ในฐานะหนึ่งในผู้รับผิดชอบการทดสอบแข่งขันครั้งนี้ อู๋ถงฝู่ยืนอยู่บนเวที มองทุกคนพลางพูดอย่างปลื้มปีติ
“สวัสดีเพื่อนร่วมงานที่เคารพทุกท่าน ผมจะไม่ฉวยโอกาสเพราะอาวุโสกว่า ขอพูดความรู้สึกวันนี้สักหน่อย! ความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดของผมในวันนี้ คือความพยายามและพัฒนาการของทุกคน! ผมเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย พวกคุณเก่งขึ้นกว่าปีที่แล้ว และเห็นคนรุ่นใหม่มากมาย การเข้าร่วมของพวกคุณ ทำให้เราเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น”
พูดจบ เสียงปรบมือด้านล่างเวทีดังขึ้นทันที เฉินชางไม่รู้จักอู๋ถงฝู่ แต่เห็นเสียงปรบมือรอบๆ ดังสะเทือนฟ้า เหมือนว่าเขาเป็นคนที่ได้รับความเคารพอย่างสูง
เฉินชางถามเสียงเบา “ท่านนี้คือใครเหรอครับ”
กัวอวิ๋นเฟยไม่ได้บอก ชูนิ้วโป้งขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก “เป็นคนที่สุดยอดมาก! ตอนแรกเป็นรองผู้อำนวยการวิทยาลัยการแพทย์ยูเนี่ยน หัวหน้าใหญ่แผนกฉุกเฉิน ต่อมาถูกโอนย้ายไปเป็นผู้อำนวยการที่ศูนย์ฉุกเฉินเมืองหลวง ผู้อำนวยการอู๋เชี่ยวชาญการผ่าตัดศัลยกรรมมากมาย ได้รับรางวัลระดับสากลมาหลายครั้ง เขาคือสมาชิกสภาวิทยาศาสตร์ อู๋ถงฝู่นั่นเอง”
เฉินชางอึ้งไปทันที เขาก็คืออู๋ถงฝู่งั้นเหรอ
ชื่อนี้เขาคุ้นเคยมาก แต่เพิ่งจะเจอตัวเป็นครั้งแรก!
ตอนที่ไปฝึกงานในเมืองหลวง แม้ไม่เคยเจอ แต่ก็ได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง อู๋ถงฝู่พูดต่อว่า “การแข่งขันก็ควรจะมีกฏเกณฑ์ของการแข่งขัน แต่การตกรอบ ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณไม่เก่งพอ รายชื่อคนที่เข้ารอบออกมาแล้ว ผมหวังว่าทุกคนจะไม่ยอมแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่หลงระเริง! หากตกรอบ นั่นหมายความว่าพวกคุณยังมีช่องว่างการพัฒนาอีกมาก ส่วนทุกคนที่เข้ารอบ สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ ภาระที่พวกคุณแบกรับไม่เบาแน่ มีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ”
พูดถึงตรงนี้ จังหวะการพูดของอู๋ถงฝู่ช้าลงเล็กน้อย เนิบช้าเหมือนคุยเล่นกัน เขาพูดยิ้มๆ “บางทีผมก็ไม่อยากเรียนหมอ เพราะผมรู้สึกว่าผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ผมเรียนหมอเพราะอยากมีอาชีพที่มั่นคง สามารถแสวงผลประโยชน์ได้ทุกสถานการณ์
คุณปู่ของผมเป็นหมอเท้าเปล่า เขาบอกผมว่า เป็นหมอไม่อดตาย! แค่ขนมของกินที่ทุกคนให้ด้วยน้ำใจก็เต็มบ้านแล้ว มีคนบอกว่าเป็นหมอมีเกียรติ เป็นฮีโร่ ผมไม่อยากเป็นฮีโร่หรอกนะ! ผมเองก็มีลูก มีคนรัก และมีชีวิตของตนเอง ทำไมต้องทำเพื่อคนอื่น ผมไม่ได้เป็นหนี้พวกคุณสักหน่อย อาจารย์ของผมพูดกับผมคำหนึ่งว่า บนโลกนี้ไม่ได้มีฮีโร่ ก็แค่เด็กกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนชุดขาว รักษาโรคและช่วยชีวิตคนเลียนแบบรุ่นพี่ก็เท่านั้น!”
