ตอนที่ 394 ฝนสายฟ้าเหมือนกับร้องไห้และหัวเราะ
อานุภาพของสายฟ้าเคราะห์สวรรค์สายสุดท้ายน่าพรั่นพรึงมาก ด้วยความสามารถในการควบคุมสายฟ้าอันทรงพลังของเวทอสนี ดูดซับอานุภาพมาได้เกินกึ่งหนึ่ง และใช้กระบี่เซียนที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบฟันสายฟ้าและเมฆสายฟ้า แต่ทำเช่นนั้นแล้วแสงสายฟ้าที่เหลือก็ยังคงผ่าใส่ตัวจี้หยวนอย่างแรงอยู่ดี
เคราะห์อสนีสายนี้ไม่นับว่าจู่โจมเข้าจังๆ แต่กลับทรมานอย่างยิ่งยวด ทำให้จี้หยวนรู้สึกถึงความเจ็บปวดยาวนานเต็มที่
ทว่ายิ่งใกล้เวลาแบบนี้ จี้หยวนยิ่งไม่อาจวางมือ ต้านไว้ได้เก้าส่วนแล้ว หากยอมแพ้ราบคาบทั้งที่เหลือเพียงส่วนเดียว ความทรมานนั้นไม่ใช่จิ๊บจ้อยแค่การกระอักเลือดออกมาไม่กี่คำอย่างแน่นอน
ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว เพราะแม้จี้หยวนต้านเคราะห์อสนีทั้งหมดไว้ได้โดยไม่เสียแรงเลยสักนิด แต่เคราะห์นี้เป็นเคราะห์ของม้วนตำรา ไม่อาจปล่อยให้สายฟ้าตกลงใส่ม้วนตำราได้แม้สักกระผีก ไม่เช่นนั้นอาจไม่มีครั้งหน้าแล้วก็เป็นได้
ท่ามกลางสายฟ้าส่งเสียงแซ่กๆๆๆ ข้างหน้าจี้หยวนเหลือเพียงเคราะห์อสนีสีม่วงปนสีทอง
ด้วยสภาพตัวสั่น มือขวาที่จี้หยวนกำกระบี่เซียนคลายออกเล็กน้อย จากนั้นเข้าใกล้หน้าอกทีละนิด ใช้ฝ่ามือกดลงตรงตำแหน่งของหัวใจ ตรงนั้นเป็นถุงผ้าไหมที่กระเรียนกระดาษอาศัยอยู่
หากจี้หยวนยังมีความมั่นใจว่าจะต้านไว้ได้ เช่นนั้นกระเรียนกระดาษที่มีจิตวิญญาณก็จะเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง สายฟ้าระดับนี้เมื่อจู่โจมมาตรงๆ ต้องทำให้กระเรียนกระดาษกลายเป็นเถ้าทันทีแน่ๆ
โชคดีที่ตอนจี้หยวนคลำถูกถุงผ้าไหมยังรู้สึกได้ถึงกระดาษที่กำลังขยับขยุกขยิกอยู่ข้างใน และโชคดีที่ถุงผ้าไหมนี้ผ่านกระบวนการผลิตที่ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงอยู่ในสภาพย่ำแย่แล้ว
เป้าหมายของเคราะห์อสนียังคงเป็นวิวัฒน์ฟ้าดินที่จี้หยวนใช้มือซ้ายจับไว้แน่น ดังนั้นสายฟ้าบนตัวจี้หยวนจึงเป็นเพียงทางผ่าน จากนั้นรวมตัวกันมากขึ้นที่มือซ้ายเขา
จี้หยวนด้านหนึ่งรวบรวมพลังผลักไปยังม้วนตำราที่อยู่บนมือซ้าย ด้านหนึ่งใช้ร่างกายป้องกันสายฟ้า ถึงขนาดที่ว่าพริบตานั้นเหรียญทิพย์พวงหนึ่งลอยออกจากแขนเสื้อ ก่อนจะกลายเป็นพลังบริสุทธิ์และปราณวิญญาณในทันที ทำให้ตอนนี้พลังของจี้หยวนเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งปกคลุมไว้ด้วยแสงธรรม ต้านสายฟ้าไว้ได้โดยตรง
แซ่กๆ…แซ่ก…
