บทที่ 140 – ซื้อบ้าน!
หลังจากการปรากฏตัวของ ‘เทพธิดา’ ทำให้ผู้คนบนโลกต่างตระหนักทันทีว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเทพอยู่จริงๆ
แม้จะมีคำอธิบายหรือความเชื่อมากมายที่กล่าวถึงเรื่องเทพเหนือทุกคน.. แต่สุดท้ายเรื่องเล่าก็เป็นแค่เรื่องเล่า
อันที่จริงไอ้พวกเทพเจ้า เหนือโลกในต่างโลกของประตูบอร์เดอร์ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นโลกแนวเวทมนตร์ที่มีพระเจ้า
แต่ต้องเข้าใจว่าพรเจ้าเหล่านั้นเป็นเหมือนคนคนหนึ่งในโลกนั้น ไม่สามารถรับรู้ถึงโลกใบนี้ได้ด้วยซ้ำ
แต่ลองนึกภาพว่าจู่ๆ มีคนที่บอกว่าตัวเองเป็นเทพซึ่งเหมือนจะอยู่เหนือโลกทุกใบไม่ว่าจะเป็นโลกในหอคอยแต่ละชั้นหรือแม้แต่โลกนี้
อีกทั้งยังสามารถบันดาลทุกอย่างให้เป็นจริงได้.. แน่นอนว่าคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติในยุคนี้คงไม่มีหรอก ต่อให้มีก็คงมีน้อย
การปรากฏตัวของหญิงสาวปริศนาซึ่งอ้างตนว่าตนเป็น ‘เทพธิดา’ แม้จะสร้างความตื่นตะลึง สร้างความวุ่นวาย สร้างความสับสนไม่น้อย
แต่ว่าทุกคน.. ทุกคนล้วนปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นเทพธิดาจริงๆ ไม่มีใครไม่เชื่อเลย เอาเข้าจริงอะไรที่เกี่ยวกับหอคอย
สำหรับพวกนักฟิสิกส์ยังมองว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เลย ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ศึกษาประตูบอร์เดอร์หรือหอคอย
พวกเขาศึกษาแล้วแต่มันไม่อาจหาคำอธิบายใดๆ ได้ เหมือนมันใช้กฎเกณฑ์คนละกฎ.. เหมือนกับการที่เราเอากลศาสตร์ควอนตัมมาใช้ในโลกจริงไม่ได้
เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับที่เล็กกว่าควอนตัม.. เพียงแต่ทั้งหอคอยและประตูบอร์เดอร์มันอาการหนักกว่าโลกควอนตัมเยอะ
เพราะไม่มีสูตรคณิตศาสตร์ใดๆ อธิบายได้เลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าในอนาคตอันใกล้คงมีขึ้นมาแหละ แต่ตอนนี้ไม่ใช่
ดังนั้นเมื่อมีอะไรแปลกประหลาดเกี่ยวกับหอคอยปรากฏขึ้น.. ทุกคนในโลกนี้เหมือนยอมรับไปโดยไม่รู้ตัวแล้วว่ามันเป็นแบบนั้นจริง
เพราะมันไม่มีคำอธิบายที่แน่นอนมากกว่านี้แล้ว
ยกเว้นคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าหอคอยมองเทพธิดาจากไป.. มิว.. เธอจำได้ว่าคนที่เป็นเทพธิดาไม่ใช่ยัยนี่
แต่เป็นอีกคน..
