เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 493 เนื้อย่าง

บทที่ 493 เนื้อย่าง

บทที่ 493 เนื้อย่าง

บทที่ 493 เนื้อย่าง

เสี่ยวเป่าหลับตาลงครู่หนึ่ง ภายนอกดูเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ความเป็นจริง นางไปที่ห้องสมุดมา

ภายในนั้นมีตำรามากมายหลายประเภท แน่นอนว่าย่อมมีตำราสอนการทำตะกร้าแบบง่าย ๆ

ตะกร้าใบแรกบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ใบที่สองเริ่มดีขึ้น หากฝึกไปเรื่อย ๆ นางจะต้องสานตะกร้าที่สมบูรณ์ได้แน่นอน!

อานั่วซือวิ่งกลับมาพร้อมพลั่วอเนกประสงค์ เห็นว่าเสี่ยวเป่าสานตะกร้าได้สามใบแล้ว มีทั้งใบเล็กและใหญ่

“อานั่วซือ เจ้าช่วยเอาตะกร้าพวกนี้ไปไว้บนหลังสัตว์ร้ายยักษ์ที”

เสี่ยวเป่าอธิบายให้เขาฟังว่าต้องยึดตะกร้าพวกนี้กับตัวสัตว์อย่างไร

ถึงมันน่าเกลียดไปหน่อย แต่ใช้ประโยชน์ได้

เสี่ยวเป่ายังไม่พอใจฝีมือสานตะกร้าทั้งสามใบของตน แต่ก็ต้องปล่อยผ่านไปก่อน ตอนนี้แค่ใช้งานได้ก็พอแล้ว

อานั่วซือพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะวิ่งไปหาท่อนไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงมาสองท่อน มัดตะกร้าหวายไว้ที่ปลายทั้งสองข้าง แล้วนำขึ้นไปวางไว้บนหลังสัตว์ร้ายยักษ์

เสี่ยวเป่าอุ้มหัวไชเท้าใส่ตะกร้า

อานั่วซือตาเป็นประกาย “อันนี้มีประโยชน์มาก”

เสี่ยวเป่ายืดอกเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ “ใช่มะ ๆ”

นางเก่งมากเลยใช่หรือไม่

อานั่วซือก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจตะกร้า

ยามที่เขาอยู่ที่ตั้งหลักของซยงหนู เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย

ไม่ต้องพูดถึงชนเผ่าล้าหลังและขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างฉางเซิงเทียน

วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่แทบไม่ต่างกับคนป่า พวกเขาไม่รู้วิธีเพาะปลูก ทั้งข้าวของเครื่องใช้หรือแม้แต่อาวุธก็มีอย่างจำกัด พวกเขาแยกแยะพืชผักสมุนไพรไม่ออกเสียด้วยซ้ำ

หมอผีประจำเผ่ายังรู้จักยาสมุนไพรเพียงบางชนิด ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย สมุนไพรที่รู้จักมักจะเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ

อาลู่จึงค่อนข้างตกใจ เมื่อเสี่ยวเป่าบอกว่าสมุนไพรที่พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงวัชพืชนั้นมีสรรพคุณมากมาย นางยังเป็นแค่เด็กอายุสิบขวบแท้ ๆ แต่กลับมีความรู้มากกว่าหมอผีเสียอีก

“เอาละ ทิ้งหัวไชเท้าพวกนี้ไว้ที่นี่ก่อน พวกเรารีบไปสำรวจที่นั่นกันเถิด ข้าว่าข้าเหมือนจะเห็นเห็ดกินได้ด้วยล่ะ”

ป่าแห่งนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เสี่ยวเป่ารู้สึกเหมือนเป็นชางฉู่ที่อยู่ท่ามกลางกองอาหาร อันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็น่ากิน…

