บทที่ 374 ปัญหา
บทที่ 374 ปัญหา
หลังจากที่ได้เห็นหน้าไม้ที่พวกเขาดัดแปลง หนานกงสือเยวียนก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง สายตาที่มองบุตรชายคนนี้อ่อนโยนขึ้นทุกที
จากนั้นเขาก็โบกมือเพื่อมอบรางวัลให้แก่กรมโยธาและช่างฝีมือที่มีส่วนร่วมในการดัดแปลงหน้าไม้ ทำเอาพวกกรมโยธายิ้มกันหน้าชื่นตาบาน
“เสด็จพ่อ เสี่ยวเป่าได้เอ่ยเรื่องถ่านหินกับท่านหรือไม่”
ขณะที่กำลังจะเดินออกไป หนานกงฉีอวิ๋นก็พลันนึกเรื่องที่คุยกับเสี่ยวเป่าเมื่อวานนี้ขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยถาม
หนานกงสือเยวียนกำลังใช้นิ้วมือลูบไล้ไปตามหน้าไม้ ถ่านหินหรือ?
เขามีความจำดี จำได้ว่าเสี่ยวเป่าเคยพูดเรื่องนี้จริง ๆ เพียงแต่นางพูดหลังจากที่ดื่มสุราไปแล้ว และก็ไม่เคยเอ่ยถึงมันอีกเลย
“ไม่ได้พูดอะไร”
หนานกงฉีอวิ๋นเล่าเรื่องถ่านหินรวมถึงประโยชน์ของมันที่เสี่ยวเป่าบอกด้วยความเคารพ
เมื่อได้ยินว่าถ่านหินทำความร้อนได้ดีกว่าถ่านเงินทั้งยังเผาไหม้ได้นานกว่า สามารถหลอมโลหะให้กลายเป็นของเหลว หนานกงสือเยวียนและเจ้ากรมโยธาก็หันไปมองโดยพร้อมเพรียง
ดวงตาของเจ้ากรมโยธาเป็นประกาย “เป็นความจริงหรือ”
หนานกงฉีอวิ๋นไม่คิดสงสัยในตัวน้องสาวเลยสักนิด น้ำเสียงฟังดูหนักแน่นเป็นพิเศษ “เรื่องที่เสี่ยวเป่าพูดเป็นความจริงอย่างแน่นอน”
พูดอย่างไม่เกรงใจเลยว่าคนอื่นสงสัยเขาได้ แต่ห้ามสงสัยน้องสาวของเขาเป็นอันขาด เสี่ยวเป่าคือเทพธิดาที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์!
เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้ากรมโยธาก็กระตุกมุมปาก เจ้าพูดเช่นนี้ข้ายิ่งไม่เชื่อเข้าไปกันใหญ่
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของหนานกงสือเยวียน “ข้าจะเขียนจดหมายแจ้งองค์ชายรองให้เขาส่งคนออกตามหา”
เสี่ยวเป่าบอกมิใช่หรือว่าถ่านหินอยู่ทางเหนือ เช่นนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของชาวเหนือก็แล้วกัน
หลังจากที่หนานกงฉีอวิ๋นและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว หนานกงสือเยวียนก็สะสางราชกิจต่อเงียบ ๆ เขาต้องทำให้หนานจ้าวมั่นคงให้เร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้บุกโจมตีเป้าหมายต่อไป… เป่ยเยว่!
บัดนี้เสี่ยวเป่าผู้ซึ่งไม่รู้ตัวเลยว่าห้องสมุดของตนเองได้จุดไฟแห่งความทะเยอทะยานในใจท่านพ่อที่จะผนึกดินแดนให้เป็นปึกแผ่น กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาพร้อมกับปิงจีหลิ่น
อากาศร้อนอบอ้าวจนแม้แต่จักจั่นยังส่งเสียงร้องระงมราวกับทนไม่ไหว
เสี่ยวเป่าตรงเวลามาก เมื่อมาถึงก็เป็นเวลาเลิกเรียนพอดี
โดยไม่รีรอให้ราชครูออกจากสำนัก เสี่ยวเป่าก็กระโดดหย็องแหย็งเข้าไปข้างในทันที จากนั้นก็ทำความเคารพในแบบของบัณฑิตให้ราชครู
ท่าทางจริงจังเคร่งขรึมจนหลีไท่ฟู่อดหัวเราะไม่ได้
เยว่หลีตาเป็นประกายทันทีที่เห็นเสี่ยวเป่า เขาพุ่งเข้าไปหาราวกับเป็นแมวโดยมิได้เกรงกลัวราชครูเลยสักนิด
“เสี่ยวเป่า~”
เสี่ยวเป่าลูบหัวของเขา “เด็กดี เสี่ยวเป่าเอาปิงจีหลิ่นมาให้ ชอบกินรสอะไร มีรสข้าวเหนียว รสนม รสองุ่น รสเฉ่าเหมย แล้วก็มีรสถั่วเขียวต้มน้ำตาล…”
ปากน้อย ๆ ร่ายชื่อรสปิงจีหลิ่นทั้งหมดราวกับเป็นรายการประกวดทำอาหาร
เยว่หลี “ข้าเอาทุกรสเลย”
มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่จะเลือก!
