บทที่ 416 ป้ายขอพร
บทที่ 416 ป้ายขอพร
เมื่อหาที่เหมาะ ๆ ได้แล้ว เยว่หลีก็อุ้มเสี่ยวเป่าแล้วกระโดดขึ้นไปตามแนวกำแพงของตึกรามบ้านช่อง
แม้ว่าท้องฟ้าจะยังไม่มืดสนิท แต่ก็มืดพอจะเห็นได้อย่างเลือนราง
โคมไฟที่แขวนอยู่ใต้ชายคาถูกจุดให้สว่างกระจัดกระจายกันไป ดูสวยงามเป็นอย่างยิ่งเมื่อมองจากที่สูง
ทั้งสองขึ้นไปถึงยอดหลังคาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เสี่ยวเป่าถือโคมไฟและนั่งบนหลังคากับเยว่หลี ทั้งสองสามารถมองเห็นเรือดอกไม้หลากสีกำลังล่องช้า ๆ ไปตามแม่น้ำที่กำลังไหลได้อย่างชัดเจน
มีหญิงสาวหน้าตางดงามกำลังร่ายรำอยู่บนเรือ
ทุกคนส่งเสียงโห่ร้องก็เพราะเรื่องนี้
บรรดาหญิงสาวเต้นรำได้อย่างงดงามชดช้อยและกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในชั่วขณะ
ดวงตาเสี่ยวเป่าเป็นประกายขณะดูอยู่บนหลังคาอย่างเพลิดเพลิน
เยว่หลีเท้าคาง “ไม่เห็นจะสวยเท่าไรเลย”
เสี่ยวเป่า “เจ้าสายตาไม่ดีหรือไง”
เห็น ๆ อยู่ว่าสวยขนาดนี้
เยว่หลี “แมวยังเดินสวยกว่าอีก”
เด็กหนุ่มส่ายหัวไปมา และยัดเกาลัดที่ปอกเปลือกแล้วเข้าปากของนาง
“จุดโคมไฟหน่อยดีหรือไม่”
แก้มของเสี่ยวเป่าข้างหนึ่งพองออกมาขณะยื่นโคมไฟไปให้
เยว่หลีใช้แท่งจุดไฟ จุดโคมไฟที่มีรูปร่างเหมือนดอกไม้ ทำให้เกิดดวงไฟน้อย ๆ ขึ้นบนหลังคา
ทว่าความสนใจของทุกคนล้วนพุ่งไปที่เรือดอกไม้และบรรดานางรำที่แต่งกายสีสันฉูดฉาด จึงไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขา
“ฮัดชิ่ว…”
เสี่ยวเป่าจามออกมาด้วยความหนาวเพราะสายลมยามค่ำคืน
เยว่หลีรีบกอดเจ้าตัวไว้ในอ้อมแขนทันใด ทั้งยังห่อหุ้มนางด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกโผล่ให้เห็นเพียงใบหน้าน้อย ๆ ที่ดูสวยงาม
“อยู่นิ่ง ๆ ล่ะ ตอนนี้ข้างนอกหนาวมาก”
เสี่ยวเป่าส่งเสียงตอบรับ “พวกเราลงไปข้างล่างกันเถอะ แขวนป้ายขอพรเสร็จแล้วก็กลับกัน”
เสี่ยวเป่า “เจ้าแมวล่ะ? เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าจะให้เจ้าแมวแขวนป้ายขอพรให้”
เยว่หลีวางคางลงบนหัวของเสี่ยวเป่า เสียงสั่นไหวฟังดูอู้อี้ผ่านคางของเขาลงไปจนถึงหูของเสี่ยวเป่า
“วางใจเถอะ ข้ามีวิธี”
ทั้งสองปีนลงจากหลังคา เยว่หลีลงมาก่อนด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วว่องไวราวกับแมว
หรือให้พูดอีกอย่างก็คือเลียนแบบแมวไม่มีผิดเพี้ยน
“กระโดดมาเลย ข้าจะรับเจ้าเอง”
เยว่หลียืนอยู่ด้านล่าง ขณะเสี่ยวเป่านั่งอยู่บนกำแพงพร้อมกับต่อว่าเขาไปด้วย
“เจ้าไม่รู้จักอุ้มข้าลงไปด้วยหรืออย่างไร อุตส่าห์พาข้าลงจากหลังคามาถึงตรงนี้แล้ว!”
