เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย 43 ไล่ตามคนตาย

ตอนที่ 43 ไล่ตามคนตาย

บทที่ 2 ตอนที่ 17 ไล่ตามคนตาย

 

    ปรับความรู้สึก ทางนี้เองก็ต้องเริ่มทำการค้นหาไปด้วย

    ในตอนนั้น ก็เกิดความคิดขึ้นมา

    ใช่แล้ว อุตส่าห์มีโอกาศทั้งทีมาลองอัญเชิญวงศ์วานแท้จริงของยูคิดีกว่า

    นำการ์ดไลแคนโทรป 1 ใบออกมาจากกระเป๋า

    การ์ดใบนี้ มีช่วงเวลายากลำบากในการตัดสินใจว่าจะใช้เป็นแนวทางในการทำเงินไว้ชุบชีวิต หรือว่าจะใช้เพื่ออัญเชิญวงศ์วานแท้จริงของยูคิดี

    ผมในตอนแรก คิดแค่ว่าการ์ดใบนี้เอาไว้เพื่อขายเท่านั้น

    แต่ว่าถ้าขายไลแคนโทรปไปตอนนี้ การที่จะใช้อัญเชิญวงศ์วานแท้จริงของยูคิก็จำเป็นต้องไปลงสำรวจเขาวงกตจนกว่าไลแคนโทรปจะดรอปอีก หรือไม่ก็ไปซื้อจากกิลล์ในราคาปกติ

    ถ้างั้นแล้ว ต่อให้ต้องใช้เวลาเพิ่ม มันก็น่าจะดีกว่าสำหรับอนาคตที่จะหาหนทางอื่นในการหาเงินเพื่อชุบชีวิตพวกเอลิซ่า

    …..เหนือสิ่งอื่นใด พลังของอัญเชิญวงศ์วานแท้จริงจะต้องเป็นกำลังไว้ใช้เพื่อรับมือกับผู้ใช้หมาล่าเนื้อได้แน่ๆ

    แต่ถึงอย่างนั้น จะลองใช้แค่ 1 ใบตรงนี้พอ ถ้าหากว่ามีเหลืออยู่ 1 ใบแล้วรวมกับเงินทุนที่มีก็จะสามารถซื้อซาชิกิวาราชิได้

    ไม่ว่าจะทางไหน ต่อให้ขายหมดทั้ง 2 ใบก็ไม่พอที่จะซื้อแวมไพร์สาวกับซาชิกิวาราชิอยู่ดี

    ถึงการชุบชีวิตของเอลิซ่าจะยังอีกห่างไกล แต่การฟื้นคืนก็ไม่เกินเอื้อม

    เพราะงั้นแล้ว

 

「ยูคิ รับนี่ไปสิ」

「! นี่มัน…..ขอบพระคุณมากฮะ จะแสดงให้เห็นว่ามีประโยชน์ขนาดไหนให้ดูเองฮะ」

 

    ยูคิมองเห็นการ์ดไลแคนโทรปที่ผมยื่นให้แล้วรับไปด้วยความนอบน้อม

    เอาล่ะ จากนี้ไปจะทำยังไง…..แล้วขณะที่ผมเฝ้ามองอยู่ตรงหน้า เธอก็-ง่ำง่ำ-เคี้ยวการ์ดแล้วกลืนลงไป

    แบบนี้มันทำเอาผมเองตกใจไปด้วย

    ไอ้การกลืนกินการ์ดไปมันก็เรื่องนึง แต่ไอ้การที่การ์ด ที่นอกจากการลอสแล้วไม่สามารถทำลายด้วยไม่ว่าจะใช้อาวุธสมัยใหม่อะไรก็ตาม กลับสามารถเคี้ยวมันได้นี่สิ

 

「…..อืม มาสเตอร์ เท่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้วฮะ สามารถรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว」

「งั้นเหรอ…..ถ้างั้นมาลองกันเลยได้ไหม?」

「ฮะ!—–อาวู้วววววว!」

 

    ด้วยเสียงหอนของยูคิ เกทที่เหมือนกันกับทางเข้าเขาวงกตได้ปรากฏขึ้น แล้วก็มีร่างหนึ่งโผล่มาจากภายใน

    การอัญเชิญการ์ดและอัญเชิญวงศ์วานต่างก็มีเอฟเฟคเฉพาะตัว

    ถ้าเกิดมีกรณีที่เอฟเฟคดันไปเหมือนกับการอัญเชิญการ์ดแล้วล่ะก็ มันคงไม่สามารถเอาไปใช้ในมอนโคโลได้

    แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้เอาไปใช้ในมอนโคโลก็จะไม่มีใครหาว่าผมโกง

    …..ก็นะ บางทีมันจะเกิดเป็นคำถามแทนว่า การอัญเชิญวงศ์วานแบบไหนกันที่สามารถอัญเชิญเผ่าเดียวกันออกมาได้

    ในที่สุดแสงสว่างก็หายไป มีชายหนุ่มผมสีดำหน้าตาดุดันยืนอยู่ตรงนั้น

    ส่วนสูงเกินกว่า 190 ซม. พร้อมร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างดี มีลักษณะเช่นเดียวกับภาพบนการ์ด

    แล้วไม่รู้ว่าทำไม ชายผมดำที่มีสายตาเฉียบคมกำลังจ้องมองผมเขม็งอยู่

 

「…..เฮอะ แกน่ะเหรอท็อปของกลุ่ม?」

 

    พอมนุษย์หมาป่าผมสีดำมองเห็นผมก็ฮึดจมูก แล้วเริ่มพูดดูถูกมา

 

「ดูเหมือนว่าจะได้ผู้หญิงที่อยู่ด้านนี้เป็นคนดูแลสินะ แต่ว่า อย่าได้เข้าใจผิดไปล่ะ? ข้าน่ะไม่มีความตั้งใจจะแกว่งหางให้กับใครที่มันอ่อนแอกว่าหรอก ถ้าหากต้องการจะยืมพลังของข้าแล้วล่ะก็—-」

 

    ถึงตรงนั้น คำพูดของมนุษย์หมาป่าผมสีดำก็หยุดลง

    ไม่ได้หยุดพูดแต่อย่างใด

    แต่เพราะเท้าของยูคิ เสียบเข้าไปที่ท้องน้อยของมนุษย์หมาป่าผมสีดำด้วยความรุนแรงมหาศาล

 

「—-อุอ่อคค่อก!?」

 

    ร่างกายงอเป็นรูปเครื่องหมาย < มนุษย์หมาป่าผมสีดำลอยไปในอากาศพร้อมกระอั่กเลือด

    ขณะที่ผมกำลังเงยหน้ามองดูด้วยสีหน้าว่างเปล่า ทางยูคิก็จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา

    จนในที่สุดมนุษย์หมาป่าผมสีดำร่วงลงพื้นดังตุ๊บ

 

「อ๊ากก!」

 

    แล้วยูคิก็กระทืบหัวเขาซ้ำอย่างเรียบเฉย

 

「ค่อกค่อก…..ก-แก」

「ทำไม」

 

    น้ำเสียงของยูคิเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง

    ตัวเธอที่ไม่เคยเห็นมาจนถึงตอนนี้ ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก

 

「ทำไมคนที่อยู่ตำแหน่งต่ำที่สุดในกลุ่มอย่างแก ถึงได้วางท่าใหญ่โตออกมา? รู้รึเปล่าว่ากำลังพูดอยู่กับใคร?」

「อุ…..」

「ทำไมไม่พูดอะไรมาล่ะ? หรือว่า จะเป็นพวกงี่เง่าที่แม้แต่แบบนี้ก็ยังไม่เข้าใจถึงความต่างชั้นของพลังกัน?」

 

    คำของยูคิเริ่มมีความผิดหวังจริงๆผสมเข้ามา ในขณะเดียวกันจิตสังหารก็ค่อยๆรุนแรงมากขึ้น

    และแล้วมนุษย์หมาป่าผมสีดำก็-อึก-ถึงกับกลืนน้ำลาย…..

