เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 515 ตอนพิเศษ หลอมวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง

บทที่ 515 ตอนพิเศษ หลอมวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง

บทที่ 515 ตอนพิเศษ หลอมวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง

บทที่ 515 ตอนพิเศษ หลอมวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง

เมื่อต้าเซี่ยรวมดินแดนจงหยวนและทุ่งหญ้าเป็นหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างเยว่หลีและอานั่วซือก็เปลี่ยนผันจากมิตรเป็นศัตรูทันที

ผู้คนในค่ายทหารมักเห็นคนทั้งสองสรรหาวิธีการแปลกประหลาดมาเล่นงานกันอยู่บ่อยครั้ง

ช่วงแรกผู้คนต่างตื่นตระหนก ทว่ายิ่งนานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นชินชา

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่อานั่วซือถูกกับดักจากอีกคนเล่นงาน พอหลุดออกมาได้อย่างทุลักทุเลเขาก็เอาคืนเยว่หลีทันที

ความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นหมายเอาชีวิตอีกฝ่าย เพียงต้องการกลั่นแกล้งให้ตนสะใจเล่นก็เท่านั้น

เยว่หลีหยัดกายขึ้นจากพื้น แล้วชี้หน้าอานั่วซือ

“วันที่สองเดือนสอง วันมังกรเชิดหัวของปีหน้า ข้าจะสร้างค่ายกล เราสองคนมาตัดสินชี้ชะตา ผู้ใดจะอยู่ผู้ใดจะไปให้สวรรค์เบื้องบนเป็นผู้ลิขิต!”

อานั่วซือกุมแขนอาบเลือดไว้ “ก็เอาสิ ผู้ใดกลัวกัน!”

เยว่หลียกยิ้มเย้ยหยัน ค่ายกลเขาเป็นคนสร้าง ถึงตอนนั้นคนที่ตายต้องไม่ใช่เขา!

ในกระโจมหลังหนึ่ง หนานกงฉีซิวถึงกับยกยิ้มพลางส่ายหัว “สองคนนั้นทะเลาะกันอีกแล้วหรือ”

“เป็นเช่นนั้นอีกตามเคย”

หนานกงฉีหลิงเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงแทะผิงกั่วในมืออย่างสบายอารมณ์

“ยามศึกเราร่วมรบ ยามสงบพวกเขากลับรบกันเอง”

หนานกงฉีซิววางพู่กันในมือพลางยกยิ้มบาง ๆ “ถึงอย่างไรสองคนนั้นก็คือคนคนเดียวกันมิใช่หรือ ต่อให้พวกเขาจะทะเลาะกันเอาเป็นเอาตายอย่างไร ก็มีแต่พวกเขาที่เข้าใจกันดีที่สุด”

“ไม่ ข้าว่าให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับการแยกร่างมิใช่หรือ ดีจะตายไป”

“ที่เจ้าว่ามาข้าก็พอเข้าใจได้”

ด้านหนานกงฉีอิงได้แต่เกาหัว เขามีร่างกายแข็งแรง แต่มีสมองอ่อนแอ ไม่เข้าใจบทเรียน ซ้ำยังไม่เข้าใจคำพูดที่ซับซ้อน แฝงความนัยอันใดพวกนั้นด้วย

หากเกิดศึกระหว่างองค์ชาย เขาคงเอาตัวรับกระสุนเป็นคนแรก

“ข้าอยากมีสมองฉลาด ๆ อย่างคนอื่นเขาบ้าง”

พูดจบหนานกงฉีอิงก็หัวเราะแก้เขิน

“แต่เยว่หลีพูดถึงวันที่สองเดือนสอง มังกรเชิดหัว เขาคิดจะทำสิ่งใด”

“เหมือนเขาคิดจะสร้างค่ายกลบางอย่าง”

ขบวนทัพมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง ราษฎรต่างรอต้อนรับกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

หนานกงสือเยวียนและบุตรสาวก็ออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง

เสี่ยวเป่าสวมชุดสีแดงสด ผิวขาวผ่องจึงดูเปล่งประกาย ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่ได้ชื่อว่างดงามมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง

ไม่รู้ว่าผู้คนในที่นั้นแอบส่งสายตาให้นางมากน้อยเพียงใด เพราะมันนับไม่ถ้วน

แต่สายตาของเสี่ยวเป่าจับจ้องเพียงเหล่าพี่ชายของตนเท่านั้น นางภูมิใจในตัวพวกเขายิ่งนัก!

