บทที่ 2 ตอนที่ 7
「—-คนที่เล็งไว้ก็คือฮิโยริจังงั้นเหรอ」
วันต่อมา อันนาลากผมมาที่ห้องพักครู พอได้เห็นคนที่เธอชี้ไปก็เลยช่วยไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา
ที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเราก็คือ อาจารย์หญิงใบหน้าอ่อนวัยสวมแว่นตาที่กำลังต่อสู้อยู่กับเอกสารอยู่บนโต๊ะของเธอ
ชื่อของเธอคือ ทาจิบาน่า ฮิโยริ อาจารย์โฮมรูมของห้องผม
「ไม่สิ ถ้าจะให้ฮิโยริจังเป็นที่ปรึกษานี่มันก็ค่อนข้างจะไม่เหมาะนะ」
「เอ๋? ทำไมเหรอส์คะ?」
「ก็เพราะฮิโยริจัง แค่เป็นอาจารย์ประจำชั้นก็มีหน้าที่ล้นมือแล้ว ถึงแม้จะเพิ่งได้มาเป็นอาจารย์เป็นปีแรกก็โดนจับมาทำหน้าที่อาจารย์ประจำชั้นแล้ว แบบนั้นแหละ?」
ผมเองไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกของการเป็นอาจารย์มากนัก แต่ก็ยังคิดว่าการที่ให้อาจารย์ใหม่ที่เหมือนเป็นพนักงานใหม่ของบริษัท เข้าไปดูแลชั้นเรียนทั้งชั้น มันค่อนข้างจะเป็นบริษัทมืดอยู่หน่อยๆ
ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด ฮิโยริจังที่ปกติก็ลนลานในการสอนคาบปกติอยู่แล้ว แต่พอโดนหน้าที่อาจารย์ประจำชั้นเพิ่มทับเข้าไปอีก ทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเธอกลายเป็นมักจะลนลานอยู่เสมอ
ทว่าพออันนาได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ้ม
「หรือก็คือ อาจารย์คนนั้นเข้าตาจนแล้วส์จริงๆสินะคะ?」
「เอ๋ ม-มันก็ใช่อยู่หรอก…..」
ยัยนี่ วางแผนอะไรไว้อยู่กันแน่?
ขอร้องล่ะ อย่าไปกดดันฮิโยริจังมากไปกว่านี้จนต้องลาออกเลยนะ…..
ตัวเธอมีความน่ารักพร้อมกับหน่มน้มที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะแบบนั้นจึงทำให้ตัวเธอเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนชายใช่ไหมล่ะ?
แต่ตรงกันข้ามกับความคิดของผม อันนาเดินอย่างช้าๆ ตรงไปทางฮิโยริจัง
ผมไม่มีทางเลือกเว้นแต่ต้องตามไป
「ขอโทษที่รบกวนค่ะ อาจารย์ทาจิบาน่าใช่ไหมส์คะ?」
「เอ๋? ช-ใช่แล้วล่ะแต่ เธอเป็นเด็กปี 1 สินะ? แถม มาด้วยกันกับคิทากาว่าคุงด้วย」
「อา ครับ จำผมได้ด้วยสินะครับเนี่ย」
ถึงแม้ว่าเพิ่มจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เธอเป็นอาจารย์ประจำชั้น แต่ก็สามารถจำชื่อนักเรียนที่ใบหน้าไม่โดดเด่นอย่างผมได้ด้วยงั้นเหรอ
ฮิโยริจังนี่ทำงานหนักจริงๆ…..น่าประทับใจมาก
「ใช่แล้วล่ะ ก็ชั้นบนสุดกับล่างสุดของชนชั้นห้องเรียนมีความสำคัญมากที่สุดในการทำความเข้าใจ…..อะแฮ่ม อะแฮ่ม น-แน่นอนอยู่แล้วว่าอาจารย์ประจำชั้นจะต้องสามารถจำชื่อของนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนได้อยู่แล้วน่ะสิจ้ะ」
「อา ครับ」
อย่างที่คิด แม้แต่อาจารย์เองก็ยังให้ความสำคัญกับชนชั้นห้องเรียนสินะ…..