 

「ข-เข้าใจแล้ว ข-ขอยอมรับ……ว่าพวกเธอคืออัลฟ่าและเบต้าของกลุ่ม จะไม่ ขัดคำสั่งอีกแล้ว…..」

 

    ยูคิพยักหน้า

 

「ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ถ้างั้นจะให้ชื่อชั่วคราวกับแกล่ะกัน ชื่อของแกคือ คุโร่ ชอบรึเปล่าล่ะ?」

「ข-เข้าใจแล้ว」

「งั้นก็ดี …..เอาล่ะ ไปสำรวจพื้นที่รอบๆซะ ให้ไวเลย」

「รับ, ทราบ…..」

 

    แล้วมนุษย์หมาป่าผมสีดำ…..คุโร่ก็เดินด้วยฝีเท้าโซซัดโซเซออกไปทำการสำรวจ

    ยูคิมองส่งด้วยสายตาเย็นชา

    ขณะที่ตัวผมกำลังแข็งทื่อจากความเป็นไปอันรุนแรง ยูคิก็หันกลับมาพร้อมก้มหัวอย่างต่ำให้

 

「มาสเตอร์ ที่ลูกน้องของผมทำตัวเสียมารยาท ต้องขอประทานอภัยอย่างสูงฮะ」

「…..เอ๋? อะ อา ไม่หรอก ไม่ต้องใส่ใจไป…..ว่าไปแล้ว เอ๋? ทำไมจู่ๆถึงทำรุนแรงล่ะ…..?」

 

    ยูคิยกหัวขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง

 

「ฮะ นั่นมันก็แน่นอน เป็นการฝึกระเบียบฮะ! พวกที่ไม่เชื่อฟังสิ่งที่ท็อปของกลุ่มพูดเนี่ยไม่มีความจำเป็นหรอก! ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะลองฆ่าดูตรงนี้เพื่อทดสอบว่าโทเค็นสามารถคืนชีพได้ไหม ต้องใช้เวลาแค่ไหนในการฟื้นฟู อยากจะทำให้รู้ก่อนหน้าที่จะสู้กับผู้ใช้หมาล่าเนื้อ แต่ก็พิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่สามารถคืนชีพได้ก็เลยตัดสินใจหยุดไปฮะ」

「ย-อย่างงี้นี่เอง…..?」

 

    ผมพยักหน้าให้อย่างเก้ๆกังๆ

    ไม่สิ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นกังวลซักหน่อย นี่คาแรคเตอร์ของยูคิมันแตกต่างไปจากที่ผ่านๆมามากเกินไปรึเปล่า…..เอ๋? หรือว่าจะเป็นเพราะการแรงค์อัพ?

    เอลิซ่าเองพอได้เป็นแวมไพร์ก็เริ่มมีนิสัยชอบพิธีการ การ์ดที่เอามาใช้แรงค์อัพคงจะมีผลกระทบด้วยรึเปล่านะ?

    ขณะที่ผมสับสนอยู่ตัวคนเดียว ยูคิก็-ห๊ะ-ทำหน้าตกใจแล้วก้มหัวให้อีก

 

「อะ ขอโทษฮะ! บางทีแล้วมีความเป็นไปได้ว่าผู้ใช้หมาล่าเนื้อจะทำการโจมตี ควรจะปรึกษากับมาสเตอร์ก่อนที่จะฝึกระเบียบ ต่อให้เป็นแค่หมาไร้ประโยชน์ก็ยังใช้เป็นกำแพงเนื้อได้….. ต้องขออภัยที่ทำอะไรเห็นแก่ตัวด้วยฮะ!」

「อา อืม…..พอได้แล้วล่ะ」

 

    แล้วผมก็ยอมแพ้

    พอมาคิดดูแล้ว ได้ยินมาว่าสัตว์จำพวกหมาป่ามีความเข้มงวดในเรื่องลำดับชั้นมาก

    บางทีแล้วมันอาจจะเป็นด้านที่ไม่รู้จักของยูคิที่ไม่มีโอกาศได้โผล่ออกมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นได้ ตัดสินใจยอมรับมันเอาไว้

    จนถึงตอนนี้เธอไม่ทำตัวโดดเด่นเพราะว่าอยู่ภายใต้ผมที่เป็นจ่าฝูง แต่ในตอนนี้เธอมีฝูงของตัวเองแล้ว ความรุนแรงในฐานะสัตว์ป่าก็เลยเพิ่งโผล่ออกมา ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

    ยูคินั้น มีความเข้มงวดอย่างมากต่อลูกน้องที่ไม่เชื่อฟัง

    ผมจะจำมันเอาไว้ขึ้นใจเลย

 

    หลังจากนั้นก็ผ่านไปซักพัก

 

    หลังจากทำการค้นหาในพื้นที่ของผมแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย

    พวกยูคิที่เป็นหมาป่าซึ่งมีประสาทสัมผัสด้านกลิ่นที่ดี และใช้วิชานินจาในการค้นหารวบรวมข้อมูล แต่ก็ยังไม่พบอะไร เพราะงั้นแล้วน่าจะไม่มีเบาะแสอะไรภายในพื้นที่ส่วนนี้ตั้งแต่แรก

    ด้วยเหตุนี้จึงให้คุโร่กลับไปแล้วมุ่งไปยังจุดนัดพบซึ่งอันนาก็ดูจะเพิ่งมาถึงเช่นกัน

    ทางนั้นก็ดูจะเพิ่มกำลังคนในการค้นหาจากการที่เรียกสาวเอลฟ์ที่เคยต่อสู้ด้วยออกมาแล้ว

    ผมทำการถามอันนา

 

「อันนา เป็นยังไงบ้าง?」

 

    เธอชำเลืองมองมาที่ซุซูกะที่ทำท่าเบื่อหน่ายอยู่ก่อนจะทำการตอบ

 

「ก็น้า ไม่ได้เรื่องส์อะไรเลย…..จากที่ใช้เอลฟ์ที่เป็นผู้อาศัยภายในป่าในการค้นหาแล้วยังไม่พบอะไรเลย นั่นก็หมายความว่าไม่มีอะไรน่ะสิ」

