บทที่ 366 เพียงฟังก็จำได้
บทที่ 366 เพียงฟังก็จำได้
หนานกงฉีจวินแทบล้มทั้งยืน คนที่เหลือก็ไม่ต่างกัน แต่ละคนต่างมองเขาอย่างอึ้ง ๆ
“เจ้า เจ้า เจ้า…”
หนานกงฉีหลิงมองอีกฝ่ายเหมือนเห็นผี
“เหตุใดเจ้าถึง…”
หนานกงฉีจวินทำหน้าที่พูดต่อให้จบ “เหตุใดเจ้าถึงท่องได้!!!”
น้ำเสียงหมองหม่นราวกับคนพึ่งได้สัมผัสความสุข แต่กลับถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เมื่อครู่เขาพึ่งดีใจที่ในสำนักศึกษามีคนเรียนได้แย่กว่าตน พอให้เขาได้ยกตนข่มเล่นได้ ทว่าพริบตาต่อมา เขาเหมือนถูกตบหน้า คนผู้นี้หาใช่เด็กหลังห้องอย่างที่คิด นี่มันระดับหัวกะทิชัด ๆ!
หนานกงฉีจวินทั้งอับอายทั้งโมโห รู้สึกเหมือนถูกทรยศ!
เยว่หลีทำหน้าใสซื่อมองอีกฝ่ายเหมือนกำลังงุนงง
“ไม่ใช่ว่าพวกท่านอ่านหลายรอบแล้วหรือ”
เพราะต้องอ่านสองรอบและท่องจำอีกสองรอบก่อนเริ่มเรียน จากนั้นอาจารย์ถึงจะค่อย ๆ อธิบาย ฉะนั้นถึงเยว่หลีจะอ่านไม่ออก แต่เขาฟังออก
สิ้นเสียง ทั้งโถงศึกษาพลันเงียบลงอย่างน่าประหลาด
เยว่หลีเห็นทุกคนจ้องตนไม่วางตา จึงยกมือจับหน้าตนเองดู “หน้าข้ามีสิ่งใดผิดแปลกหรือ”
เกิดอันใดขึ้น
หรือเขาทำสิ่งใดผิดไปอย่างนั้นหรือ!
คงไม่ใช่ว่าเขาสร้างปัญหาใหญ่หรอกนะ?!!!
หนานกงฉีหลิงมองเขาเหมือนสัตว์ประหลาด “หมายความว่าฟังเราอ่านเพียงสองครั้ง เจ้าก็จำมันได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
เยว่หลีพยักหน้า “อันนี้มันยากมากเลยหรือ”
เขาไม่ได้เสแสร้ง เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังปนสงสัย เพียงฟังสองรอบก็ท่องได้แล้ว มันยากหรือ
หนานกงฉีจวินไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ จึงหันไปหยิบตำราขึ้นมาอ่านบทสนทนาของเว่ยหลิงกง*[1]ที่ท่านราชครูยังไม่ได้สอน
อ่านไปได้ประมาณหนึ่ง แต่มันกลับยากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงหยุดแล้วเท้าเอวมองเยว่หลี
“เอาเลย ท่องให้ข้าฟัง ข้าว่าเจ้าต้องโกหกเป็นแน่!”