「แล้ว มีอะไรงั้นเหรอ?」
ฮิโยริจังที่ถามคำถามเพื่อที่จะเปลี่ยนเรื่อง อันนาก็ยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา
「ค่ะ อยากจะให้อาจารย์มาเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มนักผจญภัยของพวกเราให้หน่อยค่ะ」
「จ้า ไม่ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด」
ฮิโยริจังปฏิเสธเต็มที่
「คือว่า…..」
「เพราะว่าไม่ได้ ไม่ได้ของจริง แค่นี้ครูก็เต็มกลืนแล้วนะ แค่เตรียมการสอนสำหรับคาบเรียนประจำวันก็ยากแล้ว ไหนจะมาถูกให้เป็นอาจารย์ประจำชั้นอีก นี่ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้านทุกวันเลยรู้ไหม? แถมยังไม่ได้ค่าล่วงเวลาอีกด้วย!」
ฮิโยริจังพูดพร้อมน้ำตาไหลนองหน้า
「อาาา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย หรือว่านี่จะเป็นการลงโทษ ที่หลังจากเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้วมาเป็นอาจารย์เพราะเห็นว่ามีช่วงวันหยุดฤดูร้อนยาวๆกันนะ? หรือเพราะว่าไปปฏิเสธคำเชิญไปดื่มกับรองอาจารย์ใหญ่กัน? แต่ว่าสายตาที่มองมานั่น มันดูหื่นมากซะจนรู้สึกเหมือนความบริสุทธิกำลังตกอยู่ในอันตรายเลย! อาจารย์หญิงคนอื่นๆเองก็ยังบอกว่าให้ระวังตัวกับรองอาจารย์ใหญ่ไว้อีกด้วย!」
「อ-อาจารย์สงบจิตสงบใจไว้ก่อนส์ค่ะ!」
ฮิโยริจังที่จู่ๆก็เริ่มร่ายยาว ได้อันนาที่กำลังเหงื่อแตกเข้าไปเขย่าไหล่
「…..ห๊ะ ข-ขอโทษด้วยจ้ะ พักนี้อาจารย์ไม่ค่อยจะได้นอนน่ะ…..แล้ว ที่ปรึกษาเหรอ? ก็คงต้องไม่ได้เด็ดขาดแหละจ้ะ」
「อืม งั้นก็ช่วยไม่ได้ส์ ทั้งๆที่คิดว่าก็เพื่อตัวอาจารย์ด้วยส์ ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ」
อันนาที่ยอมแพ้ง่ายกว่าที่คาดไว้ ทำการหันหลังกลับ
「—-รอเดี๋ยวก่อนนะ? ที่บอกว่าเพื่อครูนั้นหมายความว่ายังไง?」
ฮิโยริจังที่ทำท่าสงสัย เรียกให้หยุด
ในพริบตานั้นเอง ผมก็ได้เห็น
อันนา「ติดกับแล้ว!」พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย
「ก็แหม ในตอนนี้อาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะเป็นที่ปรึกษาให้กับชมรม เพราะแบบนั้นก็เลยทำไม่ได้ใช่ไหมส์ล่ะคะ?」
「อ-อืม」
「แต่ว่าแล้วปีถัดไปล่ะ? แล้วก็ปีหลังจากนั้นไปอีกส์?」
「ม-มันก็…..แต่ว่าของแบบนั้นมันควรจะให้คนมากประสบการณ์ทำสิจ้ะ」
「ฮะฮ่า!」
พอฮิโยริจังพูดขณะกรอกตาไปมา อันนาปล่อยหัวเราะเสียงสูงที่ส่อความไม่น่าไว้ใจออกมา อืม…..ก็คล้ายๆอยู่แหะ
「ให้หนูบอกนะคะ นอกเหนือไปจากอาจารย์ที่อาสาด้วยตัวเองแล้ว การเป็นที่ปรึกษาก็เหมือนกับเกมลงโทษส์ เป็นแค่การทำงานล่วงเวลาที่ไม่ได้ค่าจ้างเท่านั้นใช่ไหมส์ล่ะค่ะ」
「พ-เพราะแบบนั้นครูถึงได้ปฏิเสธไปเหมือนกันไงล่ะ」
「ลองคิดตามส์นะคะ แม้แต่คนมากประสบการณ์ก็ยังไม่เอา ถ้างั้นแล้วคนแบบไหนที่จะถูกมอบหน้าที่นี้ไปให้กันส์ล่ะ?」
「ห-หรือว่า…..」
「ใช่แล้ว คนหัวอ่อนที่ไม่สามารถต้านทานส์ได้ยังไงล่ะ เหมือนกับที่คุณต้องมาเป็นอาจารย์ประจำชั้นนั่นแหละ!」
「ฮี๊!」
