ตอนที่ 409 ชาน้ำผึ้งกับคนมากเรื่อง
วิชาอัศจรรย์แฝงซ่อนของอักษรจิ๋วบนเทียบเจตกระบี่ถือว่ามีมาตั้งแต่เกิด บางครั้งจี้หยวนไม่ใส่ใจยังมองข้ามโดยง่าย หลังจากคุ้นเคยแล้วพวกอักษรจิ๋วจึง ‘ไม่อาจหลบเร้น’
จูหยวนจื่อสมเป็นเซียนอาวุโสแห่งเขาล้อมหยกซึ่งฝึกปราณมาเจ็ดแปดร้อยปี ความสูงส่งของมรรควิถีด้อยกว่าขอทานชราเมื่อปีนั้นเล็กน้อย ถึงขั้นสังเกตเห็นการจับจ้องของอักษรจิ๋วรางๆ
เขาขมวดคิ้วมองบนต้นไม้ หลังจากตรวจสอบครู่หนึ่งกลับรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ คล้ายว่าคิดไปเอง แต่ผู้มีพลังปราณอย่างจูหยวนจื่อคงพูดไม่ได้ว่า ‘คิดไปเอง’
จากนั้นเขาหาคำอธิบายซึ่งสมเหตุผลในใจ สาเหตุคงเป็นเพราะต้นพุทรานี้ไม่ธรรมดา ได้ยินว่าต้นพุทรานี้มีสติปัญญา แม้ว่ายังไม่เคยควบรวมจิตวิญญาณ แต่สุดท้ายก็เป็นต้นพุทราของเรือนสันติ แน่นอนว่าไม่ธรรมดา
การจับจ้องเลือนรางเมื่อครู่น่าจะมาจากต้นพุทรานี้
ขอแค่จูหยวนจื่อไม่ถาม จี้หยวนย่อมถือว่าไม่เห็น เขารินน้ำชาอุ่นร้อนให้ทุกคนในที่นั้นทีละถ้วยโดยไม่แบ่งเด็กหรือชรา
ยามจี้หยวนรินชายังสังเกตคนพวกนี้ด้วย จูหยวนจื่อกับฉิวเฟิงไม่ต้องพูดถึง เซียนหยางหมิงเขาเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก พบว่าภายนอกเขาเป็นคนเคร่งขรึม แต่ดูจากท่าทางของเด็กสองคนเมื่อปีนั้น น่าจะเข้าข้างพวกตัวเองมาก
ส่วนซ่างอีอีสง่างามผ่าเผยยิ่งกว่าเดิม แต่ค่อนข้างสำรวม ยามกล่าวขอบคุณเสียงเบามาก เว่ยหยวนเซิงกลับโตเป็นเด็กหนุ่มแข็งแรงคนหนึ่ง แม้ว่าไม่ได้ตัวนุ่มน่ารักเหมือนตอนนั้น แต่ยังคงฉลาดเฉลียว
ส่วนเว่ยอู๋เว่ยท่าทางยังเหมือนตอนนั้น แต่ปณิธานเปลี่ยนไปแล้ว เรื่องนี้พอมองออกจากกลิ่นอาย
ยามรินชาให้กับเว่ยหยวนเซิง เขารีบยกถ้วยชาขึ้นมารับน้ำชา สำหรับคนธรรมดาการทำเช่นนี้ย่อมง่ายต่อการลวกมือ แต่ถึงอย่างไรทุกคนในที่นี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา จี้หยวนจึงยกกาน้ำชารินให้เขาทั้งอย่างนั้น
ก่อนหน้านี้เว่ยหยวนเซิงกินขนมบนโต๊ะสองสามชิ้นแล้ว ได้แค่กล่าวว่ารสชาติพอใช้ได้ ทั้งดาษดื่นธรรมดาเช่นเดียวกัน ตอนนี้ได้กลิ่นหอมของชา ความจริงไม่ได้พิเศษอะไร ทั้งไม่มีปราณวิญญาณแฝงซ่อนด้วย
เว่ยหยวนเซิงไม่ได้ผิดหวัง เขากลอกตาคราหนึ่ง มือยังคอยเติมชา ส่วนปากเอ่ยกล่าวแล้ว
“ท่านจี้ ตระกูลเว่ยของพวกเรามีไร่ชาหลายแห่ง มีชาชั้นดีมากมาย อีกสักพักค่อยสั่งคนนำมาส่งให้ท่านหน่อยดีหรือไม่ ยังมีช่างทำขนมของตระกูลเว่ย ท่านรู้ฝีมือของพวกเขาอยู่แล้ว ส่งมาอำเภอหนิงอันสักสองคน ทำของให้ท่านกินโดยเฉพาะ หากไม่อาศัยอยู่เรือนสันติค่อยให้พวกเขาซื้อบ้านอยู่ในอำเภอ”
เว่ยหยวนเซิงพูดพลางยิ้มระรื่น ความรู้สึกเหมือนล้อเล่นนัก แต่ถ้าจี้หยวนพยักหน้า เขาย่อมทำให้เป็นเรื่องจริงทันที
จี้หยวนเก็บกาน้ำชาพลางยิ้มกล่าว
“เจ้าเด็กคนนี้ว่าน้ำชากับขนมของข้าคนแซ่จี้ไม่อร่อยหรือ!”
