ตอนที่ 607 หมิ่นราชสำนัก
หลังจากได้ยินคำพูดซูหลีแล้ว ใบหน้าขุนนางหลายคนก็แปลกไป
ไม่รู้ในสมองของซูหลีคิดอะไรอยู่ ถึงได้เล่าเรื่องการเดิมพันเอย เรื่องเอาชนะเอย มาเล่าให้ฮ่องเต้ฟัง ถึงขนาดที่เล่าเสียจริงจังยืดยาว
หรือต้องการที่จะให้ฮ่องเต้ทรงออกหน้าแทนเช่นนั้นหรือ?
แต่ไยไม่ดูล่ะว่านี่เป็นเรื่องอะไร เรื่องเช่นนี้ฝ่าบาทจะทรงออกหน้าแทนซูหลีได้อย่างไร!? แถมนี่…ก็ไม่ได้ล้อเล่นเสียด้วย!
ดังนั้น ภายในตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองซูหลีด้วยสายตาประหลาด บรรยากาศก็เย็นยะเยือกบอกไม่ถูก
ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ ซูหลีทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน
เซี่ยอวี่เสียนที่อยู่ด้านหลังซูหลีแววตาเป็นประกายวิบวับ เขาได้ยินมาว่าซูหลีเคยให้คนยก**บสิบกว่า**บไปหอสดับพิรุณในวันประกาศผลสอบ จากนั้นก็ป่าวประกาศต่อหน้าคนสำนักฉยงสือว่านี่เป็นเงินของพวกเขาที่ซูหลีชนะพนันมา
หรือว่าเงินที่ซูหลีถวายโอรสสวรรค์ในตอนนี้ก็คือเงินก้อนนั้น?
แต่ซูหลีสร้างเรื่องให้ใหญ่โตขนาดนี้ แถมยังถวายเงินให้ฮ่องเต้ตอนนี้ หรือแค่อยากยั่วโทสะคนที่แพ้พนันเพียงเท่านั้นหรือ?
หากเป็นคนอื่นคงจะทำเช่นนี้ไม่ได้แน่ แต่หากเป็นซูหลีละก็เป็นไปได้อย่างมากเลยทีเดียว
“เพราะกระหม่อมรู้สึกโมโหมากก็เลย…” พูดถึงตรงนี้ ซูหลีก็กระแอมเบาๆ ราวเขินอาย ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ จึงเอ่ย
“กระหม่อมเลยให้เด็กรับใช้ที่บ้านไปตามบ่อนต่างๆ วางเดิมพันข้างตนเอง ที่ละหมื่นตำลึง!”
พอเอ่ยจบทั่วบริเวณก็เงียบสงัด
ในใต้หล้านี้มีคนเช่นนี้ด้วยหรือ ที่รับรู้มาว่าเรื่องของตนเองถูกคนอื่นเอาไปลงพนันขันต่อ ฃไม่เพียงแต่ไม่โกรธแต่ยังออกเงินวางพนันข้างตนเองอีก
นี่…
ซูหลีเป็นคนอย่างไรกันแน่นะ!?
“เพราะตอนนั้นกระหม่อมโมโหไปหน่อย พอได้สติแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่เพราะไม่อาจออกจากสนามสอบได้ กระหม่อมก็จนใจ หลังจากประกาศรายชื่อแล้ว ที่บ่อนก็จ่ายเงินมาให้กระหม่อมเป็นจำนวนมาก”
“ซึ่งก็คือเงินที่กระหม่อมถวายให้แก่ฝ่าบาท” ซูหลีพูดถึงเรื่องนี้ ก็ส่งยิ้มให้ฉินเย่หาน แล้วจึงเอ่ยต่อ
“กระหม่อมรู้สึกว่า เงินพวกนี้ไม่ควรเก็บไว้ มิเช่นนั้นคงทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้สึกไม่สบายใจจริง”
…ซูหลียังรู้เรื่องนี้!
