เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 12: ครึ่งเดือน

ตอนที่ 12: ครึ่งเดือน

ปี 1

บทที่ 12 – ครึ่งเดือน

 

“ว่าแต่เมื่อสักครู่นี้ฉันเห็นเธอจัดการเจ้าอสูรนั่นด้วยมือเปล่า.. ฉันเลยสงสัยว่านั่นมันคืออะไรเหรอ?”

เสียงของท่านเลทิเซียดังขึ้นดึงเอาฉันกลับมามีสติอีกครั้ง ฉันถึงกับตกใจกับคำถามของเธอ

อันที่จริงเมื่อครู่นี้เป็นแค่เวทมนตร์เสริมพละกำลังธรรมดาเท่านั้น แต่ถึงจะบอกว่าธรรมดาแต่บนโลกนี้คงมีคนทำได้น้อยมาก

แต่จะแพร่หลายหลังจากนี้ต่างหาก นั่นเป็นเพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่แหละ ใช่แล้ว ท่านเลทิเซียเป็นคนเผยแพร่แนวคิดเวทมนตร์ใหม่นี้ให้กับโรงเรียน

ถึงแม้ฉันจะไม่สนใจเนื้อหายิบย่อยอะไรในเกมจีบหนุ่มนี่ แต่เพราะตัวเอกของเกมเคยได้รับคำแนะนำจากท่านเลทิเซีย

ฉันจึงตั้งใจจำคำพูดของเธอนั่นแหละ.. แต่ตอนนี้เวทมนตร์นี้มันยังไม่ถูกเผยแพร่สินะ.. หรือว่าเธอกำลังสงสัยฉัน?!

เดี๋ยวก่อนสิ หากเธอเข้าใจผิดว่าฉันเป็นศัตรูเธอจะไม่ฆ่าฉันใช่ไหมเนี่ย อีกอย่างตัวฉันหรืออนาสตาเซียล้วนมีชะตากรรมในรูทหนึ่งที่ต้องถูกฆ่าโดยเธอด้วย

ไม่ใช่ว่าเธอจะชิงลงมือฆ่าฉันก่อนหน้านั้น เพราะฉันแสดงความเป็นภัยอันตรายออกมาหรอกนะ

สาเหตุที่ฉันมาโรงเรียนนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อพบกับท่านเลทิเซีย.. เอ่อ.. นั่นอาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งก็ได้แหละ..

แต่ที่ฉันมาเพราะว่าฉันต้องการหาทางหนีทีไล่ไว้เตรียมตัวออกจากตระกูลขุนนางนี่น่า ฉันถูกจับหมั้นกับเจ้าองค์ชายนั่นมันช่วยฉันเรื่องหนึ่งคือ ไม่มีผู้ชายไหนเข้ามายุ่งกับฉัน.. เพราะฉันไม่ค่อยถูกกับผู้ชายล่ะนะ

เพราะงั้นฉันเลยต้องมาที่โรงเรียน เพราะโรงเรียนนี่ครึ่งหนึ่งก็เป็นเหมือนโรงเรียนฝึกนักผจญภัยนั่นแหละ

แน่นอนที่ฉันมาเรียนที่นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าคู่หมั้นนั่นอย่างแน่นอน…

นับตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็ผ่านมาสิบสามปีแล้ว.. ไอ้การเกิดใหม่ในโลกเกมจีบหนุ่มสำหรับฉันมันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก

แต่เพราะในยุคที่ฉันอยู่ สื่อบันเทิงแนวนั้นมีค่อนข้างหลากหลายพอสมควรพอได้เจอกับตัวแทนที่จะเป็นความหวาดกลัวแต่กลับเป็นความตื่นเต้นซะมากกว่า

ฉันอนาสตาเซียถูกจับหมั้นหมายกับองค์ชายตั้งแต่ที่พวกเราสองคนยังไม่รู้จัก เพราะท่านปู่ฉันรู้จักกับกษัตริย์องค์ก่อน

ทำให้พวกเขาสองคนตกลงว่าหากหลานพวกเขาเกิดมาจะมีการหมั้นหมายเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าฉันปฏิเสธไม่ได้

เพราะแบบนั้นตั้งแต่เด็กๆ ฉันจึงถูกอบรมอย่างหนักโดยคนสอนมารยาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้หญิงควรจะทำในยามที่ผู้ชายทำงาน

และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งสารภาพตามตรงฉันไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ นี่ถ้าฉันไม่เคยเล่นเกมมาก่อนคือฉันถูกจับหมั้น ฝึกเรียนมารยาทอยู่สิบกว่าปี

เพื่อคนที่ไม่รู้จักหน้าหรือเคยเจอกันสักครั้งมาก่อน เป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมอย่างมาก แต่ในเกมไม่ได้เล่าตรงส่วนนี้ของอนาสตาเซียผู้เล่นเลยไม่รู้กัน

แต่พอฉันมาเจอกับตัวเองฉันถึงได้เข้าใจว่า.. อนาสตาเซียเธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารขนาดไหน ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังรักองค์ชายนั่นแบบจริงๆ จังๆ ขึ้นมา

แถมตอนท้ายเกมยังไปทำสัญญากับ.. เฮ้อ

ไอ้คนแบบฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกว่าทำไมถึงลงทุนทำขนาดนั้นไปได้ แต่เอาเป็นว่าฉันจะขอเคารพความคิดของเธอแล้วกันนะ

ไม่ได้สิ.. เราจะหลุดไปในโลกแห่งความคิดตัวเองอีกแล้ว ฉันหันกลับไปตอบท่านเลทิเซีย..

“มันคือเวทมนตร์—”

แต่ก่อนที่ฉันจะพูดท่านเลทิเซียก็พูดเหมือนรู้ว่าฉันจะพูดอะไร

“อ้อ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงปริมาณพลังเวทของเธอต่างหาก.. อ๊ะ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ ฉันแค่สงสัยเฉยๆ ”

เธอพูดกับฉันแบบนั้น ก่อนที่จะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ท่าทีที่ค่อนข้างจริงจังเมื่อสักครู่หายไปแต่กลับมาเป็นมิตรดังเดิม..

ปริมาณพลังเวท? หมายถึงปริมาณพลังเวทของฉันงั้นสินะ ก็นะตามแนวคิดของโลกใบนี้ฉันที่เป็นมนุษย์ก็ควรจะมีพลังเวทน้อยสิ

อะไรแบบนั้น แต่ก็นะในฐานะที่เป็นผู้เกิดใหม่ และเข้าใจเซตติ้งของโลกใบนี้ ฉันก็ต้องมีการโกงเกมกันเกิดขึ้นบ้างแหละน่า

แบบว่าฉันต้องการจะผจญภัยไปหาสาวโลลิหูสัตว์นี่น่า ถ้าไม่มีกำลังวังชาอะไรเลยละก็ จะกลายเป็นกระสอบทรายให้เข้ากระทืบซะมากกว่า

“คือว่า.. พอดีฉันฝึกมาน่ะค่ะ..”

“ฝึก? ทำได้ด้วยเหรอแบบนั้นน่ะ”

“แน่นอนค่ะ”

ฉันตอบออกไปอย่างมั่นใจ.. ก็นะฉันคิดว่าการเพิ่มพลังเวทมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างโกงมากเพราะงั้นจะบอกซี้ซั้วไม่ได้หรอก

แถมฉันคิดว่าคงไม่จำเป็นสำหรับท่านเลทิเซียเท่าไหร่น่ะนะ ก็แหม โลกนี้มันมีแนวคิดเปรียบว่าพลังเวทคือน้ำในแก้ว

สำหรับมนุษย์นั้นค่อนข้างมีน้ำในแก้วน้อย.. แต่ว่าแก้วนั้นก็ไม่ได้เล็กใช่ไหมล่ะ ว่าง่ายๆ มนุษย์มีร่างกายที่เป็นภาชนะซึ่งสามารถเพิ่มพลังเวทได้อีก

เพียงแต่ว่าการเพิ่มพลังเวทล่ะ จะทำยังไง.. พวกเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันคิดขึ้นมาได้ตอนฝึกรินน้ำชา

ในอากาศเรานั้นมีไอน้ำบางๆ ลอยอยู่เสมอ แต่ถ้าเราเอาแก้วไปตั้งไว้ไม่มีทางที่ไอน้ำจะมาเติมเต็มกลายเป็นน้ำในแก้ว

นั่นหมายความว่าฉันน่ะไม่สามารถเพิ่มพลังเวทโดยการดูดเอาพลังเวทรอบตัวมาใช้ได้ เพราะมันเบาบางจนเกินไปหากไม่มีเครื่องช่วยน่ะ

แต่แล้วเราจะเอาไอน้ำจากอากาศทำไมในเมื่อเราก็มีน้ำจากที่อื่นรอบตัวเช่น.. พลังเวทในตัวของคนอื่นนั่นเอง

ใช่แล้วเราก็แค่เอาน้ำในแก้วจากแก้วคนอื่นมาเติมใส่ในแก้วเราก็พอ.. แถมเวทมนตร์นั้นจะฟื้นกลับมาเองเสมอ

นั่นหมายความว่าไม่เป็นผลร้ายต่อร่างกายตัวเอง และด้วยแบบนั้นฉันก็เลยแอบไปดูดพลังเวทจากตัวของเจ้าองค์ชายที่เป็นคู่หมั้นฉัน

ก็นะ เพราะหมอนั่นฉันเลยต้องฝึกมารยาทนี่น่า ก็ต้องมีเอาคืนซะบ้างฉันแอบเข้าไหในห้องเขาตอนกลางคืนแล้วก็ดูดพลังเวทมาซะเลย

ถามว่าลอบเข้าไปได้ไง.. นี่คือโลกแฟนตาซีเวทมนตร์นะเฮ้ย แถมฉันเป็นผู้หญิงโสดอายุสามสิบเลยนะ!

แถมเวทมนตร์มนุษย์ในโลกนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งถ้ามีความรู้.. ซึ่งไอ้ฉันก็เป็นคนจากอีกโลกที่วิทยาการก้าวหน้า

การใช้เวทมนตร์หักเหแสงออกไปให้ตัวเองไม่มีแสงสะท้อนใส่ร่าง และปิดกั้นคลื่นความถี่ทุกอย่างรอบตัวแค่นี้ก็แอบเข้าได้สบายอยู่แล้ว

และก็ถึงจะไม่เป็นพิษต่อร่างกายเขา แต่ตื่นมาก็มีความรู้สึกเหนื่อยๆ กันบ้างล่ะ แค่นี้ก็สะใจแล้วล่ะนะ

“งั้นสินะ ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ”

ท่านเลทิเซียว่าแบบนั้นพวกเราก็เดินทางมาถึงโรงเรียนลิเบอร์แล้ว แถมพวกเรายังเดินทางกลับมาถึงพร้อมกับอีกกลุ่มหนึ่งด้วย

ซึ่งดูจากหน้าตาพวกเด็กผู้หญิงในห้องฉันก็รู้แทบจะทันทีว่าเป็นห้อง B บอกไปแล้วว่าเกมจีบหนุ่มเกมนี้มันลงรายละเอียดเยอะ

แม้แต่ตัวประกอบมีซีนเดียวก็มีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์น่าจดจำ.. ส่วนฉันจำแค่ตัวละครที่เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักเท่านั้นแหละ

พอห้อง B ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพวกเราก็มีห้อง C ตามมาติดๆ ก่อนจะมีห้อง D และห้อง E ตามมาไม่ห่าง

ราวกับเป็นการพบปะกันของศัตรูคู่เก่า ทั้งห้าห้องนั้นแม้จะอยู่ในโรงเรียนแต่ก็มีการชิงดีชิงเด่นตามประสาเด็ก

มีแค่ห้องพิเศษที่ถูกยุบไปทีหลังนั่นแหละที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่น เพราะกิจกรรมของห้องพิเศษนั้นค่อนข้างเยอะกว่าห้องอื่นๆ

แต่ถึงแบบนั้นอีกห้าห้องที่เหลือก็ยังมีการแข่งขันไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเกรดเฉลี่ยของห้อง หรือคะแนนรวมต่อบุคคลว่าอยู่ห้องไหน

“ห้อง A นี่มาช้าจังเลยน้า.. สงสัยคงใช้เวลาในการปราบอสูรนานล่ะสินะ?”

ชายคนหนึ่งกล่าวติดตลกขึ้น เป็นคนจากห้อง B ล่ะ.. ซึ่งหน้าตาก็เป็นเหมือนตัวประกอบมาก เอาเข้าจริงสำหรับฉันผู้ชายก็เหมือนตัวประกอบทุกคนนั่นแหละนะ

“อย่ามาตลกนะ พวกเจ้านั่นแหละที่มาช้ากว่าน่ะ”

ห้อง A เองก็ตอบโต้เช่นกัน.. และก็เริ่มมีปากเสียงตามภาษาเด็ก ก็มีอาจารย์คนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับทุกคนพร้อมกับกล่าวเสียงดังลั่น

“เงียบ!”

สิ้นเสียงของเขานักเรียนทุกคนก็เงียบลงแทบจะทันที อาจารย์ที่นำห้องแต่ละห้องไปปราบอสูรก็เดินไปยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์คนนั้น

อาจารย์คนนี้ถ้าจำไม่ผิดเขาคือศาสตราจารย์ผู้ที่ผสานวิชาเวทมนตร์เต๋าและการต่อสู้ระยะประชิดเข้าด้วยกัน

ศาสตราจารย์นอร์แมน เขาดันแว่นตัวเองขึ้นพร้อมกับกล่าว..

“นับจากนี้อีกครึ่งเดือน.. พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัว แม้จะไม่ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนแต่นักเรียนทุกคนในชั้นปีหนึ่งล้วนจำต้องไปกันทุกคน”

“และอย่าลืมว่าพวกเจ้าคือหน้า คือตาของโรงเรียนอย่าได้แสดงท่าทางเหมือนหมาในกรงแบบนั้นออกมาให้โรงเรียนอื่นได้ดูถูก!”

“คนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนนั้นจะมี ศึกนอกสังเวียน ให้เข้าร่วมเป็นการเฟ้นหาผู้มีความสามารถที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ตอนที่ล่าอสูร!”

“ดังนั้น.. พวกเจ้าทุกคนล้วนมีส่วนร่วมกับงานในครั้งนี้!”

“เตรียมตัวให้พร้อม!”

เขากล่าวพลางดันแว่นของตัวเองขึ้น…

อืม.. ก็เหมือนในเกมเลยอะนะ

ปี 1

บทที่ 11 – ‘ตายโหงละว้า..’

 

ฉัน.. อนาสตาเซีย ตอนนี้ฉันกำลังพนมมือยกขึ้นไหว้พระผู้เป็นเจ้าอยู่.. ฉันในตอนนี้เหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ..

เอ่อ.. ตอนนี้ก็ลอยอยู่บนอากาศจริงๆ ก็เถอะนะ.. เพราะตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนด้วยการบินผ่านเวทมนตร์ของอาจารย์เวโรเน่กับนักเรียนห้อง A คนอื่น

แต่ว่านะ แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่า!!!

ฉันในตอนนี้ได้.. อยู่กับท่านเลทิเซียด้วยล่ะ!ใช่แล้ว คุยกันด้วยล่ะ อ๊ากกกก นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย?

ในตัวเกมท่านเลทิเซียจะเป็นตัวละครที่ไม่มีบทบาทในเรื่องที่ชัดเจนมาก แต่ถึงแบบนั้นท่านเลทิเซียก็ตกผู้เล่นไปมากกว่าครึ่ง

เพราะนอกจากเธอจะน่ารักไม่พอ เธอยังเป็นคนที่พูดค่อนข้างเก่งเป็นมิตรต่อรอบตัวด้วย แต่บทในเกมไม่โฟกัสที่เธอเลยสักนิด

แต่ถึงแบบนั้น ทุกคนที่เล่นเกมนี้ล้วนรู้ดีว่าท่านเลทิเซียน่ะไม่ใช่คนใจดีแบบนั้นหรอก .. ไม่สิ จะพูดให้ถูกคือเธอเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยค่อนข้างที่จะนิ่งๆ

บทบาทในเกมแม้จะไม่โฟกัส แต่ในตอนท้ายของเกมจะเปิดเผยว่าท่านเลทิเซียน่ะ สามารถฆ่าตัวอนาสตาเซีย ฉันหมายถึงนางร้ายที่ตอนนี้ฉันมาเป็นนั่นแหละ

ท่านเลทิเซียฆ่าอนาสตาเซียได้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยล่ะ แทบเรียกได้ว่าบุคลิกที่สุดแสนจะใจดีและอ่อนโยนพ่วงแถมมาด้วยความน่ารัก

แทนที่มาด้วยสายตาที่เฉยชา ราวกับว่าเธอนั้นเคยฆ่าคนมามากกว่านี้แล้ว นั่นยิ่งทำให้คนชอบท่านเลทิเซียเยอะมากขึ้นนั่นเอง

ก็มักจะมีคอมเม้นแบบว่า ‘ท่านเลทิเซียครับ เหยียบผมทีครับ!’ หรือ ‘ท่านเลทิเซียเจ้าขารักที่สุดเลยค่า!’

อะไรทำนองนั้นน่ะนะ.. แถมไม่มีคนโกรธเลทิเซียหรอกเพราะอนาสตาเซียเป็นนาวร้ายที่ป่วนเนื้อเรื่องในเกมจนคนเกลียดเธอกันเยอะน่ะนะ

แถมพลังของหล่อนแข็งแกร่งซะจนไม่มีทางชนะได้นอกจากท่านเลทิเซีย ดังนั้นต่อให้เป็นพวกผู้หญิงที่มาจีบหนุ่มพอเห็นเลทิเซียปราบนางร้าย

ต่อให้ไม่ชอบก็ไม่ได้เกลียดนั่นเอง…

อ้อ แล้วก็ทำไมถึงเรียกท่านเลทิเซียน่ะเหรอ เพราะเมื่อเกมนี้ออกมาใหม่ๆ มีคนวิเคราะห์บริบทของท่านเลทิเซียด้วย

เพราะตัวเนื้อเรื่องไม่ได้ชี้แจงชัดเจนว่าเป้าหมายของท่านเลทิเซียคืออะไร ทำไมถึงตีหน้าเซ่อใจดี แต่พอมีอันตรายมาถึงโรงเรียนเธอถึงฆ่าทิ้งโดยไม่ลังเล

นอกจากนี้ความเย็นชาของเธอในตอนที่ฆ่าอนาสตาเซียมันคืออะไรกันแน่ ถึงฉันจะอ่านบทความไม่หมดเพราะเลื่อนลงมาอ่านย่อหน้าสุดท้ายเลย

แต่พออ่านก็เหมือนเขาตีความได้น่าสนใจว่า ‘เลทิเซียอาจจะเป็นจอมมารคนที่สิบสาม ที่มีความเป็นราชินีอยู่ในตัว’

‘และสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่อะไรอย่างอื่นนอกจากเธอมองว่านี่คือถิ่นของเธอ เพราะงั้นถ้ามีภัยคุกคามเธอจึงต้องกำจัดทิ้ง’

นั่นเอง.. ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าทฤษฎีนี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะเหมือนในโลกนี้จะมีจอมมารสิบสองคน และทุกครั้งที่จอมมารเกิดขึ้นมา

เวลาในโลกนี้จะไหลเป็นระเบียบขึ้นมานั่นเอง ทำให้คนตีความว่าจอมมารทั้งสิบสองสื่อถึง ‘จักรราศีทั้งสิบสอง’ ที่ทางผู้พัฒนาเกมพยายามใส่ไข่อีสเตอร์ไว้

และที่น่าสนใจคือเวลาในโลกนี้นั้นมีถึง 26 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน และปีหนึ่งมีสิบสามเดือน ซึ่งสำหรับเกมจีบหนุ่มเกมนี้นั้น

อีเว้นมันค่อนข้างเยอะ เวลาต่างๆ เลยเล่าค่อนข้างละเอียดละนะ ซึ่งทำให้มีการตีความต่างๆ นานาไปว่า โลกนี้อาจจะมีจักรราศีที่สิบสามและจอมมารคนที่สิบสาม

เป็นตุเป็นตะดีใช่ไหมล่ะ ยังไงซะมันก็แค่เกมจีบหนุ่มที่มีเซตติ้งโลกกว้างไปหน่อยเล่าในเรื่องที่ไม่สำคัญแต่คนก็ยังเอาไปคิดตามแหละนะ

อีกอย่างยังมีจุดที่น่าสงสัยอย่างเช่น.. ถ้าท่านเลทิเซียเป็นปีศาจจริง ทำไมถึงใช้เวทมนตร์มนุษย์ได้แต่เวทมนตร์ปีศาจใช้ไม่ได้.. ไม่สิ ไม่เคยใช้มากกว่าสินะ

ซึ่งจะยังไงก็ตามแต่ เพราะแบบนั้นคนเลยคิดว่าท่านเลทิเซียอาจจะเป็นราชินีของเหล่ามาร จอมมารคนที่สิบสาม ทำให้เวลาคนเรียกท่านเลทิเซียก็มักจะเติม ‘ท่าน’ ใส่ไปด้วย..

