ตอนที่ 402 รับจดหมายส่งจดหมาย
ตอนนั้นยามจี้หยวนได้รับเทียบเจตกระบี่มาเขาชอบจนตำราไม่ห่างมือ ไม่รู้ว่าเคยอ่านตำรากลางลานแห่งนี้มากี่รอบ ทั้งไม่รู้ว่าเปิดเทียบอักษรใช้กิ่งไม้ร่ายกระบี่ใต้ต้นไม้กี่ครั้ง
ดังนั้นแน่นอนว่าต้นพุทราไม่มีทางไม่รู้จักเทียบเจตกระบี่ ความจริงคือคิดไม่ถึงว่าตัวอักษรบนเทียบอักษรแผ่นนี้กลับสามารถส่งเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วได้
จี้หยวนมองลำต้นพุทรา ดังคำว่าต้นไม้ใบหญ้ามีจิตวิญญาณ ความจริงแม้ว่าพวกต้นไม้ใบหญ้าถูกจำกัดด้วยพื้นดิน แทบไม่อาจเคลื่อนไหว ถูกคนทั่วไปเข้าใจว่าเฉื่อยชาไม่มีความคิด แต่ความจริงต้นไม้เปี่ยมจิตวิญญาณมักฉลาดและมีสติปัญญายิ่งกว่าสัตว์ตื่นรู้
ยามเจออักษรจิ๋วพวกนี้ครั้งแรกแม้แต่เขาคนแซ่จี้ยังตกใจอยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต้นพุทรา ทว่าสุดท้ายก็เป็นสิ่งคุ้นเคย ไม่นานกิ่งก้านต้นพุทราเริ่มพลิ้วไหวตามลมใหม่อีกครั้ง แสดงออกว่ายอมรับ
แม้ว่าอักษรจิ๋วพวกนี้ส่งเสียงเอะอะ แต่ช่วงนี้การสั่งสอนของนายใหญ่อย่างจี้หยวนถือว่าไม่สูญเปล่า ดังนั้นตอนนี้เมื่อมาถึงเรือนสันติ แม้ว่าพวกอักษรจิ๋วยังปกปิดความตื่นเต้นไม่อยู่ แต่ความจริงถือว่าสงบเสงี่ยมลงมามากแล้ว เอาเถอะ ความสงบเสงี่ยมนี้เป็นแค่คำเปรียบเทียบ ถ้ามีคนเข้าใกล้เรือนสันติคงได้ยินเสียงเซ็งแซ่พวกนี้แล้ว
หนึ่งตัว สองตัว สามตัว สี่ตัว…
อักษรจิ๋วทยอยกระโดดออกมาจากเทียบเจตกระบี่ ต่อให้ก่อนหน้านี้มีบางส่วนกำลังหลับอยู่ก็ถูกอักษรจิ๋วตัวอื่นซึ่งรู้จักมักคุ้นกันลากออกมา จากนั้นค่อยตื่นเต้นจนออกมาข้างนอกเช่นกัน
คล้ายว่าในเรือนสันติอบอวลด้วยสายลมเย็นเปี่ยมปราณวิญญาณ อักษรจิ๋วร้อยกว่าตัวลอยไปลอยมากลางเรือนเล็ก ตั้งแต่ถูกเขียนขึ้นมาแม้ว่าเทียบเจตกระบี่มีจิตวิญญาณนานแล้ว แต่สำหรับพวกอักษรจิ๋ว ที่นี่คือสถานที่ซึ่งพวกมันเริ่มเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา เป็นบ้านอย่างแท้จริง
เมื่อก่อนอักษรจิ๋วพวกนี้ดูหิวตลอด กินหมึกพวกนั้นจนเสียของ แต่ครั้งก่อนหลังจากจี้หยวนเขียนหมึกให้พวกมันใหม่ ถึงตอนนี้แต่ละตัวยังยืนหยัดอยู่ ไม่ได้สูญเสียพลังวิญญาณไป ดังนั้นพลังจึงเต็มเปี่ยมยิ่งกว่าเดิม
“เอาล่ะ พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าไปหาบน้ำจนเต็มโอ่งก่อน”