พี่ชายแต่ละคนของนางเก่งมาก!

ถึงขั้นนี้เขาต้องยอมรับเลยว่า แม้ต้าหานจะไม่มีความขัดแย้งภายใน พวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะต้าเซี่ยได้อยู่ดี

การอยู่ใต้อาณัติของต้าเซี่ยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

บัดนี้เขายอมจำนนด้วยความเต็มใจ จากนี้ไปเพียงกินนอนรอความตาย เพราะฮ่องเต้ต้าเซี่ยจะจัดการกับเขาอย่างไรก็มิอาจรู้ได้

หลังจากได้มาเยือนเมืองหลวงต้าเซี่ย ได้เห็นความเจริญรุ่งเรือง ความรู้สึกที่เคยต่อต้านพลันมลายหายไปในพริบตา

ทั้งที่เขาเตรียมใจเอาไว้แล้วหากต้องพบกับจุดจบแสนเลวร้าย ทว่าโชคดีที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมีเมตตามอบตำแหน่งอ๋องให้ แม้เป็นเพียงอ๋องไร้อำนาจ แต่เขาก็ยังได้รับเบี้ยหวัดทุกเดือน

ประกอบกับทรัพย์สินเดิมที่มี เพียงเท่านี้เขาก็สุขสบายไปชั่วชีวิตแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ภาพที่เคยคาดคิดไว้ว่าจะต้องถูกชาวต้าเซี่ยดูถูกเหยียดหยามนั้นกลับไม่เกิดขึ้นเลยสักนิด

อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชาย อ๋อง และฮ่องเต้นั้นช่างแตกต่างจากคนในราชวงศ์อื่นที่เอาแต่หาทางเข่นฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจหรือทรัพย์สมบัติ พวกเขารักใคร่กลมเกลียวกันมาก!

แต่ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงเข้ากับเซียวเหยาอ๋องรวมถึงเหล่าบุตรชายได้เป็นอย่างดี

ที่ต้าเซี่ยมีเรื่องสนุก ๆ มากมายให้ทำ!

หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเป่าอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี เหล่าขุนนางและชายหนุ่มผู้มีความสามารถทั้งหลายต่างจับจ้องนาง รอให้หนานกงสือเยวียนเลือกคู่ครองให้นางอย่างใจจดใจจ่อ

แต่จนแล้วจนรอด…

ก็ยังไม่มีวี่แววว่าบุตรสาวสุดที่รักของฮ่องเต้จะได้สมรส

เหล่าพี่ชายขององค์หญิงก็ยังหวงน้องสาวไม่เลิก ทุกครั้งที่มีคนพยายามตะล่อมถามถึงองค์หญิง พวกเขาก็จะฉีกยิ้มและบอกว่าไม่รีบ น้องสาวของพวกเขายังเด็กอยู่

หรือไม่ก็ตบโต๊ะอย่างเดือดดาล “ใต้หล้านี้มีชายใดคู่ควรกับน้องหญิงของข้าหรือ หามีไม่!”

ทุกคน : …

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป องค์หญิงคงต้องกลายเป็นสาวเทื้อจริง ๆ แล้วกระมัง

พวกท่านไม่รีบ แต่พวกเขาเป็นห่วงองค์หญิง!

ด้านเสี่ยวเป่าเองก็ไม่รีบร้อน นางโสดมาเป็นร้อยปีแล้วก็ยังอยู่ได้ จะรีบร้อนไปไย!