ฮิโยริจังเอามือกุมหัวพร้อมส่งเสียงร้องขึ้นมาเบาๆ ส่วนอันนาก็เข้าไปกระซิบข้างหู
「รู้รึเปล่าส์คะ? ดูเหมือนว่าอาจารย์ป้าที่ปรึกษาของชมรมวอลเลย์บอลหญิงกำลังจะเกษียณแล้วในปีหน้าส์ อ่า~ การเป็นอาจารย์ให้ชมรมวอลเลย์บอลต้องเป็นงานหนักแน่ๆเลย แล้วชมรมวอลเลย์บอลหญิงนี่ก็ต้องมีที่ปรึกษาเป็นผู้หญิงแน่นอนอยู่แล้วถูกไหมค่ะ? อาเร๊ะ? ที่เข้าเกณฑ์ก็ อาจารย์ยามาโมโต้กับ…..?」
「เอ็ตโต เอ็ตโต…..ช–ชั้นเหรอ!?」
ฮิโยริจังทำการมองไปรอบๆห้องพักครูเพื่อมองหาคนที่เข้าเกณฑ์ แล้วก็มีสีหน้าราวกับว่าโลกได้จบสิ้นแล้ว
แล้วราวกับว่าเข้าไปซ้ำอีกดอก อันนาก็ใช้มือลูบไปที่ไหล่ด้วยท่าทางน่ารังเกียจแล้วพูดเลียนเสียง
「อาจารย์ทาจิบาน่า คืนนี้ว่างรึเปล่าครับ? ดูจะลำบากเอามากๆเลยกับการเป็นอาจารย์ประจำชั้น เดี๋ยวจะช่วยรับฟังอะไรหลายๆเรื่องให้เองนะครับ อะ ไม่เหรอ? อืม งั้นก็ไม่เป็นอะไรครับ ผมเองก็ไม่มีเวลาว่างเหมือนกัน อาา ต้องคิดเรื่องที่ปรึกษาชมรมวอลเลย์บอลในปีหน้าอีก ยุ่งไปหมดเลยน้า~」
「ร-รอเดี๋ยวก่อนค่ะรองอาจารย์ใหญ่」
「หืม? มีอะไรเหรอ?」
「…..เอเหะเหะ ให้ชั้นไปด้วยเถอะค่ะ」
「หุ ไม่ต้องเป็นห่วงไป ไม่ทำอะไรไม่ดีหรอกน่า」
…..นี่พวกคุณเธอทำอะไรกันเนี่ย
ขณะที่ทั้ง 2 คนจู่ๆก็เริ่มเล่นละครอะไรแปลกๆ ผมก็มองดูด้วยความตกตะลึง
นี่คิดว่ารองอจารย์ใหญ่เป็นยังไงกันแน่ ทำให้เป็นผู้ร้ายมากเกินไปแล้วมั้ง จริงอยู่ว่าเขามีรูปลักษณ์ซูบผอม, ดูมีด้านชั่วร้าย, หัวล้าน, แล้วก็ชอบใช้สายตามองตามก้นของพวกผู้หญิงที่เดินผ่านเขาก็ตามที…..
「อาจารย์ แล้วถ้าหากว่ามีหนทางที่จะหลีกเลี่ยงอนาคตแบบนี้อยู่ล่ะคะ?」
「!? ช่วยบอกทีคาโน่ซัง!」
「ก็ง่ายๆคะ ที่ต้องทำก็แค่ไปเป็นที่ปรึกษาให้กับชมรมที่มีกิจกรรมง่ายๆซะก่อน แล้วถ้าหากว่าถูกขอให้ไปเป็นที่ปรึกษา ก็สามารถพูดกลับไปได้ว่างานยุ่งจากการเป็นที่ปรึกษาอยู่แล้วส์ มั่นใจว่าพวกเขาคงไม่มาบอกให้ไปเป็นที่ปรึกษาหลายๆชมรมพร้อมกันหรอกส์ค่ะ」
อย่างงี้นี่เอง มาแบบนี้นี่เอง อันนาเอาจนได้สินะ
「แล้ว ว่ายังไงคะ? จะเป็นที่ปรึกษาให้ชมรมวอลเลย์บอล หรือไปเป็นผู้หญิงของรองอจารย์ใหญ่….. หรือจะมาเป็นที่ปรึกษาให้ชมรมนักผจญภัยดีคะ」
พอรู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นว่าฮิโยริจังจะได้ไปเป็นที่ปรึกษาของชมรมวอลเลย์บอลอย่างแน่นอนไปซะแล้ว
แต่ยังไงซะ มันก็ดูจะเป็นอนาคตที่มีความเป็นไปได้สูงมากของฮิโยริจัง ซึ่งนั่นทำให้เธอค่อยข้างอับจนหนทาง
และเพื่อเป็นการดันซ้ำไปอีกที อันนาก็กระซิบ
「จะว่าไปแล้ว ม.ปลายของพวกเรา OK เรื่องมีงานเสริมเป็นนักผจญภัยด้วยส์นะคะ」
「! …..ค่ะ」
「หืม?」
「ที่ปรึกษา จะเป็นให้ค่ะ!」
พอฮิโยริจังพูดเสียงดังขึ้นมาแบบนั้น อันนาก็「เป็นไปตามแผน!」พร้อมเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
「เป็นคนน่ากลัวจริงน้า~ เธอนี่」
ที่ร้านอาหารครอบครัวหลังเลิกเรียน สมาชิกของชมรมนักผจญภัยได้มารวมตัวกัน
ผมพูดกับอันนาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะฝั่งตรงข้าม
