เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย 63 ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ 4 จตุรเทพโรงเรียนที่ผู้คนไม่สามารถจำชื่อหรือหน้าตาได้

ตอนที่ 63 ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ 4 จตุรเทพโรงเรียนที่ผู้คนไม่สามารถจำชื่อหรือหน้าตาได้

บทที่ 3 ตอนที่ 5

 

    วันที่ 4 ของวันหยุดฤดูร้อน ในวันนั้น ที่บ้านได้วุ่นวายกันแต่เช้า

 

「คุณแม่~ ชุดยาสีฟันของไออยู่ตรงไหน?」

「ไม่มีเวลาแล้วเพราะงั้นไปหาซื้อชุดยาสีฟันเอาที่นู่นเลยล่ะกัน!」

「ไอกะ เห็นที่โกนหนวดไฟฟ้าของผมไหม?」

「ไม่รู้หรอก! ปกติก็เห็นใช้แต่ใบมีดโกนไม่ใช่เหรอ! คราวนี้ก็ใช้ไปอีกสิ? อันที่จริง บอกว่าให้เตรียมพร้อมกันตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เรอะ!」

 

    ตรงนั้นตรงนี้ อันนู้นไม่ใช้อันนี้ก็ไม่ใช่ สามารถได้ยินเสียงเช่นนั้นโต้ตอบไปมา พร้อมกับเสียงโมโหของคุณแม่ที่ดังขึ้นมาจนถึงชั้น 2

 

「แบบว่าสุดยอดไปเลยน้า~ ครอบครัวนายเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ไปเที่ยวเลยเหรอ?」

 

    เร็นกะที่ฟังเสียงอึกทึกในขณะที่อ่านมังงะอยู่ ถามคำถามผมมา

    ในขณะที่ผมกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่ลงกระเป๋าเดินทางก็ได้ตอบกลับไป

 

「ไม่หรอก ทุกทีจะเตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าไม่มาทำเอาป่านนี้หรอก เพียงแต่คราวนี้ตารางเวลาของผมมันว่างกะทันหันก็เลยต้องวางแผนกันฉับพลันล่ะนะ」

 

    เป็นธรรมเนียมของบ้านคิทากาว่า ในทุกๆหน้าร้อนจะออกเดินทางไปเที่ยวกันโดยเฉลี่ย 2 ~ 3 ครั้ง

    ปกติแล้วการไปเที่ยวจะถูกวางแผนและตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนก่อนจะถึงวันหยุดฤดูร้อนทำให้การเดินทางราบรื่น แต่ว่าคราวนี้มันแตกต่างออกไป

    สาเหตุก็เพราะ การไปเที่ยวคราวนี้เพิ่งจะมาตัดสินใจกันไม่กี่วันก่อนเท่านั้นเอง

    หน้าร้อนปีนี้ ตารางเวลาของชมรมนักผจญภัยแน่นไปด้วยแผนสำหรับค่ายการฝึกและอื่นๆมากมาย ทำให้บ้านคิทากาว่ามีวางแผนไปเที่ยวแค่ครั้งเดียวในช่วงครึ่งหลังของวันหยุดฤดูร้อน

    ทางครอบครัวเองก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในปีนี้ แต่ในความเป็นจริง คุณแม่ดูจะรู้สึกเหงาอยู่ลึกๆ แล้วทันทีที่รู้ว่าอันนาต้องเรียนเสริมทำให้ตารางเวลามันว่างขึ้นมา เธอก็เลยรีบวางแผนการไปเที่ยวอย่างรวดเร็ว

    ด้วยความบังเอิญที่ในปีนี้มีการจัดโอลิมปิคที่โตเกียว ทำให้รัฐบาลเลื่อนวันหยุดมาให้ตรงกับโอลิมปิค ตั้งแต่วันนี้ไปจึงเป็นวันหยุดติดกัน 4 วันรวด

    ทั้งผมกับไอต่างก็มีแผนสำหรับตอนสุดสัปดาห์ไว้แล้ว ดังนั้นโอกาศเดียวที่จะไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวก็คือวันพฤหัสและศุกร์ที่คุณพ่อได้หยุดงาน

 

「อุทามาโร่~ จะไปกันแล้วนะ! พร้อมแล้วรึยัง!?」

「เกือบเสร็จแล้ว!」

「ไม่ใช่แค่ของลูก แต่ต้องเตรียมของเร็นกะจังด้วย ลูกรู้ใช่ไหม?」

「รู้แล้วน่า ของเร็นกะน่ะเสร็จไปก่อนแล้ว」

 

    พอผมพูดแบบนั้นไป ก็โยนกระเป๋าสำหรับเร็นกะไปให้เธอ

    เร็นกะที่รับเอาไว้ ไม่ได้แต่งตัวในชุดกิโมโนอย่างทุกที แต่เป็นชุดแฟชั่นสำหรับเด็กผู้หญิงสมัยใหม่ เป็นเสื้อทีเชิ้ตและกระโปรงยีนส์สั้น

    ในคราวนี้ เร็นกะจะปรากฏตัวมาเข้าร่วมการไปเที่ยวกับพวกเราด้วย

    ตอนแรกผมเสนอไปว่าให้เธอเข้าร่วมโดยที่ล่องหนไปดีไหม? แต่ทั้งครอบครัวต่างก็คัดค้านอย่างรุนแรง

    ด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้ยืมชุดของไอมาเพื่อทำการเข้าร่วม

 

「โย้ช ไปกันเถอะ!」

「อา เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน!」

 

    ทำการหยุดเร็นกะที่พอรับเอากระเป๋าไปแล้วกำลังจะออกจากห้อง เอาหมวกปีกกว้างไปสวมให้เธอ ปีกหมวกจะช่วยซ่อนความสวยงามเหนือมนุษย์ของเธอไว้ ทำให้ดูเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป

    เพราะว่าหน้าตาของเร็นกะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากมอนโคโลและสื่อต่างๆ

    มันไม่น่าจะมีใครรู้สึกตัวได้เนื่องมาจากความคิดตายตัวที่ว่าการ์ดไม่สามารถอัญเชิญนอกเขาวงกตได้แต่ หากได้เห็นว่าอยู่คู่กับผมแล้ว มันก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าคนที่มีลางสังหรณ์ที่ดีจะไม่รู้

    เพราะแบบนั้น ถึงแม้จะเป็นลูกเล่นเล็กๆน้อยๆ แต่หมวกนี่ก็เป็นสิ่งจำเป็น

    ยังไงก็ดี ถ้าหากมีใครมาถามเรื่องความสัมพันธ์กับเร็นกะ ก็จะอธิบายไปว่าเป็นเพื่อนของไอ ก็นะ ไม่คิดว่าจะมีใครมาถามหรอก แต่ก็เผื่อเอาไว้ก่อน

    หลังจากทำการล็อคทุกประตูของบ้าน ล็อคประตูหน้าบ้าน ก็มุ่งไปที่รถ

    พอเปิดประตูรถซีดานสีขาวออก ความร้อนราวกับซาวน่าก็เข้ามากระแทกหน้า

    คุณแม่ที่ขึ้นเบาะหลังมาก็ทำหน้ามุ่ยแล้วพูด

 

「ร้อนจริงเชียว รีบเปิดแอร์เร็วเข้าสิ」

「เปิดแล้วน่า」

 

    -ครืนนน-! แอร์เปิดมาพร้อมกับเสียงคำราม ทว่าอุณหภูมิภายในรถที่ถูกอบด้วยดวงอาทิตย์หน้าร้อนก็ไม่ลดลงง่ายๆ

    ขณะที่ทุกคนกำลังกล้ำกลืนกับความร้อน จู่ๆคุณพ่อก็สังเกตุเห็นว่าผมที่นั่งตรงเบาะผู้โดยสารไม่มีเหงื่อออกเลย

 

「โอ๋? อุทามาโร่ หน้าดูนิ่งแปลกๆนะ…..นี่หรือว่าใช้อุปกรณ์เวทหรืออะไรอยู่ใช่ไหม?」

 

    แม่นมาก ขณะที่ผมยิ้มแห้งๆและคิดในใจอยู่แบบนั้น ก็ดึงเอาสร้อยปรับอากาศที่สวมไว้ตรงอกออกมา

 

「ถูกต้องแล้ว นี่คือสร้อยปรับอากาศที่คอยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมอยู่เสมอล่ะ」

「พี่จ๋า ขี้โก~ง ให้ไอยืมบ้างสิ!」

「มีอยู่อีกอันเพราะงั้นจะให้ยืมก็ได้」

 

    ขณะที่ผมยื่นสร้อยปรับอากาศให้ไอที่อยู่เบาะหลัง คุณแม่ที่ได้เห็นก็ส่งเสียงชื่นชม

 

「อาร้า เป็นสร้อยที่สวยไปเลยไม่ใช่เหรอ ราคาเท่าไหร่ล่ะเนี่ย?」

「อืม…..ถ้าหาซื้อก็ประมาณ 1.5 ล้าน ล่ะมั้ง?」

『1.5 ล้าน!?』

 

    เสียงตกใจดังก้องไปทั้งรถ

 

「เห~ ต่อให้ต้องการมันในฐานะนักผจญภัยแค่ไหน ก็ไม่น่าจะหาซื้ออะไรแบบนี้มานี่นา~」

「อา ไม่ครับ…..อันนี้ได้มาจากการซื้อแพ็คกิลล์」

「โฮ่~ เป็นของในแพ็คกิลล์งั้นหรอกรึ ก็หมายความว่าได้ 1.5 ล้านกลับมาจาก 1 ล้าน ก็แสดงว่ากำไรสิเนี่ย」

「…..อืม」

 

    เป็นการเว้นช่วงเงียบเพียงครู่เดียว แต่มันก็ไม่สามารถหลบสายตาของคุณแม่ไปได้

    -ชิ้ง- แววตาเฉียบคมจ้องมา แล้วถามคำถามกับผม

 

「มาโร่ นี่ลูกซื้อมากี่แพ็ค?」

「อุ…..!」

 

    ผมที่กำลังอ้ำๆอึ้งๆ คุณแม่ก็ชี้ไปทางเร็นกะแล้วบอก

 

「เวลาจำกัดในการคิดก็คือจนกว่าแม่จะไปถามเร็นกะจังนะ」

 

    ถ้าไปถามทางนั้นล่ะก็แย่แน่…..! ผมจึงรีบตอบออกไป

 

「…..บแพ็ค ครับ」

「ว่าไงน่ะ? ขออีกรอบ ดังๆ ชัดๆ ซิ」

「40 แพ็คครับ!」

『40…..』

 

    ทั้งครอบครัวต่างพูดอะไรไม่ออก จนในที่สุดคุณพ่อก็ถอนหายใจออกมา

 

「ฮ่าห์~ 40 ล้านเยนงั้นเหรอ…..มากกว่าเงินเดือนพ่อไปเท่าไหร่เนี่ย…..? ชักจะเริ่มรู้สึกงี่เง่าที่มัวแแต่ตั้งใจทำงานซะแล้วสิ」

「ลูกนี่น้า~ ต่อให้เป็นเงินของตัวเอง แต่ก็ใช้อย่างระมัดระวังมากกว่านี้หน่อยสิ」

 

