บทที่ 347 ให้ชื่อว่าเยว่หลี
บทที่ 347 ให้ชื่อว่าเยว่หลี
ชายร่างใหญ่ร้องไห้กระจองอแงแทบขาดใจ เสียงตะโกนทำเอาแสบแก้วหู
เสี่ยวเป่าถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องแหกปากของเขา
หนานกงชิงปากกระตุก หันมองชายหนุ่มที่พุ่งไปข้างเตียงของเสด็จพ่อ เรียกได้ว่าน้ำตาไหลเป็นทาง
“ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ที่ท่านหายตัวไป พวกเราก็ออกตามหากันแทบแย่กว่าซื่อจื่อน้อยจะพบตัวท่าน มิหนำซ้ำท่านยังถูกตัวกู่บ้านั่นควบคุมจนไม่นับญาติเพื่อนฝูงอีก ฮือ ๆๆ…”
แม่ทัพที่เห็นท่าไม่ดีสองนายปิดปากและหิ้วปีกลากตัวเจ้าโง่ทึ่มออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้พูดอะไรต่อ
หนานกงชิง : ปากไม่มีหูรูด สมควรแล้ว!
หนานกงจ้านยังคงอ่อนแรงอยู่มาก แต่ก็เผยยิ้มบาง ๆ ให้ได้เห็น
เพียงแต่เขาหุบยิ้มแทบจะในทันที หลังจากที่ถูกพวกพ้องข้างกายทรยศหักหลังและติดอยู่ในหนานจ้าว เรื่องราวทุกอย่างก็แวบเข้ามาในหัวอย่างเลือนราง
รวมถึงเรื่องที่แทงลูกชายด้วยมือของตนเอง
ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นในนัยน์ตา พลางมองหน้าหนานกงชิงอย่างรู้สึกเสียใจ
“เสด็จพ่อ”
หนานกงชิง : “แผลของเจ้า…”
หนานกงชิงยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ มิได้โดนจุดสำคัญ อีกอย่างหลังจากที่ใช้ยาทาแผลของเสี่ยวเป่าเลือดก็หยุดไหล ไม่เจ็บแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงจ้านหันไปมองเสี่ยวเป่า
เจ้าตัวน้อยมองหน้าเขาด้วยสายตาเป็นประกาย “ท่านอาสี่ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะเพคะ ท่านพ่อแก้แค้นให้ท่านแล้ว!”
หนานกงจ้านยกยิ้มเล็กน้อย พลางเอื้อมมือลูบศีรษะนางอย่างแผ่วเบา
“ขอบใจมากนะเสี่ยวเป่า” เนื่องจากเพิ่งได้สติ เสียงของเขาจึงฟังดูแหบแห้งไม่น้อย
เสี่ยวเป่ามิอาจยึดความดีความชอบมาเป็นของตนได้ จึงรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “พี่หนานกงชิงเป็นคนช่วยท่านอาเพคะ”
“ข้าพูดถึงอีกเรื่องต่างหาก”
ทันใดนั้นหนานกงสือเยวียนที่ทราบข่าวก็มาพอดี
เมื่อเขามาถึง ทุกคนล้วนหลีกทางให้
“ท่านพ่อ ท่านอาสี่ฟื้นแล้ว เสี่ยวเป่ารู้เป็นคนแรกล่ะ!”
หนานกงสือเยวียนตอบรับเบา ๆ เมื่อเห็นว่าหนานกงจ้านพยายามจะลุกขึ้น จึงเอ่ยเสียงเรียบ “นอนลง”
หนานกงจ้านยิ้มเจื่อน จากนั้นก็นอนลงตามเดิม “ขอบพระทัยเสด็จพี่”
หนานกงสือเยวียน “พักฟื้นสักสองวัน กลับไปข้าจะให้หมอหลวงมาตรวจดูอีกที”
เขาตบบ่าหนานกงจ้าน น้ำเสียงแลดูอบอุ่น “พักผ่อนเถอะ เรื่องอื่นข้าจะจัดการเอง”
หนานกงจ้านเป็นชายชาติทหาร นัยน์ตาแดงก่ำนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เอ่ยเสียงแหบแห้ง “พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงจ้านจำเป็นต้องพักผ่อน คนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างทยอยออกไปจนหมด เหลือเพียงหนานกงชิง เสี่ยวเป่า และเด็กหนุ่มที่คอยตามติดนาง รวมถึงหนานกงสือเยวียนด้วย
สองพี่น้องมิได้พูดคุยกันนานนัก หนานกงสือเยวียนมีธุระให้ต้องจัดการจึงออกไปหลังจากนั้นไม่นาน
หนานกงจ้านที่เพิ่งฟื้นคืนสติก็กลับไปพักผ่อนตามเดิม
เสี่ยวเป่า : ก่อนหน้านี้ท่านอาสี่มีอะไรจะพูดกับเสี่ยวเป่ากันนะ?
เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องคิดเรื่องตั้งชื่อ
เสี่ยวเป่าจูงมือเด็กหนุ่มเข้าไปหาหนานกงชิง พลางหาวหนึ่งทีพร้อมกับขอให้ช่วยตั้งชื่อ
หนานกงชิง “เจ้าตั้งให้เขาเองก็ได้นี่”
เสี่ยวเป่าผู้ไม่เคยเขินอายทวนชื่อที่ตัวเองคิดขึ้นให้เขาฟังทั้งหมดหนึ่งรอบ
จากนั้นดวงตาคู่โตก็มองมาอย่างไร้เดียงสาพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านพี่ว่าชื่อไหนเหมาะที่สุดหรือ”
หนานกงชิง “…”
ข้าว่าไม่เหมาะเลยสักชื่อ
สุดท้ายเขาก็ช่วยนางอยู่ดี อย่างไรเสียดูจากวิธีตั้งชื่อของญาติผู้น้องคนนี้แล้ว เกรงว่าจะเป็นการทำผิดต่อผู้มีพระคุณของท่านพ่อไปสักหน่อย
“เรียกเขาว่าเยว่หลีก็แล้วกัน”
เยว่หลี ไร้ซึ่งมลทิน หลุดจากกรอบประเพณี อีกทั้งยังงามประณีต เป็นชื่อที่คู่ควรกับเขายิ่งนัก
เสี่ยวเป่าพึมพำชื่อเยว่หลีซ้ำอีกครั้ง รับรู้ได้ทันทีว่าอะไรคือความเหนือชั้น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ชื่อที่นางตั้งก่อนหน้านี้ดูเรื่อยเปื่อยเกินไปสักหน่อย
“ตกลง จากนี้ก็ให้ชื่อว่าเยว่หลี ชื่อนี้ไพเราะสุด ๆ เลย”
เสี่ยวเป่าพูดพลางยกนิ้วโป้งให้พี่ชาย
หนานกงชิง “???”
“มันหมายความว่าอะไรหรือ”
เสี่ยวเป่ายิ้มแฉ่งพลางตอบเสียงหวาน “หมายความว่าท่านพี่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยเพคะ”
หนานกงชิงอดหัวเราะไม่ได้ เจ้าตัวน้อยคนนี้มีไหวพริบในแบบที่แปลกประหลาดอยู่เสมอ
หัวเราะไม่ทันไรก็พบว่าเจ้าตัวน้อยผล็อยหลับอยู่บนตักของตนเสียแล้ว
หนานกงชิง “…”
นี่มันรวดเร็วเกินไปหรือไม่
เยว่หลีนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพร้อมอุ้มเจ้าแมวดำเอาไว้ เท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งขณะจ้องมองเสี่ยวเป่านิ่ง
เมื่อเห็นว่านางหลับไปแล้ว ก็ลุกเดินเข้าไปหา
“เยว่หลี”
หนานกงชิงเรียกเขา แต่เด็กหนุ่มที่เพิ่งมีชื่อเป็นของตัวเองกลับไม่สนใจฟังสักนิด
หนานกงชิงอุ้มเสี่ยวเป่าด้วยมือข้างเดียว และใช้ร่างกายเพื่อกันไม่ให้เขาเข้าใกล้จนเกินไป
“ไม่ได้”
เขาจ้องเยว่หลีด้วยสายตาจริงจัง “เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้ เจ้าไม่ใช่แมว จะเข้าใกล้คนอื่นแล้วดมแบบนี้ไม่ได้”
เยว่หลีมองหน้าเขาพลางขมวดคิ้ว ขณะที่หนานกงชิงคิดไปเองว่าอีกฝ่ายเข้าใจที่ตนพูด แต่ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็แย่งเสี่ยวเป่าไปจากมือ จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนี
เยว่หลีที่กำลังอุ้มคนไว้ในอ้อมแขนทำท่าซวนเซจวนจะล้มในตอนแรก แต่ก็ยืดตัวตรงได้อย่างรวดเร็วแล้วออกตัววิ่งด้วยความว่องไว แม้ว่าเท้าจะเปลือยเปล่า แต่นั่นก็ไม่รบกวนการวิ่งของเขาเลยสักนิด
หนานกงชิง “หยุดเขาไว้!”