「เอ๋? อะไรเหรอค่ะ?」
「ไม่สิ จะมาถามว่าอะไรเนี่ย ก็ที่ไปไล่ต้อนฮิโยริจังแบบนั้นน่ะ นี่มันวิธีของยากูซ่าชัดๆเลยไม่ใช่เรอะ」
「นั่นมัน…..ฟังดูไม่ดีเลยนะคะ ชั้นก็แค่ ยื่นมือเข้าช่วยเหลือแก่อาจารย์ใหม่ที่น่าสงสารก็เท่านั้นเอง」
「ช่วยเหลือรึ…..? เอาความจริงนะ ที่พูดกับฮิโยริจังไปมีที่จริงตรงไหนบ้างล่ะ」
「อา ก็จริงแทบทั้งหมดนั่นแหละส์คะ ถ้าหากว่ายังเป็นแบบนั้นอยู่ต่อไป คิดว่าปีหน้าฮิโยริจังคงได้เป็นที่ปรึกษาของชมรมวอลเลย์บอลแน่ส์ ถึงแม้ว่าถ้าคิดจากประสบการณ์แล้วน่าจะเป็นทางอาจารย์ยามาโมโต้มากกว่าก็ตาม แต่ว่าอาจารย์ยามาโมโต้มีชื่อด้านจู้จี้จุกจิกและชอบตีโพยตีพาย เพราะงั้นเลยไม่เหมาะที่จะไปเป็นที่ปรึกษาให้ชมรมวอลเลย์บอลที่ทำผลงานส์ไปถึงระดับจังหวัดได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น มั่นใจเลยว่าฮิโยริจังที่ถึงจะมาใหม่ แต่ก็ไม่สร้างความเครียดอะไรให้แก่นักเรียน จะต้องถูกขอให้ไปเป็นที่ปรึกษาแน่ๆคะ」
「อย่างงี้นี่เอง แล้วเรื่องที่รองอาจารย์ใหญ่เล็งฮิโยริจังล่ะ?」
「เรื่องนั้น คาดเดาเอาจากที่เห็นกันอยู่ทุกวันส์คะ」
「มันก็แค่อคติไม่ใช่เรอะ…..」
พอผมพูดด้วยความตะลึง โอริเบะซังก็แย้งขึ้นมา
「…..ชั้นเองก็เกลียดรองอาจารย์ใหญ่นั่นเหมือนกัน อันที่จริงผู้หญิงทุกคนเกลียดด้วยกันหมดนั่นแหละค่ะ」
「พอเดินผ่านทีไร ก็รู้สึกได้ว่าส์จ้องมองมาที่หน้าอกไม่ก็ก้นเลยล่ะ」
「ง-งั้นหรอกเหรอ…..」
ดูท่ารองอาจารย์ใหญ่จะถูกเกลียดจนน่าตกใจเลย นึกว่าเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาๆที่เข้มงวดกับเด็กผู้ชายมากกว่านิดหน่อยซะอีก…..
ตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนนี่ ดูจะดำมืดซะยิ่งกว่าในบริษัทมืดเสียอีก น่าสมเพชหน่อยๆด้วย
แล้วก็ พวกผู้หญิงนี่ความรู้สึกไวต่อสายตาแบบนั้นจริงๆสินะ…..
「เรื่องนั้นพอก่อนเถอะคะ มาคุยเรื่องกิจกรรมชมรมกันดีกว่าส์ เรื่องกิจกรรมชมรมน่ะ」
อันนา-แปะแปะ-ตบมือส่งสัญญาณ
「เอ ชมรมนักผจญภัยของพวกเรา มีเป้าหมายคือเหล่านักเรียนที่มุ่งมั่นจะเป็นมืออาชีพอย่างจริงจัง มารวมตัวกันฝึกฝนและพัฒนาฝีมือ ในขณะเดียวกันก็สร้างเสริมมิตรภาพให้แน่นแฟ้น ปรับปรุงคุณภาพโดยรวมผ่านการสนับสนุนซึ่งกันและกันส์」
มีใช้คำภาษาทางการอยู่บ้าง แต่ก็สามารถเข้าใจได้ว่าจะสื่อถึงอะไร
ขณะที่พวกเราพยักหน้ารับ อันนาก็-ชิ้ง-เปิดตากว้าง พร้อมกำหมัดขึ้น
「ทว่า นั่นเป็นแค่เป้าหมายเบื้องหน้าเท่านั้น! เป้าหมายที่แม้จริงของชมรมนักผจญภัยของพวกเราก็คือ สร้างกองกำลังแข็งแกร่งมากพอที่จะเอาตัวรอดจากการสูญสิ้นของมวลมนุษยชาติที่กำลังจะมาถึงต่างหากส์!」
「โอ้!?」
โอริเบะซังจู่ก็-ปิ๊งๆ-ทำตาเป็นประกาย
ดูเหมือนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของชมรมนักผจญภัย จะไปโดนใจเธอเข้า
แต่ว่า เธอที่ถูกอันนาพามาด้วย ก็นึกว่าจะรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ดูท่าจะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก…..