「ทางนี้ก็เหมือนกัน」

 

    ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ประสาทรับรู้อันเฉียบคมของยูคิก็ได้แจ้งเตือนถึงใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา

    สงสัยว่าโอริเบะจะกลับมาแล้วก็เลยหันไปมองดูแบบไม่คิดอะไรแล้วก็ต้องสะดุ้ง

    เสียงร้องกรี๊ดของอันนาก็ดังมาจากข้างๆ

    โอริเบะที่กลับมาได้นำยักษ์สาวน่าเกลียดร่างเละจนยากที่จะเชื่อได้ว่ามาจากโลกใบนี้….. โยโมะซึชิโคเมะออกมาด้วย

    ผิวมีสีน้ำตาลแดงคล้ำราวกับศพจมน้ำที่ขึ้นอืดไปมากแล้ว ทั่วทั้งร่างบวม เส้นผมร่วงเป็นกระจุก แม้แต่ชุดโบราณที่สวมอยู่ก็น่าเกลียดมากชวนให้นึกถึงผิวหนังที่ลอกออก….. ใบหน้านั้นเน่าเปื่อยและส่วนที่เป็นจมูกได้หายไปเปิดให้เห็นเป็นโพรงชัดเจน ดวงตากลายเป็นฝ้าขาวทำให้ยากที่จะเห็นว่ากำลังจ้องมองไปทางไหนอยู่

    พริบตาที่เธอปรากฏตัวออกมา กลิ่นที่เหมือนไข่เน่าแต่รุนแรงกว่าซัก 10 เท่าได้ก็ลอยมากระแทกจมูก ถ้าลองมองดูจะเห็นว่าทางที่เธอเดินผ่าน เหล่าต้นไม้ได้เหี่ยวเฉา ตาย กลายเป็นสีดำและเริ่มสลายไปอย่างรวดเร็ว

    ราวกับว่าเป็นอะไรที่โผล่ออกมาจากหนัง

    อันที่จริง บางทีตัวเธอคงเป็นเทพแห่งคำสาปเองก็เป็นได้

    น-นี่ก็คือแรงค์ D ที่แข็งแกร่งที่สุด, มอนสเตอร์สุดไม่นิยมหมายเลข 1, โยโมะซึชิโคเมะงั้นรึ

    เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงครั้งแรก รุนแรงอะไรจะขนาดนี้…..ถึงแม้หากคำนึงในด้านความสามารถแล้วจะเทียบเท่าได้กับแรงค์ C ก็ตาม แต่เรื่องที่ไม่มีใครอยากจะได้นี่ก็ไม่น่าแปลกใจเลย

    กับโอริเบะที่สามารถรับมือกับโยโมะซึชิโคเมะโดยไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดว่ามีความชอบในเรื่องสยองขวัญอย่างที่สุดจริงๆ

 

「ขอโทษที่ให้รอ」

「อ-อา…..แล้ว โอริเบะเจอเบาะแสอะไรไหม?」

「อา」

 

    ทำการถามแทนอันนาที่ตัวแข็งทื่อไปแล้ว ทางโอริเบะก็นำถุงซิปล็อคออกมาจากกระเป๋า ข้างในนั้น…..มีเครื่องประดับที่ทำออกมาลักษณะคล้ายกับเขาวงกต

 

「สิ่งนี้ถูกฝังอยู่ในดิน」

「นี่มัน…..เครื่องรางของสมาคมพระแม่ดารางั้นรึ」

 

    อันนาพูดในขณะที่พยายามกันตัวโยโมะซึชิโคเมะออกไปให้พ้นจากสายตาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    พอพูดบอกมาแบบนั้นก็เลยลองจ้องไปที่เครื่องประดับนั้นใกล้ๆ แล้วจึงเริ่มจะรู้สึกว่ารูปแบบของมันไปคล้ายๆกับเครื่องหมายของสมาคมพระแม่ดารา ที่มีรูปดาวอยู่ตรงกลางเขาวงกต

 

「เป็นของที่คนร้ายทำตกเอาไว้ส์เหรอ?」

「ไม่รู้สิ….. อาจจะเป็นเหยื่อทำตกไว้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นของนักผจญภัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยทำตกไว้ก็ได้」

 

    โอริเบะยักไหล่แล้วพูด

 

「เอาเป็นว่าตอนนี้ ไปดูตรงที่เจอมันก่อนละกัน」

 

    อยากจะรู้ว่ามันฝังอยู่แบบไหน แล้วก็อาจจะเจออะไรอีกก็ได้

    แล้วพวกเราก็ตัดสินใจมุ่งไปยังจุดที่โอริเบะเจอเครื่องรางอันนี้

 

 

「ตรงนี้แหละ มันถูกฝังอยู่ครึ่งหนึ่งอยู่ตรงนี้」

 

    พอพูดแล้ว โอริเบะก็นำเครื่องรางออกจากถุงซิบล็อคแล้วนำไปฝัง โดยมีบางส่วนที่เหลือโผล่ขึ้นมาเหนือดิน

    ทำการก้มลงมองดู

    นี่มัน แทนที่จะเป็นการตั้งใจฝัง น่าจะเป็นของตกหล่นที่ถูกเหยียบแล้วจึงถูกปกคลุมด้วยดินไปตามธรรมชาติมากกว่า

    อย่างน้อย มันก็เป็นการยากที่จะหาเครื่องรางนี้เจอได้ เว้นแต่จะมองหามันมากพอ

    ถ้ามันชัดเจนว่าเป็นการถูกฝังไว้ก็คงได้เป็นไดอิ้งเมสเซส(dying message) ที่เหยื่อทิ้งเอาไว้แน่ แต่ ณ จุดนี้มันดูจะเป็นแค่ของที่ถูกทำหล่นเฉยๆไป

    …..แต่ถ้าหากคนที่ทำตกเอาไว้คือคนร้ายแล้วล่ะก็ นี่จะได้เป็นเบาะแสชิ้นสำคัญเลยทีเดียว

    แต่อย่างที่คิด กับผู้ใช้หมาล่าเนื้อที่ระวังตัวในการลบข้อมูลของตัวเองมาจนถึงตอนนี้ จะสวมใส่เครื่องประดับที่สามารถสาวไปถึงตัวได้ขณะที่ก่ออาชญากรรมด้วยงั้นเหรอ? นั่นคือคำถาม

    ก็นะ ถ้าหากว่าบอกว่ามันคือ『ความศรัทธา』ก็เป็นไปได้

    และ ในตอนนั้นเอง

 

「…..หืม?」

 

    ที่ตรงมุมสายตา รู้สึกเหมือนเห็นใครบางคนจึงทำการหันไปดู

    อะไรกัน? มันไม่น่าจะมีใครอื่นนอกจากพวกเราในที่นี่

    อีกทั้งประสาทสัมผัสของพวกยูคิก็บอกมาเช่นนั้น

 

「เป็นอะไรไปเหรอส์คะ? รุ่นพี่?」

「ไม่หรอก เมื่อกี้นี้มีเงาคน…..」

「…..!? หรือว่าเป็นผู้ใช้หมาล่าเนื้อ!?」

 

    อันนาแตกตื่นทำการมองดูไปรอบๆ

 

「……….ไม่น่า ดูเหมือนจะไม่มีใครส์นะคะ? ต้องขอโทษด้วยแต่ว่าคิดไปเองรึเปล่าส์?」

「การ์ดของชั้นเองก็ไม่มีปฏิกริยาอะไรด้วย…..」

「อืม…..คงจะคิดไปเอง…..! ไม่! ตอนนี้ อีกแล้ว!」

 

    พอพวกอันนาพูดมาก็คล้อยตามแต่ว่าคราวนี้เห็นเงาคนชัดเจน จึงรีบลุกขึ้นในทันที

    เค้าโครงของผู้หญิงกำลังวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้

    ไม่คิดเลยว่าจะหลบการตรวจจับของพวกยูคิแล้วเข้าใกล้ถึงขนาดนี้ได้! ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ!

