ซูหลีโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ เพียงแต่สีหน้าดูไม่น่ามองเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้ จักต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้…” ไป๋ฉินยังคิดที่จะพูดปลอบใจซูหลีสักสองสามประโยค ทว่าคำพูดนี้ไม่ทันจะเอ่ยจบก็ถูกเย่ว์ลั่วดึงแขนเสื้อเอาไว้เสียก่อน
ไป๋ฉินมองเย่ว์ลั่วอย่างไม่เข้าใจปราดหนึ่ง ก่อนหน้านี้มิใช่ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธเรื่องที่จะให้ป๋ายถานผู้นี้เข้ามาอยู่ในวังหลวงหรอกหรือ
“หึ” เมื่อซูหลีได้ยินคำพูดของไป๋ฉิน สีหน้ายิ่งดูเย็นชากว่าเดิมหลายส่วน
นางอารมณ์ไม่ดีอย่างแท้จริง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง เพียงแต่พวกนางไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง เพราะเหตุใดนางถึงอารมณ์ไม่ดี
ในเมื่อฉินเย่หานมีความสนใจป๋ายถาน มีความคิดอยากจะให้ป๋ายถานเข้าวัง หากเป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านั้นในงานเลี้ยงเฉลิมพระชนม์ของไทเฮาไยถึงใช้นางเล่นละครตบตาเช่นนั้น
ทำให้นางถูกหมายหัวอยู่เป็นเวลานาน ทั้งยังปะทะกับป๋ายเฮ่ออยู่หลายครา และนางยังฉีกหน้าสกุลป๋าย ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าร่วมในราชสำนัก ตนก็สร้างศัตรูที่ยิ่งใหญ่ให้กับตนเองเสียแล้ว
บัดนี้ความคิดของฮ่องเต้พระองค์นี้ได้เปลี่ยนแล้ว เขาต้องการให้ป๋ายถานเข้าไปอยู่ในวัง ดูท่าทางของเขาแล้ว ประหนึ่งโปรดปรานป๋ายถานเป็นอย่างมาก เช่นนั้นสิ่งที่นางทำก่อนหน้านี้เล่า?!
นี่นับเป็นการนำนางไปแขวนไว้บนกองไฟ มิหนำซ้ำยังบอกนางอีกว่า เรื่องที่เจ้าทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มันไร้ซึ่งประโยชน์
ความรู้สึกในใจของซูหลีนี้ แน่นอนว่าไม่พูดออกมาก็รู้สึกได้
เพียงแต่หัวใจของนางนั้นไม่ค่อยจะสบายสักเท่าไร นางไม่รู้ว่าความรู้สึกไม่สบายนี้มาจากที่ใด แม้ว่าความรู้สึกนี้จะไม่รุนแรงนัก ทว่าก็ทำให้นางไม่อาจมองข้ามได้
ความรู้สึกที่ซับซ้อนปนเปกันไปหมด และแน่นอนว่าอารมณ์ของซูหลีไม่ดีเท่าไรนัก
“นายน้อย ฮ่องเต้ยังทรงเยาว์วัยและมีอำนาจมากมาย ทั้งยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น วังหลังไม่อาจไม่มีคนได้” เย่ว์ลั่วมองซูหลีที่มีท่าทางดังนั้น นางจึงหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะพูดโน้มน้าวซูหลีอย่างอดไม่ได้
พวกนางล้วนคิดว่าซูหลีมีใจต่อฉินเย่หาน ถึงแม้จะไม่มีใจให้แก่เขา แต่ก็อาจจะมีความอาลัยอาวรณ์อยู่ มิเช่นนั้นหลังจากที่ได้ยินเรื่องของป๋ายถาน ซูหลีคงจะไม่หลุดอาการเช่นนี้
ช่วงเวลาที่เย่ว์ลั่วอยู่ข้างกายไป๋ฉินไม่นานนัก ทว่านางก็ทราบดีว่า ในยามปกติซูหลีมีนิสัยรักอิสระ ดูเหมือนเป็นคนที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่นจนรู้แพ้รู้ชนะ ที่จริงแล้วส่วนใหญ่นางจะไม่นำเอาเรื่องเหล่านั้นเก็บมาใส่ใจตนเอง
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางเห็นซูหลีเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา แค่คิดก็ทราบแล้วว่าสำหรับซูหลีแล้ว เรื่องนี้มีความพิเศษมาก
“หึ!” ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมาครู่หนึ่ง พลันเหลือบตามองเย่ว์ลั่วครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร เรื่องนางงามในวังหลังสามพันนางของฮ่องเต้ นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว จะเกี่ยวอะไรกับข้ากัน”
แม้จะพูดออกมาเช่นนี้ ทว่าในดวงตารูปดอกท้อของนางคู่นั้นกับไม่มีรอยยิ้มสักนิด
เย่ว์ลั่วเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงผงกศีรษะ ไม่พูดอะไรต่ออีก ทว่ายามที่นางกับไป๋ฉินสบตากันกลับมีความกังวลพาดผ่านในดวงตาของทั้งสองคน
“นายน้อยของพวกเจ้า ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะเป็นสตรีของฮ่องเต้ วางใจเถิด” ซูหลีเห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา นางตบมือเย่ว์ลั่วเบาๆ และเอ่ยว่า
“อย่าลืมว่ายังมีสัญญาพนันแขวนอยู่บนศีรษะข้า แม้ฝ่าบาทจะทรงรับพระสนมเข้ามากี่คน จะโปรดปรานใคร นั่นเกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน ข้าเป็นขุนนาง เขาเป็นจักรพรรดิ รู้หรือไม่”
เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองซูหลี ทว่ากับพบความมืดมนในดวงตาของซูหลี นี่เป็นครั้งแรกที่นางเผยสีหน้าจริงจังออกมาให้พวกนางเห็น
เย่ว์ลั่วอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย ทว่าจู่ๆ ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซูหลีไม่ใช่กำลังปิดบังอำพรางนาง เพียงพูดอธิบายถึงความสัมพันธ์ที่สมควรจะเป็นไปที่สุดระหว่างนางกับฉินเย่หานก็เท่านั้น