และเอาเข้าจริง พอฉันมาคุยกับท่านเลทิเซียตรงๆ แล้วก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่รู้สิ เวลาคุยกับเลทิเซียเหมือนกับว่าเธอมีกลิ่นอายบางอย่าง

พอเธอพูดฉันจะรู้สึกแลบพยักหน้าเห็นด้วยทันที อารมณ์แบบเหมือนผู้นำล่ะมั้ง.. แต่ก็นั่นแหละยิ่งทำให้ฉันตระหนักว่า.. ท่านเลทิเซียสุดยอดที่สุดเลย!

พอนึกถึงใบหน้าของเธอกำเดาฉันก็ไหลออกมาอีกครั้ง..

แย่ล่ะสิ.. เข้าใกล้ตัวตนดุจเทพธิดาอย่างท่านเลทิเซียไม่ได้เลยแฮะ แถมก่อนหน้านี้ก็ดันเผลอต่อยนกยูงแหลกคามือไปแล้วสิ

เธอคงไม่คิดว่าฉันจะเป็นภัยแล้วฆ่าฉันหรอกนะ.. แถมให้เธอเห็นภาพไม่น่าดูแล้วด้วย.. อ๊ากกก ทำไงดีเนี่ย!

คิดสิ ความรู้จากเกมน่ะจากเกม..!คิดให้ออกบทพูดที่พูดถึงฉากนี้มันเกิดอะไรขึ้น .. ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้พร้อมกับทุบกำปั้นใส่ฝ่ามือตัวเองพร้อมอุทาน

“ตายโหงละว้า..”

ฉัน.. ทำให้มันต่างจากเกมไปซะแล้วดิ.. คือเนื้อเรื่องในเกมจริงๆ ตัวฉัน.. เอ่อ ฉันหมายถึงอนาสตาเซียควรจะคลาดกันกับห้องเอที่นี่ไม่ใข่เหรอ..

เพราะตามเนื้อเรื่องคือตัวอนาสตาเซียจะไปถึงโรงเรียนตอนที่นักเรียนชั้นปีหนึ่งทุกคนไม่อยู่ที่โรงเรียนตามข้อเสนอการจัดตัวแทนแห่งความภาคภูมิใจใหม่

และคนที่จะเป็นตัวแทนของห้องนี้… ก็คือ.. สายตาฉันหันไปหาคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป.. ไอ้คนห้าคนที่เป็นเป้าหมายในการจีบ

ว่าแต่เจ้าองค์ชายที่เป็นคู่หมั้นฉัน มันไม่คิดจะมาทักทายกันสักหน่อยจริงๆ สินะ ถึงฉันจะไม่ได้สนใจมันเลยสักนิดก็เถอะนะ

แต่อย่างน้อยก็มีควรมารยาทอะไรแบบนั้นมั้งสิ เฮ้ย!

เฮ้อช่างเถอะ เอาเป็นว่าพวกห้าหน่อนั่นอยู่ล้อมรอบตัวเอกของเกม.. คนที่จะเป็นตัวแทนของรอบนี้คือ นางเอกของเรื่องนั่นแหละ ซึ่งท่านเลทิเซียก็อยู่ด้วยแท้ๆ ไม่รู้ว่ายัยนางเอกนี่ไปทำท่าไหนถึงชนะมอนสเตอร์นั้นมาได้ง่ายๆ

เอ่อ.. ความจริงเราเล่นเป็นนางเอกเลยรู้อะนะ ซึ่งตอนนั้นเหมือนจู่ๆ ตัวนางเอกจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เหมือนเป็นสัญชาตญาณ

อะไรสักอย่าง.. เกมเหมือนจะบอกไว้แบบนั้นนางก็เผอิญฆ่ามอนสเตอร์มาได้นั่นเอง.. ถึงเกมจะไม่เฉลยก็เถอะนะ

แต่ฉันดันเป็นคนแย่งซีนนั้นมาเนี่ยสิ.. นี่มันหมายความว่ายังไงล่ะเนี่ย.. มันจะเป็นไงต่อไปล่ะเนี่ย!ฉันจ้องไปที่นางเอกของเกม

เธอเป็นเด็กผู้หญิงผมสีขาวยาว.. ดวงตาสีขาวราวกับคนป่วยอมโรค ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ

แต่ถึงจะมีท่าทางและบุคลิกภาพที่น่าสงสารยังไงแต่ยัยคนนี้น่ะเป็นเหมือนคนชั่วที่มีแผนการล่อผู้ชายมากกว่าหกคนมาตกหลุมรัก

พูดภาษาเข้าใจง่ายๆ ก็.. ‘Bitch’ นั่นแหละนะ.. อ๊ะ ขอโทษที่ฉันหยาบคายไปหน่อยแต่ก็ประมาณนั้นนั่นแหละ

ในขณะที่ฉันหันไปมองเธอพลางคิดแบบนั้นเจ้าตัวก็หันมามองที่ฉันเช่นกัน สายตาพวกเราผสานกัน…

ดวงตาของยัยนางเอกเหมือนจะเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นบางอย่างที่มีต่อฉัน…?

“…..?”

ในขณะที่ฉันกำลังสับสนนั้นเอง ท่านเลทิเซียก็ก้าวเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ฉันชื่อเลทิเซีย.. แต่เธอคงรู้แล้วสินะ..?”

“…..!?”

ฉันสะดุ้งถอยออกไปโดยไม่รู้ตัวจนแทบพลัดตกจากพื้นที่เหมือนถูกสร้างด้วยพลังของอาจารย์เวโรเน่

แต่ท่านเลทิเซียก็ยื่นมือมาจับแขนฉันแล้วก็ดึงขึ้นมา..เธอหัวเราะเบาๆ

“ตกใจอะไรขนาดนั้น หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือไง”

“ปะ.. เปล้าก้ะ!”

อ้าาา กัดลิ้นอีกแล้วฉันรู้สึกอับอายจนหน้าแดงไปถึงหู.. แย่ละสิ .. บ้าเอ๊ย…

เพราะเมื่อครู่นี้ท่านเลทิเซียหล่อสุดๆ เลย จับแขนฉันแล้วก็ดึงขึ้นมาพร้อมกับบอกว่า ‘ตกใจอะไรขนาดนั้น’ ..

ถ้ามีหมอนอยู่ตรงนี้ฉันคงจิกจนขาดไปแล้วนะเฮ้ย!ขอแจ้งความผิดได้ไหมเนี่ย ข้อหาคนอะไรไม่รู้ทั้งน่ารักทั้งหล่อเท่ในเวลาเดียวกัน

เกินไป! ในขณะที่ฉันจมลงความคิดของฉันท่านเลทิเซียที่เห็นฉันกัดลิ้นตัวเองเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความเป็นมิตร

“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่กัดหรอกนะ.. เอาเป็นว่าเธอชื่ออนาสตาเซียสินะ ยินดีที่ได้รู้จักแล้วกันนะ?”

“ค… ค่ะ!”

แย่แล้ว.. น่ารักสุดๆ ไปเลย ถ้ามีใครสักคนเอาปืนมายิงฉันฉันก็คงไม่เสียใจแล้วล่ะ รู้สึกเหมือนชีวิตคอมพลีทแล้ว

อีกอย่างนะฉันเคยบอกไปแล้วว่าฉันน่ะไม่ชอบเด็กในชีวิตจริงหรอกนะ แต่ว่าตอนนี้ในเกมกลายเป็นความจริงไปแล้ว

อีกอย่างท่านเลทิเซียก็น่ารักและเท่โดยไม่มีข้อแม้.. เพราะงั้น..

ฉันในตอนนี้ชอบเด็กในความเป็นจริงนี้สุดๆ เลยล่ะ..

เอ๊ะ.. เดี๋ยวสิ ทำไมคำพูดของฉันมันดู—

มันดูเหมือนโลลิค่อนพิกลแฮะ..?

ปี 1

บทที่ 10 – บุตรสาวของดยุค

 

เอาเป็นว่าทำเหมือนไม่ได้ยินก็แล้วกัน.. หลังจากที่มีการพูดคุยกันเหมือนว่าเธอคนนี้จะมีชื่อว่า อนาสตาเซีย เจน ไลล่าร์

เป็นขุนนางระดับดยุคเลยก็ว่าได้.. ขุนนางระดับดยุคนี่ถือว่ามียศที่สูงที่สุดในบรรดายศขุนนาง

ดูเหมือนว่าทวีปแห่งนี้จะมีแนวคิดทางฝั่งยุโรปมาค่อนข้างเยอะพอสมควร ซึ่งยศขุนนางจะแบ่งออกดังนี้ั

บารอน, ไวเคานต์, เอิร์ล, มาร์ควิสและดยุค!

เรียงจากต่ำไปสูง.. ทุกประเทศล้วนใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์เหล่านี้เป็นบรรทัดฐาน ว่าง่ายๆ ก็คือเป็นแนวคิดพื้นฐานของขุนนางละนะ

เพราะขุนนางในโลกนี้มีหน้าที่คือการ ปกป้องและดูแลประชาชนโดยการแลกกับการให้ประชาชนจ่ายภาษีให้กับพวกเขา

นอกจากนี้ขุนนางยังต้องถูกบังคับให้ฝึกศิลปะการป้องกันตัวหรือเวทมนตร์เพราะสำหรับขุนนางแล้วหน้าที่พวกเขาก็คือการปกป้องพลเรือน

นั่นสินะ ถ้าจะให้ฉันเปรียบเทียบละก็.. ขุนนางก็คงเป็นเหมือนตำรวจและทหารที่ต้องดูดลระเบียบของประเทศ ส่วนราชวงศ์ก็เป็นเหมือนรัฐบาล

แม้จะไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว แต่ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยค่อยๆ ถูกเผยแพร่เรื่อยมา

แต่สรุปง่ายๆ ขุนนางก็เหมือนอัศวินผู้คุมกฎ!

ถึงแม่ส่วนใหญ่ขุนนางจะทำแค่ขูดรีดขูดเนื้อประชาชนก็เถอะ ในยุคที่สันติสุขแห่งนี้ สำหรับฉัน ฉันคิดว่าพวกขุนนางนี่แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็เถอะนะ

อันที่จริงขุนนางคืออัศวินที่สืบเชื้อสายเลือดมาจากผู้เป็นอัศวินนั่นแหละ.. อัศวินหรือไนท์นั้นสามารถถูกแต่งตั้งได้จากการเป็นวีรบุรุษ

ในอดีตนั้นเท่าที่ฉันศึกษามาการจะรับยศอัศวินได้ยั่นต้องเป็นอภิชนเท่านั้น แต่ในปัจจุบันใครก็สามารถเป็นอัศวินได้

หากมีความสามารถมากพอจะได้รับการแต่งตั้งโดยกรษัตริย์โดยตรง เหนือกว่าอัศวินก็ยังมี บารอเนต

คนที่ได้เป็นอัศวินจะได้รับอนุญาตให้มีสิทธิ์มีเสียงทางการเมืองและสามารถแต่งงานกับชนชั้นสูงเพื่อสืบสกุลและกลายเป็นขุนนางได้

แน่นอนว่าบารอเนตเช่นกัน แต่ก็อย่างว่าในยุคที่สันติสุขเช่นนี้ อย่าว่าแต่ท่านลอร์ดแห่งบารอเนตเลย แม้แต่ท่านเซอร์อัศวินผู้ทรงเกียรติยังแทบไม่มี

ยศดยุคของเธอนั้นแม้จะเทียบกับน้องสาวฉันเลวี่ที่เป็นถึงเจ้าหญิงที่เป็นชนชั้นเจ้าไม่ได้

แต่ก็อยู่จุดสูงสุดของชนชั้นขุนนาง ถ้าจำไม่ผิดขุนนางวินเชนท์ที่เป็นคนสอนวิชาดาบให้ฉัน ถึงฉันจะไม่มีพรสวรรค์ด้านการใช้ดาบสุดๆ ก็ตาม

แต่ยังรู้เลยว่าตระกูลวินเชนท์สุดยอด แถมยังเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรอาเดฟ

แต่ทว่า.. ยศของขุนนางวินเชนท์คือ ขุนนางระดับเอิร์ลเพียงเท่านั้น แถมถึงจะบอกว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด

นั่นเป็นเพราะวิชาดาบเพียวๆ ของตระกูลนี้ดีเยี่ยมมาก.. แต่ถ้าหากให้เทียบกับอีกหกตระกูลที่เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด

ในด้านการต่อสู้ขุนนางวินเชนท์ไม่อาจจะเทียบเคียงได้เลยแม้แต่น้อย!

นั่นแหละคือความสำคัญของสิ่งที่เรียกบรรดาศักดิ์ในโลกแห่งนี้

อ่ะแฮ่ม.. กลับมาเรื่องเดิมดูเหมือนว่าผู้หญิงที่ชื่ออนาสตาเซียนี้กำลังจะไปโรงเรียนลิเบอร์ที่ฉันเรียนอยู่ก็ดันบังเอิญมาเจอพวกพอดี

แต่ดูเหมือนจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหลายๆ อย่างขึ้น อย่างเมื่อสักครู่คนที่ปราบสัตว์อสูรก็ดันไม่ใช่คนในห้องซะอย่างนั้น

แต่ว่า…

“อันที่จริงห้องที่คุณอนาสตาเซียจะได้อยู่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะค่ะ เป็นห้อง A น่ะค่ะ”

จู่ๆ อาจารย์เวโรเน่ก็พูดขึ้นมาแบบนั้นเฉยเลย ตอนแรกเหมือนผู้หญิงที่ชื่ออนาสตาเซียต้องเดินทางไปถึงโรงเรียนก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองอยู่ห้องไหน

แต่ความจริงแล้วห้องเธอถูกกำหนดมาไว้แต่แรกแล้วนั่นแหละ ซึ่งฉันที่ทำงานวิชาการมาก่อนก็เข้าใจได้ว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น

อาจารย์เวโรเน่ใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่า

“งั้นก็คนที่กำจัดนกยูงและกู้สถานการณ์คืนมาได้อย่างดีเยี่ยมก็คือคุณอนาสตาเซีย เพราะแบบนั้นคุณอนาสตาเซียถึงเป็นตัวแทนของห้อง A ค่ะ”

ตัดสินใจปุบปับเฉยเลยแฮะ..

แต่เท่านี้ฉันก็ยืนยันได้แล้วว่าเป้าหมายที่จ้องตรวจสอบความสามารถฉันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพวกเบื้องบนของโรงเรียน

เพราะสัตว์อสูรนี่น่าจะเป็นสิ่งที่พวกนั้นกำหนดมาไว้ หลักฐานก็คืออาจารย์เวโรเน่นั้นไม่ได้พาจัดการอสูรตนอื่นต่อแต่เลือกที่จะสรุปการต่อสู้เลย

ต่อให้เป็นโลกแห่งนี้ที่มีอสูรเพ่นพ่านเต็มไปหมด แต่การระหาอสูรสักตัวที่เพียงพอให้ทดสอบความสามารถของนักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ก็ไม่ใช่เรื่องที่เดินหาครู่เดียว แล้วก็เจอ

นั่นหมายความว่าทุกอย่างชัดเจนแล้ว แม้จะรู้สึกเสียดายว่าเจ้าพวกเบื้องบนของทางโรงเรียนเล็งฉันจริงๆ หรือเปล่า

เพราะมีโอกาสจะเล็งคนอื่น แต่อีกไม่นานก็คงได้รู้กัน.. แม้นักเรียนหลายๆ คนจะรู้สึกตกตะลึงกับคำพูดของอาจารย์เวโรเน่ ถึงขั้นมีบางคนยกมือขึ้นพูดประมาณว่า

“แต่ว่าอาจารย์ เธอยังไม่ใช่นักเรียนจากโรงเรียนเรานี่น่า”

แต่อาจารย์เวโรเน่ก็ตอบกลับไปว่า..

“หุบปากไปซะ พวกนายช่วยตัวเองยังทำแทบไม่ได้ ฉันถามหน่อยตอนเจ้านกนั่นระเบิดตัว มีใครสักคนที่ตอบสนองทันทีนอกจากยืนแข็งทื่อบ้าง?”

จะว่าไป.. อาจารย์เวโรเน่ก็เป็นคนที่นิสัยค่อนข้างดุดันนี่นะ ถึงบางครั้งเธอจะพยายามทำตัวให้มีเหตุผลนำหน้าก็เถอะ

อาจจะเพราะประสบการณ์ชีวิตที่มาก เธอเลยกดนิสัยเสียตัวเองได้.. ซึ่งเธอจะดูเป็นผู้มากปัญญาในทันที

แต่บางครั้งเธอก็ดันลืมตัวจนเป็นอย่างที่เห็น นักเรียนคนนั้นที่โดนอาจารย์เวโรเน่ด่าก็หดหัวกลับไปแทบจะทันที

ในขณะเดียวกันฉันก็ได้ยินเสียงพึมพำของผู้หญิงที่ชื่ออนาสตาเซีย.. ก็นะเพราะเวลาฉันต่อสู้ฉันต้องเสริมพลังร่างกายตัวเองน่ะ

เพราะพลังกายในโลกเดิมฉันค่อนข้างเยอะ พอมามีร่างกายตรงข้ามก็เลยอ่อนแออย่างที่เห็นนั่นแหละ ดังนั้นเวลาต่อสู้ฉันถึงเสริมการรับรู้

การตอบสนองและพละกลัวตลอดเวลาด้วยเวทมนตร์ ทำให้ฉันในตอนนี้ห่างออกไปหลายกิโลก็ยังได้ชัดเจน..

ฉันหันไปมองอนาสตาเซียที่กำลังพึมพำ

“แย่ล่ะสิ.. คนที่ต้องเป็นตัวแทนมันต้องเป็นท่านเลทิเซียไม่ใช่เหรอ!”

ไหงเป็นฉันล่ะนั่น แล้วคนคนนี้รู้จักฉันด้วยเหรอถึงบอกว่า ‘ต้องเป็นฉัน’ น่ะ.. อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างเว้ยระยะห่างจากฉันพอสมควรด้วย

ก็แหมตอนนี้เธอยืนห่างจากฉันประมาณสิบเมตรด้วย ก่อนหน้านี้พอเธออยู่ใกล้ฉันเหมือนจะกำเดาไหลออกมาด้วย

หรือว่าเพราะพลังเวทจองฉันกดดันเธอจนเธอรู้สึกกลัวฉัน แต่ฉันระงับไว้แล้วนี่น่า.. เป็นผู้หญิงที่แปลกชะมัด..

ไม่สิ ไม่สิ เลทิเซียเธอลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองต้องยึดครองโรงเรียนลิเบอร์ให้ได้ นักเรียนทุกคนก็ต้องอยู่ในแผนการกระชับมิตร

ใช่แล้ว ฉันต้องสร้างสายสัมพันธ์กับเธอ พอฉันก้าวขาเข้าไปทางที่เธออยู่.. เธอก็ถอยห่างออกอีกหนึ่งก้าวเหมือนกับเป็นสัญชาตญาณ

ทั้งๆ ที่ไม่ได้มองมาทางนี้แท้ๆ .. พอฉันก้าวไปอีกก้าวเธอก็ขยับออกไปอีกหนึ่งก้าว…ในขณะที่ฉันกำลังสับสนนั้นเอง

“เอาล่ะกลับโรงเรียนกันเถอะ”

นับตั้งแต่ออกโรงเรียนมาก็ใช้เวลาประมาณห้าวันแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ซึ่งก็ยังเป็นวันที่ฉันมีงานต้องทำเหมือนเดิม

พวกเรามุ่งหน้ากลับโรงเรียนพร้อมกับนักเรียนใหม่ที่มีชื่อว่าอนาสตาเซียนั่น ที่เหมือนเธอจะเว้นระยะห่างจากฉันอยู่เสมอ

หรือว่านี่เธอกลัวฉันจริงๆ เหรอ?

ปี 1

บทที่ 9 – โลลิที่สมบูรณ์แบบ?

 

ปัจจุบัน—-

ฉัน.. เลทิเซีย ทีน อาเดฟ เจ้าหญิงลำดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอาเดฟ.. เรื่องก็เป็นอย่างที่ว่ามานั่นแหละ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงถูกจับแยกออกมาจากพวกเลวี่

ตอนนี้เลยได้สู้ร่วมกับนักเรียนจากห้อง A อยู่.. แต่แบบนี้แหละดีแล้วสำหรับแผนการที่จะทำให้โรงเรียนแห่งนี้กลายเป็นฐานทัพของฉัน

เป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อปกป้องเหล่าคนสำคัญ.. วิธีการยึดครองที่ดีที่สุดคือค่อยๆ ดึงเอาความเชื่อถือผู้คนมาอยู่ที่ตัวฉันเอง

ทีละนิด ทีละหน่อย ท้ายที่สุดฉันก็จะกลายเป็นเหมือนผู้นำโรงเรียนไปโดยปริยาย.. เอาล่ะ มาพยายามอีกหน่อยนะตัวฉัน..