ชีวิตต้องมีแบบแผน สำหรับจี้หยวนการหาบน้ำ ต้มชา ทำอาหารที่บ้านตนถือเป็นแบบแผนอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่ใช่คนบื้อ ก่อนหน้านี้ภายในบ้านมีฝุ่นเยอะมาก ตนทำความสะอาดคนเดียวคงใช้เวลาหลายวัน ถึงขั้นว่าครึ่งเดือนยังทำไม่เสร็จ ย่อมต้องตัดสินใจสำแดงวิชา
ตอนนี้จี้หยวนมองบ่อน้ำกลางลานซึ่งปิดด้วยแผ่นหินมาตลอด ทั้งนึกถึงผีร้ายซึ่งโผล่ออกมาจากบ่อน้ำเมื่อตอนนั้น ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเลิกหวัง หยิบไม้คานกับถังน้ำขึ้นมา กำลังจะออกไปตักน้ำ
ก่อนออกไปเขากวักมือเรียกกระเรียนกระดาษ ฝ่ายหลังกระพือปีกแผ่วเบาบินมาถึงข้างกายจี้หยวน มือซ้ายจี้หยวนประคองไม้คาน มือขวายื่นนิ้วชี้ออกมา แตะศีรษะกระเรียนกระดาษเบาๆ จิตรับรู้กับพลังแผ่เข้าไปพร้อมกันช้าๆ
“ไปเยือนเขาล้อมหยกสักรอบ ถือว่าส่งสารทักทายแทนข้า บอกว่าภายในสามเดือนข้าคนแซ่จี้ย่อมไปเยี่ยมเยียนถึงที่ หากตั้งใจไปงานชุมนุมเซียนพเนจรล่วงหน้าและสะดวกก็โปรดรอข้าคนแซ่จี้ด้วย”
เขาพูดพลางสื่อจิต รอเมื่อจี้หยวนกล่าวจบ จิตรับรู้ซึมซาบเข้าสู่ตัวกระเรียนกระดาษแล้ว ฝ่ายหลังกระพือปีกอย่างรวดเร็ว ถือเป็นการแสดงออกว่าจะเดินทางทันที
“ไม่รีบร้อน ข้าช่วยส่งเจ้าสักหน่อย!”
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย ผายมือรับกระเรียนกระดาษ จากนั้นรอบฝ่ามือปรากฏลมหมุนวนแผ่วเบาสายหนึ่ง ลมโคจรเกิดแสงขาวเลือนรางเป็นระลอก ความเร็วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ไป”
จี้หยวนพลันยกมือขึ้น
วู้ม…
สายลมคลั่งก่อตัวแค่รัศมีหนึ่งฝ่ามือ ผลกระทบทำให้ต้นพุทรากลางลานกิ่งก้านส่ายสั่น ส่วนกระเรียนกระดาษฝ่าลมหายไปจากขอบฟ้าแล้ว
งานชุมนุมเซียนพเนจรยังมีเวลาหลายปี ผู้ร่วมงานของเขาล้อมหยกคงไม่ออกเดินทางล่วงหน้า การถือโอกาสกล่าวถึงนับว่าเป็นการกล่าวเตือน
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย คราวนี้ค่อยหาบคานออกไป
ตอนนี้ใกล้เวลาเที่ยงวันแล้ว ตรงตรอกเทียนหนิวคนเดินข้างนอกไม่มากนัก กอปรกับเรือนสันติอยู่ห่างไกลเป็นทุนเดิม จี้หยวนหาบคานเดินมายังไม่เจอใครสักคน
กระทั่งมาถึงบ่อน้ำคู่ของตรอกเทียนหนิวจึงคึกคักขึ้นมา มีคนซักผ้ามีคนล้างผัก ทั้งพูดคุยและหัวเราะ ส่วนใหญ่เป็นฮูหยินในตรอก มีคนใช้น้ำที่นี่มากถึงสิบกว่าคน
แม้ว่าหน้าหนาวมือถูกแช่แข็งจนแดงก่ำ แต่กลับไม่หยุดมือแม้แต่น้อย
เมื่อจี้หยวนหาบคานมาถึง ทำให้เสียงพวกนี้เงียบลงชั่วขณะ คล้ายปีนั้นยามมาตักน้ำตรงบ่อน้ำคู่ครั้งแรกอยู่บ้าง
“เอ๊ะ คนผู้นั้นเป็นใครกัน”
“ท่าทางสุภาพนัก!”