“เป็นแบบนั้นเสียที่ไหน หยวนเซิงแค่คิดว่าอำเภอหนิงอันอาจซื้อของชั้นดีไม่ได้ แม้แต่จังหวัดเต๋อเซิ่งยังหายากเช่นกัน แต่ตระกูลเว่ยของพวกเราย่อมมีของชั้นดี ใช่หรือไม่ท่านพ่อ”
เว่ยอู๋เว่ยกระแอมดังแค่กๆ เผยรอยยิ้มประสานมือขออภัยจี้หยวน
“ท่านจี้โปรดอภัย เด็กพูดจาไม่เป็น!”
“ฮ่าๆๆ ผู้นำตระกูลเว่ยอย่างท่านความรู้สึกไวยิ่งกว่าผี ปากกล่าวขออภัย แต่ภายในใจกลับมองออกว่าข้าไม่ได้โกรธ ช่างเถอะๆ ใกล้ปีใหม่พวกท่านมาเยือนเป็นครั้งแรก ข้าจะให้พวกท่านชิมของดีหน่อย”
จี้หยวนอารมณ์ดี ยิ้มพลางกลับเข้าห้องครัว
รอเมื่อจี้หยวนจากไป เว่ยอู๋เว่ยตบกะโหลกเว่ยหยวนเซิงคราหนึ่งทันที ฝ่ายร้องร้องโอ๊ย ก่อนจับมือฉิวเฟิง
“อาจารย์ ท่านพ่อตบข้า!”
“สมควรโดน ต่อหน้าผู้อาวุโสไม่รู้จักความพอดี!”
ฉิวเฟิงด่าประโยคหนึ่ง แต่บนหน้ากลับแย้มยิ้ม ใช่ว่าเพราะเว่ยหยวนเซิงทำตัวกะล่อน หากแต่รู้ดีว่าศิษย์ล้ำค่าคนนี้ของตนสนิทกับท่านจี้ สามารถพูดเล่นโดยไม่มีความรู้สึกกังวลใดๆ
ฉิวเฟิงรู้ดียิ่ง อย่างน้อยไม่ต้องกล่าวถึงเขากับศิษย์พี่หยางหมิง ต่อให้เป็นผู้อาวุโสจูหยวนจื่อก็ยังไม่แน่ว่าจะเอ่ยปาก ทั้งไม่แน่ว่าจะกล้าพูด
“ศิษย์หลานคารมคมคาย เว่ยหยวนเซิงถูกสอนมาดี!”
เซียนหยางหมิงกล่าวกับเว่ยอู๋เว่ย ฝ่ายหลังแค่ยิ้มรับเล็กน้อย
“หึๆๆๆ เด็กกระฉับกระเฉง เขาล้อมหยกของพวกเราเปี่ยมชีวิตชีวา…”
จูหยวนจื่อลูบเครากล่าวชม คิดเอ่ยปากต่อแต่พลันเงยหน้ามองยอดต้นไม้เหมือนคนบ้า เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนบนนั้นมีเสียงดังสวบสาบระลอกหนึ่ง คล้ายเสียงหายใจแผ่วเบา ทั้งเหมือนเสียงหัวเราะเซ็งแซ่ดังสั้นๆ
“เซียนจู ท่านกำลังมองอะไรหรือ”
หยางหมิงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง เงยหน้ามองยอดต้นไม้โดยละเอียด จากนั้นค่อยพบความพิเศษ เขาเห็นว่าบางกิ่งก้านมีประกายแสงเลือนราง เมื่อมองโดยละเอียดจึงเห็นว่าเป็นสีแดงเข้ม
‘พุทราเพลิง!’