    ในความเป็นจริงได้ใช้ไปมากกว่านั้น 10 เท่า แต่ว่าไม่อยากให้ทุกคนได้รู้แม้แต่น้อย ผมจึงตัดสินใจนิ่งเงียบเอาไว้

    ขณะที่พ่อกับแม่กำลังอารมณ์เสียแล้วถอนหายใจ ก็มีเพียงแค่ไอเท่านั้นที่ส่งเสียงขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

 

「40 ล้านงั้นเหรอ~! สุดยอดไปเลย! เท่ากับค่าขนมของไอกี่ปีล่ะนั่น อย่างที่คิดว่า ในอนาคตไปแต่งงานกับนักผจญภัยเหมือนกับพี่จ๋าดีกว่า~」

「ไม่ได้หรอก มีแค่นักผจญภัยเท่านั้นที่ห้ามไปแต่งงานด้วย」

「ใช่แล้วล่ะ ไอไม่จำเป็นต้องแต่งงานหรอก อยู่ที่บ้านตลอดไปก็พอ」

 

    โดยที่เมินความคิดเห็นงี่เง่าของพ่อ แม่กับลูกก็ทำการพูดคุยกันต่อ

 

「เอ๋~ ทำไมล่ะ~?」

「ต่อให้จะมีเงินมากมายแค่ไหน จะให้มีงานที่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นี่ไม่ได้หรอก  มาโร่น่ะโชคดีที่มีเร็นกะจังอยู่ข้างๆ แต่กับนักผจญภัยคนอื่นแล้วมีสิทธิตายได้ทุกเมื่อ สิ่งสำคัญของครอบครัวก็คือความมั่นคง นักผจญภัยนะดีพอแค่เป็นเพื่อนเล่นเท่านั้นแหละ」

「มู~ ช่วยไม่ได้ ไว้อยากได้อะไรค่อยขอพี่จ๋าละกัน เดี๋ยวค่อยหาสามีที่ไม่ค่อยฉลาด, มีเงินเยอะ, เชื่อฟังทุกอย่าง, แล้วก็ไม่นอกใจเหมือนคุณพ่อเอาดีกว่า~」

 

    คุณพ่อ ขณะที่ไอบอกความคิดที่เห็นเป็นแค่ถุงเงินก็ทำหน้าเศร้า แต่พอบอกว่าจะแต่งงานกับคนที่เหมือนพ่อก็ทำหน้าดีใจแบบอธิบายไม่ถูก

 

「ลำดับผิดไปอยู่นะ อันดับแรกเลยต้องเชื่อฟังทุกอย่าง, อันดับที่สองคือไม่นอกใจ, และอันดับที่สามคือมีเงิน ถ้าหากลำดับความสำคัญผิด จะตกสถานการณ์ลำบากเอาได้นะ」

「เอ๋~? แตกต่างกันยังไงเหรอคะ?」

 

    ผมเองก็อยากรู้จึงรอฟังด้วย

    แต่แล้วคำตอบก็ออกมาจากแหล่งที่คาดไม่ถึง

 

「อันดับแรกเลยคือเงื่อนไขในฐานะของคนรัก ถ้าหากว่าไม่เข้าเงื่อนไขนี้ คนประเภทอย่างท่านแม่กับไอก็จะไม่มีทางแต่งงานเลย, อันดับที่สอง คือเงื่อนไขในฐานะของภรรยา ถ้าหากว่าสร้างครอบครัวกับคนหลายใจ มันก็จะไปไม่รอด, อันดับที่สาม คือเงื่อนไขในฐานะผู้เป็นแม่ ต่อให้มีความรักมากแค่ไหน หากไม่มีเงินก็จะเลี้ยงดูลูกได้ลำบาก」

「เร็นกะจังถูกต้องแล้ว」

 

    อาฮะ อย่างงี้นี่เอง…..ขณะที่ผมรู้สึกประทับใจอยู่นั่น คุณพ่อที่นั่งข้างๆก็ทำหน้าตาแบบ เป็นแบบนั้นเองงั้นเหรอ

 

「หื้ม ถ้างั้นแล้วพี่จ๋าเป็นยังไงบ้างล่ะ?」

「มาโร่ก็นะ…..」

 

    คุณแม่เอามือไปแตะที่แก้ม ทำท่าทางเป็นกังวล

 

「ก่อนที่จะเป็นนักผจญภัย ก็มีทั้งอันดับหนึ่งและสองอยู่หรอก แต่พอเริ่มจะรวยขึ้น อันดับสองก็ชักจะไม่ไหวแล้วน่ะสิ」

「เดี๋ยวเดี๋ยวเดี๋ยว!」

 

    ด้วยการประเมินอย่างโหดร้ายของแม่ทำให้ผมหัวเสีย

 

「ใส่ร้ายกันชัดๆเลย! แม้แต่แฟนก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ!」

 

    อีกอย่างที่ต่อให้อยากจะนอกใจก็ไม่สามารถทำได้นี่ก็ตรงด้วย!…..ถึงตัวเองพูดเองมันจะเศร้าก็เถอะ!

 

「หื้ม~ งั้นมาถามเร็นกะจังละกัน ความจริงแล้วเป็นยังไงล่ะ?」

「ไม่ได้ ไม่ไหวเลย หมอนี่น่ะ เป็นประเภทที่โลเลสุดๆ ถ้าหากว่ามีลูกก็อาจจะแตกต่างไปบ้าง แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็เป็นประเภทเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย」

「โอ่ยย!」

 

    นี่หล่อน คิดแบบนั้นอยู่งั้นสินะ!

 

「มาโร่ แบบนั้นไม่ได้นะ ถ้าเป็นลูกผู้ชายแล้วล่ะก็ จะต้องรักผู้หญิงแค่คนเดียว เหมือนอย่างพ่อสิ」

 

    คุณพ่อพูดมาด้วยสีหน้าเคร่งครึม แต่…..