“มาหาบน้ำ เขาเป็นคนในตรอกพวกเราหรือ”
“ไม่เคยเห็นมาก่อน!”
นี่คือเสียงของเหล่าแม่นางรุ่นเยาว์ บางคนเขินอายและอดมองชายชุดขาวท่าทางสง่างามอย่างจี้หยวนไม่ได้
แม้ว่าคนรุ่นป้าอายุมากไม่รู้จัก แต่ยังมีสองสามคนขมวดคิ้วมองจี้หยวนตลอด
“หือ แม่เสี่ยวตง เจ้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นหน้าหรือไม่”
ฮูหยินคนหนึ่งซึ่งกำลังขยี้ผ้าถามเพื่อนบ้านด้านข้าง ฮูหยินที่ถูกถามชุดนวมฝ้ายลายดอก กำลังขมวดคิ้วซักผ้าปูในมือ
“จริงด้วย รูปร่างหน้าตาดีนัก ภายในตรอกพวกเรามีคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…”
ฮูหยินหยุดพูดกะทันหัน เห็นจี้หยวนเดินมาข้างบ่อน้ำคู่ เขาม้วนแขนเสื้อขึ้น ทำท่าหมุนรอกตักน้ำ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันปรากฏในสมอง หน้าแดงเรื่อขึ้นมา
“โธ่เอ๋ย เจ้าหน้าแดงทำไม ข้านึกไม่ออกว่าภายในตรอกพวกเรามีบุคคลชั้นยอดเช่นนี้ด้วย!”
ฮูหยินคนนั้นถูกเรียกจนตัวสั่นตามจิตใต้สำนึก ขยี้ผ้าปูเหมือนร้อนตัวอยู่บ้าง ปีนั้นนางยังอายุน้อย เคยเจอคุณชายคนนั้นมาตักน้ำตรงบ่อน้ำคู่แห่งนี้สองสามรอบ
ตรอกเทียนหนิวชาวบ้านอยู่อย่างเรียบง่าย หญิงสาวยิ่งออกจากบ้านน้อยนัก พบเจอเหล่าชายหนุ่มรูปงามน้อยมาก ตอนนั้นท่านจี้แห่งเรือนสันติถือเป็นชายในฝันของหญิงสาวหลายคน
แต่หลายปีมานี้ความฝันของเหล่าเด็กสาวพังทลายนานแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแต่งออกไปที่อื่น ไม่ใช่ตรอกอื่นในอำเภอ แต่เป็นหมู่บ้านอื่นในอำเภอ นับว่าฮูหยินคนนี้เป็นหญิงสาวส่วนน้อยซึ่งแต่งกับคนภายในตรอก
เมื่อก่อนยามเยาว์วัยนางเหมือนหญิงสาวพวกนี้ บ้วนปากล้างหน้าซักเสื้อผ้าพูดคุยยิ้มเบิกบานกับคนรุ่นป้าอยู่ที่นี่ ตอนนี้คนรุ่นป้าในอดีตล้วนแก่ตัวแล้ว ส่วนตนกลายเป็นคนรุ่นป้าแทน
ภายในต้าเจินคนแก่ทั่วไปอยู่ถึงอายุหกสิบกว่าปีก็ไม่ไหวแล้ว ถ้ามีชีวิตถึงเจ็ดสิบปีขึ้นไปนับว่าอายุยืน อย่างฉินจื่อโจวถือเป็นเทพอายุยืนแล้ว
ฮูหยินไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงคิดมากขนาดนี้ รอเมื่อตอบสนองกลับมา จี้หยวนตักน้ำถังที่สองแล้ว
“เฮ้อ พูดสิ เจ้าโง่ไปแล้วหรือ”
