บทที่ 344 ตั้งชื่อไม่เก่ง
บทที่ 344 ตั้งชื่อไม่เก่ง
เมื่อได้ฟังคำของเจียงอู๋ฮ่วน ดวงตาของเสี่ยวเป่าก็เบิกกว้างด้วยความมึนงง
เห็นได้ชัดว่าหนานกงสือเยวียนก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ดอกสามชีวาที่พวกเขาเข้าใจมาโดยตลอดแท้จริงแล้วจะเป็นตัวกู่ ทั้งยังเป็นถึงราชากู่อีกด้วย
ในที่สุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้รับการปลดปล่อยจากโซ่ตรวน
ข้อมือและข้อเท้าของเขามีรอยช้ำจากการถูกจองจำมาเป็นเวลานาน มิหนำซ้ำยังมิรู้ว่าเป็นเพราะถูกขังไว้ที่นี่มานานเกินไปหรืออย่างไร เขาจึงดูไม่ค่อยคุ้นชินกับอิสรภาพนัก
ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการเดิน
เขาย่ำพื้นด้วยเท้าเปลือยเปล่า และก้าวช้า ๆ ได้เพียงสองก้าวก็ล้มเซไปด้านข้าง
ในที่สุดด้วยเวลาที่เหลือน้อย เจียงอู๋ฮ่วนจึงแบกเขาขึ้นหลังออกไป
ทันทีที่ก้าวออกจากห้องลับ เด็กหนุ่มก็มองโลกภายนอกที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความรู้สึกสงสัยและว่างเปล่า
เสี่ยวเป่าเคียงข้างท่านพ่อโดยอุ้มเจ้าแมวไว้ในอ้อมแขน ขณะที่ฟังพวกคุณลุงเล่าเรื่องที่พวกเขาพิชิตเมืองหลวงของหนานจ้าวด้วยความยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด
นางร้องว้าวออกมาเป็นครั้งคราว สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่ซ้ำแบบ แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะยกยอท่านพ่อของตน
“ท่านพ่อเก่งที่สุดเลย สง่างามน่าเกรงขาม เหมือนเทพแห่งสงครามที่ลงมาจุติไม่มีผิด…”
เสียงอ่อนหวานคุยโวฟังดูจริงใจทีเดียว อีกทั้งประกายเลื่อมใสในดวงตาก็เป็นของจริงเช่นกัน
ทว่าปากเล็ก ๆ ที่เอาแต่พูดจ้อไม่หยุดกลับถูกบีบเอาไว้จนหน้ายู่
หนานกงสือเยวียน “พูดให้มันน้อย ๆ หน่อย”
เสี่ยวเป่าตอบรับ จากนั้นก็ปิดปากอย่างว่าง่าย
“องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นกับเสื้อผ้าสองชุดนั้นหรือ”
มีบางคนสงสัยว่าเสื้อผ้าที่ควรจะเป็นของผู้ใช้พิษกู่แห่งหนานจ้าว เหตุใดถึงถูกทิ้งไว้ในห้องลับเช่นนี้
เสี่ยวเป่าตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อบริสุทธิ์ “พวกเขาโดนกินเกลี้ยงไปแล้ว เลยเหลือแต่เสื้อผ้าเอาไว้”
ฝูงชน “…”
นี่มันนิทานสยองขวัญหรืออย่างไรกัน!
เจียงอู๋ฮ่วนชะงักฝีเท้า จากนั้นใบหน้าที่ซีดเซียวก็พูดขึ้นอย่างใจลอย “นั่นมัน นั่นมันแมลงผี!”
เขาไม่มีทางมองผิดอย่างแน่นอน!
เสี่ยวเป่ามิรู้ว่าแมลงนั่นมีชื่อเรียกว่าอะไร แต่นางสามารถบรรยายได้อย่างเห็นภาพถึงวิธีที่สองคนนั้นปรากฏตัวขึ้นในห้องลับและกรีดแขนของเด็กหนุ่มผมขาว ตนโกรธมากจึงปล่อยบรรดาตัวต่อออกมาต่อสู้ แต่สุดท้ายก็ถูกแมลงสีดำของผู้ใช้พิษกู่ชราฆ่าตาย ในที่สุดเด็กหนุ่มผมขาวก็กอบดอกสามชีวาขึ้นมา มิรู้ว่าเขาทำอย่างไรถึงสามารถสั่งให้แมลงที่แต่เดิมเชื่อฟังชายชราย้อนกลับไปสังหารพวกเขาเอง
“แมลงนั่นน่ากลัวมาก มันสามารถกินคนจนไม่เหลือซากภายในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ เหลือไว้ก็แต่เสื้อผ้าของพวกเขานี่แหละ”
ทว่าน้ำเสียงของนางกลับไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยสักนิด สำหรับคนที่ได้ฟังเรื่องราว กลับรู้สึกว่าองค์หญิงน้อยของพวกเขาเล่าเรื่องสยดสยองด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไร้เดียงสายังน่ากลัวกว่าเป็นไหน ๆ!
การได้เห็นเหตุการณ์แบบนั้นก็ควรจะหวาดกลัวตัวสั่นมิใช่หรือ
สมกับเป็นพระธิดาของฝ่าบาทจริง ๆ!
ที่จริงแล้วเสี่ยวเป่าก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวอะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะแมลงนั่นกัดกินอย่างหมดจด ไม่เหลือแม้แต่เลือดสักหยดเดียว
นางเคยเห็นคนตายมาก่อน คนที่นอนตายจมกองเลือดยังน่ากลัวกว่าพวกที่ตายแล้วเหลือเสื้อผ้ากองเดียวเสียอีก
เสี่ยวเป่าบ่นงึมงำว่าเหนื่อย จากนั้นก็หาวและอ้อนขอให้อุ้ม
ในที่สุดนางก็ซบไหล่ท่านพ่อจากนั้นก็ผล็อยหลับไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย
มีท่านพ่ออยู่ด้วย เสี่ยวเป่ารู้สึกสบายใจเป็นที่สุด
ทว่าหนานกงสือเยวียนมิอาจปล่อยให้ลูกสาวหลับไปทั้งอย่างนั้นได้ เขาจัดหาที่นอนให้เสี่ยวเป่า รวมถึงราชากู่ที่ถูกเก็บมาด้วย
ทุกอย่างมิได้เรียบร้อยเสียทีเดียว เสี่ยวเป่าของเขาไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่มีปัญหาคือราชากู่
เจ้าหมอนี่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะอยู่กับเสี่ยวเป่าให้ได้ ทั้งยังเพิกเฉยต่อสายตากินเลือดกินเนื้อของหนานกงสือเยวียนไปอย่างสิ้นเชิง อุ้มแมวดำขึ้นเตียงไปนอนข้างเสี่ยวเป่าไม่ยอมไปไหน
หากไม่ใช่เพราะหนานกงสือเยวียนมีงานต้องทำ ป่านนี้ก็คงจะโยนเจ้าคนหน้าไม่อายผู้นี้ออกไปให้พ้นทางให้รู้แล้วรู้รอด
“เฝ้าเขาให้ดี”
หนานกงสือเยวียนออกคำสั่งเสียงเย็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใช่ว่าเขาไม่อยากไล่คนผู้นี้ออกไป แต่ถึงแม้ว่าเจ้าหมอนี่จะดูโง่ทึ่ม ทว่ามีพฤติกรรมเหมือนกับแมว ทั้งยังสามารถควบคุมกู่ได้ สิ่งที่หนานจ้าวมีมากที่สุดก็คือกู่ คนเฝ้าประตูล้วนถูกควบคุมโดยกู่ของเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ถูกโยนออกไปตั้งห้าครั้ง ก็สามารถกลับเข้ามาได้อย่างง่ายดายทุกครั้งไป
ช่าง… หน้าไม่อายจริง ๆ!
แม้ว่าจะจัดการกษัตริย์หนานจ้าวได้แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก
ดังนั้นตลอดทั้งคืน หนานกงสือเยวียนก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน
เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นมาไม่เจอท่านพ่อ แต่กลับพบคนและแมวหนึ่งตัวนอนอยู่บนเตียงกับนาง
เสี่ยวเป่าพึมพำสองสามคำ เจ้าแมวก็หูตั้งพร้อมกับลืมตาด้วยประสาทสัมผัสที่ว่องไว จากนั้นก็อ้าปากหาว
“ท่านพ่อเล่า?”
แน่นอนว่าบัดนี้ผู้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้นางเป็นนางกำนัลในวังของกษัตริย์หนานจ้าว พวกนางไม่กล้ามีปากมีเสียงทั้งยังตัวสั่นระริก พวกนางโชคดีพอจะรอดจากการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังหลวง และถูกส่งมารับใช้องค์หญิงแห่งต้าเซี่ย
ตราบใดที่พวกนางทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี มิแน่ว่าอาจจะพบความโชคดีในความโชคร้ายก็เป็นได้
“ฝ่าบาททรงงานอยู่เพคะ”
เสี่ยวเป่าขมวดคิ้ว “ท่านพ่อไม่ได้นอนทั้งคืนเลยใช่หรือไม่”
นางกำนัลขานรับ
“เช่นนั้นเสี่ยวเป่าจะเป็นเด็กดี ไม่ไปรบกวนท่านพ่อ”
แม้ว่านางจะรู้สึกเป็นกังวล แต่ก็รู้ดีว่าเมื่อใดที่ไม่ควรไปรบกวน
เสี่ยวเป่าอยากให้ท่านพ่อรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
จู่ ๆ ความคิดก็แวบเข้ามาในหัวสมองน้อย ๆ นางตั้งใจว่าจะทำของอร่อย ๆ ให้กับท่านพ่อ
มิรู้ว่าเป็นเพราะสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศหรือไม่ที่ทำให้อาหารของที่นี่มีรสจัด ท่านพ่อของนางชอบกินอาหารรสอ่อน ต้องไม่ถูกปากเขาเป็นแน่
หากไม่ถูกปากก็จะกินได้น้อย พอกินน้อยก็จะไม่ดีต่อสุขภาพ!
เสี่ยวเป่าที่กำลังพึมพำกับตัวเองไม่ได้สังเกตว่าเด็กหนุ่มผมขาวตื่นแล้ว เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและซุกหัวในอ้อมแขนนาง
ใบหน้าที่งดงามเสียจนมนุษย์และเทพยังต้องอิจฉาแสดงออกว่าอยากให้ลูบหัว
เจ้าแมวดำก็ยื่นหน้าเข้ามาคลอเคลียเช่นกัน
เสี่ยวเป่าใช้มือข้างหนึ่งลูบขนของมัน
“เหตุใดเจ้าถึงชอบเลียนแบบท่าทางของแมวเล่า แบบนี้ไม่ถูกต้องนะ เจ้าต้องเลียนแบบพวกเราสิ”
นางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
ชายหนุ่มเอียงคอมองด้วยสีหน้างงงวย
“ช่างเถอะ ตั้งชื่อให้เจ้าก่อนก็แล้วกัน จะเรียกเจ้าว่าพี่ชายคนงามตลอดไปก็คงไม่ได้”
เสี่ยวเป่ามองดูเขาและเริ่มคิดชื่อในหัว พลางลูบคางไปด้วยขณะกำลังใช้ความคิด
“เสี่ยวไป๋ไม่ได้ ที่บ้านมีแล้ว ต้าไป๋? อันนี้ไม่เหมือนชื่อคนเท่าไร เซียนจื่อ เยว่เสิน หรือเรียกเจ้าว่าดอกสามชีวาดี? ไม่ได้สิ แบบนี้คนอื่นก็รู้หมดว่าเจ้าเป็นราชากู่ หากพวกคนเลวมาเอาตัวเจ้าไปทำเรื่องไม่ดีจะทำอย่างไร? เสี่ยวอี เสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวซาน…”
ยิ่งตั้งชื่อก็ยิ่งห่างไกลจากชื่อของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ นางกำนัลที่รับใช้อยู่ข้างกายกระตุกมุมปากอยู่หลายที รู้สึกว่าชื่อพวกนี้ไม่เหมาะกับคุณชายผู้นั้นเลยสักนิด
บัดนี้ชายหนุ่มสวมชุดสีขาวราวกับพระจันทร์เสี้ยว เส้นผมที่ยาวจรดปลายเท้าแลดูคล้ายกับหิมะโปรยปรายในยามเหมันตฤดู ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนหวาน
เมื่อประกอบเข้ากับใบหน้าที่งดงามจนน่าหวาดหวั่น ในขณะเดียวกันก็อดที่จะหลงใหลไม่ได้
ส่วนที่น่าหวาดหวั่นคือสีของเส้นผมและดวงตา จริงอยู่ที่มันดูงดงาม แต่คนลักษณะเช่นนี้มักเป็นพวกนอกรีตหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดในสายตาของพวกเขา
“ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว ไม่มีชื่อไหนดีเลย”
ในที่สุดคนบางคนก็รู้ตัวว่าตัวเองตั้งชื่อได้ไม่เก่งเอาเสียเลย
“ไปกัน พวกเราไปให้ท่านพี่ตั้งชื่อให้เจ้ากันเถอะ”
——————————————-