หลังจากนั้น อันนาก็เล่าเรื่องราวให้โอริเบะซัง อันเดียวกันกับที่ได้บอกผมไปเมื่อวันก่อน
จากผลกระทบของแองโกลมัวร์ จำนวนเขาวงกตที่เพิ่มขึ้นทุกปี ในอีกด้านหนึ่ง มนุษยชาติยังไม่พบหนทางกำจัดเขาวงกต ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาวงกตก็จะเต็มโลกแล้วก็จะหยุดการทะลักของแองโกลมัวร์ไม่ได้ พวกคนรวยระดับโลกที่เริ่มเตรียมการสำหรับการสูญสิ้นของมนุษยชาติ
「ก็นะ ในตอนนี้ยังไม่ขอให้เชื่อเรื่องที่บอกไปทุกอย่างหรอกส์ แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่บอกได้อย่างมั่นใจเลยว่า ความต้องการในตัวการ์ดและอุปกรณ์เวทจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆไปอีก 10 ถึง 20 ปีเลยส์ แล้วก็ยังมีความต้องการมาสเตอร์ที่มีความสามารถด้วย กระแสของนักผจญภัยไม่ใช่อะไรที่มาชั่วคราวแน่ๆ ขอให้สัญญาเอาไว้เลยส์ว่า ความพยายามอย่างหนักในชมรมนักผจญภัยจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน」
อันนา สรุปจบในท้ายที่สุด
หลังจากได้ยินทุกอย่างแล้ว โอริเบะซังก็ยิ้มแฝงความหมายออกมา
「คุคุคุ สมาคมลับที่รวบรวมขุมกำลังเพื่อเตรียมการสำหรับการสูญสิ้นของมนุษยชาติงั้นเหรอ ดีเลย มาพาชมรมนักผจญภัยของพวกเราไปแล้วเข้ายึดครองโลกกันเถอะ…..」
「นี่ตรงนั้นน่ะ ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมานะ! แล้วก็ ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการยึดครองโลกด้วย!」
แล้วอาหารที่พวกเราสั่งไว้ก็ทยอยมาทีละจาน
อาหารต่างๆถูกจัดวางบนโต๊ะ 6 ที่นั่ง
「โอ้ มาแล้วสินะ เอ อะแฮ่ม…..ยังไงก็แล้วแต่ เท่านี้ก็ได้สมาชิก 3 คนและที่ปรึกษาแล้ว คำขอก่อตั้งกลุ่มก็ส่งไปแล้ว…..ที่เหลือก็แค่รอสภานักเรียนอนุมัติ แม้ว่าจะเร็วไปหน่อยส์ แต่ก็ขอประกาศการก่อตั้งชมรมนักผจญภัยกันเลยส์! เพื่ออนาคตของชมรมนักผจญภัย คัมปาย!」
『คัมปาย!』
งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นเพราะอันนาจู่ๆก็นึกอยากจัด แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปได้สวยมากกว่าที่คาดไว้
ไหนจะพูดคุยกันเรื่องสิ่งที่ทำตอนเป็นนักผจญภัย ไปจนถึงเอาการ์ดมาอวดและพูดถึงการ์ดที่อยากจะได้มากที่สุดในตอนนี้ จากตรงนั้น หัวข้อสนทนาก็ค่อยๆกลายไปเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้นจนในที่สุด พวกเราก็ได้คุยเกี่ยวกับมังงะและอนิเมะไปเรื่อยเปื่อย จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่รีบกลับก็อาจจะถึงบ้านดึกดื่นจนเกินไปแน่ๆ….. แต่ถึงแม้พวกเราจะออกมาจากร้านอาหารครอบครัวแล้ว พวกเราก็ยังไม่หยุดคุยกัน ราวกับว่ายังคุยกันไม่หนำใจ
「จะว่าไปแล้ว รู้รึเปล่าค่ะ? เกี่ยวกับพวกการ์ดของรุ่นพี่น่ะ」
「การ์ดของผมมีอะไรเหรอ?」
「ดูเหมือนจะมีโดจินจำนวนไม่น้อยออกมาในงานคอมิเกะฤดูร้อนหน้าด้วยส์ล่ะ…..」
「พรวด, ค่อก, ค่อก…..!」
สำลักอย่างช่วยไม่ได้
「มันอะไรล่ะนั่น!?」
「ก็การ์ดที่ดังๆจากมอนโคโลนับว่าเป็นเหยื่อของพวกโอตาคุได้อย่างดีนั่นส์แหละค่ะ~」
「อุมุ…..เดาว่าเป็นโชคชะตาอันแสนเศร้าสำหรับการ์ดเด็กผู้หญิงสินะคะ」
「โดยเฉพาะเร็นกะจังกับเอลิซ่าซังดูจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ…..ยูคิจังเองก็ด้วยนิดหน่อย」
「ยูคิก็ด้วย!?」
กรรมหนักกันจริงๆ…..!