ฮูหยินด้านข้างใช้ไหล่สะกิดเพื่อนบ้าน ทำให้ท่านป้าซึ่งหวนนึกถึงสมัยยังสาวชั่วขณะดึงสติกลับมา
“อะ อ้อ! เขา ขะ ข้ารู้สึกว่าเขาเหมือนท่านจี้แห่งเรือนสันติอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจนัก…”
“ท่านจี้? ท่านจี้คนไหน”
ฮูหยินด้านข้างแต่งเข้าตรอกเทียนหนิวมาจากสถานที่อื่น แม้ว่าตอนนางแต่งเข้ามาจี้หยวนเคยกลับเรือนสันติสองครั้ง แต่ความจริงส่วนใหญ่คือนอน ดังนั้นถ้าว่ากันตามจริง ยี่สิบปีมานี้นอกจากคนส่วนน้อยบางจุด ในสายตาคนอำเภอหนิงอันจี้หยวนแทบไม่ออกมาโลดแล่นเท่าไหร่
ปีนั้นยามจี้หยวนมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วอำเภอหนิงอัน ความจริงคนส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้จักเขา ข่าวลือยามว่างหลังอาหารแค่บอกว่า ‘เขาคนนั้นๆ’ นับประสาอะไรกับปัจจุบัน
แต่ฮูหยินสวมชุดนวมฝ้ายลายดอกคนนั้นกลับไม่ตอบ ด้วยจี้หยวนตักน้ำหาบคานลุกขึ้นมาแล้ว นางลุกขึ้นตามจิตใต้สำนึก สะบัดน้ำบนมือก่อนเช็ดเสื้อผ้า
“ท่านจี้?”
เสียงนี้ไม่ถือว่าดังแต่ไม่นับว่าเบา ด้วยเดิมทีคนโดยรอบกำลังวิจารณ์คุณชายชุดขาวคนนี้เสียงเบา ดังนั้นจึงถือว่าได้ยินถนัดหู
จี้หยวนซึ่งเดิมเดินไปสองสามก้าวหยุดชะงัก ถังน้ำซึ่งบรรจุจนเต็มทั้งหน้าหลังไหวสั่น น้ำในนั้นเหมือนกระเพื่อมรุนแรง แต่ความจริงไม่สาดออกมาสักหยด
สองมือจี้หยวนรั้งเชือกตะขอ เบี่ยงตัวมองฮูหยินคนนั้น พยักหน้าให้นางเล็กน้อย จากนั้นค่อยรีบหาบคานจับเชือกตะขอเดินจากไป
“เป็นท่านจี้จริงด้วย ใช่จริงๆ! ท่านจี้ยังสุภาพสง่างามเหมือนเดิม…”
ด้วยการพยักหน้าสบตาครานั้น ฮูหยินชุดนวมฝ้ายลายดอกหน้าแดงเล็กน้อย แต่ต่อมากลับหลุดขำอย่างหมดคำพูด นาบมือเย็นเชียบทั้งสองลงบนหน้า
“หือ ท่านจี้เป็นใครกัน”
“ท่านจี้น่ะหรือ เป็นผู้อาศัยอยู่ตรอกเทียนหนิวเหมือนพวกเรา เป็นคนดีมาก… เจ้าลองไปถามสามีหรือพ่อสามีแม่สามี พวกเขาย่อมรู้แน่…”
จากนั้นเสียงหัวเราะเบิกบานด้านหลังดังขึ้นอีกครั้ง จี้หยวนเดินตามทางสายเล็กกลับเรือนสันติแล้ว
“เฮ้อ สำหรับคนทั่วไปเวลาผ่านไปเร็วจริง…”
จี้หยวนทอดถอนใจกลับมาถึงเรือนสันติ เทน้ำสองถังลงโอ่งด้วยตัวเอง
เขาซึ่งเดิมควรกลับไปหาบน้ำทันที กลับเจตนารออีกเกือบครึ่งชั่วยามค่อยไปบ่อน้ำคู่ การไปครั้งนี้ฮูหยินคนก่อนหน้านั้นจากไปแล้วดังคาด