เยว่หลี “เจ้ากระโดดแล้วข้ารับก็เหมือนกันนั่นแหละ”
เสี่ยวเป่ากอดกำแพงอย่างไม่ยินยอม “ข้ากลัว ไม่กล้ากระโดด!”
“เสี่ยวเป่าทึ่มจริง ๆ”
เยว่หลีถอนหายใจเบา ๆ ขณะกำลังจะปีนขึ้นไปอุ้มคนที่ให้ตายก็ไม่ยอมกระโดด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากลานด้านในกำแพง
“เจ้าหัวขโมยกล้ามาขโมยของถึงในบ้านข้าเชียวหรือ!”
เสี่ยวเป่า “!!!”
นางตกใจจนเผลอโน้มตัวไปข้างหน้าและเสียการทรงตัวตกลงไป
เสี่ยวเป่าหน้าซีดเผือดเมื่อรู้สึกถึงความไร้น้ำหนัก แต่ก็ตกลงสู่อ้อมแขนที่คุ้นเคยในเสี้ยวลมหายใจ
เยว่หลีมีสีหน้าภาคภูมิใจ “เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่ารับเจ้าได้”
แม้จะอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสนิทยามค่ำคืนก็มิอาจกลบเส้นผมสีขาวประดุจหิมะของเขาได้เลย
เด็กหนุ่มห่อหุ้มไว้ด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดงขับให้ใบหน้าของเขาดูงดงามยิ่งขึ้น
เสี่ยวเป่าไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของเขา นางยืนขึ้นในอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางดุร้ายพร้อมกับหยิกไปที่แก้มทั้งสองข้าง
“ทั้งหมดเป็นความผิดเจ้านั่นแหละ!”
เยว่หลีรู้สึกน้อยใจ เขารับนางได้แท้ ๆ เหตุใดถึงเป็นความผิดของเขาไปได้เล่า
เสี่ยวเป่า “เจ้าอุ้มข้าลงมาตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่อง”
เยว่หลีก้มหน้าคลอเคลียหัวเสี่ยวเป่าไปมาราวกับแมวตัวน้อย
“ก็ได้ เสี่ยวเป่า ข้าสำนึกผิดแล้ว~”
ออดอ้อนได้คล่องแคล่วยิ่งนัก
เสี่ยวเป่าเองก็ให้อภัยเขาอย่างรวดเร็ว
“หัวขโมยหายไปไหนแล้ว!”
น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของชายเจ้าของบ้านดังมาจากลานด้านในกำแพง ทั้งสองรีบย่องหนีอย่างร้อนตัว
วิ่งหนีอยู่นานจนเหนื่อยหอบทั้งยังรู้สึกร้อนไปทั้งตัว
“ไปกันเถอะ พวกเราไปแขวนป้ายขอพรกัน!”
“ตกลง!”
ทั้งสองจูงมือแกว่งไปแกว่งมา พลางเหยียบเงาของอีกฝ่ายและวิ่งเล่นไปตามตรอกเล็ก ๆ
มีวัดตั้งอยู่ในเมืองหลวง เสี่ยวเป่าและเยว่หลีซื้อป้ายขอพรมาหลายแผ่น เพราะป้ายขอพรแผ่นเดียวใส่ความปรารถนาของเสี่ยวเป่าไม่พอ!