ในที่สุดวันที่สองเดือนสองก็มาถึง เป็นวันที่พวกเขาตัดสินใจจะทำการใหญ่

เพราะเยว่หลีคำนวณแล้วว่าวันที่สองเดือนสอง วันมังกรเชิดหัว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา

ทันทีที่เสี่ยวเป่ารู้เรื่องก็รีบออกจากวังไปดื่มเหล้ากับพวกเขา แน่นอนว่าพี่ชายทั้งหลายก็อยู่ด้วย

“พวกเจ้าตัดสินใจดีแล้วจริง ๆ หรือ”

เสี่ยวเป่านั่งเท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง พลางจ้องคนทั้งสอง

“อันที่จริงข้าว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีนะ แต่หากหนึ่งในพวกเจ้าหายไปจริง ๆ นั่นเท่ากับว่าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”

เยว่หลี “ก็แค่หลอมรวมจิตวิญญาณ อย่ากังวลไปเลย ไม่เป็นอันใดหรอก”

ถึงอย่างไรคนที่จากไปก็ต้องไม่ใช่เขา

อานั่วซือกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “เดิมทีสมองที่เขาใช้อยู่ก็ควรเป็นของข้า”

ทั้งสองมองหน้ากันด้วยสายตาดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร

เสี่ยวเป่า : …เหตุใดมังกรวารีทมิฬถึงดื้อรั้นขนาดนี้นะ

เจ้าสองคนนี้ต่างก็ดื้อรั้นเหมือนกัน!

เยว่หลีหาสถานที่ที่เหมาะสมและจัดเตรียมค่ายกลไว้ล่วงหน้า

และแล้ววันนี้ก็มาถึง แม้แต่หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีซิวก็ยังอยากรู้ว่าวิญญาณของพวกเขาจะหลอมรวมกันได้อย่างไร

สถานที่ที่เยว่หลีเลือกนั้นอยู่บนหน้าผาที่ค่อนข้างสูง เป็นที่กว้าง ไร้สิ่งปลูกสร้าง แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดเพลิงไหม้ถ้าฟ้าผ่า

คนตระกูลหนานกงทุกคนต่างเฝ้าดูอยู่ใต้หน้าผา

เสี่ยวเป่าดึงกลีบดอกไม้ป่าดอกเล็ก ๆ เล่นพร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย ในใจนางรู้สึกหดหู่

วันนี้มีใครคนหนึ่งต้องตาย แค่คิดก็เศร้าแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเยว่หลีหรืออานั่วซือ พวกเขาล้วนเป็นสหายที่ดี และยังมาจากโลกเดียวกัน แม้มังกรวารีทมิฬจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางต้องมาเกิดในชาติภพนี้ แต่ความขุ่นเคืองใจที่เคยมีมันหายไปนานแล้ว

ตอนนี้นางพอใจกับชีวิตนี้มาก

วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกปรอย ๆ

ครืน…

ก้อนเมฆสีดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า เมื่อฟ้าร้องเสียงดังลั่นก็เกิดสายฟ้าสีขาวเงินและสีม่วงผ่าลงมาพร้อมกัน หากมองจากระยะไกล มันดูเหมือนมังกรสองตัวต่อสู้กันท่ามกลางเมฆสีดำ

จากนั้นพวกมันก็ย้ายมาก่อตัวอยู่เหนือหน้าผาที่อานั่วซือและเยว่หลียืนอยู่

หนานกงฉีจวินเอ่ยขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “พวกเขา… พวกเขาจะต้องถูกฟ้าผ่าใช่หรือไม่ แล้วพวกเขาจะรอดหรือ”

สุดท้ายสิ่งที่เคยคาดเดาไว้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงนั้นต่างกันลิบลับ พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาตนเอง ทุกคนต่างเริ่มเป็นกังวล

จากที่เคยเฝ้าถามว่าพวกเขาจะหลอมรวมวิญญาณได้สำเร็จหรือไม่ เปลี่ยนมาเป็นทั้งสองคนจะมีชีวิตรอดหรือไม่

ท่ามกลางหมู่มวลเมฆดำ เกิดเป็นสายฟ้าฟาดที่มาพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ท้องฟ้าที่มืดครึ้มสว่างวาบเป็นระยะ

สายฟ้าฟาดลงบนหน้าผาท่ามกลางเสียงอุทานของทุกคน

เสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ หยัดกายลุกขึ้นทันใด

สายฟ้านั่นผ่าแรงเกินไปแล้ว!

และหลังจากเกิดฟ้าผ่าครั้งหนึ่ง ก็มีครั้งที่สองตามมา…

เสี่ยวเป่าเริ่มทนดูเฉย ๆ ไม่ได้อีกต่อไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถูกหนานกงสือเยวียนรั้งไว้

“อย่าไปเลย มันเป็นความต้องการของพวกเขา”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วง แต่หากเป็นตัวเขาเองก็คงเลือกทำเช่นนี้ แม้สุดท้ายอาจต้องตายก็ตาม

และถึงไปที่นั่นในตอนนี้ ก็ไม่อาจหยุดยั้งสิ่งใดได้แล้ว

เสี่ยวเป่าขอบตาแดงก่ำ

องค์ชายคนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี

ฟ้าที่ผ่าข้างนอกเมืองหลวงนั้นดูแปลกและสะดุดตามาก แม้แต่ผู้คนในเมืองหลวงและหมู่บ้านรอบ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดดู

ปรากฏว่าพวกเขาเห็นเป็นรูปร่างเหมือนมังกร

“เป็นมงคล สิ่งนี้เป็นมงคล ฝ่าบาทเพิ่งรวบรวมดินแดนจงหยวนเป็นหนึ่ง ก็มีมังกรปรากฏตัวแล้ว!”

คนในยุคนี้ยังเชื่อเรื่องเทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติ พอฟ้าแลบแล้วดูเหมือนมังกร ผู้ใดพบเห็นต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องมงคล! เป็นมังกรจริง ๆ!

หลังจากสายฟ้าฟาดลงมาเป็นครั้งที่เก้า ในที่สุดเมฆดำก็ค่อย ๆ สลายไป

สถานการณ์คลี่คลายอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง

เสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ รีบขวบม้าไปที่หน้าผา

บริเวณรอบหน้าผากลายเป็นหลุมลึก ทุกอย่างถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก แต่สิ่งที่แปลกคือลวดลายค่ายกลยังคงเป็นสีขาว

ตรงกลางค่ายกลมีคนผู้หนึ่งเนื้อตัวถูกเผาจนดำไปทั้งตัวนอนแน่นิ่งอยู่

“เสี่ยวเป่าอย่าเพิ่งเข้าไป ให้พวกเราเข้าไปตรวจสอบดูก่อน”

เหล่าพี่ชายค่อย ๆ เดินเข้าไปตรวจสอบว่าสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ยังหายใจอยู่หรือไม่

หนานกงฉีโม่เบิกตากว้าง “เขายังหายใจ!”

นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ

หนานกงฉีซิวรีบถอดเสื้อคลุมออกเพื่อห่อตัวเขาไว้ จากนั้นหนานกงฉีอิงผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งก็แบกคนผู้นั้นวิ่งลงเขาทันที

“รีบพาเขาไปหาท่านหมอเจี่ย!”

ด้านเจี่ยเจินเตรียมการรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาสร้างกระท่อมหลังเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลจากหน้าผา ยาที่ต้องใช้รักษาเยว่หลีหรืออานั่วซือก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ

ทันทีที่คนเจ็บมาถึง เขาก็จัดแจงให้วางผู้ที่ไหม้เป็นตอตะโกลงในอ่างยา ก่อนจะเริ่มฝังเข็ม

“เหลือเชื่อจริง ๆ ถูกฟ้าผ่ากลับยังมีชีวิตรอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้คือผู้ใดกันแน่”

ผ่านไปกว่าสามชั่วยาม…

เจี่ยเจินเดินออกมาจากห้อง รับจอกน้ำจากเสี่ยวเป่าขึ้นดื่มทันที

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถูกสายฟ้าฟาดขนาดนั้นยังเอาชีวิตรอดมาได้ ขอชื่นชมจากใจจริง สมกับเป็นบุรุษอกสามศอก!