หึหึ! ฟังเพียงหนเดียวจะท่องได้อย่างไร พี่ใหญ่ยังต้องท่องมันตั้งสองรอบถึงจะจำได้ ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงสุดในด้านความจำ
นัยน์ตาสีม่วงของเยว่หลีมองอีกฝ่ายอย่างตำหนิ
“เจ้าอ่านอะไรของเจ้า ข้าฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ฉึก… หนานกงฉีจวินรู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้ากลางใจ
หนานกงฉีเฉินหัวเราะเยาะน้องชายพร้อมคว้าหนังสือมาถือไว้เองและเริ่มอ่าน
เป็นบทเดียวกับบทที่หนานกงฉีจวินพึ่งอ่านไปเมื่อครู่
เยว่หลีนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะเรียนของตนด้วยท่าทางเกียจคร้านราวกับแมว ดูปล่อยตัวปล่อยใจเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟัง
คนที่เหลือนั่งประจำที่รอฟังอย่างลุ้นระทึก แค่ฟังเยว่หลีก็ท่องได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ
หนานกงฉีเฉินอ่านได้ลื่นไหล แถมยังท่องบางส่วนได้โดยไม่ต้องอ่านจากตำรา
“เอาละ เริ่มท่องเลย”
ทันทีที่หนานกงฉีเฉินหยุดอ่าน ทุกคนต่างหันขวับไปทางเยว่หลี
ด้านเสี่ยวเป่าที่เดินมาถึงพอดี หยุดเท้าไว้หน้าธรณีประตู ไม่เข้าไปในห้องโถงทันที นางเตรียมยื่นหน้าเข้ามาดูก่อนว่าพวกพี่ชายกำลังทำสิ่งใดอยู่
จากนั้นเสียงของเยว่หลีก็ดังขึ้น
“เว่ยหลิงกงถกถามเรื่องการทหารกับขงจื่อ ขงจื่อตอบว่า ‘กระหม่อมรู้เพียงขนบจารีต เรื่องการทหารหาได้เชี่ยวชาญไม่’ กล่าวจบ วันรุ่งขึ้นเดินทางออกจากแคว้นเว่ย
เดินทางถึงแคว้นเฉิน ข้าวปลาอาหารขาดแคลน ศิษย์ทั้งหลายต่างทรมานกับความโหยหิว จื่อลู่เห็นเช่นนั้นพลันเอ่ยอย่างประหลาดใจ ‘เป็นสุภาพชนต้องลำบากเช่นนี้ด้วยหรือ’ ขงจื่อกล่าว ‘สุภาพชนแม้ลำบากยังเป็นสุข ทุรชนหากลำบากจะดิ้นรนทำทุกสิ่ง แม้ต้องทิ้งสิ่งที่ตนยึดถือ’
ขงจื่อกล่าวว่า ‘จื่อก้งเอ๋ย… เจ้าคงคิดว่าอาจารย์จดจำสิ่งที่ร่ำเรียนทั้งหลายได้เพราะหัวดีอย่างนั้นสินะ’ จื่อก้งกล่าวว่า ‘เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ’ ขงจื่อตอบ ‘มิใช่ อาจารย์เพียงร้อยเรียงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน’
……
เยว่หลีเป็นเด็กหนุ่มเสียงใส น้ำเสียงให้ความรู้สึกมหัศจรรย์เช่นเดียวกับตัวตนของเขา สรุปก็คือเป็นเสียงที่ดี แม้เป็นเพียงการท่องตำรา หาใช่ร้องเพลง แต่ก็ไพเราะเสนาะหู ฟังแล้วเหมือนได้เยียวยาจิตใจ
เสี่ยวเป่าที่ยืนถือร่มอยู่นอกหน้าต่าง ยืนฟังด้วยท่าทางพึงพอใจ ทว่าในใจกลับว้าวุ่น
ท่ามกลางเสียงท่องของเยว่หลี องค์ชายบางคนถึงกับลืมหายใจ
ให้ตายเถอะ มันเป็นเรื่องจริง!
มีคนที่เพียงฟังก็จดจำได้จริง ๆ ทั้งยังท่องมันได้ทั้งที่ยังไม่รู้อักษรด้วยซ้ำ!
เยว่หลีน่ากลัวเกินไปแล้ว!
คำพูดเหล่านั้นล้วนวนเวียนอยู่ภายในใจของเหล่าองค์ชาย พอประโยคสุดท้ายสิ้นสุด พวกเขาทั้งหมดถึงกับหน้าเหวอ
ทันทีที่ท่องจบ เยว่หลีก็หันมองไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ พลันสบตาเข้ากับเสี่ยวเป่าที่โผล่เพียงหัวเข้ามา
ดวงตาเป็นประกายทันใด ดีดตัวลุกขึ้นเดินผ่านเหล่าองค์ชายที่ยังตกตะลึงไม่หาย แล้วโน้มตัวออกไปข้างนอกหน้าต่าง
“เสี่ยวเป่า~~~”
เยว่หลีกุมใบหน้าเนื้อนุ่มจ้ำม่ำ ท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า
“เสี่ยวเป่า ข้าคิดถึงเจ้ามาก มาหาข้าใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะกลับไปกับเจ้า”
เขาไม่อยากเรียนแล้ว แค่นั่งฟังมันน่าเบื่อ มิสู้ออกไปหาปลากับแมวยังดีเสียกว่า
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
เหล่าพี่ชายพุ่งเข้าไปแยกตัวเยว่หลีที่กำลังกอบกุมใบหน้านุ่มนิ่มของน้องสาวพลางยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียอย่างหน้าไม่อายด้วยความเร็วราวกับลมพายุ
ต่อให้เจ้าจะเฉลียวฉลาดอย่างไร ก็อย่าได้คิดจะเอาเปรียบน้องสาวของพวกเขา!
