ตอนที่ 605 กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล
แต่เป็นซูหลีเสียอีกที่เกิดความสับสน
นางนึกว่า ฮ่องเต้ผู้ใจแคบคนนี้จะไม่ยอมให้นางสอบผ่าน คิดไม่ถึงว่าจะให้ตำแหน่งสุดท้ายแก่นาง
ตำแหน่งสุดท้ายก็ตำแหน่งสุดท้าย แต่นั่นก็เป็นตำแหน่งถ้านฮวาเชียวนะ! ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่
“คุณชายซูอาจไม่ทราบว่า ธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์โจวแต่ไหนแต่ไรมา มักจะมอบตำแหน่ง ถ้านฮวาให้กับคนที่หน้าตาดีที่สุด” ในขณะที่ซูหลีกำลังเดินตามพวกเซี่ยอวี่เสียนไปตำหนักที่ประทับ ก็ได้ยินเสียงของหวงเผยซานที่อยู่ข้างกายนางพูดเสียงต่ำ
ซูหลีชะงักนิ่งไป
ดังนั้น เป็นเพราะว่านางเกิดมาหน้าตาดี ก็เลยได้รับตำแหน่งถ้านฮวาหรือ?
หรือเป็นเพราะนางมีความสามารถที่โดดเด่น แต่เพราะหน้าตาดีเกินไป ก็เลยได้เป็นถ้านฮวา?
ซูหลีกัดริมฝีปาก เงยหน้ามองเซี่ยอวี่เสียนอย่างอดไม่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว คนผู้นี้ก็ไม่ได้แย่กระมัง!
“… เทียบกันแล้ว คุณชายซูดูสง่างามกว่า เหมาะสมกับตำแหน่งถ้านฮวา” หวงเผยซานเองย่อมเข้าใจเจตนาของซูหลี เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย
ซูหลีถึงกับพูดไม่ออก…
นี่เป็นการพูดอ้อมๆ ว่านางเหมาะกับตำแหน่งถ้านฮวามากกว่าสินะ เพราะเกิดมาหน้าตาดี ไม่สิ เพราะเกิดเป็นคนสวยไปหน่อยเลยกลายเป็นความผิดของนางละสิ
นางเม้มปากไม่พูดไม่จา
หวงเผยซานเห็นเช่นนั้นก็ไม่อธิบายอะไรอีก
จริงๆ แล้ววันนี้ทุกคนก็เห็นประจักษ์แจ้งแก่ตาตน พวกซูหลีถือเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในการสอบคราวนี้แล้ว เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าลำดับจะออกมาเป็นเช่นนี้
โดยเฉพาะผู้ที่ลำดับสามอย่างซูหลี…
แต่ว่าราชวงศ์โจวมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นที่หวงเผยซานเล่ามาจริงๆ
ตั้งแต่มีการสอบเคอจวี่มาจนถึงคราวนี้ สามคนที่สอบได้คะแนนดีในการสอบรอบก่อนๆ ล้วนแต่มีใบหน้าที่…ออกจะซับซ้อนไปสักหน่อย ต้องให้เลือกคนที่หน้าตาไม่ได้แย่ในคนหน้าตาแย่เพื่อรับตำแหน่งถ้านฮวา ย่อมไม่สะดุดตามากนัก
จนถึงรอบพวกซูหลีคราวนี้ ใบหน้าซูหลีออกจะไร้ที่ติจริงๆ
ทั่วทั้งแผ่นดินก็คงไม่มีนางคนที่สองอีก ใบหน้าที่หมดจดเช่นนี้ให้รับตำแหน่งถ้านฮวา แสดงให้เห็นว่าธรรมเนียมปฏิบัตินี้ยังคงอยู่!