สมุนไพรอันนี้ก็มีประโยชน์ สมุนไพรอันนั้นก็มีประโยชน์…

แค่คิดท้องก็พลันร้องแล้ว เสี่ยวเป่าจึงยกมือขึ้นลูบปลอบประโลมมัน

“อานั่วซือ เจ้าไปที่ใดมา”

นางกำลังนึกถึงเขา อานั่วซือก็กลับมาพอดี

กลับมาพร้อมกับเหยื่อที่ล่ามาได้

กวางตัวใหญ่ถูกอานั่วซืออุ้มกลับมา แล้วโยนลงตรงหน้าเสี่ยวเป่า

เขาอยากกินเนื้อย่างที่เสี่ยวเป่าทำ

“เนื้อย่าง”

“ไม่มีฟืน”

อานั่วซือส่งสัญญาณมือ เจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ก็ปรากฏตัวพร้อมท่อนไม้แห้งในงวง

เจ้าป่ากลายเป็นแรงงานแบกของเสียแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยล้างเนื้อแล้วหั่นเป็นชิ้นหนา ๆ ทีนะ”

เมื่อเสี่ยวเป่าสั่งให้เขาหั่นเนื้อ ส่วนนางวิ่งไปหาหินมาทำเตา

แต่นางแรงน้อยยกหินไม่ไหว จึงต้องเปลี่ยนหน้าที่ไปหั่นเนื้อ ส่วนอานั่วซือเปลี่ยนไปยกหินแทน

โดยมีเสี่ยวเป่าคอยบอกเขาว่าต้องทำอย่างไร

กว่าจะหั่นเนื้อเสร็จ มือเล็ก ๆ ก็ชโลมไปด้วยไขมันสัตว์ นางจึงวิ่งไปที่ลำธาร แล้วล้างมือด้วยสบู่หอม

ล้างเสร็จนางก็วิ่งกลับไปเอาเห็ดในตะกร้ามาล้าง ก่อนจะหั่นเห็ดบนแผ่นหินสะอาด

จากนั้นก็วิ่งไปเก็บผักป่า

อานั่วซือเห็นเสี่ยวเป่าเก็บ ‘วัชพืช’ พวกนั้น พลันทำหน้าขยะแขยง หญ้าพวกนั้นรสชาติไม่ดีเลย เขาจะไม่กินมันเด็ดขาด!

แต่เสี่ยวเป่าเตรียมผักและเห็ดป่าอย่างอารมณ์ดี ด้านอานั่วซือจึงเริ่มวางหินทำเป็นฐาน

และวางหินขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างแบนไว้ด้านบน

จากนั้นก็จุดไฟ รอให้หินร้อนประมาณหนึ่ง เสี่ยวเป่าจึงวางเนื้อชิ้นใหญ่ลงไป น้ำมันในเนื้อเริ่มซึมออกมา

สัตว์ป่ามีไขมันน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย มันไม่มากพอที่จะเก็บไว้ใช้ครั้งต่อไป แต่มากพอสำหรับอาหารมื้อนี้

อานั่วซือเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง

เมื่อน้ำมันไหลกระจายบนแผ่นหินที่ร้อนจัด กลิ่นก็เริ่มหอม

เสี่ยวเป่าใส่เนื้อไม่ติดมัน เห็ด และผักตามลงไป

นางหาได้ทำอาหารเก่งอันใด แต่เพราะชอบกิน จึงเตรียมเครื่องเทศเครื่องปรุงมาค่อนข้างครบครัน

การทำอาหารง่าย ๆ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง

ของที่ย่างด้วยน้ำมันเพียงขลุกขลิกถูกปรุงด้วยเครื่องปรุงรสของเสี่ยวเป่า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงใส่หัวหอมป่าตามลงไปหนึ่งกำมือ กลิ่นหอมฉุยพลันตลบอบอวล

อานั่วซือ “เสร็จแล้วหรือ”

เสี่ยวเป่า “เจ้าไปหาใบไม้มาใส่”

ทันทีที่นางพูดจบ อานั่วซือก็หายตัวไป แล้วกลับมาพร้อมใบไม้ในมือ ซึ่งสะอาดมาก แสดงว่าเขาล้างพวกมันก่อนเอากลับมา

ชายหนุ่มนั่งลงพร้อมถือใบไม้ไว้บนฝ่ามือ จ้องอาหารบนแผ่นหินตาปริบ ๆ

เหมือนสุนัขตัวโตรออาหารไม่มีผิด

ความจริงแล้วเสี่ยวเป่าก็หิวมากเช่นกัน

เนื้อที่หั่นบาง ๆ สุกเป็นอย่างแรก อีกอย่างหากต้องการเนื้อกวางนุ่ม ๆ ก็ไม่ควรย่างนานเกินไป ไม่เช่นนั้นมันจะเหนียว

เสี่ยวเป่าใช้ตะเกียบคีบเนื้อบางส่วนให้เขา รวมถึงเนื้อส่วนติดมันด้วย

อานั่วซือไม่สนใจว่ามันยังร้อนอยู่ ในหัวเขามีแค่คำว่าอยากกิน

“ใช้อันนี้สิ”

ต่อให้เจ้าจะมีใบหน้าฟ้าประทานเพียงใด เจ้าก็ไม่ควรทำตัวมูมมามน่าเกลียดนะ

เสี่ยวเป่ายื่นตะเกียบให้ และสอนใช้ตะเกียบอยู่พักหนึ่ง แน่นอนว่าเขายังใช้ไม่ค่อยถนัด

อานั่วซือเริ่มกินแล้ว นางก็เริ่มกินด้วย

แต่วิธีการกินของนางนั้นพิถีพิถันกว่ามาก รอให้เย็นขึ้นหน่อยค่อยกินคำเล็ก ๆ

นางชอบกินเนื้อกวาง เห็ดนางก็ชอบ ผักป่าพวกนี้ก็ด้วย

“อานั่วซือ ต่อไปเจ้าก็คอยสังเกตเอาเองนะ ถ้าเห็นว่าสุกแล้วก็คีบไปกินเลย เห็ดนี้ก็อร่อย เจ้าลองชิมดูสิ”

เขายังลังเล แต่เนื้อยังไม่สุก จึงลองกินเห็ดไปหนึ่งคำ จากนั้น…

จากนั้นเขาก็กินมันอย่างบ้าคลั่ง

เห็ดสด ๆ ย่างบนไขมันสัตว์ กลิ่นหอมยิ่งนัก

การที่เขาพานางกลับมาด้วย นับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดยิ่ง

ในขณะที่อานั่วซือกินอย่างมีความสุข กลิ่นหอมก็ลอยล่องลอยไปตามสายลม

อาลู่กับต๋าเอ๋อร์พร้อมพรรคพวกอีกสามคนออกมาลาดตระเวนรอบ ๆ เผ่า ทันทีที่พวกเขาได้กลิ่นหอมที่ลอยมาตามสายลมก็พลันก้าวขาไม่ออก

“นี่มันกลิ่นอันใด”

“หอมยิ่งนัก”

แม้ยังไม่เห็นว่ามันคือสิ่งใด แต่ดูจากกลิ่นแล้ว มันจะต้องเป็นสิ่งที่กินได้แน่นอน

“กลิ่นเหมือนเนื้อย่าง”

อาลู่มองตามทิศทางของกลิ่น “กลิ่นเหมือนจะมาจากทางที่พวกอานั่วซือไป”

เขานำขิงกลับไปให้หมอผี เนื่องจากหมอผีเพิ่งรู้ว่าน้ำแกงขิงมีสรรพคุณรักษาพิษไข้ พอได้ความรู้ใหม่ก็เกิดตื่นเต้นและอยากลอง

ขณะที่เขาเดินออกมาจากถ้ำหมอผี เสวี่ยก็ปรี่เข้ามาถามว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้สามารถรักษาพิษไข้ได้ ทั้งยังตัดพ้อว่าเหตุใดไม่บอกนางก่อน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน อาลู่คงไม่คิดอันใดมาก และคงเข้าไปปลอบใจเสวี่ยทันที ทว่าตั้งแต่ได้ฟังคำบอกเล่าของอานั่วซือ เขาก็ระมัดระวังมากขึ้น ยิ่งพยายามสังเกตเสวี่ยให้ดี เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล

เขาจึงรีบหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกมา โชคดีที่บังเอิญเจอกลุ่มคนที่กำลังจะออกมาลาดตระเวนเข้าพอดี

พวกเขาจึงมาที่นี่ด้วยกัน

เมื่อเดินตามกลิ่นมาเรื่อย ๆ คนทั้งหลายจึงพบกับคนทั้งสองที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอยู่

“อึก…”

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นก็ยิ่งหอม แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ออกมาลาดตระเวนด้วยยังต้องกลืนน้ำลาย

หอมมาก กลิ่นหอมมาก!

อานั่วซือผู้มีประสาทสัมผัสดีราวกับปีศาจ หันขวับไปทางที่อาลู่และคนอื่น ๆ ยืนอยู่ เช่นเดียวกันกับหมาป่ายักษ์

แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นผู้ใด เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมาคีบเนื้อขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เป่ามันแล้วโยนเข้าปากทันที

เขาเคี้ยวเนื้อร้อน ๆ ในปาก พลางใช้ดวงตาสีม่วงคู่นั้นจ้องเนื้อชิ้นอื่นบนแผ่นหิน

“อะแฮ่ม…”

อาลู่และคนอื่น ๆ อดส่งเสียงออกมาขัดจังหวะเสียมิได้

เสี่ยวเป่า “พวกเจ้าจะกินด้วยกันหรือไม่”

ต๋าเอ๋อร์เกาหัวด้วยความเขินอาย “ข้าเกรงใจ แหะ ๆ”

เสี่ยวเป่า : เจ้าเอ่ยคำนั้น ในขณะที่จ้องเนื้อบนแผ่นหินของข้าตาเป็นมัน ข้าล่ะเชื่อเจ้าจริง ๆ

“พวกเจ้าหั่นเนื้อจากตรงนั้นมาย่างได้”

ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็พลันละทิ้งความเกรงใจ คนทั้งหลายแทบจะวิ่งไปหั่นเนื้อ

เพราะพวกเขารีบเกินไป จึงหั่นเนื้อชิ้นใหญ่มาก

นั่นไม่เป็นปัญหา ขอแค่ย่างได้ก็พอ

“กวางตัวนี้ อานั่วซือคงล่ามา เอาไว้ข้าจะหามาคืนพวกเจ้าก็แล้วกัน”

แม้วิถีชีวิตจะดูล้าหลังมาก แต่พวกเขาก็รู้ขอบเขต รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร

อานั่วซือพยักหน้าแบบขอไปที เขาเกือบจะอิ่มอยู่แล้ว แบ่งให้คนอื่นกินด้วยก็ไม่เสียหาย

ถึงอย่างไรพวกเขาก็กินได้ไม่เยอะเท่าเขาหรอก!

เสี่ยวเป่าสอนเพียงวิธีย่างเนื้อให้ ส่วนเครื่องปรุง คราแรกนางตั้งใจให้พวกเขาปรุงเองตามใจชอบ ทว่าพวกเขากลับปฏิเสธ และขอให้นางจัดการให้

โชคดีที่นางเริ่มอิ่มแล้ว เนื้อส่วนที่เหลือจึงยกให้อานั่วซือ

“นี่เกลือหรือ”

คนที่มากับต๋าเอ๋อร์จ้องขวดใบเล็กที่มีเม็ดเกลือสีขาวราวหิมะอยู่ข้างใน

เกลือถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด

ก่อนที่เสี่ยวเป่าและหนานกงสือเยวียนจะศึกษาวิธีตากเกลือในห้องสมุด ชาวต้าเซี่ยยังต้องกินเกลือหยาบที่มีแร่ธาตุ ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวเผ่าทุ่งหญ้าหรือเผ่าที่ตั้งในหุบเขาอันห่างไกลจากโลกภายนอกอย่างเผ่าฉางเซิงเทียน