การพักฟื้นกินเวลาร่วมสามเดือน

เสี่ยวเป่าและเหล่าพี่ชายแวะเวียนมาเยี่ยมเป็นประจำ

รอยไหม้ตามร่างกายเริ่มหลุดออกไปทีละน้อย เผยให้เห็นผิวขาวเหมือนทารกแรกเกิด

ซึ่งผิวบนใบหน้านั้นเกลี้ยงเกลาก่อนส่วนอื่น

ใบหน้ายังคงเหมือนเดิม แต่องค์ประกอบบนใบหน้าคล้ายถูกสร้างมาอย่างพิถีพิถันกว่าเดิม เขาจึงดูหล่อเหลาขึ้นอีกเท่าตัว ราวกับว่าเยว่หลีและอานั่วซือถูกหลอมรวมจนกลายเป็นคนผู้นี้

ทว่ากลับยังไม่ฟื้นเสียที จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้เขาคือใคร

หลังจากผิวที่ไหม้เกรียมบนศีรษะหลุดออกจนหมด สิ่งที่ปรากฏคือศีรษะไร้เส้นผม เพราะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว จึงยิ่งเห็นได้ชัดว่าศีรษะของเขากลมสวยมาก หากร่างนี้สวมจีวรก็คงดูเหมือนนักบวชผู้ซึ้งในรสพระธรรม ละทิ้งทุกสิ่งทางโลก

สามเดือนต่อมา ผิวที่เป็นรอยไหม้ก็หลุดออกเกือบหมดแล้ว

เจี่ยเจินคอยดูแลอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ นี้ ทุก ๆ สองวันเสี่ยวเป่าจะมาที่นี่พร้อมกับสัตว์น้อยใหญ่ที่ผลัดเปลี่ยนกันมากับนาง

อย่างเช่นวันนี้ นางเดินทางมาที่กระท่อมหลังเล็กตามปกติ แต่กลับไม่พบอาจารย์ของตน เสี่ยวเป่าจึงเดาว่าเขาคงออกไปเก็บสมุนไพร

แต่พอนางเดินเข้าไปในห้อง คนที่เคยนอนอยู่บนเตียงกลับหายไป!

เสี่ยวเป่า “!!!”

“คนเล่า?!!!”

นางรีบวิ่งหน้าตื่นออกมา “เยว่หลี เยว่หลี อานั่วซือ!”

เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าเขาคือใครกันแน่ จึงเรียกชื่อพวกเขาไปมั่ว ๆ

“ท่านอาจารย์!”

ขณะที่นางกำลังจะก้าวขาวิ่งออกไปข้างนอก คนที่อยู่ข้างหลังก็คว้ามือนางเอาไว้เสียก่อน

เสี่ยวเป่าถึงกับเซไปข้างหลัง แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่รั้งนางไว้…

“เจ้า”

ชายหนุ่มผมสั้นสีขาวเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงไพเราะรื่นหู “เจ้าอยากให้ข้าเป็นผู้ใด”

เสี่ยวเป่าตกใจจนสติหลุด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเงยหน้ามองเขา “เจ้าฟื้นแล้ว!”

นางโผเข้ากอดเขาด้วยความดีใจ “ข้าคิดว่าเจ้าจะนอนเป็นผักตลอดไปเสียอีก!”

เยว่หลี : …

ไม่เห็นต้องแช่งกันเลย

“จริงสิ ว่าแต่ตอนนี้เจ้าคือผู้ใด”

เสี่ยวเป่าปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนก่อนจะรีบเอ่ยถาม

“ข้าก็ไม่รู้”

“ฮะ?”

“ตอนนี้ข้ามีทั้งความทรงจำของเยว่หลี ความทรงจำของอานั่วซือ และความทรงจำตอนเป็นมังกรวารีทมิฬในชาติก่อน ฉะนั้น… ข้าจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าคือใครกันแน่ แต่ว่า…”

เขาลูบหัวเสี่ยวเป่าพร้อมฉีกยิ้ม “ข้าชอบชื่อเยว่หลี จากนี้ไปเจ้าเรียกข้าว่าเยว่หลีเถิด”

เสี่ยวเป่าไม่รอช้า ฉีกยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารัว ๆ “ได้!”

………………………………………

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Score 10
Status: Completed
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว! นิยายแปลเรื่อง เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช ผู้แต่ง :垂耳兔 หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้ เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน! เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

Options

not work with dark mode
Reset