“แถมเมื่อกี้…”
มิวไม่ได้โง่พอที่จะไม่เข้าใจความหมายที่เทพธิดานั่นจะสื่อ เธอเคยได้รับความปรารถนาหนึ่งอย่างแล้ว
แต่มันไม่สำเร็จหรือไม่สามารถบันดาลได้เพราะมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเส้นเวลา
ทำให้คำขอของเธอนั้นไม่เป็นจริงไป… มิวจึงต้องขออย่างอื่น ทว่าคำพูดที่อีกฝ่ายพูดกับมิวเมื่อสักครู่นี้เหมือนจะบอกว่า
ถ้าไปถึงชั้นบนสุดได้.. ต่อให้เป็นคำขอแบบนั้นนางก็บันดาลให้เป็นงั้นได้จริงงั้นเหรอ มิวได้แต่เงียบลงแล้วก็จากไป
หลังจากออกมาแล้วมิวก็มุ่งหน้าไปหาคาเอะเพื่อคุยด้วย แล้วก็ถามเรื่องที่พักด้วยว่าพักที่ไหน
และแน่นอนว่าเมื่อเธอไปถึงคาเอะที่ยังรู้สึกผิดต่อมิวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่แนะนำไปตามตรง
และจากที่มิวเข้าไปในหอคอย ตอนนี้เหมือนกิลด์จะถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสรรพหมดแล้ว ล่าสุดร้านรับซื้อมีน้อยลงและกิลด์ถูกสร้างขึ้นในวันสองวันเสร็จ
กิลด์ของคาเอะที่เป็นหนึ่งในเจ้าแรกที่สร้างขึ้นในเมืองนี้จึงค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และเห็นได้ชัดว่าวันหนึ่งมีอัตราการเข้าหอคอยที่เพิ่มมากขึ้น
เพราะทุกคนรู้ว่าควรจะทำอะไรดี… คาเอะเองก็ไม่ค่อยว่างสักเท่าไหร่ต้องทำหน้าที่ทำให้กิจการมั่นคง
เธอจึงไม่ได้คุยกับมิวนานเท่าไหร่ แต่ก็บอกรายละเอียดที่มิวอยากจะรู้ แน่นอนว่าเอริเนียน้อยยัยคาเอะก็ยังยัดเยียดให้มิวดูแลต่อไป
แต่มิวก็ไม่ได้ปฏิเสธแล้ว เอาจริงเธอติดหนี้สาวน้อยคนนี้จนนับไม่หมดแล้ว นอกจากนี้การมีเธออยู่ด้วยมันก็รู้สึกเหมือนทำให้มิวอุ่นใจไปตอนไหนไม่รู้
เพราะตั้งแต่มาที่โลกที่น่าจะโดดเดี่ยวนั้น ก็มีเอริเนียน้อยที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ต้นและนานที่สุด… ถ้าหากคาเอะมีแผนจะผูกมิวติดกับตัวเอง
โดยการโยนเอริเนียให้มิวมารู้สึกผูกพันกับสาวน้อยจนผูกติดมิวไว้กับตัวเองสำเร็จ ถ้าคาเอะมีแผนแบบนั้นอยู่ก็ถือว่าสำเร็จไปแล้วมากกว่าครึ่ง
น่าเสียดายที่คาเอะไม่ได้มีความคิดแบบนั้น ซึ่งเรื่องนี้ผู้กล้าเอริเนียยืนยันได้..
มิวกางแผนที่เมืองนี้ออก
เมืองนี้ค่อนข้างใหญ่ ถึงจะบอกว่าเป็นเมืองเหนือน่านน้ำมันก็ไม่ได้เล็กๆ เหมือนเมืองทั่วไป เพราะมันใหญ่มาก
อันที่จริงมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจากตอนแรกที่มิวมาที่นี่ครั้งแรกอีก เห็นชัดว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของขนาดเมืองมันเร็วมากจนน่าตกใจเลย
“ในระหว่างเดือนสองเดือนที่ผ่านมามีเขตเพิ่มขึ้นสองเขตเลยเหรอ”
มิวทึ่งในการเจริญของเมืองแห่งนี้.. ก่อนอื่นเมืองนี้แบ่งออกเป็นเขตใหญ่ๆ มีทั้งสิ้นเกือบห้าสิบกว่าเขต แต่ละเขตก็กินพื้นที่ไปมากกว่าห้าสิบตารางกิโลเมตร
บางเขตถึงร้อยตารางกิโลเมตรเลย.. แต่ก็ไม่ใช่ว่าเมืองนี้จะแออัดเหมือนใจกลางเมือง ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้หอคอย
