บทที่ 502 หนานกงสือเยวียนเยือนฉางเซิงเทียน
บทที่ 502 หนานกงสือเยวียนเยือนฉางเซิงเทียน
“ฝ่าบาท พายุหิมะรุนแรงนัก พวกเราหาที่พักแรมกันก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ลึกเข้าไปในหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ คณะเดินทางนับร้อยชีวิตกำลังฝ่าฟันด้วยความยากลำบากท่ามกลางพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ
สีหน้าเย็นชาของหนานกงสือเยวียนดูจะเยือกเย็นกว่าหิมะที่กำลังตกเป็นไหน ๆ
เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิท “ยังไม่มีข่าวจากองค์หญิงอีกหรือ”
“ฝ่าบาทอย่ากังวลพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ชาวเทียนกู่น่าที่เดินทางมาพร้อมองค์หญิงต่างก็เป็นนักรบฝีมือดี อีกอย่างท่านเฮยไป๋อู๋ฉางก็อยู่ด้วย องค์หญิงต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
พวกเขาพบที่หลบพายุและเริ่มตั้งกระโจม ขณะที่บางคนออกไปล่าสัตว์
ชาวเทียนกู่น่าที่มากับพวกเขาก็อยู่ในกลุ่มด้วยเช่นกัน
กลุ่มของพวกเขาเดินทางผ่านภูเขาหิมะมาแรมเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่พบฉางเซิงเทียนหรือองค์หญิงเลย
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ องค์หญิงยังเด็กและประพฤติตัวดีมาตลอด ใครจะคิดว่านางจะหนีมาถึงภูเขาหิมะด้วยตนเองเช่นนี้
“เสด็จพ่อ หน่วยเสินอิงออกไปค้นหาแล้ว น้องหญิงจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน!”
องค์ชายสี่และองค์ชายห้า หรือแม้แต่เยว่หลีก็อยู่ในคณะเดินทางด้วยเช่นกัน
เยว่หลีมีหิมะปกคลุมไปทั่วทั้งตัว แม้แต่เสื้อคลุมที่สวมใส่ก็ยังเป็นสีขาว เขาดูหนาวสั่นมากทีเดียวขณะนั่งล้อมรอบกองไฟและคอยเติมฟืนไม่หยุด
“เสี่ยวเป่าโชคดีซ้ำยังดวงแข็ง ไม่เป็นอะไรหรอก”
พูดจบเขาก็สูดจมูก
หนาวจะตายอยู่แล้ว
“ข้าว่านะเยว่หลี เจ้ามันหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ มาที่นี่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองขี้หนาว”
นัยน์ตาสีม่วงของเยว่หลีจ้องมองไปที่กองไฟ “ข้ามาตามหาของ”
“ตามหาเสี่ยวเป่า แค่พวกเราก็พอแล้ว”
“ไม่ใช่”
เยว่หลีมองลึกเข้าไปในหุบเขาหิมะ “ข้ามาตามหาของของข้า”
ประหลาดนัก เมื่อหนานกงฉีหลิงถามต่อว่ามาตามหาอะไร เขาก็เงียบ
เมื่อค่ำคืนผ่านพ้นไป คณะเดินทางก็ออกเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น
ทว่าบางครั้งพวกเขาก็เกิดสับสนไม่รู้ต้องเดินไปทางไหน ทั้งยังไม่รู้ทิศทางของฉางเซิงเทียน ในที่สุดก็ไร้จุดหมายโดยสิ้นเชิง
พอนานเข้าก็เริ่มหงุดหงิด
“ทางนั้น”
ทันใดนั้นเยว่หลีก็ชี้ไปที่ทิศทางหนึ่ง “พวกเราไปทางนั้นกันเถอะ”
ฝูงชนมองหน้าเยว่หลีสลับกับหนานกงสือเยวียน
หนานกงสือเยวียนเหลือบมองเยว่หลีแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้า
หลังจากเดินไปตามทางที่เยว่หลีบอกอยู่สองวัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงคล้ายกับแผ่นดินไหว
“นั่นมันอะไรน่ะ!”
เสียงวิ่งดังสนั่นทำเอาทุกคนต่างหวาดผวา เมื่อเพ่งมองตรงไปก็พบว่าเป็นสัตว์ขนาดมหึมากำลังวิ่งอยู่ไกลลิบ
“อาวู้~~~”
เสียงหอนของหมาป่าอยู่ไกลออกไปทว่าดังชัด ฝูงชนมองดูหมาป่าที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าวัวด้วยความตกตะลึง
เฮือก…
ชาวต้าเซี่ยสูดลมหนาวเข้าเต็มปอด ขณะที่ชาวเทียนกู่น่ารู้สึกตื่นเต้น
“หมาป่ายักษ์ นั่นคือหมาป่ายักษ์!”