ในใจหยางหมิงเกิดการรู้แจ้ง เล่าลือว่าต้นพุทราภายในเรือนสันติของท่านจี้ฝึกสำเร็จนานแล้ว ไม่เพียงมีสติปัญญา มันยังเป็นต้นแก่นวิญญาณหายากต้นหนึ่งด้วย
สิ่งที่เรียกว่าต้นแก่นวิญญาณคือต้นไม้ออกผลวิญญาณได้
ใช่ว่าต้นไม้อะไรล้วนทำได้ ต่อให้ต้นส้มเป็นภูต ไม่แน่ว่ามันจะเป็นต้นแก่นวิญญาณ ปราณวิญญาณส้มย่อมมีอยู่บ้าง แต่ต่างจากผลวิญญาณไม่ใช่แค่หนึ่งแสนแปดพันลี้
ผลวิญญาณของต้นแก่นวิญญาณต่างมีความอัศจรรย์ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของต้นไม้วิญญาณและจุดเปลี่ยนซึ่งมีโอกาสน้อยมาก จุดเปลี่ยนนี้ไม่ได้มีอิทธิพลจากความยิ่งใหญ่ของปราณวิญญาณหรือความแข็งแกร่งของพลัง เป็นไปได้ว่าสาเหตุเล็กจ้อยอาจสร้างผลยิ่งใหญ่ ถือเป็นอิทธิพลลึกลับเกินคาดเดา มีโอกาสสูงว่าคนผู้หนึ่งบรรเลงพิณใต้ต้นไม้ก็เป็นจุดเปลี่ยนได้ ทั้งอาจประสบความสำเร็จหลังจากผ่านเคราะห์อสนีบาตฟาดผ่า
“เซียนจูกำลังมองพุทราเพลิงนั่นหรือ”
จูหยวนจื่อก้มหน้า เห็นทุกคนทั้งซ้ายขวาเงยหน้ามองยอดต้นไม้เพราะตน เขาส่ายศีรษะพลางกล่าว
“ได้ยินชื่อเสียงพุทราเพลิงมานานแล้ว วันนี้พบเห็นไม่ธรรมดาจริงๆ พลังปราณพวกเจ้าตื้นเขินอยู่บ้างคงไม่รู้สึกอะไร ความจริงเรือนสันติแห่งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน”
จูหยวนจื่อมองไปทางห้องครัวก่อนกล่าวเสียงเบา
“ภายใต้ต้นพุทราซึ่งพวกเรานั่งอยู่ ความเข้มข้นของปราณวิญญาณแทบไม่ด้อยกว่าแดนปราชญ์ล้อมหยกของพวกเรา ทั้งเผยลักษณ์เพลิงไพร ชำระกายใจหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ต้นพุทรานี้มีส่วนช่วยอย่างมาก”
“หา? ปราณวิญญาณ?”
ซ่างอีอีพูดอย่างสงสัย ความจริงไม่ใช่แค่นาง เว่ยหยวนเซิงกับเว่ยอู๋เว่ยก็รู้สึกสงสัย แม้แต่ฉิวเฟิงกับหยางหมิงยังมุ่นคิ้ว
“หึๆ ข้าจึงบอกว่าเรือนเล็กแห่งนี้ไม่ธรรมดา ที่พักของท่านจี้พวกเจ้ามองเค้าเงื่อนออกตามใจได้หรือ แผ่นป้ายข้างนอกแสงเทพซุ่มซ่อน มายาฟ้าดินซึ่งปกคลุมมีสองส่วน พวกเจ้ารับรู้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น!”
จูหยวนจื่อลูบเคราแย้มยิ้ม จากนั้นสายตาเคลื่อนมองเหนือศีรษะอีกครั้ง
‘หรือว่าสิ่งที่ข้าสัมผัสได้เมื่อครู่คือ…พุทราเพลิงพวกนั้น’
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา จูหยวนจื่อเองยังตกใจ หากผลวิญญาณทำได้ถึงขั้นนี้ นั่นคงน่าตกตะลึงเกินไปแล้วกระมัง!