 

「ไล่ตามไป!」

「เอ๋…..?  อะ ค่ะ」

「…..?」

 

    บางทีคงเพราะไม่ได้เห็นผู้หญิงที่วิ่งหนีไป พวกอันนาก็เลยตอบสนองช้าในการไล่ตามตัวผู้หญิงนั้น

    เทียบกับฝีเท้าของมนุษย์แล้ว การ์ดอย่างพวกยูคิจะมีความไวกว่า

    น่าจะตามตามทันได้ในไม่ช้า แต่ว่า…..

 

「โธ่เว้ย! คลาดไปแล้ว!」

 

    ดูเหมือนว่าจะออกไล่ตามช้าเกินไป เลยทำให้มองไม่เห็นร่างของหญิงสาวแล้ว

    รอบๆเองก็ดูจะไม่มีการ์ดอะไรอยู่ บางทีคงจะเคลื่อนย้ายไปแล้วด้วยการ์ดอย่างลี้ภัยฉุกเฉิน

    รู้สึกเจ็บใจที่ปล่อยให้เบาะแสสำคัญหลุดมือไป

 

「…..! อีกแล้ว!」

 

    ราวกับว่ากำลังเล่นตลกอยู่กับทางนี้ หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

    แล้วเธอก็วิ่งไปอีกโดยที่ไม่ใช้การ์ดอะไร

    แต่ว่า…..

 

「…………………………」

 

    พอได้เห็นรูปร่างนั่นแล้ว คราวนี้กลับไม่ได้ติดตามไปในทันที

 

「รุ่นพี่? เป็นอะไรไปเหรอส์คะ?」

「…..ห-เห็นรึเปล่า?」

 

    อันนามองมาทางนี้ด้วยความสงสัยจึงได้ถามกลับไป

 

「เอ๋? อะไรเหรอคะ…..?」

「…..ใบหน้า ของผู้หญิงเมื่อกี้นี้」

「เอ๋? โผล่มาอีกแล้วเหรอส์คะ!? ถ้างั้นต้องรีบตามไปทันทีเลย!」

「ไม่ใช่…..」

「เป็นอะไรไปกันคะ? สีหน้าดูซีดเชียว?」

 

    พอได้ยินเสียงโอริเบะ ผมก็นไสมาร์ทโฟนออกมาตรวจสอบข้อมูลเควส

    ในนั้น มีรูปถ่ายใบหน้าของซาโต้ โชโกะซังอยู่

    เป็นผู้หญิงเรียบง่ายมีผมสีดำตัดทรงบ๊อบสั้น ไม่ได้แต่งหน้า

 

    —-เงาคนที่วิ่งหนีไปนั้น มีใบหน้าเดียวกันกับของซาโต้ โชโกะซังอยู่

 

「ย-ยังไงซะตอนนี้ไล่ตามไปก่อน…..!」

「อะ ค่ะ」

 

    ด้วยความสับสนก่อขึ้นในหัว คำพูดที่พอจะเค้นออกมาได้จึงมีแค่นั้นในขณะที่ไล่ตามเงาคนไป

    ทำไมเป็นซาโต้ โชโกะซัง? ยังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ? พอมาคิดดูแล้ว ยังไม่เคยมีการพบศพ เป็นแค่การสูญหาย แต่ว่า ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่? เป็นพวกเดียวกันกับคนร้ายงั้นเหรอ? หรือว่า ยอมร่วมมือเพราะคำขู่?

    ภายในหัวเกิดคำถามขึ้นมากมาย

    แต่ว่า สิ่งที่ยิ่งน่าสงสัยกว่าก็คือสภาพของเธอ

    ถึงแม้จะถูกวิ่งไล่ตาม แต่ก็ไม่ได้ใช้การ์ดในการหนีเลย เพียงแค่วิ่งด้วยกำลังของตัวเอง

    ก็คิดว่าเป็นการเชิญชวนทางนี้ แต่ไม่ว่าจะมองดูยังไงก็เป็นการวิ่งแบบไม่คิดชีวิต….. ท่าทางในตอนที่หันหลับมามองเป็นระยะๆนั้นราวกับว่าหากถูกจับได้จะต้องตายแน่ๆ

    ถึงแม้ผมจะลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปแล้วเรียกเธอ

 

「…..รอเดี๋ยวก่อน! ช่วยฟังเรื่องที่จะพูดด้วย!」

 

    …..เปล่าประโยชน์ ไม่มีการตอบสนอง บางที อาจจะคิดว่าทางนี้เป็นพวกเดียวกันกับผู้ใช้หมาล่าเนื้อล่ะมั้ง?

 

「ซาโต้ โชโกะซังใช่ไหมครับ!? พวกเราคือนักผจญภัยที่รับเควสค้นหาผู้สูญหาย! มาตามหาคุณอยู่ะครับ!」

 

    ถึงแม้จะส่งเสียงดังขึ้น ตัวเธอก็ไม่ตอบสนอง

    ในบางครั้งจะหันกลับมามองทางนี้ด้วยสีหน้าตื่นกลัว แล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตด้วยขาของตัวเองซึ่งค่อยๆช้าลงเรื่อยๆ

    ท่าทางแบบนั้น ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่น่าจะเป็นพวกเดียวกับผู้ใช้หมาล่าเนื้อ

    และแล้ว เธอก็สะดุดรากไม้แล้วล้มลง

    มีคิดว่าอาจจะเป็นกับดักอยู่แว่บนึง แต่ก็ตัดสินใจว่าควรจะเข้าช่วยเธอแม้จะต้องเสี่ยงก็ตาม

 

「พวกอันนาช่วยรออยู่ตรงนี้ก่อน」

 

    พอพูดจบก็ทำการเข้าไปใกล้เธอเพียงคนเดียว

    ทว่า ชั่วขณะที่กำลังพยายามแตะตัวเธอนั้น

 

「…..!? ห-หายไปแล้ว?」

 

    ราวกับว่าเป็นเมฆหมอกอะไรซักอย่าง ซาโต โชโกะซังได้หายไป

    แย่แล้ว! เป็นกับดักจากสกิลอะไรบางอย่างงั้นเรอะ!

    รีบกระโดดกลับออกมาทันที แต่ว่า…..