ก่อนหน้านี้กินหมี่พะโล้กับเครื่องในมาแล้ว จี้หยวนไม่ทำอาหารที่บ้านอีก แค่ต้มน้ำเปล่าหม้อหนึ่ง แต่ใบชาก่อนหน้านี้เปลี่ยนสภาพขึ้นรานานแล้ว ต่อให้เขาเป็นคนเรียบง่ายแค่ไหนก็ไม่อยากดื่มชาเช่นนี้ จึงดื่มน้ำเปล่ากาหนึ่งแทน
รอจนถึงช่วงบ่ายตรงเวลาทำการ จี้หยวนค่อยออกจากเรือน เดินไปทางที่ว่าการอำเภอหนิงอัน
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ คิดว่าจดหมายซึ่งส่งมาหาเขาคงมีไม่น้อย
ถนนในอำเภอยังเหมือนเมื่อปีนั้น แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ร้านค้าเก่าแก่มากมายยังอยู่จุดเดิม เสียงตะโกนขายของกับเสียงถกเถียงยังอึกทึกครึกโครม
เมื่อเข้าใกล้ที่ว่าการอำเภอ เสียงท่องหนังสือดังกังวานของเหล่าศิษย์ลอยเข้าหูจี้หยวนรางๆ สิ่งที่บรรดาศิษย์ท่องอยู่คือ ‘วาทหมู่ปักษา-คำตอบปฐมบัณฑิต’ ของอิ๋นจ้าวเซียนที่ผ่านการปรับแต่งหลายครั้ง ถือเป็นตำราบุกเบิกซึ่งไม่เลวแล้ว
นอกประตูสำนักงานที่ว่าการอำเภอ จี้หยวนเดินเข้าใกล้ช้าๆ เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูสังเกตเห็นคุณชายชุดขาวนี้นานแล้ว
จี้หยวนประสานมือเล็กน้อย
“ขอถามเจ้าหน้าที่ท่านนี้ ข้าคนแซ่จี้คิดมารับจดหมายที่ฝากไว้ ไม่ทราบว่ามีขั้นตอนอย่างไร”
ผู้สง่างามสวมชุดขาวอย่างจี้หยวน เจ้าหน้าที่ทางการย่อมเกรงใจอยู่บ้าง เขาคารวะตอบพลางกล่าว
“ท่านแค่แสดงเอกสารทะเบียนบ้าน ข้าตรวจสอบแล้วค่อยนำเอกสารเข้าไปหาใต้เท้านายทะเบียน!”
“อ้อ ข้าคนแซ่จี้พกติดตัวมาด้วย”
จี้หยวนพูดพลางใช้มือซ้ายหยิบกระดาษพับทบแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อข้างขวา จากนั้นค่อยส่งให้เจ้าหน้าที่ทางการ ด้านบนมีตราประทับของนายอำเภอหนิงอันและตราประทับนายทะเบียนผู้รับผิดชอบการจดทะเบียนสำมะโนครัวทุกรุ่น จัดทำมาพร้อมกรรมสิทธิ์เรือนสันติเมื่อตอนนั้น
“ไม่ผิด สิ่งนี้แหละ เชิญท่านเข้ามาก่อน ไปรับจดหมายตรงห้องแขวนอักษร ‘สำมะโนครัว’ เลียบโถงทางเดินด้านซ้าย จดหมายที่ฝากไว้ล้วนมีบันทึกอยู่ตรงนั้น”
“ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนประสานมืออีกครั้ง ก่อนเดินเข้าประตูเรือน