ความคิดนี้ยิ่งนึกยิ่งเป็นไปได้ ถึงอย่างไรความรู้สึกก่อนหน้านี้ก็ค่อนข้างละเอียดซับซ้อน ถ้าพูดว่ามาจากต้นพุทราอัศจรรย์ต้นเดียวคงฝืนอยู่บ้าง หากเป็นพุทราเพลิงจำนวนมากย่อมใกล้เคียงแล้ว…
“ทุกท่านรอนานแล้ว”
เสียงจี้หยวนขัดจังหวะความคิดของทุกคน เขาเดินออกมาจากห้องครัวแล้ว บนมือยังถือโถดินเผาใบเล็กปิดฝามาด้วย
“ทุกท่านโปรดดื่มน้ำชาบนมือ ค่อยลองชิมสิ่งนี้!”
จี้หยวนกล่าวประโยคหนึ่ง เปิดฝากาน้ำชาก่อนเปิดโถดินเผา ใช้ช้อนขนาดเล็กตักของออกมาสองช้อนใส่กาน้ำชา
ทุกคนเห็นชัดเจน ชัดแจ้งว่าเปล่งประกายเป็นสายเล็ก ทั้งมีกลิ่นหอมหวานพิเศษลอยมารางๆ
“ท่านจี้ นี่คืออะไร”
เว่ยหยวนเซิงเอ่ยถามอย่างสงสัย เขารู้สึกว่าของสิ่งนี้เหมือนน้ำตาล แต่ไม่มีทางธรรมดาแน่
จี้หยวนไม่อยากใส่มากนัก แค่สองช้อนแล้วปิดฝาโถดินเผาทันที มองยอดต้นพุทราเหนือศีรษะพลางกล่าว
“ต้นพุทรากลางลานนี้ไม่ออกดอกมาหลายปี ตอนนั้นยามดอกพุทราเบ่งบาน ดึงดูดฝูงผึ้งมาตอมเกสรเก็บน้ำหวาน ส่วนสิ่งนี้คือน้ำผึ้งพุทราเพลิงนั่น คล้ายว่ามีความอัศจรรย์เฉพาะตัวอยู่บ้าง”
จี้หยวนหยิบกาน้ำชาที่เหลือครึ่งกาขึ้นมาเขย่าเล็กน้อย ทำให้ความหวานข้างในเท่ากัน
“มา ลองชิมน้ำชานี้”
เขาพูดพลางรินชาให้ทุกคนอีกครั้ง หลังจากรินเสร็จกาน้ำชาขอดก้นพอดี
เมื่อรินชาถ้วยนี้ ตอนอยู่ภายในกาน้ำชายังไม่รู้สึกอะไร แต่พอรินลงในถ้วย กลิ่นหอมเข้มข้นพลันแผ่กระจายออกมา ทำให้คนด้อยสมาธิกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้
เว่ยหยวนเซิงรอชาถ้วยใหม่ของตนรินเสร็จ เขาดื่มสองอึกใหญ่อย่างอดไม่ได้ รู้สึกเพียงรสหอมหวานพลุ่งพล่านในปาก แต่กลับไม่เลี่ยนแม้แต่น้อย ทั้งมีกำลังไฟนุ่มนวลไหลวนในโพรงปาก ต่อมาค่อยแทรกซึมเข้าร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น
คนอื่นต่างกำลังดื่มชา ส่วนจูหยวนจื่อมองยอดต้นพุทราเล็กน้อยตามจิตใต้สำนึก จ้องมองพุทราเพลิงซึ่งซ่อนอยู่ในนั้น จากนั้นค่อยพูดตรงประเด็นกับจี้หยวน
“ขอบคุณท่านที่ต้อนรับ พวกเรามาครั้งนี้ นอกจากอวยพรปีใหม่ท่านล่วงหน้าแล้ว ยังมายืนยันเรื่องที่ท่านจะไปเขาล้อมหยกหลังจากนี้ด้วย เพื่อง่ายต่อการเตรียมตัว”
เซียนหยางหมิงก็กล่าว
“ไม่ผิด ท่านมาเยือนเขาล้อมหยกเป็นครั้งแรก พวกเราไม่กล้าละเลย มาเยี่ยมเยียนล่วงหน้าโดยเฉพาะ”
