บทที่ 420 ประจักษ์พยาน
บทที่ 420 ประจักษ์พยาน
แต่ตอนจากไปกลับเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย จี้ชิงชิงเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของพวกเสี่ยวเป่าจึงตามมาด้วย รวมถึงจี้ไหวที่คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของน้องสาวมาโดยตลอดก็ตามมาเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ จากตอนแรกที่เปลี่ยนจากสองเป็นสามคน ยามนี้ก็ได้กลายเป็นห้าคนไปเสียแล้ว
เยว่หลี “…”
สีหน้าแลดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก มันเผาของเขาต้องแบ่งออกไปสี่ชิ้นเลยน่ะสิ!
“เสี่ยวเป่า ข้าไม่แบ่งให้พวกเขาได้หรือไม่”
จี้ไหวกระอักกระอ่วนใจ เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะแอบออกมากินมันเผา
เสี่ยวเป่า “เจ้าย่างไว้กี่หัว”
เยว่หลี “ข้าให้คนย่างไว้เยอะมาก ราวสิบกว่าหัวได้กระมัง”
เสี่ยวเป่า “???”
“เท่าไหร่นะ สิบกว่าหัว ท่านคิดจะให้ข้ากินหมดเลย ข้าเป็นหมูหรือไรถึงจะกินเยอะขนาดนั้น”
เยว่หลีตีหน้าเข้ม “อันที่กินไม่หมดก็เก็บไว้กินก็ได้นี่”
เสี่ยวเป่า “พวกเราค่อยย่างกินใหม่ได้นี่นา กินตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ขาดแคลนมันเทศเสียหน่อย”
เยว่หลีร้องเสียงอ้อ “เช่นนั้นแบ่งได้พวกเขาก็ได้”
ท่าทางไม่ได้ดูเต็มใจเลยสักนิด สมกับที่เป็นพวกหวงอาหาร
เสี่ยวเป่าลูบศีรษะเขา เยว่หลีพลันมีท่าทางดีใจ รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าแลดูซื่อบื้อโง่งม ถึงจะยังน่ามองอยู่มาก แต่เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนเขากำลังสะบัดหางไปมาเลยเล่า
พวกชิวหยวนสามคนมีสีหน้ายากจะอธิบาย เด็กหนุ่มที่ติดตามร่ำเรียนอยู่ข้างกายรัชทายาทผู้นี้ จี้ไหวเคยได้ยินพี่ใหญ่พูดถึงมาก่อน บอกว่าเพียงผ่านตาไม่ลืมเลือน มีพรสวรรค์เกินใคร บุคลิกภาพคล้ายรัชทายาทอยู่หลายส่วน
แต่ดูจากตอนนี้ บุคลิกภาพคล้ายรัชทายาทเนี่ยนะ???
ล้อเขาเล่นหรือเปล่า นี่เป็นเด็กหนุ่มที่ดูอย่างไรก็เด็กกว่าเขาชัด ๆ!
เยว่หลีให้คนย่างมันเทศรอมาแต่แรก มันเผาที่ขันทียกมานั้นยังร้อน ๆ หอมกรุ่น หัวใหญ่ชุ่มฉ่ำ แค่เห็นก็รู้สึกว่าน่าจะอร่อยมาก
กลิ่นหอมหวานโชยมา แต่ละคนถือมันเผาไว้ในมือขณะนั่งอยู่ในศาลาปลอดผู้คนหลังหนึ่ง
ชิวหยวนกับเสี่ยวเป่ากินได้เอร็ดอร่อยที่สุดแล้ว เหมือนกับชางฉู่ตัวจ้อยในยุ้งฉางที่กำลังแทะอาหารอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างไรอย่างนั้น ท่าทางดูน่ารักน่าชังยิ่ง
แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าที่เด็กกว่าทั้งยังมีหน้าตาละเมียดละไม ใบหน้ายังมีแก้มยุ้ยเหมือนเด็กทารก จึงแลดูน่ารักกว่าเล็กน้อย