 

「…………………………?」

 

    แต่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    น่าแปลก…..ผมส่ายหัวอยู่ในใจ นึกว่าจะมีการซุ่มโจมตีจากศัตรูออกมาแต่ว่า…..

    หลังจากที่เฝ้าระวังอยู่ประมาณ 1 นาที แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงหันหลังกลับไปหาพวกอันนา

 

「นี่? คิดว่ามันหมายความว่ายังไงกัน?」

 

    แต่ว่าพวกเธอกลับทำแค่จ้องมองมาทางนี้แปลกๆแล้วไม่พูดอะไร

    ในที่สุดอันนาที่ดูสับสนและหน้าซีดก็ถามคำถามผมมา

 

「…..อาโน พูดถึง…..เรื่องอะไรเหรอส์คะ?」

「ว่า…..อะไรนะ」

 

    คราวนี้เป็นผมที่สับสน

    ซาโต โชโกะซังยังมีชิวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะคิดยังไงนี่มันก็เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ต่อให้ตัวเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้าย หรือแม้แต่ถูกข่มขู่ให้ร่วมมือก็ตาม มันก็ถือว่าเป็นเบาะแสสำคัญ

    แล้วยังที่ได้หายตัวไปต่อหน้าต่อตาเมื่อครู่นี้ ถ้าหากว่าเป็นกับดัก ก็ต้องระวังการโจมตีจากศัตรู

    เป็นการถามที่รวมเอาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเข้าด้วยกันแต่ว่า…..การตอบสนองของพวกเธอดูช้าๆ

    อันนาพูดขึ้นมาอย่างลังเล

 

「…..รุ่นพี่วิ่งไล่ตามอะไรมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แล้วเรื่องที่พูด…..หมายถึงอะไรกันคะ?」

「…..หา?」

 

    -ซีด- รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเย็นๆไหลผ่านหลัง

    ……….พวกอันนา มองไม่เห็นซาโต้ โชโกะซังงั้นเหรอ?

    ทั้งๆที่เห็นเป็นตัวเป็นตนชัดเจนขนาดนั้น

 

「อาโน มาสเตอร์…..จากตรงนั้น มีกลิ่นเลือดอยู่…..」

「ว่าไงนะ…..」

 

    ตามยูคิที่เดินนำ ไล่ตามต้นตอของกลิ่น

    ในขณะที่เดินออกนอกเส้นทางแล้วแหวกพุ่มไม้ออก…..

 

「อุ…..」

「ฮี๊…..!」

「นี่มัน…..!」

 

    —–ที่ตรงนั้น มีศพที่ดูน่าจะเป็นของหญิงสาววัยรุ่นอยู่

 

    สภาพศพยับเยินจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมซึ่งน่าจะเกิดจากถูกมอนสเตอร์ในเขาวงกตกัดกิน

    บางทีคงเพราะการบิดเบือนมิติและเวลาของเขาวงกต การย่อยสลายของศพจึงไม่เกิดขึ้น ทว่าในทางกลับกัน มันได้ถ่ายทอด『ความสด』ให้แก่ผู้ที่ได้เห็นถึงความตาย

    ราวกับว่า ถ้ามาเร็วกว่านี้อีกไม่กี่นาทีก็จะช่วยเอาไว้ได้…..ราวกับว่าเธอจะบอกมาเช่นนั้น…..

    ความวิปลาส ถ้าหากจะให้ความหมายเช่นนั้นแล้วกลิ่นและรูปร่างของโยโมสึชิโคเมะคงจะแย่กว่า

    แต่ว่า “ความตาย” ของผู้คนมันแตกต่างไปจากการ์ด มันต่างส่งผลกระทบแก่พวกเราทั้งหมด

    ผมไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้เมื่ออยู่ต่อหน้าศพ, อันนาหน้าซีดแล้วส่งเสียงร้องขึ้นมาเบาๆ, ส่วนโอริเบะทำตาโตจ้องมองมาทางผมด้วยเหตุผลบางอย่าง

    แล้วก็…..เสื้อผ้าที่ศพสวมใส่อยู่ เป็นของซาโต้ โชโกะซังที่ผมได้ไล่ตามมาจนถึงเมื่อครู่ ส่วนที่ยังไม่เสียหายของใบหน้านั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่านี่คือซาโต้ โชโกะซัง

 

「…..」

 

    พอรู้สึกตัวขึ้นมา เกิดความตกใจที่แม้แต่ตัวเองก็คาดไม่ถึงขึ้นมา

    นั่นเพราะ ถ้าเกิดว่าโชคดีน้อยกว่านี้นิดเดียวแล้วล่ะก็ ผมคงจะจบลงแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ความกลัวเรื่องนั้นทั้งหมด

    จริงอยู่ว่ามีความกลัว ไม่คิดว่าจะมีใครที่พอได้เห็นภาพนี้แล้วจะไม่เกิดความกลัว จากความคิดที่ว่ามีความเป็นได้อย่างมากที่จะเกิดสิ่งเดียวกันขึ้นกับตัวเอง

    ทว่าสิ่งที่ตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือความจริงที่ว่า『มีเหยื่ออยู่จริงๆ』

    เป็นเรื่องที่ประหลาดแต่ถึงแม้ว่าตัวเองจะถูกโจมตีโดยผู้ใช้หมาล่าเนื้อมา มีคนหลายคนเสียชีวิต…..แต่กลับไม่รู้สึกว่าเป็นการถูกฆ่าจริงๆ

    คิดว่ามีความเข้าใจเรื่องที่มีคนตายเกิดขึ้นหลายคน แต่ว่านั่นมันก็แค่ข้อมูลในรูปแบบข้อความตัวอักษร

    แต่หลังจากได้เห็นศพด้วยตา ในที่สุดก็เข้าใจถึงสิ่งที่ผู้ใช้หมาล่าเนื้อกำลังทำ

    นี่มัน…..น่าเศร้า น่าเศร้าเกินไปแล้ว

    พอรู้สึกตัวอีกที ตัวผมก็พนมมือหันไปทางเธอ

    พวกอันนาเองก็ทำตาม เริ่มสวดส่งให้กับดวงวิญญาณของเธอ

    ในตอนนี้ ก็แค่…..ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำมัน

 

「แล้ว…..」

 

    หลังจากสวดส่งอย่างเงียบๆอยู่หลายนาที จู่ๆอันนาก็พูดขึ้น

 

「คนคนนี้คือซาโต้ โชโกะซัง คงจะพูดแบบนั้นได้สินะคะ?」

「อาจจะ มันไม่มีข้อมูลของใครอื่นที่ไม่ได้กลับไปจากเขาวงกตแห่งนี้แล้ว…..」

 

    พอผมพูดไป อันนาก็มองมาทางนี้ด้วยความกลัว

 

「ถ้าหากว่าคนคนนี้คือซาโต โชโกะซังแล้ว…..」

「อ-อา…..」

「ถ้าอย่างนั้น…..เมื่อกี้ รุ่นพี่เห็นใครกันแน่…..」

「…………………………」

 

    -ซีด-…..เกิดความเย็นไหลผ่านสันหลังไปอย่างเงียบๆ

    ศพนี่ ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วเป็นซาโต้ โชโกะซังไม่ผิดแน่

    ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ที่ผมทำการไล่ตามมา ไม่ใช่ตัวเธอที่ยังมีชีวิตอยู่…..

