บทที่ 460 เป่ยเยว่โกลาหล
บทที่ 460 เป่ยเยว่โกลาหล
เสี่ยวเป่าเอาแผนการของตนเองให้ท่านพ่ออ่านอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นลายมือแบบเด็ก ๆ ทว่าดูงดงาม มุมปากหนานกงสือเยวียนก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย “นมผง?”
เสี่ยวเป่านั่งตัวตรงลงข้างท่านพ่อ จากนั้นก็อธิบายหน้าที่ของนมผงและทำท่าทางประกอบไปด้วย
มิเพียงหนานกงสือเยวียนเท่านั้น แม้แต่หนานกงฉีโม่ก็เพิ่งได้ยินประโยชน์ของนมผงเป็นครั้งแรก
แววตาของพวกเขาฉายประกายขึ้นแวบหนึ่ง
“หากว่าเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง ๆ เช่นนั้นจะลองทำนมผงดูก็ย่อมได้ แต่หากคิดจะทำการใหญ่ เกรงว่าสัตว์ในทุ่งของเจ้าจะมีไม่เพียงพอ”
หนานกงสือเยวียนเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ “ลองดูก่อน ต้องการคนเท่าใดก็บอกให้พวกพี่รองของเจ้าช่วย”
เสี่ยวเป่ายิ้มพลางส่ายหัว “ไม่เป็นไรเพคะ เสี่ยวเป่าจะหาคนช่วยเอง”
หนานกงสือเยวียนไม่ได้พูดอะไรมาก แค่หยิบเงินออกมาแล้วส่งไปให้นาง
หนานกงสือเยวียนในตอนนี้มีเงินไม่ขาดมือ!
หนานกงฉีอิงและหนานกงฉีหลิงมิได้สนใจนมผงที่เสี่ยวเป่าพูดถึงเท่าใดนัก แต่พวกเขาสนใจบรรดาลูกเสือที่อยู่ในตะกร้าเป็นอย่างยิ่ง!
เจ้าเสือน้อยทั้งสามตื่นขึ้นด้วยความหิวโหย สิ่งแรกที่ทำหลังจากตื่นขึ้นมาคือส่งเสียงร้องครางแง้ว ๆ เรียกความสนใจจากทุกคน
พ่อไร้ความรับผิดชอบทั้งสองตัวเพียงแค่ยกเปลือกตาและชำเลืองมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ฟุบตัวนอนต่ออย่างสบายใจเฉิบ
หนานกงฉีหลิงเดินปรี่เข้าไปทันที เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยสามตัวที่ยังเดินไม่แข็งนอนทับกันและปีนป่ายไปมาก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“สีเดียวกับเจ้าเฮยไป๋อู๋ฉางเลย”
เขาใช้นิ้วจิ้มลูกเสือน้อยทั้งสาม
“พวกท่านพี่ช่วยป้อนนมหน่อยสิ พวกมันหิวเร็วมากเลย”
“ป้อนอย่างไรหรือ”
เสี่ยวเป่าให้ชุนสี่นำขวดนมมา ดังนั้นพี่ชายทั้งสองจึงป้อนนมลูกเสือสามตัวท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ภายใต้คำชี้แนะของเสี่ยวเป่า
เมื่อกินนมเสร็จแล้ว ครั้งนี้เจ้าตัวน้อยทั้งสามมิได้นอนหลับต่อ พวกมันแค่เงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาสีดำสนิท
เจ้าก้อนขนปุกปุยดูน่ารักไม่เบา
“ท่านพี่ พวกท่านชอบขนาดนี้ ข้ายกให้พวกท่านเอาหรือไม่”
สำหรับเสี่ยวเป่าไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนเลี้ยง ตราบใดที่เจ้าตัวน้อยทั้งสามได้กินดีอยู่ดี
“เจ้าเลี้ยงน่ะดีแล้ว”
หนานกงฉีหลิงรู้สึกอาลัยนิดหน่อย แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาที่จะดูแลลูกเสือที่ยังเล็กขนาดนั้น
“อีกอย่างพ่อของพวกมันก็อยู่กับเจ้า รอให้โตกว่านี้อีกหน่อย เฮยไป๋อู๋ฉางก็จะได้พาพวกมันออกไปล่าสัตว์ อยู่กับพวกข้าที่นี่คงทำไม่ได้”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ก็ได้ หากว่าพวกท่านชอบ ข้าจะพาพวกมันมาหาบ่อย ๆ”
เสี่ยวเป่าอยู่เล่นกับท่านพ่อสักพักจากนั้นก็กลับไป
โชคดียิ่งนัก พอกลับมาถึงก็ได้รับพัสดุที่ส่งมาจากเมืองหลวงพอดี
“ของพวกท่านพี่ แล้วก็มีของเยว่หลีด้วยล่ะ”
เสี่ยวเป่าบอกกับเจ้าเสือทั้งสองอย่างมีความสุข จากนั้นก็นั่งลงบนม้านั่งหินในสนาม กอดลูกเสือและเริ่มต้นอ่านจดหมายโดยมีเจ้าเสือยักษ์สองตัวอยู่เคียงข้าง
ในจดหมายเขียนเล่าชีวิตประจำวันทั่วไป แต่เสี่ยวเป่ากลับอ่านด้วยความรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่ามีข่าวร้ายอยู่เรื่องหนึ่ง
สงครามในเป่ยเยว่ปะทุขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และเยว่หลีก็ลงสนามไปออกศึก!!!
