ตอนที่ 348 เริ่มต้นในอดีต กลับสู่อดีต
นักเล่าเรื่องมองห้องพักแล้วมองโถงหน้าที่เดินผ่านมาเมื่อครู่ คิดว่าคุณชายก่อนหน้านี้อาจไปเตรียมฟังเรื่องเล่าข้างหน้าแล้วก็เป็นได้
นับเงินห้าเหรียญจนพอใจแล้ว หลังจากเก็บเงินเข้ากระเป๋าเรียบร้อย นักเล่าเรื่องจัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วกลับไปยังห้องโถงของโรงน้ำชาพร้อมรอยยิ้ม
“นี่ นักเล่าเรื่องกลับมาแล้ว”
“รีบนำชากาใหม่ไปให้นักเล่าเรื่อง ลงบัญชีข้าไว้!”
“ได้เลย”
“คราวนี้ท่านจะเล่าเรื่องอะไรหรือ”
“จริงสิ เล่าเรื่องใหม่เถอะ!”
“ใช่ๆ เล่าเรื่องใหม่ดีกว่า”
ลูกค้ากลุ่มหนึ่งเห็นนักเล่าเรื่องกลับมา จึงพากันส่งเสียงพูดขึ้นมา
สังคมนี้ชอบฟังลำนำ ดูละคร และฟังเรื่องเล่า ล้วนนับเป็นความบันเทิงที่ไม่เลวเป็นอย่างยิ่งแล้ว นอกจากนี้ชาวบ้านไม่ได้มีความบันเทิงอะไรเท่าไหร่ ตอนกลางคืนมีแค่กิจกรรมทำลูกระหว่างสามีภรรยาแล้ว
ดังนั้นในโรงน้ำชาขอเพียงมีนักเล่าเรื่องฝีปากดีนั่งประจำที่ ทั่วไปแล้วคึกคักเสมอ
“ได้ๆๆ ทุกท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้ามีเรื่องจะเล่าอยู่แล้ว!”
นักเล่าเรื่องถือพัดกระดาษขาวพลางประสานมือให้ทุกคน สายตามองไปทั้งซ้ายและขวา กวาดสายตาอยู่รอบหนึ่งแล้วไม่พบคุณชายในเสื้อสีขาวที่มอบความประทับใจลึกซึ้งให้
กลับกลายเป็นว่าที่หน้าประตูมีหญิงงามท่าทางไม่สู้ดีให้ข้ารับใช้ประคองมา ตามมาด้วยเด็กสองคนเข้ามานั่งในโรงน้ำชา มีพนักงานกำลังรับใช้อย่างดี ดึงดูดสายตาคนรอบข้างอย่างอดไม่ได้ ทว่าไม่มีใครกล้าก้าวก่าย
นักเล่าเรื่องยกจอกชาขึ้น ดื่มชาให้ชุ่มคอเสียอึกหนึ่ง
“แค่ก…ในเมื่อทุกคนอยากฟังเรื่องใหม่ เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องเก่าจากทางรัฐจีของพวกเรา หลายปีมานี้มีคนเล่าถึงไม่มาก เรื่องราวค่อนข้างสั้นแต่นับว่ามีสีสัน หากมีคนออกเดินทางไกลแล้วพักเท้ายังอำเภอหนิงอัน อาจมีผู้อยู่ในเหตุการณ์ปีนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้”
การเล่าเรื่องเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง จี้หยวนคิดเช่นนี้เสมอมา นักเล่าเรื่องที่อาศัยการเล่าเรื่องหาเลี้ยงชีพได้ล้วนไม่ธรรมดา
อย่างเช่นตอนนี้ นักเล่าเรื่องพูดเพียงไม่กี่คำ ยังไม่ทันเปิดเรื่องเล่าอะไรมากมาย ก็สร้างอารมณ์และเพิ่มความสนใจให้กับทุกคนได้แล้ว
“ไอ้หยา ท่านรีบเล่าเร็วเถอะ!”
“จริงด้วย แท้จริงแล้วจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่”
“ไม่รีบร้อนๆ นี่เพิ่งเริ่มต้น!”