“อร่อย ทำไมมันเผาขององค์หญิงถึงอร่อยกว่าที่จวนข้าทำกินเองมากมายเช่นนี้ อีกอย่างข้าจะบอกอะไรให้นะ เวลาข้าจะกินมันเผาแต่ละครั้งล้วนต้องแอบกิน ไม่อย่างนั้นท่านพ่อก็จะตำหนิว่าข้าไม่เป็นกุลสตรี เขาหัวโบราณยิ่ง ชอบสั่งชอบสอน ทว่าเขากลับกลัวท่านแม่ เวลาข้าถูกท่านพ่อดุด่าจนโมโหก็จะร้องไห้ไปฟ้องท่านแม่ สุดท้ายคนที่ถูกตำหนิก็กลายเป็นท่านพ่อ”
พูดอยู่ดี ๆ นางคล้ายจะรู้สึกตัวขึ้นมาจึงเอามือปิดปาก แย่แล้ว ดูเหมือนนางกำลังนินทาท่านพ่ออยู่เลย
“พวกท่านอย่าพูดออกไปเชียวนะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าตาวาววับ “พวกข้าไม่พูดออกไปแน่นอน ยังมีเรื่องซุบซิบน่าสนใจอะไรอีกหรือไม่”
ชิวหยวนจึงเล่าเรื่องซุบซิบให้เสี่ยวเป่าฟังอีก
“ข้าจะบอกอะไรให้นะ เวลาท่านพ่อพาท่านแม่ไปร่วมงานเลี้ยง ถ้าดื่มสุราข้างนอกมากเกินไปหรือพูดอะไรที่ทำให้ท่านแม่โมโห ตอนอยู่ข้างนอกท่านแม่ก็จะไว้หน้าเขาอยู่บ้าง แต่พอกลับมาถึงที่บ้านท่านแม่ก็จะให้ท่านพ่อคุกเข่าบนกระดานซักผ้า มีหลายครั้งที่มีคนอยากยัดคนเข้ามาในเรือนหลังของท่านพ่อ เขาไม่กล้ารับหรอก แต่คนพวกนั้นกลับส่งผู้หญิงเหล่านั้นมาที่เรือนข้าโดยตรง ทำให้แม่ข้าโมโหมาก เลยให้ท่านพ่อนั่งคุกเข่าบนกระดานซักผ้าอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม บอกให้เขาสำนึกผิดแล้วจัดการพวกผู้หญิงเหล่านั้นเสีย พ่อข้าไม่กล้าไปคลุกคลีกับพวกคนที่ส่งผู้หญิงมาให้เหล่านั้นอีกเลย ไม่อย่างนั้นถ้าแม่ข้ารู้เข้าจะต้องถูกบิดหูแน่”
เสี่ยวเป่าอ้าปากค้าง นางอยากฟังเรื่องซุบซิบจริง ๆ นั่นแหละ แต่เรื่องแบบนี้เอามาพูดได้งั้นหรือ
จี้ชิงชิงกับจี้ไหวก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน ทั้งอยากฟังและกระอักกระอ่วนใจในเวลาเดียวกัน
แต่เด็กสาวผู้นี้ขวัญกล้าไม่เบา นางถึงกับพูดออกมาได้
ลูกสาวของเจ้ากรมชิวช่างกล้าพูดจริง ๆ!
ชิวหยวนกินมันเผาเสร็จค่อยสังเกตเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของพวกเขาจึงกะพริบตาปริบ “ข้าพูดมากเกินไปหรือ”
เสี่ยวเป่า “เปล่า ๆ กำลังดี”
คนอื่น ๆ ก็พยักหน้า
มีเพียงเยว่หลีที่ไม่สนใจเรื่องนี้ ตั้งหน้าตั้งตาป้อนอาหารให้เสี่ยวเป่า เขาถามขึ้นมาว่า “คุกเข่าบนกระดานซักผ้าคืออะไร”
บรรยากาศในศาลาพลันเงียบไปชั่วขณะ
จากนั้น ชิวหยวนอธิบายว่ากระดานซักผ้าคืออะไร คุกเข่าบนนั้นเจ็บยิ่งนัก
เยว่หลีเข้าใจแล้ว “เจ้ากรมชิวน่าสงสารเกินไปแล้ว คราวก่อนข้ากับเสี่ยวเป่าถูกลงโทษให้คุกเข่าบนพื้นยังเจ็บขนาดนั้น”
อีกสามคนมองพวกเขา ถูกลงโทษ?
เสี่ยวเป่า “ข้ากับเยว่หลีแอบออกไปเที่ยวงานเทศกาลโดยไม่ได้บอกท่านพ่อน่ะ”
สายตาของคนทั้งสามที่มองมายังพวกเขาเปี่ยมแววเลื่อมใส
ร้ายกาจ นั่นคือฮ่องเต้เชียวนะ!