ทั้งโรงพยาบาลและบ้านของคาเอะก็ใกล้กับหอคอยมาก และบ้านเรือนแถวนี้ก็ค่อนข้างแออัดกันทำให้เมืองดูเหมือนมีคนชุลมุนตลอดเวลา
เมืองนี้จะแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ๆ แต่ละส่วนทั้งสี่ที่ยื่นออกมาจากเมืองหลัก จะเรียกเมืองปีก โดยจะแบ่งเป็น เมืองตะวันออก ตะวันตก เมืองใต้ เมืองเหนือ และที่อยู่ตรงกลางจะเป็นเมืองหลัก
เมืองหลักมีขนาดที่ใหญ่น้อยที่สุดหากเทียบกับเมืองปีกทั้งสี่ แน่นอนเพื่อลดการจราจรที่ติดขัดนั้น ทำให้เมืองแต่ละเมืองนั้นแยกออกจากกัน
โดยระยะห่างของแต่ละเมืองที่ห่างออกไปจากเมืองหลักคือราวๆ สิบกิโลเมตรเลยเห็นจะได้ และทางผ่านจะไปเมืองปีกอื่นๆ ก็ต้องผ่านถนนเส้นเดียวที่เชื่อมต่อมายังเมืองหลัก
แต่แน่นอนว่าเมืองปีทั้งสี่ก็มีถนนที่เชื่อมต่อไปหากันเช่นกัน หากมองจากมุมสูงมันจึงเหมือนกับดอกไม้เลย
ไม่ลืมว่าที่นี่คือเมืองเหนือน่านน้ำ ไม่มีปัญหาเรื่องภูมิประเทศ โครงสร้างของเมืองก้ถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
ทำให้เมืองนี้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากยกเว้นเมืองหลักที่แน่นแออัด แน่นอนว่ามิวเองก็พึ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วเมืองหลักจะมีราคาบ้านที่สูงกว่าเมืองปีกแบบเทียบไม่ติด
และที่ว่าเงินล้านไม่พอคือเมืองหลักต่างหาก เมืองปีกเงินไม่กี่หมื่นถึงแสนเหรียญก็สามารถซื้อบ้านได้แล้ว.. เอาจริงสมัยนี้การสร้างบ้านสร้างอะไรมันง่าย
ทำให้บ้านสมัยนี้ราคาถูกกว่าสมัยก่อน จะแพงก็คงมีแต่ที่ดิน.. แต่ประเด็นคือที่แห่งนี้ไม่มีดิน ถ้าอยากได้ที่เพิ่มก็แค่ยื่นคำขอจากทางเมืองและจ่ายค่านั่นค่านี่
ก็ได้ที่ดินสร้างบ้านเหนือน้ำของตัวเองซึ่งถูกกว่าซื้อที่ดินบนบกเสียด้วยซ้ำ ผสมกับค่าสร้างบ้าน… ราคาตกๆ ไม่เกินแสนแน่นอน
“เดี๋ยว ราคาถูกขนาดนี้มันจะดีเหรอเนี่ย?”
ตอนแรกมิวนึกว่าราคามันจะเท่ากันหมด แต่ก็นะ.. หากเทียบกับในเมืองหลวงราคาประมาณนี้คงถือว่าถูก แต่ถ้าเป็นบ้านนอกแถบชนบท
ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ละนะ..
“ก็นะ แค่บ้านนั่นแหละที่ถูก นอกนั้นแพงหมดทั้งค่าอยู่ค่ากินอะนายท่าน”
คนที่พูดขึ้นก็เป็นผู้กล้าเอริเนียในหัวของมิว เอาจริงเธอก็ประหลาดใจเหมือนกันที่ราคามันถูกขนาดนี้
“แต่ว่าจากราคาที่ถูกขนาดนี้.. เหมือนเมืองนี้กำลังเชิญชวนคนเข้ามาอยู่เลยล่ะ ฉันว่ามันแปลกๆ อยู่นะนายท่าน”
“หมายความว่าไง?”
“ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่เหมือนองค์กรมันจะมีแผนอะไรบางอย่างกับเมืองนี้จริงๆ เพราะถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดการสร้างพื้นเหนือน่านน้ำกับสร้างบ้านเป็นสิทธิ์ขององค์กรที่ดีลธุรกิจกับบอร์เดอร์ไลน์โดยตรงด้วย”
“…….”
