บทที่ 380 เก็บเกี่ยว
บทที่ 380 เก็บเกี่ยว
เยว่หลีส่งเหล้าให้เสี่ยวเป่าตามคำขอ ยามนี้พี่ชายทั้งหลายต่างห้อมล้อมเสี่ยวเป่าที่กำลังยุ่งอยู่กับเครื่องกลั่น
นี่เป็นเครื่องกลั่นเหล้าที่เสี่ยวเป่าสั่งทำขึ้น เพื่อใช้กลั่นเหล้าธัญพืชธรรมดา ๆ ที่รสชาติไม่เลิศรสเท่าใดนัก
หลังจากติดตั้งเครื่องกลั่นเรียบร้อยแล้ว เหล่าพี่ชายก็พร้อมใจกันเข้าไปจับ ๆ แตะ ๆ ดูด้วยความสงสัย
“เจ้าเครื่องนี้จะทำให้เหล้ารสชาติดีขึ้นได้จริงหรือ”
เสี่ยวเป่าที่กำลังถกแขนเสื้อขึ้นเอ่ยตอบพร้อมแววตามั่นใจ “พวกท่านคอยดูเอาเถิด”
หนึ่งถ้วยชาผ่านไป ในที่สุดเหล้าใสหยดแรกกลิ่นหอมหวนก็ไหลออกมาจากปลายท่อกลั่น
เพียงได้กลิ่นหอมก็พอจะรู้แล้วว่ารสชาติต้องดีขึ้นแน่นอน
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”
พอเหล้าเริ่มหยดเร็วขึ้น กลิ่นหอมก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
เหล่าพี่ชายต่างหันมองนางด้วยสายตาสุดทึ่งอย่างพร้อมเพรียง
“เสี่ยวเป่าเหตุใดเจ้าถึงฉลาดถึงเพียงนี้ คิดวิธีการเช่นนี้ได้ด้วย!”
ทว่าเสี่ยวเป่ากลับแววตาสั่นไหวเพราะรู้สึกผิด อันที่จริงนางไม่ได้ฉลาด เรื่องมากมายที่นางรู้ ทั้งเรื่องพืชพันธุ์การเกษตรเหล่านั้น ล้วนเป็นผลพวงมาจากความสามารถและความทรงจำที่ติดตามมาจากชาติก่อน
แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่นางมีห้องสมุดเคลื่อนที่ เป็นเทียนเต้าเองที่มอบพรสวรรค์อันล้ำค่านี้ให้นาง คิกคิก…
“ท่านพ่อเป็นคนสอน”
เสี่ยวเป่ายกความดีความชอบให้ท่านพ่ออย่างไม่ลังเล
หนานกงฉีจวินพึมพำ “เสด็จพ่อ? หากเสด็จพ่อรู้วิธีกลั่นเหล้ารสเลิศเช่นนี้ ไยไม่รีบทำดื่มเองเสียแต่แรก”
เสี่ยวเป่าทำท่าครุ่นคิด แสร้งทำเป็นไม่รู้ “อาจเป็นเพราะท่านพ่อพึ่งนึกขึ้นได้ก็ได้นะเพคะ”
ในเมื่อเครื่องกลั่นใช้กลั่นเหล้าได้ผลตามคาดแล้ว นางจึงเริ่มคิดถึงหนทางสร้างรายได้อันหอมหวนทันที
ท่านพ่อวางแผนจะสร้างเส้นทางการค้าทางทะเลมิใช่หรือ เช่นนั้นก็กลั่นน้ำหอมขายให้ชาวตะวันตกได้น่ะสิ
เหล้าธรรมดาสามขวดกลั่นออกมาได้เหล้ากลั่นขวดเล็กหนึ่งขวด นั่นเป็นผลลัพธ์จากการกลั่นสองรอบ
เหล้ากลั่นที่ได้นั้นมีสีใสกว่าเหล้าทั่วไป ทั้งรสชาติและกลิ่นก็จะเข้มข้นขึ้นด้วย
แม้เป็นเหล้าฤทธิ์แรง แต่หากเลือกได้ ผู้คนทั้งหลายย่อมต้องเลือกเหล้ากลั่นโดยไม่ลังเล
“พวกเราลองดื่มได้หรือไม่”
เสี่ยวเป่า “เหล้านี้มีฤทธิ์แรง มึนเมาได้ง่ายดายนักนะเพคะ”
หนานกงฉีจวินตบหน้าอกอย่างมั่นใจ “ข้าไหว”
ตัวเขานั่นแม้อายุยังน้อย ทว่าชอบแอบดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ
อาจเป็นเพราะคนในยุคนี้ชื่นชอบเหล้าและขนมหวาน โดยเฉพาะคนทางเหนือที่มักจะจิบเหล้าในฤดูหนาว เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
แม้แต่เหล้าเหลืองกลิ่นแรง พวกเขายังดื่มกันอย่างเอร็ดอร่อย กระดกรวดประหนึ่งดื่มน้ำเปล่า
ยิ่งถ้าพวกเขาได้ลิ้มรสเหล้าที่เสี่ยวเป่าหมัก จะต้องเกิดความปั่นป่วนอีกหนเป็นแน่
เพียงคิดใจก็พลันเต้นแรง เสี่ยวเป่ายังนึกขึ้นได้อีกว่าหากกลั่นเหล้าอีกหลาย ๆ รอบ เพื่อกลั่นเอาแอลกอฮอล์ออกมาให้มากที่สุด มันจะใช้เป็นยาที่สามารถช่วยรักษาทหารบาดเจ็บในสนามรบได้
แต่หากต้องการเหล้ากลั่นปริมาณมากก็จำเป็นต้องใช้ธัญพืชจำนวนมากเช่นกัน
ไม่เป็นไร อีกสองปีข้างหน้า พืชพันธุ์ธัญญาหารก็จะอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ปีนี้พืชพันธุ์ได้ปุ๋ยเพียงพอ ผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวจึงเป็นที่น่าพึ่งพอใจไม่น้อย
หากต้องการพื้นที่เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารจำนวนมาก สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดก็คือเมืองหน้าด่าน