เยว่หลีไม่อยากกลับเข้าไป เขาจึงพยายามกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
แต่สุดท้าย ‘สองมือก็สู้สี่มือไม่ได้’ จึงถูกดึงตัวกลับเข้ามาจนได้
“เสี่ยวเป่า!”
เสี่ยวเป่าที่กำลังมองเหตุการณ์ชุลมุน “…”
นางเพียงถกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อเดินผ่านประตูเข้าไป
“เยว่หลี อย่าปีนหน้าต่างอีกนะ มานี่เลย!”
เสี่ยวเป่าเอ่ยอบรมเสียงเข้ม ทว่าเหล่าพี่ชายกลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้น!
“ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะปีนหน้าต่างหรือไม่ คราวหน้าคราวหลังอย่าได้แตะต้องใบหน้าน้องสาวข้าอีก!”
“นางเป็นน้องสาวพวกเรา ส่วนเจ้าหาได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง ไม่ว่าเจ้ากับนางจะมีความสัมพันธ์อันดีเพียงใด เจ้าก็ไม่ควรสัมผัสใบหน้านาง ยิ่งเอาหน้าเจ้าเข้าไปคลอเคลียก็ยิ่งไม่ควร”
“กอดก็ไม่ได้ นี่เจ้าไม่รู้หรือว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน”
เยว่หลีปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ข้าไม่รู้ ชายหญิงสนิทสนมกันได้!”
เขาไม่เพียงแต่ปฏิเสธอย่างมั่นใจ แต่ยังเอ่ยแย้งในประโยคต่อมา ช่างน่าโมโหยิ่งนัก
“หัดศึกษาให้มากหน่อย เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้!”
หนานกงฉีจวิน “ข้ายังรู้เลยว่าชายหญิงควรรักษาระยะห่าง เจ้ากำลังทำให้น้องสาวของข้าเสียหาย หากพวกขุนนางปากยื่นปากยาวรู้เข้าคงเอาไปนินทาว่าร้ายนางเป็นแน่”
เยว่หลี “หากข้าตั้งใจศึกษาแล้วจะเข้าใกล้เสี่ยวเป่าได้หรือไม่”
หนานกงฉีรุ่ยกล่าวพลางทำหน้าเคร่งขรึม “การศึกษาจะทำให้เจ้ารู้มารยาท รู้ถูกผิด รู้ศีลธรรม และรู้ละอาย เจ้าไม่อาจปฏิบัติตัวเช่นเดิมได้”
เยว่หลีทรุดตัวลงกับพื้น “แต่ข้าไม่อยากเรียนแล้ว ข้าไม่อยากรู้มารยาท รู้ถูกผิด รู้ศีลธรรมหรือรู้ละอายอะไรพวกนั้นหรอก ข้าอยากเป็นเหมือนเมื่อก่อน”
ฟังจากสิ่งที่พูดแล้ว นับว่าคนผู้นี้ดื้อรั้นไม่น้อย
ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดของเขา มี… มีคนเช่นนี้ได้อย่างไร!
เสี่ยวเป่า “ต้องร่ำเรียนต่อไป”
นางวางร่มลงข้าง ๆ “เรียนแล้วจะได้ด่าคนโดยไม่ต้องใช้คำหยาบ!”
นางเคยเห็นเสนาบดีทั้งหลายด่าคนโดยไม่ต้องใช้คำหยาบ แต่สามารถทำให้คนที่ถูกด่าถึงกลับพูดไม่ออกได้
เหล่าพี่ชาย “…”
พวกเขาไม่ได้หมายถึงเช่นนั้นเสียหน่อย น้องสาวอย่าก่อเรื่องเลยนะ
เสี่ยวเป่า “ท่านพี่ พวกท่านไม่ต้องกังวล เสี่ยวเป่ายังเด็กนัก หากเรายังไม่มีศีลธรรม พวกเราก็ไม่มีทางผิดต่อศีลธรรมพวกนั้น ”
เหล่าพี่ชาย “…”
คำพูดของนางฟังดูไร้เหตุผล แต่ก็ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล
เยว่หลี “เห็นหรือไม่ว่าเสี่ยวเป่าเห็นด้วยกับข้า!”
เขากล่าวพร้อมชูคอเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ
[1] บทสนทนาของเว่ยหลิงกง (卫灵公) เป็นหนึ่งในบทเรียนของคัมภีร์หลุนอวี่ ว่าด้วยเรื่องการถกเกี่ยวกับการปกครองด้วยเมตตากรุณาและศีลธรรม