 

「พูดอะไรออกมาเนี่ย นี่น่ะมันอยู่ในสายเลือดบ้านคิทากาว่าชัดๆเลย สาเหตุที่คุณไม่นอกใจก็แค่เพราะไม่มีคนมาคู่ด้วยก็เท่านั้นเอง มั่นใจเลยว่าคุณต้องเป็นประเภทเดียวกับมาโร่ ที่พอมีผู้หญิงมาเข้าใกล้แล้วก็ไปไม่รอด แต่ถ้ามีอาหารมาวางต่อหน้าก็ยังเข้าไปกินอยู่ดีแน่ๆ」

「คุณพ่อ แย่ที่สุด…..」

「ข-ขอค้าน! นี่มันใส่ร้าย! ผมไม่เหมือนกับมาโร่ซักหน่อย!」

「ผมเองก็ไม่ใช่แบบนั้นด้วย!」

 

    ฝั่งผู้ชายที่กำลังเถียงอย่างดูไม่ได้ ถูกฝั่งผู้หญิงตัดบท

 

「เห็นไหมล่ะไอ นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเลือดมันข้นขนาดไหนใช่ไหม?」

「ลูกอ๊อดก็คือกบ ถ้าลูกคือกบ พ่อแม่ก็คือกบด้วยนั่นแหละ」

「เร็นกะจัง ถ้าแบบนั้นหนูก็เป็นกบด้วยน่ะสิ…..ก็ เอาเถอะ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ทำไมคุณแม่ถึงแต่งงานกับคุณพ่อล่ะ? ระดับคุณพ่อแล้วน่าจะมีคนที่ดีกว่าอยู่นี่นา?」

 

    ที่ตอบคำถามนั้นไม่ใช่คุณแม่ แต่เป็นคุณพ่อ

 

「ฟุฟุฟุ…..เรื่องนั้นน่ะนะไอ ก็เพราะว่าพ่อเสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องแม่เอาไว้ยังไงล่ะ」

「เอ๋~? อะไรล่ะนั่น!」

 

    พอรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะกลายเป็นเรื่องโรแมนติก ดวงตาของไอก็ลุกวาวขึ้นมา

 

「ก็น้า~ ให้พูดง่ายๆมันก็เป็นเพราะปรากฏการณ์สะพานแขวน(The suspension bridge effect)นั่นแหละ ตอนที่เกิดแองโกลมัวร์ครั้งที่ 1 ตอนนั้นแม่ยังเป็นแค่เด็กสาวม.ปลาย แล้วก็ได้ก้าวข้ามวิกฤติไปพร้อมกับพ่อก็เท่านั้นแหละ ตอนนั้นก็ยังอายุน้อยๆกันอยู่ล่ะนะ…..พ่อที่อายุมากกว่า 10 ปี ดูพึ่งพาได้มากเลย」

 

    ตอนผมยังเด็กก็เคยได้ฟังเรื่องราวตอนที่พ่อกับแม่ได้มาเจอกันอยู่ ดูเหมือนว่าคุณพ่อจะเป็นครูสอนพิเศษในขณะที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ในขณะที่คุณแม่เป็นนักเรียนชั้นประถม

    พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยคุณพ่อก็เลิกเป็นครูสอนพิเศษ แต่ทั้ง 2 คนก็ได้ทำความรู้จักกันไปอยู่พักหนึ่ง

    แล้วพอช่วงเวลาที่คุณแม่ได้เป็นนักเรียนม.ปลายและได้เป็นสาวแกล แองโกลมัวร์ครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น

    ในตอนนั้น มนุษยชาติที่ยังเชื่อว่ามอนสเตอร์ไม่มีทางจะออกมานอกเขาวงกตได้ จู่ๆก็ปรากฏฝูงมอนสเตอร์ทะลักเข้าใส่ ทำให้เกิดความโกลาหล

   ที่รอบๆเขาวงกตมีกองกำลังป้องกันตนเองสร้างฐานชั่วคราวล้อมเอาไว้อยู่ ก็ถือว่าไม่ได้ไร้ซึ่งการป้องกันไปหมดซะทีเดียว แต่ด้วยในช่วงเริ่มต้นไม่สามารถรับมือกับฝูงมอนสเตอร์ได้อย่างเหมาะสม จึงมีจำนวนไม่น้อยที่หลุดรอดออกมาได้

    โดยเฉพาะโตเกียวที่ขึ้นชื่อว่ามีเขาวงกตจำนวนมาก ตามท้องถนนต่างมีศพอยู่กลาดเกลื่อน โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายหมดสิ้น เงินกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า และกลุ่มฝูงชนที่ปล้นสะดมร้านค้าต่างๆ

    สถานการณ์ในตอนนั้น สรุปได้ว่าราวกับจุดสิ้นสุดของยุคสมัยเลยทีเดียว

    ในระหว่างนั้น คุณพ่อได้บังเอิญพบกับคุณแม่ที่เป็นหนึ่งในนักเรียนเก่าของเขา แล้วได้ช่วยปกป้องเธอจากผู้คนที่ความศิวิไลซ์ตกต่ำจนถึงขีดสุด และเหล่าอันธพาลที่ความต้องการทางเพศพุ่งขึ้นสูงจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอด

    ส่วนวิธีการที่คุณพ่อซึ่งไม่เคยสู้ใครมาก่อน สามารถปกป้องคุณแม่เอาไว้ได้ ความลับนั้นก็แน่นอนว่าอยู่ที่การ์ด

