ตอนที่ 377 วิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน
นักพรตชิงซงและฉีเหวินมองแสงสว่างกลางตำหนักหลักของอารามเมฆาด้วยความงุนงง มองเห็นดวงดาวบนธงดาราของอารามกำลังกะพริบแสงได้จากประตูห้องครัวอย่างชัดเจน
ในฐานะอารามเต๋าดั้งเดิมที่ไม่นับถืออริยะเทพองค์ใด เพียงนับถือหมู่ดาวเท่านั้น ความหมายของการเปลี่ยนแปลงบนธงดาราในใจนักพรตทั้งสองนั้นเหมือนกับเวลาที่ภิกษุเห็นรูปปั้นพระวิทยาราชส่องแสงในวัด ตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
ดวงดาวบนธงดารากะพริบแสงทีละดวง สุดท้ายแสงทั้งหมดถูกเก็บงำอยู่ภายในธงดารา กลับกลายเป็นผ้าผืนใหญ่สีดำที่แขวนอยู่ในอารามมานานปีดังเดิม ฉีเซวียนและฉีเหวินล้วนรู้ว่าภายในนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“อาจารย์ พวกเรามีโอกาสกลายเป็นเซียนใช่หรือไม่”
ฉันเหวินแม้ไม่เข้าใจมรรคเซียน แต่เห็นภาพนี้แล้วเป็นพรหรือคำสาปล้วนชัดเจนมาก
นักพรตชิงซงตื่นเต้นอยู่บ้างเช่นกัน ทว่าควบคุมเอาไว้ไม่แสดงออกทางสีหน้า ถึงนักพรตมีความศรัทธาของตนเอง ทำให้พวกเขาไม่คิดวุ่นวายกับจี้หยวนหรืออยากเรียนรู้มรรคเซียน แต่มรรคเซียนอัศจรรย์มีใครบ้างเล่าไม่ต้องการ วิชายืดอายุขัยมีใครเล่าไม่ปรารถนา
วิชาที่จี้หยวนใช้ในตอนนี้ เกรงว่าไม่เพียงต้องการนำทางนักพรตเขาเมฆาเข้าสู่การฝึกปราณ นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของนักพรตชิงซงที่เป็นปรมาจารย์ทำนายชะตาในตอนนี้เท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสฉินมาแล้วก็มีความรู้สึกนี้อยู่รางๆ
ทว่านักพรตชิงซงไม่พูดจาเลย ไม่ถามอะไรมากเช่นกัน ผู้สูงส่งระดับนี้ทำอะไรล้วนมีเหตุผล ปล่อยให้เป็นไปต่างหากถึงสมควรแล้ว
“ข้าเคยบอกแล้วว่าบางเรื่องบังคับไม่ได้และไม่จำเป็นต้องบังคับเลย ผูกสัมพันธ์ผูกโชคชะตาวาสนาไว้เป็นการดีที่สุด เจ้าดูสิ…”
นักพรตชิงซงไม่พูดแล้ว เพราะจี้หยวนทางนั้นตกลงจากหน้าธงดารากลางตำหนักแล้ว เดินออกจากตำหนักใหญ่อีกครั้ง มองไปทางห้องครัว
“นักพรตทั้งสองไม่จำเป็นต้องกังวลว่าการกระทำของข้าคนแซ่จี้จะทำให้พวกเจ้าเบี่ยงเบนไปจากคำสอนของลัทธิเต๋าหรือไม่ ข้าคนแซ่จี้ไม่ได้ใช้วิชาจวนเซียนใดผูกมัดอารามเขาเมฆา ธงดาราผืนนี้เป็นธงดาราของอารามเขาเมฆา ส่วนวิชาฝึกปราณย่อมเป็นวิชาเต๋าของอารามเขาเมฆาเอง ให้ความสำคัญดวงดาว นับถือฟ้าดิน”
ราวกับรับรู้ถึงความฉงนของนักพรตสองคน เสียงราบเรียบของจี้หยวนดังขึ้นข้างหูฉีเซวียนและฉีเหวิน
“วิชาเต๋า? เอ่อ…”
