บทที่ 353 เรียกร้องความสนใจ
บทที่ 353 เรียกร้องความสนใจ
ทว่าผู้คนกลับหวาดกลัวเขา เอาแต่มองด้วยสายตาตื่นตระหนก
“ปีศาจ ปีศาจ!”
ครู่หนึ่ง ผู้คนที่กำลังส่งเสียงต้อนรับก็เริ่มสับสน
หนานกงฉีหลิงกุมขมับ “จบเห่แล้ว”
หนานกงฉีจวินถามเสียงตื่น “ผู้ใดกัน เหตุใดถึงได้มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดเช่นนี้!”
ส่วนเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ก็เอาแต่จ้องเขาไม่วางตาพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ
เหตุใดฝ่าบาทถึงพาคนประหลาดเช่นนี้กลับมาด้วย!
“ไม่ต้องกลัว คนผู้นี้เป็นมหามิตรของเรา เขามาจากหนานจ้าว”
ในที่สุดก็มีผู้มีอิทธิพลทางคำพูดออกมาช่วยอธิบายเสียงดังลั่น “ที่เราสามารถรบชนะในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ได้ ก็เพราะคุณชายเยว่หลีช่วยเหลือไว้ไม่น้อย เขาเพียงมีสีผมและสีตาแตกต่างจากเรา แต่เขาก็เป็นคนธรรมดา หาใช่ปีศาจไม่”
เพียงแค่… เขาเป็นคนธรรมดาที่มีวิชากู่ แถมยังเป็นราชาของกู่ทั้งปวง!
“เยว่หลี”
เสี่ยวเป่าโผล่หัวเล็ก ๆ ออกจากอ้อมแขนบิดาเพื่อกวักมือเรียกเขา ทันทีที่เห็นว่านางเรียก เยว่หลีก็รีบควบม้ามาหาพร้อมดอกไม้ในอ้อมแขน
“เสี่ยวเป่า ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า ข้าให้เจ้า”
เขาก็แค่รู้สึกว่าดอกไม้พวกนี้สีสันสวยงามยิ่งนัก จึงอยากจะเก็บมาให้เสี่ยวเป่า ส่วนการกระทำพวกนั้น มันเป็นไปตามสัญชาตญาณและความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจ เขาไม่อาจควบคุมมันได้
หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย หนานกงสือเยวียนคงถีบคนตกหลังม้าไปแล้ว!
เสี่ยวเป่ารับดอกไม้มาก่อนจะเอ่ยกับเยว่หลีอย่างนุ่มนวล
“เจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังหน่อย อย่าเที่ยววิ่งเล่นไปทั่ว ถึงพระราชวังแล้วข้าจะให้ขนมเจ้า”
เยว่หลียิ้มกว้าง “ได้ ๆ”
เสี่ยวเป่าถอนหายใจ เหตุใดนางต้องมาเลี้ยงลูกน้อยตัวโตทั้งที่นางก็ยังเป็นเพียงเด็กเล็ก
แต่ไม่ว่าจะพยายามตะโกนอธิบายเสียงดังเพียงใดก็ไม่อาจทำให้คนเหล่านั้นหยุดแคลงใจได้ ลำบากพวกเขาแล้ว รีบสวมเสื้อคลุมให้เขาจะดีกว่า
เยว่หลีสงบจิตสงบใจลงแล้ว แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังสงสัยใคร่รู้ในตัวเขา
หลังจากนั้นหนานกงฉีจวินก็เอาแต่ถามว่าเขาเป็นผู้ใด มาจากที่ใด เหตุใดถึงไม่เกรงกลัวเสด็จพ่อ
ช่างใจกล้ายิ่งนัก!