ยิ้มเข้าไว้!

ฉันตบใบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วก็กระโดดลงจากหลังรถม้าของคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ ส่วนเจ้าอสูรนกยูงยักษ์นั่นก็โดนผลของคำสาปตัวเองแล้วกลายเป็นหินไปแล้ว

อาจารย์เวโรเน่มุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความกระวนกระวาย แต่เธอไม่ได้สนใจฉันเลย เธอเดินไปหาคนที่อยู่รถม้า

กำลังจะถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าแหละมั้ง.. แต่ทว่าหัวหน้ากองอัศวินที่ขี้ม้าก็มาขวางเอาไว้

“ช้าก่อน พวกเจ้าเป็นใคร.. ภายในรถม้านี้มีบุคคลสำคัญกำลังนั่งอยู่!”

เรื่องแบบนั้นแค่มองก็รู้แล้วล่ะ ฉันหันไปมองอาจารย์เวโรเน่ที่กำลังแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา.. เจ้าหมอนี่ไม่รู้จักเครื่องแบบของโรงเรียนลิเบอร์หรือไง?

เธอคงจะคิดแบบนั้นอยู่ละมั้ง.. แต่อาจารย์เวโรเน่เหมือนไม่ใช่คนประเภทนั้นเธอถอยห่างออกมาสองสามก้าวแล้วก็โค้ง

“ขออภัยด้วย ข้าคืออาจารย์จากโรงเรียนเวทมนตร์ลิเบอร์ ตอนนี้กำลังพานักเรียนทดสอบความสามารถนอกสถานที่อยู่”

พูดแล้วอาจารย์เวโรเน่ก็ปาการ์ดแผ่นหนึ่งไปทางหัวหน้าอัศวินคนนั้น เขาก้มลงมองก่อนจะประหลาดใจ

“ขออภัยด้วย.. ไม่คิดว่าจะเป็นอาจารย์จากโรงเรียนลิเบอ—”

แต่ในตอนนั้นเองฉันก็สังเกตเห็นว่ามีคนเดินออกมาจากรถม้า เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมีผมสีแดงแต่ออกเข้มๆ ตรงยาวไปจนถึงกลางหลัง

ตัวเธอสูงกว่าฉันพอสมควร อายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี.. ใบหน้าของเธอค่อนข้างน่ากลัวไม่น้อยเพราะตาเธอขวาง

ให้อารมณ์เหมือนถ้าอยู่ในหนัง ในอนิเมะ คนคนนี้ต้องเป็นนางร้ายอย่างแน่นอน อะไรแบบนั้นเลยล่ะ

แต่ฉันไม่ควรตัดสินคนจากภายนอกหรอก.. ฉันใช้เวทมนตร์ตรวจสอบเธอแต่ก็ต้องประหลาดใจเหมือนว่าจะไม่สามารถวิเคราะห์อีกฝ่ายได้?

นี่มันหมายความว่าไงละเนี่ย..

“คุณหนูอย่าลงมาจากรถสิครับ มันอันตรายนะ!”

อัศวินคนนั้นยังพูดไม่ทันจบพอเห็นคุณหนูตัวเองลงมาเขาก็ร้อนรน แต่คุณหนูคนนั้นก็เหมือนจะไม่ได้สนใจเลย

แต่เธอจ้องเขม็งมาที่ฉัน… เอ่อ ฉันคิดว่าฉันไม่เคยเจอเธอมาก่อนนะ.. ไม่สิ จะตัดสินใจแบบนั้นไม่ได้เพราะเหตุผลที่ฉันสูญเสียเพื่อนไปก็เพราะแบบนั้นไม่ใช่เหรอ…

ฉันใช้เวทมนตร์ค้นหาเข้าไปในความทรงจำของฉันว่าเคยเจอผู้หญิงคนนี้ไหม คำตอบก็คือไม่เคยเจออยู่ดี..

เธอจ้องมาที่ฉันสักพักแล้วดวงตาของเธอก็ลุกวาว… อ่านไม่ออกเลยแฮะ?

“ตัวเป็นๆ …”

เธอพึมพำอะไรสักอย่างด้วยเสียงเบาๆ ทำให้ฉันไม่ค่อยได้ยินสักเท่าไหร่ ในขณะที่ฉันคิดว่าควรจะพูดอะไรนั้นเอง

นกยูงยักษ์ที่ควรจะถูกสาปให้กลายเป็นหินนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวอีกครั้ง!ส่วนที่เป็นหินของมันเกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรงพร้อมกับแตกกระจายออกรอบด้าน

ซึ่งรอบๆ นกยูงยักษ์มีนักเรียนห้อง A อยู่หลายคนเลยล่ะ.. คนที่ตอบสนองด้วยความไวสูงสุดคืออาจารย์เวโรเน่

ร่างกายเธอกลายเป็นเหมือนภูตผีหายวับไปจากจุดเดิมเช้าไปปกป้องนักเรียนที่อาจจะโดนแรงกระแทก

อัศวินคนนั้นกระวนกระวายว่าคุณหนูตัวเองจะได้รับบาดเจ็บ

“คุณหนู! หลบเร็— อั้ก!!”

ไม่รู้ว่าเป็นคนดวงซวยขนาดไหนหินที่แตกกระจายออกก้อนหนึ่งพุ่งมากระแทกเขาจนกระเด็นหลายสิบตลบ

เพราะมัวแต่พะวงเรื่องของคุณหนูนั่นแหละ.. และในตอนนั้นเองก็มีเศษหินก้อนหนึ่งพุ่งตรงมาทางที่เด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่

ซึ่งมันเป็นจุดที่ฉันยืนอยู่เช่นกัน.. เพราะฉันกับผู้หญิงผมสีแดงเข้มยืนอยู่ตรงหน้าฉันแม้จะห่างไปไกลพอสมควร

ฉันหันหลังให้ผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับยกมือขึ้นทำลายเศษหินจนแตกกระจายออกไปด้านข้าง แต่ก็ยังมีแรงลมกระแทกมาอยู่ซึ่งส่งผลให้ผมมันปลิวไปด้านหลัง

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

ฉันถามออกไปแบบนั้น พอฉันถามแบบนั้นเหมือนอีกฝ่ายจะประหม่าสุดๆ ซะอย่างนั้นก่อนจะพูดออกมา

“มะ.. มะ.. ไม่เป็นไยค่ะ—”

กัดลิ้นตัวเองซะงั้น… ประหม่าอะไรเบอร์นั้นเนี่ย หรือว่าฉันทำให้เธอกลัวเหรอ ก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนี่น่า

อีกฝ่ายเหมือนจะหน้าแดงเพราะเผลอกัดลิ้นตัวเอง.. ขณะที่ฉันกำลังสงสัยว่าเธอเป็นอะไรนั้นนกยูงยักษ์ที่กลายเป็นหินและระเบิดออก

ก็พลันมีเสียงกรีดร้องของมันดังขึ้นมาอีกรอบ ร่างของมันหดเล็กลงหลายเท่า.. ดวงตาของฉันหรี่ลง

“นั่นไม่ใช่นกยูงร้อยตานี่.. มันนกยูงลอกคราบไม่ใช่หรือไง… แล้วมันมีร้อยตาได้ยังไงกัน?”

คำถามนี้ดังขึ้นมาในหัวของฉัน อีกอย่างนกยูงลอกคราบมันแข็งแกร่งกว่านกยูงร้อยตามากเพราะทุกครั้งที่มันลอกคราบความเร็วมันจะเพิ่มขึ้น

ซึ่งความเร็วสูงสุดที่มันสามารถทำได้ก็ทะลุกำแพงความเร็วเสียงประมาณ 100 มัค เห็นจะได้ ไม่มีทางที่นักเรียนจะสู้ไหวแน่

ซึ่งอาจารย์เวโรเน่ไม่น่าให้นักเรียนเธอมาสู้กับอะไรที่ชนะไม่ได้แบบนี้ หมายความว่าเธอเองก็ไม่รู้สินะ..

ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันหรอกนะ.. แต่ว่าเป้าหมายที่ให้พวกเรามาสู้บางทีคนที่จัดการคงเป็นทางเบื้องบนของโรงเรียนลิเบอร์

หรือก็คืออีกฝ่ายต้องการให้เราตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้สินะ.. บางทีเป้าหมายอาจจะเป็นฉันนั่นแหละ

เพราะพักนี้มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับฉัน บางทีพวกเบื้องบนคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวลือนั่นแน่ๆ ..

คงอยากจะทดสอบพลังฉันละมั้ง.. แต่ฉันไม่อยากปักใจเชื่อทันทีเท่าไหร่ ต้องมีเบาะแสมากกว่านี้นิดหน่อย

นกยูงลอกคราบมันจ้องมาที่ฉันด้วยความเกลียดชังก่อนที่จะกรีดร้องแล้วก็พุ่งมาทางฉันด้วยความเร็วหลายร้อยมัค

ฉันแสดงท่าทางตกใจเล็กน้อย.. หวังพึ่งยัยอาจารย์เวโรเน่ให้กำจัดแทนคงไม่ได้ เพราะเธอเชื่อว่าฉันสามารถกำจัดได้โดยสนิทใจ

ดังนั้น.. ขอโทษด้วยนะคนแปลกหน้าผมสีแดงเข้ม ขอยืมร่างกายสักครู่นะ

ฉันแสร้งทำเป็นตกใจและถอยหลังสะดุดขาตัวเองพร้อมกับล้มลงไปด้านหลังเหมือนกับว่าตัวเองตอบสนองความเร็วนั้นไม่ทัน

ดวงตาของฉันหลับลงพลังเวทกระจายออกทั่วร่างกำลังจะเข้าไปควบคุมร่างของเด็กผู้หญิงผมสีแดงเข้มนั้น

แต่เธอกลับก้าวขาออกไปด้านหน้า กำเป็นหมัดแล้วก็…

พลังเวทอันพิลึกพิลั่นไปหลอมรวมอยู่ที่กำปั้นของเธอ.. ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอเวทมนตร์มนุษย์นะ?!

ไม่สิ เดี๋ยวก่อนปริมาณพลังเวทนั่นมันอะไรกัน.. มันเทียบกับพลังเวทพวกปีศาจเลยนะนั่น แต่ว่าเธอเป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่นี่น่า!

ร่างกายเธอหายวับไปจากจุดเดิมพร้อมกับต่อซัดใส่เงาสีดำของนกยูงลอกคราบที่พุ่งมาอย่างรุนแรง

“ตู้ม!!!”

ร่างกายของมันแตกกระจุยเลือดสาดกระเซ็นไปรอบด้านโดนใบหน้าของตัวเธอเองด้วย.. ฉันถึงกับประหลาดใจ

ไม่เพียงแค่นั้นฉันยังได้ยินอีกฝ่ายพึมพำว่า

“..อย่ามาแตะต้องโลลิที่สมบูรณ์แบบนะ!”

“….”

ห๊ะ… อะไรนะ?

 

………

[ขอโทษที่มาช้าครับ พอดีย้ายมาอยู่กับญาติน่ะครับ ซึ่งเลยไม่สะดวกเขียนนิยายเท่าไหร่เลยมีเวลาเขียนนิยายแค่ตอนกลางคืน ซึ่งไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เลยงอกตอนช้านิดหน่อยนะครับ – ผู้เขียน]

ปี 1

บทที่ 8 – การตายของสองผู้กล้า

 

และก็อย่างที่ว่าไปข้างต้น เลทิเซียถูกย้ายไปอยู่ห้อง A.. เด็กจากห้องพิเศษที่ถูกย้ายมาห้อง A มีแค่สามคนซึ่งมี เลทิเซีย อเล็กเซียและผู้ชายอีกคนหนึ่ง

ด้วยความที่งานประลองคัดเลือกนักเรียนแห่งความภาคภูมิใจกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว ทำให้เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนออกเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์ประจำชั้นทันที

ห้อง A มีอาจารย์ประจำชั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธออายุไม่มากอายุประมาณยี่สิบต้นๆ เพียงเท่านั้นผมสีเทาๆ อ่อนๆ สวมแว่นกลมๆ

เธอมีนิสัยค่อนข้างซุ่มซ่ามในระดับหนึ่งมีชื่อว่า อลิซ.. แต่ว่ากันว่าเธอคือนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งที่สุดในโรงเรียนนี้เลยล่ะ

ถึงจะซุ่มซ่ามไปหน่อย.. ถามว่าซุ่มซ่ามขนาดไหนก็วันที่ต้องพานักเรียนออกไปหากำจัดสัตว์อสูรเพื่อเป็นตัวแทนโรงเรียนนั้น..

เจ้าตัวดันมาไม่สบายพอดีเนี่ยสิ.. ซึ่งสาเหตุที่ไม่สบายเพราะเมื่อวานนี้เจ้าตัวเล่นโดดลงไปในทะเลสาบที่ล้อมรอบโรงเรียนอยู่เพื่อไปหาเศษซากกระดูกสัตว์ทะเล

เพื่อนำมาแปรธาตุเป็นเสื้อผ้าให้นักเรียนใส่ เพราะเธอกลัวว่านักเรียนจะบาดเจ็บจากการเดินทาง แต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวดันไม่สบายเอง

โรงเรียนลิเบอร์นั้นตั้งอยู่กลางทะเลสาบขนาดใหญ่ ทางเข้าเดียวที่เข้ามาโรงเรียนลิเบอร์ได้คือสะพานหน้าโรงเรียนที่ลากยาวไปถึงเมืองท่าไร้อาณา

เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนลิเบอร์ไม่กี่ร้อยเมตร ซึ่งการจะเข้ามาโรงเรียนลิเบอร์ต้องผ่านเมืองนี้มาก่อนเท่านั้นนั่นเอง

ถือว่าเป็นภูมิประเทศที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เกาะกลางทะเลสาบ.. แต่ก็นั่นแหละเพราะอาจารย์อลิซไม่สบายเลยต้องหาคนมานำห้องเรียนแทน

ซึ่งคนที่ได้มาแทนก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นนอกจากอาจารย์เวโรเน่ อาจารย์เวโรเน่เธอเป็นอาจารย์ที่สอนนักเรียนที่เรียนตามไม่ทัน

ง่ายๆ ก็ห้องเรียนซ่อมเสริมนั่นแหละ ซึ่งพออลิซไม่ว่างอาจารย์เวโรเน่เลยได้มาทำหน้าที่แทนนั่นเอง.. อาจารย์เวโรเน่นั้นรู้จักกับเลทิเซียอยู่

เคยมีเรื่องกันนิดหน่อย..

◇◆◇

เช้าตรู่วันที่ต้องเดินทาง ในห้องพักครูมีอาจารย์เวโรเน่นั่งอยู่คนเดียว เพราะยังไม่มีอาจารย์คนไหนเข้ามาตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้

ทางด้านอาจารย์เวโรเน่เธอก็กำลังนั่งจดเอกสารของตัวเองอยู่เธอครุ่นคิดเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

“ตอนนี้.. สเตฟานี่ เซเรส โคลเอ้และอันน่า เสียชีวิตไปแล้ว.. คนต่อไปจะเริ่มในอีกห้าปีข้างหน้าสินะ”

“ท่านพี่..อีกไม่นานพวกเราจะได้เจอกันแล้วใช่ไหม… เลทิเซียที่รู้จักฉันจะกลับคืนมาใช่ไหม..? ถ้าปล่อยทุกอย่างมันเป็นแบบนี้”

แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนเปิดประตูห้องพักครูเข้ามา.. ซึ่งคนที่เดินเข้ามาก็คืออาจารย์ลิเลียน่า เธอเห็นอาจารย์เวโรเน่เธอก็ทักขึ้น

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณเวโรเน่”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อาจารย์ลิเลียน่า”

ทั้งคู่ทักทายกันตามปกติ ลิเลียน่าก็เดินไปที่เก้าอี้ของเธอแล้วก็นั่งลงก่อนที่จะถามบางอย่างขึ้นมา

“จริงสิ คุณเวโรเน่วันนี้ต้องพาห้อง A ไปคัดเลือกตัวแทนโรงเรียนงั้นสินะ คิดว่ายังไงคะ คิดว่าใครในห้อง A จะได้เป็นตัวแทนเหรอคะ?”

“เลทิเซีย”

“หือ ตอบไม่คิดเลยเหรอ.. จะว่าไปคนที่ให้คุณเลทิเซียเป็นตัวแทนโรงเรียนรอบก่อนหน้านี้ก็คือคุณด้วยนี่น่า”

“….”

เวโรเน่ที่เผลอพูดออกไปก็เหงื่อตกทันที.. อ่า แย่แล้วเผลอพูดออกไปโดยไม่คิดอีกแล้ว.. จริงอยู่ที่หากวัดความสามารถเท่าที่อาจารย์เวโรเน่รู้จักมา

คนที่แข็งแกร่งที่สุดคงเป็นเลทิเซียอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนอเล็กเซียนี่เธอไม่ค่อยมั่นใจแต่ไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่าเลทิเซียหรอกมั้ง

ซึ่งความแข็งแกร่งเลทิเซียแทบจะไม่ใช่ความแข็งแกร่งนักเรียนแล้ว.. แต่ถ้าหากเวโรเน่เธอออกหน้าออกตาไวเกินไปละก็..

เดี๋ยวโดนหาว่าเข้าข้างเลทิเซียอีก.. ไม่เพียงแค่นั้นด้วย หลายเดือนก่อนได้มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นที่อาณาจักรแห่งหนึ่ง

ซึ่งโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นได้พรากเอาชีวิตของคนจำนวนมากไป.. เพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘แสงเทพมารมรณะ’ คนในอาณาจักรแห่งนั้นตายไปมากกว่าแปดในสิบส่วน

ซึ่งคนที่ปกครองอาณาจักรแห่งนั้นอยู่คือพี่น้องที่เป็นผู้กล้า น้องสาวมีชื่อว่า เลมิสทาเรีย ส่วนพี่ชายมีชื่อว่าไบรอัส

ทั้งสองคนเองก็ตายในโศกนาฏกรรมครั้งนั้น.. ใช่แล้ว ผู้กล้าสองคนตายในเรื่องราวนั้น.. นั่นหมายความว่าไง

ผู้กล้าที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลก.. ถูกฆ่าตาย!

ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นนั้นตัวของเลมิสทาเรียได้แอบลอบเข้าในงานแข่งคัดเลือกหานักเรียนแห่งความภาคภูมิใจและได้ต่อสู้กับเลทิเซีย

และจู่ๆ ผู้กล้าเลมิสทาเรียก็ได้ก่อความวุ่นวายในขณะที่ต่อสู้กับเลทิเซียเธอได้ลักพาตัวเลทิเซียและหายตัวไป

ซึ่งในคืนนั้นเองก็ได้เกิด ‘แสงเทพมารมรณะ’ ขึ้นที่อาณาจักรของเลมิสทาเรีย และผู้กล้าสองคนนั้นก็ตาย.. นั่นหมายความว่าเลทิเซียอาจจะมีความเกี่ยวข้อง

แม้อาจจะเป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อ.. แต่ก็มีคนไม่น้อยที่สงสัยเลทิเซียว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมและการตายของผู้กล้าสองคน

แต่ถึงแบบนั้นในเหตุการณ์ครั้งนั้น เพื่อนคนหนึ่งของเลทิเซียได้อยู่ในอาณาจักรแห่งนั้นและเธอก็ ‘ตาย’ ไปพร้อมกัน

ซึ่งเธอคนนั้นมีชื่อว่า ‘สเตฟานี่’

ทำให้ข้อกล่าวหาที่จะกล่าวหาเลทิเซียถูกลดลงอย่างมาก เจ้าตัวคงไม่ฆ่าเพื่อนตัวเองอีก.. แต่ความซวยซ้ำซวยซ้อนของเลทิเซียยังไม่หมด

เพื่อนอีกคนของเธอได้ ‘แขวนคอ’ ตายที่ห้องพยาบาลของโรงเรียน ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์เหมือนกัน

เธอคนนั้นมีชื่อว่า ‘เซเรส’

และต่อมาเพื่อนอีกคนของเธอก็ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมทางป่าที่อยู่ห่างจากเมืองท่าหน้าโรงเรียนลิเบอร์ไปหลายร้อยเมตร

สภาพศพคือถูกกรีดเนื้อเถือหนัง ใบหน้าของศพแสดงถึงความสิ้นหวังและความเจ็บปวดอย่างหาใดเปรียบ

เธอคนนั้นมีชื่อว่า ‘โคลเอ้’

ผู้เป็รเพื่อนสมัยเด็กที่ฝึกวิชาดาบมาด้วยกันของเลทิเซีย.. ใช่แล้วสามคนที่กล่าวไปพึ่งตายไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน

ทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับเลทิเซียทั้งสิ้น.. เซเรสและสเตฟานี่รวมถึงโคลเอ้ ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนของเลทิเซีย และความเศร้าที่เลทิเซียแสดงออกมานั้นคือความจริง

แต่หลังจากนั้นได้ไม่ถึงสัปดาห์.. เลทิเซียก็หายเศร้า ไม่สามารถสัมผัสถึงความเศร้าจากตัวเธอได้เลย..

จึงมีคนคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าความเศร้าในตอนแรกมันแค่การเสแสร้งของเลทิเซีย เธอน่ะเป็นคนฆ่าเพื่อนตัวเองปิดปากซะมากกว่า

เพราะกลัวว่าเรื่องที่ตัวเองฆ่าคนทั้งอาณาจักรไปจะถูกเผยออกมา เลยฆ่าคนที่เกี่ยวข้องอย่างเซเรสและสเตฟานี่

โคลเอ้ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กมาเห็นพอดี แต่เลทิเซียก็ไหวตัวทันเลยไล่ฆ่าโคลเอ้จนออกนอกโรงเรียนได้สำเร็จ

ถึงพวกเขาที่ตั้งข้อสงสัยเหล่านี้จะไม่รู้ว่าทำไมเลทิเซียถึงสามารถฆ่าผู้กล้าสองคนได้แถมยังทำลายอาณาจักรหนึ่งได้ก็ตามแต่…

ทว่า..คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแบบที่เห็นชัดก็มีแค่เลทิเซียนี่แหละ ซึ่งแน่นอนว่ามันจำเป็นต้องมีใครสักคนมาถูกโทษ

มีใครสักคนมาให้ผู้คนเกลียดชัง.. ซึ่งเลทิเซียเป็นคนที่เกี่ยวข้องเพียงคนเดียวที่อยู่รอดเธอเลยถูกกล่าวโทษไปโดยปริยาย

แม้ว่าจะไม่มีมูลอะไรเลยก็ตาม.. แถมคนที่ถูกลักพาตัวคือเลทิเซียนะ ทำไมคนที่ถูกลักพาตัวถึงได้กลายเป็นคนร้ายซะเองได้ล่ะ..

แน่นอนว่าทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นแค่ข่าวลือ ยังไงซะตัวของเลทิเซียก็เป็นคนที่มีฐานแฟนคลับในโรงเรียนเยอะ

เพราะเธอเป็นเด็กน่ารัก…

แต่ถึงแบบนั้นถ้าตัวของเวโรเน่ยืนยันว่าเลทิเซียแข็งแกร่งออกมาแบบสิบส่วนขนาดนั้น ก็อาจจะทำให้เรื่องของเลทิเซียแดงขึ้นมาอีกรอบ

เพราะงั้น เธอในตอนนี้ถึงได้เหงื่อไหลออกมา…

“เอ่อ.. คือว่าพอดีข้าเคยเห็นเลทิเซียใช้เวทมนตร์น่ะ เพราะก่อนหน้านี้เธอมาเรียนซ่อมกับฉันเลยคิดว่าเด็กคนนี้มีแววน่ะ”

อาจารย์ลิเลียน่ามองเวโรเน่ด้วยสายตาหรี่ลงเล็กน้อย

“หืม.. เป็นแบบนั้นงั้นเหรอ..? ไม่ใช่ว่าคุณเวโรเน่รู้จักคุณเลทิเซียก่อนหน้านั้นงั้นเหรอ.. เพราะท่าทางของคุณมันบอกแบบนั้นน่ะ”

เวโรเน่ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังมากกว่าเดิม.. แต่เธอก็ยังคงตีหน้าเซ่อต่อไปในใจคิดแผนมากมายขึ้นมา

หากปฏิเสธออกไปคงไม่ใช่เรื่องดี. เพราะเธอจะยิ่งซักไซร้หนัก.. เวโรเน่ไม่ต้องการหัวข้อแบบนั้นเธอจึงกล่าว

“แน่นอนว่ารู้จักมาก่อน เพราะข้ารู้จักกับพ่อของเด็กคนนั้นน่ะ..”

“แบบนี้เองสินะคะ..”

อาจารย์ลิเลียน่าหรี่ตาลงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร.. พอเห็นท่าทางของอาจารย์ลิเลียน่าเวโรเน่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

หรือว่าลิเลียน่าคือหนึ่งในคนที่ตั้งข้อสงสัยกับตัวของเลทิเซีย.. ในตอนนี้จะมีคนอยู่ประมาณสามฝ่าย ฝ่ายที่เชื่อว่าเลทิเซียไม่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายที่ไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว.. กับฝ่ายที่พยายามยุยงและตั้งข้อสงสัยกับเลทิเซียและแอบปล่อยข่าวลือแย่ๆ ของเลทิเซีย

“ช่างมันเถอะค่ะ.. ยังไงซะฉันก็ไม่ได้สนใจมันอยู่แล้วล่ะ”

“นั่นสินะ ฮะๆ ”

เวโรเน่ขมวดคิ้วแต่ก็หัวเราะออกมา.. ทว่าเธอได้จดจำลิเลียน่าเอาไว้แล้ว

สำหรับคนที่ต้องการจะใส่ร้ายป้ายสีเลทิเซียน่ะ.. ถึงแม้เวโรเน่รู้ว่ามันจะไม่เป็นอะไร.. แต่สำหรับเธอแล้วเธอไม่อยากให้เลทิเซียรู้สึกแย่กับอะไรแบบนี้

เพราะเลทิเซียร้องแบกรับความเจ็บปวดในการสูญเสียเพื่อนที่ผ่านมาแล้วและในอนาคตที่กำลังจะเกิดด้วยนั่นก็มากพอแล้ว ขืนมากกว่านั้นเลทิเซียจะพังซะก่อน…

เพราะงั้นหากมีใครสักคนจะกล่าวหาเลทิเซีย และอาจจะทำให้เลทิเซียรู้สึกแย่ขึ้นมาจริงๆ ละก็..

เวโรเน่ก็คงต้อง….. ลงมือฆ่าพวกมันทิ้งซะ!

◇◆◇

ณ ปราสาทของจอมมารในดินแดนปีศาจ

“ท่านจอมมารไพซิสหายหัวไปไหนของท่านอีกแล้วเนี่ย!!!”

ในห้องพักของจอมมารที่ควรจะมีท่านจอมมารนั่งทำงานอยู่ กลับไม่เห็นมีใครนั่งอยู่เลยนอกจากกองเอกสาร..

และเลขาของจอมมารอย่างขุนนางปีศาจยืนอยู่.. เขามีชื่อเบมัส.. เขาเป็นคนสนิทของจอมมารไพซิส

หนึ่งในสิบสองจอมมารผู้นำของเหล่ามวลมารทั้งหมด.. เบมัสเดินไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่งที่จอมมารทิ้งไว้

….เบมัส ข้าจะออกไปตามหาคนที่จัดการเจ้าผู้กล้าหน้าโง่สองคนนั่นสักหน่อยนะ ส่วนเจ้าฝากทำงานให้ข้าด้วย.. แล้วก็ข้าอาจจะเดินทางนานหน่อยเพราะข้าจะไม่เป็นแล้วจอมมาร จะไปเป็นนักสืบแทนแล้ว แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว.. ตื่นเต้นชะมัดเลยว่าไหม ฮ่าๆ … ไม่ต้องถามนะข้าตามหาทำไม แน่นอนว่าต้องสู้กันอยู่แล้ว!แล้วก็เมื่อหลายเดือนก่อนข้าสัมผัสได้ว่ามีจอมมารคนหนึ่งใช้ ‘ร่างมาร’ ที่ควรจะถูกผนึกเอาไว้แท้ๆ .. แต่นั่นแหละข้าจะตามหาเจ้านั่นด้วย

ด้วยรักจากท่านจอมมารของเบมัส

ไพซิส เค เบเรสต้า…..

เมื่อเบมัสอ่านจบ.. ดวงตายองเขาก็แดงก่ำด้วยความโกรธ..

“ยัยจอมมารบ้าการต่อสู้นั่น!!!… อ้ากกก ข้าจะลาออก ขี้เกียจตามเช็ดก้นให้เจ้าแล้วเว้ย!”

“……”

“…”

“ถ้าลาออกได้.. ข้าคงลาออกไปนานแล้วล่ะ เฮ้อ”

จู่ๆ น้ำตาของเบมัสปีศาจชนชั้นขุนนางก็ไหลออกมา.. ใช่ น้ำตาของเขาไหลออกมา หันไปมองกองเอกสารที่เรียกร้องค่าเสียหายที่ท่านจอมมารของเขาไปอาละวาดที่อาณาจักรอื่นมา

จอมมารไพซิส.. ผู้บ้าคลั่งนั้นเคยไปบุกอาณาจักรอื่นทำลายบ้านเมืองเขาเพราะอยากจะต่อยกับคนอื่น..

แดนปีศาจก็มีกฎเกณฑ์ของแดนปีศาจ ซึ่งผลลัพธ์ของความบ้านั้นก็คือ ใบเรียกร้องค่าเสียหายที่กองพะเนินเป็นผู้เขา

ฉายาที่จอมมารคนอื่นเรียกเธอคือ.. หมาบ้าไพซิส

ปี 1

บทที่ 7 – วันธรรมดาๆ ของเลทิเซีย

 

“ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด!!”

จู่ๆ เลวี่ก็โพลงออกมาด้วยความหงุดหงิดหลังจากที่อาจารย์ลิเลียน่าจากไปแล้ว เธอร้องออกมาเหมือนกับเด็กกำลังงอแง

ก็นะ เธอตอนนี้ก็นังเป็นเด็กอายุสิบสองขวบเท่านั้น ส่วนเลทิเซียอายุสิบสามขวบ สาเหตุที่พวกเธอได้เรียนอยู่ปีหนึ่งด้วยกันเพราะว่าเลทิเซียมาสมัครเรียนพร้อมเลวี่

ตามปกติแล้วโรงเรียนลิเบอร์จะรับสมัครนักเรียนตั้งแต่อายุสิบสองปีขึ้นไป เลทิเซียจึงเลือกที่จะรอหนึ่งปีให้เลวี่สามารถสมัครเข้าเรียนก่อน

พวกเธอค่อยมาสมัครด้วยกันนั่นเอง พอมานึกๆ ดูนับตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นก็จริง

แต่ทว่าสำหรับเลทิเซียเรื่องเมื่อตอนนั้นมันราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว เลทิเซียหัวเราะออกมาเบาๆ

“เอาน่า.. ไว้ตอนเรียนคาบบ่ายเลวี่ค่อยมาสมัครเรียนวิชาเดียวกันกับฉันก็ได้นี่น่า”

เลทิเซียลูบหัวเลวี่ด้วยความเคยชิน แม้ตอนนี้เลวี่จะตัวสูงกว่าเลทิเซียนิดหน่อยแล้วก็ตาม.. เลทิเซียมีผมสีดำสนิท ดวงตาสีดำสนิท

ร่างกายของเธอยังคงเหมือนเด็กอายุสิบถึงสิบเอ็ดขวบเพียงเท่านั้น แต่ความจริงเธออายุสิบสามแล้วนะเออ!

นี่เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของคำขอที่เธอขอกับเทพธิดา..

เลทิเซียเป็นผู้กลับชาติมาเกิด ในชาติก่อนของเธอนั้นเธอเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีร่างกายผิดแปลกจากชาวบ้านชาวช่องเขา

พูดง่ายๆ คือ เธอเป็นเด็กโค่งนั่นเอง จะพูดให้ถูกคือร่างกายในชาติก่อนของเลทิเซียโตเกินกว่าวัย เพราะความผิดแปลกทางพันธุกรรมอะไรสักอย่าง

ทำให้ตอนเด็กๆ เลทิเซียก็มีร่างกายใหญ่กว่าเพื่อนไปหลายปีเลย เธอจึงค่อนข้างมีปมด้อยกับร่างกายตัวเอง

เลทิเซียจึงขอพรกับเทพธิดาไปว่า ‘ให้มีร่างหายตรงกันข้ามกับชาติที่แล้วทุกอย่าง’ สิ่งที่เลทิเซียได้รับมาจึงกลายเป็นร่างกายที่เป็นผู้หญิงไม่พอ

ยังเป็นโลลิที่ไม่โตอีกต่างหาก.. ไม่เพียงแค่นั้นเพราะในชาติก่อนถึงเลทิเซียจะจำไม่ได้ว่าตัวเองตายยังไง แต่เหมือนเทพธิดาจะบอกว่า

เพราะผ้าห่มมันพันกับคอเธอ ส่วนผ้าห่มอีกด้านไปพันกับหัวเตียงพอกลิ้งตกเตียงผ้าห่มเลยรัดคอตาย.. เรียกได้ว่าร่างกายตายอย่างง่าย

แต่พอขอร้องแบบนั้นเธอเลยได้ร่างกายที่เป็น ‘เผ่าปีศาจ’ มา.. ทำให้เธอมีร่างกายที่ตายยาก แต่น่าเสียดายที่พลังกายในชาติก่อนเธอเยอะ

พอมาชาตินี้ร่างกายเลยอ่อนแอพอสมควร เลทิเซียทดแทนมันด้วยเวทมนตร์เสริมพละกำลังเอาน่ะนะ..

แน่นอนว่าเลวี่น่ะเป็นมนุษย์แต่เลทิเซียเป็นปีศาจ..

หากจะให้กล่าวคงยาว.. แต่เหมือนว่าเลทิเซียจะถูกแม่แท้ๆ ของตัวเองที่เป็นจอมมารทิ้งเพราะปัญหาทางการเมืองอะไรบางอย่าง

แถมเลทิเซียเหมือนจะเกิดมาพร้อมกับพลังของจอมมารคนที่สิบสาม ทั้งที่บนโลกนี้ควรจะมีจอมมารเพียงแค่สิบสองคนแท้ๆ ..

แต่ความจริงที่ว่าพลังเลทิเซียเป็นของจอมมารนั้นไม่ผิดอย่างแน่นอน..

แม่ของเลวี่เลยเก็บเธอมาเลี้ยง… เพราะเจอเธออยู่กลางป่าเขา เลทิเซียถูกเลี้ยงมาอย่างดีในฐานะเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่ง เลทิเซีย ทีน อาเดฟนั่นเอง

ในตอนนั้นเอง เลวี่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ

“แต่ว่าวิชาที่ข้าสมัครไปก่อนหน้ามันชนกับวิชาท่านพี่เรียนน่ะสิ… แถมวิชาที่ท่านพี่สมัครข้าคงสอบไม่ผ่านเก็บเกรดเฉลี่ยไม่ได้แน่ๆ เพราะมันเป็นวิชาเวทมนตร์กึ่งมนุษย์อะไรของท่านพี่นั่นน่ะ!”

“อีกอย่างนะท่านพี่.. ท่านพี่เองก็ไม่ใช่กึ่งมนุษย์สักหน่อย เรียนไปก็คงไม่มีความหมายหรอก อีกอย่างตอนสอบเก็บเกรดเฉลี่ยท่านพี่จะทำยังไงล่ะ”

จู่ๆ เลวี่ก็เหมือนนึกออกว่าพี่สาวเธอเป็นมนุษย์จะไปเรียนเวทมนตร์กึ่งมนุษย์ทำไมล่ะเนี่ย

เรียนไปก็ไม่สามารถใช้ได้อยู่ดี อีกอย่างการสอบวิชาเวทมนตร์ภาคปฏิบัติคือการใช้เวทมนตร์นั้นๆ ซึ่งไม่มีทางที่เลทิเซียจะใช้เวทมนตร์กึ่งมนุษย์ได้นี่

เลทิเซียยิ้มบางๆ แล้วก็พูด

“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า”

“แต่ว่าแบบนี้ข้าก็เจอท่านพี่น้อยลงสิ!”

เลวี่ยังคงงอแงต่อไป ในขณะที่ชาร์ล็อตก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ฉันเธอก็นั่งลงข้างๆ ฉันโดยไม่พูดอะไรแบ้วก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันจนตัวแทบติดกัน

“เอ่อ.. คุณชาร์ล็อตคะ.. เป็นอะไรคะ?”

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยนิ! หึ”

“ไม่เป็นอะไรก็บ้าแล้ว โกรธอะไรฉันอีกเนี่ย?”

เลทิเซียรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย แต่ชาร์ล็อตก็หันหน้าหนีแล้วก็บ่นอุบอิบ

“ก็มีใครไม่รู้เมื่อเข้าไม่ยอมปลุกฉันด้วย จนฉันมาเรียนสายแล้วโดนอาจารย์ดุอีก แถมไม่ได้ทานอาหารเช้าด้วย!”

“โทษที.. พอดีเห็นเธอนอนน้ำลายยืดคิดว่ากำลังฝันหวานอะไรอยู่เลยไม่อยากกวนน่ะ”

เลทิเซียกล่าวติดตลก ชาร์ล็อตก็ตะโกนออกมา

“หยุดพูดเลยนะ!”

แต่ในตอนนั้นเองเลวี่ก็จับแขนอีกข้างของเลทิเซียแล้วก็ดึงเลทิเซียออกมาห่างๆ จากชาร์ล็อต

“เดี๋ยวสิ คุณบาร์ล็อตท่านพี่น่ะกำลังคุยกับจ้าอยู่นะคะ!”

“ตายจริง ที่ข้าเห็นก็มีแค่คุณเลวิเนียงอแงอะไรก็ไม่รู้อยู่ไม่ใช่เหรอคะ?”

“เหอะ อย่างคุณชาร์ล็อตคงไม่กังวลอะไรเลยสิ ใช่สิ ได้นอนอยู่ห้องเดียวกับท่านพี่นี่น่า ทุกคืนคงแอบขึ้นเตียงท่านพี่แน่นอนใช่ไหมล่ะ เป็นคนที่หื่นกามจริงๆ ”

“เอาอีกแล้วสินะคะ กล่าวหาโดยไม่มีมูลแบบนั้นน่ะ.. ถึงมันจะจริงก็เถอะ.. เนอะ เลทิเซีย”

ชาร์ล็อตขยิบตาให้เลทิเซีย.. เลวี่ที่เห็นแบบนั้นยิ่งควันออกหัวยิ่งกว่าเดิม

“หนอยยยย ยัยอสูรบ้ากาม!”

“อะไรเหรอคะ คุณเจ้าหญิงขี้แหย่ ~?”

เลทิเซียมองดูทั้งสองทะเลาะกันก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ .. มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ไงกันนะ?

เลวี่น้องสาวที่น่ารักของเธอกลายเป็นน้องสาวที่ปากจัดแบบนั้นได้ยังไงกันนะ.. แล้วก็ชาร์ล็อตก่อนหน้านี้ก็เป็นเด็กดีและเด็กใสซื่อแท้ๆ

แต่พอสูญเสีย ‘อันน่า’ ไป.. ทำให้ชาร์ล็อตเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แสดงให้เห็นเลยว่าสำหรับชาร์ล็อตแล้วอันน่านั้นสำคัญยังไง

“ยังเนื้อหอมเหมือนเดิมเลยนะ เลทิเซีย”

“เฮ้อ.. ดีนะที่เธอไม่เป็นบ้าไปกับสองคนนี้ด้วย”

จู่ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเสียงเสียงนั้นคือทสึรุหญิงสาวผมสีดำทรงฮิเมะคัต..

เลทิเซียถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย .. อิซานะเองก็เดินเข้ามาพูดด้วยความวิตกกังวลนิดหน่อย

“คะ.. คือว่า.. ทะเลาะกันมันไม่ดีนะคะ!”

แต่ทั้งสองคนนั้นก็ไม่ฟังอิซานะเลยแม้แต่น้อย.. ในขณะที่ทสึรุได้ยินสิ่งที่เลทิเซียพูดเธอก็เดินมาใช้มือขวาแตะคางเลทิเซียดึงขึ้นมามองหน้าตัวเอง

“ก็.. ฉันคิดว่าแต้มฉันนำไม่ไกลที่สุด ไม่จำเป็นต้องแย่งกับใครหรอกถูกไหม? ก็เพราะ ‘จูบ’ ไปแล้วนี่น่า”

“…เธอนี่…”

พอคำพูดสุดมั่นใจของทสึรุดังขึ้นเท่านั้นแหละ สายตาของเลวี่และชาร์ล็อตหันขวับไปหาเลทิเซียราวกับสัตว์ร้าย

ทั้งคู่ที่เมื่อสักครู่เป็นศัตรูกันก็เหมือนกลายเป็นมิตรกันแทบจะทันที ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เลวี่กับชาร์ล็อตก็สวมชุดแม่มดสีดำพร้อมกับมีตุ๊กตาคำสาปที่มือ..

“อะไรกันนะ.. อะไรกันนะคุณชาร์ล็อต เมื่อกี้ข้าได้ยินอะไรแปลกๆ ใช่ไหมนะ?”

“นั่นสิคะ คุณเลวิเนีย เมื่อกี้ฉันฟังไม่ผิดใช่ไหมคะ?”

“….”

เลทิเซียกุมขมับเล็กน้อย… ในขณะที่ทั้งห้ามาอยู่ด้วยกันอเล็กเซียก็เดินออกจากห้องไปเงียบๆ ไม่สนใจพวกเลทิเซีย

และนี่คือ.. วันธรรมดาๆ ของพวกเธอนั่นเอง

ปี 1

บทที่ 6 – ย้ายห้อง

 

หลังจากหมดคาบศาสตราจารย์โรเบิร์ดก็กล่าวอะไรเล็กน้อยเกี่ยวกับเรียนวิชาภาคปฏิบัติกับเขา.. จะว่าไงดี..

มันเหมือนกับการโปรโมตนั่นแหละ โปรโมตให้คนไปเรียนคาบบ่ายกับเขานั่นเอง.. ในขณะที่เลทิเซียกำลังจะลุกขึ้นก็มีคนเดินเข้ามาก่อน

คนที่เดินเข้ามาเป็นผู้หญิงผมสีม่วงเข้มๆ ผมเธอยาวสลวยลงมาสวมชุดทางการของอาจารย์โรงเรียนลิเบอร์

เธอมีชื่อว่า ลิเลียน่า เธอเป็นอาจารย์ประจำชั้นของห้องพิเศษแห่งนี้นั่นแหละ เห็นแบบนั้นเธอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ระดับที่ค่อนข้างสูง

“เอาล่ะ นักเรียนนั่งที่ก่อนวันนี้ข้าจะมาชี้แจงแนวทางของโรงเรียนจากนี้”

เลทิเซียกับเลวี่ที่กำลังจะลุกขึ้นก็ต้องนั่งกลับลงไปที่นั่งดังเดิม ทุกคนก็ยังเงียบฟังอาจารย์ลิเลียน่าต่อไป

อันที่จริงเพราะห้องมันคนน้อยด้วยนั่นแหละ เลยค่อนข้างเงียบ.. แต่เหมือนสายตาของลิเลียน่าจะกวาดผ่านไปทั่วห้องก็พบว่านักเรียนหายไปสามคน

“หืม.. คุณโรสกับคุณริต้านี่ยังพอเข้าใจ แต่คุณลูเซียหายไปไหนแล้วล่ะ?”

“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สบายน่ะค่ะ ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ในห้องค่ะ”

คนที่ตอบคืออิซานะจิ้งจอกสาวคนนั้น เลทิเซียที่เห็นอิซานะตอบแบบนั้นเธอก็แปลกใจเล็กน้อย ทั้งคู่สนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?

แต่พอพูดถึงลูเซียเลทิเซียก็อดนึกถึงน้องสาวในโลกเดิมตัวเองไม่ได้ ในโลกเดิมของเลทิเซียก็มีน้องสาวที่มีชื่อว่าลูเซีย

ไม่เพียงเท่านั้นน้องสาวของเลทิเซียยังมีน้ำเสียง ใบหน้า ท่าทางเหมือนกับลูเซียที่อยู่ในโลกนี้ทุกประการเลย

หมายถึงว่าลูเซียที่ขาดเรียนวันนี้น่ะ เหมือนน้องสาวเธอแม้แต่ชื่อยันลักษณะท่าทางนิสัย!

แต่ลูเซียเหมือนจะเป็นเผ่าอสูรแบบเดียวกับชาร์ล็อต.. แถมเลทิเซียยังเคยเข้าไปทักเพื่อยืนยันแล้ว เหมือนว่าเธอจะไม่ใช่ลูเซียน้องสาวในโลกเก่า

เพราะเธอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว.. คงจะหน้าเหมือนเฉยๆ ละมั้ง.. แต่ทั้งหน้าตา นิสัย แถมชื่อเหมือนกันนี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ เหรอ

เลทิเซียส่ายหน้าสะบัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง เพราะสิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้น่ะมันมีมากเกินไป.. เธอต้องค่อยทำทีละเรื่องไป

อาจารย์ลิเลียน่ากล่าวต่อ

“งั้นฝากคุณอิซานะเอาเรื่องนี้ไปบอกเธอด้วย”

“ค่ะ”

อิซานะพยักหน้า อาจารย์ลิเลียน่าก็กลับสู่หัวข้อหลักของวันนี้

“เอาล่ะ ทุกคนคงทราบกันดีว่าตั้งแต่เปิดเทอมมาก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจแบบเอาตัวรอดเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนของโรงเรียน”

“หรือจะเป็นคัดเลือกนักเรียนแห่งความภาคภูมิใจก็พังลงไม่เป็นท่า เพราะเกิดเหตุการณ์สลดขึ้นอีก”

เลทิเซียถอนหายใจออกมา ทุกอย่างที่ว่ามาเธอล้วนมีส่วนร่วมหมดเลย งานเอาตัวรอดในมิติพิเศษที่ชื่อ ‘ชิ้นส่วนเวหา’ นั้นก็ผิดพลาด

เพราะชิ้นส่วนเวหาดันทำงานก่อนกำหนดซะอย่างนั้น ชิ้นส่วนเวหาคืออะไร ชิ้นส่วนเวหาคือมิติพิเศษที่หลายสิบปีหรืออาจจะร้อยปีปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง

ซึ่งครั้งนี้มันปรากฏขึ้นตรงกับงานคัดเลือกตัวแทนของโรงเรียนพอดี.. โดยปกติงานคัดเลือกตัวแทนจะพาไปยังดินแดนรกร้างที่อยู่นอกทวีปแห่งนี้

แต่เพราะครั้งนี้ชิ้นส่วนเวหาปรากฏขึ้นเลยจะไปที่นั่นกันแทน แต่มันดันกลายเป็นว่าชิ้นส่วนเวหาดันทำงานก่อนกำหนดซะอย่างนั้น

ซึ่งทำให้เลทิเซียกับคนไม่กี่คนถูกดึงเข้าไปในชิ้นส่วนเวหา ก่อนเวลากำหนด..

ส่วนงานคัดเลือกนักเรียนแห่งความภาคภูมิใจคืองานที่นักเรียนของโรงเรียนทั้งห้ามาแข่งกันเพื่อชิงดีชิงเด่น

แต่สุดท้ายงานคัดเลือกก็ดันมาพังเพราะเกิดเหตุการณ์สลดที่คนในประเทศแห่งหนึ่งตายไปมากกว่าครึ่ง

แถมตอนนั้นผู้เข้าแข่งขันในงานคัดเลือกยังหายตัวไปกลางสนาม.. แน่นอนว่าคนที่ว่าคือตัวเลทิเซียเอง ทำให้งานพังลงอย่างไม่เป็นท่า

“ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนทั้งห้าจึงลงมติว่าจะจัดการประลองขึ้นอีกครั้ง . แต่คราวนี้จะจัดงานรูปแบบใหม่เพื่อความเท่าเทียมกัน”

“ก่อนหน้านี้โรงเรียนเราส่งตัวแทนได้เพียงคนเดียว ซึ่งก็คือคุณเลทิเซีย”

เธอพูดพลางหันมาทางที่เลทิเซียอยู่ ใช่.. ในงานแข่งคัดเลือกตัวแทนแห่งความภาคภูมิใจ เลทิเซียถูกส่งให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนลิเบอร์

เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาโรงเรียนลิเบอร์นั้นแพ้บ่อย เพราะการคัดเลือกมีกฎประมาณว่ายิ่งชนะเยอะนักเรียนในโรงเรียนนั้นยิ่งมีโอกาสเยอะ

ทำให้ทุกครั้งที่โรงลิเบอร์แพ้ตำแหน่งตัวแทนของโรงเรียนลิเบอร์จึงเหลือเพียงหนึ่งที่เท่านั้น ซึ่งเลทิเซียก็ได้รับหน้าที่นั่นไป…

นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คนเลือกที่จะไม่สมัครเข้ามาเรียนที่โรงเรียนลิเบอร์ แต่กลับเลือกไปโรงเรียนอื่นแทนนั่นเอง

แต่ก็อย่างว่า มันพังไม่เป็นท่าไปแล้ว

“และด้วยเหตุนี้ โรงเรียนทั้งห้าจึงตัดสินใจที่จะจัดงานคัดเลือกขึ้นอีกครั้ง แต่ทุกโรงเรียนจะสามารถส่งตัวแทนได้เพียงห้าคนเท่านั้นไม่มีข้อแม้”

“เพราะแบบนั้นเองโรงเรียนลิเบอร์จึงตัดสินใจที่จะให้มีการแข่งชิงตำแหน่งตัวแทนโรงเรียนลิเบอร์ขึ้นอีกครั้งเช่นกัน”

“แต่ว่าพวกเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น.. พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะให้อาจารย์ประจำชั้นนำห้องเรียนของตัวไปหาล่าสัตว์อสูรในแต่ละภูมิภาค”

“และใครก็ตามที่ถูกประเมินโดยอาจารย์ประจำชั้นตัวเองว่ามีประโยชน์ในการต่อสู้มากที่สุดก็ถือว่าได้เป็นตัวแทนของห้องนั่นเอง”

“และห้องหนึ่งจะมีตัวแทนได้เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น”

เลทิเซียที่นั่งฟังอยู่ก็พยักหน้า.. พวกอาจารย์ต่างรู้ว่าการจัดงานขึ้นกลางเทอมแบบนี้อาจจะทำให้นักเรียนเรียนไม่ทัน

พวกเขาจึงตัดสินใจให้การชิงตำแหน่งตัวแทนเป็นบทเรียนบทหนึ่งไปด้วย นั่นคือการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมีประสิทธิภาพ

อาจารย์ลิเลียน่าบอกว่า ‘ใครที่มีประโยชน์ในการต่อสู้’ ซึ่งการมีประโยชน์นั้นไม่ใช่แค่การรีบฆ่า แต่ยังมีการสนับสนุนเพื่อนได้ดีอีก

หากสนับสนุนได้ดีก็ถูกนับว่ามีประโยชน์เช่นกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาให้นักเรียนพยายามคิดหากันเอาเองว่าตัวเองถนัดอย่างไหน

ควรเลือกที่จะสนับสนุนหรือจะต่อสู้ เพื่อที่จะได้เป็นตัวแทนของห้อง.. เรียกได้ว่านอกจากจะหาตัวแทนของโรงเรียน ยังเป็นการทดสอบสัญชาตญาณของนักเรียนด้วย

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนั่นเอง..

แต่ในตอนนั้นเอง ทสึรุก็ยกมือขึ้นกล่าว

“แต่ว่าอาจารย์คะ โรงเรียนเรามีห้องเรียนปกติห้าห้องก็จริง แต่ยังมีห้องระดับพิเศษอีกสองห้องไม่ใช่เหรอคะ หมายความว่าบางห้องมีโอกาสจะไม่มีตัวแทนเหรอคะ?”

อาจารย์ลิเลียน่าก็พยักหน้าตอบง่ายๆ

“เดิมทีควรจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่ทางผู้อาวุโสของโรงเรียนลิเบอร์ได้ตัดสินใจเรื่องการจัดห้องใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้ากำลังจะพูดหลังจากนี้”

“โรงเรียนลิเบอร์ของเราตัดสินใจที่จะยุบห้องเรียนระดับพิเศษออกไป เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าหลายปีที่ผ่านมาอัตราการสมัครเข้าเรียนของโรงเรียนเรานั้นลดลงอย่างมาก”

“ซึ่งทำให้ตอนนี้ห้องเรียนพิเศษฝั่งหญิงมีนักเรียนไม่ถึงสิบคน อีกทั้งห้องเรียนฝั่งชายก็มีสิบกว่าคนเท่านั้น”

“ทางโรงเรียนจึงตัดสินใจที่จะยุบห้องเรียนระดับพิเศษให้มีห้องเรียนระดับปกตินั่นเองค่ะ”

เธอกล่าวแบบนั้น ทุกคนก็ประหลาดใจ แต่เลวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เลทิเซียก็เหมือนจะตกใจหนักกว่าใครเธอผุดลพกขึ้นพร้อมกับถาม

“เดี๋ยวก่อนนะ แบบนั้นหมายความว่าจะมีการห้องใหม่สิ ข้ากับเพื่อนๆ ในห้องพิเศษนี้ต้องแยกกันเหรอ?”

ดวงตาของเธอเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ก็เธอไม่อยากจัดห้องใหม่นี่น่า อุตส่าห์ได้อยู่ห้องเดียวกับท่านพี่เลทิเซียของเธอแล้วแท้ๆ นะ

ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ! ถ้าหากไม่ได้อยู่กับเลทิเซีย เลวี่ไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไง แค่คิดก็รู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้นหัวแล้ว

แต่คำตอบของอาจารย์ลิเลียน่าก็แทบทำให้เธอเป็นลมล้มพับลงไปตรงนั้น

“ถูกต้องค่ะ.. เพื่อให้นักเรียนในแต่ละห้องมีจำนวนเท่าๆ กัน นักเรียนจากห้องเรียนพิเศษจะถูกกระจายกันอยู่ในห้องที่แตกต่างกันออกไป”

ใช่แล้ว.. พวกเธอกำลังจะถูกย้ายห้องนั่นเอง

ปี 1

บทที่ 5 – เวทมนตร์และกลศาสตร์ควอนตัม

 

เลทิเซียเองก็คิดตามสิ่งที่ศาสตราจารย์พูดเหมือนกัน เพราะหัวข้อนี้ไม่ใช่การทบทวนการเรียนตลอดครึ่งเทอมที่ผ่านมา

เลวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เลทิเซียก็ยกมือขึ้น พร้อมกับพูดขึ้น

“แต่ว่าศาสตราจารย์คะ เวทมนตร์ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากของกึ่งมนุษย์และปีศาจไม่ใช่เหรอคะ? เพราะว่าเวทมนตร์มนุษย์จำเป็นต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘หลักการ’ หรือ ‘สูตร’ เช่น.. หากข้าอยากจะสร้างไฟข้าต้องเข้าใจว่า ไฟเกิดจากอะไรบ้าง..”

“แต่ตามที่ศาสตราจารย์กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้เหมือนกำลังพยายามจะบอกว่า ‘เวทมนตร์น่ะอยู่นอกหลักความจริง ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบก็ใช้ได้’ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเวทมนตร์มนุษย์ในการจะแทรกแซงอะไรบางอย่างนั้นต้องใช้หลักการ ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักหรือไม่มีอยู่จริงมันก็ไม่สามารถสร้างได้ไม่ใช่เหรอคะ?”

เลวี่กล่าวถามออกไปแบบนั้น ศาสตราจารย์คนนั้นแปลกใจเล็กน้อยแต่เขาก็รู้ดีว่าห้องเรียนพิเศษเป็นห้องแบบไหน

นอกจากนี้พอเลวี่ถามคำถามขึ้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับกันเขารู้สึกชื่นชมเลวี่ด้วยซ้ำ เขาพยักหน้าแล้วกล่าวตอบ

“เป็นคำถามที่ดี คุณเลวิเนีย”

ถึงแม้เลวิเนียจะเป็น ‘องค์หญิง’ แต่สำหรับที่นี่แล้วเธอเป็นนักเรียนของศาสตราจารย์.. ศาสตราจารย์ใช้สรรพนาม ‘คุณ’ หาใช่ ‘ท่าน’

ซึ่งทุกคนล้วนทราบกันดีว่ามันควรเป็นแบบนั้น เพราะนี่คือโรงเรียนที่ตั้งอยู่นอกอาณาจักร.. ซึ่งตั้งอยู่เขตที่เรียกว่า ‘ดินแดนไร้อาณา’

เป็นดินแดนที่ไม่อยู่ภายใต้อาณาจักรใดเลย ซึ่งว่าง่ายๆ คือกฎหมายในอาณาจักรอื่นใช้ไม่ได้ที่นี่นั่นแหละ ซึ่งความจริงแล้วสถานที่แบบนี้ควรจะเต็มไปด้วยอาชญากรรม

แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่ดูแลดินแดนไร้อาณาแห่งนี้อยู่คือโรงเรียนเวทมนตร์นั่นแหละ ถ้าให้เปรียบเทียบโรงเรียนลิเบอร์เหมือนเชื้อพระวงศ์

ที่ปกครองดินแดนไร้อาณาอยู่.. แค่ว่าที่แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีการเสียภาษีอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่มีการรองรับความปลอดภัยเช่นกัน

แม้พวกโจรหรือคนชั่งจะหวาดเกรงต่อโรงเรียนลิเบอร์เลยลงมือแบบโจ่งแจ้งไม่ได้ก็จริง แต่ว่าก็ไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกโรงเรียนนี้มีบอร์ดภารกิจซึ่งช่วยฝึกนักเรียนอยู่ ซึ่งหากมีการปล้นกันเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้

นักเรียนจะสามารถรับภารกิจไปจัดการโจรเหล่านั้นได้นั่นแหละ ว่าง่ายๆ คือถึงโรงเรียนลิเบอร์จะไม่เก็บภาษีแต่ถ้าหากมีการปล้นกันเกิดขึ้นก็จะช่วยฝึกให้นักเรียนได้

นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันทั่วไปว่านักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ระดับทวีปเก่งขนาดไหน.. อาชญากรรมในแดนไร้อาณาเลยมีค่อนข้างน้อย

เพราะกลัวจะได้มีเรื่องกับนักเรียนโรงเรียนลิเบอร์.. แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี มีคนชั่วมากมายที่ดูถูกเด็กน่ะนะ.. ถึงสุดท้ายก็โดนเก็บซะเรียบก็เถอะนะ

กลับมาเรื่องเดิมกันก่อน.. ศาสตราจารย์คนนั้นกล่าวชมเลวิเนียที่ตั้งคำถามได้ถูกประเด็นดี.. ศาสตราจารย์คนนี้มีชื่อว่า ‘โรเบิร์ด’

เขาเป็นผู้ศึกษาและเชี่ยวชาญในเรื่องจิตวิทยาเวท.. จิตวิทยาเวทคืออะไร ก็เหมือนกับจิตวิทยาทั่วไป แต่จิตวิทยาทั่วไปนั้นจะเป็นการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์

หรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่จิตวิทยาเวทก็คือการศึกษาเจาะลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของรูปแบบเวทมนตร์

เช่นแบบที่กล่าวไปข้างต้น ทำไมการใช้เวทมนตร์ถึงไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เป็นการสร้างของตัวมันเอง เพราะว่านั่นคือพฤติกรรมของเวทมนตร์อย่างหนึ่ง

เขากล่าวตอบเลวี่ด้วยรอยยิ้มว่า

“แน่นอนว่าสิ่งที่คุณเลวิเนียพูดมาคือความจริง.. ไม่ใช่เพียงแค่เวทมนุษย์หรอกแต่รวมถึงเวทปีศาจและเวทกึ่งมนุษย์ด้วย”

“พวกเขาไม่สามารถสร้างหรือหยิบยืมสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จักได้ เพราะการใช้เวทนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดย ‘ผู้สังเกต’ หรือก็คือตัวเรา”

“และผู้สังเกตไม่มีทางที่จะสามารถสร้างสิ่งที่ตนเองไม่รู้จักออกมาได้ถูกหรือเปล่า?”

เขากล่าวแบบนั้น เลวี่ก็พยักหน้า..

แต่โรเบิร์ดยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม..

“คุณเลวิเนีย คุณรู้จักแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์หรือเปล่า?”

เลวี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็เอียงคอสงสัย ไม่ใช่แค่เลวี่ทุกคนเลยแหละที่อยู่ในห้องแห่งนี้ล้วนงุนงง มีเพียงคนเดียวที่เหมือนจะถูกปลุกออกมาจากทะเลความคิดจากคำพูดนี้

แน่นอนว่าคนคนนั้นคือเลทิเซีย.. เลทิเซียได้ยินคำพูดของศาสตราจารย์โรเบิร์ดเธอก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ

“อะไรนะ?!”

“คุณเลทิเซีย? คุณรู้จักทฤษฎีที่ผมกล่าวไปงั้นเหรอ?”