“สัตว์ร้ายยักษ์ก็อยู่ด้วย พวกเรามาถูกทางแล้ว หมอผีบอกไว้ว่าหากพบพวกมันก็เท่ากับพบฉางเซิงเทียน!”
ในที่สุดก็มีข่าวดีเสียที แต่ปัญหาคือพวกเขามีกันแค่นี้ จะเอาอะไรไปสู้กับหมาป่าตัวใหญ่ยักษ์กับเจ้าสัตว์ร้ายนั่น!
“แกว๊ก!!!”
อินทรีทองและไห่ตงชิงที่บินโฉบอยู่บนท้องฟ้าส่งเสียงร้องฟังดูตกใจ จากนั้นก็พุ่งลงมาด้วยความรวดเร็ว
บัดนี้เสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่บนหลังเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์พลันอึ้งงันไปชั่วขณะ เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเป็นอินทรีทองและไห่ตงชิงที่กำลังบินถลาลงมา
ขณะที่พวกมันใกล้จะเข้าประชิดตัว หอกก็พุ่งมาจนพวกมันบินหนีไป
“ซี เป็นอะไรหรือไม่”
ซีคือชื่อที่เสี่ยวเป่าแนะนำกับพวกเขา ผู้คนในเผ่าจึงเรียกขานนางด้วยชื่อนี้
เสี่ยวเป่าส่ายหน้า และเมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ยกหอกในมือขึ้นก็รีบห้ามทันที
“หยุดก่อน!”
สิ้นเสียงของนาง พวกเขาก็มองเสี่ยวเป่าด้วยสีหน้าที่ดูงุนงง
“อะแฮ่ม… พวกมันเป็นเพื่อนของข้า”
เสี่ยวเป่าหยิบนกหวีดที่ห้อยไว้ตรงคอขึ้นมาเป่า ทันใดนั้นอินทรีทองและไห่ตงชิงบนท้องฟ้าก็มีอาการตื่นเต้น พลางส่งเสียงร้องอย่างพร้อมเพรียง
เสี่ยวเป่าตื่นเต้นยิ่งกว่า หากว่าพวกมันอยู่ที่นี่ หมายความว่าท่านพ่อกับพวกท่านพี่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายพลางกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศ จากนั้นก็ออกคำสั่งเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ที่อยู่ใต้ร่าง
“ตามพวกมันไป”
คนอื่น ๆ เองก็ตามไปโดยไม่ลังเล
ตอนนี้สถานะของเสี่ยวเป่าในชนเผ่าสูงส่งขึ้นทุกที นอกจากนางจะช่วยรักษาอาการเจ็บไข้แล้ว ยังช่วยพวกเขาจำแนกอาหารหลากหลายประเภท ไหนจะสอนวิธีสานตะกร้าให้กับชาวเผ่าอีก
แม้แต่หมอผีและหัวหน้าเผ่าก็ยังให้ความเคารพนางมากทีเดียว
เมื่อสัตว์ร้ายยักษ์ออกเดินทาง ฝูงหมาป่าและเสือสองตัวก็วิ่งตามไป
คณะเดินทางของหนานกงสือเยวียนที่อยู่ในระยะไกลล้วนตื่นตกใจเมื่อเห็นว่าเจ้าพวกนั้นกำลังวิ่งเข้ามาหาพวกตน
“เตรียมตัวให้พร้อม!”
“พร้อมกับผีสิ รีบหนีเร็วเข้า!”
ต่อกรกับฝูงหมาป่ายักษ์และเจ้าสัตว์ร้ายหาเรื่องตายชัด ๆ
“องครักษ์ รีบพาฝ่าบาทออกไปจากที่นี่”
เหล่าผู้ติดตามของหนานกงสือเยวียนล้วนมีไหวพริบว่องไว บัดนี้ออกคำสั่งให้ล่าถอยอย่างเป็นระเบียบ
“เดี๋ยวก่อน…”
หนานกงฉีอิงเห็นความผิดปกติของอินทรีทอง “หน่วยเสินอิงนำพวกมันมา”
“เสินอิงไม่มีทางทำร้ายเราแน่”
สองพี่น้ององค์ชายสี่และองค์ชายห้าพูดอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงบางอย่างลอยมาตามสายลม
“ท่านพ่อ!!!”