เสี่ยวเป่าอ้าปากค้าง เหตุใดเป่ยเยว่ถึงประกาศสงครามอย่างกะทันหันเช่นนี้!
เสี่ยวเป่าไปถามท่านพ่อในวันรุ่งขึ้น คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ
หนานกงสือเยวียนลูบศีรษะเสี่ยวเป่าเป็นการปลอบโยน
“ไม่มีอะไร กษัตริย์องค์ใหม่ของเป่ยเยว่คนนี้สมองทึบ”
เสี่ยวเป่า “???”
เมื่อได้เห็นท่าทีผ่อนคลายของท่านพ่อ ใจที่เป็นกังวลของเสี่ยวเป่าก็สงบลง
ท่านพ่อบอกว่าไม่มีอะไรก็ต้องไม่มีอะไร อีกอย่างเยว่หลีก็เก่งจะตายไป (≧▽≦)
เสี่ยวเป่าได้รับจดหมายล่าช้า เวลานี้เยว่หลีได้ไปถึงสนามรบเป็นที่เรียบร้อย
ทว่าหนานกงสือเยวียนทราบข่าวนี้มาสักพัก และได้เตรียมกำลังเสริมไว้ล่วงหน้าแล้ว
ในอีกสองวัน องค์ชายสี่และองค์ชายห้า สองพี่น้องก็จะออกเดินทางพร้อมกับทัพเสริมอย่างน้อยสามหมื่นคน
ดังนั้นเสี่ยวเป่าจึงรู้ข่าวเป็นคนสุดท้าย
นางมิได้โอดครวญใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นธุระของกองทัพ!
สิ่งที่นางทำได้คือการทำซอสพริกที่สามารถเก็บไว้ได้นานให้พวกเขานำไปกินระหว่างเดินทาง ทั้งยังใส่เนื้อหั่นเต๋า ซอสพริกหอมกรุ่นไม่ว่ากินคู่กับอะไรก็ต้องทำให้ผู้คนต่างรู้สึกอิจฉา
“พวกท่านพี่ต้องระวังตัวนะ!”
หนานกงฉีหลิงที่ตากแดดอยู่หลายปีจนผิวมีสีคล้ำยิ้มกว้างเห็นฟันซี่ขาว “ไม่ต้องเป็นห่วง!”