เมืองหน้าด่านมีพื้นที่กว้างใหญ่ ประชากรบางเบา มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคร่งครัด
หนานกงฉีโม่งานยุ่งตลอดปี เมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนก็ตกอยู่ในช่วงตึงเครียด
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของชาวนาผู้มากประสบการณ์ ปัญหาทั้งหลายมักเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมิใช่สัตว์ป่ามากินพืชผล แต่เป็นสวรรค์เบื้องบนจะอารมณ์แปรปรวนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ นั่นคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ฉะนั้นแล้วทันทีที่พืชผลเติบโตพร้อมเก็บเกี่ยว ผู้คนทั่วทั้งเมืองหน้าด่านจึงยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยวผลผลิต
แม่ทัพเซี่ยและคนอื่น ๆ มีหน้าที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเผ่าซยงหนู ส่วนหนานกงฉีโม่พาคนอีกส่วนหนึ่งไปช่วยชาวบ้านเก็บเกี่ยวข้าวสาลี
“เราต้องเก็บเกี่ยวข้าวสาลีให้เสร็จภายในสามวัน!”
ไร่นาในค่ายทหารนั้นกว้างใหญ่ ทั้งยังมีการบุกเบิกที่ดินเพิ่ม แต่ด้วยปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง แม้ปลูกในผืนดินบุกเบิกใหม่ ผลผลิตที่ได้ยังสูงเกือบถึงสองต้าน
นั่นหมายความว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารในไร่นาที่มีความอุดมสมบูรณ์จะต้องให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ทุกคนรีบเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ไม่หยุดแม้กระทั่งยามค่ำคืน
แม้เหน็ดเหนื่อยกับการเก็บเกี่ยว แต่พอเห็นรวงข้าวสาลีสีทองอร่ามก็ไม่มีผู้ใดปริปากบ่น อีกทั้งใบหน้ายังเปื้อนยิ้มพึงพอใจ
นี่เป็นผลผลิตที่พวกเขาเคยเก็บเกี่ยวได้มากที่สุดในชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้นภาษีการเกษตรก็ลดลงตั้งมาก เหลือเพียงสองในสิบส่วนเท่านั้น อีกทั้งพื้นที่รกร้างที่พวกเขาตรากตรำบุกเบิกกันมายังได้รับการยกเว้นภาษีถึงห้าปี
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้!”
ราษฎรเมืองหน้าด่านมีชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญมาเนิ่นนาน เผชิญปัญหาปากท้องจนชินชา ทว่ามาปีนี้ความเป็นอยู่พลันเริ่มดีขึ้น
แม้แต่คนยากจนที่สุด ขอเพียงไม่ขี้เกียจตัวเป็นขน ยอมออกแรงบุกเบิกพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ก็ไม่มีทางอดตาย
สวรรค์เมตตา ฟ้าฝนเป็นใจ รอจนชาวเมืองหน้าด่านเก็บเกี่ยวผลผลิตและขนใส่ยุ้งฉางเสร็จเรียบร้อย สายฝนถึงเริ่มโหมกระหน่ำ
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ผู้คนพลันโล่งใจที่ผลผลิตรอดพ้นจากภัยพิบัติ
“สวรรค์เมตตา โชคดีที่เราเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้ว”
ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงต้องสูญเสียพืชพันธุ์ธัญญาหารในช่วงเวลาสุดท้าย หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาคงต้องร่ำไห้แทบขาดใจแน่
ไม่มีสิ่งใดสิ้นหวังไปกว่าความหวังพังทลายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ขอบคุณสวรรค์ ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยองค์ชายรอง ท่านแม่ทัพเซี่ยและทหารเมืองหน้าด่านของเราทุกคน!”
หากไม่มีเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยที่ฝ่าบาทและองค์ชายรองประทานให้ รวมถึงความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ยและทหารเมืองหน้าด่าน พวกเขาคงไม่ได้ผลผลิตเต็มยุ้งฉางเช่นนี้
“จริงที่สุด จริงที่สุด!”
“แต่ข้าเคยได้ยินองค์ชายรองตรัสว่าองค์หญิงเป็นผู้มอบเมล็ดพันธุ์กับปุ๋ยให้เรามิใช่หรือ”
“เหมือนจะเป็นเช่นนั้น ข้าเหมือนจะได้ยินผู้ที่นำเมล็ดพันธุ์มาแจกเอ่ยถึงองค์หญิงเจาเสวี่ยด้วย”