สายฟ้าสายสุดท้ายหายไปในที่สุด บนสันเขานี้และภูเขาหลายลูกโดยรอบมีควันพวยพุ่งเป็นหย่อมๆ จี้หยวนยืนอยู่ที่เดิมเพื่อสงบหัวใจเต้นและและพลังที่พุ่งพล่าน บนตัวเขาเต็มไปด้วยควันขาวเช่นกัน
ครืน…
เสียงฟ้าร้องยังคงดังอยู่ แต่จี้หยวนกลับไม่ตระหนกแล้ว เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เมฆดำที่ขยับไหวรวมตัวกันไม่มีอีกแล้ว
ยิ่งเป็นเพราะกระบี่เซียนฟันลง ทำให้เกิดรูกว้างๆ ท่ามกลางเมฆดำเหล่านั้น มีแสงอาทิตย์ส่องผ่านตรงนั้นออกมา ทำให้ภูเขาตรงนี้มีกระแสแสงสายหนึ่ง เพิ่มการมองเห็นขึ้นไม่น้อยเลย
ถึงบนท้องฟ้ายังมีสายฟ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เคราะห์อสนีที่น่าหวั่นกลัวอีกต่อไป
“ฮู่…”
จี้หยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมา ปล่อยมือขวาที่กดหน้าอกไว้ตลอด จากั้นก้มหน้ามองม้วนตำราที่อยู่ในมือซ้าย
สีกระดาษที่แต่เดิมเป็นสีขาวหายไปไม่เห็น ตอนนี้ม้วนกระดาษเจือสีเหลืองอ่อน ถึงขั้นมีรอยไหม้ที่ไม่อาจมองข้ามได้ตรงขอบๆ ด้วย
กระเรียนกระดาษตรงหน้าออกลอดออกจากถุงผ้าไหม ยื่นศีรษะมองมือซ้ายของจี้หยวน มองเห็นมือที่ปกตินับว่าสะอาดสะอ้านมีสีดำอยู่เลือนราง
ทว่าจี้หยวนไม่ได้สนใจบาดแผลของตนเองในเวลานี้ ยิ่งลืมความเจ็บปวดไปจนสิ้น สองมือจับสองด้านของม้วนกระดาษอย่างระมัดระวัง จากนั้นกางออกทีละนิด
มองจากด้านนอกม้วนตำราไม่ใช่ว่าไม่เสียหายเลย ความผ่อนคลายเมื่อครู่นี้จึงกลับกลายเป็นความกังวล
เมื่อกางม้วนตำราจนสุดแล้ว จี้หยวนอ่านตัวอักษรไปเรื่อยๆ ตัวอักษรของตนเองยังคงต้องตา ยิ่งอ่านตัวอักษรมากเท่าไหร่ จิตและเจตบนนั้นก็ค่อยๆ เผยให้เห็นสู่สายตา
รอยหมึกของตัวอักษรเหล่านี้ดำเหมือนอีกา ถึงขนาดปรากฏให้เห็นสีม่วงทองเพียงชั่วขณะสั้นๆ เป็นครั้งคราว ตัวอักษรไม่ได้รับความเสียหาย เก็บจิตและเจตไว้โดยสมบูรณ์ หากสัมผัสมันอย่างละเอียดจะยิ่งรู้สึกถึงรัศมีพลังและอานุภาพจากสวรรค์
“ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!”
จนกระทั่งถึงตอนนี้ จี้หยวนถึงผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง ร่างกายไม่ขมวดเกร็งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ซ่า…
ฝนห่าใหญ่ตกลงมาในเวลานี้ ฝนดับไฟที่เกิดขึ้นเพราะสายฟ้าบนภูเขารอบๆ ชะล้างผืนแผ่นดินใหญ่และลดอุณหภูมิลง
จี้หยวนไม่ได้ใช้วิชาอัศจรรย์อะไร ปล่อยให้ฝนตกหนักกระทบตัว น้ำฝนเย็นฉ่ำทำให้เขาสดชื่น ยิ่งตื่นเต็มตากว่าเดิม
ขณะนี้ทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะความเจ็บปวดที่มือซ้ายถึงค่อยชัดเจนขึ้นมา
“ซี้ด…เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย!”
จี้หยวนหัวเราะเยาะตนเอง ด้วยพลังของเขาและจิตใจที่เข้มแข็ง ย่อมไม่มีทางทนความเจ็บนี้ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าความเจ็บนี้น้อยนิดอย่างแน่นอน หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าจะต้องเจ็บจนยืนตรงๆ ไม่ได้แน่
มือขวาจี้หยวนจับแขนซ้ายเบาๆ สีดำไหม้บนนั้นหายไปในพริบตาเดียว จากนั้นผงสีดำละเอียดจำนวนหนึ่งร่วงลงมา
แขนกลับคืนสู่สภาพก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว เหมือนกับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ทว่ามีเพียงจี้หยวนเองที่รู้ว่านี่เป็นเพียงเปลือกนอก ความเจ็บจากบาดแผลที่ควรมียังคงอยู่
เทียบกับฝนที่ตกลงมาบนภูเขารกร้างที่จี้หยวนอยู่ ทั่วทั้งจังหวัดถงชิวชุ่มฉ่ำอยู่ท่ามกลางสายฝนนานแล้ว นอกจากคนส่วนน้อย ชาวบ้านจังหวัดถงชิวไม่รู้ว่าบางแห่งเกิดเรื่องที่อยู่นอกเหนือสายตามนุษย์ขึ้น
ภายในวัดต้าเหลียง ภิกษุฮุ่ยถงและองค์หญิงใหญ่ฉู่หรูเยียนลากเบาะทรงกลม นั่งลงบนทางเดินใต้ชายคาข้างนอกกุฏิ ฝ่ายนางกำนัลยืนอยู่ตรงเสาชายคาไกลออกไปเล็กน้อย สายตาของทั้งสามคนกำลังมองฝนตกหนัก
ครืน…
เสียงฟ้าร้องยังคงดังอยู่ องค์หญิงใหญ่ได้ยินเสียงฟ้าร้องแล้วพลันกล่าวขึ้น
“เหมือนว่าเสียงฟ้าร้องเบาลงกว่าเมื่อครู่มากแล้ว แต่ฝนกลับตกหนักขึ้นเสียอย่างนั้น”
“อืม เสียงฟ้าร้องเบากว่าเมื่อครู่นี้บ้างจริงๆ!”
สองคนสนทนากัน ฝนกลับตกแรงขึ้นเรื่อยๆ
หวิว…หวิว…หวิว…
ครืน…
ลมฝนปะทะกันบนท้องฟ้า เสียงฟ้าร้องดังแสบแก้วหูอย่างชัดเจน น้ำฝนกระทบผืนดินส่งเสียงดังไม่ขาดสาย เมื่อกลายเป็นแอ่งน้ำแล้วก็มีเสียงหยดติ๋งๆ อยู่บ่อยครั้ง
ฮึ่ม…
ซ่า…
ฉู่หรูเยียนเข้าใกล้ฮุ่ยถงกว่าเดิมอย่างอดไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือไม่ นางขนลุกตั้ง ผ่านไปเนิ่นนานค่อยกล่าวเสียงเบากับฮุ่ยถงที่ขมวดคิ้วอยู่ตลอด
“ฮุ่ยถง…ลมฝนและเสียงฟ้าร้องนี้ น่ากลัวอยู่บ้างนะ…”
ฮุ่ยถงพลันนึกอะไรขึ้นได้ เบิกตากว้างมองท้องฟ้า คำพูดขององค์หญิงใหญ่กลับปลุกเขาให้ตื่นแล้ว
“ท้องฟ้า…ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้อยู่กันแน่”
หวังว่าท่านจี้จะไม่เป็นไร!
ภิกษุฮุ่ยถงกังวลอยู่ในใจ เงยหน้ามองขอบฟ้าไกลๆ แล้วพลันมีสีหน้าตื่นตะลึง เพราะเมื่อมองไปไกลแล้ว ท้องฟ้าตรงนั้นมีเส้นสีขาวยาวเหยียดสายหนึ่งยื่นขยายไปยังปลายทางที่ไกลกว่าเดิม
‘ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ขอบฟ้า เป็นเมฆถูกแหวกออก!’
ตอนกระบี่เครือเขียวฟันท้องฟ้าก่อนหน้านี้เป็นเวลาที่แสงสายฟ้าเจิดจ้าที่สุด อาณาเขตจังหวัดถงชิวสว่างจ้าทั้งหมด แม้เป็นภิกษุระดับสูงของวัดต้าเหลียงก็ไม่รู้สึกถึงประกายกระบี่ของกระบี่เซียน ดังนั้นตอนนี้ฮุ่ยถึงเพิ่งพบว่ารอยสีขาวตรงขอบฟ้านั้น สีของแสงอาทิตย์ท่ามกลางขอบฟ้าและชั้นเมฆจ้าตาเป็นพิเศษ
พอมองเห็นแสงอาทิตย์ไกลๆ แล้ว ความหม่นหมองในใจเหมือนกับถูกส่องสว่างไปด้วยเช่นกัน
“ไต้ซือฮุ่ยถง บนโลกนี้มีเทพเซียนที่บินขึ้นฟ้าดำลงดินเหมือนกับท่านจี้มากมายเลยหรือ”
องค์หญิงใหญ่ถามเสียงเบา ฮุ่ยถงที่พนมมือตลอดไม่หันไปมองนาง เพียงตอบเรียบๆ
“อาตมามีมรรควิถีต่ำนัก ความรู้และประสบการณ์ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่รู้ว่าคนที่เป็นเหมือนกับท่านจี้มีไม่มากบนโลกใบนี้ ส่วนการเหาะขึ้นฟ้าดำลงดินเป็นเพียงหนึ่งในวิชาอัศจรรย์เท่านั้น เข้าใจความอัศจรรย์เหล่านี้ก็ใช้งานได้ ทว่ามรรควิถีไม่อาจต่ำต้อยเช่นกัน เกณฑ์ไม่นับว่าสูงมากจึงค่อนข้างมีมาก”
“เช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้พวกเราถึงมองไม่เห็น พวกเขาล้วนฝึกปราณอยู่ในโลกของเทพเซียนหรือ”
ฉู่หรูเยียนมองฮุ่ยถงเสมอ ใบหน้าด้านข้างของภิกษุฮุ่ยถงยังคงงดงาม ใบหูที่แข็งกระด้างชัดเจนทำให้เขาดูอบอุ่นยิ่งขึ้น
“สาธุพระวิทยาราช องค์หญิงใหญ่ คนที่ฝึกปราณมีทั้งธรรมและมรรค มนุษย์ไร้วาสนาย่อมยากจะพบเจอ แต่…”
ภิกษุฮุ่ยถงหันไปมองฉู่หรูเยียน ยิ้มแล้วกล่าวต่อ
“แต่ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะไม่พบเจอเลย เพียงแต่คนธรรมดามีความปรารถนาและความคิดมากมาย หลายครั้งจึงแยกแยะเซียนไม่ออก อย่างเช่นท่านจี้ เขามักจะไปฟังเรื่องเล่าที่โรงน้ำชา ดื่มน้ำชาหนึ่งกาพร้อมด้วยถั่วสองจาน ปรบมือและกู่ร้องให้กับเรื่องเล่าที่มีสีสันจากนักเล่าเรื่องเหมือนกับลูกค้าโรงน้ำชาทั่วไป”
“ฮ่าๆ หากองค์หญิงใหญ่เข้าไปใกล้แล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นผู้สูงส่งฝึกเซียน”
ฉู่หรูเยียนก้มหน้าครุ่นคิด ส่ายหน้าก่อนตอบ
“อาจคิดว่าเป็นเพียงคุณชายผู้สง่างามคนหนึ่งกระมัง”
อาจเป็นเพราะคุ้นเคยกับฮุ่ยถง แม้รู้จักวัดต้าเหลียงอีกครั้ง ฉู่หรูเยียนก็ไม่ได้มีความรู้สึกเหินห่างกับฮุ่ยถงแต่อย่าใดร ถึงขนาดไม่เปลี่ยนนิสัยเลยสักนิด
ใต้ต้นไม้ในบริเวณต้องห้ามของวัดต้าเหลียง มีภิกษุรูปหนึ่งแบกเพิงกันฝนง่ายๆ มา เพื่อป้องกันไม่ให้โต๊ะหนังสือที่จี้หยวนทิ้งไว้เปียกฝน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม พายุฝนค่อยๆ ซาลง จากนั้นฝนหยุดตกแล้ว
ฝนตกครั้งนี้มาเร็วไปเร็ว แม้แต่เมฆดำบนท้องฟ้าก็จางไปทีละน้อยหลังจากฝนหยุดตกด้วย แสงอาทิตย์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง มีสายรุ้งเส้นหนึ่งแขวนคว้างอยู่บนท้องฟ้าทางเหนือของวัดต้าเหลียงด้วย
“งามนัก หายากนักที่ท่านไม่ท่องบทสวด และหลังจากฝนตกมีสายรุ้ง!”
ฉู่หรูเยียนเอ่ยชมจากจิตวิญญาณ ภิกษุฮุ่ยถงเพียงถอนใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดอะไรมาก
ทว่าตอนที่สายตาทอดมองสายรุ้ง พบว่ามีแสงธรรมจางๆ ลอยมา เป็นจี้หยวนที่เหยียบเมฆเข้ามาใกล้วัดต้าเหลียง
“ท่านจี้กลับมาแล้ว! ท่านจี้ไม่เป็นไรกระมัง!”
ฮุ่ยถงร้องออกมาด้วยความดีใจ ภิกษุทั่วทั้งวัดต้าเหลียงที่มีมรรควิถีอยู่บ้างเห็นแล้วเผยสีหน้าปีติทั้งสิ้น แม้แต่องค์หญิงใหญ่และนางกำนัลก็สุขใจเช่นกัน
แน่นอนว่าจี้หยวนเจ็บตัว แต่คนที่มองเห็นเขาชัดเจนยังไม่ได้เข้ามาใกล้ ดังนั้นอย่างน้อยมองจากใบหน้าก็ดูเหมือนกับว่าเขาไม่เป็นไรเลยสักนิด
เมื่อจี้หยวนร่อนลงบนพื้นบริเวณต้องห้ามของวัดต้าเหลียง รอบนอกล้อมไว้ด้วยภิกษุจำนวนหนึ่งแล้ว รวมถึงองค์หญิงใหญ่ นางกำนัล และฮุ่ยถง ทว่ายังคงไม่มีใครเข้าไปในบริเวณต้องห้าม
ใต้ต้นไม้ต้นนั้น จี้หยวนเก็บโต๊ะหนังสือของตนเองเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นค่อยๆ เดินออกจากบริเวณต้องห้ามที่ว่า
“ท่านจี้ เคราะห์อสนีเมื่อครู่คืออะไร”
เจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงถามอย่างระมัดระวัง จี้หยวนคิดแล้วว่าอย่าพูดเรื่องวิชาอัศจรรย์ให้ละเอียดนักจะดีกว่า จึงตอบสองแง่สองง่ามอยู่บ้าง
“เจ้าอาวาสวางใจได้ เคราะห์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับวัดต้าเหลียง เป็นตำราของข้าคนแซ่จี้ที่ชักนำมันมา ทว่าผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรอีก”
“สาธุ สาธุ ท่านจี้ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!”
จี้หยวนกวาดสายตามองไป เหล่าภิกษุรอบนอกต่างก้มหน้าพนมมือให้ การทำความเคารพนี้เหมือนกับเห็นเขาเป็นพระวิทยาราชอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายสายตาของเขาตกลงที่ร่างฮุ่ยถง
“ไต้ซือฮุ่ยถง วัดต้าเหลียงมีร่างแปลงของไต้ซือฝออิ้นแล้ว ส่วนท่าน…อืม ในเมื่อเคยเห็นวิชาอัศจรรย์ของไต้ซือฝออิ้น อีกทั้งได้รับประโยชน์จากการเสวนามรรคไม่น้อยแล้ว เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้ต้องขอตัวลาก่อน”
“หวังว่าไต้ซือทุกท่านจะฝึกปราณก้าวหน้า ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก”
เดิมจี้หยวนอยากบอกฮุ่ยถงว่าวัดต้าเหลียงมีร่างแปลงพระวิทยาราชแล้ว ตอนนี้ท่านออกไปธุดงค์ต่อได้ แต่เห็นฉู่หรูเยียนอยู่ข้างๆ เขาแล้วก็ไม่พูดดีกว่า
ทว่าเมื่อสิ้นเสียงเขา เสียงสตรีสดใสพลันดังขึ้น
“ท่านจี้! ท่านจี้โปรดรอก่อน!”
จี้หยวนมองไปทางนางกำนัล ถามด้วยความสงสัย
“นางกำนัลลู่มีอะไรหรือ”
นางกำนัลที่แข็งกร้าวเสมอมาเป็นกังวลและเขินอายอย่างหาได้ยาก เมื่อมองไปรอบๆ แล้วนางก็กลืนน้ำลายก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ท่านจี้ การฝึกปราณฝึกเซียน มี มีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
ถือเป็นคนเถรตรงคนหนึ่ง แค่อ้าปากจี้หยวนก็เห็นลิ้นไก่แล้ว จึงยิ้มพลางส่ายหน้า
“ข้าคนแซ่จี้ไม่รับศิษย์”