป็นคนที่นิ่งเงียบที่สุด
ฉินเย่หานครองราชย์สมบัติมาสองปีแล้ว แม่ทัพลู่ไม่เคยเป็นฝ่ายลุกขึ้นและเอ่ยอะไรออกมาเลยสักครั้ง
บัดนี้เขาเปิดปากพูดกะทันหันเช่นนี้ จึงเป็นที่สะดุดตาผู้อื่นอย่างยิ่ง
“พยานที่ใต้เท้าซูเอ่ยมานั้น มิใช่ใครอื่น คือบุตรีคนเล็กของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพลู่ที่มีใบหน้าแข็งกระด้าง ในเวลานี้มีความทะมึนตึง ดูเหมือนสีหน้าของเขาคล้ำไม่น่ามองเท่าไรนัก
ทว่าเขายืนตัวตรง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ทว่านอกจากนี้ยังมีความกรุ่นโกรธแฝงอยู่ ทำให้คนที่มองรู้สึกกลัวอย่างไม่เป็นสุข
แม่ทัพลู่เอ่ยคำพูดนี้เออกมา ทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึง
ไยสกุลลู่ถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
ตลอดหลายปีมานี้แม่ทัพลู่เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าคนที่มีหลักการล้วนทราบดีว่าเรื่องในกองทัพเขามีชื่อเสียง เขามีชีวิตการเป็นทหารมาครึ่งค่อนชีวิต เป็นคนที่มีวีรกรรมในการสู้รบเพื่อทั้งราชวงศ์ต้าโจว
นอกจากพวกที่คิดว่าตนเองเก่งกาจบางคนที่ดูถูกสกุลลู่ ทว่าคนในท้องพระโรงจำนวนมากล้วนไม่มีใครเป็นอริกับสกุลลู่
เดิมสกุลลู่เป็นนายทหาร จึงไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์อะไรกับขุนนายฝ่ายบุ๋น ผู้อื่นอยู่ว่างไม่ทำอะไร จะไปยุแหย่คนที่ทำสงครามมาตลอดหลายปีเพื่ออะไรกัน
“ใต้เท้าลู่ คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไรกัน” ในขณะที่ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ ผู้ที่ลุกขึ้นยืนเพื่อช่วยให้เฉิงเค่อหลุดพ้นจากโทษนี้กลับเอ่ยถามประโยคนี้ด้วยเสียงแผ่วเบา
“หมายความว่าอย่างไร!?” ทันทีที่คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น สีหน้าของแม่ทัพลู่ก็เปลี่ยนไปถนัดตา เขาหมุนกายกลับมาอย่างรวดเร็ว ชี้ไปที่เฉิงเค่อที่นั่งตัวสั่นอย่างอดไม่ไหวที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า
“เจ้าเดรัจฉานนี่บังอาจกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ยังจะกลัวว่าผู้อื่นจะพูดถึงเรื่องนี้หรือ เมื่อวานหากใต้เท้าซูไม่ผ่านไปทางนั้นพอดี และช่วยบุตรีคนเล็กของข้าเอาไว้ เกรงว่าสิ่งที่รอข้าที่จวนในเวลานี้คงจะเป็นศพร่างหนึ่ง! เจ้ายังจะถามข้าว่าหมายความว่าอย่างไรอีกหรือ!?”
ชีวิตของใต้เท้าลู่มีความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม แม้ใบหน้าของเขาจะไม่ถือว่ารูปงาม อีกนั้นยังมีความเย็นชาแข็งกระด้าง โดยเฉพาะดวงตาดุจพยัคฆ์ ยามที่จ้องมองผู้อื่นนั้นมีแต่จะทำให้หัวใจคนที่ถูกจ้องมองรู้สึกสั่นสะท้าน
คนที่พยายามพูดแก้ตัวให้แก่เฉิงเค่อ ก็เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เขาจะเคยเห็นคนที่มีท่าทางเช่นนี้เสียที่ไหน ทันทีที่แม่ทัพลู่เอ่ยขึ้น คนผู้นั้นก็อ้าปากค้าง ผ่านไปนานแล้วก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เขาคล้ายกับถูกสะกดด้วยท่าทางของแม่ทัพลู่ ทำให้ตกใจกลัวแล้ว!
“แม่ทัพลู่ บนท้องพระโรงโปรดระวังคำพูดด้วย!” เมื่อแม้แต่แม่ทัพลู่ก็ยังปริปากเอ่ยแล้ว เฉิงเหว่ยที่อยู่ด้านข้างก็ทนต่อไปไม่ไหว เขายืนอยู่อีกทางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงถากถาง
“เหอะ!” แม่ทัพลู่กลับหัวเราะเยาะเย้ยด้วยความโมโหแล้วเอ่ยว่า “เพราะข้าต้องคำนึงถึงท้องพระโรงถึงไม่ก่อความวุ่นวายมากกว่านี้ มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเดรัจฉานนี่จะสามารถมีชีวิตได้ถึงบัดนี้หรือ!?”
ตอนที่ 660 พยานบุคคล
ทักษะศิลปะการต่อสู้ของแม่ทัพลู่นั้นเก่งกาจมาก ยามที่เขาเปล่งเสียงพูดออกมา เสียงของเขาก้องอย่างยิ่ง เสมือนกับทั่วทั้งท้องพระโรงสั่นสะท้าน
ขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านั้นตลอดสองปีมานี้ เป็นเพราะการโอนอ่อนของขุนนางฝ่ายบู๊ จึงทำให้พวกเขามีกิริยาท่าทางไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทว่าทันทีที่ถูกแม่ทัพส่งเสียงไม่พอใจออกมาในเวลานี้ คนจำนวนมากถึงกับมีใบหน้าซีดเผือด ขาวซีดแล้วเขียวคล้ำ ช่างไม่น่ามองโดยแท้ อีกทั้งพวกเขานั้นพูดไม่ออกสักประโยค
โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ลุกขึ้นพูดล้างโทษให้กับเฉิงเค่อผู้นั้น สีหน้าดูไม่น่ามองมากที่สุด!