จี้หยวนดื่มชาของตนอึกหนึ่ง ชิมรสชาติแล้วรู้สึกว่าหวานอ่อนๆ ค่อนข้างพอใจก่อนกล่าวตอบ
“หึๆ ไม่ต้องตั้งใจเตรียมอะไร ข้าไม่ได้ไปชิงยันต์บัญชาภูผาของพวกท่าน แค่เจรจาเรื่องไปทวีปนิรันดร์กับพวกท่าน หากพวกท่านมาคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ ข้าย่อมไม่ไปเขาล้อมหยกแล้ว”
เห็นชัดว่าจูหยวนจื่อพลันอึ้งงัน
“เอ่อ… หึๆ ท่านจี้ล้อเล่นแล้ว”
“ใช่ๆๆ ท่านจี้อย่าล้อเล่นเลย เขาล้อมหยกยินดีต้อนรับท่านอย่างยิ่ง”
ฉิวเฟิงร้อนรนอยู่บ้าง ท่านจี้ไม่ไปได้อย่างไร เว่ยหยวนเซิงยังกล้าพูดตามเคย หลังจากดื่มชาจนหมด ปฏิเสธน้ำชาซึ่งบิดามอบให้เขา ก่อนสอดปากกล่าว
“ท่านจี้ไม่อาจไม่รักษาคำพูด ทั้งเขาล้อมหยกต่างรู้ว่าท่านจะไป หากว่าหลังจากพวกเรามาแล้วท่านไม่ไป ไม่เท่ากับว่าโทษพวกเราหรือ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะถูกปรักปรำเพียงใด!”
ซ่างอีอีกล่าวอืมแผ่วเบาอยู่ด้านข้าง
“ฮ่าๆๆ แค่ล้อเล่นเท่านั้น ล้อเล่น…”
จี้หยวนหัวเราะพลางมองจูหยวนจื่ออย่างจริงจัง
“เขาล้อมหยกออกเดินทางเมื่อไหร่ พาข้าร่วมทางไปด้วยได้หรือไม่”
“ท่านอยากไป แน่นอนว่าพวกเราเขาล้อมหยกไม่กล้าละเลย โปรดวางใจ ยามมาเยือนค่อยเชิญท่านไปด้วยกัน”
จูหยวนจื่อพูดถึงตรงนี้ก่อนลังเลเล็กน้อย แต่ยังบอกความลับบางส่วนออกมา
“ความจริงพวกเราเขาล้อมหยกไม่ไปงานชุมนุมเซียนพเนจรสองคราแล้ว แน่นอนว่าต่อให้เขาล้อมหยกปฏิเสธแค่ไหน แต่เทียบเชิญยังส่งมาทุกครั้ง ปีนั้นศิษย์น้องจื่ออวี้เคยก่อคลื่นลมที่งานชุมนุมเซียนพเนจรเล็กน้อย พวกเราจึงไม่ไปสองครั้ง ครั้งนี้ท่านเรียนเชิญ ถือเป็นโอกาสซึ่งพวกเราคิดไปอีกครั้งพอดี นับว่าเป็นวาสนา!”
จี้หยวนเห็นจูหยวนจื่อยิ้มอย่างจริงใจ ในใจลอบกล่าวว่า ‘ข้าคงเชื่อเจ้าหรอก’ ความรู้สึกบอกว่าเดิมครั้งนี้เขาล้อมหยกมีโอกาสสูงว่าไม่คิดไปเช่นกัน
“เซียนจื่ออวี้คนนี้เป็นคนอย่างไร ยังอยู่เขาล้อมหยกหรือไม่ เรื่องที่เขาก่อไม่น้อยเลย!”
จี้หยวนเอ่ยถามประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จำได้ว่าตอนนั้นยามมังกรเฒ่าแปลงมังกร คนผู้นี้คล้ายอยู่เบื้องหลังเช่นกัน ก่อเรื่องจนมังกรเฒ่าผูกพยาบาทกับเขาล้อมหยก…
“หึๆ ตอนนั้นหลังจากประมุขมังกรบุกเขาล้อมหยก ศิษย์น้องจื่ออวี้ไม่เคยกลับมาเขาล้อมหยกอีก”
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย
“ถือเป็นคนมากเรื่องจริงๆ!”