จะว่าไปแล้วนิสัยของซูหลีเป็นคนที่ใจกว้างจริงๆ ปล่อยให้คนดูถูกแล้วไปเอาเงินของคนที่เคยดูถูกตนมาเสียจนเกลี้ยง
ถ้ามองจากในมุมของซูหลี มันก็ช่างน่าสะใจเสียจริง!
คนเกือบทั้งเมืองที่เคยดูถูกเยาะเย้ยซูหลี ต่างก็โดนจัดการไปเรียบร้อยหมดแล้ว
แต่ว่า…
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า ในราชสำนักถกเถียงกันเรื่องการเมือง เป็นสถานที่ห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ ซูหลีนำตั๋วเงินขึ้นมาและยังพูดจาเลอะเทอะ ถือเป็นการหมิ่นราชสำนัก การกระทำเช่นนี้ไม่คู่ควรกับตำแหน่งถ้านฮวาจริงๆ!”
การกระทำคราวนี้ของซูหลีออกจะไร้มารยาทไปเสียหน่อยจริงๆ พอพูดจบก็มีคนโผล่ออกมากล่าวโทษในทันที
อีกทั้งยังกล่าวโทษด้วยข้อหาที่หนักเสียด้วย!
หมิ่นราชสำนัก!
ซูหลีเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่มีท่าทียอมรับหรือปฏิเสธ
“เงินพวกนี้ เจ้าจะถวายให้เราอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่หานทอดพระเนตรมองขุนนางกล่าวโทษซูหลี แล้วจึงทรงทอดพรเนตรมองซูหลี
“มิได้พะยะค่ะ!” คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะปฏิเสธออกมาในทันที
“…” ทุกคนตะลึงงัน
เช่นนั้นที่นางนำเงินพวกนี้ออกมาวางกองหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เพียงเพื่อให้ทอดพระเนตรเท่านั้นหรือ!?
ซูหลีออกจะใจกล้าเกินไปกระมัง!
คิดไม่ถึงว่า สีหน้าซูหลีจะเรียบเฉย รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป แล้วดูจริงจังขี้นขณะสาวเท้าเดินไปด้านหน้า
ตอนที่ 608 วิธีการรักษาโรคระบาด
“ไม่กี่วันมานี้ กระหม่อมได้ยินมาว่าเกิดโรคระบาดร้ายแรง” ยากจะเห็นซูหลีจริงจังเช่นนี้ แต่คำพูดที่เอื้อนเอ่ยนั้น เหมือนว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเงินพวกนั้นเท่าไรนัก
ฉินเย่หานมองซูหลีด้วยสายตาเคร่งขรึม
“ฮ่องเต้ ใต้เท้าทุกท่าน นับตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์มาก็มีเรื่องโรคระบาดเข้ามาก่อกวนตลอด และทุกคราก็ต้องมีคนล้มหายตายจากไปมาก” จู่ๆ ซูหลีก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าทุกคนก็ดูไม่ดีเท่าไรนัก
เพราะไม่รู้ว่าซูหลีกำลังมีแผนอะไรอยู่กันแน่ ขุนนางเหล่านั้นจึงมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ตามเหตุการณ์ที่ผ่านมา โรคระบาดจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี พอเข้าฤดูร้อนโรคระบาดก็จะระบาดไปทั่ว พอถึงตอนนั้นชาวบ้านจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ราษฎรจะตกทุกข์ได้ยาก ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมากขึ้น”
“ถ้านฮวาซูกล่าวเช่นนี้ หรือท่านมีวิธีแก้ปัญหาโรคระบาดนี้แล้ว?” ขุนนางด้านข้างทนฟังไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามออกมา
พวกเขารู้เรื่องพวกนี้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าโจวมาก็เกิดโรคระบาดอยู่บ่อยๆ ราชสำนักส่งคนไปเพื่อควบคุมการระบาดของโรคแต่กลับทำอะไรไม่ได้
ดังนั้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ทันทีที่มีคนติดโรคปรากฏขึ้น ก็ทำเอาองค์ฮ่องเต้ทรงปวดหัวไม่น้อย
ปีนี้ก็เช่นกัน
แต่มีคนมากมายไม่เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ต่อให้รวมคนเกินครึ่งราชสำนักก็จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ซูหลีพูดถึงขึ้นมาในเวลานี้หรือว่าจะมีวิธีรับมือหรืออย่างไร?
ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักก่อนเล็กน้อย จากนั้นก็ล้วงเอากระดาษออกจากแขนเสื้อยกสูงขึ้นและกล่าว
“ฮ่องเต้ กระหม่อมไร้ความสามารถ ในสองสามเดือนนี้ไม่ได้ออกไปไหน ทุ่มเทแรงกายแรงใจก็แล้ว แต่ก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะไม่อาจทำให้โรคหายไป แต่กระหม่อมเชื่อว่าขอแค่ใช้วิธีเหล่านี้ ก็จะสามารถควบคุมโรคระบาดคราวนี้ได้แน่!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ใบหน้าทุกคนก็พลันเปลี่ยนสีไป
ช่างโอหังเสียเหลือเกิน!
สามารถควบคุมโรคระบาดได้! หากทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ นับเป็นคุณงามความดีชิ้นใหญ่เรื่องหนึ่งทีเดียว!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก แค่ควบคุมโรคระบาดได้ ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้อีกนับไม่ถ้วน!
นี่เป็นเรื่องที่คนอื่นๆ ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ทว่าซูหลีไม่เพียงแต่กล้าคิด ยังลงมือทำอีกด้วย!
“ฮ่องเต้” หวงเผยซานเองก็รับรู้ความสำคัญของเรื่องนี้ดี ตั้งแต่เดือนก่อนหลังจากมีคนมาทูลรายงานเรื่องโรคระบาด พระองค์ก็ทรงประทับในห้องทรงพระอักษรนานขึ้นไปทุกที
สำหรับฮ่องเต้ทุกพระองค์แล้ว โรคระบาดที่เกิดขึ้นในทุกสองสามปี นับเป็นเรื่องหนักใจเรื่องหนึ่ง
หวงเผยซานรีบรับของจากมือซูหลี แล้วถวายเบื้องหน้าฉินเย่หาน
นั่นคือกระดาษหนาเป็นปึกที่เขียนด้วยลายมือขยุกขยิก ซึ่งรวมเอาวิธีการรักษาโรคระบาด และยาอีกสองขนาน! ขนานแรกซูหลีเขียนกำกับไว้ว่า ‘ยาป้องกัน’ ซึ่งคือยาที่เตรียมแจกจ่ายไปในพื้นที่ที่มีโรคระบาดเกิดขึ้นจำนวนมาก
นางกำกับไว้อย่างชัดเจน ก่อนที่โรคจะระบาดหนักต้องปรุงยานี้ขึ้นมา แจกจ่ายทุกครัวเรือน ก็จะสามารถควบคุมโรค
ส่วนอีกขนานหนึ่งขนานหนึ่งเป็นเทียบยาที่ใช้รักษาโรคระบาด หลายปีมานี้โรคระบาดเกิดขึ้นหลายครั้งคราว แค่ในสำนักหมอหลวงก็คิดค้นยาที่ใช้รักษาโรคระบาดได้ตั้งหลายขนานแล้ว
แต่ยาพวกนี้เห็นผลช้ามาก แม้จะสามารถรักษาให้หายขาด แต่โรคระบาดนั้นรุนแรง ทำให้คนมากมายไม่สามารถรอยาออกฤทธิ์ก็จากโลกนี้ไปเสียแล้ว
นี่จุดที่โรคระบาดทำให้ปวดหัวอย่างแท้จริง
แต่เทียบยาของซูหลี นางตั้งใจใช้สีชาดเขียนกำกับไว้สั้นๆ ว่า เห็นผลเร็วสุด
ฉินเย่หานดึงสายตากลับมา หลังจากที่มองครู่หนึ่ง แววตาที่อ่านไม่ออกคู่นั้นวูบไหว ทำให้คนอื่นอ่านอามรณ์เขาไม่ออก
“ส่วนเรื่องเงิน กระหม่อมไม่ได้ถวายให้ฝ่าบาท! แต่ให้พวกผู้ประสบภัยต่างหาก”