กินมันเผาฟังเรื่องซุบซิบเสร็จแล้ว คนทั้งห้าก็ยกขบวนกลับไป
แต่ตอนไปถึงภูเขาจำลองลูกหนึ่ง จี้ชิงชิงพลันยกมือขึ้นและบอกให้ทุกคนหยุดเดิน
“ได้ยินอะไรหรือไม่”
จี้ไหวตั้งใจฟัง “ดูเหมือนจะเป็นเสียงท่านพี่”
จี้ชิงชิง “ยังมีเสียงผู้หญิงด้วย!”
พี่ชายน้องสาวสบตากัน แล้วทั้งคู่ก็ย่องไปทางนั้นทันที
ชิวหยวนกับเสี่ยวเป่าตามมาข้างหลัง ส่วนเยว่หลีเดินตามมาอย่างผ่าเผย
สุดท้ายก็ถูกเสี่ยวเป่าดันตัวไปถึงด้านหลังภูเขาจำลอง แอบมองผ่านช่องแตกบนภูเขาจำลองไปยังอีกฝั่ง
“เป็นพี่ข้าจริง ๆ ด้วย!”
ดวงตาทั้งคู่ของจี้ชิงชิงเป็นประกาย เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของตนยืนหันหน้าหาผู้หญิงคนหนึ่งก็พลันเบิกตาโตอ้าปากกว้าง
“เป็นพี่เซี่ย! สองคนนั้นมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร”
ทันใดนั้น ความสงสัยใคร่รู้ของคนทั้งหลายก็พลันลุกพรึ่บขึ้นมาทันที
เหล่าศีรษะซ้อนทับกัน แต่ละคนตั้งตาดูอย่างใจจดใจจ่อ
“คุณชายจี้ อันนี้ยกให้ท่าน ถือเสียว่าเป็นของขวัญขอบคุณที่ตอนนั้นท่านช่วยข้าเอาไว้ได้หรือไม่”
แม้เซี่ยหลานซูจะพยายามบังคับน้ำเสียงให้ฟังดูสงบเยือกเย็น แต่ก็ยังสั่นนิด ๆ อยู่ดี
ใบหน้าของนางยังแดงก่ำ สายตามองต่ำไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า มือเรียวงามคู่นั้นประคองถุงหอมส่งให้อีกฝ่าย
ถุงหอมใบนั้นแค่เห็นก็รู้ว่านางเย็บด้วยตนเอง ทำออกมาได้ประณีตงดงามยิ่ง
ปลายนิ้วที่ประคองถุงหอมของเซี่ยหลานซูค่อนข้างขาวซีด
ทางด้านจี้อวิ่นอันกลับไม่รับไปเสียที จี้ชิงชิงที่อยู่หลังภูเขาจำลองแทบอยากรุดออกไปรับไว้แทนเขาเสียเดี๋ยวนั้น
ทำไมพี่ใหญ่ถึงได้ทึ่มอย่างนั้นนะ รีบรับไว้สิ!!!
หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะทำลายบรรยากาศ จี้ชิงชิงคงตะโกนออกไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังถูกจี้ไหวปิดปากเอาไว้
เซี่ยหลานซูเข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องการรับไว้ แววตาหม่นหมองริมฝีปากซีดขาว ขณะจะหดมือกลับไป นิ้วมือเรียวยาวกลับคว้าถุงหอมไปจากมือนาง
น้ำเสียงอ่อนโยนของจี้อวิ่นอันดังขึ้น “แม่นางเซี่ย ท่านคิดดีแล้วหรือ”
เซี่ยหลานซูช้อนสายตาขึ้นมองเขานิ่ง ๆ “แล้ว แล้วท่านล่ะ”
จี้อวิ่นอันรับถุงหอมของนางมาแล้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ข้าเพียงไม่อยากให้ท่านบังเกิดความคิดวู่วามเพราะเรื่องที่ข้าช่วยท่านไปคราวก่อน แบบนั้นจะไม่ดีต่อท่าน”
เซี่ยหลานซูส่ายศีรษะ “ไม่ใช่”
นางสบตาจี้อวิ่นอัน ตอบกลับอย่างจริงจัง “ข้า ข้าคิดดีแล้ว และแยกแยะได้ชัดเจน”
“เช่นนั้นก็ดี”
จี้อวิ่นอันคลี่ยิ้มบาง ทอดสายมองเด็กสาวตรงหน้า น้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอเพียงแม่นางเซี่ยยินดี ข้าก็จะให้ท่านแม่ไปเจรจาสู่ขอด้วยตนเอง หวังว่าแม่นางเซี่ยคงไม่รังเกียจ”
……………………………..