ทหารที่หน้าประตูเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่วิ่งตรงมา แต่ก็พยายามจะหยุดคนผู้นั้นตามคำสั่ง
เยว่หลีรูปร่างค่อนข้างเล็กจึงลอดใต้วงแขนพวกเขาออกมาได้ ประกอบกับความช่วยเหลือจากเจ้าแมวดำ ทั้งคู่จึงหยุดเขาไม่สำเร็จ
สีหน้าของหนานกงชิงแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในพริบตา ต่อให้เป็นผู้มีพระคุณของท่านพ่อ ก็ห้ามแย่งน้องสาวไปจากเขา!
เยว่หลีที่อุ้มเสี่ยวเป่าวิ่งหนีมาเจอห้องห้องหนึ่ง จากนั้นก็หายเข้าไปอย่างว่องไว
ฝ่าเท้าขาวย่ำลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบราวกับแมว แน่นอนว่าก้าวเดินอย่างไม่มั่นคงนัก
เขานั่งยอง ๆ ที่มุมห้องโดยที่ยังอุ้มเสี่ยวเป่าเอาไว้
จากนั้นก็วางเจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มลงในอ้อมแขน นัยน์ตาสีม่วงสดใสเป็นพิเศษมองคนที่กำลังนอนหลับอย่างสงสัย จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดมกลิ่น
เป็นกลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ
เยว่หลีกอดเจ้าตัวน้อยอย่างทะนุถนอม จากนั้นก็โน้มหัวพิงเสี่ยวเป่าและหลับตาพร้อมจะงีบหลับ
เจ้าแมวดำหาพื้นที่ข้าง ๆ ตัวเขาและขดตัวกลมเตรียมนอนเช่นกัน
มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกปลุกให้ตื่นเพราะเสียงเอะอะที่ด้านนอก
เสี่ยวเป่าลืมตาตื่น รู้สึกได้ว่าร่างกายขยับไม่ได้
เกิด…เกิดอะไรขึ้น
เสี่ยวเป่าพยายามผลักศีรษะที่กดทับร่างของตนออกไป พร้อมกับหรี่ตามอง “เยว่หลี?”
เจ้าของชื่อเอียงคอ
เสี่ยวเป่าลุกออกจากอ้อมแขนของเขา สีหน้าดูงุนงง “เจ้ามากอดข้านอนได้อย่างไร”
แอ๊ด…
ประตูถูกผลักออก แม่ทัพใบหน้าคุ้นเคยถือดาบเดินเข้ามา ทันทีที่เห็นเสี่ยวเป่าก็ตะโกนด้วยความตกใจ “ตรงนี้ องค์หญิงน้อยอยู่ในนี้!”
เสี่ยวเป่า : อ้อ ที่แท้ก็เจ้านี่เอง ชายตัวใหญ่ขี้แย!
เสี่ยวเป่าที่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกลักพาตัวมาพาเยว่หลีเข้าไปหาท่านพ่อ จากนั้นก็เจอเข้ากับใบหน้าบึ้งตึง
เสี่ยวเป่า “ท่านพ่อโกรธเรื่องอะไรหรือ ใครทำให้ท่านพ่อโกรธ เสี่ยวเป่าจะไปจัดการให้!”
พูดพลางโบกกำปั้นน้อย ๆ ทำท่าราวกับมีศัตรูคนเดียวกัน
หนานกงสือเยวียนใบหน้าเคร่งขรึมไม่พูดไม่จา เพียงชี้ไปที่คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เสี่ยวเป่าหมุนตัวกลับไป และสบเข้ากับสายตาไร้เดียงสาของเยว่หลี
เสี่ยวเป่า “…”
ตกลงว่าเจ้าทำอะไรลงไปล่ะเนี่ย