เพียงแต่…
ตอนนี้ยังดี ทว่าอย่างไรซูหลีก็ไม่สามารถเป็น ‘บุรุษ’ ได้ตลอดชีวิตกระมัง อย่างไรนางก็เป็นสตรีผู้หนึ่งอย่างแท้จริง!
เย่ว์ลั่วมองซูหลีอยู่นาน ทว่าเมื่อเห็นความชัดเจนเป็นอย่างมากในดวงตาของนาง รวมถึงอากัปกิริยาที่นิ่งสุขุมนี้แล้ว ชั่วพริบตานี้นางกลับพูดอะไรไม่ออก ซูหลีจักต้องมีเหตุผลของตนอย่างแน่นอน
“ไป๋ฉิน ข่าวนี้ประกาศออกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นทุกจวนตัวก็ต้องให้คนไปส่งของกำนัลให้แก่เล่อผินใช่หรือไม่” หลังจากซูหลีชะงักไปเล็กน้อย นางก็จ้องมองที่ไป๋ฉิน
“ใช่เจ้าค่ะ” ไป๋ฉินขานตอบ “บ่าวก็ได้ยินจากเด็กรับใช้ข้างกายของคุณชายคนอื่นๆ ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้จึงทำให้บังเอิญรับรู้ด้วย”
“อืม” ซูหลีผงกศีรษะ ปิดปากเงียบไม่พูดออกมาสักคำ นางชะงักไปครู่หนึ่งและพลันเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราไม่จำเป็นต้องส่งของขวัญไป”
“เอ๋?” ไป๋ฉินไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ซูหลีบอกหมายความว่าเช่นไร
“ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงเฉลิมพระชนม์ของไทเฮาข้าก็ผูกความอาฆาตเอาไว้แล้ว ในเวลานี้นางถูกแต่งตั้งเป็นตำแหน่งผินแล้ว หากพวกเราเข้าไปสมทบ เกรงว่าไม่มีประโยชน์อันใด” ซูหลีเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา อีกทั้งยังมีเหตุผลสำคัญที่นางไม่ได้เอ่ยออกมา นั่นก็คือนางไม่คิดจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับป๋ายถาน
เป้าหมายของนางคือเป็นขุนนางผู้บริสุทธิ์ บนหน้าประวัติศาสตร์ มีขุนนางผู้บริสุทธิ์คนไหนรับผลประโยชน์จากพระสนมกัน?
นางก็ไม่ใช่พี่ชายหรือบิดาของป๋ายถาน ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่จำเป็นเลยสักนิด
มิหนำซ้ำนางยังไม่ชื่นชอบป๋ายถานมาตั้งแต่แรก สตรีที่ทั้งเมืองหลวงล่ำลือว่าเป็นผู้มีความสามารถอันดับหนึ่ง ไม่ได้บริสุทธิ์ไร้พิษสงอย่างที่เขาล่ำลือกันขนาดนั้น โชคดีที่ชาติก่อนนางเคยเห็นหลายต่อหลายคราแล้ว
ในชาตินี้…
ไม่จำเป็นต้องคบค้าสมาคมกับนาง
“…เจ้าค่ะ” ไป๋ฉินชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังขานรับ สุดท้ายในใจของซูหลีก็ตัดสินใจเรื่องเหล่านี้เอาไว้แล้ว
……
หลังจากงานชมดอกเหมย ผ่านไปครู่หนึ่งเมืองหลวงก็เข้าสู่ช่วงเหมันตฤดู หิมะตกติดต่อกันอยู่นานและอากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อซูหลีไม่มีเรื่องอะไรต้องไปจัดการ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงไม่ออกไปภายนอกอีกเลย
ไม่ผิด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และไม่รู้ว่าฉินเย่หานเป็นอะไร ทั้งที่เพิ่งจะแต่งตั้งเล่อผินเหนียงเหนียงกลับไม่ไปหาป๋ายถานในตำหนัก เขากลับส่งหวงเผยซานมาเรียกซูหลีอยู่หลายครา
เพราะใกล้ถึงสิ้นปี ในราชสำนักย่อมมีเรื่องที่ต้องสะสางจำนวนมาก เขาจึงไม่มีเวลาเดินทางมาหาซูหลี ทว่าทุกครั้งที่หวงเผยซานมาที่นี่ ก็ถูกซูหลีตบตาทุกครา
ถ้าไม่ใช่เรื่องป่วยก็มีเรื่องยุ่ง
หวงเผยซานมาที่นี่ติดต่อกันหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่หน้าของนางก็ไม่ให้เจอได้ง่ายๆ ถูกปฏิเสธให้เข้าไปในจวนหลายต่อหลายครา ฉินเย่หานจึงไม่ให้หวงเผยซานมาที่นี่อีก
เมื่อเห็นว่าหวงเผยซานไม่มาที่นี่อีก ไป๋ฉินเริ่มรู้สึกร้อนใจ เดิมนางเห็นฉินเย่หานสั่งให้หวงเผยซานมาเรียกซูหลีเข้าไปในวัง นางก็รู้สึกว่าภายในพระทัยของฮ่องเต้ทรงมีซูหลีอยู่
คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะปฏิเสธอยู่หลายครั้งหลายครา
แม้แต่นางเห็นแล้วยังรู้สึกโมโห นับประสาอะไรกับฮ่องเต้
รอจนหวงเผยซานไม่มาที่นี่อีกแล้ว ไป๋ฉินจึงร้อนใจจริงๆ นางกลัวว่าฮ่องเต้จะรังเกียจซูหลีเพราะเรื่องนี้
นางนำคำพูดนี้เอ่ยกับซูหลี ก็ถูกซูหลีหัวเราะเยาะ
“อย่าลืมว่านายน้อยของพวกเจ้าจะสอบเพื่อเข้าสู่หนทางการเป็นขุนนาง ไยเจ้าถึงคิดเสียเหมือนว่าข้าเป็นสนมที่ไม่เคยถูกฮ่องเต้เรียกไปปรนนิบัติ และรอคอยความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่ก็มิปาน”
ไป๋ฉินฟังคำพูดของนางจนหมดคำจะพูดแล้ว ทว่าเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นางกลับรู้สึกว่า ในคำพูดนี้ของนางมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
ในเมื่อไม่ได้เป็นสนมที่ไม่เคยถูกฮ่องเต้ปรนนิบัติ เพราะเหตุใดซูหลีถึงไม่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เล่า ในเมื่อเป็นขุนนางก็ไม่ควรปฏิเสธฮ่องเต้อย่างง่ายดายเช่นนี้กระมัง
คำพูดนี้เมื่อเอ่ยกับซูหลี สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาดูมีความหมายลึกซึ้งบางอย่าง
“ไป๋ฉิน เรื่องที่นายน้อยของเจ้าไม่ชอบมากที่สุดก็คือ การเป็นคนโง่ในสายตาผู้อื่นและถูกทอดทิ้ง เจ้ารู้หรือไม่”