“แต่ก็นะ อาจจะคิดมากไปเองก็ได้ บางทีเพราะเมืองนี้เป็นเมืองห่างไกลจากทวีปมากที่สุดเลยอยากให้เมืองนี้เจริญเฉยๆ ก็ได้”
“อืม.. คิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก ถ้ามันดูเป็นอันตรายกับเราก็แค่หนีออกไปก่อนก็พอ”
มิวไม่ได้คิดว่าวพลังที่ตัวเองมีจะไม่สามารถหนีออกไปจากกับดักของคนบนโลกได้
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ พวกเราจะไปซื้อบ้านอยู่ไหนกันดี”
มิวพูดแบบนั้นพร้อมกับกางแผนที่ออกถามผู้กล้าเอริเนียและรวมถึงเอริเนียน้อยด้วย ไม่ว่าจะเมืองปีกไหนก็มีสภาพอากาศที่เหมือนกันหมดก็จริง
แต่สถานที่ท่องเที่ยว หรือสื่อบันเทิงพวกนี้ก็แตกต่าง
แถมเพราะกลุ่มคนที่มาอาศัยอยู่นั้นแตกต่างสัญชาติ หากเมืองไหนมีคนฝั่งยุโรปเยอะก็จะมีวัฒนธรรมแบบยุโรปเยอะ
เอเชียก็จะมีเอเชียเยอะ.. แน่นอนว่าสำหรับมิวก็อยากอยู่ตะวันออกอยู่แล้ว เมืองปีกตะวันออกเหมือนจะมีคนเอเชียไปอยู่เยอะ
แต่ตะวันตกก็ไม่ได้แย่ เพราะมิวอยากลองสัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆ ส่วนเหนือกับใต้เป็นเหมือนลูกผสมที่เหนือจะเน้นไปที่ยุโรปมากกว่าเอเชีย
ในขณะที่ใต้จะเน้นไปที่เอเชียมากกว่าตะวันออก..
“เอาไงดี?”
พอมิวเลือกไม่ได้ จึงต้องภามผู้อยู่อาศัยคนอื่น
มิวถามแบบนี้ผู้กล้าเอริเนียเงียบเพราะเธอก็ไม่รู้ความต่างของวัฒนธรรมของโลกนี้เท่าไหร่ ทางด้านเอริเนียก็เงียบเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน
“…..”
“เอ่อ ฉันถามถูกคนไหมเนี่ย”
มิวไม่รู้จะพูดไงดี เพราะเพื่อนร่วมอาศัยของพวกเธอเหมือนจะไม่ใช่ประเภทช่วยเลือกอะไรได้สักคน.. สุดท้ายการตัดสินใจก็ตกมาที่เธออยู่ดี
………….
มีข่าวร้ายมาบอกครับ… ผมติดทหาร ฮา จริงๆ ผมก็ผ่อนผันมาตลอดนั่นแหละครับ แต่ไม่ได้เรียนแล้วอานะ จริงๆ ที่หายไปนานคือเคียดๆ เรื่องเกณฑ์ทหารนี่แหละ ผมประกาศลงเพจไปแล้วก็จริง แต่เดาว่ามีหลายคนที่ไม่ได้ตามเพจผมก็เลยมาอัพให้ก่อนจะจากกันครับ พรุ่งนี้เดินทางแล้วแหละครับ… ส่วนหนูมิวไว้ฝึกเสร็จหรืออาจจะต้องรอสองปี (ซึ่งอาจจะทำงานอีกนั่นแหละ) จะมาเขียนให้ครับ
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ พอเริ่มทำงานเริ่มอะไรจริงจังแล้ว ผมไม่ได้มีเวลาอะไรขนาดนั้นแล้ว ไม่ได้มีธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง ความสามารถอะไรก็ไม่มี นิยายที่เขียนก็ไม่ได้ดีพอจะมีคนซื้อให้เดือนละเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนคนอื่นเขา ฮา
จริงๆ ผมเตรียมใจไว้ตั้งแต่ปีก่อนตอนเริ่มทำงานจริงจังแล้วแหละนะ ที่ตัดจบหนูอนาสตาเซียไป แต่ก็วางการเขียนนิยายไม่ลงครับ
ผมชอบเขียนนิยายให้คนอ่านอ่าน ผมชอบอ่านความเห็นของคนอ่าน ผมอยากให้คนอ่านรู้สึกว้าวและสนุกไปกับเรื่องราวที่ผมแต่งผมเลยทิ้งไม่ลงสักทีกับงานอดิเรกนี้
ขอให้ทุกท่านมีวันที่ดีกันต่อไปครับ
สักวันผมจะกลับมาหาทุกคนครับ
—จาก Rose Veronica ภาพวาดของดอกกุหลาบ