เย่ว์ลั่วเกิดความประหลาดใจอยู่บ้าง กระทั่งเสียงพูดก็ยังขึ้นเสียงสูงอย่างอดไม่อยู่
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาและเอ่ยว่า “สนุกใช่หรือไม่”
เยว์ลั่วผงกศีรษะติดต่อกัน
“เหล่าช่างที่ทำต้องทดลองหลายครั้ง ถึงจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ ซูหลี จากที่ข้าเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ ของชิ้นนี้นับว่าเป็นของเจ้า” ขณะที่พูดใบหน้าฉินมู่ปิงก็มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ด้วย
รอยยิ้มนี้แตกต่างกับรอยยิ้มที่ไม่จริงจังในยามปกติของเขา แสดงว่าเขารู้สึกดีใจจริงๆ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณซื่อจื่อเป็นอย่างมาก” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงหยุดชะงักเล็กน้อย และผงกศีรษะรับคำ
“คนที่ขอบคุณควรต้องเป็นข้าต่างหาก” ฉินมู่ปิงชายตาขึ้นมองนาง สีหน้าของเขานั้นมีความจริงจังมากกว่ายามปกติอย่างบอกไม่ถูก
ฉินมู่ปิงในท่าทางเช่นนี้ กลับทำให้ซูหลีรู้สึกไม่คุ้นเคย
แทบจะเปลี่ยนไปจนคล้ายกับเป็นอีกคนก็มิปาน
ซูหลีผงะอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอาการออกมาและเอ่ยว่า “นี่ช่างสะดวกต่อขาทั้งสองของข้าจริงๆ บัดนี้อยากไปที่ใด ก็ไม่ต้องมีคนเดินตามแล้ว”
ฉินมู่ปิงยิ้มแต่ไม่เอ่ยอะไร เขามองซูหลีด้วยแววตาลุ่มลึก ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมา
……
ซูหลีกับเย่ว์ลั่วเดินออกจากจวนของฉินมู่ปิง ซึ่งนางยังนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตัวนั้นอยู่ เย่ว์ลั่วจึงค่อยๆเข็นนางไป
เมื่อล้อกดทับหิมะบนพื้น จึงทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น
“เย่ว์ลั่ว” ซูหลีที่เงียบมาโดยตลอด พลันเปิดปากพูดขึ้น
“นายน้อยมีอะไรเจ้าคะ” เย่ว์ลั่วเอ่ยถามด้วยเสียงเบา
“ไปเรือนขาว นำป้ายผ่านเข้าวังที่ฝ่าบาทเคยประทานให้ออกมา พวกเราจะเข้าวังกัน” สีหน้าของซูหลีเรียบเฉย ทว่ากลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงชะงักวูบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ซูหลียังดื้อรั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าวังหลวง หวงเผยซานไปเชื้อเชิญด้วยตนเองหลายต่อหลายครา ก็ไม่สามารถเชิญนางมาได้
ไยบัดนี้ไปเจอฉินมู่ปิงคราหนึ่ง ก็ร้องขอเข้าวังหลวงด้วยตนเองแล้ว
ทว่าคำพูดเหล่านี้เย่ว์ลั่วก็ถามซูหลีออกมาได้ยาก นางได้ยินดังนั้นจึงเพียงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าค่ะ”
นางเข็นซูหลีมาจนถึงด้านนอกของเรือนขาว จากนั้นเดินขึ้นไปภายในเพื่อหยิบป้ายออกมา เพียงแค่ครู่เดียวเมื่อนางย้อนกลับมา ก็หยิบพรมคลุมขนสัตว์คลุมลงบนขาให้กับซูหลี
“เจ้านี่คิดอย่างรอบคอบจริงๆ” ซูหลีก้มศีรษะมองไปพรมขนสัตว์สีขาวปราดหนึ่ง และฉีกยิ้มบางๆ
“ไป๋ฉินบอกว่าจะรออยู่ในห้อง เช่นนั้นบ่าวจะไปเป็นเพื่อนท่าน” เย่ว์ลั่วเพียงฉีกยิ้มบางออกมาครู่หนึ่ง และไม่เอ่ยอะไรให้มากความ
“อืม” ซูหลีผงกศีรษะเบาๆ นางไม่ถามอะไรต่อ
ตั้งแต่ที่เรือนขาวถูกคนมารื้อค้นจนหมด ไป๋ฉินจึงเริ่มเกิดความระแวง เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ซูหลีไม่อยากให้ยามที่ตนเองไม่อยู่ ภายในกลับมีสิ่งของหายไปอย่างพิลึกอีก!
เย่ว์ลั่วเห็นดังนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรอีก นางเข็นซูหลีไปทางวังหลวง
ที่จริงพวกนางนั้นทราบอย่างชัดเจนว่าขาของซูหลีแทบจะหายดีแล้ว ทว่าทำไมนางถึงยังนั่งบนของเล่นนี้เข้าไปในวังอีก…เย่ว์ลั่วครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทว่านางก็ไม่ถามอะไร เพียงทำตามคำสั่งของซูหลี เข็นนางเข้าไปในวังหลวง
ในวันที่มีหิมะตกปกคลุมไปทั่วผืนดิน ซูหลีสวมเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิง ซึ่งรับกับใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือและกอปรกับท่าทางเช่นนี้ ทำให้ตลอดทางที่เดินมาถูกคนจำนวนไม่น้อยจับตาดู
นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมาตลอด อีกทั้งยังยกมือขวาขึ้นเท้าคาง มองไปด้านหน้าอย่างเกียจคร้าน
สิ่งของที่ร่างกายส่วนล่างนางนั่งอยู่นั้นเป็นของที่แปลกประหลาดมากจริงๆ กอปรกับท่าทางอ่อนเพลียเมื่อยล้าและความสวยหยาดเยิ้ม ยังไม่ทันเดินถึงห้องทรงอักษรก็ทำให้คลื่นลมกระพือพัดไปทั่วทั้งวังหลวงเสียแล้ว!
ทว่าเรื่องที่ซูหลีนั่งเก้าอี้ประหลาดเข้ามาในวังหลวงนั้น ในชั่วพริบตาเดียวก็คล้ายกับมีปีกที่บินเข้าไปในหูของคนจำนวนไม่น้อย