“ทูลฝ่าบาท!” แม่ทัพลู่ไม่พัวพันกับขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านั้นต่อ เขากุมมือทั้งสองและหันไปเอ่ยกับฉินเย่หานด้วยความเคารพ
“หากเฉิงเค่อไม่สิ้นมโนธรรมถึงขนาดนี้ กระหม่อมก็คงไม่คิดจะทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้น ทว่าทรงมีบางเรื่องที่ฝ่าบาททรงมิทราบพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ขอบตาของแม่ทัพลู่จึงแดงก่ำ แม่ทัพเก่าที่อยู่ในสนามนองเลือดท่านนี้ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล คนที่อยู่ท่ามกลางกองศพที่กลิ้งเกลื่อนตามพื้น จะมีท่าทางอ่อนแอเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน
หากไม่เพราะถูกคนรังแกซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่เป็นเช่นนี้
เรื่องนี้ในใจของฉินเย่หานเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ภายในใจของเหล่าขุนนางนั้นยิ่งเข้าใจมากกว่า
“ยามที่ใต้เท้าซูช่วยเหลือบุตรีคนเล็กของกระหม่อมในเวลานั้น ข้างกายเจ้าเดรัจฉานนี่ยังมีบุรุษอยู่อีกหลายคน!” เพียงแม่ทัพลู่หวนคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าทั้งร่างหนาวเหน็บ เขาแทบจะกระโจนเข้าไปสังหารเฉิงเค่อผู้นั้นเสียบัดนี้!
เขาไม่เอ่ยอะไรต่อ ถามคนที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนมิใช่คนเขลา
เดิมทีหลังจากแม่ทัพลู่เดินออกมาและเอ่ยเรื่องนี้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่ทุกคนก็เชื่อเรื่องนี้แล้ว แม้แม่ทัพลู่จะเป็นคนที่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ถึงกับขนาดใช้เรื่องเช่นนี้มาจัดการเฉิงเหว่ย
เขากับเฉิงเหว่ยไม่ได้คบค้าสมาคมกัน ถึงกับใช้เรื่องเช่นนี้ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของบุตรีของตนเสียหายไปเพื่ออะไรกัน
ทว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า เฉิงเค่อจะกล้าทำถึงขั้นนี้!
มีบุรุษหลายคนอยู่ข้างๆ เขา นั่นก็คือมีหลายคนที่พัวพันและต้องการข่มเหงลู่เหมียนเหมียนด้วยกัน! นี่มัน…
คนครอบครัวของขุนนางที่มีบุตรีนั้นมีจำนวนไม่น้อย พวกเขาย้อนทบทวนกับตัวเองว่า ถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับบุตรีของตนเอง เกรงว่า…เกรงว่าในเวลานี้ตนคงจะอยากสังหารเฉิงเค่อผู้นั้นเสีย ถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปได้!
มิน่าแม่ทัพลู่ถึงไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงของบุตรีของตนเอง จักต้องให้เฉิงเค่อชดใช้เรื่องนี้!
“ทูลฝ่าบาท” ซูหลีได้ยินแม่ทัพลู่เอ่ยเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง นางจึงก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “สหายที่ร่วมก่อเรื่องของเฉิงเค่อเหล่านั้นได้ถูกกระหม่อมกับจับตัวเอาไว้หมดแล้ว จะพูดก็ว่าแปลกนัก เป็นถึงคุณชายในสกุลขุนนางสูงศักดิ์อย่างศาลต้าหลี่ ทว่าคนที่คลุกคลีอยู่ด้วยนั้นกลับเป็นพวกไม่เอาไหน”
“คนเหล่านี้มีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก ล้วนเป็นพวกเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ไม่กระทำสิ่งใด หากฝ่าบาททรงต้องการไต่สวนคนเหล่านั้น กระหม่อมสามารถนำคนเหล่านี้มาได้ในเวลานี้!”
ซูหลีก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า ในยามปกติเห็นเฉิงเค่อที่มีท่าทางเอ้อระเหยไปวันๆ ไม่คิดว่าไม่ได้เจอกันหลายเดือน เฉิงเค่อจะเร่ร่อนเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้ได้!
“ใต้เท้าซู!” เรื่องดำเนินมาถึงบัดนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่เฉิงเหว่ยพูดเพียงคำสองคำก็สามารถปิดบังต่อไปได้
เนื่องจากฐานะของสกุลลู่ในเมืองหลวง อีกทั้งบัดนี้แนวโน้มที่ซูหลีจะได้หน้าต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ คนของเฉิงเหว่ยก็ไม่ใช่คนที่เลอะเทอะ ใครจะกล้าลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นศัตรูกับทั้งสองคนนี้กัน
เฉิงเหว่ยจึงจนปัญญา จึงต้องลุกขึ้นมาด้วยตนเอง
“ใต้เท้าเฉิงยังมีอะไรที่พูดได้อีกหรือ” ทว่าซูหลีกลับไม่เกรงกลัวเขา เมื่อเห็นเขาใช้สายตากรุ่นโกรธจ้องมองนาง ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอาฆาต นางเพียงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย
คล้ายกับไม่กลัวเฉิงเหว่ยเลยสักนิด
ความจริงแล้วนางก็ไม่กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้า…” เฉิงเหว่ยมองนางที่มีท่าทางเช่นนี้