「เรื่องลิขสิทธิ์ภาพกับการละเมิดสิทธิไปอยู่ไหนหมด!?」
「เพราะว่าการ์ดเป็นเยาวชนที่ไม่มีตัวตนยังไงล่ะค่ะ…..」
「เอ๋? พวกการ์ดมันก็อยู่ในเงื่อนไขของลิขสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ? ตัวตนมันก็มีด้วย」
「อืม พวกระบบกฎหมายกับแง่มุมอื่นๆยังอยู่ในช่วงพัฒนาส์ล่ะน้า~ ในยุโรปกับอเมริกาเองก็ดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มถกเถียงเรื่องสิทธิมนุษยชนของการ์ดกันคะ」
ในตอนที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่นั้นเอง
「…..หืม?」
มีอะไรบางอย่าง ส่งเสียงอึกทึกที่หน้าสถานี….. ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มคนจำนวนมากอยู่บริเวณหน้าสถานีทาชิคาวะ
「หืม? มีการพูดหาเสียงเลือกตั้งงั้นเหรอส์?」
「ดูจะไม่ใช่นะ…..สมาคมพระแม่ดารา—-ลัทธิเขาวงกตน่ะ」
ผมพูดออกไปพร้อมทำหน้ามุ่ย
『สวัสดีทุกท่าน พวกเราคือสมาคมพระแม่ดารา ลัทธิที่มอบความรักและได้รับความรักจากเหล่าผู้คนคะ』
เจ้าของเสียงนี้คือหญิงสาวที่สวยงามราวกับภูติ ผมสีขาว ผิวสีขาว และดวงตาสีแดงซีดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนเผือก ชุดแม่ชีที่เธอสวมก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่ราวกับตุ๊กตาแล้วจึงทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความพิศวง
『ถึงจะกะทันหันไปหน่อยแต่นี่คือคำถามคะ ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าวันที่ 7 เดือน 7 ปี 1999 เป็นวันอะไร?』
หญิงสาวถามคำถามที่แม้จะใช้ไมโครโฟนแต่เสียงที่ผ่านออกมานั้นก็ใสแจ่มชัด เหล่าคนที่งุนงงก็ต่างพากันตอบกลับไปทีละคน
『ทานาบาตะ? เสียใจด้วย! มีความสำคัญที่ปี 1999 ด้วยน้า~ คำทำนายครั้งใหญ่ของนอสตราดามุส? เกือบแล้ว! ค่อนข้างตรงประเด็นอยู่น้า เอ๋? อะไรนะอะไรนะ? ใช่แล้ว! คุณตรงนั้น ตอบได้เยี่ยมมากค่า! วันที่ 7 เดือน 7 ปี 1999 ไม่ใช่อะไรที่ไหนแต่เป็นวันเกิดของชั้นเองค่า~』
วิธีที่เธอพูด ผิดกับรูปลักษณ์ราวกับภูติของเธอ มีการเล่นตลกผสมอยู่ในนั้น ใช้ภาษาร่างกายที่ดูเกินจริง การแสดงออกที่สนุกสนาน และบทสนทนาที่รื่นเริง
พอรู้ตัวอีกทีบรรยากาศที่ดูระแวดระวังจากการที่เป็นนักบุญของลัทธิก็ได้ผ่อนคลายลงไป กลายเป็นรู้สึกเหมือนกำลังดูโชว์แสงสี
『เอาล่ะ พักเรื่องล้อกันเล่นน่าเบื่อเอาไว้ก่อนแล้วมาเฉลยคำตอบจริงๆกันดีกว่า อย่างที่ทุกท่านทราบกัน วันที่ 7 เดือน 7 ปี 1999 คือวันที่เขาวงกตได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกนี้ แล้วก็—-』
ครู่หนึ่ง หญิงสาวทำการมองใบหน้าของผู้คนไปทีละคน ด้วยนัยน์ตาสีแดงจ้องไปในดวงตา
-ตึกตัก- เสียงหัวใจเต้น
『—ยังเป็นวันที่”โชคร้าย”อันใหญ่หลวงได้หายไปจากโลกใบนี้อีกด้วย』
รู้สึกได้ว่าบรรยากาศถูกบีบอัดเข้าในคราวเดียว ตัวตนของกลุ่มคนค่อยๆลดลงไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นความรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่ามีแค่ตัวเธอเหลือเพียงคนเดียวในโลก…..
เดาว่าไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่รู้สึกถึงภาพลวงตานั้น
ก่อนที่จะรู้ตัว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมไปถึงโอริเบะและอันนา ต่างก็พากันตั้งใจฟังเรื่องของหญิงสาวโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
『พวกคุณทราบกันหรือไม่ค่ะ? นับตั้งแต่เขาวงกตปรากฏขึ้นมาแล้ว 20 ปี ไม่มีภัยพิบัติร้ายแรงเกิดขึ้นมาอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภายในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งนี้ สงครามได้เลือนหายไป, ประเทศกำลังพัฒนาที่เคยต้องดิ้นรนกับความยากจนค่อยๆร่ำรวยขึ้น, ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุและโรคร้ายค่อยๆลดลงอย่างมาก…..』
จริงอยู่ที่ใน 20 ปีที่ผ่านมานี้…..ไม่มีสงครามขนาดใหญ่หรือภัยพิบัติเกิดขึ้น ทุกประเทศรอบโลกล้วนพากันให้ความสนใจเขาวงกตในประเทศตัวเองมากกว่าดินแดนและทรัพยากรของประเทศอื่น
หินเวทที่สามารถหาได้จากเขาวงกต เมื่อนำไปใช้เป็นปุ๋ยจะมีพลังที่สามารถแปรสภาพทะเลทรายให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว เมื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงจะมีพลังงานที่มีประสิทธิภาพเกินกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
การใช้โพชั่นทางด้านพัฒนายา โรคภัยที่ว่ากันว่าไม่สามารถรักษาได้ค่อยๆหายไปทีละโรค ความตายจากอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงแทบหายไปจนหมด เว้นแต่จะเป็นการตายอย่างกะทันหัน
ในตอนนี้ สามารถพูดได้ว่าโลกได้เข้าสู่ยุคที่สงบสุขมากที่สุดในประวัติศาสตร์
『ใช่ เข้าใจแล้วสินะคะ? ทั้งหมดนี่ก็เนื่องมาจากเขาวงกต เขาวงกตคือความเมตตาของพระเจ้าที่คอยดูดซับโศกนาฏกรรมต่างๆ ของโลกนี้แล้วส่งคืนพวกมันกลับมาเป็นพรอย่างอุปกรณ์เวท』
หญิงสาวพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม แล้วข้อโต้แย้งก็ค่อยๆมีผุดขึ้นมา
แล้วจะอธิบายความเสียหายที่เกิดจากแองโกลมังร์ยังไง อะไรคือจุดสิ้นสุดที่รออยู่จากเขาวงกตที่เพิ่มขึ้นไม่มีหยุด?
ทว่าไม่มีอะไรออกมาเป็นคำพูด
…..เพราะท้ายที่สุด ตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์จากเขาวงกต
ต่อให้คิดว่าเขาวงกตมันอันตราย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถมองข้ามผลประโยชน์ที่มันนำมา
สำหรับผม ต้องขอบคุณเขาวงกตที่ทำให้ได้พบกับพวกเร็นกะ
ราวกับว่าเธอมองเห็นความคิดที่อยู่ในใจผม พอเธอสบตาผมเข้าก็ยิ้มออกมา
『ทุกท่าน มาสวดภาวนาแสดงความขอบคุณต่อเขาวงกตกันเถอะ นั่นก็เพราะ…..นั่นคือผู้กอบกู้ที่พวกเราเฝ้ารอคอยยังไงล่ะ』
และในตอนนั้นเองก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกมาจากระยะห่างออกไปเล็กน้อย
ผมที่เกือบจะถูกหญิงสาวครอบงำ -ห๊ะ-ได้สติกลับคืนมาแล้วจ้องมองไปทางพวกอันนา
「สวดภาวนาแสดงความขอบคุณอะไร! อย่ามาพูดบ้าๆนะ!」
「กรุณาใจเย็นๆก่อน! เดี๊- ได้โปรดอย่าใช้ความรุนแรงครับ!」
「พวกลัทธิไปให้พ้น!」
「พาท่านนักบุญหนีไปเร็วเข้า!」
อันนาพร้อมด้วยสีหน้ากังวล ทำการดึงแขนเสื้อของผม
「รุ่นพี่ แย่แล้วส์ล่ะ พวกเกลียดเขาวงกตล่ะ」
「อ-อา….. หนีกันไหม」
「อ-อืม」
ออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
…..สมาคมพระแม่ดาราที่นับว่าเป็นกลุ่มความเชื่อเล็กๆ กลายเป็นที่รู้จักกันในสาธารณะหลังจากเหตุการปะทะกันครั้งใหญ่กับกลุ่มเกลียดเขาวงกตเมื่อหลายปีก่อน