หนานกงฉีหลิงจึงแอบกระซิบกับเหล่าพี่น้อง
“เขาเป็นคนที่หนานจ้าวจับตัวมา เก่งกาจมาก เล่าตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะ กลับไปแล้วข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟัง”
ผู้คนที่อยู่ข้างหลังไม่ทันได้เห็นเยว่หลี เสียงโห่ร้องด้วยความปีติยินดีจึงดำเนินต่อไปจนถึงพระราชวัง
หนานกงสือเยวียนต้องหารือกับองค์ชายใหญ่และเหล่าเสนาบดี เสี่ยวเป่าจึงพาเยว่หลีและพี่น้องคนอื่น ๆ กลับไปที่สวนของตน
นางยังไม่ทันเดินเข้าไป ร่างสีแดงเพลิงก็กระโดดเข้าหานาง ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนพลางร้องงี้ด ๆ
รวมถึงเสี่ยวไป๋ที่ตัวโตขึ้นมาก ถวนจื่อก็ตามมาติด ๆ
ตอนนี้ถวนจื่อสูงเกือบเท่ากับพี่หก รูปร่างอ้วนกลม โชคดีที่ขนดำขาวสะอาดสะอ้าน มันจึงดูน่ารักน่าชัง
เหล่าพี่ชายที่อยู่รอบตัวเสี่ยวเป่าถูกเหล่าสัตว์เลี้ยงที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นแทรกตัวเข้ามาแทนที่
ไม่เจอกันตั้งนาน แต่พวกมันก็ยังจำเสี่ยวเป่าได้ พวกมันจึงตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอเสี่ยวเป่ามากกว่าปกติ
เหล่าพี่ชายที่ถูกผลักให้พ้นทาง “…”
ทุกวันนี้แม้แต่สัตว์ก็ยังไม่เคารพพวกเขา พวกเขาเป็นถึงองค์ชาย เป็นพี่ชายของเสี่ยวเป่าเชียวนะ!
มีเพียงเยว่หลีเท่านั้นที่พยายามผลักเสี่ยวไป๋ออกไป จนทั้งสองเกือบจะวางมวยกัน
เสี่ยวเป่าปลอบประโลมตัวนั้นทีตัวนี้ที เจ้าก้อนแป้งวิ่งวุ่นจนผมเผ้ายุ่งเหยิง
หนานกงฉีเฉินวางท่ากอดอก “น้องหญิงยุ่งกว่าเสด็จพ่อเสียอีก ทั้งคนทั้งสัตว์รอบตัวนางเอาแต่แย่งชิงความโปรดปรานจากนางมากกว่าเสด็จพ่อตั้งหลายเท่า”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาอย่างปิดไม่มิด
หนานกงฉีหลิง “ย่อมต้องเป็นเช่นนี้ ผู้ใดใช้ให้นางเลี้ยงสัตว์มากมายขนาดนี้เล่า”
หนานกงฉีจวินถกแขนเสื้อขึ้น “เจ้าพวกนั้นกล้าดีอย่างไรมาแย่งน้องหญิงไปจากข้า น้องหญิงเป็นของข้า!”
พูดจบเขาก็วิ่งตรงเข้าไปร่วมวงด้วย แต่กลับถูกถวนจื่อผลักกระเด็นออกมา
หนานกงฉีจวิน “…”
เขาไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะไม่สามารถเอาชนะสัตว์หน้าขนและคนแปลกหน้าผมขาวได้!
หลังจากล้มเหลวหลายครั้ง หนานกงฉีจวินจึงเริ่มเล่นลูกไม้
“เสี่ยวเป่า พี่ชายเจ็บมากเลย ฮื่อ…”
เสี่ยวเป่ารีบผละออกจากเยว่หลี แล้ววิ่งหน้าตั้งมาหาเขา “พี่แปดเป็นอันใดไป เจ็บตรงไหนหรือ เดี๋ยวเสี่ยวเป่าจะเป่าให้ จะให้ตามหมอหลวงมาตรวจดูหรือไม่”
เยว่หลีกลอกตาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ทันใดนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเสี่ยวไป๋แล้วจงใจเตะมัน
เสี่ยวไป๋จ้องเขาเขม็งก่อนจะใช้เขาบนหัวขวิดอีกฝ่าย
เยว่หลีกระเด็นออกไปไกล เสียงร้องโอดโอยกับท่าทางเจ็บปวดจึงดูไม่เกินจริง
“เสี่ยวเป่า ฮื่อ… เจ็บจังเลย…”
ทำราวกับตนเองเป็นกลีบดอกไม้ขาวปลิวไปตามสายลม บอบบางอ่อนแอน่ารังแกและไม่อาจปกป้องตัวเองได้
ผู้คนที่กำลังยืนมอง “…”
เสี่ยวไป๋ที่ขวิดเบา ๆ “…”
ดีจริง ๆ เลย นี่เจ้านายเอาตัวอันใดกลับมาด้วย!
ยิ่งเห็นเสี่ยวเป่าวิ่งกลับไปหาเยว่หลี หนานกงฉีจวินก็ยิ่งโมโห
“เขา เขา เขา… เขาเลียนแบบข้า!”
