บทที่ 390 โทสะจักรพรรดิ
บทที่ 390 โทสะจักรพรรดิ
คนทางฝั่งทุ่งหญ้านิสัยหยาบกร้านและกล้าได้กล้าเสียมากกว่าปกติ อีกทั้งพวกเขายังมีความชื่นชอบเป็นพิเศษต่อสุราแรงด้วย
เหล้าองุ่นก่อนหน้านี้สำหรับพวกเขาแล้วยังจืดชืดไปอยู่บ้าง ทว่าก็ยังดีกว่าสุราในปัจจุบันที่ได้ไม่ได้มีฤทธิ์แรงมากนัก
พวกเขาคิดว่าเหล้าองุ่นก่อนหน้านี้สามารถทำให้พวกเขาประหลาดใจได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะได้พบกับสุราที่ตรงกับความชอบพวกตนถึงเพียงนี้
ดูสีสันแล้วมันจืดชืดราวกับน้ำ ทว่ากลับรสแรงยิ่งกว่าสุราใด ๆ ที่พวกเขาเคยดื่มมาก่อน
หนานกงฉีโม่เองก็ประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
น้องสาวตัวน้อยของเขามีความคิดแปลกประหลาดอยู่ตลอดเวลา ทว่าสุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทำให้ผู้คนตื่นเต้นอยู่เสมอ
“องค์ชายรอง ข้าอิจฉาท่านเสียจริง”
เซี่ยสุยอันขยับเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิจฉา “ทุกปีล้วนมีของดี ๆ เช่นนี้เสมอ ท่านยังมีสุราอีกเท่าใด สามารถแบ่งให้ข้าหนึ่งไหได้หรือไม่”
เขาคิดว่าตนเองเอ่ยเสียงเบามากแล้ว ทว่าก็ยังคงถูกบิดาตัวเองตวัดสายตาจับจ้อง
“เด็กเหลือขอ อย่าคิดว่าเจ้าเพียงพูดเสียงเบาลงแล้ว ข้าจะไม่ได้ยินว่าเจ้าจะทำสิ่งใดหรือ!”
แม่ทัพเซี่ยตะโกนออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างอัธยาศัยดีให้กับหนานกงฉีโม่
“องค์ชายรองอย่าได้ฟังคำของเด็กเหลือขอนั่นเลย ทุกวันนี้ก็ยังทำสิ่งใดไม่ได้ความ ว่าแต่ท่านพอจะมีสุราเหลือบ้างหรือไม่…”
หนานกงฉีโม่กล่าว “ทั้งหมดมีเพียงสามไหเท่านั้น ข้าสามารถมอบให้พวกท่านได้เพียงแค่หนึ่งไห”
แม่ทัพเซี่ยปากขมุบขมิบทันที “สุราดีเยี่ยม ทว่ามีจำนวนน้อยเกินไปแล้ว”
ไหสุราเองก็ไม่ได้ใหญ่แต่อย่างใด รินให้แม่ทัพทั้งหมดคนละจอกก็หมดไปเสียครึ่งค่อนไหแล้ว ไม่พอแก้อยากสักนิด
“นั่นคือสิ่งใดกัน”
เซี่ยสุยอันมองไปยังกล่องไม้สี่เหลี่ยม
“ดูเหมือนว่าจะเป็นดาบที่เสี่ยวเป่ามอบให้ข้า”
เขาเริ่มเกิดความสนใจขึ้นมา วางกล่องไม้ไว้บนโต๊ะก่อนเปิดออก
“ฝักดาบไม่เลวเลย”
เซี่ยสุยอันแตะลงบนฝักดาบ ดูแล้วให้ความสง่าอย่างยิ่ง
ทว่าหลังจากที่ชักดาบออกมาแล้ว เขาจึงตระหนักได้ว่า นี่สิที่เรียกว่าสง่างามอย่างแท้จริง!
“ดาบดี!”
ไม่เพียงเซี่ยสุยอันเท่านั้น กระทั่งคนอื่น ๆ เองก็มองตาเป็นประกาย
“องค์ชายรองโปรดให้ข้าลองเถิด สันดาบเล่มนี้กว้าง ทำให้การฟาดลงไปมีพลังมากยิ่งขึ้น”
พวกเขามองออกถึงข้อดีของดาบเช่นนี้ทันที “หากใช้ดาบเล่มนี้ฟาดฟันศัตรูในสนามรบย่อมให้ผลดียิ่งกว่าดาบที่มีตอนนี้อย่างแน่นอน ให้ข้าได้ลองอานุภาพของดาบเล่มนี้ด้วยเถิด”
“ข้าเอง ข้าเอง”
เซี่ยสุยอันเสนอตัวออกมาเป็นคนแรก เขาจับจ้องดาบเล่มนี้ตาเป็นมัน
เซี่ยสุยอันถือดาบเอาไว้ในมือ ให้บิดาของตนเองเตะเก้าอี้เข้าใส่
ดาบถูกฟันตัดลงมา เก้าอี้ถูกผ่าครึ่งอย่างง่ายดาย อาจเป็นเพราะสันดาบค่อนข้างหนา แม้เขาจะจงใจใช้แรงน้อยลง แต่ก็ยังสามารถผ่าครึ่งได้สบาย อานุภาพไม่อาจดูแคลนได้
“ฮ่า ๆๆ…ดี นี่นับได้ว่าเป็นศัสตราเทวะอย่างแท้จริง!”
ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกาย “ต้องเรียกช่างตีเหล็กมาโดยเร็ว จากนั้นก็สร้างดาบนี้ออกมาเพิ่ม”
“ฝ่าบาท ดาบนี่มีนามอันใด”
“ดาบถังเหิง”
“หืม? ถังคือชื่อคนอย่างนั้นหรือ”
หนานกงฉีโม่ส่ายหัว เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
“ไม่ว่าจะชื่ออันใด พวกเราก็จะต้องเร่งผลิตอาวุธออกมาให้กับกองทัพ เมื่อพวกซยงหนูกลับมาอีกครั้งจะต้องสังหารพวกมันให้เหี้ยน!”
พวกเขาคาดไม่ถึงเลย เพียงแต่ตั้งใจจะมาดื่มฉลองในวันเกิดองค์ชายรอง กลับทำให้ได้พบเรื่องราวชวนประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งในวันนี้
“องค์ชายรอง ดาบเล่มนี้…”
“อย่าได้แม้แต่จะคิด”
หนานกงฉีโม่มองท่าทางประจบประแจงของเซี่ยสุยอันก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่
“นี่คือของขวัญวันเกิดที่เสี่ยวเป่าส่งให้ข้า วิธีการหลอมสร้างดาบเช่นนี้นางก็เขียนมาให้แล้ว อย่าได้หวัง”
เซี่ยสุยอันคับข้องใจขึ้นมาภายในพริบตา ก่อนกลายเป็นความอิจฉาริษยา “เหตุใดท่านจึงมีน้องสาวที่เฉลียวฉลาดและคิดถึงท่านตลอดเวลาเช่นนี้”
ไม่เพียงแต่เซี่ยสุยอันเท่านั้นที่อิจฉา คนอื่น ๆ เองก็อิจฉาเช่นเดียวกัน
องค์หญิงเพิ่งอายุเพียงเท่าใดกัน แต่กลับสามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ ออกมาได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเสบียงอาหาร ได้ยินมาว่าองค์หญิงนั้นเก่งกาจด้านการเพาะปลูก?
แม้ว่าจะแปลกประหลาด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่องค์หญิงคิดขึ้นมาสร้างมาสร้างผลกระทบได้ทั่วทั้งต้าเซี่ย
ย่างเข้าปลายเดือนสิบอากาศเริ่มเย็นลง ในทางด้านพระราชวัง…
ข่าวจากอำเภอเจ๋ออวิ๋นและจดหมายจากองค์รัชทายาททำลายความสงบสุขของทั่วทั้งเมืองหลวงต้าเซี่ย ประหนึ่งน้ำหยดลงไปในหม้อน้ำมันเดือดพล่านจนเกิดการระเบิด
พวกเขาคิดว่ารัชทายาทกำลังพักฟื้นตัวจากอาการป่วย ทว่าแท้จริงแล้วกลับลอบปลอมตัวเป็นพ่อค้าเข้าไปในอำเภอเจ๋ออวิ๋นเพื่อสอบสวนเรื่องการเก็บภาษีการเกษตรอย่างลับ ๆ
เมื่อคนในราชสำนักรู้ตัวว่ามีบางสิ่งผิดปกติก็สายเกินไปเสียแล้ว
“ดี ดียิ่งนัก สามเสนาเก้าขุน*[1] เกินครึ่งกลับมีส่วนเกี่ยวข้อง พวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!”