น้ำเสียงดังฟังชัดของเสี่ยวเป่าถูกสายลมพัดพา และในพริบตาเดียวกันนั้น ดวงตาของหนานกงสือเยวียนก็สว่างวาบขึ้นทันใด
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “เป็นเสี่ยวเป่า”
สองพี่น้องตระกูลหนานกงก็ได้ยินเช่นเดียวกัน จากนั้นก็พากันดีใจยกใหญ่
แต่เสียงฝีเท้าของสัตว์ร้ายยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามานั้นน่าหวาดกลัวจริง ๆ
ยิ่งเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา เสียงของเสี่ยวเป่าก็ยิ่งชัดเจน
“ท่านพ่อ แค่ก ๆ ๆ…”
เสี่ยวเป่าไอเพราะถูกลมตีเข้าคอ นางจึงตบหัวของเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์เพื่อให้มันหยุด
เจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ที่กำลังเคลื่อนไหวก็หยุดวิ่ง งวงยาวยื่นตวัดไปด้านหลังและเกี่ยวเข้ากับมือของเสี่ยวเป่า
“ขอบใจนะ”
นางลูบงวงของมัน แววตาเป็นประกายมองกลุ่มคนที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้าไม่ถึงสามสิบจั้ง
ใช่ท่านพ่อจริง ๆ!
“ท่านพ่อ!”
เสี่ยวเป่าพลิกตัวและเหยียบงวงของเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์เป็นที่ปีนป่าย จากนั้นท่อนขาน้อย ๆ ก็ออกวิ่งสุดชีวิต
หนานกงสือเยวียนเดินเข้าไปหาและคว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นมากอด
เสี่ยวเป่าโอบคอของเขาพลางยิ้มมีความสุข ทว่าดวงตาแดงก่ำราวกับจะร้องไห้
“เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อที่สุดเลย”
หนานกงสือเยวียนกอดบุตรสาวไว้แนบอก จากนั้นก็ตีไปที่ก้นของนางหนึ่งที
“ใครอนุญาตให้เจ้ามาที่นี่คนเดียว”
ซาบซึ้งอยู่สักพักก็ตามด้วยการคิดบัญชีย้อนหลัง
เสี่ยวเป่า : …
“เสี่ยวเป่าผิดไปแล้ว ท่านพ่ออย่าโกรธเลยนะ”
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเจอไหมเหมันต์แล้ว และได้ข่าวคราวของโสมเหมันต์ด้วย”
ที่นางออกมาในวันนี้ก็เพื่อมาตามหาโสมเหมันต์
ได้ยินเสี่ยวเป่าพูดเช่นนั้น หนานกงสือเยวียนก็ตำหนินางไม่ลง
บุตรสาวเป็นห่วงตน นางมายังภูเขาเหมันต์ก็เพื่อตน
แต่การแอบหนีมาคนเดียวเช่นนี้มันก็น่าโมโหจริง ๆ
“น้องหญิง ๆ ๆ ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่อยู่แล้ว”
สองพี่น้องที่ตัวโตเกือบจะทัดเทียมหนานกงสือเยวียนพุ่งตัวเข้ามา พลางมองเสี่ยวเป่าด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“พี่สี่ พี่ห้า”
เจ้าตัวน้อยยิ้มแก้มปริ “เสี่ยวเป่าก็คิดถึงพวกท่านที่สุดเลย!”
ทุกคนต่างก็โล่งใจที่พบองค์หญิงน้อยของพวกเขาในที่สุด
เสี่ยวเป่าลงจากอ้อมกอดของท่านพ่อ ตอนนี้นางตัวสูงขึ้นและน้ำหนักก็มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็หนาทีเดียว ดังนั้นอย่าให้ท่านพ่ออุ้มจะดีกว่า
“ท่านพ่อ พวกเขาเป็นคนจากเผ่าฉางเซิงเทียน เสี่ยวเป่าเจอ…”
ยังไม่ทันพูดจบ จู่ ๆ อานั่วซือก็พุ่งเข้าใส่เยว่หลีอย่างบ้าคลั่ง
เสี่ยวเป่า “???”
เยว่หลีก็ไม่ยอมอยู่เฉย ทันใดนั้นเข็มพิษก็ปรากฏขึ้นในมือหวังจะแทงอานั่วซือ
คนสองคนที่แตกต่างกันทั้งรูปร่างและสีผิว ทว่าใบหน้า สีของเส้นผม รวมถึงสีดวงตากลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนพุ่งเข้าใส่กัน ก่อนจะกลิ้งไปบนหิมะหลายตลบ
เมื่อการต่อสู้จบลง เยว่หลีที่เสียเปรียบด้านพละกำลังก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
น้ำเสียงเย็นชาของเยว่หลีบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “เก่งจริงก็ออกไปสู้กันข้างนอกภูเขาเหมันต์อีกรอบสิ!”
อานั่วซือปล่อยมือพร้อมกับแค่นหัวเราะ
เสี่ยวเป่าตัวแข็งทื่อ ขณะที่คนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงไม่ต่างกันเมื่อมองใบหน้าอานั่วซือสลับกับเยว่หลี
หนานกงฉีหลิงสะดุ้งโหยง
“ทำไมเขาหน้าตาเหมือนเยว่หลีเลย!”
หนานกงสือเยวียนเองก็รู้สึกแปลกใจอย่างที่พบเห็นไม่บ่อยนัก
แต่นิสัยของทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อานั่วซือดุร้ายราวกับสัตว์ป่าที่ไร้พันธนาการท่ามกลางผืนหิมะ หล่อเหลาทว่าอันตราย
ขณะที่เยว่หลีราวกับเทพลงมาจุติยังโลกมนุษย์ กิริยาวาจาสำรวม
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเปลือกนอก แท้จริงแล้วเจ้านั่นร้ายกาจยิ่งนัก
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เสี่ยวเป่าพึมพำ “ข้าพบเขาเป็นคนแรกตอนที่มาถึงที่นี่ ชื่อของเขาคืออานั่วซือ”
“พวกเขาคงไม่ได้เป็นพี่น้องกันหรอกใช่หรือไม่”
เสี่ยวเป่าเกาศีรษะ “ไม่ใช่หรอก แม่ของอานั่วซือเป็นชาวเผ่าฉางเซิงเทียน ส่วนพ่อของเขาคือกษัตริย์ซยงหนูที่ถูกลูกชายตัวเองสังหาร”
เสี่ยวเป่าเสริมต่อ “ลูกชายคนนั้นชื่อว่าอานั่วซือ”
ทุกคน “…”
ส่วนภูมิหลังชีวิตของเยว่หลีทุกคนในตระกูลหนานกงล้วนรู้ดี บุตรชายคนสุดท้องของกษัตริย์หนานจ้าวผู้ล่วงลับ
ดังนั้นเหตุใดคนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดถึงได้บังเอิญมีหน้าตาเหมือนกันเช่นนี้
ต่อให้สายเลือดจะน่าอัศจรรย์เพียงใดก็คงไม่อัศจรรย์ถึงเพียงนี้กระมัง
“เยว่หลี นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เยว่หลีเดินเข้ามาด้วยความไม่พอใจพร้อมกับปัดเศษหิมะออกจากตัว และเผยยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นเสี่ยวเป่า แต่แล้วสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไป
เมื่อเห็นว่าอานั่วซือเดินไปยืนข้างกายเสี่ยวเป่า
เยว่หลีหรี่ตาอย่างมุ่งร้าย หากไม่ใช่เพราะสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ทำให้อสรพิษของเขาต้องจำศีลแล้วละก็ เขาคงจะจัดงานเลี้ยงอาบยาพิษชุดใหญ่ให้ชายตรงหน้าไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อตามหาคนจริง ๆ แต่เมื่อได้เจอแล้วกลับไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด
“ไปหาที่คุยกันเงียบ ๆ เถอะ”
เยว่หลีหยุดคิดสักพัก จากนั้นก็มองเสี่ยวเป่าอย่างรู้สึกผิดพร้อมกับกล่าวเสริม
“มันเกี่ยวกับตัวเจ้าเมื่อชาติก่อน”
เสี่ยวเป่า “!!!”
หนานกงสือเยวียนหันไปมองด้วยสายตาเย็นชาทันที
ขณะที่คนอื่น ๆ ได้แต่ทำหน้าสงสัย
เสี่ยวเป่าจึงทำได้เพียงพาทุกคนกลับไปที่เผ่า
ส่วนคำอธิบายเรื่องคณะเดินทางของท่านพ่อต่อหมอผีและหัวหน้าเผ่าก็คือ “หลังจากนี้เราต้องพึ่งพวกเขาในการติดต่อกับคาราวานพ่อค้า”
และบังเอิญว่าครั้งนี้พวกเขานำข้าวของมาไม่น้อยเลย
มีกระทั่งมันฝรั่งและมันเทศ
หลังจากที่ได้ชิมมันเทศกับมันฝรั่ง ทั้งยังได้รู้ว่าอาหารสองชนิดนี้สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนหากว่าเก็บรักษาอย่างเหมาะสม หัวหน้าเผ่าและหมอผี รวมถึงคนอื่น ๆ ต่างก็ตาลุกวาว
คนต่างเผ่าจึงได้กลายเป็นแขกของฉางเซิงเทียนไปด้วยเหตุนี้นี่เอง