เสี่ยวเป่าทำหน้าขรึมพร้อมกับสอนบทเรียนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ได้ กินเยอะไปจะทำให้ปวดท้องนะ”
เจ้าก้อนแป้งบางคนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองกินไปแล้วตั้งสามแท่งก่อนจะมาที่นี่
แต่เยว่หลีและพวกพี่ชายของนางไม่รู้ด้วยนี่นา
ชุนสี่กับคนอื่น ๆ เหลือบมององค์หญิง จากนั้นก็ก้มหน้าพลางกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น
เสี่ยวเป่าเป็นไม่ใช่คนหน้าบาง แม้จะรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ไม่แสดงสีหน้าให้เห็นแม้แต่น้อย ทั้งยังเชิญหลีไท่ฟู่กินปิงจีหลิ่นด้วยกัน
ต้องขอบอกเลยว่าปิงจีหลิ่นที่นางทำนั้นอร่อยทีเดียว เพียงแต่ขั้นตอนในการทำยุ่งยากไปหน่อย จึงมีจำนวนไม่เยอะนัก
เสี่ยวเป่าส่งชามใบเล็กไปให้แต่ละคน จากนั้นก็ใช้ช้อนตักปิงจีหลิ่นขึ้นมาเป็นลูกกลม ๆ ใส่ลงในชามของพวกเขา
ชามใบเล็กสีฟ้าอ่อนดูเรียบหรู เมื่อใส่ปิงจีหลิ่นลูกกลมสีขาว สีชมพู และสีม่วงลงไปยิ่งเสริมให้ดูน่าอร่อย
ทั้งยังมีไอเย็นลอยอยู่ด้านบน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ มิอาจรู้สึกเย็นสบายไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ทันทีที่ตักปิงจีหลิ่นเข้าปาก ความรู้สึกเย็นเฉียบก็พุ่งเข้ามาปะทะ ทำเอารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
หลีไท่ฟู่ยิ้มพลางพูดติดตลก “ตั้งแต่ได้รู้จักกับองค์หญิง ข้าก็มีของอร่อยกินไม่เคยขาดเลย”
เสี่ยวเป่าหัวเราะมีความสุข พร้อมกับตักปิงจีหลิ่นเข้าปากและกินอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อวานนางพาคนไปทำอะไรหลายอย่าง ทั้งยังทำอ่างใส่น้ำแข็งสำหรับบรรดาสัตว์เลี้ยงของตนโดยเฉพาะ ตอนนี้คงกำลังแทะก้อนน้ำแข็งกันอย่างมีความสุขอยู่เป็นแน่
ที่ที่นางอยู่มีสัตว์เยอะเกินไป ดังนั้นหลังจากที่เสี่ยวเป่าเข้าไปในห้องสมุดก็เกิดความคิดที่จะสร้างฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขึ้นมา
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง แค่หาซื้อพื้นที่ที่เหมาะกับการเลี้ยงสัตว์ก็เป็นอันใช้ได้
เมื่อกินปิงจีหลิ่นหมดแล้ว เสี่ยวเป่าก็จากไปท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของเยว่หลีและบรรดาพี่ชาย
นางต้องไปนาหลวงเพื่อไปดูว่าหมักสุราไปถึงไหนแล้ว
เพราะว่าเคยหมักสุรามาครั้งหนึ่ง คนที่ช่วยเสี่ยวเป่าหมักสุราเมื่อคราวก่อนจึงรับผิดชอบคุมงานที่นาหลวงเป็นส่วนใหญ่ เสี่ยวเป่าจึงไม่จำเป็นต้องไปทุกวัน
แม้นางจะเป็นเด็กน้อยตัวเล็กน่ารัก แต่ผู้ดูแลและบรรดาบ่าวรับใช้ในนาหลวงก็มิกล้าดูถูกองค์หญิงผู้นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าฝ่าบาทรักและเอ็นดูนางเพียงใด ข้างกายของนางยังมีเสือขนาดยักษ์ถึงสองตัว!