นักพรตชิงซงทวนคำพูดตามสัญชาตญาณ วิชาเต๋าเขาเมฆาเขาและฉีเหวินตั้งใจศึกษาทั้งเช้าเย็นมาหลายปี มีประโยชน์หรือไม่พวกเขารู้อยู่แล้ว อย่างมากมีความหมายกับจิตใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่เลว แต่ไม่ใช่นิมิตวิชาเต๋าเขาเมฆาในอดีต ทั้งสองท่านโปรดเตรียมอาหารกลางวันอย่างมั่นใจ หลังจากนี้ข้าคนแซ่จี้และท่านฉินจะอธิบายกับทั้งสองคนอย่างละเอียด หากไม่ยินยอมแค่บอกมาก็ใช้ได้แล้ว”
นักพรตสองคนแม้เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่จี้หยวนพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่คิดถามมากอีก หลังจากคารวะขอบคุณแล้ว พวกเขาพาความตื่นเต้นเล็กน้อยในใจกลับไปเตรียมอาหารกลางวันต่อ
ส่วนจะยินยอมหรือไม่ นักพรตชิงซงและนักพรตชิงยวนไม่ใช่คนโง่!
อาหารกลางวันในวันนี้เรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์มากๆ สำหรับมาตรฐานของเขาล้อมหยก มีปลา มีเนื้อสัตว์ และมีผักสดๆ หลายชนิด ยิ่งมีน้ำแกงเห็ดจากบนเขาแสนอร่อยด้วย
ตอนเริ่มมื้ออาหาร จี้หยวนขอถ้วยเล็กสองใบเป็นพิเศษ แล้วนำเนื้อปลาและเนื้อหมูที่นักพรตชิงซงเป็นคนทำแบ่งใส่ในถ้วยสองใบนั้น จากนั้นวางไว้บนพื้นข้างนอกห้องครัว สุดท้ายถึงเริ่มกินอาหารที่ห้องครัวกับอีกสองสามคน
ไม่นานเตียวน้อยสองตัวก็สำรวจด้วยความกังวลและลังเล พวกมันเกิดปัญญาแล้ว รู้ดีว่าบุรุษเสื้อขาวในเรือนเป็นคนที่มอบอาหารให้เตียวน้อยอย่างพวกมันกิน แต่รู้ก็เรื่องหนึ่ง วางใจหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทว่าสุดท้ายเตียวสองตัวนั้นก็ไม่สงสัยอีก กระโดดลงจากสันกำแพงแล้วเริ่มกินอาหารในถ้วย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เตียวน้อยทั้งสองได้กินอาหารปรุงสุก
อารามเขาเมฆาอยู่ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อารามเต๋าในวันนี้สงบเงียบที่สุด แม้ยังคงตั้งอยู่บนยอดเขาหมอกอำพรางอย่างสงบดังเดิม แต่เหล่านักพรตเขาเมฆากลับมีโชคชะตาที่เปลี่ยนผันไปแล้ว
จี้หยวนอธิบายเส้นทางการฝึกปราณในปัจจุบันให้ฉีเซวียนและฉีเหวินฟังด้วยตนเอง พูดถึงจุดลมปราณทั่วร่างและมรรคฟ้าดินในกาย พูดถึงฟ้าดินห้าธาตุและหยินหยางในความหมายของการฝึกปราณ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณฟ้ากินและคุณสมบัติอัศจรรย์ต่างๆ จากนั้นร่วมกับฉินจื่อโจวพูดถึงพลังดวงดาวที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง
หากพูดถึงรากฐานการฝึกปราณของจวนเซียนทั่วไป ไม่ว่าลี้ลับหรือธรรมดา ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับเคล็ดวิชาแนะนำและเคล็ดวิชาฝึกปราณเป็นพื้นฐาน สิ่งที่จี้หยวนกำลังพูดในอารามเขาเมตตาตอนนี้คือพื้นฐานใหม่ล่าสุด
ฉินจื่อโจวในฐานะที่เป็นหมากลวงสำคัญในมือจี้หยวน เมื่อพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลายปีนี้ จี้หยวนสามารถรับรู้ได้ด้วยตนเอง ในบางระดับได้เรียนรู้ความหมายและความเข้าใจของดวงดาวเต๋าผ่านร่างเทพหยางเช่นกัน
ตรงที่ไม่อาจเข้าใจแตกฉาน เพียงนั่งแลกเปลี่ยนความเห็นกันยามตากแดดเมื่อเช้า ก็พอจะนำความรู้มาอธิบายหลังมื้อกลางวันในวันนี้ได้แล้ว
รวมเคล็ดวิชากำหนดปราณที่จี้หยวนคิดทบทวนอยู่หลายครั้งนับไม่ถ้วน เข้ากับวิชาทัศนาดาราของอารามเขาเมฆาที่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ ‘วิวัฒน์ฟ้าดิน’ ใหม่ฉบับหนึ่งก็ปรากฏออกมา
นี่ไม่อาจนับว่าเป็นเคล็ดวิชากำหนดปราณแล้ว พูดให้ถูกต้องนับเป็นวิชากำหนดปราณรับดวงดาว แม้ตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ ทว่าเพียงพอให้ฉีเซวียนและฉีเหวินฝึกฝนแล้ว
จี้หยวนก็เป็นคน มีความเห็นแก่ตัวเช่นกัน ดังนั้น ‘วิวัฒน์ฟ้าดิน’ ใหม่นี้ความจริงผสมปนเปกับข้อมูลส่วนบุคคล มีค่านิยมของตนเองอยู่ในนั้น ทว่าก็ให้ความสำคัญกับคัมภีร์ส่วนนี้เป็นอย่างยิ่ง
ไม่เพียงเตรียมแปลงวิชาย้อนชะตาไว้ข้างใน ถึงขนาดคิดต้องการรวมตัวหมากเข้ากับดวงดาราในภูผาธาราเขตแดนด้วย
ทั้งหมดนี้สนับสนุนแนวความคิดของจี้หยวนและฉินจื่อโจว ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือวิชาวิวัฒน์ฟ้าดินย้อนทวนของวิชากำหนดปราณรับดาราที่พิเศษนี้
ฝึกโดยการชักนำปราณรับพลังดวงดาว เมื่อรวมกับการฝึกเคล็ดวิชาแล้ว ในที่สุดดวงดาวก็จะถูกปลูกฝังในจุดลมปราณทั่วร่างกาย แม้กระทั่งในเขตแดนด้วย
ผลกระทบการย้อนทวนต่อปราณวิญญาณไม่มาก นอกจากนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์เพราะมีฟ้าดินในเขตแดนเช่นเดียวกับจี้หยวน ทว่าเพียงพอยามช่วยใช้วิชา ทำให้ภายในกายตอบรับดวงดาวข้างนอกกาย
ส่วนจะเกิดอภินิหารใดหรือไม่ ตอนนี้จี้หยวนก็ไม่รู้เหมือนกัน การอนุมานเบื้องต้นคือจิตวิญญาณจะได้รับการยกระดับ การทำความเข้าใจมรรคก็เป็นประโยชน์
และนอกจากเคล็ดวิชากำหนดปราณรับดวงดาวนี้แล้ว กลับเป็นเคล็ดวิชาฝึกปราณที่มีความสำคัญกับจวนเซียนอื่นหรือผู้ฝึกปราณมรรคต่างๆ ยิ่งกว่า ทว่าไม่นับว่าสำคัญมากสำหรับจี้หยวน แม้ตนเองและแบบฝึกล้อมหยกในตอนนั้นจะไม่เหมือนกันแล้ว แต่เคล็ดวิชาที่ถูกเรียกว่าเป็นแบบฝึกฟ้าดิน โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้เหนือกว่าฝ่ายแรกสักเท่าไหร่
วิวัฒน์ฟ้าดินที่ปรับใหม่นี้ แม้แต่ชื่อก็ผสมกันตรงๆ เพราะจี้หยวนขี้เกียจคิด ต่อให้หลังจากนี้แบบฝึกฟ้าดินเล็ดรอดออกไป คนรุ่นหลังหาเคล็ดวิชาฝึกปราณอะไรเจอก็ฝึกฝนได้ แต่ประสิทธิภาพอาจย่ำแย่กว่าเท่านั้นเอง
แน่นอนว่าทุกอย่างห่างจากสิ่งที่ฉีเซวียนและฉีเหวินรับไหว มีเวลาเพียงพอให้จี้หยวนและฉินจื่อโจวจะสรุป จัดระเบียบสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขาให้เป็นระบบการฝึกอบรมที่สมบูรณ์
พูดตามตรง ผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากทั้งหมดนี้นอกจากนักพรตอารามเขาเมฆาแล้ว ตัวจี้หยวนเองก็นับว่าได้รับประโยชน์เช่นกัน ส่วนฉินจื่อโจวแม้จะใช้ประโยชน์ได้ แต่ต่อไปเขาจะต้องข้องเกี่ยกับมรรคเทพอย่างแน่นอน และครองสัดส่วนน้อยมากๆ
จี้หยวนไม่ได้คิดใช้ฉีเซวียนและฉีเหวินเป็นหนูทดลอง แม้ว่าทั้งสองคนจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากเนื่องจากปราณวิญญาณของพวกเขา แต่ถึงอย่างไรเสียก็ยังเป็นคนธรรมดา อาจทนไม่ได้จนถึงที่สุด
หนูทดลองตัวจริงคือจี้หยวนเอง แน่นอนว่าถ้าพูดตามตรงแล้วฉินจื่อโจวก็นับว่าเป็นหนูทลองเช่นกัน หลังจากจี้หยวนพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมเท่านั้น ถึงจะปรับปรุงวิวัฒน์ฟ้าดินและแบบฝึกฟ้าดินต่อไปได้ ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกกับฉีเซวียนและฉีเหวิน เพื่อไม่ให้นักพรตทั้งสองคิดไปไกล ถึงอย่างไรจี้หยวนก็มั่นใจในตนเองว่าจะอนุมานสิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่าการฝึกของทั้งสองคน
ตอนนี้ยังไม่มีเคล็ดวิชาเป็นตำรามอบให้ ถึงเวลาแล้วจี้หยวนจะพัฒนาด้วยตนเอง จากนั้นส่งวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินมาที่อารามเขาล้อมหยก
หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว จี้หยวนและฉินจื่อโจวอธิบายให้ฉีเซวียนและฉีเหวินฟังอยู่ตลอด ฝ่ายจี้หยวนเป็นผู้อธิบายหลัก ส่วนฉินจื่อโจวมีความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึปกราณดั้งเดิมเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ตอนฉีเซวียนและฉีเหวินคิดว่าจี้หยวนใช้วิชาอะไรกับธงดาราในอาราม แต่ต่อมาค่อยๆ เข้าใจแล้วว่านั่นไหนเลยจะเป็นมุมมองดาราของอารามเขาล้อมหยก มันเป็นรากฐานส่วนเล็กๆ ในนั้นต่างหาก และสร้างวิชาเทพเซียนอัศจรรย์ที่กำหนดโดยอารามเขาล้อมหยกออกมา
เมื่อจี้หยวนใช้การวิเคราะห์ที่ละเอียดลอออธิบายให้ฉีเซวียนและฉีเหวินฟังจนเข้าใจแล้ว ฉีเซวียนและฉีเหวินก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา จนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืนช่วงเวลาที่ดวงดาวทั่วท้องฟ้าส่องสว่างที่สุด ทั้งสองคนเริ่มฝึกปราณขั้นแรกตามคำชี้แนะของจี้หยวนอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
ปราณวิญญาณรอบอารามเขาล้อมหยกเข้มข้นขึ้นแล้ว กลุ่มดาวบนท้องฟ้ากะพริบแสง ธงดาราของตำหนักหลักในอารามส่องแสงเทพเลือนราง ราวกับตอบรับแสงจากดาวบนท้องฟ้า
แสงดาวเพิ่มความเข้มข้นขึ้นบนเขาล้อมหยก ฝ่ายฉีเซวียนและฉีเหวินยิ่งทยอยกันถูกปราณวิญญาณล้อมรอบไว้เลือนราง บนใบหน้าทอแสงดาวน้อยนิดที่หากไม่สังเกตก็อาจมองไม่เห็น
เห็นสองคนเข้าสู่สภาวะนี้ได้อย่างรวดเร็ว ฉินจื่อโจวจึงกล่าวชมอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้ มุมมองดาราหลายปีและพื้นฐานบทเรียนทั้งเก่าใหม่รวมเข้าด้วยกัน นับว่าประมาณตนแล้ว มีสภาวะนี้ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก จริงสิ นี่คือสิ่งที่ข้าจะมอบให้เตียวน้อยสองตัว ท่านฉินเก็บไว้ก่อน วันหน้าหากเตียวสองเรียนรู้และค่อยๆ เข้าใจความจริงก็เรียนได้แล้ว”
จี้หยวนวางแท่งหยกชิ้นหนึ่งลงบนโต๊ะ บนนั้นมีตัวอักษรขนาดเล็กยุบยับไปหมด
“นี่คืออะไรหรือ”
“นับว่าเป็นวิชาฝึกปราณของสัตว์เซียน สัตว์เซียนจะฝึกปราณต้องมีการชักนำ เปลี่ยนแปลง และแฝงวิชาสามขั้น แฝงวิชาแล้วจำเป็นต้องเหมาะสมกับสัตว์ด้วย นี่เป็นแค่วิชาชักนำและเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ขั้นแฝงวิชากลับไม่ต่างกับวิชาที่จวนเซียนทั้งหลายทำกับสัตว์เซียนของตนเอง สัตว์วิเศษหรือปีศาจที่ฝึกจำต้องมีการควบคุมและความสามารถปรับแก้ที่แน่นอน”
“แม้มีความยากลำบากไม่ต้อย แต่ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องเลวร้าย วิชานี้ตอนนั้นข้าได้มาจากผู้อาวุโสอิง ก่อนหน้านี้ข้าแย่งมาปรับแก้เพราะเรื่องบางอย่าง ต่อมาปรับให้สมบูรณ์อีกครั้ง ทำให้นุ่มนวลกว่าเดิมหน่อย ถึงอย่างไรเสียสัตว์วิเศษที่มีปัญญาแล้วก็ไม่ได้มีร่างวิญญาณแบบเดียวกับมังกรเจียว”
พูดถึงตรงนี้แล้วจี้หยวนมองฉินจื่อโจว
“ท่านฉิน ข้าคนแซ่จี้ไม่อาจทำเรื่องทั้งหมดโดยละเอียดด้วยตนเอง รบกวนท่านดูแลหน่อยแล้ว”
จนแล้วจนรอดทั้งหมดนี้ของเขาล้อมหยกแฝงความไม่มีใจปักกิ่งหลิว แต่สิ่งสำคัญคือการปูทางสู่มรรคเทพท่องโลกของฉินจื่อโจว
ฉินจื่อโจวประสานมืออย่างจริงจังและตั้งใจ
“ข้าคนแซ่ฉินรู้หนักเบาดี!”
สัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้าจี้หยวนในครั้งนั้น คำพูดที่ว่าช่วยเหลือคนและวิญญาณทั่วทั้งใต้หล้า สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนในตอนนั้น บัดนี้ฉินจื่อโจวยังคงจดจำไว้ในห้วงสมองไม่ลืม
คำพูดนี้แต่เดิมมีน้ำหนักมหาศาล ทว่าฉินจื่อโจวในวันนี้รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างความหมาย ไม่ว่าอย่างไนต้องมีความเชื่อมั่น ต้องทำให้ได้!