ศาสตราจารย์ที่เห็นเลทิเซียตอบสนองกับคำพูดของเขา เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย.. แต่ก็ถามอแกไผด้วยความฉงน

เลทิเซียเป็นเด็กที่ฉลาด เขารู้และอาจารย์หรือศาสตราจารย์ทุกคนรู้ ไม่ว่าจะเรื่องวิทยาศาสตร์หรือเรื่องเวทมนตร์เลทิเซียแทบนำหน้าอาจารย์อย่างพวกเขาด้วยซ้ำ

แต่ทฤษฎีนี้.. เป็นทฤษฎีที่ถูกค้นพบโดยตัวของเขาเองจากซากโบราณสถานที่คาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีก่อนเลยนะ

เลทิเซียจะรู้จักเรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ..

“เมื่อกี้ศาสตราจารย์บอกว่าเป็นแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์ ใช่ไหมคะ?”

“แน่นอนครับ คุณเลทิเซียรู้จักหรือ?”

เลทิเซียพยักหน้าเล็กน้อย.. ไม่รู้จักได้ไงล่ะ เธอน่ะรู้จักดีเลยด้วยซ้ำทฤษฎีดังโลกแตกแบบนั้นน่ะ ใช่.. ทฤษฎีในโลกเก่าของเธอ

เลทิเซียเป็นผู้กลับชาติมาเกิด และก่อนที่เธอจะกลับชาติมาเกิดเธอเป็นถึงผู้ช่วยในโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์

โปรเจกต์ ‘ไทม์มีชชีน’ ใช่ เธอเป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ที่สร้างไทม์มีชชีนเครื่องแรกของโลก และก็ทำสำเร็จจริงๆ แล้วด้วย

และแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นคนในแวดวงนี้จะไม่รู้จักแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์ก็คงแปลกๆ … แต่ที่เธอตกใจทำไมทฤษฎีนั้นถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ?

อันที่จริงแนวคิดของแมวในกล่องโลกนี้อาจจะมีคนคิดแบบคุณชโรดิงเงอร์ก็ได้… แต่ชื่อทฤษฎีมันคือ แมวในกล่องของชโรดิงเงอร์!

หรือก็คือทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีของคุณชโรดิงเงอร์จากโลกก่อนอย่างแน่นอน แล้วมันมาอยู่ในโลกนี้ได้ไงล่ะ?

เป็นคนเกิดใหม่แบบเลทิเซียแล้วเอามาเผยแพร่งั้นเหรอ? .. แต่ถ้าเป็นงั้นทำไมไม่เคลมว่าเป็นทฤษฎีของตัวเองโดยการใส่ชื่อตัวเองแทนซะละ

อีกอย่าง.. มีคนเกิดใหม่นอกจากเลทิเซียด้วยอย่างงั้นเหรอ? เธอได้แต่ขมวดคิ้วกับตัวเอง.. แต่ก็วางไว้ข้างๆ ฟังสิ่งที่ศาสตราจารย์โรเบิร์ดพูด

“งั้นก็พอดีเลย ข้าลังเลว่าจะพูดดีไหมเพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าพึ่งค้นพบมาเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าคุณเลทิเซียรู้จักก็หมายความว่าคงจะมีการบันทึกไว้ที่อื่นด้วยงั้นสินะ”

เขาไม่คิดว่าเลทิเซียจะโกหก และไม่คิดว่ามีความจำเป็นที่เลทิเซียจะต้องโกหกด้วย เขากล่าวสืบต่อไปว่า

“แมวของชโรดิงเงอร์คือ.. สมมุติว่าเอาแมวเข้าไปไว้ใจกล่องกล่องหนึ่ง และเราที่เป็นผู้สังเกตนั้นจะไม่มีทางรู้เลยว่าแมวที่อยู่ในกล่องนั้นเป็นหรือตายตราบใดที่ยังไม่เปิดมันออกมาดูถูกหรือเปล่า?”

“ซึ่งนั่นหมายความว่า ความเป็นไปได้ที่แมวที่อยู่ในกล่องกล่องนี้จะตายหรือไม่ตายคือ 50/50”

“และนั่นก็หมายความว่าสถานะของแมวตัวนี้จะมีสถานะคือทั้งตายและไม่ตายในเวลาเดียวกัน หรือพูดอีกอย่างคือ แมวตัวนี้จะทั้งตายและไม่ตายในเวลาเดียวกันนั่นเอง”

เลวี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวขึ้น

“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะความจริงเป็นสิ่งที่แน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็นภายในกล่องแต่ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องจะไม่แน่นอน”

ศาสตราจารย์โรเบิร์ดยังคงยิ้มแล้วกล่าวตอบ

“ถูกต้องแค่ส่วนหนึ่งครับ.. แต่ว่าความจริงภายในกล่องตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนครับ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้สังเกตการณ์’ มองดูความจริงไง มันเลยจะสามารถเป็นอะไรก็ได้นั่นเองครับ”

“แบบเดียวกับเวทมนตร์นั่นแหละครับ เวทมนตร์คือการที่เราสามารถสร้างสิ่งที่เราสามารถระบุได้เท่านั้น แต่สิ่งที่ไม่สามารถระบุได้นั้นกลับทำไม่ได้เพราะเราในฐานะผู้สังเกตนั้นไม่รู้จัก”

“คุณไม่คิดว่าทฤษฎีนี้มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ในโลกของเราบ้างหรือครับ? เวทมนตร์จะแสดงผลลัพธ์ก็ต่อเมื่อมีผู้สังเกตรังสรรค์”

“แต่ถ้าผู้สังเกตไม่รู้จักหรือไม่สามารถระบุได้ เวทมนตร์จะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์หรือความเป็นจริงในรูปแบบไหนตามขึ้นมาได้.. ถึงขั้นเวทมนตร์อาจจะไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกด้วนซ้ำ”

เขากล่าวออกมาแบบนั้น

หากจะบอกว่า ‘นั่นมันก็แค่ไม่รู้จักเลยใช้ไม่ได้ไม่ใช่หรือไง’ อันที่จริงมันก็ถูก แต่ทว่านี่เป็นแค่การตั้งคำถามกับพฤติกรรมของเวทมนตร์ว่า..

เวทมนตร์คืออะไรกันแน่ ทำไมเวทมนตร์ถึงทำให้ชีวิตสุขสบาย อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะสร้างอะไรก็ได้?

ใช่แล้ว.. นี่น่ะเป็นอีกก้าวหนึ่งของเวทมนตร์

ในขณะที่เลทิเซียฟังทุกอย่างมาเธอก็พึมพำกับตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า..

“จะบอกว่าไอ้เวทมนตร์แฟนตาซีคือกลศาสตร์ควอนตัมหรือไงกัน”

อันที่จริงเลทิเซียก็แอบคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วถึงขั้นลองใช้เวทมนตร์เพื่อทดสอบด้วย… ซึ่งผลลัพธ์ก็ค่อนข้างเป็นที่น่าพึงพอใจ

แต่ในตอนเองระฆังหมดคาบก็ดังขึ้น.. ถึงเวลาพักเที่ยงแล้วนั่นเอง

ปี 1

บทที่ 4 – เวทศึกษา

 

ในห้องเรียนพิเศษนี้มีคนอยู่ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ… ดวงตาของเลทิเซียกวาดไปทั่วห้องเรียน.. ในห้องนี้มีคนประมาณหกคน

มีเลทิเซีย.. เลวิเนียหรือเลวี่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลทิเซีย.. เธอคือน้องสาวของเลทิเซีย ถึงจะไม่ใช่น้องจริงๆ เพราะเลทิเซียถูกพ่อกับแม่เลวี่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ

ตั้งแต่เลวี่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ.. เลวี่เป็นเด็กผู้หญิงผมสีฟ้ายาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มของเธอนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่เข้าหาคนอื่นเก่ง

และอาจจะเพราะผมยาวขาวสลวยของเธอที่ถูกดูแลมาอย่างดีในฐานะเจ้าหญิงลำดับที่สอง เลยทำให้เธอเป็นที่ดึงดูดพอสมควรทั้งสำหรับเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน..

แต่มีบางสิ่งที่เธอต่างจากเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เพราะเธอค่อนข้างที่จะคลั่งไคล้พี่สาวตัวเองอย่างเลทิเซียในระดับหนึ่ง

ซึ่งความคลั่งไคล้นั้นมันมากเกินกว่าคำว่าพี่น้องจะอธิบายได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเลวี่ไม่รู้ว่าเลทิเซียไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง..

หากรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กับเลทิเซียจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าเธออาจจะเผลอลงมือกับเลทิเซียเข้าเลยก็ได้… ลงมือที่ว่านี่หมายถึงในหลายๆ ความหมายน่ะนะ

ห่างออกไปอีกด้านหนึ่งก็มีเด็กผู้หญิงที่ไว้ผมทรงฮิเมะคัตนั่งเรียนอยู่ เธอมีผมสีดำยาวมัดไว้ผมทรงหางม้าดูเรียบร้อย

ผสมกับชุดเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบโรงเรียนที่ออกแบบมาอย่างประณีตมันยิ่งทำให้เธอมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก.. แม้จะยังเทียบกับเจ้าหญิงสองคนอย่างเลทิเซียกับเลวี่ที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้

แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง.. เธอมีชื่อว่า โอโฮวริ ทสึรุ เพื่อนคนสำคัญของเลทิเซีย ทสึรุเป็นเด็กดีและเชี่ยวชาญวิชาทวนเป็นอย่างมาก

เธอได้สอนหลายๆ อย่างให้เลทิเซียได้รู้ แถมเธอยังเป็นรูมเมจกับเลวี่น้องสาวเลทิเซียอีกด้วย

ข้างๆ ทสึรุก็มีเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลแกมเหลืองพร้อมทั้งหูสองข้างที่ตั้งชันขึ้นชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่มนุษย์

ไม่สิ หูธรรมดาของเธอก็มี.. หูธรรมดาแบบมนุษย์ของเธอมีหน้าที่ในการฟังเสียงทั่วไปเพื่อพูดคุยกับคนอื่น

แต่หูสองข้างบนหัวที่ตั้งชันเป็นหูของเผ่าครึ่งสัตว์โดยเฉพาะซึ่งมีหน้าที่ฟังเสียงที่หูธรรมดาไม่ได้ยิน

ว่าไงดี.. โดยทั่วไปแล้วมนุษย์จะมีประสาทสัมผัสทั้งห้าซึ่งประกอบไปด้วย การสัมผัส, การรับรส, การได้ยิน, หารรับกลิ่นและการมองเห็น

แต่กึ่งมนุษย์จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สัมผัสที่หก’ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ว่าสัมผัสที่หกของพวกเขาคืออะไร

เช่นเอล์ฟก็จะมีสัมผัสที่หกคือ ‘เนตรวิเศษ’ เป็นการเสริมประสิทธิภาพการมองเห็นให้สามารถมองเห็นจากมุมต่างๆ ของพื้นที่ ที่ระยะสายตาของเอล์ฟไปถึง

ซึ่งผู้หญิงผมสีน้ำตาลแกมเหลืองนี่ก็ไม่ใช่เผ่าอะไรนอกจาก เผ่าจิ้งจอก. ซึ่งสัมผัสที่หกของเธอคือการ ‘ได้ยินเสียง’

โดยปกติแล้วหูของมนุษย์หรือปีศาจในโลกนี้จะสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ และไม่สูงเกินกว่า 20,000 เฮิรตซ์

แต่หูของเผ่าจิ้งจอกสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่ำกว่า 20 และมากกว่า 20,000 เฮิรตซ์ได้ประมาณสามถึงสี่เท่าเลย

ซึ่งมันช่วยในการต่อสู้อย่างมาก.. นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เผ่าจิ้งจอกค่อนข้างได้รับความนิยม ซึ่งเธอคนนี้ก็เหมือนจะเป็นที่นิยมไม่เบา

อิซานะ นั่นคือชื่อของเธอ แน่นอนว่าเธอเป็นคนจากเผ่ากึ่งมนุษย์ ซึ่งเลทิเซียได้บังเอิญไปรู้จักกับเธอเพราะเผลอไปช่วยน้องชายของเธอจากพวกคนไม่ดี

ซึ่งอิซานะค่อนข้างจะนับถือเลทิเซียอยู่พอสมควร

ห่างไปอีกฟากของห้องก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอมีผมสีชมพูยาวความงามของเธอนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน..

เพียงแต่รอบๆ ตัวของเธอมีกลิ่นอบอวลบางอย่างทำให้เธอไม่เป็นที่ดึงดูดเท่าไหร่ เธอคือ อเล็กเซีย หญิงสาวที่เต็มไปด้วยปริศนาเป็นคนเดียวในห้องที่เลทิเซียแทบไม่ได้คุยด้วย

คนสุดท้ายคือเด็กผู้หญิงที่มีผมสีขาวดวงตาสีดำ.. ผู้ที่เป็นรูมเมจของเลทิเซีย ชาร์ล็อต กอร์แด… อันที่จริงชื่อของเธอยาวกว่านี้

ชื่อเต็มๆ เธอมีชื่อว่า ‘มารี-แอน ชาร์ล็อต เดอ กอร์แด ดาร์มง’ ซึ่งแม้แต่ในโลกนี้ก็ยังเป็นชื่อที่ยาวและแปลกตา

วินาทีแรกที่เลทิเซียได้ยินชื่อนี้เธอก็ถึงกับยืนงงอยู่เหมือนกัน เพราะนอกจากจะยาวแล้วยังเป็นชื่อสไตล์ฝรั่งเศส

แถมเธอยังเป็นเผ่าอสูรที่ลึกลับด้วย

เผ่าอสูรคืออะไร?

เผ่าอสูรคือเผ่าพันธุ์พิเศษที่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครสามารถระบุได้ชัดว่าพวกเขามาจากไหนมีเพื่ออะไร

เผ่าอสูรจะมีหลายประเภท ซึ่งรวมถึงประเภทมนุษย์เช่นกันและชาร์ล็อตก็เป็นเผ่าอสูรประเภทมนุษย์

แต่นอกจากนี้พวกสัตว์อสูรที่ดุร้ายอย่างพวก มอนสเตอร์ ในโลกนี้ก็เป็นเผ่าอสูรเหมือนกัน.. ซึ่งแตกต่างจากชาร์ล็อตคือชาร์ล็อตมีชีวิตจิตใจแต่พวกมันไม่

เผ่าอสูรมีหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นมังกรพ่นไฟ หรือจอมปีศาจซาตาน

เผ่าอสูรไม่มีแหล่งกำเนิดที่แน่ชัด พวกเขาค่อนข้างจะมีความประหลาดเพราะเมื่อพวกเขารู้สึกตัวขึ้นมาบนโลกนี้ พวกเขาจะอายุสี่ห้าขวบเลย

พวกเขาจะจำความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวไม่ได้เลย และไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกครอบครัวทิ้ง นอกจากนี้เผ่าอสูรยังไม่สามารถมีลูกได้

ไม่สิ มีได้แต่แค่บางคนเท่านั้น

นอกจากนี้เผ่าอสูรยังตายค่อนข้างยากบางทีพวกเขาก็มีพลังฟื้นฟูสุดน่ากลัวในระดับที่โดนตัดหัวก็ยังฟื้นฟูกลับมาได้

แต่บางทีก็ดันถูกฆ่าหรือตายได้แบบง่ายๆ เช่นเมื่อวานถูกตัดคอแต่ฟื้นฟูได้ แร่พอวันนี้ถูกตัดแขนแล้วรักษาไม่ทันกลายเป็นว่าตายซะอย่างนั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าอสูรถึงลึกลับขนาดนี้ … นั่นเพราะในตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถอธิบายความประหลาดของเผ่าอสูรได้

ใช่แล้ว ในห้องเรียนพิเศษนี้นอกจากจะมีคนน้อยไม่พอ ยังมีแต่ผู้หญิง.. เพราะว่าห้องเรียนพิเศษจะถูกแบ่งออกเป็นสองห้องคือห้องชายกับห้องหญิง

สาเหตุที่แบ่งออกเป็นสองห้องแบบนี้เพราะความต่างระหว่างเพศมันมีมากกว่าความต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ซะอีก

คงจะเกิดข้อสงสัยว่าถ้าแยกห้องชายกับหญิง แล้วไม่แยกห้องแต่ละเผ่าบ้างล่ะ ในเมื่อเวทมนตร์แต่ละเผ่าแตกต่างกันแบบนั้น?

แน่นอนว่าห้องเรียนนั้นมีไว้จำแนกเฉยๆ ว่านักเรียนอยู่ส่วนไหน แต่เมื่อถึงเวลาเรียกวิชาเวทมนตร์หลักๆ จริงๆ วิชาจะถูกแบ่งออกเป็นคอร์สให้เข้าเรียน

เช่นวิชาเวทมนตร์มนุษย์ มนุษย์ก็สามารถไปสมัครได้ แน่นอนว่าเผ่าอื่นก็สมัครได้ เพียงแต่มันไม่ช่วยอะไรน่ะนะ

โรงเรียนเวทมนตร์ค่อนข้างมีการเรียนการสอนที่ค่อนข้างที่จะเปิดกว้างเพื่อให้นักเรียนได้เลือกเรียนในสิ่งที่สนใจจริงๆ

โดยการสอนจะแบ่งออกเป็นช่วงเช้าจะสอนในห้องเรียน เป็นวิชาทั่วไปอย่าง วิชาวิทยาศาสตร์ สุขศึกษา ประวัติศาสตร์ ฯลฯ

ช่วงบ่ายจะเป็นคาบเรียนเปิดที่นักเรียนสามารถเลือกสมัครเข้าเรียนได้ แน่นอนว่าจะไม่สมัครเลยก็ได้ ก็จะได้มีเวลาว่างทั้งตอนบ่าย

แต่ถ้าหากไม่เข้าเรียนสักห้าวิชาเพื่อเก็บ ‘เกรดเฉลี่ย’ จากวิชาช่วงบ่ายจะไม่สามารถสอบเลื่อนชั้นได้

วิชาช่วงบ่ายส่วนใหญ่จะเป็นวิชาเกี่ยวกับการปฏิบัติจริง เช่นวิชาศาสตร์เวทมนตร์แต่ละเผ่า วิชาปฏิบัติเวทมนตร์ วิชาการต่อสู้ด้วยทวน ฯลฯ

เรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะมีหลากหลายเลย..

ส่วนวิชาที่เรียนตอนนี้คือวิชาเวทศึกษา.. เวทศึกษาก็เหมือนกับสังคมศึกษาหรือสุขศึกษา คือการนำเอาหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องเวทมนตร์มาพูด

แน่นอนว่าเวทมนตร์ที่ว่าคือเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘โครงสร้าง’ ของมันมากกว่า ดังนั้นเลยสามารถมาเป็นวิชาคาบเช้าได้

อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องเขาเป็นศาสตราจารย์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ผมของเขาสีค่อนข้างออกไปทางเทาๆ สวมชุดกาวน์สีขาว

เขาหยิบอุปกรณ์เวทมนตร์ขึ้นมาขีดเขียนไปยังหน้ากระดาน พร้อมกับกล่าว.

“เพราะแบบนั้นเองเวทมนตร์ถึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างลึกลับ คนต่างเผ่าไม่สามารถใช้เวทมนตร์อีกเผ่าได้ แต่กลับกันเวทมนตร์ที่ ‘แสดง’ ออกมาเพื่อเป็นรูปร่างกลับไม่ต่างกัน”

“ถ้าหากให้ยกตัวอย่างว่า.. เวทมนตร์มนุษย์คือการ ‘แทรกแซง’ ให้มีผลลัพธ์ที่เรียกว่า ‘ไฟ’ และเวทมนตร์ปีศาจเองก็สามารถ ‘สร้าง’ ผลลัพธ์ที่เป็น ‘ไฟ’ ได้เหมือนกัน”

“ทั้งที่ต้นเหตุของทั้งสองต่างกันสุดขั้วนี่ ทำไมไฟที่ถูกสร้างมาแล้วถึงถูกนับว่าเป็นเวทมนตร์ไฟเหมือนกัน?”

“พวกเธออาจจะคิดว่า ‘เพราะไฟมันมีมาตั้งแต่แรกแล้ว เวทมนตร์น่ะ แค่สร้างสิ่งที่มีอยู่หรือเลียนแบบ ‘ไฟ’ ให้มันปรากฏขึ้นมาได้ด้วยพลังเวท’ อะไรแบบนี้อยู่”

“แต่คำถามคือ.. คิดว่าไฟเกิดขึ้นมาก่อน ‘เวทมนตร์’ จริงๆ หรือ? ไม่สิแรกเริ่มเดิมทีหากสามารถเปลี่ยนเวทมนตร์ไฟไปเป็น ‘อักษรรูน’ ได้แล้วไฟที่พวกเธอครอบครองถึงจะต่างจากไฟธรรมดาเพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบโลกได้ถูกหรือเปล่า?”

“ซึ่งอักษรรูนไฟก็จะแผดเผาได้แม้แต่ไฟด้วยกันเอง พูดบางระดับคือไฟมันเลื่อนระดับไปได้ด้วย ‘เวทมนตร์’ แต่ในทางตรงกันข้ามไฟในความจริงที่ไม่อิงเวทมนตร์ ต่อให้เพิ่มความร้อนเป็นกี่องศามันก็ไม่สามารถเผาในสิ่งที่เผาไม่ได้อย่างไฟด้วยกันเอง”

“พูดอีกอย่างคือเวทมนตร์สามารถพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าได้ แต่ ‘ไฟ’ บนโลกนี้กลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

“ทีนี้พวกเธอยังจะคิดอยู่อีกไหมว่าเวทมนตร์น่ะแค่ ‘เลียนแบบ’ สิ่งที่มีอยู่แล้วขึ้นมาเฉยๆ !”

 

………….

[อืดหน่อยนะช่วงนี้… ฮา แต่ไม่ต้องห่วงจะพยายามอัพให้ได้วันละสองตอนครับ – ผู้เขียน]

ปี 1

บทที่ 3 – จอมเวท

 

ถ้าจะถามว่าเป็นยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ที่นี่คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้… ในห้องเรียนพิเศษ..

ห้องเรียนพิเศษคืออะไร? ในโรงเรียนลิเบอร์แต่ละชั้นปีจะมีห้องเรียนพิเศษอยู่ชั้นปีละสองห้อง.. ห้องเรียนพิเศษคือห้องเรียนที่รวบรวมเด็กที่แตกต่างจากคนอื่นเอาไว้

โดยในชั้นปีจะแบ่งห้องออกเป็น A, B, C, D, F แต่ละห้องจะมีนักเรียนอยู่ประมาณ 30 กว่าคนเห็นจะได้

ก็ไม่แปลกแม้โรงเรียนลิเบอร์จะเป็นโรงเรียนระดับทวีปขนาดใหญ่ แต่การเข้าโรงเรียนค่อนข้างเข้มงวด แถมปีนี้การสมัครเข้าโรงเรียนอื่นนอกจากโรงเรียนลิเบอร์จะดีกว่า เพราะโรงเรียนลิเบอร์อยู่ในช่วงขาลง

ทำให้โรงเรียนลิเบอร์ในตอนนี้จึงมีนักเรียกใหม่ในชั้นปีหนึ่งเพียงร้อยกว่าเท่านั้นนั่นเอง.. ส่วนห้องพิเศษนั้นแตกต่างออกไป

ห้องพิเศษเหมือนห้องที่รวบรวมเอาคนประหลาดมาไว้ จะว่าเก่งก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะบางคนเข้าห้องพิเศษได้ด้วยของอย่างอื่น

แต่แน่นอนว่า.. เลทิเซียที่อยู่ในห้องนี้ได้นั้นเป็นเพราะเธอมีความสามารถมากพอ เลทิเซียเท้าคางในมือถืออุปกรณ์ที่คล้ายกับปากกาเขียนบางอย่างลงกระดาษด้วยความเรื่อยเปื่อย

ตอนนี้อาจารย์ที่สอนวิชาเวทศึกษากำลังทบทวนบทเรียนให้พวกเราฟังอยู่ เพราะใกล้จะถึงการสอบกลางภาคแล้วน่ะสิ

ซึ่งการทบทวนบทเรียนเพื่อย้ำเตือนถึงสิ่งที่เคยเรียนมันเป็นเหมือนการกระตุ้นความทรงจำอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การทบทวนถูกบันทึกไว้ในสมองอย่างแม่นยำมากขึ้น

พอเป็นแบบนั้นจะทำให้พอถึงเวลาสอบจะสามารถทำข้อสอบออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา แน่นอนว่าเป็นแนวทางของ โรงเรียนนี้ล่ะนะ

แถมโรงเรียนนี้ถึงจะบอกว่าเป็นโรงเรียนระดับทวีปแต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่คนฉลาดเข้ามาเรียนได้ ยังสามารถใช้อำนาจทางบ้านเข้ามา

แน่นอนว่าในทางตรงกันข้ามโรงเรียนเวทมนตร์ต่อให้คุณไม่ใช่คนที่เป็นขุนนางก็สามารถเข้ามาเรียนได้หากมีความสามารถมากพอ

โรงเรียนเวทมนตร์นั้นแม้จะบอกว่าเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ แต่จริงๆ โรงเรียนไม่ได้สอนแค่เรื่องเวทมนตร์เป็นหลักหรอก

เพราะยังมีวิชาอาวุธระยะประชิดอยู่ สาเหตุที่ใช้ชื่อว่า ‘โรงเรียนเวทมนตร์’ เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นถึงจอมเวทระดับพาลาดินนั่นแหละนะ..

ส่วนหัวข้อที่อาจารย์กำลังบรรยายก็เป็นหัวข้อเกี่ยวกับระดับของจอมเวทอยู่พอดีเลย..

จอมเวทระดับพาลาดินคืออะไร?

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องจอมเวทระดับพาลาดินก็ขอพูดถึงเรื่องเวทมนตร์บนโลกใบนี้ก่อนว่าโลกนี้มีเวทมนตร์แบบไหนและยังไง…

โดยทั่วไปแล้วในโลกนี้จะมีเวทมนตร์อยู่หลักๆ ถึงสี่รูปแบบด้วยกัน.. ซึ่งประกอบไปด้วยเวทมนตร์ปีศาจ เวทมนตร์มนุษย์ เวทมนตร์กึ่งมนุษย์

และเวทมนตร์แฟร์รี่

เวทมนตร์แฟร์รี่นั้นห่างไกลตัวเกินไปงั้นจะขอพูดถึงเวทมนตร์สามแบบข้างต้นก่อน ก็อย่างที่บอกเลยว่าเวทมนตร์นั้นมีสามแบบซึ่งแบ่งออกตามเผ่าพันธุ์

เวทมนตร์ปีศาจคือการ ‘สรรค์สร้าง’ องค์ประกอบบางอย่างขึ้นมาอย่างง่ายดายเพื่อทำให้กลายเป็นเวทมนตร์

เวทมนตร์มนุษย์คือการ ‘แทรกแซง’ กฎของโลกใบนี้ด้วยหลักการหรือทฤษฎีเวทมนตร์บางอย่าง

เวทมนตร์กึ่งมนุษย์คือการ ‘หยิบยืม’ พลังจากธรรมชาติ ซึ่งพูดง่ายๆ มันคือการยืมพลังจากรอบด้านมาใช้เพื่อตนเองนั่นแหละ

เผ่าปีศาจนั้นมีพลังเวทภายในตัวค่อนข้างเยอะจึงทำให้สามารถสรรค์สร้างออกมาได้โดยตรง ต่างกับมนุษย์ที่มีพลังเวทน้อยจึงไม่สามารถสร้างออกมาได้แบบปีศาจ

จึงเลือกที่จะแทรกแซงปรากฏการณ์ด้วยเวทมนตร์ของตนเอง.. ในขณะที่กึ่งมนุษย์นั้นมีเวทมนตร์ระดับกลางๆ แต่เพราะเวทมนตร์ในตัวพวกเขาค่อนข้างจะหลอมผสานกับธรรมชาติรอบๆ ตัวทำให้พวกเขาสามารถหยิบยืมพลังจากธรรมชาติมาช่วย

หากให้เปรียบเทียบง่ายๆ พลังเวทในตัวก็เปรียบเหมือนน้ำในแก้ว เผ่าปีศาจนั้นมีน้ำเต็มแก้วจนล้นพร้อมที่จะดึงออกมาจากปากแก้วเพื่อสร้างเวทมนตร์

แต่มนุษย์นั้นมีน้ำในแก้วน้อยจึงเลือกที่จะ ‘แทรกแซง’ แก้วออกมาเพื่อสร้างเป็นเวทมนตร์โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าหลักการ

ส่วนกึ่งมนุษย์นั้นจะไม่มีแก้วมาตั้งแต่แรก พวกเขาต่างจากสองเผ่าด้านบนโดยสิ้นเชิง.. หากเทียบพลังเวทเป็นน้ำ สำหรับพวกกึ่งมนุษย์พลังเวทของพวกเขาก็ลอยอยู่อย่างนั้น

ไม่มีอะไรมาปิดกั้นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาตินั่นเอง…

ซึ่งตัวของจอมเวทมีแบ่งระดับ และระดับเหล่านี้ไม่แบ่งแยกรูปแบบเวทมนตร์.. ว่าง่ายๆ คือทุกเวทมนตร์ล้วนมีระดับแบบนี้นั่นแหละ โดยจะแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับ

หนึ่ง..นักเรียนฝึกหัด

นักเรียนฝึกหัดคือตามชื่อยังไม่ใช่จอมเวท อันที่จริงนักเรียนชั้นปีหนึ่งทุกคนล้วนจัดอยู่ในระดับนี้

สอง..จอมเวทเริ่มต้น

พอเรียนไปถึงครึ่งหลังของปีหนึ่งจะมีการสอบเลื่อนระดับขั้นมาเป็นจอมเวทเริ่มต้นซึ่งจะทำให้ถูกยอมรับและสามารถมีห้องวิจัยส่วนตัวของตัวเองได้

สาม..จอมเวทระดับล่าง แบ่งออกเป็นสามชั้น

พอขึ้นปีสองแล้วจะสามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นจอมเวทระดับนี้ได้ และเมื่ออยู่ในขั้นนี้จะสามารถรับภารกิจที่บอร์ดภารกิจของโรงเรียนได้

สี่..จอมเวทระดับกลาง แบ่งออกเป็นสามชั้น

เมื่อมาถึงระดับนี้จะแตกต่างจากระดับก่อนๆ โดยสิ้นเชิงคือ.. หากอยากจะขึ้นมาระดับนี้ได้ไม่ใช่ผ่านการสอบแต่เป็นการที่สามารถสร้าง ‘อักษรรูน’ ขึ้นมาได้

อักษรรูนคืออะไร อักษรรูนคือการสร้างภาพ บางอย่างและแปรเปลี่ยนมันมาในรูปแบบของตัวอักษร..

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเวทมนตร์นั้นแตกต่างกันอย่างไร แต่เมื่อมาถึงระดับนี้จอมเวทต้องสร้าง ‘อักษรรูน’ ขึ้นมาจากมโนภาพของตนเอง

ให้รูนกลายเป็น ‘องค์ประกอบหลัก’ ของโลกใบนี้.. เช่นมีคนหนึ่งใช้เวทมนตร์ไฟให้กลายเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’

และหากใช้อักษรรูน ‘ไฟ’ ปะทะกับเวทมนตร์ไฟแบบที่สร้างเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’

ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาจะเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’ จะแผดเผาแม้แต่เวทมนตร์ ‘ไฟ’ ด้วยกันเองเพราะอักษรรูนนั้นจะถูกนับว่าเป็นกฎของส่วนหนึ่งในโลกใบนี้แล้วนั่นเอง

เพราะงั้นการสร้างอักษรรูนนั้นจึงค่อนข้างยาก คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะมาถึงขั้นนี้ได้เลยด้วยซ้ำ

ห้า…จอมเวทระดับสูง แบ่งออกเป็นสามชั้น

ระดับนี้คือต้องครอบครองบทสวดแห่งรูนมากกว่าหนึ่งบท.. บทสวดแห่งรูนคืออะไร? คือการควบแน่นเวทมนตร์ให้กลายเป็นอักษร

และเอาอักษรเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นบทสวดที่มีความหมายในตัวของมันเอง ฟังดูเหมือนง่ายการที่จะสร้างเวทมนตร์บางอย่างและทำเป็นอักษรรูน

เพื่อจะนำมาเรียบเรียงเป็นบทสวดหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด.. ทำให้ใครก็ตามที่อยู่ในระดับนี้ล้วนถูกต้อนรับเหมือนเป็นบุคคลทางการทูตเลย

หก..มหานักเวท

คือระดับที่นำเอาบทสวดแห่งรูน.. รวบรวมเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม! พูดให้ถูกคือคัมภีร์เวทมนตร์.. ซึ่งการทำแบบนั้นได้มันมีน้อยมาก

น้อยในระดับที่ว่าหากมีมหานักเวทปรากฏตัวขึ้นพวกเขาถูกปฏิบัติราวกับราชาของอาณาจักรไหนสักอาณาจักรเลยก็ว่าได้

พูดบางระดับแม้แต่ราชาของประเทศระดับกลางๆ ยังต้องมีมารยาทต่อคนที่ยืนอยู่ระดับนี้เลย แน่นอนว่าความแข็งแกร่งพวกเขานั้น.. แทบจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ได้เลย!

สุดท้าย.. ระดับเจ็ด พาลาดิน

ผู้ที่ปกครอง ‘ห้องสมุดแห่งรูน’ ก็ตามชื่อต้องมีคัมภีร์มากกว่าร้อย มากกว่าพันเล่มในการครอบครอง.. ซึ่งตั้งแต่ประวัติศาสตร์ถูกจารึกไว้มาตลอดหลายร้อยหลายพันปีนั้น..

คนที่มาถึงระดับนี้ได้มีแค่.. 5 คน! และทุกคนต่างก็มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนเวทมนตร์ทั้งห้าอยู่นั่นเอง

…..

พออาจารย์พูดถึงเรื่อง ‘คัมภีร์เวทมนตร์’ เลทิเซียก็ก้มหน้าลง.. ในมือเธอยกคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมา… ‘คัมภีร์แห่งสัจจะ’

นั่นคือสิ่งที่เขียนอยู่บนหน้าปกนั้น แน่นอนว่านี่คือคัมภีร์แห่งรูน.. ซึ่งน่าเสียดายที่ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ของเลทิเซียน่ะนะ

แต่เป็นของสำคัญของเพื่อนคนหนึ่งของเธอ

ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาอีกครั้ง… ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใสของเธอคนนั้น ..

“สเตฟานี่…..”

ปี 1

บทที่ 2 – เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

 

และฉันในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในรถม้าสุดหรูที่กำลังเดินทางไปยังหนึ่งในห้าโรงเรียนเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในผืนทวีป..

สถานที่ซึ่งเป็นที่ที่เกมจีบหนุ่มนั่นเริ่มขึ้น ‘โรงเรียนเวทมนตร์ลิเบอร์’ .. แต่ก็นะนับตั้งแต่เปิดเรียนนี่ก็ผ่านมาตั้งครึ่งเทอมแล้วคงสงสัยละสิว่าทำไมฉันพึ่งมาเอาปานนี้

อย่างแรกเลยความจริงฉันจะออกเดินทางมาก่อนช่วงเทศกาลแข่งขันกับอีกห้าโรงเรียนที่เหลือ.. แต่เพราะการแข่งขันนั้นถูกยุติลงกะทันหัน

แล้วก็มีเหตุไม่คาดคิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นทำให้เวลาเดินทางฉันถูกเลื่อนออกมานั่นเอง

และสาเหตุที่ฉันไม่ได้ไปตอนเปิดเทอมวันแรกเพราะทางบ้านฉันมีปัญหาอะไรเล็กน้อยส่งผลให้ดำเนินเรื่องล่าช้า

ฉันจึงต้องถูกบังคับเข้าเรียนห้องเรียนสอนพิเศษเมื่อเดินทางไปถึง ส่วนห้องที่ฉันต้องเรียนก็ยังไม่ถึงกำหนด

ยังดีที่อนาสตาเซีย.. หรือก็คือฉันนั่นแหละ ฉันไม่ได้อวยตัวเองหรอกนะแต่ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ในระดับหนึ่ง

ซึ่งทางโรงเรียนลิเบอร์ก็คิดว่าฉันเป็นที่สำคัญพอสมควรจึงแอบผ่อนปรนได้นิดหน่อย ก็นะฉันมีโอกาสกลายเป็นลาสบอสที่เลทิเซียต้องจัดการเองเลยนะ

จะไม่เก่งได้ไงล่ะ ถูกไหม?

ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น.. ในตอนนั้นเองรถม้าก็หยุดลง ด้วยความสงสัยฉันจึงเปิดผ้าม่านส่องดูนอกหน้าต่าง

ก็มีอัศวินคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังม้ากล่าวขึ้น…

“ดูเหมือนว่าจะต้องอ้อมจริงๆ .. ทางข้างหน้าเป็นเขตหวงห้ามที่นานาชาติห้ามไม่ให้เข้าขอรับ”

“งั้นเหรอ..”

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านหน้ามีกำแพงหินที่ถูกสร้างขึ้นองด้วยเวทมนตร์ควบคุมแผ่นดินทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

เบื้องหลังนั้นเป็นอาณาจักรที่โดน ‘แสงเทพมารมรณะ’ เล่นงาน.. นี่แหละต้นตอที่ทำให้ฉันไปถึงโรงเรียนช้ากว่าที่กำหนดไว้มาก

ในเกมมันไม่เคยเฉลยด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ ทั้งที่เป็นอีเว้นเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศแต่ทางผู้พัฒนาดันทะลึ่งไม่เฉลยด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

ว่ากันว่าเมื่อหลายเดือนก่อนที่แห่งนี้ได้พรากชีวิตผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรไปในคราวเดียวผู้ที่เหลือรอดมีไม่ถึงสามในสิบส่วน

อาณาจักรนี้ถูกปกครองด้วยสองผู้กล้าสุดแข็งแกร่ง แต่ทั้งคู่ก็ตายไป.. เหมือนว่าจะเป็นการปิดข้าวจากเบื้องบนด้วยละนะ

จำไม่ผิดหนึ่งในเป้าหมายในการจีบที่เป็นเจ้าชายก็เคยพูดเรื่องนี้กับนางเอกว่า.. ท่านพ่อปกปิดเรื่องนี้แม้แต่กับเขา

ดูท่าทางจะเป็นปมที่สำคัญแท้ๆ แต่เกมไม่เฉลยนี่นับว่าเป็นความผิดพลาดได้ป่ะ.. ช่างเถอะไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้วล่ะ

เป้าหมายของฉันบนโลกนี้มีเพียงอย่างเดียวคือไม่กลายเป็นลาสบอสและเป็นนักผจญภัยท่องโลกกว้าง ถอนหมั้น ไปหากอดเด็กสาวหูสัตว์ในแดนกึ่งมนุษย์

ก็แหม.. ฉันไม่ได้อยากเป็นขุนนางสักหน่อยนี่ แถมตลอดสิบกว่าปีที่ตั้งแต่เกิดใหม่มา ตัวฉันนั้นแทบจะไม่มีความเป็นส่วนตัว

ไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนประกบซ้ายประกบขวา จะหวีดเด็กผู้หญิงน่ารักๆ ในโลกนี้ก็ทำไม่ได้.. ฉันหมายถึงดูการเติบโตของเด็กๆ น่ะ เพราะเด็กๆ ในโลกนี้น่ารักทุกคน.. 
 

เอ่อ อันที่จริงฉันหมายถึงน่าเอ็นดูน่ะ.. แถมเด็กสาวน่ารักในโลกนี้ค่อนข้างจะเป็นมิตรด้วย 
 

ชิ ไอ้พวกขุนนางนี่น่ารำคาญซะจริง.. นี่ยังไม่หมดพวกเขาบังคับให้ฉันต้องเรียนมารยาทตั้งแต่เด็กเพื่อการเป็นภรรยาที่ดีให้กับเจ้าองค์ชายงี่เง่าที่โดนนางเอกหลอกฟันนั่น

ทางเดียวที่จะหนีออกจากการเป็นขุนนางได้คือการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์… ทำไมน่ะเหรอ..

โรงเรียนเวทมนตร์นั้นมีรากฐานมาจากกิลด์นักผจญภัยด้วยส่วนหนึ่ง เพราะในโรงเรียนนั้นจะมีวิชาหนึ่งที่ชื่อว่า ‘วิชานักผจญภัย’ ซึ่งก็ตามชื่อเลย

จะสอนการเป็นนักผจญภัยอะไรก็ว่าไป แถมพอขึ้นปีสองจะสามารถรับภารกิจจากทางโรงเรียนได้ด้วยที่บอร์ดคำร้องขอ

จะว่าไงดีเหมือนโรงเรียนต้องการให้นักเรียนได้มีประสบการณ์จริงเลยทำสัญญาบางอย่างกับกิลด์นักผจญภัย

ทำให้ทางโรงเรียนเองก็มีบอร์ดคำร้องขอ.. แถมหากได้เกรดวิชานักผจญภัยดีๆ ละก็.. พอไปสมัครเป็นนักผจญภัยในกิลด์ละก็จะได้การรองรับแบบพิเศษด้วย

อีกทั้งยังได้เงินด้วย!อันที่จริงการทำภารกิจในบอร์ดโรงเรียนไม่มีขุนนางคนไหนทำหรอก เพราะมันอันตรายแถมยังไม่ใช่การเรียนรู้

แต่ว่ามันได้เงินด้วยนะ!ซึ่งสำหรับฉันที่วางแผนจะต่อยหน้าเจ้าองค์ชายนั่นแล้วให้มันถอนหมั้น.. ก็คงถูกครอบครัวเตะออกจากวงศ์ตระกูล

การทำภารกิจคือการหาเงินของฉัน!