นอกจากนี้คนอื่น ๆ ก็รู้ดีว่าปุ๋ยที่พวกเขานำมาใส่ดูแลพืชพันธุ์ รวมถึงการหมักสุราล้วนแต่เป็นฝีมือองค์หญิงน้อยทั้งนั้น ความสามารถของนางช่างเหลือล้นยิ่ง
สมกับเป็นพระธิดาของฮ่องเต้ อายุน้อยเพียงนี้แต่กลับมีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าผู้ใด!
“องค์หญิง พวกเราเก็บองุ่นมาเกือบหมดแล้ว ทั้งยังจัดการแบ่งสันตามที่องค์หญิงสั่งเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปดูสุราที่หมักอยู่
นาหลวงได้สร้างโรงเก็บสุราขึ้นโดยเฉพาะไว้สำหรับเก็บสุราเหล่านี้ อีกทั้งเครื่องมือที่จำเป็นทั้งหมดก็เตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ
เสี่ยวเป่าไม่ได้ให้คนตามมาด้วย บอกว่าจะไปตรวจดูสุรา แต่แท้จริงแล้วตั้งใจจะแอบถ่ายเทพลังวิญญาณ
สูตรลับเฉพาะที่ไม่มีใครเลียนแบบได้!
เจ้าก้อนแป้งฮัมเพลงอย่างมีความสุข เชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจราวกับเป็นนกยูงผู้เย่อหยิ่ง
เสี่ยวเป่าเทียวไปเทียวมาอยู่หลายที่ กว่าจะกลับมาถึงวังหลวงก็มืดค่ำแล้ว
นางรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย การถ่ายเทพลังวิญญาณลงในถังสุราแต่ละถังก็เหนื่อยไม่ใช่เล่น
เมื่อกลับถึงตำหนักฉินเจิ้ง นางก็ลากม้านั่งตัวเล็กและนั่งลงข้างท่านพ่อ พลันวางคางที่ดูประณีตลงบนหน้าขาของเขาพลางโยกศีรษะไปมา
หนานกงสือเยวียนเพียงเหลือบมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปจัดการฎีกาต่อ
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าหิวจังเลย”
หนานกงสือเยวียน “ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมากินหรือ”
คงมีแต่ผีเท่านั้นที่จะเชื่อว่านางหิว เกรงว่าของอร่อยที่วางขายอยู่รายทางคงจะถูกนางซื้อมากินจนหมด
เสี่ยวเป่า : นับวันท่านพ่อยิ่งหลอกยากขึ้นทุกที
นางทำปากเบ้ “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเหนื่อยมากเลย”
หนานกงสือเยวียนอุ้มนางขึ้นมากอด “อยู่นิ่ง ๆ”
จากนั้นก็ทำหน้าที่เป็นตุ๊กตานำโชค ส่วนท่านพ่อก็ทำงานของตัวเองต่อไป
เสี่ยวเป่ายิ้มหน้าบานพลางนอนราบลงบนโต๊ะมองดูเขาทำงาน
แต่นางไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ได้แต่แอบอิงในอ้อมแขนของท่านพ่ออย่างเบื่อหน่าย จากนั้นจิตใต้สำนึกก็เข้าไปในห้องสมุด
หนานกงสือเยวียนก้มมองก็รู้ได้ทันทีว่านางกำลังทำอะไร พลางรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ตนเองติดงานไม่อาจเข้าไปกับนางได้
หนังสือมากมายทำเอาหนานกงสือเยวียนรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่นึกถึง
แต่น่าเสียดายที่เอาหนังสือพวกนั้นออกมาไม่ได้
เสี่ยวเป่าอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงวัว แพะ ม้า และหมูอยู่นานจนเฝ้าฝันถึงชีวิตที่แสนสุขในการเป็นเจ้าของฟาร์ม
จริงด้วยสิ เทียนเต้าบอกว่าคัดลอกหนังสือพวกนี้ออกไปได้ แต่ว่าไม่มีกระดาษกับพู่กันแล้วจะคัดอย่างไรล่ะเนี่ย
เสี่ยวเป่าใช้ความคิดจากนั้นจิตใต้สำนึกก็กลับมายังโลกความเป็นจริง และบอกปัญหาของนางกับท่านพ่อ
หนานกงสือเยวียนยื่นพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกไปให้ “เอาไปลองดู”
เสี่ยวเป่าได้ยินดังนั้นก็รับของมาถือไว้ จากนั้นจิตใต้สำนึกก็กลับไปยังห้องสมุดอีกครั้ง