    มันเป็นช่วงระหว่างแองโกลมัวร์ครั้งที่ 1ที่ความสามารถของการ์ดนั้นถูกค้นพบ ซึ่งตัวคุณพ่อ「โชคดีที่ครอบครองการ์ดเอาไว้กับตัว และด้วยความบังเอิญ ค้นพบวิธีการใช้งานมันด้วยตัวเอง」—-เป็น 1 ในผู้คนเหล่านี้ ซึ่งในตอนนั้นถูกเรียกกันว่า『ซัมมอนเนอร์(summoner)』

    จะว่าไปแล้ว ด้วยความบังเอิญ การ์ดที่คุณพ่อมีอยู่ก็คือการ์ดของซาชิกิวาราชิ

    ดูเหมือนว่าในตอนที่ความโกลาหลสงบลง การ์ดใบนั้นจะลงเอยที่การลอสขณะที่ทำการปกป้องพวกคุณพ่อเอาไว้ ซึ่งมันอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกคุณพ่อถึงได้ดูมีท่าทางเป็นมิตรแปลกๆกับเร็นกะ

 

「สุดยอ~ด! คุณพ่อในตอนนั้นเท่สุดๆไปเลย! เป็นฮีโร่ของแท้! หยั่งกับพระเอกในหนังเลยล่ะ!」

 

    พอไอได้ยินเรื่องนั้นเข้าเป็นครั้งแรก ก็มีปฏิกริยาแบบเดียวกับผมตอนที่ได้ยินมาเมื่อหลายปีก่อน

    การตอบสนองของพวกพ่อแม่เอง ก็เป็นเหมือนกับตอนนั้น ยิ้มแห้งๆพร้อมแสดงสีหน้าที่ผสมไปด้วยความเจ็บปวดและทนทุกข์

 

「อืม ก็ไม่ได้เลิศเลอถึงขั้นเป้นฮีโร่หรอก…..ปกป้องคาเรนจังเอาไว้ไม่ได้ด้วย」

「คาเรนจัง ชื่อของซาชิกิวาราชิของคุณพ่อเหรอค่ะ…..?」

 

    ไอถามขณะที่เหลือบไปมองเร็นกะ แล้วคุณพ่อก็ส่ายหัว

 

「เปล่าหรอก ในตอนนั้นยังไม่รู้เกี่ยวกับระบบการตั้งชื่อ ถ้าหากว่ารู้ก็คงตั้งชื่อให้ไปแล้ว…..คาเรนจังน่ะนะ เป็นเด็กประถมที่ช่วยเหลือมาระหว่างทาง…..ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ร่าเริงและเข็มแข็ง ช่วยทำให้มีกำลังใจกันเสมอเลย」

「งั้นเหรอ…..」

 

    บรรยากาศอึมครึมแผ่ขยาย แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมภายในรถ

    ในตอนนั้นเองที่ได้มองไปที่กระจกมองหลัง เห็นเธอกำลังเอามือเท้าคางมองออกไปด้านนอก

    …..คาเรน งั้นเหรอ

    ที่ได้ฟังเรื่องตอนคุณพ่อเจอกับคุณแม่ก็หลายปีจนเกือบจะลืมไปแล้ว แต่ว่าสาเหตุที่ผมตั้งชื่อซาชิกิวาราชิตนนี้ว่าเร็นกะ บางทีแล้วก็อาจจะเพราะเรื่องนี้มันยังคงฝังอยู่ที่ไหนซักแห่งในหัวก็เป็นได้…..

 

 

 

「ในที่สุดก็ถึงซะที~」

 

    หลังจากที่ถูกนำทางมาที่ห้องของโรงแรม ผมก็ลงไปนอนแผ่บนเสื่อทาทามิที่มีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรม

    ผมที่เป็นแบบนั้น ก็ถูกคุณแม่ที่กำลังเอาของออกมาจัดแจง มองมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

「ปวกเปียกจริงน้า~ กับแค่นั่งรถเฉยๆเอง」

「แต่มันเหนื่อยจริงๆนะ พักนี้ ถ้าได้ขยับตัวจะรู้สึกเหนื่อยน้อยลงแทนซะอีก」

「อ้าวแหม~ เริ่มจะพูดเหมือนคนจากชมรมกีฬาแล้วนะ ก็นะ เดาว่าคงมีสุขภาพที่ดีกว่าแต่ก่อนนั่นแหละ」

「เน่ พี่จ๋า ไปสำรวจกันหน่อยสิ สำรวจอะ」

 

    ไอที่มองไปรอบๆห้องกับเร็นกะราวกับว่าเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ เดินมาทางผมแล้วดึงแขน

 

「เอ๋~ ขอพักก่อนเถอะ」

「ไม่ได้หรอก มาเที่ยว 2 วัน 1 คืนใช่ไหมล่ะ? เวลาที่จะสามารถสำรวจกันดีๆได้ก็มีแค่วันพรุ่งนี้แล้วก็อีก 3 ชั่วโมงก่อนจะถึงอาหารเย็น เพราะงั้นต้องรีบไปกันแล้ว! เนอะ เร็นกะจัง?」

「ใช่ใช่ โฮ่ร่า เดี๋ยวจะร่ายเรสใส่ให้เอง」

「ช่วยไม่ได้น้า~」

 

    ขณะที่กำลังลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ คุณพ่อที่กำลังเปลี่ยนช่อง TV ไปมั่วๆ ก็หันมาบอก

 

「อย่าไปไหนไกลเพราะว่ายังไม่คุ้นทางกันล่ะ เร็นกะจัง ฝากช่วยดูพวกลูกๆของชั้นไม่ให้หลงทางด้วยล่ะ」

「รับทราบ วางใจได้เลย」

「…..ทำไมไม่บอกผมที่แก่กว่ากันล่ะ」

 