นักเล่าเรื่องกางพัดกระดาษขาวดังพรึ่บ สะบัดตรงหน้าอกเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยปากด้วยวาจาฉะฉานน่าฟัง
“เรื่องเกิดขึ้นมาหลายสิบปีก่อน บนเขาโคเทพของรัฐจีเรามักเกิดเหตุการณ์เสือร้ายกินคน หลายปีนั้นคนที่ตายเพราะเสือไม่รู้มากมายเท่าไหร่ ชาวบ้านหลายอำเภอบริเวณภูเขาตกอยู่ในอันตราย แม้เป็นนายพรานมากประสบการณ์ก็ไม่ขึ้นเขาง่ายๆ นั่นเป็นวันคืนอันมืดมนอย่างแท้จริง ดวงอาทิตย์หรือสายฝนล้วนไม่ถูกภูเขาเลย…”
ลูกค้าข้างๆ ฟังอย่างตั้งใจ ส่วนลั่วหนิงซวงที่เพิ่งนั่งลงพลันชะงักค้าง มองไปทางนักเล่าเรื่องผู้นั้น
ด้านข้างมีลูกค้าอายุน้อยจำนวนหนึ่งเคยฟังเรื่องนี้แล้ว จึงกดเสียงเบาพูดคุยกับสหาย
“กำลังจะเล่าตำนานเก้าจอมยุทธ์ ไม่ได้ฟังมาหลายปีแล้วเหมือนกัน!”
“ตำนานเก้าจอมยุทธ์?”
“อืม เจ้าได้ฟังแล้วก็จะรู้ เรื่องเล่าพื้นเมืองของรัฐจีเรา”
“อ๋อๆๆ…”
เด็กสองคนข้างกายลั่วหนิงซวงกำลังแย่งขนมในชุดน้ำชา พร้อมกันนั้นฟังเรื่องเล่าไปด้วย ทว่าพวกเขาถือขนมด้วยท่าทีแปลกประหลาดอยู่บ้าง ต่างคนต่างวางขนมลงบนที่ว่าง อีกทั้งยิ้มอย่างภาคภูมิใจยิ่ง
ลั่วหนิงซวงมองนักเล่าเรื่องเหม่อลอยอยู่บ้าง อีกฝ่ายบ้างขยับพัด บ้างเก็บพัด หรือไม่ก็ฟาดไม้ปลุกสติแล้วออกท่าทางทั้งแขนขา
นางมายังสถานที่อย่างโรงน้ำชาน้อยครั้งมาก เรื่องนี้ลั่วหนิงซวงพอจะเคยได้ยิน แต่หลายปีมานี้เพิ่งเคยได้ยินคนเล่าถึงเป็นครั้งแรกจริงๆ
จอมยุทธ์เก้าคนในเรื่องเล่าไม่มีชื่อ ล้วนใช้สกุลเยี่ยน จ้าว ลั่ว ตู้และสกุลอื่นๆ เรียกแทน ไม่รู้ว่าเรื่องราวถูกแต่งเติมและปรับแก้กี่ครั้งแล้ว หนึ่งในนั้นถึงขนาดเล่าว่าต่อสู้กับเสือร้ายสามครั้งด้วยกัน
“ฮ่าๆๆ…ฮ่าๆๆๆ…เพิ่งเห็นพวกข้าก็ล้มลงเสียแล้ว…”
ลั่วหนิงซวงหัวเราะและพึมพำ ในดวงตามีประกายเล็กน้อย เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเหล่านั้นกลับคืนสู่ความทรงจำทีละนิด นางมองมือขาวนุ่มของตนเอง ปุ่มนูนที่เกิดขึ้นเพราะฝึกวิชายุทธ์อย่างยากลำบากในตอนนั้นหายไปหมดแล้ว ตอนนั้นทั้งสิบนิ้วนับว่าไม่เคยได้ซักผ้าถูบ้าน
“ความฝันท่องยุทธภพของข้า เก็บไว้ให้ลูกๆ ก็แล้วกัน…”
ลั่วหนิงซวงทอดถอนใจ มองบุตรชายที่กำลังแย่งขนมกันอย่างอ่อนโยน
โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป เจ้าภูเขาลู่หลับตาลงเล็กน้อย ฟังเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่องเงียบๆ มุมปากเผยรอยยิ้มจางอย่างอดไม่ได้
“นี่ก็คือโชคชะตาสินะ! เริ่มต้นในอดีต กลับสู่อดีต…”
พูดถึงตรงนี้แล้วเจ้าภูเขาลู่ไม่ลังเลอีก ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังโต๊ะของลั่วหนิงซวง
ข้ารับใช้สองคนที่โต๊ะข้างๆ ลุกขึ้นมองเขาอย่างระแวดระวัง ลั่วหนิงซวงเองก็มองคุณชายผู้หล่อเหล่าด้วยความฉงนอย่างชัดเจน
“คุณชายท่านนี้มีธุระอะไรหรือ”
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มเล็กๆ ประสานมือให้ลั่วหนิงซวง
“ข้าเห็นจอมยุทธ์หญิงที่ตลาดเมื่อครู่ เห็นเจ้าลงมือต่อสู้กับคนชั่วทั้งที่ตั้งครรภ์อยู่จึงเลื่อมใสมาก อีกทั้งเห็นว่าจอมยุทธ์หญิงเหมือนกับคนที่ข้าเคยรู้จักเป็นยอ่างยิ่ง จึงตั้งใจเข้ามาทักทายสักครั้ง!”
ได้ยินดังนั้นแล้วข้ารับใช้สองคนค่อยผ่อนคลายลง ลั่วหนิงซวงยิ้มเช่นกัน เด็กชายสองคนยิ่งมีสีหน้าภูมิใจ มองบุรุษผู้นี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ข้ายอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว ได้ยินท่านลุงเล่าว่าเมื่อก่อนเก่งกว่านี้อีก!”
“ใช่ เมื่อพวกข้าเติบใหญ่แล้วจะท่องยุทธภพกับท่านพี่ ถึงตอนนั้นพวกข้าจะเก่งกาจเช่นกัน และจะเป็นจอมยุทธ์เช่นเดียวกัน!”
เจ้าภูเขาลู่มองเด็กชายสองคนแล้วไม่ได้พูดอะไร
เดิมทีเขาไม่มีทางปล่อยลั่วหนิงซวงไปทันที แต่ได้ฟังเรื่องเล่าในโรงน้ำชา เห็นในดวงตาสตรีนางนี้มีหยดน้ำซ่อนอยู่ เขาพลันเข้าใจเรื่องราวทางโลกเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง
“เอ๋? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าตั้งครรภ์ สหายของเจ้าผู้นั้นคล้ายกับข้ามาเลยหรือ แล้วเจ้าหานางพบหรือไม่”
เจ้าภูเขาลู่ยืดตัวตรง
“ไม่ใช่ เป็นเพียงคนรู้จัก ไม่ใช่สหาย ในบางระดับอาจเรียกได้ว่าเป็นศัตรู ไม่ใช่สิ เป็นความสัมพันธ์ของเจ้าหนี้กับลูกหนี้มากกว่า และข้าเป็นเจ้าหนี้!”
ลั่วหนิงซวงหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก ทีแรกคิดว่าเป็นชายหนุ่มเล่นมุกจีบสาว คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการทวงหนี้
“ส่วนชื่อของคนผู้นั้น กลับเหมือนกับสตรีที่อยู่ในเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่อง ล้วนสกุลลั่ว”
คำพูดนี้ทำให้คนตระกูลลั่วชะงักเล็กน้อย นี่บังเอิญเกินไปแล้ว ลั่วหนิงซวงถึงขนาดกำลังคิดว่าหน้าตาเหมือนตนเอง อีกทั้งสกุลลั่วเหมือนกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่สาวหรือหลานสาวในตระกูลกำลังติดหนี้ใครอยู่
“เจ้าเพียงรู้สกุลไม่รู้ชื่อหรือ บอกชื่อให้ข้าฟังหน่อยเถอะ บางทีข้าอาจรู้จัก หากเป็นเรื่องจริง หนี้ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าได้”
ติดหนี้เงินเป็นเรื่องเล็ก สำนักเขาแสงคล้อยมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ เรื่องนี้ลั่วหนิงซวงทำเป็นไม่เคยได้ยินไม่ได้
เจ้าภูเขาลู่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงหมุนกายเดินออกจากโรงน้ำชาไป
“ไม่ต้องหรอก ข้าเพิ่งตัดสินใจว่าจะยกหนี้ให้ หลังจากนี้ขอจอมยุทธ์หญิงลั่วท่านนี้ใช้ชีวิตต่อไป ร่วมกับสามีสั่งสอนบุตรถือว่าดีแล้ว ไม่แน่วันหน้าอาจสั่งสอนจอมยุทธ์ได้สักคนจริงๆ”
เสียงนี้ดังมาจากที่ไกล ลั่วหนิงซวงฟังแล้วเกิดความรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ นางลุกขึ้นยืนแล้วหมุนกายมองไปยังชายหนุ่มที่ออกจากโรงน้ำชาไปแล้ว กำลังเดินไปไกล
“คุณชายหยุดก่อน!”
เจ้าภูเขาลู่หยุดฝีเท้า หันกายไปทางโรงน้ำชา เขาไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เพียงมองลั่วหนิงซวงรอนางเอ่ยปาก
“คำพูดของเจ้ามีความนัย ขอถามชื่อแซ่เจ้าได้หรือไม่ ทางที่ดีบอกชื่อเต็มของสตรีนางนั้นด้วย หากเจอจอมยุทธ์หญิงลั่วที่เจ้าพูดถึงแล้ว ข้าจะเล่าเรื่องในวันนี้ให้นางฟัง”
เจ้าภูเขาลูกยกมือข้างหนึ่งลูบคางเล็กน้อย กะพริบตาแล้วยิ้มออกมา สองมือประสานกันให้ลั่วหนิงซวงอีกครั้ง
“ข้าชื่อว่าลู่ซานจวิน (เจ้าภูเขาลู่)”
พูดจบแล้วข้าภูเขาลู่เก็บมือ หมุนกายจากไปอีกครั้ง ไม่นานก็หายไปในกลุ่มคนเดินถนน
ภายในโรงน้ำชา เรื่องราวของนักเล่าเรื่องเพิ่งเข้าสู่จุดตื่นเต้น จอมยุทธ์ทั้งเก้าเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปถึงอำเภอหนิงอัน รายงานตัวแล้วถึงขึ้นเขาไป
ฝ่ายลั่วหนิงซวงที่ได้ยินชื่อลู่ซานจวินกลับเหมือนถูกกระแทกที่หัวใจอย่างแรง ไฟฟ้าสถิตทั่วร่างพลันตัวสั่น นางยืนอึ้งงันอยู่ที่หน้าประตู ไม่ขยับเขยื้อนอยู่นานมาก
“ลู่ซานจวิน…เขาชื่อว่าลู่ซานจวิน…บังเอิญขนาดนี้เชียว? ไม่ ไม่มีทาง…”
ภาพน่ากลัวที่เผชิญหน้ากับเสือร้ายในปีนั้นผ่านห้วงสมองของลั่วหนิงซวงอย่างต่อเนื่อง ชัดเจนยิ่งกว่าความทรงจำเมื่อครู่นี้เสียอีก แผลเป็นบนไหล่เจ็บแปลบขึ้นมารางๆ
บนเขาโคเทพ หน้าศาลเทพภูเขา เสือร้ายทำสัญญากับทั้งเก้าคน ในศาลมีคนเอ่ยปากเสียงเบา
“วันหน้าหากเก้าคนนี้มีใครทำชั่วก่อกวนจนสิ่งมีชีวิตจมสู่ความทุกข์ ท่านจงตัดสินโทษพวกเขาใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะกลืนหรือเฉือนตัดล้วนไม่ฝืนมรรคสวรรค์…”
เสียงของท่านจี้ในปีนั้นดังขึ้นในความทรงจำ
หลายปีนี้ทุกคนล้วนคิดว่านั่นเป็นแผนช่วยให้พวกเขารอดปลอดภัยของท่านจี้ ไม่คิดเลยว่าภูตเสือร้ายตัวนั้นจะกลายร่างเป็นคนลงเขามาทวงสัญญาแล้ว…
ลั่วหนิงซวงพลันรู้สึกขนลุกทั่วร่าง ความเย็นยะเยือกมาเยือน คนที่พูดกับตนเองก่อนจากไปเมื่อครู่ เป็นภูตเสือน่ากลัวที่กินคนไม่คายกระดูก!
“คุณหนูเป็นอะไรไป สีหน้าท่านย่ำแย่ยิ่งนัก!”