ตอนนี้สามเสนาเก้าขุนของราชสำนักยังไม่ได้ถูกยกเลิกไป ส่วนใหญ่แล้วล้วนมาจากตระกูลขุนนาง ส่วนหกกรมเขาเริ่มดำเนินการมอบตำแหน่งให้กับขุนนางจากตระกูลยากไร้ ทว่ายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่สมบูรณ์เท่ากับสามฝ่ายหกกรม*[2] ในตำราประวัติศาสตร์
บางทีเหล่าฮ่องเต้อาจมีความคิดคล้ายคลึงกัน ต้องการจะเพิ่มตำแหน่งสำหรับขุนนางจากตระกูลยากจนหรือชาวบ้านทั่วไป จึงริเริ่มรูปแบบการปกครองสามฝ่ายหกกรมในตำราประวัติศาสตร์ขึ้นมา
นอกจากกรมพิธีการ กรมกลาโหม และกรมยุติธรรมแล้ว เหล่าตระกูลขุนนางที่ถือว่าตนเองสูงส่งดูถูกดูแคลนอีกสามกรมเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้คดีที่เกิดขึ้นสามกรมดังกล่าวเข้ามาพัวพัน อีกทั้งยังมีสามเสนาที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุด
หนึ่งโทสะจักรพรรดิ ก่อเกิดศพนับล้านไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด
ในปีที่ผ่านมาอารมณ์ของฮ่องเต้ดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ผันผวนรุนแรงเช่นกาลก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขานั้นไร้ซึ่งความโหดเหี้ยม
เขากล้ากระทั่งสังหารเสด็จพ่อและเหล่าพี่น้องของตนเอง ไม่ต้องพูดถึงเหล่าปรสิตในอาณาจักรแห่งนี้เลย
หนานกงสือเยวียนมองไปยังคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น จากนั้นก็โยนหลักฐานทั้งหมดที่รัชทายาทรวบรวมได้ลงไปใส่หน้า
“พวกเจ้าลองอ่านดี ๆ ด้วยตนเอง และอย่าได้เอ่ยกับข้าว่ารัชทายาทเป็นคนใส่ร้ายพวกเจ้า”
สมุดบัญชี จดหมายแลกเปลี่ยน รวมทั้งบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่รัชทายาท องค์ชายสี่ และองค์ชายห้าได้ยินได้เห็นด้วยตนเอง เพราะความละโมบโลภมากของพวกเขาทำให้ประชาชนของต้าเซี่ยไม่มีแม้แต่อาหารจะกิน ต้องขายลูกขายที่ดินมาจ่ายภาษี มีถึงกับใช้กลอุบายยึดไร่นาของชาวบ้าน
ใบหน้าของพวกเขาล้วนซีดลงตัวสั่นระริก ทั้งร่างไร้แรงทรุดอยู่บนพื้น
ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนเย็นชา ภายในดวงตาเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร “ใต้หล้านี้ แท้จริงแล้วเป็นของข้าหรือตระกูลขุนนางของพวกเจ้ากันแน่ ถึงกับปิดฟ้าข้ามทะเล หลอกลวงทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ในหนึ่งปีเสบียงจากภาษีในตระกูลของพวกเจ้าอาจมีมากกว่าข้าเสียด้วยซ้ำกระมัง!”
“เข้ามา จับกุมตัวไท่เว่ย อวี้สื่อต้าฟู และคนอื่น ๆ เอาไว้”
ก่อนที่ผู้ใดจะทันได้ตอบสนอง หนานกงสือเยวียนก็ออกคำสั่งให้จับกุมคน จากนั้นก็ส่งกองทหารไปล้อมจวนแต่ละตระกูลเอาไว้
ยามนี้แม้ว่าพวกเขาจะร้องขอความเมตตาก็ไร้ประโยชน์แล้ว
ฮ่องเต้ใช้ความพยายามและความคิดเป็นอย่างมากเพื่อลดภาษีการเกษตรให้เหล่าประชาชนได้พักหายใจ ทว่าพวกเขากลับทำได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ภาษีที่เก็บเข้าคลังตัวเองมีมากเสียยิ่งกว่าท้องพระคลัง เป็นผู้ใดก็คงจะระเบิดโทสะออกมา
นี่สามารถกล่าวได้ว่าเกิดเพราะความละโมบโลภมากของตระกูลขุนนาง เห็นได้ชัดว่าตนเองมีมากแล้ว แต่ก็ยังอยากมีมากกว่าเดิม
คนในราชสำนึกเกือบครึ่งถูกจับกุม หนานกงสือเยวียนมองไปยังเหล่าคนที่เหลืออยู่แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็น
“ข้าไม่ได้เป็นคนอารมณ์ดี ที่เหลืออยู่ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าไม่ได้มีความผิด แต่เพียงเพราะข้ายังตรวจสอบไม่พบ ทางที่ดีก่อนที่ข้าจะตรวจพบพวกเจ้าก็รีบหาวิธีคืนของให้กับเหล่าชาวบ้านไปเสีย”
หลังจากกล่าวแล้วเขาก็เดินสะบัดชายเสื้อจากไป ทิ้งไว้เพียงเหล่าคนที่มีใบหน้าขาวซีดทรุดตัวไร้แรงอยู่บนพื้น
“จบแล้ว มันจบแล้ว…”
[1] สามเสนาเก้าขุน (三公九卿) – เป็นระบบการปกครองส่วนกลางของจีนโบราณ โดยมีสามเสนาเป็นขุนนางตำแหน่งสูงสุด รองลงมาเป็นเก้าขุน ตำแหน่งจะแตกต่างกันเล็กน้อยตามแต่ละราชวงศ์
[2] สามฝ่ายหกกรม (三省六部) – แบ่งการปกครองออกเป็นสามฝ่าย 1. ฝ่ายซ่างซูเสิ่ง ( 門下省) มี กรมโยธา (工部) และ กรมทหาร (兵部) 2. ฝ่ายจงซูเสิ่ง (尚書省) มี กรมมหาดไทย (吏部) และ กรมยุติธรรม (刑部) 3. ฝ่ายเหมินเซี่ยเสิ่ง (中書省) มี กรมพิธีการ (禮部) และ กรมคลัง (戶部) รวมทั้งหมดเป็นหกกรม