หลังจากการฝึกฝนตลอดสามปี หนานกงฉีหลิงมีรอยแผลเป็นเพิ่มขึ้นบนตัวหลายแห่ง ทว่าสำหรับเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ
บัดนี้เขามีท่วงท่าในแบบที่แม่ทัพควรจะมีแล้ว
แม้ฐานะเป็นองค์ชาย แต่กลับไร้ซึ่งความอ่อนแอและเปราะบาง มิหนำซ้ำยังใช้ความแข็งแกร่งสร้างความเชื่อมั่นนับถือให้แก่ผู้คนไม่น้อยและยินดีที่จะติดตามเขาไปทุกหนแห่ง
หนานกงฉีอิงรูปร่างสูงใหญ่กำยำยิ่งกว่าเก่า มีพละกำลังมหาศาล และอาวุธหนักที่ใช้ก็ดูราวกับเบาโหวงเมื่ออยู่ในมือของเขา
เขาเกิดมาเพื่อเป็นจอมทัพ ยามใดที่ออกศึก ประกายรัศมีที่ทหารหมื่นนายมิอาจกรายผ่านล้วนติดตัวทุกครั้งไป
สองพี่น้อง คนหนึ่งสั่งการ ขณะที่อีกคนทำศึก การฝึกฝนตลอดสามปีในสนามรบทำให้พวกเขารู้ใจกันเป็นอย่างดี
เพราะเหตุนี้เอง หนานกงสือเยวียนจึงวางใจให้พวกเขาไปในครั้งนี้ และนำทัพเข้าสู่อีกหนึ่งสนามรบ
ขณะที่มองดูทหารเดินทัพออกจากเมืองอย่างฮึกเหิม ประชาชนที่อยู่โดยรอบก็ส่งอาหารมากมายไปให้พวกเขาด้วยความกระตือรือร้น
มันเทศหลายหัว ไข่ไก่ ซาลาเปา และหมั่นโถว
หนานกงสือเยวียนยกมุมปากขณะยืนดูบนกำแพงเมือง
การกระทำเช่นนี้ของราษฎรแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในกองทัพต้าเซี่ย ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของพวกเขาในตอนนี้
ตราบใดที่ยังทำงานและไม่เกียจคร้าน เพียงแค่ปลูกอะไรนิดหน่อยก็จะไม่มีวันอดตาย
ทหารกว่าสามหมื่นนายเดินทัพได้ไม่ถึงครึ่งเดือน เมืองหน้าด่านก็ต้อนรับการมาเยือนของฤดูหนาว
ขณะเดียวกัน พวกซยงหนูก็มีการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ เริ่มโจมตีระลอกที่สอง
อาจเพราะการเจรจาสงบศึกไม่เป็นผล อีกทั้งในปีนี้การดำเนินชีวิตของพวกเขาก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมที่จะเสี่ยง
ทว่าก็มิได้โง่เขลาที่ต่อสู้เพียงอย่างเดียว ครั้งนี้พวกเขาผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับเป่ยเยว่
ถูกต้องแล้ว การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในฝั่งของเป่ยเยว่ก็เป็นฝีมือของพวกซยงหนูเช่นกัน
อดีตกษัตริย์ของเป่ยเยว่สิ้นแล้ว และกษัตริย์พระองค์ใหม่ก็เป็นพวกทะเยอทะยาน หยิ่งผยอง ทั้งยังไร้ความสามารถ ถูกพวกซยงหนูล่อลวงให้คิดว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยอยู่ที่ชายแดน และตอนนี้มีเพียงรัชทายาทรั้งอยู่เมืองหลวงของต้าเซี่ย ตราบใดที่ร่วมมือกันจะต้องพิชิตต้าเซี่ยได้อย่างแน่นอน
ประกอบกับบรรดาขุนนางที่ถูกพวกซยงหนูซื้อตัวคอยกระซิบที่ข้างหู กษัตริย์เป่ยเยว่ผู้ทะเยอทะยานจึงเชื่อสนิทใจ
กษัตริย์เป่ยเยว่ยืนกรานที่จะส่งทหารไปยังต้าเซี่ยโดยไม่สนคำเตือนของขุนนางเก่าแก่เลยสักนิด
และที่โง่ยิ่งกว่าก็คือเขานำทัพออกศึกด้วยตัวเอง
กษัตริย์ผู้ไม่เข้าใจกลวิธีทำศึกแม้แต่น้อยนำทัพด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีอำนาจสั่งการกองทัพอย่างเด็ดขาด หนานกงสือเยวียนไม่จำเป็นต้องคิดเลยว่าเป่ยเยว่จะลงเอยเช่นไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางใจในตัวบุตรชายทั้งสองของตน เพราะต่อให้โง่เขลาเพียงใดก็ไม่มีทางโง่ไปกว่ากษัตริย์แห่งเป่ยเยว่อีกแล้ว
หนานกงสือเยวียนไม่คาดคิดเลยว่าอาหารจะมาส่งถึงที่เช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องดียิ่งนัก
สำหรับพวกซยงหนู หึ ๆ… เขากำลังกลุ้มใจที่หากษัตริย์ซยงหนูไม่เจออยู่พอดี คราวนี้ต้องคิดแผนให้ดีเสียหน่อยแล้ว