ซูหลีรู้สึกประหลาดใจกับเหตุผลของหวงเผยซานอย่างมาก เดินตามหลังเซี่ยอวี่เสียนงงๆ ค้อมกายทำความเคารพอย่างงุนงง เหมือนกำลังเดินละเมออยู่
“ถ้านฮวาซู?” จนมีเสียงดังลอยเข้าหูมา ซูหลีถึงได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
นางเหลือบตามองก็พบว่าทุกคนในตำหนักกำลังมองนางอยู่
ย่อมรวมไปถึงฉินเย่หานที่นั่งอยู่ด้านบนด้วย
“ฮ่องเต้ทรงเรียกเจ้า!” หวงเผยซานเรียกเตือนสติเสียงเบาๆ
ซูหลีไม่อาจเหม่อลอยได้อีกลนลานเอ่ย “ข้าน้อ…กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ตอนนี้นางเป็นถึงขุนนางระดับหนึ่งขั้นสาม มีรายชื่อในการสอบเคอจวี่ จึงถือเป็นขุนนาง ไม่ต้องใช้คำว่า ‘ข้าน้อย’ อีกต่อไป
“เรื่องการจัดอันดับขุนนางระดับหนึ่งเจ้ามีข้อโต้แย้งอะไรหรือไม่?” แววตาเย็นชาของฉินเย่หานจ้องนาง ทำให้ซูหลีใจสั่น
นางรีบร้อนเอ่ย “กระหม่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ”
หลังจากที่ได้รับตำแหน่งแล้ว จำเป็นต้องถามความเห็นของพวกเขาก่อน
ขอแค่ไม่ใช่คนที่สติฟั่นเฟือน ก็คงไม่มีใครออกมาโต้แย้งกับฮ่องเต้
ยิ่งไปกว่านั้นพอเปรียบกับสิ่งที่ซูหลีคิดเมื่อครู่ ตำแหน่งถ้านฮวา ถือว่าดีมากๆ แล้ว
เพียงแต่ว่าซูหลีตกใจกับคำว่าเกิดมาหน้าตาดีของหวงเผยซาน ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าฮ่องเต้ทรงให้ตำแหน่งนี้เพื่อกลั่นแกล้งนาง…
เกิดมาหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ…
ซูหลีเม้มปาก
“แต่กระหม่อมมีเรื่องอยากกราบทูล” หลังจากนางเอ่ย ฉินเย่หานก็พยักหน้า เดิมทรงจะให้พวกเขากลับไปได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะลุกขึ้นยืน และไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงได้เปิดปากพูดอีกครั้ง
“เรื่องอะไร?” ฉินเย่หานมองนางด้วยสายพระเนตรเย็นชา
กระทั่งเหล่าขุนนางในพระตำหนัก รวมถึงพวกเซี่ยอวี่เสียนก็มองนางอย่างเผลอไผล
ตอนที่ 606 ถวายเงินให้แก่ฮ่องเต้
ในเวลานี้ซูหลีจะยังมีอะไรอยากพูดอีก หรือต้องการจะติติงการจัดลำดับในวันนี้หรือไร?
ถึงแม้ถ้านฮวาจะไม่ใช่จอหงวน แต่ก็ควรจะพอใจสิ!
สายตาเซี่ยอวี่เสียนที่มองซูหลีฉายแววกังวล
ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย จู่ๆ ซูหลีก็ก้าวออกมาหน้าเซี่ยอวี่เสียน
เสียงดังเซ็งแซ่ดังขึ้นภายในพระตำหนัก
บรรดาขุนนางที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ประเด็นหลักก็คือท่าทางของซูหลี ทำให้คนคิดเลยเถิดได้ง่าย
โดยเฉพาะหลังจากที่ฮ่องเต้เพิ่งทรงตรัสถามว่าไม่เห็นด้วยหรือไม่!
“กราบทูลฝ่าบาท” ซูหลีพูดพลางล้วงมือเข้าไปหยิบสิ่งของกองหนึ่งออกมา
“เอาขึ้นมา” ฉินเย่หานใบหน้าเรียบเฉย หวงเผยซานรีบเดินลงมารับของจากมือของซูหลี
พอเขารับของมา หวงเผยซานก็รู้สึกอึ้งไป
“นี่คือ…” เขามองซูหลีอย่างอดไม่ได้ หรือว่าซูหลีจะหยิบของออกมาผิด?
คิดไม่ถึงเลยว่า ซูหลีจะมองเขา ก่อนจะพยักหน้าให้เขาอย่างมั่นอกมั่นใจ
หวงเผยซานเองก็ไม่เข้าใจว่าซูหลีคิดจะทำอะไร นิ่งไปชั่วครู่แต่ก็นำของชิ้นนั้นทูลถวายขึ้นไป
“ฝ่าบาท” หวงเผยซานวางของที่ได้จากซูหลีตรงหน้าฉินเย่หานด้วยสีหน้าพิกล
เพราะว่า…
ของที่ซูหลีให้มา ไม่ใช่อะไร แต่เป็น…เป็นตั๋วเงินที่ยังดูใหม่อยู่มาก
ใช่แล้ว มันคือตั๋วเงิน!
หวงเผยซานอยู่ข้างกายฉินเย่หานมาหลายปี แต่ยังไม่เคยเห็นว่ามีขุนนางคนใดหรือข้ารับใช้คนใดถวายเงินให้ฝ่าบาทมาก่อน
ซูหลี….เป็นคนแรกของราชวงศ์ต้าโจวที่ทำเรื่องเช่นนี้
แค่เรื่องที่นางควักตั๋วเงินปึกใหญ่ออกมา ก็ทำให้หวงเผยซานตกใจอย่างยิ่งแล้ว
“นี่หมายความเช่นไร?” ฉินเย่หานเห็นกองเงินเช่นกันจึงทรงเหลือบสายพระเนตรมองซูหลี
“ฝ่าบาทอาจทรงไม่ทราบ” พูดถึงออกมาแล้ว ซูหลีหัวเราะเขินๆ นางเกาศีรษะตนเองด้วยท่าทีที่เขินอาย
แต่ซูหลีไม่ได้รู้เลยว่า นางไม่เหมาะกับสีหน้าท่าทางเช่นนี้จริงๆ แม้แต่หวงเผยซานที่เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง มุมปากเขาก็กระตุกเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“หลายเดือนก่อนนี้ เพื่อเอาชนะบุตรชายคนโตของท่านราชครูป๋าย ป๋ายเฮ่อ จึงได้วางเดิมพันกัน สิ่งที่พนันก็คือ ข้าจะสามารถสอบเคอจวี่ได้หรือไม่”
ซูหลีก็กล้าจะกราบทูลเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้เสียด้วย คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกว่านางเป็นคนปกติได้ไม่นานนักก็กลับมาเสียสติอีก
“เรื่องการสอบเข้าเคอจวี่ เดิมไม่ควรเอามาลงพนันขันต่อ แต่กระหม่อมยอมไม่ได้จริงๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสวรรค์และฮ่องเต้จะทรงเมตตา ให้กระหม่อมเป็นขุนนางระดับหนึ่งในสามลำดับแรก กระหม่อมซาบซึ้งใจอย่างมาก”
ดังนั้น…ก็เลยถวายเงินให้แก่ฮ่องเต้?
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย คนอื่นได้ยินคำพูดของนาง ก็เกร็งกระตุกกันไปอย่างอดไม่ได้
“หลายวันก่อนนี้ซึ่งก็คือก่อนการสอบฤดูใบไม้ผลิ บ่อนหลายแห่งในเมืองหลวงได้เปิดวงพนันว่าระหว่างกระหม่อมและคุณชายป๋าย ใครจะเป็นฝ่ายชนะพนัน เดิมทีกระหม่อมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับการพนันคราวนี้มากนัก” ซูหลีลูบจมูกตนเองและปัดเรื่องให้พ้นตัว
“แต่เพราะการพนันนี้เกี่ยวกับคุณชายป๋าย ข้าเองก็ประหลาดใจอย่างยิ่งจึงให้คนไปหาข่าวมาคิดไม่ถึงว่าทันทีที่หาข่าวกลับได้ยินมาว่า…” พอพูดถึงตรงนี้ ใบกน้านางก็ฉายแววกราดเกรี้ยว
“ได้ยินมาว่าในบ่อนทั่วเมืองหลวงทุกคนพนันกันว่าคุณชายป๋ายจะชนะ กระหม่อมไม่ยอมรับผลเช่นนี้! กระหม่อมรู้สึกว่าคนพวกนี้ดูถูกกระหม่อม รู้สึกว่ากระหม่อมจะสอบไม่ได้ถึงได้ลงพนันข้างคุณชายป๋ายกันหมด”