    บ่นอุบอิบขณะเดินออกจากห้องไป

    โรงแรมที่พวกผมเข้าพักอยู่นั้น สร้างอยู่ข้างๆกับลำธารใสสะอาด พอออกมาทางประตูหน้า ก็ได้เห็นสะพานขนาดใหญ่ที่ทาด้วยสีแดงสวยงาม พอข้ามสะพานแล้วเดินลงเนินเขา ในไม่ช้าก็มาถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีร้านขายของชำร่วยอยู่ตามทางมากมาย

    ตัวเมืองคับคั่งไปด้วยผู้คนซึ่งเหมือนกันกับพวกเรา ที่ถือโอกาศวันหยุด 4 วันสุดสัปดาห์แล้วมาเที่ยวแทนที่จะดูโอลิมปิก

 

「อะ อุทามาโร่ มีบ่อแช่เท้าด้วยล่ะ ไปพักกันซักหน่อยเถอะ!」

 

    ขณะที่กำลังมองดูของในร้านขายของชำร่วยทางนู้นทางนี้และถูกบังคับให้ซื้อของฝากเพื่อนของไอ เร็นกะก็ชี้นิ้วไปทางสุดถนน

    มองเห็นบ่อแช่เท้าและก็ร้านน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวกำลังพักผ่อนอยู่กับดังโงะและน้ำชา

    คาดเดาเจตนาของเธอได้ทันที จึงทำการหรี่ตามอง

 

「นี่เธอ ก็แค่อยากจะกินดังโงะไม่ใช่รึไง」

「เหะเหะ ความแตกซะแล้ว」

 

    เร็นกะแลบลิ้นแล้วหัวเราะออกมา และแน่นอนว่าไอก็ไปเข้าข้างเธอ

 

「ก็ดีนี่นา ไอเองก็อยากจะแช่เท้าเหมือนกัน」

「…..เอาเถอะ ผมเองก็ไปแช่ซักหน่อยด้วยก็ได้」

 

    พูดดังนั้นแล้ว ก็ทำการซื้อชุดดังโงะสำหรับ 3 คนแล้วไปแช่เท้า

 

「ฟู่~ แช่แค่เท้าแต่ก็รู้สึกดีจริงๆ」

「เท้าเองก็เหงื่อออกตอนหน้าร้อนเหมือนกันล่ะน้า~」

 

    ขณะที่พูดคุยกันแบบนั้นอยู่ จู่ๆชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆผมก็หันมามองแล้วตะโกน

 

「อะ นาย! คิทากาว่า อุทามาโร่!」

 

    หมอนี่ใครกันเนี่ย จู่ๆก็มาเรียกชื่อเต็มคนอื่น…..

    ขณะที่ผมกำลังทำหน้าตาสงสัยอยู่นั้น

 

「อะ นี่นาย จำชั้นไม่ได้สินะ? ชั้นเองไง ซาโต้ ยูจิน!」

 

    ……….? ใครหว่า?

    ชายหนุ่มร่างใหญ่พร้อมร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างดี แล้วก็มีใบหน้าที่ขึงขัง

    …..ไม่ไหว นึกไม่ออกจริงๆ

    มุขหลอกคนแนวใหม่รึเปล่าเนี่ย?

 

「ขนาดบอกชื่อแล้วก็ยังจำไม่ได้เลยเรอะ! ซาโต้ ยูจินที่ติดอันดับ 4 คนสุดท้ายในงานแข่งนักเรียนไงเล่า!」

「…..อะ! โอ้! ไม่เจอกันนานเลย」

 

    ในที่สุดก็นึกออกว่าเป็นใคร ผมรีบทำการโค้งศรีษะทันที

    จะว่าไปแล้ว ก็อยู่ด้วยนี่นา! ยูจิน! เพราะว่าคาแรคเตอร์ของอาจารย์กับอันนามันรุนแรงมากจนลืมไปเสียสนิทเลย

    พอเห็นผมเป็นแบบนั้น ยูจินซังก็ได้ทำท่าคอตก

 

「ยังไงซะ พอเทียบกับพวกนาย 3 คนแล้ว ชั้นมันก็ดูน่าเบื่อนั่นแหละ ในเน็ตเอง『ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ 4 จตุรเทพโรงเรียนที่ผู้คนไม่สามารถจำชื่อหรือหน้าตาได้』ก็ถูกคนเรียกกันแบบนั้น」

 

    ม-มีพูดกันแบบนั้นด้วยงั้นเหรอ แต่ในแง่หนึ่ง คิดว่ามันคงเหมือนกับที่คนจำ『ชายผู้ที่ไม่พลาดท่าสับมือของหัวหน้า*』แบบนั้นล่ะมั้ง?

    ถ้าเป็นตามปกติแล้ว 4 คนสุดท้ายของงานแข่งนักเรียนเนี่ย หลังจากที่ออกอากาศไปได้ซัก 1 อาทิตย์ คนก็ลืมกันไปหมดแล้วนั่นแหละ

 

「พูดก็พูดเถอะ ทำไมพวกนายถึงได้ทิ้งชั้นเอาไว้คนเดียวกันล่ะ? โหดร้ายน่าดูเลยไม่ใช่เหรอไง? ไม่สิ ก็เข้าใจได้ล่ะมั้ง? ก็ชั้นมันไหนจะเป็นคนเดียวที่อายุมากกว่าถึง 2 ปีแล้วก็เรียนจบม.ปลายแล้ว แล้วไหนจะฝีมือไม่เก่งอีก แต่ว่าแค่มาชวนกันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยใช่ไหม? ถึงจะเห็นเป็นแบบนี้แต่ก็ได้เลื่อนระดับเป็น 3 ดาวแล้วนะ? ชั้นเองก็พยายามน่าดูเลยรู้ไหม? นึกภาพออกไหมตอนที่มีเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่มหาวิทยาลัยเข้ามาบอกว่า『ซาโต้ซังที่เป็น 4 คนสุดท้ายในงานแข่งนักเรียนสินะคะ? ถ้างั้นก็หมายความได้ช่วยจับตัวผู้ใช้หมาล่าเนื้อด้วยกันกับท่านซึบาสะใช่ไหมคะ? สุดยอดไปเลย! ชื่นชมจริงๆค่ะ! 』พูดมาขณะที่ทำตาเป็นประกาย เข้าใจความรู้สึกของชั้นไหม? เปล่าครับ ผมไม่ได้ถูกชวนไปด้วย…..ตอนที่ตอบกลับไป『อา…..』กับบรรยากาศแบบนั้นน่ะ! เอาจริงๆนะ แทบจะทนไม่ได้เลย! หลังจากงานแข่ง ทั้ง 4 คนสุดท้ายต่างก็แลกข้อมูลติดต่อกันไว้ แต่มีแค่ชั้นเท่านั้นที่ไม่ได้ยินใครติดต่อมาเลย! ตอนที่ติดต่อคันนาซูกิกับนายไปก็มีตอบกลับมาปกติอยู่ แต่กับคาโน่ซังมีแค่อ่านข้อความแล้วทำเมินไปเลย! พวกนายทั้ง 3 คนต่างก็ติดต่อกันเป็นประจำใช่ไหม? รู้รึเปล่าว่ามันเจ็บปวดขนาดไหนตอนที่รู้น่ะ? มันไม่ไหวแล้วนะแบบนั้น! นี่มันแกล้งกันชัดๆแล้ว! ขอร้องล่ะ กรุณาชวนชั้นไปด้วยเถอะ!」

「ข-ขอโทษด้วยจริงๆ」

 

    ยูจินซังที่จ้องเขม็งมาพร้อมพ่นคำบ่นมาเป็นชุด ที่ผมทำได้ก็มีแต่ก้มหัวให้เท่านั้น

 

「แบบว่า ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่ารุ่นพี่ซาโต้จะอยากมีส่วนร่วมในเรื่องของผู้ใช้หมาล่าเนื้อขนาดนั้น…..」

 

    จู่ๆ ยูจินซังก็ลดโทนเสียงลง

 

「อา ไม่หรอก ถึงจะมาชวนด้วยก็คงตอบปฏิเสธไปนั่นแหละ ก็มันน่ากลัวออกที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับฆาตกรต่อเนื่องใช่ไหมล่ะ?」

「นายนี่มันเอาไงกันแน่เนี่ย」

 

    ผมถึงกับหลุดปากลืมใช้ภาษาสุภาพ

    อยากจะมีส่วนร่วม หรือไม่อยากจะมีส่วนร่วม อันไหนกันแน่

 

「ต่อให้ชวนมาก็คงจะปฏิเสธกลับไป แต่ก็อยากจะให้มาชวนในฐานะพรรคพวก 4 คนสุดท้าย เข้าใจรึเปล่า? ในความรู้สึกอันละเอียดอ่อนอันนี้」

「ไม่ โคตรน่ารำคาญเลย!」

 

    พูดมาแนวเดียวกับซุซูกะของผมเลย ไอ้ของแบบนี้ถ้าเป็นผู้หญิงน่ารักมันก็พอจะรับได้หรอก แต่พอเป็นผู้ชายหน้าหยาบอย่างนายมาทำแล้วมันโคตรน่ารำคาญเลย!

 

「จะว่าไปแล้วแต่มีเรื่องที่สงสัยอยู่อย่าง ทางนั้นน้องสาวของนายงั้นเหรอ?」

「อะ ใช่แล้ว น้องสาวแล้วก็เพื่อนของเธอน่ะ」

「หื้~ม」

 

    ยูจินซังพิจารณาไปที่ใบหน้าสวยสมบูรณ์ของไอ กับเร็นกะที่จัดท่าหมวก

 

「…..คิทากาว่าเองก็มีภูมิหลังครอบครัวที่ซับซ้อนเหมือนกันสินะ」

「ไม่ใช่ลูกเลี้ยงซักหน่อย! เป็นน้องสาวจริงๆต่างหาก!」

 

    หยาบคายซะจริงเชียว! …..ถึงแม้ว่าแทบทุกคนที่ได้เห็นผมกับไอแล้วจะมีความคิดแบบเดียวกันก็เถอะ!

 

「จะว่าไปแล้ว คิทากาว่าจะเข้าร่วมไอ้นั่นรึเปล่าล่ะ?」

「จู่ๆก็อะไรขึ้นมา…..ไอ้นั่นมันอะไรล่ะ?」

 

    คนๆนี้เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยๆทำเอาเหนื่อยจริงๆ…..ขณะที่คิดอยู่เช่นนั้นก็เอียงคอ ทำให้ทางเขาก็เอียงคอกลับมาเช่นกัน

 

「อาเร๊ะ? หรือว่าจะไม่รู้? ในช่วงนี้ถ้าเป็นนักผจญภัยแล้วล่ะก็ มันก็แค่ไอ้นั่นเท่านั้นเลยนะ」

「เป็นอะไรของมอนโคโลรึเปล่า?」

「หื้~ม ไม่รู้เรื่องจริงๆสินะ ไม่ได้ยินอะไรมาจากคันนาซูกิหรือคาโน่เลยงั้นเหรอ?」

「ก็แล้วไอ้นั่นมันอะไรกันล่ะ?」

 

    ผมเริ่มจะถามไปด้วยความรำคาญ แล้วยูจินซังก็ยิ้มกว้าง

 

「โฮ่โฮ่~ อยากจะรู้งั้นเหรอ?」

「…..ใช่」

 

    แล้วจู่ยูจินซังก็ ฮะ! ทำหน้าเข้ม

 

「แต่ว่าไม่บอกหรอกกกกก!! ทั้งๆที่ทิ้งชั้นเอาไว้นอกกลุ่มแต่พอมาตอนนี้จะมาขอให้ชั้นช่วยบอกอะไรให้ มันจะเห็นแก่ตัวกันเกินไปหน่อยแล้ว!!」

 

    ร-รำคาญโว้ย…..