คำกล่าวอ้างของสมาคมพระแม่ดาราที่ยกเชิดชูให้เขาวงกตอยู่สูงสุด เป็นสิ่งที่รับไม่ได้จากเหล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์แองโกลมัวร์และครอบครัวผู้สูญเสีย จนวันหนึ่งพวกหัวรุนแรงในกลุ่มเกลียดเขาวงกตก็เข้าโจมตีสมาคมพระแม่ดารา
ผลของมันทำให้เกิดผู้เสียชีวิตหลายคน และสมาคมพระแม่ดาราที่เป็นกลุ่มความเชื่อเล็กๆ จู่ๆก็ได้โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี ในจุดนั้นมันก็ยังไม่ได้ถูกมองว่าเป็นลัทธิที่มีความอันตรายแต่อย่างใด
นั่นเพราะผู้เสียชีวิตคือแม่และลูกสาวที่ยังเด็กซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมพระแม่ดารา มันจึงถูกมองว่าเป็นผู้ถูกกระทำ
ทว่าในภายหลัง มีผู้ศรัทธาบางส่วนไปก่อเหตุลักพาตัวกลุ่มเกลียดเขาวงกตที่หนีการจับกุมอยู่ แล้วทำการฆาตกรรมพวกนั้นภายในเขาวงกต สมาคมพระแม่ดาราจึงถูกมองเป็นลัทธิในทันที
เพราะว่าในช่วงที่มีการค้นพบในช่วงเวลาการฆาตกรรม มีการทำพิธีกรรมคล้ายการถวายเครื่องสังเวยแก่เขาวงกต
นับแต่นั้นมา สมาคมพระแม่ดาราจึงกลายเป็นองค์กรความเชื่ออันตรายที่สนับสนุนอำนาจสูงสุดของเขาวงกต….. กลายเป็นอะไรที่คล้ายกับลัทธิเขาวงกต
สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว กลุ่มเกลียดเขาวงกตและลัทธิเขาวงกต คืออะไรที่เหมือนกันตรงที่ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
อันที่จริง สิ่งที่สมาคมพระแม่ดาราพูดก็เป็นอะไรที่บ้าเอามากๆ
ปลุกปั่นให้เกิดวิกฤติด้วยการพูดถึงอันตรายและโศกนาฏกรรมที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นวิธีการทั่วไปของลัทธิ
มาหลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 กันด้วยการสวดภาวนาของทุกคนกันเถอะ อะไรแบบนั้น
ในความจริงจะมีมหาภัยพิบัติอุบัติขึ้นบนโลก แต่ต้องขอบคุณเขาวงกตที่ช่วยให้รอดพ้นมาได้! ความไร้สาระมีมาอย่างไร้ขีดจำกัด
ขณะที่คิดอะไรแบบนั้นอยู่ ก็รู้สึกว่ามีอะไรมาดึงผมจากทางด้านหลังจึงหันกลับไปดู
「!」
นัยน์ตาสีแดง ประสานตากัน
ถึงแม้ว่าตัวเธอกำลังถูกกลุ่มเกลียดเขาวงกตรุกเข้าใกล้ด้วยสายตาอาฆาต เธอก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าอย่างใจเย็น
ผมรู้สึกได้ถึงพลังแปลกๆบางอย่าง จึงรีบหนีไปจากตรงนั้น ไม่ใช่ว่าหนีเพราะกลุ่มเกลียดเขาวงกต แต่หนีจากตัวหญิงสาว
【Tips】ลัทธิเขาวงกต
นับตั้งแต่เขาวงกตปรากฏขึ้นมา ในโลกนี้ก็ไม่เคยมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีกเลย
แม้ว่าจะมีความขัดแย้งเล็กๆอยู่ แต่สงครามก็ได้เลือนหายไปจากโลก
แล้วยังเชื้อเพลิงที่ผลิตจากหินเวทซึ่งว่ากันว่าเป็นพลังงานที่สะอาดที่สุดในโลก ผลิตพลังงานได้มากกว่าพลังงานนิวเคลียร์โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเช่นควันพิษ, ปุ๋ยที่ผลิตจากหินเวท ค่อยๆลบส่วนที่เป็นทะเลทรายบนโลก และในอนาคตอันใกล้ทะเลทรายก็จะหมดไป เหลือไว้เพียงแค่บางส่วนสำหรับการท่องเที่ยว
การใช้โพชั่นทางด้านพัฒนายา โรคภัยที่ว่ากันว่าไม่สามารถรักษาได้ค่อยๆหายไปทีละโรค ความตายจากอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงแทบหายไปจนหมด เว้นแต่จะเป็นการตายอย่างกะทันหัน
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ต้องขอบคุณเขาวงกตและความเมตตาของพระเจ้า….. นี่คือคำกล่าวอ้างของสมาคมพระแม่ดารา
จริงอยู่ว่าการมาของเขาวงกต ทำให้『โชคร้าย』มากมายหายไป ทว่าในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า ภัยคุกคามใหม่ที่เรียกว่าแองโกลมัวร์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน