ตอนที่ 383 ข่าวจากภิกษุรูปงาม
“ผู้ดูแลศาลไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าคนแซ่จี้ทำเองก็ได้”
จี้หยวนไม่ใช่ว่าอยากปฏิเสธเจตนาดีของผู้ดูแลศาล แต่เขากลัวว่าผู้ดูแลศาลจะกระตือรือร้นเกินไป ถึงขนาดคีบอาหารให้ตนเองก็เป็นไปได้ จี้หยวนไม่ชอบเวลาคนอื่นคีบอาหารให้ตนเองเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะทำด้วยเจตนาดีก็ตาม ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ก็เป็นเช่นนี้
ผู้ดูแลศาลเป็นคนฉลาด รู้จักกาลเทศะ ไม่มีทางทำให้ใครรู้สึกไม่ชอบใจ เมื่อวางตะเกียบลงแล้วจึงรีบตอบ
“ท่านจี้เป็นแขกที่เดินทางมาไกล ข้าถือเป็นเจ้าบ้าน จริงสิ คนมากันพร้อมหน้าแล้ว หลิวหยวนไว่ ฮูหยินหลิว พวกเราเริ่มกินอาหารกันเลยเป็นอย่างไร”
“อาจารย์จ้าวเป็นถึงผู้ดูแลศาล ต้องทำตามที่ท่านว่าอยู่แล้ว”
หลิวหยวนไว่ตอบรับอย่างง่ายๆ เสียงหนึ่ง ผู้ดูแลศาลเห็นจี้หยวนไม่มีความเห็นเป็นอื่น พลันประกาศอย่างไม่ลัง
“ทุกคนกินข้าว กินข้าว!”
คราวนี้ทุกคนพากันหยิบตะเกียบและชามขึ้น เริ่มคีบอาหารกินข้าว
“มา ฮูหยินกินขนมอายุยืนสักชิ้น”
หลิวหยวนไว่ดึงชามเพื่อคีบอาหารให้ภรรยาตนเอง คนข้างๆ ก็ขยับตะเกียบกินข้าวเช่นกัน
บนอาหารวันนี้มีอาหารหลายอย่างมาก หลิวหยวนไว่ไม่เพียงนำปลาและเนื้อสัตว์มา ถึงขนาดพาพ่อครัวมาด้วย คนงานของศาลเจ้าที่แม้ทำอาหารเป็น ทว่าอย่างไรก็มีฝีมือจำกัด ส่วนพ่อครัวที่หลิวหยวนไว่พามากลับต่างออกไป ทำอาหารแต่ละจานได้เลิศรสดีนัก
ในบรรดาอาหารบนโต๊ะมีอาหารหลายอย่างที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของอำเภอโม่หยวนหรืออาณาจักรถิงเหลียง ก่อนหน้านี้จี้หยวนไม่เคยได้ยินมาก่อน เดิมทีอารมณ์ดีไม่หยอก เมื่อลงมือชิมอาหารขึ้นชื่อเหล่านี้แล้ว เขายิ่งอารมณ์ดีกว่าเดิม
แม้ผู้ดูแลศาลกำลังกินข้าว แต่หางตาคอยมองดูจี้หยวนตลอด ตอนเห็นเขากินข้าวด้วยรอยยิ้ม ในใจนับว่าผ่อนคลายได้เสียที ด้วยก่อนหน้านี้กลัวว่าอาหารจะไม่ถูกปาก
“นายท่าน ข้าเติมให้”
ข้ารับใช้ตระกูลหลิวที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้น ยกกาสุราเทสุราให้หลิวหยวนไว่จนเต็มถ้วย จากนั้นเทให้ฮูหยินหลิวด้วยเล็กน้อย ก่อนจะเทให้ตนเองและคนข้างๆ เมื่อถึงตาผู้ดูแลศาล อีกฝ่ายกลับโบกมือ
“ขอบคุณมากๆ ข้าเทเองๆ!”
ผู้ดูแลศาลรับกาสุรามา ทว่าไม่ได้เทให้ตนเอง อีกทั้งมองไปยังจี้หยวนที่กำลังกินอาหาร
“ท่านจี้ดื่มสุราหรือไม่ นี่เป็นสุราชื่อดังของอำเภอโม่หยวน คนต่างถิ่นเพียงรู้จักแท่งหมึก กลับไม่รู้จักสุราหอมหมึกนี้ รสชาติย่อมเยี่ยม”
จี้หยวนเป็นคนชอบดื่มสุรา แล้วเขาจะไม่ดื่มได้อย่างไร จึงยิ้มพลางพยักหน้า ผู้ดูแลศาลยกกาสุราเทพสุราให้จี้หยวนจนเต็มถ้วย จากนั้นค่อยเทให้ตนเองบ้าง
เพียงยกถ้วยขึ้นจิบครั้งหนึ่ง จี้หยวนก็แยกยะความลับภายในสุราหอมหมึกนี้ได้แล้ว สุรานี้มีฤทธิ์แรง รสชาติแรกเริ่มทั่วไป แต่ความจริงแล้วหลังจากนั้นเป็นสุราที่ดีมาก ต้องดื่มอย่างช้าๆ ลิ้มรสชาติแล้วค่อยกลืนลงไป
หลิวหยวนไว่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าหากจี้หยวนไม่เคยดื่มสุราหอมหมึกมาก่อน ก็ต้องเป็นผู้รู้จักสุราเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นคนต่างถิ่มดื่มสุราหอมหมึกครั้งแรกล้วนแยกรสชาติใดไม่ออก
เขาสังเกตจี้หยวนอยู่นานแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีขาวไม่มีลวดลายและเครื่องประดับใด แต่กลับสง่างามไม่ธรรมดา ปิ่นหยกบนศีรษะไม่ใช่ของที่จะหาได้ง่ายๆ น่าจะมีที่มาที่ไป
“ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้เป็นคนที่ใด ก่อนหน้านี้เคยดื่มสุราหอมหมึกมาก่อนหรือ”
หลิวหยวนไว่เป็นฝ่ายถามจี้หยวนก่อน
ทั่วไปแล้วกินข้าวพร้อมพูดคุยกันเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดามาก จี้หยวนจึงวางถ้วยสุราก่อนตอบ
“ข้าคนแซ่จี้เป็นคนต้าเจิน ก่อนหน้านี้ไม่เคยดื่มสุราหอมหมึกมาก่อน ทว่าไม่นับว่าดื่มสุรามาน้อย จึงเข้าใจเรื่องสุรามากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง”
“โอ้! ที่แท้เป็นคุณชายที่มาจากต้าเจินนี่เอง!”
คนในที่นี้รวมถึงหลิวหยวนไว่และผู้ดูแลศาลต่างประหลาดใจ ต้าเจินอยู่ไม่ใกล้กับอำเภอโม่หยวน สำหรับคนธรรมดาแล้วอยู่ไกลสุดขอบโลก กอปรกับความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรจู่เยวี่ยและต้าเจินย่ำแย่ยิ่งนัก มีพ่อค้าเร่จากต้าเจินมาถึงอำเภอโม่หยวนน้อยมาก แท่งหยกทางฝั่งต้าเจินส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าอาณาจักรถิงเหลียงนำมาขาย หรือไม่ก็ลักลอบนำมาจากอาณาจักรจู่เยวี่ย
“เช่นนั้นท่านมาที่อำเภอโม่หยวนด้วยธุระใด สะดวกเล่าให้ฟังหรือไม่”
“แค่กๆ เอ่อ หลิวหยวนไว่ ท่านจี้เป็นสหายของใต้เท้าที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับศาลเจ้าที่ นับเป็นแขกผู้มีเกียรติของที่นี่ อาจมีธุระอื่นต้องทำ พวกเราอย่าถามมากดีกว่า”
หลิวหยวนไว่คิดว่าจี้หยวนใช้เส้นทางลักลอบขนสินค้าอ้อมอาณาจักรจู่เยวี่ยมา จึงไม่กล้าถามอะไรมากอีก
“อ้อๆ ใช่ๆ อาจารย์จ้าวพูดถูกต้องที่สุด พวกเราคุยกันเรื่องอื่นดีกว่า จริงสิ ได้ยินพ่อค้าจากต้าเจินบอกว่าเดี๋ยวนี้อาณาจักรเจริญรุ่งเรือง เห็นทีอาณาจักรร่ำรวย ประชาชนเข้มแข็งกระมัง”
จี้หยวนหัวเราะเล็กน้อย
“เปรียบกับข้างบนมีไม่พอ เปรียบกับข้างล่างมีเหลือ ต้าเจินพอใช้ได้จริงๆ ทว่าห่างชั้นกับอาณาจักรถิงเหลียงอยู่เหมือนกัน”
“โอ้ย ท่านจี้พูดผิดแล้ว อำเภอโม่หยวนย่อมไม่เลว แต่ที่อื่นของอาณาจักรถิงเหลียงอาจไม่ใช่เช่นนั้น คนที่กินไม่อิ่มสวมเสื้อผ้าไม่อุ่นมีอยู่ไม่น้อย”
“อืม”
จี้หยวนเก็บรอยยิ้มแล้วพยักหน้า คำพูดนี้มีเหตุผลจริงๆ
“จริงสิ ข้าคนแซ่จี้มีเรื่องอยากให้หลิวหย่วนไว่และผู้ดูแลศาลช่วยชี้แนะพอดี ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านรู้จักวัดต้าเหลียงหรือไม่”
แม้พิจารณาจากการรับรู้ของตัวหมาก ทุกอย่างดีสำหรับภิกษุฮุ่ยถงในตอนแรก และตอนนี้รู้แล้วเช่นกันว่าอาณาจักรถิงเหลียงถือว่ามั่นคง ถึงจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับอาณาจักรเทียนเป่าชัดเจน แต่อย่างน้อยก็ไม่มีมารแท้ออกอาละวาด อีกทั้งมีเบาะแสอื่นสาวถึงตัวการที่สังหารมังกรเจียวดำในตอนนั้นก็แล้ว
ทว่าในเมื่อมาถึงแผ่นดินของอาณาจักรถิงเหลียง จี้หยวนจึงถือโอกาสถามขึ้น
“ท่านจี้ก็รู้จัดวัดต้าเหลียงหรือ ชื่อของวัดต้าเหลียงนี้แน่นอนว่าข้าคนแซ่หลิวเคยได้ยิน เป็นวัดพุทธขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงอยู่ทางเหนือ ว่ากันว่ามีภิกษุผู้ประเสริฐจำนวนมาก มีประสบการณ์มากเช่นเดียวกัน และยังมีเรื่องน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง เป็นข่าวลือที่แพร่สะพัดมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
เมื่อได้ฟังหลิวหยวนไว่พูดเช่นนี้ ฮูหยินหลิวป้องปากหัวเราะขึ้นมาก แม้แต่ผู้ดูแลศาลก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน
“หลิวหยวนไว่หมายถึงเรื่องรักของภิกษุกระมัง”
“ฮ่าๆๆๆ…จะมีเรื่องอะไรได้อีก ย่อมต้องเป็นเรื่องนั้น”
เห็นรอยยิ้มของหลายคน ไปจนถึงรอยยิ้มบนใบหน้าของคนรอบข้าง จี้หยวนนึกถึงบางอย่างได้อย่างน่าประหลาด ในห้วงสมองปรากฏใบหน้าหล่อเหลา อืม บนใบหน้านั้นเป็นศีรษะล้านๆ
‘คงไม่ใช่ที่ข้าคิดกระมัง’
“เรื่องรักของภิกษุคืออะไร”
จี้หยวนทำท่าทางเป็นไม่รู้เรื่องอะไร กล่าวถามด้วยความสงสัย
ผู้ดูแลศาลมองหลิวหยวนไว่ เห็นอีกฝ่ายคิดจะเอ่ยวาจาจึงหุบปาก เป็นไปตามที่คาดไว้ หลิวหยวนไว่ดื่มสุราอึกหนึ่งแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านจี้อาจจะไม่รู้ มีภิกษุที่วัดต้าเหลียงรูปหนึ่งนามว่าฮุ่ยถง อายุไม่น้อยแล้วแท้ๆ แต่กลับยังคงมีใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลา สวมจีวรยิ่งผ่องใสน่าดึงดูด ไม่รู้ว่าทำให้หญิงสาวตกหลุมรักมากมายเท่าไหร่แล้ว นอกจากนี้ยังมีพ่อค้า อ๋อง ขุนนาง และสตรีผู้มั่งคั่งอีกมากมายที่เทใจให้เขา ถึงขนาดมีอ๋องจากดินแดนห่างไกลไปสอบถามไต้ซือฮุ่ยถงว่ากลับไปใช้ชีวิตอย่างฆราวาสได้หรือไม่…”
เยี่ยม เป็นเขาจริงๆ!
จี้หยวนอยากรักษาความเคร่งขรึมเอาไว้ ทว่าหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้แล้ว
“ฮ่าๆๆๆ นี่น่าสนใจจริงๆ ไต้ซือฮุ่ยถงตอบรับหรือไม่”
“ฮ่าๆๆๆ ย่อมไม่เคยตอบรับ แต่มีคนจดจำไว้เสมอมา มีช่วงหนึ่งไฟกำยานที่วัดต้าเหลียงเต็มกระถาง ทว่าแปลกอยู่บ้าง เพราะมีผู้หญิงมามากที่สุด!”
ผู้ดูแลศาลยิ้มพลางกล่าวเสริมอยู่ข้างๆ
“ดังนั้นต่อมาคาดว่าไต้ซือฮุ่ยถงกลัวเล็กๆ ไม่พำนักอยู่ที่วัดต้าเหลียงเสียเลย มักออกไปธุดงค์ข้างนอก ออกไปครั้งหนึ่งใช้เวลาหนึ่ง สอง หรือหลายปีนานมากๆ ภิกษุรูปอื่นบอกว่าออกธุดงค์แสวงหาทางธรรมข้าเชื่อ ไต้ซือฮุ่ยน่าจะหลบเลี่ยงสตรีด้วยมากกว่า! น่าเสียดายที่ต่อให้ไปนานแค่ไหน เมื่อกลับมาแล้วความพยายามก่อนหน้านี้ล้วนไร้ประโยชน์ หลายปีก่อนท่านกลับวัดต้าเหลียง เกือบถูกองค์หญิงใหญ่จับตัวไป ฮ่าๆๆๆๆ…”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
“ใช่ๆๆ ฮ่าๆๆๆ…”
“ฮ่าๆๆๆ…”
ภายในห้องครัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครืน จี้หยวนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เห็นทีภิกษุฮุ่ยถงมีชีวิตสุขสบาย อืม อย่างน้อยก็มีสีสันทีเดียว
เทียบเจตกระบี่แม้อยู่ในแขนเสื้อ แต่พิเคราะห์ว่ามีเจ้าตัวน้อยที่ต่างก็คึกคักนับร้อยตัวอยู่ด้วย จี้หยวนจงใจไม่ตัดการรับรู้ภาพและเสียงจากภายนอก เพียงห้ามเสียงเล็ดรอดออกมาจากด้านเดียว ดังนั้นเทียบเจตกระบี่ตอนนี้จึงสนุกสนานคึกคักกว่าเดิม
หลังจากหัวเราะเสร็จแล้ว บรรยากาศศบนโต๊ะกลมเกลียวกันไม่น้อย จะดื่มอวยพรหรือเทสุราล้วนเป็นธรรมชาติขึ้น เมื่อได้รับคำถามจากพวกหลิวหยวนไว่ จี้หยวนเล่าเรื่องสนุกมากมายเช่นกัน ไม่จำกัดแค่ที่ต้าเจินเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องที่เขาประสบมาตลอดหลายปีนี้
เรื่องอภินิหารบางเรื่องก็เล่าถึงเช่นกัน โดยพูดเสริมไปว่าได้ยินมาหรือเป็นตำนาน แต่สิ่งที่เล่ากับลงรายละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ทำผู้ฟังเหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วยอย่างไรอย่างนั้น กระนั้นท่านจี้ผู้นี้มีน้ำเสียงราบเรียบมากเสมอ ฟังแล้วลึกลับยิ่งกว่านักเล่าเรื่องบางคน ทำเอาใครหลายคนลืมขยับตะเกียบ หัวใจเต้นดังโครมคราม
“ไอ้หยา ไยลูกชิ้นปลาถึงไม่มีรสชาติใดเลยสักนิด ไม่เด้งเลยด้วย”
หลิวหยวนไว่พลันกล่าวขึ้น ตักลูกชิ้นปลามาอีกลูกหนึ่ง พบว่าลูกนั้นมีรสชาติ
ผู้ดูแลศาลรีบร้องอย่างเกินจริง
“ยินดีกับหลิวหยวนไว่ ท่านกินถูกลูกชิ้นปลาที่ท่านเจ้าที่กินแล้ว ต้องมีโชคดีเป็นแน่!”
ขณะพูดอยู่นั้น ผู้ดูแลศาลมองจี้หยวนอย่างหวาดๆ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะตำหนิตนเอง อย่างไรเสียเขาติดนิสัยนี้มาหลายปีแล้ว เห็นจี้หยวนไม่ว่าอะไรจึงถอนใจโล่งอก
“อ้อๆๆ ใช่ๆๆ เคยได้ยินว่าของที่ท่านเจ้าที่กินแล้วจะไม่มีรสชาติเหลือ เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
หลิวหยวนไว่กัดฟัน รีบกินลูกชิ้นครึ่งลูกนั้นอีกครั้ง เคี้ยวสองครั้งแล้วกลืนทันที
จี้หยวนทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ข้างๆ เจ้าที่กินเข้าไปแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่หากบอกว่าจะมีโชคดีได้รับโชคลาภนั่นคิดมากเกินไปแล้ว ไม่มีโภชนาการอะไรเหลือเท่าไหร่เป็นความจริง ทว่ากินแล้วยังคงอิ่มท้องอยู่ดี
อาหารมือนี้นับว่ามีความสุขทั้งเจ้าภาพและแขก แม้แต่จี้หยวนเองก็ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้ เมื่อกลับถึงเรือนแล้วเจ้าที่รีบปรากฏกาย มอบกล่องขนาดใหญ่ให้เขา
“ท่านจี้ ข้าเตรียมหมึกไม้สนให้ท่านกล่องหนึ่ง ทั้งหมดมีแท่งหมึกได้มาตรฐานหนึ่งร้อยหกสิบสามแท่ง ท่านวางใจ นี่ยังไม่ถือว่าครบครัน ข้าจะช่วยท่านหาหมึกคุณภาพสูงของอำเภอโม่หยวนมา แต่ขอให้ท่านรับของพวกนี้ไว้ก่อน!”
จี้หยวนประสานมือและกล่าวขอบคุณ
“ลำบากท่านเจ้าที่แล้ว”
“นี่ๆ ท่านชอบก็พอแล้ว ข้าขอตัวลาก่อน!”
เจ้าที่ไม่รบกวนมาก ดำดินจากไปทันที
จี้หยวนไม่ได้พูดว่าแท่งหมึกร้อยกว่าแท่งก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักพอ แต่เหรียญทิพย์พวงนั้นมีค่ามากยิ่งกว่าหมึกคุณภาพดีเสียอีก
เขาเดินไปถึงข้างกล่องแล้วหยิบหมึกไม้สนขึ้นมา มีลวดลายและมีด้ายทอง อีกทั้งมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์อันเจือจางโชยมา คุณภาพดีกว่าที่ตัวอักษรตัวน้อยเหล่านั้นกินก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
เมื่อหยิบเทียบเจตกระบี่ออกมากางบนโต๊ะ เหล่าตัวอักษรบนนั้นอดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง จี้หยวนจึงปลอบโยนคำหนึ่ง
“ไม่ต้องรีบร้อน วิธีกินของพวกเจ้าป่าเถื่อนเกินไป กินมากๆ แล้วกักเก็บไว้ยิ่งไม่นับว่าเป็นการฝึกปราณที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าที่สุด!”
จี้หยวนเก็บหมึกทั้งกล่องไว้ในแขนเสื้อ เหลือไว้เพียงแท่งเดียว จากนั้นหยิบแท่นฝนหมึกและพู่กันขนหมาป่าออกมา
“ทุกตนล้วนสงบใจหน่อย ข้าจะช่วยพวกเจ้าฝนหมึก”
เห็นท่าทางนี้แล้วตัวอักษรทุกตัวต่างเข้าใจ นายใหญ่ต้องการใช้พู่กันขนหมาป่าจุ่มหมึกก่อนแต้มใส่พวกมัน ทำให้พวกมันทุกตัวตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว เทียบเจตกระบี่ทั้งแผ่นขยุกขยิกต่อเนื่อง เหมือนกับมีลมกำลังเป่าใส่อย่างไรอย่างนั้น
………………………………..