เกลือที่พวกเขาแลกเปลี่ยนมาได้ล้วนเป็นผลึกเกลือ บ้างก็เป็นเกลือที่มีรสขมมาก

เวลาทำอาหารก็จะปรุงด้วยผลึกเกลือหรือเกลือบกเท่านั้น ซึ่งมันไม่ค่อยอร่อยนัก

แต่สำหรับพวกเขา แค่กินแล้วทำให้มีเรี่ยวแรงก็พอแล้ว

คนในเผ่าจึงไม่เคยเห็นเกลือคุณภาพดีเช่นนี้มาก่อน

เสี่ยวเป่า “ผู้คนข้างนอก อย่างเช่นชาวต้าเซี่ยที่เอาชนะซยงหนูได้ต่างก็กินเกลือชนิดนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ต๋าเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้น ถามถึงระยะเวลาเดินทางไปต้าเซี่ยทันที

เสี่ยวเป่า “อาจใช้เวลาประมาณสองเดือน แต่ถ้าขี่สัตว์ร้ายยักษ์ก็อาจใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น”

ที่หุบเขามีเกลือน้อยมาก เผ่าของพวกเขาต้องแลกเกลือกับเผ่าอื่น

เดินทางโดยสัตว์ร้ายยักษ์ ใช้เวลาเพียงสิบกว่าวัน แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องแลกเปลี่ยน

เสี่ยวเป่าไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องราคาแลกเปลี่ยนเกลือในต้าเซี่ย เพราะนางยังไม่แน่ใจว่าเผ่านี้จะเป็นภัยต่อต้าเซี่ยหรือไม่

แม้คนในเผ่าจะมีไม่มาก แต่พวกเขาก็กล้าหาญและเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ อีกทั้งยังมีเหล่าสัตว์ร้ายยักษ์คอยช่วยเหลือ

พวกเขากินกวางทั้งตัวจนเหลือแต่กระดูก เจริญอาหารยิ่ง กระทั่งเก็บเห็ดและผักป่ามาเพิ่ม ก็ยังแทบไม่พอเติมกระเพาะให้เต็ม

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ต๋าเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้น ถามถึงระยะเวลาเดินทางไปต้าเซี่ยทันที

เสี่ยวเป่า “อาจใช้เวลาประมาณสองเดือน แต่ถ้าขี่สัตว์ร้ายยักษ์ก็อาจใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น”

ที่หุบเขามีเกลือน้อยมาก เผ่าของพวกเขาต้องแลกเกลือกับเผ่าอื่น

เดินทางโดยสัตว์ร้ายยักษ์ ใช้เวลาเพียงสิบกว่าวัน แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องแลกเปลี่ยน

เสี่ยวเป่าไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องราคาแลกเปลี่ยนเกลือในต้าเซี่ย เพราะนางยังไม่แน่ใจว่าเผ่านี้จะเป็นภัยต่อต้าเซี่ยหรือไม่

แม้คนในเผ่าจะมีไม่มาก แต่พวกเขาก็กล้าหาญและเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ อีกทั้งยังมีเหล่าสัตว์ร้ายยักษ์คอยช่วยเหลือ

พวกเขากินกวางทั้งตัวจนเหลือแต่กระดูก เจริญอาหารยิ่ง กระทั่งเก็บเห็ดและผักป่ามาเพิ่ม ก็ยังแทบไม่พอเติมกระเพาะให้เต็ม

อาหารมื้อนี้นับเป็นอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยกินมาเลย!

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Score 10
Status: Completed
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว! นิยายแปลเรื่อง เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช ผู้แต่ง :垂耳兔 หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้ เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน! เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

Options

not work with dark mode
Reset