    ขณะที่ตรงขมับของผมเริ่มจะมีเส้นเลือดปูด ยูจินซังจู่ๆก็มีท่าทางกระสับกระส่าย…..

 

「แต่ว่า ถ้าหาก จากนี้ไปมาชวนกันด้วย จะบอกให้ก็ได้เอาไหม…..? 」

「งั้นก็ช่างมันเถอะ」

「ทำไมกันล่ะ!?」

 

    ไม่ล่ะ หลังจากการพูดคุยกันสั้นๆ นายมันก็ได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อของคนที่ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว…..

    พวกเรียกร้องความสนใจมีแค่ซุซูกะก็พอแล้ว

 

「แล้วจะเสียใจ ต่อให้มาขอร้องทีหลังมันก็สายไปแล้ว!」

 

    ด้วยคำพูดส่งท้ายนั้น ยูจินซังก็วิ่งเตลิดออกไป

    ขณะที่มองแผ่นหลังของเขา ไอก็พูดขึ้นมาเบาๆ

 

「…..เพื่อนของพี่จ๋าเนี่ย มีแต่คนแปลกๆเต็มไปหมดเลยนะเนี่ย」

 

    ผมอยากจะปฏิเสธไป แต่แล้วใบหน้าของคู่หูตะวันออก-ตะวันตก และทุกคนในชมรมนักผจญภัย มันลอยมาในหัว ทำให้พูดอะไรไม่ออก

    พอเห็นผมเป็นแบบนั้น ยัยซาชิกิวาราชิที่แปลกที่สุด ก็หัวเราะคิกคักออกมา

 

 

 

【Tips】ซัมมอนเนอร์(summoner)

    ระหว่างแองโกลมัวร์ครั้งที่ 1 เหล่าผู้ที่บังเอิญมีการ์ดไว้ในครอบครอง และขณะที่กำลังถูกโจมตีจากมอนสเตอร์ ก็ได้ค้นพบวิธีการใช้งานมัน

    ผู้ใช้การ์ด, ผู้อัญเชิญ, ผู้ทำสัญญา พวกเขามีถูกเรียกเช่นนั้น

    ตัวตนของพวกเขานั้น จะบอกว่ามีส่วนช่วยสร้างสังคมนักผจญภัยที่พวกเรารู้จักกันดีในปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปนัก

    ซัมมอนเนอร์ส่วนใหญ่แล้ว จะกระทำการเพื่อปกป้องผู้คนจากมอนสเตอร์ ทว่าก็มีบางส่วนที่เข้าใจตัวเองผิด คิดว่าตนเองคือผู้ที่ถูกเลือกและกระตือรือร้นที่จะสร้างกองกำลังของตนเอง หรือใช้พลังนั้นเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง

 

 

 

 

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

ชายผู้ที่ไม่พลาดท่าสับมือของหัวหน้า / 団長の手刀を見逃さなかった人

จาก Hunter x Hunter มังงะตอนที่ 96

นักฆ่าของกลุ่มมาเฟียที่ดูกล้องรักษาความปลอดภัยแล้วเห็นคุโรโรใช้ท่ามือสับ ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าจะมีความสามารถสูง แต่กลับไม่ปรากฏชื่อ แถมไม่มีฉากต่อสู้ แค่ออกมาตายเฉยๆ

https://dic.pixiv.net/a/団長の手刀を見逃さなかった人

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

Score 10
Status: Completed
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ในโลกคู่ขนานของญี่ปุ่น จู่ๆ เขาวงกตได้ปรากฏขึ้น ที่ซึ่งมอนสเตอร์โผล่ออกมา ในช่วงแรกเริ่มนั้นเขาวงกตไม่ได้ต่างอะไรไปจากภัยพิบัติ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยทรัพยากรที่เขาวงกตผลิต และตัวตนของ 'การ์ด' ที่ตกจากมอนสเตอร์ กลายเป็นช่วงแห่งการกอบโกย การ์ดมอนสเตอร์ที่สามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาได้ดั่งใจนึก เหล่านักผจญภัยที่ใช้พลังของการ์ดเพื่อพิชิตเขาวงกต ถ่ายทอดสถานการณ์เหล่านั้นด้วยดันเจี้ยนTV, โคลอสเซียมที่มอนสเตอร์ต่อสู้กัน..... สิ่งเหล่านี้กระตุ้นความสนใจในตัวผู้คน แล้วก่อนที่จะรู้ตัวนักผจญภัยก็กลายเป็นอาชีพที่ผู้คนใฝ่ฝันจะเป็น คิทากาว่า・อุทามาโร่ เด็กม.ปลายสายม็อบ เห็นเพื่อนที่น่าจะเป็นสายม็อบเดียวกัน หลังจากที่เป็นนักผจญภัยแล้วกลับถีบตัวไปอยู่ในกลุ่มท็อบได้ จึงตัดสินใจที่จะเป็นนักผจญภัยด้วยตัวเอง อุทามาโร่ เพื่อที่จะได้แรร์การ์ดไปอวดทุกคนได้จึงเดิมพันชีวิตกับกาชาสุดบ้าระห่ำราคา 1 ล้านเยน ทว่า---?

Options

not work with dark mode
Reset