เขาพูดถึงตรงนี้พลันเบี่ยงประเด็น!
อู๋ถงฝู่พูดอย่างหนักแน่น “แต่ชีวิตมักจะไม่เป็นดั่งใจ เราสวมชุดนี้แล้ว ก็ต้องเหมือนทหารคนหนึ่ง ทหารรักษาความสงบสันติให้เรา เราก็ต้องให้สุขภาพที่ดีแก่ประชาชน!”
……
“ไม่ว่าคนที่มาเข้าร่วมการแข่งขันในวันนี้ หรือว่ามาชมการแข่งขัน พวกคุณล้วนเป็นหมอ หรือไม่ก็หมอในอนาคต สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ เราไม่เพียงเป็นเกียรติแก่ตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นชีวิตและสุขภาพของประชาชนด้วย ผมขอขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ขอบคุณที่พวกคุณมาทำอาชีพนี้
ขอบคุณพวกคุณที่แม้รู้ดีว่านี่เป็นหนทางที่ไม่อาจย้อนกลับ แต่ก็ยังยืนหยัดที่จะเดินหน้า!
ขอบคุณพวกคุณที่แม้รู้ดีว่าจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ก็ยังไม่ไปไหน!
ขอบคุณพวกคุณที่แม้รู้ดีว่าที่บ้านมีพ่อแม่ คนรักและลูก แต่กลับไม่เคยบกพร่องในหน้านี้!
ขอบคุณพวกคุณที่แม้รู้ดีว่าการเดินทางนี้ไม่รู้จะได้หวนกลับเมื่อไหร่ แต่ไม่เคยท้อถอย!”
……
คำพูดเหล่านี้ ทำให้ทุกคนในงานเลือดสูบฉีดพลุ่งพล่าน เฉินชางรู้สึกว่าในอกของตนมีความรู้สึกที่ยากจะระบายออกมา ไม่รู้เพราะอะไรถึงอยากร้องไห้ขึ้นมา
ขณะนี้ ทุกคนในงานต่างเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบสงบและเคร่งขรึม มองไปข้างหน้า ในสายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น!
เหมือนรับรู้ได้ถึงความกดดันของบรรยากาศ อู๋ถงฝู่พลันเผยรอยยิ้ม พูดล้อเล่นว่า “ฮ่าๆ พวกคุณเนี่ย ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้ ดึงดันจะเรียนหมอให้ได้! ว่ากันว่า โน้มน้าวให้คนเรียนหมอระวังฟ้าผ่า พวกคุณก็ยังจะเรียนหมออีก ฮ่าๆ”
จู่ๆ ด้านล่างก็มีคนตะโกนประโยคหนึ่ง “ถึงอย่างไรก็จะดื้อรั้น จะเรียนหมอ! ไล่ยังไงก็ไม่ไป!”
อู๋ถงฝู่หัวเราะขึ้นมาทันที ถามเสียงดัง “ไล่ยังไงก็ไม่ไป ใช่ไหมครับ”
ด้านล่างระเบิดเสียงขึ้นมาทันที!
“ใช่!”
“ไล่ยังไงก็ไม่ไป!”
“ไม่หันหลังกลับแล้ว!”
“สู้สุดชีวิต!”
“ไล่ยังไงก็ไม่ไป!”
……
……
เสียงที่สะเทือนฟ้าดังขึ้นทั้งงาน ทุกคนฮึกเหิม ตะโกนเสียงดัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง อู๋ถงฝู่จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาละ ตามระเบียบการประชุม ขออนุญาตให้ผมนำทุกท่านดำเนินการปฏิญาณตนอีกครั้ง!”
ตอนนี้พิธีกรเองก็ตื่นเต้นเล็กน้อย พูดเสียงดัง “เชิญทุกท่านลุกขึ้นยืน!”
อู๋ถงฝู่พูดเสียงดัง “กรมการแพทย์ รักษาชีวิตและความปลอดภัย!”
ทุกคนยืนขึ้น ตะโกนเสียงดัง “กรมการแพทย์ รักษาชีวิตและความปลอดภัย!”