เหล่าพี่ชายได้แต่มองหน้าน้องชายคนเล็กอย่างเห็นอกเห็นใจ
ส่วนเสี่ยวไป๋ก็ทำได้เพียงกระทืบกีบเท้าด้วยความโมโห
แต่บังเอิญมีเจ้าจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์อยู่ด้วย จึงเกิดเป็นสงครามการเรียกร้องความสนใจระหว่างสัตว์เลี้ยงนานาชนิด
เสี่ยวเป่า “…”
เหนื่อยแล้ว ช่างมันก็แล้วกัน
นางทิ้งตัวลงนอนพลางกลอกตาไปมา
“ข้ากระหายน้ำ”
เยว่หลีดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “น้ำอยู่ที่ใด ข้าจะไปหาน้ำมาให้เจ้า”
ท่าทางกระตือรือร้นนี้มันอันใดกัน เมื่อครู่ยังเจ็บจะเป็นจะตายอยู่เลยมิใช่หรือ
เสี่ยวเป่ากลอกตาอีกหน เยว่หลีผู้โง่เขลา พึ่งหัดเสแสร้งได้ไม่ทันไรก็ถูกจับได้เสียแล้ว
หลังจากจิบน้ำเสร็จ เสี่ยวเป่าทำหน้าเข้มเพื่ออบรมเหล่าเด็กน้อยที่ชอบเรียกร้องความสนใจ
เยว่หลีก็ถูกจับมานั่งทำหน้าสำนึกผิดอยู่ข้าง ๆ ถวนจื่อ
สายตาหลายคู่ “…”
หนานกงฉีเฉิน “ไอ้… เขาถูกจับไปอบรมร่วมกับสัตว์ แต่กลับไม่รู้สึกรู้สาอันใดเลย!”
คนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วย “จริง!”
ผู้กุมความลับทั้งสองคนปิดปากเงียบ
“บอกมานะว่าเจ้านั่นมีที่มาที่ไปอย่างไร”
เหตุใดถึงได้ดูโง่งมนัก
หนานกงฉีหลิงเกาหัวก่อนเริ่มเล่า “ความจริงแล้วเราก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนักหรอก เขาชื่อเยว่หลี ดูเหมือนว่าน้องหญิงจะช่วยเขาออกมาจากพระราชวังหนานจ้าว หลังจากนั้นเขาก็เชื่อฟังน้องหญิงมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนหัวอ่อนเชื่อคนง่ายเหมือนเด็กไร้เดียงสาหรืออย่างไร แต่เขาก็ค่อนข้างกล้าหาญทีเดียว”
เรื่องนี้ต่อให้หนานกงฉีหลิงไม่พูด ทุกคนต่างก็รู้ดี เขาเป็นคนเดียวที่กล้าควบม้าเอาดอกไม้มาให้เสี่ยวเป่า แถมยังกล้าเข้าหาเสด็จพ่ออีกด้วย
ไม่มีคนขี้ขลาดคนใดกล้าทำเรื่องเช่นนี้
“และเขาก็เก่งกาจมาก”
เหล่าพี่น้องตั้งใจเงี่ยหูทันที “เล่าให้พวกเราฟังทีได้หรือไม่”
ดูสิว่าจะเก่งกาจสักเพียงใด อายุอานามก็เหมือนจะยังไม่มาก
หนานกงฉีหลิง “พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องกู่พิษของหนานจ้าวใช่หรือไม่”
หนานกงฉีอิงที่ยืนข้างกันพลันขนหัวลุกเมื่อนึกถึงงูและแมลงพิษมากมายที่เคยได้พบเห็น แมลงพวกนั้นมันฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเขาเป็นที่เรียบร้อย ทั้งที่แต่เล็กจนโตเขาไม่เคยกลัวแมลงมาก่อน!
“ของพวกนั้นน่ากลัวมาก”
แม้คนที่เหลือจะไม่เคยเห็นด้วยตาตนเอง แต่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง
หนานกงฉีหลิง “หากไม่ใช่เพราะเขา ต่อให้เราเอาชนะได้ เราก็คงจะต้องสูญเสียคนไปอีกไม่น้อย และการสู้รบก็คงจะไม่จบลงในช่วงเวลาอันสั้นเช่นนี้”
หากมองย้อนกลับไปตอนนั้น ทุกคนต้องทุกข์ทรมานกับฝันร้ายทุกค่ำคืน การที่คนคนหนึ่งถูกกลืนกินในช่วงเวลาอันสั้น ย่อมทำให้พวกเขาหวาดผวา
โชคดีที่แม้ว่ากู่เหล่านั้นจะน่ากลัว แต่ด้วยขนาดตัวที่เล็กจึงกลืนกินได้ไม่มาก อีกทั้งเมื่ออิ่มแล้วยังต้องใช้เวลาย่อยอีกนาน
มิฉะนั้นสงครามที่ผ่านมา พวกเขาก็คงต้องสูญเสียพี่น้องในสนามรบมากกว่าห้าหมื่นนายเป็นแน่