    การที่คนร้ายจะแสดงภาพของเธอให้ผมได้เห็นก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำ…..

    หรือก็คือ สิ่งนั้น…..

    อันนา -ซึบซึบ- ค่อยๆเอาตัวเองถอยห่างไปจากผม

 

「พูดกันตรงๆเลย รุ่นพี่เป็น『คนที่มองเห็น』แบบนั้นเหรอส์คะ…..?」

「ม-ไม่ เรื่องแบบนั้นมัน, ไม่ใช่หรอก…..」

 

    ตั้งแต่เกิดมาก็ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณหรืออะไรพวกนั้นเลย

    แต่ไหนแต่ไรไอ้ความสามารถทางจิต….. ไอ้พลังของพวกตัวเอกแบบนั้นมันไม่น่าจะมีหลับไหลอยู่ภายในตัวของผมหรอก

    แต่ว่าในทางกลับกัน ผี…..ตัวตนของวิญญาณเองนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้

    นั่นก็เพราะว่า ผมได้เห็นวิญญาณของเหล่าเด็กๆที่ถูกชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลินจับเอาไว้มาแล้ว

    อาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เอฟเฟคของสกิลก็ได้ แต่ด้วยคำพูดของเร็นกะตอนที่เจอกับศพของเหล่าเด็กๆว่า「ยังถูกกักขังอยู่ที่นี่」 นั่นจะต้องเป็นสกิลที่ใช้วิญญาณของเหล่าเด็กๆแน่นอน

    แต่ว่า หลังจากตอนนั้นมาก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นอีก

    ถ้าหากยอมรับการมีอยู่ของวิญญาณจากในการต่อสู้กับชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลินแล้ว ถ้าเกิดความสามารถทางจิตถูกปลุกตื่นขึ้นมา การได้เห็นมันแม้แต่ภายนอกเขาวงกตก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

    แล้วทำไม ถึงได้มามองเห็นเอาในช่วงเวลานี้กัน…..

    นอกจากนี้ ไอ้เจ้าสิ่งที่เจอเมื่อครู่นี้มันก็แปลกเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นวิญญาณ มันไม่ใช่การบอกเรื่องที่ยังตกค้าง มันราวกับว่าเป็นการเล่นภาพในอดีตซ้ำไปซ้ำมา…..

   

「บางที สิ่งที่รุ่นพี่เห็นอาจจะเป็นความนึกคิดที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ได้」

 

    จู่ๆ โอริเบะก็พูดขึ้นมา

    ขณะที่กำลังจะหันไปทำนองว่ามันคืออะไร…..

 

「ถ้าหากว่าร่างวิญญาณไม่ได้โต้ตอบกับรุ่นพี่ และที่ทำมีเพียงแค่กระทำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเสียชีวิต ถ้างั้นมันก็คือความนึกคิดที่ยังหลงเหลืออยู่แน่นอน ดวงตาของรุ่นพี่คงจะอ่านความรู้สึกอันแรงกล้าของเหยื่อที่สลักลึกอยู่ในที่เกิดเหตุได้แน่ๆ」

 

    ดวงตาของโอริเบะเบิกกว้างและเปล่งประกายต่างไปจากสายตาที่จ้องมองมาตามปกติ พร้อมกับการพูดอย่างรวดเร็ว

 

「ดวงวิญญาณมีตัวตนอยู่จริงไหม เรื่องนั้นแม้ว่าจะมีมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณอยู่ในตอนนี้ มันก็ยังไม่สามารถถูกพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่ว่าการ์ดประเภทเทพพุทธบางใบได้มีการกล่าวอ้างถึงตัวตนของดวงวิญญาณ แล้วอุปกรณ์เวทบางชิ้นก็สามารถใช้พูดคุยกับคนตายได้อีก พูดอีกอย่างคือ วิญญาณมีอยู่จริง ถ้าแบบนั้นแล้วผีก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลย!」

「ซ-ซาโยะ ใจเย็นๆก่อน…..」

「จะให้ใจเย็นอยู่ได้ยังไงกันเล่า!」

 

    อันนาที่พยายามค่อยๆกล่อมให้ใจเย็นก็ถูกโอริเบะพูดสวนมา

    ด้วยความตื่นเต้นที่มีมากจนไม่อาจนึกภาพความสงบที่เคยมีอยู่เป็นประจำได้เลย

    …..บอกตามตรงเลยว่าน่ากลัวอยู่หน่อยๆ

 

「มีคนอยู่หลายคนที่ใช้อุปกรณ์เวทในการสื่อสารกับคนตาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นวิญญาณตัวเป็นๆเลย! พวกที่เรียกตัวเองว่ามีพลังจิตสื่อวิญญาณมีกันเยอะแยะ แต่รุ่นพี่เป็นของจริงแท้ไม่มีมั่วนิ่ม! นั่นเพราะได้ใช้พลังจิตสื่อวิญญาณทำให้ค้นพบศพได้! คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีพลังจิตสื่อวิญญาณอยู่ใกล้ตัวชั้นมากขนาดนี้…..! สุดยอด สุดยอดไปเลย!」

 

    โอริเบะมองผมด้วยแก้มแดงระเรื่อ ราวกับว่าได้มาเจอกับดาราที่คลั่งไคล้

    ดูเหมือนว่าการมีพลังจิตสื่อวิญญาณจะตกอยู่ในสไตรก์โซนของเธอ ที่เป็นพวกชอบเรื่องลี้ลับและผู้ป่วยโรคจูนิเบียว

    แต่ เอากันตามตรง ไม่ได้ดีใจเลยซักนิด อันที่จริงจะดีใจกว่าถ้าหากจะไม่ได้เห็นมันอีกในชีวิตนี้

 

「รุ่นพี่ไปปลุกตื่นความสามารถนี้มาได้ยังไงเหรอคะ? อย่างที่คิด เป็นมาตั้งแต่เกิด? หรือว่าไปเกิดเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมาแล้วได้ปลดปล่อยความเป็นไปได้ของตัวเองออกมา!? สามารถรู้สึกถึงสิ่งเกี่ยวข้องกับวิญญาณได้รึเปล่า? ล-แล้วก็สามารถแบ่งมาให้ชั้นด้วยได้ไหม!?」

「ม-ไม่ล่ะ ต่อให้พูดมาแบบนั้นก็เถอะ…..」

 

    แม้แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วก็อยากจะยกให้อยู่หรอก

    ขณะที่ผมกำลังผงะไปกับการรุกใส่ของโอริเบะ อันนาที่ทนดูต่อไปไม่ไหวจึงก้าวเข้ามาคั่นกลาง

 

「น-น่าน่า ค่อยคุยเรื่องนั้นกันทีหลังดีกว่าไหม? นะ? มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่เราจะมาพูดกันในที่แบบนี้หรอก…..」

「ช-ใช่แล้ว พวกเราจำเป็นต้องเก็บกู้ศพและของส่วนตัวกันก่อน จะมัวมายืนกันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ」

「มู…..นั่นสินะ เป็นอะไรที่ไม่เหมาะ ดวงวิญญาณของเธอเองก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย…..」

 

    พอพวกผมพูดไปแบบนั้น โอริเบะก็ยอมถอยไปแต่โดยดี

    -โฮ่-ถอนหายในโล่งอก แต่แล้ว-กึก-ก็ต้องหยุดชะงัก

    …..นี่ ใครจะเป็นคนเก็บกู้?