เยว่หลีผิวปากเรียกเจ้าแมวระหว่างทางที่พวกเขามาวัด บัดนี้มันเกาะไหล่ของเขาพลางส่ายหางไปมาขณะมองพวกเขาเขียนตัวอักษรบนโต๊ะ
เป็นครั้งแรกที่เยว่หลีเขียนสิ่งนี้จึงไม่รู้จะเขียนอะไร เขาค่อย ๆ โน้มตัวไปทางเสี่ยวเป่าและยืดคอเพื่อแอบดู
เสี่ยวเป่าปิดป้ายขอพรของตัวเองทันที
“ห้ามอ่าน ถ้าอ่านแล้วก็ไม่เป็นจริงน่ะสิ”
เยว่หลีเถียงด้วยเหตุผล “ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ป้ายขอพรข้างนอกนั่นแขวนไว้ต่ำจะตาย ใคร ๆ ก็อ่านได้ทั้งนั้น”
เสี่ยวเป่าเอียงคอเล็กน้อย “ก็ใช่น่ะสิ”
เยว่หลีเชิดคาง “ดังนั้นก็ไม่เป็นไรที่ข้าจะอ่านมัน อีกอย่างเจ้าอ่านของข้า ข้าอ่านของเจ้ายุติธรรมดีออก”
เสี่ยวเป่าเหลือบมองป้ายของเขาจากนั้นก็เบะปาก “เจ้าไม่เห็นเขียนอะไรเลย”
เยว่หลีใช้ปลายพู่กันจิ้มคางตัวเอง น้ำเสียงฟังดูเศร้าใจ “ก็ข้าไม่รู้จะเขียนอะไรถึงได้อยากอ่านของเจ้าไงเล่า”
คราวนี้เสี่ยวเป่าใจอ่อนและยื่นป้ายของตัวเองให้เขาดู
“เจ้าเอาไปอ่านสิ แต่ห้ามพูดออกมานะ”
เยว่หลีพยักหน้าทันที “ตกลง ๆ”
เขาพุ่งตัวเข้าไปอ่าน เสี่ยวเป่าเพิ่งจะเขียนคำอธิษฐานไปได้แค่ข้อเดียว
‘ขอให้หายาให้ท่านพ่อได้เร็ว ๆ’
เยว่หลีหันกลับมาเขียนป้ายขอพรของตัวเอง ‘ขอให้ความปรารถนาของเสี่ยวเป่าเป็นจริงเร็ว ๆ’
เสี่ยวเป่า ‘ขอให้คนที่เสี่ยวเป่ารักสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย’
เยว่หลี ‘ขอให้เสี่ยวเป่าสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย’
เสี่ยวเป่า ‘ขอให้พี่ชายทุกคนได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ’
เยว่หลี “…”
ข้อนี้เขาจะลอกอย่างไรดีล่ะเนี่ย
“แล้วข้าต้องเขียนว่าอะไร”
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองอายุยังน้อย จึงเร็วเกินไปที่จะแต่งงาน
ขนาดที่เยว่หลีไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
เสี่ยวเป่าชะโงกหน้าไปอ่านก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
“เยว่หลีทึ่มจริง ๆ เจ้าเขียนของตัวเองบ้างสิ”
“ต้องเขียนว่าอะไรหรือ”
เสี่ยวเป่า “ความปรารถนาของเจ้าคืออะไรล่ะ”
เยว่หลีโพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิด “ชิงเจ้ามาจากฝ่าบาทแล้วเอามาเลี้ยงดูเอง ข้าจะเลี้ยงเจ้าให้ตัวอ้วนกลมไปเลย!”
เสี่ยวเป่า “…”
นี่เจ้าจะเลี้ยงหมูหรือ
“เอาอันอื่น”
เยว่หลีก้มหน้าอย่างสิ้นหวัง “ข้าไม่มีความปรารถนาอื่นแล้ว”
เสี่ยวเป่าชี้ไปที่ป้ายขอพร “เช่นนั้นก็เขียนว่าขอให้ความปรารถนาของเยว่หลีเป็นจริง รอเจ้ามีความปรารถนาอื่นเมื่อไรค่อยแอบบอกเทพเจ้าในใจก็ได้”
เยว่หลีหยิบพู่กันขึ้นมา “ตกลง ข้าจะเขียนอันนี้”
ทั้งสองพาเจ้าแมวและถือป้ายขอพรหลายแผ่นไปที่ใต้ต้นไม้ขอพรที่มีด้ายแดงและป้ายขอพรมากมายแขวนเอาไว้
ต้นไม้แขวนป้ายขอพรมากมายดูสวยงามเมื่อมองจากระยะไกล
นอกจากนี้ก็มีคนไม่น้อยพยายามโยนป้ายขอพรของตัวเองให้สูงขึ้นอีกหน่อย
เยว่หลีและเสี่ยวเป่ามองหน้ากัน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้าแมว ถึงเวลาแสดงของเจ้าแล้ว”
นางส่งป้ายขอพรหนึ่งแผ่นไปให้เจ้าแมว
แมวดำเข้าใจเป็นอย่างดี มันคาบป้ายขอพรไว้ในปากและปีนขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงอุทานของทุกคน