ตอนที่ 398 เรียกนายใหญ่เถอะ
“แม้แต่สวรรค์ก็อยากแย่งไป!?”
นักพรตชิงซงถลึงตามองม้วนตำราในมือ ตะลึงงันอยู่ที่เดิมนานมาก
“ถึงเวลากำจัดความยุ่งเหยิงนี้แล้ว”
มังกรเฒ่ากล่าวเช่นนี้ ยกมือขึ้นชี้บนโต๊ะ ทันใดนั้นก็มีลมงวงน้ำบางๆ โผล่ขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ จากนั้นขยายใหญ่ขึ้น ครอบคลุมโต๊ะทั้งหมดไว้ภายใน
ซ่า…ซ่า…
วัตถุเช่นกากน้ำแกงและก้างปลาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับลมงวง
นักพรตชิงซงและนักพรตชิงยวนถอยหลังตามจิตใต้สำนึก กลัวถูกลมงวงน้ำม้วนเข้าไป แต่ด้วยการควบคุมของมังกรเฒ่าย่อมไม่มีทางทำร้ายถูกคนได้
เมื่อลมงวงน้ำจากไปแล้ว ไม่เพียงกากน้ำแกงหายไปไม่เห็น แม้แต่ถ้วยและหม้อเหล็กใหญ่บนโต๊ะล้วนถูกล้างจนสะอาด ตะเกียบไม่ได้หายไปเลยสักคู่เดียว
“ใช้ได้ วันนี้ผู้อาวุโสอิงช่วยขัดหม้อล้างถ้วย พวกเราย้ายข้าวของเข้าไปแล้วลากโต๊ะออกมาดื่มชาเถอะ!”
จี้หยวนพูดเช่นนี้แล้วลุกขึ้นพร้อมลงมือเก็บถ้วยชาม เห็นเขาไม่ใช้วิชาอะไร คนอื่นจึงขยับร่างกายเช่นกัน ย้ายข้าวของกลับไปที่ห้องครัว
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ บนโต๊ะสี่เหลียมตัวใหญ่เปลี่ยนเป็นกาน้ำชาและจอกชาแล้ว เมื่อกลางวันกินเก๋ากี้ของจี้หยวนหมดเกลี้ยงแล้ว แต่ครั้งนี้มีหลายอย่างเพิ่มขึ้นมา บนโต๊ะวางไว้ด้วยชามข้าวซึ่งใส่ข้าวเกรียบข้าวโชยควันร้อนๆ อยู่ครึ่งหนึ่ง
เตาไฟของอารามเขาเมฆาเป็นเตาไฟคู่ ผัดผักและหุงข้าวได้พร้อมกันพอดี วันนี้คนเยอะ ข้าวที่หุงไว้จึงมากพอทำข้าวเกรียบด้วย
“กรอบๆ” ข้าวเกรียบชิ้นเล็กถูกเคี้ยวละเอียดอยู่ในปากจี้หยวน
“จิ๊ๆ ข้าวเกรียบควรจะเกรียมเล็กน้อยแบบนี้ เยี่ยม!”
จี้หยวนรู้สึกว่าเย็นนี้เป็นครั้งหนึ่งที่ได้กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและสบายใจในช่วงนี้
“ฮ่าๆ ดื่มน้ำชาเคล้าข้าวเกรียบ ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย!”
ฉินจื่อโจวยิ้มแล้วหยิบข้าวเกรียบชิ้นหนึ่งใส่ปากเคี้ยว เห็นมังกรเฒ่าและจี้หยวนมองมาทางเขา พลันตระหนักได้ว่าเพิ่งใช้ชีวิตนี้ได้ไม่กี่ปี จึงรีบพูดทันที
“นับว่าเป็นครั้งแรกของชีวิตก่อนเช่นกัน!”
“หึ การชิมชาระดับนี้มีเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีใครเชิญข้ามาก่อนเช่นกัน”
มังกรเฒ่ากล่าวเสียงหนึ่ง จี้หยวนพูดแทรกขึ้นอย่างอดไม่ได้ทันที
“ผู้อาวุโสอิงพูดเล่นแล้ว ใครเล่าจะกล้าเชิญท่านเช่นนี้ เกรงว่าท่านตบหน้าครั้งเดียวก็ไม่เหลือชีวิตแล้ว”
มังกรเฒ่าชี้ตนเอง
“ข้านิสัยแย่มากเลยหรือ”
“ไม่แย่ๆ อย่างน้อยต่อหน้าข้าก็นิสัยดีทีเดียว”
ผู้อาวุโสตีฝีปากกัน นักพรตชิงซงและศิษย์ของเขาทำได้เพียงดื่มชาเงียบๆ หัวเราะตามเป็นครั้งคราว เมื่อพวกเขาต้องพูดแล้วถึงพูด ไม่กล้าพูดแทรกตามใจชอบ
แน่นอนว่าหลักๆ เป็นนักพรตชิงซงที่มีหน้าที่สำคัญในคืนนี้ ยิ่งเวลาผ่านพ้นไป เขาก็ยิ่งเครียดเกร็ง
พอเวลาผ่านไปนานแล้ว ฉินจื่อโจวมองท้องฟ้า กล่าวกับจี้หยวนว่า
“ท่านจี้ ถึงเวลาแล้ว”
มังกรเฒ่าและจี้หยวนต่างเก็บรอยยิ้ม ฝ่ายหลังพยักหน้าให้นักพรตชิงซง ฝ่ายชิงซงและชิงยวนสองนักพรตลุกขึ้นยืนโดยพลัน จากนั้นวิ่งสั้นๆ ไปทางตำหนักใหญ่ของอารามเต๋า
หลังจากนั้นนักพรตสองคนโค้งกายคารวะธงดาราในตำหนักใหญ่พร้อมกัน คารวะเสร็จแล้วถึงเดินเข้าไปในนั้นอย่างช้าๆ
ฉีเหวินยืนอยู่ใต้ธงดารา สองเท้ายืนมั่นคงสองมือประสานกันที่หน้าท้อง ฉีเซวียนก้าวสองก้าวแล้วกระโดดขึ้น เหยียบบนมือของฉีเหวินพอดี ส่วนฉีเหวินยกมือขึ้นโดยพลันในวินาทีนี้
อาศัยแรงส่งนี้รวมกับพลังของฉีเซวียนเอง ร่างกายลอยขึ้นถึงคานที่แขวนธงดาราเอาไว้ ขยับแขนไปเหนือธงดาราแล้วหยิบมา ธงดาราผืนใหญ่ตกลงมาตามเขา
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น นักพรตทั้งสองประคองธงดารามาถึงลานด้วยสี่มือของพวกเขาพร้อมสีหน้าจริงจัง ยืนยิ่งอยู่หน้าโต๊ะ ส่วนพวกจี้หยวนออกจากที่นั่งและยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
จี้หยวนก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ประสานมือคารวะธงดาราในมือนักพรตสองคนแล้วค่อยชี้
ทันใดนั้นธงดาราหลุดออกจากมือนักพรตแล้วค่อยๆ ลอยขึ้น ลอยคว้างจากพื้นสูงสามจั้ง พร้อมกันนั้นนักพรตชิงซงหยิบ ‘วิวัฒน์ฟ้าดิน’ ม้วนนั้นออกมาแล้วคลี่ออกอย่างเชื่องช้า
แทบจะพร้อมกับที่ม้วนตำราคลี่ออก ตำรานี้หลุดออกมาจากมือของนักพรตชิงซง ลอยไปอยู่ในตำแหน่งข้างใต้ธงดาราประมาณสองจั้ง
“เชิญเจ้าของอารามเขาเมฆาชม อาจารย์ชิงซงยืนอยู่ใต้ธงดาราตำราวิชา!”
จี้หยวนเอ่ยเสียงดัง ท่วงทำนองมรรคพิเศษนำมาซึ่งความรู้สึกของพิธีกรรมลึกลับ จังหวะที่คล้ายกับมีอำนาจทว่าเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหายสะท้อนอยู่บนยอดเขาหมอกอำพรางและทั่วทั้งเขาเมฆา
นักพรตชิงซงสูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปอยู่ใต้ ‘วิวัฒน์ฟ้าดิน’ อย่างแข็งทื่อทั้งๆ ที่ตื่นเต้น เมื่อเงยหน้ามองไปพบว่าบนม้วนตำรามีภาพเหมือนกับธงดาราอย่างกับแกะส่องแสงเลือนราง และแสงดาวบนธงดาราด้านบนก็กะพริบแสงเช่นกัน
ตอนนี้จี้หยวนโคจรพลัง ใช้วิชาวิวัฒน์ฟ้าดินที่แท้จริงอีกครั้ง
ทันใดนั้นในสายตาของมังกรเฒ่า ฉินจื่อโจว และสองนักพรตมีแสงสว่างเจิดจ้าไม่สิ้นสุดส่องไปทั่ว เหมือนกับปรากฏดวงดาวนับไม่ถ้วน และเหมือนกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวตกลงมา
ดาวกลางท้องฟ้าตกลงมาราวกับฝน รวมตัวกันที่ยอดเขาหมอกอำพรางอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะตกลงบนธงดารา ทะลุผ่าน ‘วิวัฒน์ฟ้าดิน’ แล้วแยกตัวเป็นละอองหมุนวนบนกายนักพรตชิงซง
ชั่วพริบตาที่มหัศจรรย์นี้ ความเข้าใจของนักพรตชิงซงที่มีต่อ ‘วิวัฒน์ฟ้าดิน’ เพิ่มขึ้นถึงระดับที่สูงเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฟ้าดินภูผาธาราและดวงดาวทั่วทั้งท้องฟ้า
ทันใดนั้นนักพรตชิงซงรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองเหยียบย่างระหว่างหมู่ดาว ดวงดาวคล้ายกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม ระหว่างดาวแต่ละดวงบ้างอยู่ตามลำพัง บ้างเชื่อมโยงถึงกัน ปรากฏเป็นแรงที่หนักหนาแตกต่างกันไป อีกทั้งตอบสนองต่อฟ้าดินภูผาธารา
บนพื้นดินมีภูผาธาราก่อเกิด ทุกสรรพสิ่งเกิดและดับ มีสัตว์เพิ่มขึ้น มีชีวิตมนุษย์ และมีเซียนมารเทพจิตวิญญาณฝึกปราณแตกฉาน…
รู้สึกถึงความมหัศจรรย์พรรค์นี้ ความคิดของนักพรตชิงซงไม่เพียงไม่เลื่อนลอย กลับเกิดความรู้สึกยำเกรงต่อฟ้าดินอย่างเข้มข้น
ตอนที่ภาพลวงตาเหมือนกลับกลายเป็นความจริงนี้ นักพรตชิงซงมองเห็นแสงดาวรวมตัวข้างกายตนเองอยู่รางๆ เขายื่นมือไปรองม้วนตำราที่ตกลงมาโดยสัญชาตญาณ จากนั้นรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย แต่ก่อนหน้านี้จี้หยวนกำชับไว้แล้วว่าไม่ว่าเกิดอะไรห้ามปล่อยมือ
ความรู้สึกแสบร้อนทวีความรุนแรง อีกทั้งมีความรู้สึกชาด้วย ก่อนจะกลายเป็นความรู้สึกเจ็บปวด
ครืน..
กลางแสงดาวเหนือศีรษะพลันปรากฏเมฆฝนขนาดมหึมา มีสายฟ้าคลั่งสีม่วงทองรวมตัวอยู่ภายในนั้น ความคุกคามนั้นเหมือนกับทำลายทุกสรรพสิ่งได้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นักพรตชิงซงรู้ว่าเป้าหมายของสายฟ้านี้คือตนเอง อาจพูดได้ว่าเป็นม้วนตำราในมือด้วย ตอนนี้ความรู้สึกกลัวเอ่อขึ้นมา เขาแทบปล่อยม้วนตำราหนีเอาชีวิตรอด
ฉีเซวียนนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของมังกรเฒ่าขึ้นได้ พลันเข้าใจว่าตนเองกำลังแย่งตำราวิชากับฟ้าดิน
แต่คำพูดของจี้หยวนดังก้องอยู่ในหัวใจเสมอ
‘นักพรตชิงซง อีกเดี๋ยวไม่ว่าเกิดอะไรข้ามห้ามปล่อยมือเด็ดขาด เมื่อปล่อยมือแล้ววิชาอัศจรรย์ฟ้าดินจะไม่มีทางยอมรับเจ้าอีก!’
ฉีเซวียนกำมือแน่น เหงื่อเม็ดเล็กบนกายผุดพราย กัดฟันแน่นไม่ขยับสักนิด ยิ่งไม่กล้าหลับตาด้วย
‘ห้ามปล่อยมือ ห้ามหนี ล้วนเป็นภาพลวงตา เป็นภาพลวงตาทั้งนั้น!’
เปรี้ยง…ครืน…
พลังอำนาจของท้องฟ้าตกลงมา แสงสว่างทั้งชั้นฟ้าถูกปกคลุมด้วยแสงสายฟ้า นักพรตชิงซงตกใจจนแทบหยุดหายใจ หมดสติไปทั้งยืน
ด้านนอกนั้น พลังดาวดาวที่ตกลงมาค่อยๆ อ่อนกำลังลง ภาพมายารอบข้างจางหายไปอย่างช้าๆ เช่นกัน จากนั้นก็สลายหายไป
ฉีเหวินตกใจล้มลงบนพื้น หอบหายใจมองอาจารย์ตนเอง ขาอ่อนอยู่บ้าง ถึงขนาดที่ว่าตอนนี้ลุกขึ้นยืนไม่ไหว ส่วนพวกจี้หยวนยืนอยู่ที่เดิมพร้อมสีหน้าคร่ำเคร่ง
ธงดาราบนท้องฟ้ากะพริบแสงดาวในตอนนี้ แม้เก็บแสงกลับเข้าสู่ธงทีละนิด ทว่าเชื่องช้ายิ่งนัก จี้หยวนดีดนิ้ว ธงดาราวนรอบอารามเขาเมฆาและยอดเขาหมอกอำพรางสามรอบแล้วลอยกลับไปที่ตำหนักใหญ่ของอารามเต๋า แขวนอยู่ในนั้นอีกครั้ง
ฉินจื่อโจวเดินเข้าไปใกล้ฉีเซวียนที่เบิ่งตามองท้องฟ้า ตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน เห็นอีกฝ่ายกำ ‘วิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน’ ไว้แน่นด้วยมือขวา
“ไม่มีชีพจร หยุดใจหยุดเต้น ไม่หายใจแล้ว!”
“อาจารย์! อาจารย์ตายแล้ว? อาจารย์!”
ฉีเหวินที่เมื่อครู่ขาอ่อนไร้เรี่ยวแรงฝืนลุกขึ้นในทันที อยากพุ่งตัวไปถึงข้างกายฉีเซวียน ทว่าถูกมังกรเฒ่าที่ก้าวมาประชิดตัวขวางเอาไว้
“อย่าเข้าไป อาจารย์เจ้ายังไม่ตาย หึๆ พวกข้าสามคนอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าใครต้องการชีวิตอาจารย์เจ้า หรือแม้แต่อาจารย์เจ้าอยากตายเอง นั่นย่อมไม่ง่ายดายปานนั้น!”
ตอนนี้จี้หยวนเดินเข้าใกล้นักพรตชิงซงอีกสองก้าว ใกล้กว่าฉินจื่อโจวเล็กน้อย จากนั้นยื่นนิ้วออกไป ปลายนิ้วมีปราณบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งปรากฏ
“ต้นไม้แห้งผลิใบเขียว ฟ้าดินก่อเกิด!”
นิ้วมือของจี้หยวนอยู่ที่หน้าผากนักพรตชิงซง กดลงเล็กน้อย ปราณบริสุทธิ์คล้ายกับไหลอยู่ทั่วร่างอีกฝ่าย
จากนั้นสองตาที่เบิกกว้างของนักพรตชิงซงก็มีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ตึกตัก…ตึกตัก…ตึกตัก…”
เสียงหัวใจเต้นที่มีกำลังดังขึ้นรางๆ ชีพจรกลับคืนเป็นปกติ
เนิ่นนานให้หลังนักพรตชิงซงคืนสติกลับมาได้ สิ่งแรกที่เขาทำคือก้มหน้ามองมือขวาตนเอง เห็นตนเองยังคงกำม้วนกระดาษไว้ตลอดถึงถอนหายใจยาวออกมา ด้วยกลัวว่าตนเองเลือกหนีตายในวินาทีสุดท้าย
จากนั้นความเข้าใจที่มีต่อวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินค่อยเพิ่มขึ้นในใจ รวมถึงเข้าใจว่าระหว่างตนเอง ม้วนตำรา และธงดาราเกิดสัมพันธ์บางอย่างแล้ว ฉีเซวียนทดลองโยนม้วนตำรา ทันใดนั้นม้วนตำรากลายเป็นแสงสายหนึ่งพุ่งไปทางตำหนักใหญ่ของอารามเต๋า ขยายอาณาเขตก่อนเติมเข้าไปในธงดารา
นักพรตชิงซงเก็บกลั้นอารมณ์ หมุนกายไปคารวะตำหนักใหญ่ ฝ่ายฉีเหวินทำท่าทางเดียวกัน สุดท้ายประสานมือคารวะพวกจี้หยวนพร้อมกัน
“ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือ ขอบคุณมาก!”
“เอาล่ะ ตำราวิชาวิวัฒน์ฟ้าดินนับเป็นของล้ำค่าอย่างหนึ่ง เจ้าได้รับการยอมรับจากมันแล้ว และเข้าใจวิชาอัศจรรย์เพราะเหตุนี้ แม้ยังต้องฝึกปราณ แต่คำถามเกี่ยวกับความเข้าใจจะลดน้อยลงมาก เรียกได้ว่าเป็นอาจารย์เซียนรุ่นแรกของอารามเขาเมฆาอย่างแท้จริงแล้ว”
จี้หยวนพูดเท่านี้ก็รู้สึกว่ากระหายน้ำอยู่บ้างแล้ว จึงกลับไปนั่งรินน้ำชาดื่มที่ข้างโต๊ะก่อน เมื่อเขาทำเช่นนี้แล้ว คนทั้งหมดก็นั่งลงข้างโต๊ะอย่างรวดเร็ว บรรยากาศผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้มาก
มังกรเฒ่าพูดถึงข้อห้ามที่อารามเขาเมฆาต้องมี จี้หยวนกลับบอกว่าไม่มีความจำเป็น อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่จำเป็น ฉินจื่อโจวหัวเราะร่าอยู่ข้างๆ ส่วนนักพรตสองคนซาบซึ้งอยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าประเด็นวกไปถึงเรื่อง ‘เทียบเจตกระบี่’ เมื่อครั้งก่อนได้อย่างไร ตอนจี้หยวนหยิบ ‘เทียบเจตกระบี่’ ออกมาดู ตัวอักษรเจื้อยแจ้วกลุ่มหนึ่งก็กระโดดออกมา
ต่างฝ่ายต่างเรียกนายใหญ่ๆ กันไม่หยุดปาก ทุกคนเห็นเข้ามีแต่กล่าวชมด้วยความประหลาดใจ
เช้าตรู่หลังจากนั้นสองวัน อารามเขาเมฆาเหลือเพียงนักพรตสองคนและเตียวน้อยสองตัว ส่วนฉินจื่อโจวออกไปกับจี้หยวนและมังกรเฒ่า จะออกไปนานเท่าไหร่ยังไม่แน่ใจ
ฉีเซวียนและฉีเหวินนั่งขัดสมาธิฝึกปราณอยู่ใยตำหนักใหญ่ของอารามเต๋า เตียวน้อยสองตัวนั่งอยู่บนเบาะบางๆ ทำท่าทางเหมือนกับเรียนรู้แบบฝึกเช่นเดียวกัน
บทเรียนช่วงเช้าจบลง ฉีเหวินพลันถามขึ้น
“อาจารย์ ท่านเป็นอาจารย์เซียน เช่นนั้นท่านฉินกับท่านจี้เล่า รูปเหมือนของท่านก็ต้องแขวนไว้หรือไม่”
ฉีเซวียนขมวดคิ้วครุ่นคิด
“รูปเหมือนของท่านจี้และท่านฉิน ตอนนี้อย่าเพิ่งแขวนไว้ข้างนอกเลย หลังจากนี้หากมีข้อห้ามอะไรเป็นของตนเองแล้ว หรือมีแดนศักดิ์สิทธิ์ถ้ำสวรรค์อะไรแล้วค่อยหาที่แขวนก็ได้”
“ส่วนคำเรียกน่ะหรือ ท่านฉินน่าจะเป็นเทพท่องโลกทางเต๋าของอารามเขาเมฆา ส่วนท่านจี้…”
ฉีเซวียนขบคิดอย่างหนัก หลังจากนี้แม้อารามเขาเมฆาเติบใหญ่แล้ว ด้วยนิสัยของท่านจี้ต้องไม่ค่อยชอบให้ผู้คนเรียกว่า ‘บูรพาจารย์ถ่ายทอดวิชา’ แน่
ทันใดนั้นคำเรียกที่ตัวอักษรเหล่านั้นเรียกเมื่อหลายวันก่อนผุดขึ้นมาในใจ ตอนนั้นตัวอักษรทั้งหลายเสียงดังวุ่นวาย จี้หยวนกลับไม่รู้สึกแย่เลยสักนิด
“แปะ…”
ฉีเซวียนปรบมือ
“ได้แล้ว! จากนี้หากมีศิษย์ที่อารามเขาเมฆายอมรับเข้าประตูมา ก็บอกพวกเขาว่าท่านที่มีตัวอักษร ‘จี้’ บนรูปเหมือนคือ ‘นายใหญ่’!”