    ชำเลืองมองไปทางศพ สภาพศพเสียหายอย่างมากน่าจะเพราะถูกกัดกินโดยมอนสเตอร์ประเภทสัตว์ป่า สภาพเละจนมองดูตรงๆไม่ไหว แค่จะให้มาอยู่ในสายตาก็ลังเลแล้ว การจะให้ไปจับนี่ยิ่งรู้สึกไม่อยากเข้าไปใหญ่

    …..ตามคาดว่าสุดท้ายแล้วต้องเป็นผมสินะ? ก็เป็นผู้ชายคนเดียวนี่นา

    แต่ว่า…..ตรงๆคือไม่อยากจะทำเลย

    ตัวเธออาจจะรู้สึกผิดหวังเพราะว่าเมื่อกี้นี้อุตส่าห์สวดส่งวิญญาณให้แต่…..เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันต่างกัน

    ต่อให้เป็นนักผจญภัย มันก็ไม่ได้ทำให้คุ้นเคยกับศพมนุษย์

    ผมเองก็เพิ่งจะได้มาเห็นศพคน นอกเหนือจากครั้งแรกที่ได้เห็นศพของเด็กๆตอนฮาเมลิน

    หรือก็คือพอมาเป็นเรื่องแบบนี้แล้ว พวกเราก็เป็นแค่นักเรียนม.ปลาย การจะให้แค่นักเรียนม.ปลายมาเก็บศพ….. อีกทั้งยังเป็นการฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมด้วยแล้วเนี่ยคงไม่ไหวหรอก

    แล้วยังมี สิ่งที่เหมือนจะเป็นวิญญาณของเธอที่ผมเห็นไปเมื่อครู่อีก

    ถ้าหากไปสัมผัสตัวแล้วจะโดนคำสาปรึเปล่า…..พอคิดไปแบบนั้น ความกลัวมันก็มีมากเหนือความเห็นอกเห็นใจต่อเหยื่อ

    อา เวลาแบบนี้อยากให้เอลิซ่าซังอยู่ด้วยจังเลย…..ขณะที่กำลังคิดอะไรแบบนั้นอยู่ -ซึบ-…..โอริเบะจู่ๆก็ก้าวออกไปด้านหน้า

 

「อ-โอริเบะ…..?」

 

    เอ๋…..โกหกน่า หรือว่า…..?

    ขณะที่กำลังมองไปด้วยความคาดหวัง เธอก็นำถุงมือสีขาวจากกระเป๋าออกมาสวม…..

 

「ปล่อยให้เป็นหน้าที่ชั้นเองค่ะ มีอะไรอยากจะตรวจสอบซักหน่อย」

 

    พูดบอกมาเหมือนไม่มีอะไร…..ไม่สิ ได้ให้เกียรติกล่าวมา

    โออออ้ ขอโทษด้วย! ขอบคุณนะ! ต้องขอโทษจริงๆที่เป็นรุ่นพี่ที่น่าสมเพช!

    ขณะที่ผมแสดงความขอบคุณจากใจจริงอยู่ข้างใน โอริเบะก็เริ่มตรวจสอบศพ

 

「สภาพของศพแย่เอามากๆ…..แบบนี่ไม่รู้ว่าถูกฆ่าโดยคนร้ายหรือว่ามอนสเตอร์ของชั้นนี้แน่ แต่ถึงยังไง เดาว่าก็คงจะใช้การ์ดมอนสเตอร์แบบเดียวกันกับที่อยู่ที่นี่ได้อยู่ดี…..

    แต่…..ไม่มีร่องรอยการถูกกระทำชำเรา อย่างน้อยๆคนร้ายก็ไม่ได้เลวทรามในแง่นั้น หรือไม่ก็…..เป็นผู้หญิง?

    ของติดตัวมีใบอนุญาตกับกระเป๋าสตางค์ แล้วก็ยังมีตั๋วโดยสารกับสมาร์ทโฟน จากที่ไม่มีสเปรย์พริกไทยและสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายมาแสดงว่าลดความระมัดระวังตัวลงไป ตามคาดว่าเป็นการเล็งเป้าไปที่มือใหม่กับคนที่ระมัดระวังตัวน้อยงั้นเหรอ?

    กระเป๋าสตางค์…..มีแบงค์อยู่หมื่นนึง แล้วก็ยังมีบัตรเงินสดที่มาพร้อมฟังค์ชั่นเงินอิเล็คทรอนิคส์ด้วย คนร้ายดูจะไม่มีจุดประสงค์ไปที่เงินอย่างที่คิด…..」

 

    ขณะที่กำลังพึมพำ โอริเบะก็ทำการเก็บกู้สิ่งของติดตัว

    แล้วท้ายที่สุดได้สั่งให้โยโมะซึชิโคเมะนำศพใส่ในถุงพิเศษที่จัดเตรียมมา แล้วจึงหันมาทางนี้

 

「ฟู่…..เรียบร้อยแล้วล่ะ」

「อ-โอ้! เหนื่อยหน่อยนะ ไม่สิ ช่วยเอาไว้จริงๆ…..แล้ว เจออะไรรึเปล่า?」

「อา เจอใบอนุญาตกับสมาร์ทโฟนอยู่แล้วก็อย่างที่คิด พวกมันถูกผลทำลายเครื่องจักร ถ้าเป็นแค่สมาร์ทโฟนอาจจะสรุปไม่ได้ แต่ตัวใบอนุญาตที่เสียหายเป็นผลมาจากเกรมลินอย่างแน่นอน」

「ก็หมายความว่า เป็นการยืนยันว่ามีวิธีการที่คล้ายคลึงส์กับผู้ใช้หมาล่าเนื้อสินะ」

 

    ทีนี้ก็ยืนยันแล้วว่าคนร้ายใช้เกรมลินในการก่ออาชญากรรม พูดอีกอย่างคือ การที่ผมถูกเกรมลินโจมตีในช่วงเวลานั้นมันไม่ใช่เหตุบังเอิญ

    ในตอนนั้น ถ้าหันหลังกลับล่ะก็…..ไม่สิ ผู้ใช้หมาล่าเนื้อเล็งเป้ามาที่ผมอย่างชัดเจน ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องถูกโจมตีอยู่ดี

    อันที่จริง ถ้าเกิดว่าเลือกกลับไปแทนล่ะก็ ผู้ใช้หมาล่าเนื้อจะต้องเกิดความระแวงผมมากยิ่งขึ้น แล้วไปเตรียมการที่จะจู่โจมให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกก็เป็นได้

    ถ้าเป็นงั้นล่ะก็ อาจจะไม่สามารถใช้การ์ดเวทมนตร์『เคลื่อนย้าย』แล้วผมอาจจะต้องเสียชีวิต

    หากมาคิดในแง่นั้น การที่ถูกโจมตีในตอนนั้นอาจจะเป็น『โชคดีในโชคร้าย』ก็เป็นได้…..