“จริงด้วย คุณหนูอย่าทำให้พวกข้าตกใจเลย!”
เห็นลั่วหนิงซวงหน้าซีดขาว ข้ารับใช้ข้างๆ พลันร้อนใจ คิดว่าครรภ์ไม่มั่นคงอีกแล้ว
“มะ ไม่เป็นไร…ข้าไม่เป็นไร!”
ลั่วหนิงซวงหันไปฝืนยิ้มให้ทั้งสองคน นั่งลงด้วยสภาวะจิตใจที่ยากจะสงบลงได้ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบคนที่แปลกหน้าทว่าคุ้นตาอยู่บ้างนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าง
คนผู้นี้สวมชุดสีขาวทั้งตัว ใบหน้าสะอาดสะอ้านไร้หนวดเครา ทว่ามองอายุไม่ออก มวยผมบนศีรษะปักปิ่นสีดำไว้ ส่วนผมอีกครึ่งหนึ่งปล่อยสบาย ดูง่ายๆ สบายๆ อย่างเห็นได้ชัด
ข้ารับใช้สองคนพลันเห็นคนอีกคนเพิ่มขึ้นมา จึงตกใจสะดุ้ง
“เจ้าเป็นใคร”
“ใครให้เจ้านั่งตรงนี้”
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเด็กสองคนแปลกอยู่บ้าง มองข้ารับใช้สองคนแล้วมองลั่วหนิงซวง หนึ่งคนในนั้นพลันเอ่ยปากด้วยความลังเล
“ท่านแม่ คุณชายคนนี้นั่งอยู่ตรงนี้ตลอดไม่ใช่หรือ เขาบอกด้วยว่ารู้จักท่านแม่…”
“อืม นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด!”
นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด?
ยังไม่ทันที่คนอื่นจะมีปฏิกิริยาใด จี้หยวนพูดขึ้นแล้ว
“จอมยุทธ์หญิงลั่ว เกือบยี่สิบปีผ่านไปแล้ว เจ้าสบายดีกระมัง เจ้าอย่าเป็นกังวลเพราะเรื่องเมื่อครู่นี้เลย ร่วมกับสามีสั่งสอนบุตรเป็นมรรคจริงแท้เช่นกัน ยิ่งไม่ผิดต่อหลักศีลธรรม สัญญาในปีนั้นที่ข้าเป็นคนพูดผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าภูเขาลู่ไม่มีทางตามหาเจ้าอีก หรือพูดอีกอย่างก็คือนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเจ้าได้พบหน้ากัน”
แม้ลั่วหนิงซวงอยู่ที่จังหวัดเต๋อเซิ่ง ทว่าหลายปีมานี้จี้หยวนไม่พบนางเลย บางทีหลังจากวันนี้ก็คงไม่ได้พบอีกเช่นกัน
“ท่าน ท่านคือท่านจี้?”
ในที่สุดลั่วหนิงซวงก็นึกออกว่าผู้มาเยือนเป็นใคร พลันโพล่งออกไปอย่างนั้น
จี้หยวนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
“เป็นข้าคนแซ่จี้ ทุกอย่างมีเริ่มต้นและสิ้นสุด ครั้นทำสัญญากันข้าอยู่ด้วย วันนี้จบสัญญากันก็เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นที่เจ้าภูเขาลู่พูดไว้ เริ่มต้นในอดีต กลับสู่อดีต ฮ่าๆ จอมยุทธิ์หญิงรักษาตัวด้วย!”
พูดจบแล้วเขาคารวะครั้งหนึ่ง จากนั้นออกจากที่นั่งแล้วเดินออกไปข้างนอกโรงน้ำชา ลั่วหนิงซวง ข้ารับใช้ และเด็กๆ มองไปพร้อมกัน กลับเห็นว่าชุดสีขาวนั้นอยู่ท่ามกลางแสงแดดแล้วแยงตาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมองดูให้ดีอีกครั้งกลับหายไปไม่เห็นแล้ว
ลั่วหนิงซวงมองทิศทางที่จี้หยวนหายไปอย่างเหม่อลอย ขณะเดียวกับที่สงบใจลงได้ก็รู้สึกว่าหัวใจว่างเปล่าเช่นกัน