อู๋ถงฝู่ “ชั่วขณะที่ก้าวสู่วงการแพทย์อันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตน!”
เฉินชางตื่นเต้นเล็กน้อย รู้สึกว่าร่างกายสั่นนิดหน่อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และพันธกิจที่อาชีพนี้มีให้กับเขา!
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตนก็เคยปฏิญาณตน!
แต่ตอนนั้นเขายังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่รู้ว่าที่ตนปฏิญาณตนหมายถึงอะไร
การวินิจฉัยโรคสามปี ประสบการณ์สามปี ทำให้เขาเข้าใจว่าอาชีพนี้มีความหมายอย่างไร
“ชั่วขณะที่ก้าวสู่วงการแพทย์อันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตน! ข้าพเจ้าสมัครใจอุทิศตนเพื่อการแพทย์ รักมาตุภูมิ ภักดีต่อประชาชน รักษาศีล เคารพครูบาอาจารย์ มีระเบียบวินัย ตั้งใจเรียน ขยันหมั่นเพียร มุ่งสู่ความสมบูรณ์แบบ และพัฒนาอย่างรอบด้าน!
ข้าพเจ้าตั้งปณิธานว่าจะขจัดความทุกข์ยากของมวลมนุษย์อย่างสุดความสามารถ พัฒนาสุขภาพสู่ความสมบูรณ์แบบ รักษาความศักดิ์สิทธิ์และเกียรติยศของทักษะทางการแพทย์ ช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ ไม่ย่อท้อ ไล่ตามความฝันอย่างไม่ลดละ มุ่งมั่นเพื่อพัฒนาการแพทย์ของมาตุภูมิและสุขภาพกาย ใจของมนุษย์ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า”
……
แต่ละประโยชน์เต็มไปด้วยความฮึกเหิม!
หลังจากอู๋ถงฝู่พูดจบก็คำนับทุกคนแล้วกล่าวเนิบช้าว่า “เราแก่แล้ว แต่พวกคุณยังเด็ก เพื่อนร่วมงานทุกท่าน หลังจากนี้โปรดชี้แนะ!”
ชั่วขณะนี้ ผู้หญิงหลายคนในงานข่มน้ำตาไม่อยู่แล้ว น้ำตาพรูไหลลงมา
แม้พวกนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ยังสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
กัวอวิ๋นเฟยหันมองเฉินชาง พูดเสียงเบา “นี่คือเหตุผลที่หลายคนรู้ทั้งรู้ว่าตนจะตกรอบตั้งแต่รอบแรก แต่ก็ยังจะมาเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศ”
เฉินชางชาไปทั้งตัว มองทุกคนในงาน ในสายตามีเพียงความชื่นชม ไม่มีความดูถูกเลยสักนิด
บางที…ทุกคนในงานล้วนควรค่าแก่การได้รับความเคารพ
ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความสามารถ ทักษะที่ลึกล้ำอะไร แต่เพราะความดื้อรั้นที่ไล่อย่างไรก็ไม่ไปของพวกเขา!
หัวหน้าแพทย์หลายคนทยอยขึ้นไปพูดบนเวทีเพื่อให้กำลังใจทุกคน
สุดท้ายอู๋ถงฝู่ยิ้มพูด “เอาละ ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ทุกคนคงหิวแล้ว ปีนี้เงินกองกลางของเราเยอะ ตั้งใจให้โรงแรมทำอาหารอร่อยๆ ให้ ทุกคนรีบไปรับประทานอาหารเถอะ ช่วงบ่ายมีแข่งต่อ”
ทุกคนยิ้มขึ้นมาทันที
เฉินชางมองอู๋ถงฝู่ เขามีภาพจำแรกแล้ว เจอครั้งแรก ถือว่าอู๋ถงฝู่เป็นคนที่น่าสนใจ!
เฉินชางกำลังจะลุกขึ้น แต่กลับถูกเมิ่งซีดึงไว้ “ไปไหนคะ”
เฉินชางชะงัก “กินข้าวไงครับ”
เมิ่งซีม่านตาหดเล็กลง “กินทำไม ไปทำเรื่องใหญ่กับอาจารย์ คืนนี้อาจารย์เมิ่งรับประกันว่าอิ่มท้อง!”