 

「แล้ว หาสิ่งนั้นที่พูดถึงเจอรึเปล่าส์?」

「ไม่…..น่าเสียดายที่ไม่มีอยู่ ก็นะ ไม่คิดว่าเหยื่อทุกรายจะมีมันอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อันที่จริง ถ้ามีมันอยู่จะยิ่งไม่เป็นธรรมชาติ เพราะงั้นเลยคิดว่าในจำนวนหลายๆคนคงจะมีอยู่ซัก 1 คน」

「อย่างงี้…..นี่เอง?」

 

    อันนาเอียงคอ

    เหตุผลอะไรที่คนร้ายให้เหยื่อหนีไปทางบันได และบางสิ่งที่เหยื่ออาจจะมีอยู่ในกระเป๋าแต่ไม่ได้มีทุกคนงั้นเหรอ….?

    สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่…..? อยากรู้แต่…..เจ้าตัวไม่อยากจะบอกตอนนี้เพราะงั้นก็ไม่อยากจะไปฝืนถาม

    …..อุตส่าห์ช่วยลงมือทำงานสกปรกให้ด้วย

 

「ก่อนอื่นก็เก็บกู้ร่างได้แล้ว กลับไปข้างบนกันเลยละกัน」

 

    ความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้หมาล่าเนื้อจะโจมตีมาไม่ใช่ 0

    จะเป็นการดีกว่าที่จะคิดอะไรหลายๆเรื่องหลังจากที่ได้สงบสติอารมณ์ที่บนพื้นดิน

    …..จะยังไงก็เถอะ เจ้าพลังจิตสื่อวิญญาณนี่มันอะไร

    ขณะที่มุ่งหน้าไปที่เกทชั้นล่างสุดก็ทำการคิดอยู่คนเดียว

    ของที่ไม่สามารถมองเห็นมาก่อน ทำไมถึงมามองเห็นเอาในช่วงเวลานี้?

    พรสวรรค์ที่หลับไหลอยู่ข้างในผมมันตื่นขึ้น…..ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น ผมเข้าใจดีว่าไม่เคยมีพรสวรรค์พิเศษอะไรแบบนั้น

    สำหรับผม ถ้าจะมีคุณลักษณะของตัวเอกได้ล่ะก็…..ก็ต้องเป็นการได้รับมาจากภายนอก

    ภายนอก…..ถ้าหากว่าเป็นความสามารถที่ถูกคนอื่นมีความตั้งใจให้มาล่ะก็…..

    การให้ผมได้มองเห็นวิญญาณคนตาย ต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่?

    ลองนึกย้อนไปตอนเจอกับซาโต้ โชโกะซัง

    ตัวเธอ กำลังวิ่งหนี หรือก็คือ หลังจากที่ส่งการ์ดให้แล้วผู้ใช้หมาล่าเนื้อไม่ได้ลงมือฆ่าในทันที แต่บังคับให้หนีไปทางบันไดจริงๆ แต่ว่า ถ้าหากเหยื่อบังเอิญไปเจอกับนักผจญภัยอื่นแล้วได้รับความช่วยเหลือล่ะ

    จากการที่ทำลายใบอนุญาตและกล้อง จึงน่าจะจริงที่ต้องการจะลบเบาะแสของตนเอง

    แต่ถึงอย่างนั้น ทำไมถึงได้ทำอะไรที่อาจจะเหลือเป็นหลักฐานอย่างคำให้การของเหยื่อกัน…..

    คำถามเหล่านี้ลอยหมุนวนอยู่ภายในหัวของผมไปมา

 

 

 

【Tips】อันเชิญวงศ์วาน

    สกิลที่ทำให้สามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ที่ระดับต่ำกว่าผู้อัญเชิญได้ แทบทุกกรณี มอนสเตอร์ที่ถูกเรียกจะมีแรงค์ต่ำกว่า 1 แรงค์ แต่ก็ยังมีบางการ์ดที่สามารถเรียกมอนสเตอร์ที่มีแรงค์เดียวกันออกมาได้อยู่

    อัญเชิญวงศ์วานนั้น รูปแบบที่หนึ่งจะสามารถอัญเชิญออกมาได้จำนวนไม่มากต่อรอบเวลาแต่ไม่มีจำกัดจำนวน, รูปแบบที่สองจะสามารถอัญเชิยออกมาได้จำนวนมากในคราวเดียวแต่จะจำกัดจำนวน รูปแบบที่สามารถเรียกแรงค์เดียวกันได้แทบทั้งหมดจะเป็นรูปแบบที่สอง

    วงศ์วานที่เรียกออกมาจะมีพลังต่อสู้ต่ำกว่าเผ่าต้นแบบ ไม่มีสกิลอื่นนอกจากสกิลติดตัว และพลังต่อสู้ไม่สามารถเติบโตได้

 

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

Score 10
Status: Completed
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ในโลกคู่ขนานของญี่ปุ่น จู่ๆ เขาวงกตได้ปรากฏขึ้น ที่ซึ่งมอนสเตอร์โผล่ออกมา ในช่วงแรกเริ่มนั้นเขาวงกตไม่ได้ต่างอะไรไปจากภัยพิบัติ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยทรัพยากรที่เขาวงกตผลิต และตัวตนของ 'การ์ด' ที่ตกจากมอนสเตอร์ กลายเป็นช่วงแห่งการกอบโกย การ์ดมอนสเตอร์ที่สามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาได้ดั่งใจนึก เหล่านักผจญภัยที่ใช้พลังของการ์ดเพื่อพิชิตเขาวงกต ถ่ายทอดสถานการณ์เหล่านั้นด้วยดันเจี้ยนTV, โคลอสเซียมที่มอนสเตอร์ต่อสู้กัน..... สิ่งเหล่านี้กระตุ้นความสนใจในตัวผู้คน แล้วก่อนที่จะรู้ตัวนักผจญภัยก็กลายเป็นอาชีพที่ผู้คนใฝ่ฝันจะเป็น คิทากาว่า・อุทามาโร่ เด็กม.ปลายสายม็อบ เห็นเพื่อนที่น่าจะเป็นสายม็อบเดียวกัน หลังจากที่เป็นนักผจญภัยแล้วกลับถีบตัวไปอยู่ในกลุ่มท็อบได้ จึงตัดสินใจที่จะเป็นนักผจญภัยด้วยตัวเอง อุทามาโร่ เพื่อที่จะได้แรร์การ์ดไปอวดทุกคนได้จึงเดิมพันชีวิตกับกาชาสุดบ้าระห่ำราคา 1 ล้านเยน ทว่า---?

Options

not work with dark mode
Reset