การไปมาหาสู่เช่นนี้ผ่านไปเรื่อยๆ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนใกล้ถึงช่วงการสอบครั้งใหญ่ของสำนักเต๋อซั่น ซูหลีกลับได้รับข่าวจากฉินมู่ปิงว่า เก้าอี้รถเข็นสร้างออกมาแล้ว
ซูหลีได้ยินดังนั้นกลับเดินทางไปหาฉินมู่ปิงด้วยตนเอง
ที่จริงแล้วบาดแผลที่ขาของนางนั้นไม่รุนแรงขนาดนั้น หลังจากหกล้มไปไม่กี่วัน นางก็สามารถเดินเหินได้อย่างเป็นอิสระแล้ว ทว่าของสิ่งนี้ในที่นี้ก็ถือว่าเป็น ‘ลิขสิทธิ์การออกแบบ’ ของนาง นางเดินทางไปดูก็ถือเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว
“คุณชายซูมาแล้ว เชิญเข้ามาเถิดขอรับ” หลังจากเรื่องของเก้าอี้รถเข็นนี้ แม้แต่จู๋ซย่า ซึ่งเป็นเด็กรับใช้ข้างกายของฉินมู่ปิงก็ยังปฏิบัติต่อซูหลีอย่างเกรงใจกว่าเดิมไม่น้อย
ซูหลีผงกศีรษะเล็กน้อย นางถูกเย่ว์ลั่วที่อยู่ด้านข้างค่อยๆ ประคองไป นางเดินกระโผลกกระเผลกไปจนถึงห้องของฉินมู่ปิง
แม้ขาของนางจะหายดีแล้ว ทว่าอะไรที่ควรจะแสร้งทำก็ต้องแสร้งทำ อย่างไรฉินมู่ปิงก็รับปากนางแล้วว่า หลังจากสร้างของสิ่งนี้ออกมาได้ จะมอบให้นางชิ้นหนึ่งก่อน!
“ซูหลี รีบมาเร็วเข้า เจ้าดูนี่สิ” ทันทีที่นางเข้าไปในห้อง ฉินมู่ปิงก็เรียกนางดูของสิ่งนี้
เมื่อนำนางเดินเข้าไปในห้อง เขาก็ใช้มือดึงผ้าสีแดงออก เผยให้เห็นสิ่งของที่ถูกปกคลุมอยู่ด้านใน
เมื่อซูหลีเห็นของสิ่งนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
ไม่ต้องพูดว่าสติปัญญาของคนโบราณนั้นไม่มีที่สิ้นสุดโดยแท้ นางเพียงเสนอกระดาษภาพให้เท่านั้น ก็สามารถสร้างออกมาได้เหมือนลักษณะเดิมเช่นเดียวกับในภาพ!
เก้าอี้รถเข็นตรงหน้ามีความคล้ายคลึงกับเก้าอี้รถเข็นที่ทางบ้านของซูหลีในยุคปัจจุบันผลิตเจ็ดถึงแปดส่วน เพียงแต่เป็นเพราะล้อของเก้าอี้ตัวนี้ทำขึ้นจากไม้ จึงดูโบราณและเรียบง่าย
แต่ถึงอย่างไรเหล่าช่างฝีมือนั้นก็มีแนวคิดที่ดีเลิศ เก้าอี้ไม้ตัวนี้ทำจากไม้แดง อีกทั้งบนเนื้อไม้ยังวาดลวดลายดอกไม้ ดูแล้วเป็นงานที่ประณีตเป็นอย่างมาก เปรียบเทียบกับเก้าอี้รถเข็นในยุคปัจจุบันแล้วกลับมีความน่าสนใจไปอีกแบบหนึ่ง
“ไม่เลว” ซูหลีร้องอุทานออกมาจากใจจริง!
“เพราะว่าวัสดุที่เจ้าเขียนไว้ด้านบนล้วนเป็นของที่มีน้ำหนัก ช่างไม้จึงไม่กล้าแกะสลักรูปดอกไม้ จึงวาดลวดลายดอกไม้แทน ดูแล้วก็จึงกลายเป็นเช่นนี้” ความสนใจของฉินมู่ปิงมีมากอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงเรื่องเก้าอี้รถเข็นตัวนี้กับซูหลี
“ซื่อจื่อมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ของสิ่งนี้สมบูรณ์แบบกว่าภาพวาดห่วยๆ ของข้าอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่านั่งลงแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง” ซูหลีชำเลืองมองฉีกยิ้มบางๆ ออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา
“ก่อนนำมาส่ง เด็กรับใช้ได้ลองใช้ดูแล้ว เจ้าจะลองด้วยตนเองหรือไม่” คำพูดประโยคนี้ของฉินมู่ปิง เผยให้ทราบถึงความตั้งใจของช่างไม้ที่ใช้เวลามากมายขนาดนี้ในการสร้างเก้าอี้รถเข็นขึ้นมา
ซูหลีเพียงมอบกระดาษภาพวาดนี้ให้ หากจะสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมา ก็ถือว่าใช้กำลังไปไม่น้อยอย่างแท้จริง
ระหว่างการทำต้องใช้ความคิดมากถึงเพียงใด เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกซูหลี
“เย่ว์ลั่ว ประคองข้านั่งลงและไปลองใช้ดูเสียหน่อย” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ จากนั้นสั่งให้เย่ว์ลั่วประคองนางนั่งลงบนเก้าอี้รถเข็น
แผ่นรองนั่งบนเก้าอี้นั้นทำจากหนังกวางที่นุ่มที่สุด เมื่อนั่งลงจึงรู้สึกสบายมากซูหลียิ้มออกมา จากนั้นเหลือบตามองเย่ว์ลั่วและเอ่ยว่า
“ลองผลักดูสิ”
เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง ของสิ่งนี้นางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ใช้งานอย่างไรนางยังไม่ทราบอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ต้องให้ฉินมู่ปิงที่อยู่ด้านข้างชี้สอนนางอยู่ครู่หนึ่ง นางถึงได้หาที่จับด้านบนเจอและลองออกแรงผลักซูหลี
แอ๊ด ล้อเกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
“เอ๋!” เย่ว์ลั่วร้องอุทานออกมาจากอดไม่ได้ ใบหน้ามีความประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอย่างไรบ้าง” ซูหลีถามด้วยรอยยิ้ม
“ยามผลักกลับไม่ได้ใช้แรงเยอะเจ้าค่ะ!” เดิมเย่ว์ลั่วคิดว่า คนตัวโตอย่างซูหลีนั่งรถบนเก้าอี้ตัวนี้ ยามที่ผลักคงต้องใช้แรงมากอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากขนาดนั้น
ในทางกลับกันกลับสามารถผลักซูหลีไปด้านหน้าได้อย่างสบายๆ
“นายน้อย ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนักเจ้าค่ะ!”