แถมยังเป็นก้าวแรกที่จะมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งสาวหูสัตว์แล้วล่ะ!

“เอ๊ะ… นั่นมันอะไรน่ะ?”

ในขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่นั้นสายตาก็หันไปทางกำแพงหินที่ถูกสร้างอย่างลวกๆ ก็สั่นสะเทือนทุกคนหันตามเสียงของฉันไปแทบจะทันที

แต่วินาทีถัดมากำแพงดินนั่นก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ‘ตู้ม!!!!’ เศษหินกระจุยกระจายพร้อมเต็มไปด้วยหมอกควัน

“คุณหนูหลบเข้าไปในรถก่อน!”

อัศวินพูดแบบนั้นพร้อมกับสร้างโล่แสงขึ้นป้องกันหินเอาไว้ ข้าหลบออกมาจากหน้าต่าง แต่ในตอนนั้นเองด้านนอกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของบางสิ่งบางอย่าง

‘วี๊ดดดดดดด!’

เสียงแหลมของมันทำเอาหูฉันแทบดับเลยทันที .. ด้วยความสงสัยฉันจึงยื่นหน้าขึ้นไปส่องดูเล็กน้อย ตรงที่กำแพงหินมีสัตว์อสูรที่คล้ายนกยูงยักษ์อยู่ตัวหนึ่ง

หางของมันแผ่ออกราวกับมีดวงตามากมายติดอยู่เต็มไปทั่วหางมัน ถ้าไม่ใช่ตาคงจะสวยกว่านี้แหละ แต่แบบนี้มันน่ากลัวนะเนี่ย!

แต่ทว่าในขณะเดียวกันเบื้องหน้านกยูงยักษ์ก็ยังมีคนหลายคนที่กำลังโจมตีมันอย่างเอาเป็นเอาตาย..

หืม.. ชุดแบบนั้นมัน..

ฉันขมวดคิ้วกับเครื่องแต่งกายอีกฝ่ายก่อนจะใช้เวทมนตร์ขยายการรับรู้ขึ้นทำให้ดวงตามองได้ไกลขึ้น

ทำให้หูได้ยินไกลขึ้น.. ที่ตรงนั้นมีคนคอยออกคำสั่งอยู่

ฉันเข้าใจจากที่พวกเขาคุยกันนี่เหมือนจะเป็นสอนภาคปฏิบัติจากโรงเรียนเวทมนตร์ที่ฉันจะไปเรียน โรงเรียนลิเบอร์

แต่ว่านะ เจ้านกยูงนั่นเป็นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวไม่ใช่เหรอ.. ดูจากขนาดตัวแล้วน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งกันนี่น่า

ให้เด็กปีหนึ่งมาสู้กับมอนสเตอร์ที่มีการโจมตีประเภทคำสาปนี่เกินไปนะ.. นกยูงนี้เป็นมอนสเตอร์ร้อยตา มีความสามารถโจมตีด้านเวทมนตร์คำสาป

คือสามารถสาปให้ทุกอย่างในระยะที่ดวงตาทั้งหมดที่หางมันมองถึงให้กลายเป็นหินได้…

◇◆◇

การต่อสู้ดุเดือดที่นำกลุ่มนักเรียนโดยอาจารย์ที่มีชื่อว่า ‘เวโรเน่’ เธอสั่งการเด็กๆ อย่างเป็นระเบียบระบบ

เห็นได้ชัดว่าเธอมีประสบการณ์มากโชกโชนพอสมควร เด็กๆ ปีหนึ่งก็ตอบสนองการสั่งการอย่างดีเยี่ยม..

แต่ในตอนนั้นเองดวงตาของเธอก็หดเล็กลง..

“ทุกคนหลบออกจากระยะการมองเห็นของมัน มันจะใช้คำสาปหินแล้ว!”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็กลั้นหายใจดีดตัวถอยออกห่างอย่างว่องไว.. ในขณะที่ทุกคนถอยห่างจนเสร็จหมดนั้นดวงตาของเวโรเน่ก็เบิกกว้าง

เธอหันไปเห็นว่ามีกลุ่มรถม้าอยู่ด้านหลังซึ่งตรงกับระยะการมองเห็นของนกยูงยักษ์พอดี

“บ้าเอ้ย ทำไมถึงมีรถม้ามาอยู่แถวนี้พอดีด้วย!”

“หน่วยสนับสนุนหยุดการโจมตีของมัน!”

เวโรเน่ตะโกนออกมาด้วยความกังวลเล็กน้อย ดวงตาที่หางของนกยูงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไหวอาจารย์ พวกเราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว หน่วยสนับสนุนใช้เวทไปจนหมดก่อนหน้านี้แล้ว!”

“บ้าเอ๊ย!!”

เวโรเน่สบถออกมากำลังจะปลดพลังบางอย่าง.. ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรจะใช้ในยามนี้แท้ๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ทว่าเธอยังไม่ทันได้ทำอะไรนั้นเงาร่างร่างหนึ่งก็พลันเหยียบลงบนหลังรถม้าคันนั้นก่อนที่ดวงตาที่แดงก่ำที่อยู่บนหางของนกยูงก็ปลดปล่อยคลื่นอะไรบางอย่างออกมา

ร่างนั้นไม่ได้พูดอะไร เพียงคว้ามือไปข้างหน้า.. แทรกแซงปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างทำให้อากาศเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นกระจกใส

“เมื่อแสงกระทบจากวัตถุมันจะส่งตรงไปยังดวงตาและเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เรารับรู้ในสมอง หมายความว่า.. พลังของมันคือการสาปบางอย่างที่สะท้อนเข้ามาที่ระยะการมองเห็นของมัน”

“แต่ถ้าหากคำสาปถูกร่ายออกมาและฉันสร้างกระจกขึ้นมาก่อนที่คำสาปจะส่งตรงมาถึง … ภาพสะท้อนนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แต่เป็นตัวมันเอง”

“กล่าวคือคนที่จะกลายเป็นหิน.. มีเพียงแค่แกนั่นแหละ”

สิ้นเสียงของเธอผู้หญิงที่ยืนอยู่บนรถม้า ร่างของนกยูงก็แข็งกลายเป็นหิน พูดก็พูดเถอะคำสาปของมันทำงานผ่านสื่อกลางที่เรียกว่า ‘แสง’

และการจะตอบสนองแถมยังใช้เวทให้ไวกว่าสื่อกลางอย่าง ‘แสง’ คงมีนักเรียนน้อยคนที่จะทำได้

คนที่ยืนอยู่บนรถม้าคือเด็กสาวผมสีดำสนิทราวกับความมืดยามรัตติกาล.. ดวงตาสีดำสนิทของเธอราวกับอัญมณีสีนิล

สวมชุดของโรงเรียนที่ดูเข้ากับสีผมสีตายิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากเข้าไปอีก..

ผมของเธอโบกสยายตามแรงลม ราวกับเทพธิดาก็มิปาน … ใบหน้าของเธอเผยความอ่อนโยนและเป็นมิตรกับทุกคน

เธอคือ.. เลทิเซีย ทีน อาเดฟ

ปี 1

บทที่ 1 – อนาสตาเซียกับเลทิเซีย

 

ชื่อของฉันคือ อนาสตาเซีย เจน ไลล่าร์.. อาจจะฟังดูน่าตกใจไปหน่อยแต่ฉันเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิด ชาติก่อนฉันมีชื่อว่า เจน…

โลกที่ฉันอยู่เป็นโลกที่ต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง อาจจะฟังดูเชื่อยาก แต่โลกฉันคนธรรมดาสามารถขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้โดยไม่มีเวทมนตร์ด้วยซ้ำ

แต่ใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘วิทยาศาสตร์’ ในการพิชิตดวงจันทร์.. ปีที่ฉันอยู่คือปี ค.ศ. 2017 ซึ่งฉันในตอนนั้นเป็นผู้หญิงธรรมดา

อายุ 30 ปี เรียกได้ว่าเป็นคุณป้าคนได้แล้วแต่ยังโสดสนิท.. ทำงานในบริษัทเอกชนธรรมดาๆ เงินเดือนทั่วไป

ในขณะที่น้องชายของฉันอายุ 27 นั้นแต่งงานแล้ว มีลูก มีครอบครัว มีธุรกิจเป็นของตัวเองหมดแล้ว

เพราะแบบนั้นทุกครั้งที่ฉันกลับบ้าน แม่ที่เริ่มแก่แล้วก็มักจะยัดเยียดหาคู่แต่งงานให้ฉันอยู่แทบตลอด…

แต่ว่านะ… แต่ว่านะคุณแม่..

ฉันน่ะ.. ฉันมีเรื่องที่ไม่ได้บอกคุณแม่ถึงแม้กระทั่งตอนที่ตายอยู่ ซึ่งมันเป็นสาเหตุที่ฉันไม่ยอมแต่งงานหรือหาแฟนหนุ่มหล่อๆ น่ะ

ก็เพราะว่าฉันน่ะ.. ชอบเด็กผู้หญิงยังไงล่ะค่ะ คุณแม่!

อะแฮ่ม ขอยืนยันอีกรอบแล้วกันว่าพวกคุณไม่ได้ฟังอะไรผิดไป.. ชาติที่แล้วฉันเป็นหญิงสาวอายุ 30 ที่ทำงานในบริษัทเอกชนธรรมดาทั่วไป

และฉันชอบเด็กผู้หญิงค่ะ!

ใจเย็นก่อนอย่าพึ่งหาว่าฉันเป็นภัยสังคมอย่างโลลิค่อน ถึงจะบอกว่าชอบก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจับมาแต่งงานด้วยอะไรหรอกนะ

จะพูดให้ถูกคือฉันชอบเด็กผู้หญิงในโลกของสองมิติน่ะนะ ส่วนเด็กในโลกแห่งความจริง จะว่าไงดีล่ะ… ฉันเป็นประเภทไม่ถูกกับเด็กแบบนั้นน่ะ

ก็แบบว่า เด็กในโลกจริงทั้งเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ พูดไม่ฟังแถมบางคนถึงขั้นหยาบคายอีก ใครจะไปชอบลงล่ะถูกไหม?

แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดแล้วล่ะ.. ยิ่งเป็นตอนนี้แล้วด้วยนะ.. หึๆ

กลับมาเรื่องเดิมก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องนั้น

อย่างที่รู้ว่าฉันน่ะชอบเด็กผู้หญิงในโลกสองมิติ แต่ฉันมีรสนิยมอีกอย่างคือชอบเล่นเกมจีบสาวอะนะ.. แน่นอนว่าเป็นเก็บจีบเด็กสาวน่ารักๆ

แต่ก็นั่นแหละในยุคที่ฉันอยู่เกมจีบเด็กสาวใช่ว่าจะไม่มี แต่มันน้อยเกินไปเพราะฉันน่ะเล่นมาแทบหมดแล้วน่ะสิ

เกมจีบสาวส่วนใหญ่ก็มีแต่เกมจีบสาวอกสะเบิ้มกับอกไข่ดาวอะไรแบบนั้น แต่ฉันต้องการเด็กผู้หญิงนี่น่า!

ด้วยความจนใจฉันจึงตัดสินใจเล่นเกมจีบสาวที่มีภาพตัวละครเด็กผู้หญิงก็ได้.. จะว่าไงดีเกมไหนก็ตามที่มีภาพตัวละครเด็กผู้หญิงต่อให้เป็นตัวประกอบฉันก็จะเอามาเล่นซะเลย

ถึงจะไม่ได้สนใจว่าจะจีบได้ไหมหรือไม่ก็เถอะนะ.. แต่ส่วนใหญ่มันก็ไม่มีหาได้น้อย ทำให้พักหลังๆ ฉันเลือกที่จะไปเล่นเกมกาชาและอ่านนิยายซะส่วนใหญ่แทน

จนกระทั่งฉันไปเจอเกมเกมหนึ่งเข้า.. เกมที่มีชื่อว่า ‘พิชิตหัวใจรัก’ เกมจีบหนุ่มที่มาแรงพรวดพราดแบบมากๆ ในช่วงนี้

ใช่ เกมจีบหนุ่ม.. เป้าหมายในการจีบมีถึงหกคนและมีฉากจบมากกว่าห้าสิบรูปแบบเหมือนกับวิชวลโนเวล

ที่น่าสนใจคือคอนเซปต์ของโลกนั้นค่อนข้างจะแปลกประหลาดคือ .. เป็นโลกที่มีเวทมนตร์หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันออกไป

ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เกมต่อสู้ไม่มีใครรู้ว่าทำไมผู้สร้างถึงออกแบบคอนเซปต์เวทมนตร์มาละเอียดขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่สนใจรายละเอียด

ที่มันน่าสนใจเพราะว่า… ตัวละครทุกตัวในเกมไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบฉากหรืออะไรก็ตามแต่ทุกอย่างล้วนมี ‘ภาพ’ ที่ไม่ซ้ำกัน

พูดง่ายๆ ก็คือทุกคนมีภาพเป็นของตัวเองแม้แต่ตัวประกอบที่ไม่ได้ตั้งชื่อนั่นแหละ แถมหลายๆ ฉากยังมีอนิเมชั่นเคลื่อนไหวเหมือนดูอนิเมะเป็นสิบนาทีเลยล่ะ

เรียกได้ว่าไม่รู้เอางบมาจากไหน..

และตัวละครที่ฉันสนใจก็มีอยู่เยอะแยะเลยล่ะ พวกเด็กผู้หญิงที่เป็นตัวประกอบในเรื่องยังมีดีไซน์ที่น่ารักเลย

แถมพวกนางร้ายในเกมนี้เป็นพวกเด็กผู้หญิงน่ารักด้วย ฉันจึงชอบเกมนี้มากๆ ถึงบทมันจะพยายามทำให้นางร้ายเป็นคนชั่ว

แต่เพราะไอ้พวกเป้าหมายในการจีบมันโง่กันเองซะส่วนใหญ่ด้วยล่ะ.. แล้วก็จะว่าไงดี เกมนี้มันประหลาดตรงที่นางเอกหรือตัวผู้เล่นน่ะ

ในปกติแล้วตัวผู้เล่นหรือนางเอกจะมีนิสัยที่ใสซื่อใช่ไหมล่ะ.. แต่นางเอกเกมนี้ดันเป็นพวกมายาร้อยเล่ห์ หวังจะกลืนกินเป้าหมายในการจีบเลยงั้นแหละ

ก็แบบสะท้อนความเป็นตัวของผู้เล่นดีออกใช่ไหม ? ก็แหม ผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นเล่นเกมจีบหนุ่มเพราะอยากได้เป้าหมายในการจีบเป็นผัว.. ฉันหมายถึงสามีกันใช่ไหม ?

แล้วจะให้นางเอกเป็นผู้ใสซื่อก็ดูตอแหล.. ฉันหมายถึงเสแสร้งไปหน่อย เกมเลยจัดมาให้นางเอกเป็นพวกแปดเหลี่ยมเลย

เพราะงั้นเข้าใจหรือยังว่าทำไมฉันถึงชอบนางร้าย.. เพราะนางร้ายถูกกระทำโดยนางเอกนี่น่า!

ยัยนางเอกมากมารยานั่นมีฉากจบหนึ่งที่นางถูกฆ่าตายด้วย แล้วฉากจบนั้นจะเฉลยว่าทำไมนางถึงเป็นแบบนั้น

ซึ่งมันก็พอเข้าใจได้.. แต่นางร้ายน่าสงสารออกนี่น่า!

แต่ช่างเถอะ ที่ฉันมาเล่นเกมนี้เพราะตัวละครอีกตัวต่างหาก เธอเป็นตัวละครลับของเรื่องและตัวแบกเรื่องเลยก็ว่าได้

อันที่จริงเธอไม่ใช่ทั้งตัวหลักในเนื้อเรื่องการจีบ ถ้าจะให้พูดเธอเป็นเหมือนตัวเอกของจักรวาลเรื่องราวนี้เลยล่ะ

แต่พวกเป้าหมายในการจีบหรือนางเอก นางร้าย ล้วนเป็นแค่ส่วนหนึ่งในระบบจักรวาลของตัวละครตัวนี้

เพราะเธอเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง มีฉากจบมากกว่าสิบฉากจบที่เป้าหมายในการจีบหลงไปรักตัวละครตัวนี้

แถมมีโอกาสที่นางร้ายและนางเอกจะหลงตัวละครตัวนี้หัวปักหัวปำเหมือนกัน เรียกได้ว่านอกจากจะต้องคอยรักษาค่าความสัมพันธ์ให้ดี

ต้องเว้นระยะห่างจากตัวละครตัวนี้ไม่มากก็น้อย.. แต่ก็มักจะมีอีเว้นบังคับบางอีเว้นที่บังคับให้ต้องเจอกับเธอทำให้เล่นยากสุดๆ

แต่เรียกได้ว่านั่นเป็นจุดที่ทำให้ผู้เล่นทั้งชายและหญิงสนใจเกมนี้ทั้งที่เป็นเกมจีบหนุ่ม เพราะมีตำนานกล่าวว่ามีฉากจบที่อาจจะได้จบกับตัวละครลับนี้ด้วย

เดี๋ยวสิเฮ้ย.. นี่มันเกมจีบหนุ่มถ้าไปจบกับผู้หญิงมันก็เกมจีบสาวแล้วสิ

คิดแบบนี้ละสิ..?

ใช่ ฉันก็คิดเหมือนกันนั่นแหละ เพราะคนสร้างเกมอยากจะให้มันมีความหลากหลายเหมือนกับจำลองโลกขึ้นมาจริงๆ ละมั้ง..

พูดมาถึงขนาดนี้.. คงพอเดากันออกแล้วสินะว่าทำไมฉันถึงพูดเรื่องเกมนี้นักนี้หนา… เพราะว่าฉันคนนี้มาเกิดใหม่ในโลกของเกมจีบหนุ่มนี่ยังไงล่ะ!

ฉันเกิดใหม่เป็น อนาสตาเซีย บุตรีแห่งขุนนางไลล่าร์ ที่หมั้นหมายกับองค์ชายแห่งราชอาณาจักร องค์ชายคอสม่า!

หนึ่งในหกที่เป็นเป้าหมายในการจีบของนางเอก..

ถูกต้อง ฉันเกิดใหม่เป็นนางร้ายนั่นแหละ แถมตัวอนาสตาเซียนั้นถ้าจำไม่ผิดมีฉากจบหนึ่งที่เธอกลายเป็นลาสบอสเพราะไปหยิบยืมพลังด้านลบอะไรสักอย่างมา

เพราะฉันไม่ได้ใส่ใจอ่านรายละเอียด ก็แหม เกมนี้มันลงรายละเอียดเยอะจนเฟ้อฉันก็ไม่รู้จะอ่านไปทำไมเลยข้ามๆ .. ทำให้ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองที่เกิดใหม่เป็นอนาสตาเซียจะกลายเป็นลาสบอสหรือเปล่า

ถ้าเป็นลาสบอสคนที่ฆ่าฉันไม่ใช่พวกตัวเอกหรอกนะ.. แต่เป็นตัวละครตัวพิเศษที่พึ่งกล่าวถึงไปเมื่อสักครู่ต่างหาก

แบบนั้นฉันรับไม่ได้หรอกนะ!

อ้อ จะว่าไปฉันยังไม่ได้บอกสินะ.. ว่าตัวละครลับที่ว่านั่นคือใคร?

เธอเป็นองค์หญิงจากหนึ่งในอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด มีบิดาเป็นผู้กล้ามีมารดาเป็นเทพ.. และมีน้องสาวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเวทมนตร์ที่สาบสูญอย่างเวทมนตร์แฟร์รี่

เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งอาณาจักรอาเดฟ

อัจฉริยะแห่งเวทมนตร์ผู้บรรลุเวทมนตร์ระดับสูง

ทั้งฉลาดและแข็งแกร่งตัวละครที่ทำให้ระดับในเนื้อเรื่องของเกมดูพิลึกพิลั่น

เธอมีชื่อว่า….

เจ้าหญิงเลทิเซีย ทีน อาเดฟ

เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์

เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์

Score 10
Status: Completed

 

ชื่อของฉันคือ อนาสตาเซีย เจน ไลล่าร์.. อาจจะฟังดูน่าตกใจไปหน่อยแต่ฉันเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิด ชาติก่อนฉันมีชื่อว่า เจน...

โลกที่ฉันอยู่เป็นโลกที่ต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง อาจจะฟังดูเชื่อยาก แต่โลกฉันคนธรรมดาสามารถขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้โดยไม่มีเวทมนตร์ด้วยซ้ำ

Options

not work with dark mode
Reset