ตอนที่ 334 เสียงกลองและเสียงสะท้อน
ครู่หนึ่งผ่านไป กระแสน้ำในแม่น้ำเทียมฟ้าถึงค่อยสงบลง เผ่าวารีไม่น้อยยังคงเวียนศีรษะและพากันสอบถามข่าวคราวจากกันและกัน และมีคนไปสอบถามสถานการณ์
ยักษ์ที่จวนบาดาลกลับไปประจำที่อีกครั้งด้วยความลนลานอยู่บ้าง ต่างหายต่างถามไถ่กันอย่างเป็นกังวล
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“เหมือนกับจะเกิดเรื่องแปลกๆ ที่บึงมังกร”
“เอ๋? เช่นนั้นประมุขมังกรไม่เป็นไรกระมัง”
“ไม่รู้เหมือนกัน ใต้เท้าทั้งหลายไปสอบถามที่บึงมังกรแล้ว!”
ยักษ์จำนวนหนึ่งและปลาในน้ำต่างกระวนกระวาย ว่ายไปมาในจวนบาดาล บางคนไปยังตำหนักที่พังทลายเพื่อดูแลเครื่องเรือนและสิ่งของต่างๆ ยกข้าวของที่ตกลงมาขึ้นมา
จวนบาดาลในตอนนี้คล้ายกับเจอการบุกจู่โจม นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยมาตลอดหลายร้อยปี ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีใครบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ เพียงรู้ว่าแม่น้ำเทียมฟ้าเกิดความวุ่นวายไม่น้อย
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว ยักษ์ผมแดงตนหนึ่งถือง้าวยาวเดินออกมาจากปากทางเข้าบึงมังกร ก่อนจะเงยหน้ามองเผ่าวารีที่เป็นกังวลกลุ่มหนึ่ง
“แยกย้ายกันไปเถอะ ไม่มีอะไร เป็นประมุขมังกรจามสองครั้ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ประมุขมังกรให้พวกข้าจัดการสถานการณ์ในจวนบาดาล ทุกคนกลับไปประจำที่เดี๋ยวนี้”
“อ๋อ…ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!”
“ที่แท้ประมุขมังกรจาม…”
“ประมุขมังกรนี่เนอะ จามสองสามครั้งก็ทำให้แม่น้ำเทียมฟ้าสั่นสะเทือนได้แล้ว หรือว่าท่านกำลังโมโหอะไรอยู่”
“หึ อย่างไรข้าก็ไม่อยากเห็นประมุขมังกรโมโห”
“ข้าก็เหมือนกัน”
เหล่ายักษ์และเผ่าวารีทุกตัวในจวนบาดาลแม่น้ำเทียมฟ้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อีกทั้งส่งคนไปส่งต่อข้อความปลอบขวัญเผ่าวารีที่ไม่สบายใจ ความวุ่นวายในแม่น้ำเทียมฟ้าในที่สุดก็สงบลงแล้ว
ทว่าประมุขมังกรอยู่ในบึงมังกรของตนเองกลับนอนไม่หลับ
แสงไข่มุกโดยรอบระยิบระยับ ทั่วทุกด้านมีปราณวิญญาณรวมกลุ่ม วิญญาณวารีที่เข้มข้นล้อมรอบร่างมังกร ดวงตามังกรสีอำพันขนาดใหญ่กะพริบครั้งหนึ่ง
“น่าแปลก จามครั้งนี้สร้างเรื่องใหญ่ได้อย่างไร หรือข้าต้องวิชาใดแล้ว ไม่ถูกต้อง หรือว่าผู้ฝึกปราณคนใดนินทาข้าลับหลัง เป็นใครกัน”
มังกรเฒ่าหรี่ตาครุ่นคิด หวนรำลึกถึงเรื่องราวที่ตนเองทำลงไปในช่วงนี้ สุดท้ายพลันโพล่งออกมา
“หรือว่าจะเป็นจี้หยวนผู้นั้น”
…
“ฮัดชิ้ว…”
บนยานข้ามแดนของเขาเก้ายอด จี้หยวนเพิ่งนั่งลงในร้านอาหารของตลาดบนดาดฟ้าเรือก็จามแรงๆ อย่างอดไม่ได้ครั้งหนึ่ง
ฉือกุย หลินเจี้ยน ไปจนถึงธิดามังกรอิงรั่วหลีเห็นแล้วพูดอะไรไม่ออก ยิ่งผู้ฝึกปราณมีระดับสูงขึ้น การควบคุมความรู้สึกบนร่างกายจะยิ่งยอดเยี่ยม ผู้ฝึกเซียนระดับอย่างจี้หยวนนอกจากจงใจทำแล้ว เขาไม่มีทางจามได้เลย!
“ท่านอาจี้ ร้านอาหารนี้มีปัญหาหรือไม่”
“ท่านเซียนจี้ หากไม่ชอบที่นี่ พวกเราเปลี่ยนร้านกันเถอะ!”
“ใช่ๆ ข้ารู้จักร้านอาหารที่อยู่ท้ายตลาด มักจะนำพืชผลที่มีปราณวิญญาณมาทำอาหาร!”
เห็นท่าทางทั้งสามคนแล้ว จี้หยวนขยับตัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งถูจมูก ส่วนมืออักข้างยกขึ้นโบก
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ได้เป็นไรมาก แค่จามครั้งเดียวเท่านั้น มีคนกำลังชมข้าอยู่แน่ๆ พวกเรากินข้าวเถอะ กินข้าว!”
พูดถึงตรงนี้แล้ว จี้หยวนกวักมือเรียกพนักงานร้านที่คอยอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในร้าน หลงจู๊ของร้านนี้ก็เข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง แต่ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
มนุษย์คนอื่นอาจไม่รู้จักฉือกุยและหลินเจี้ยน แต่ในฐานะที่เป็นคนเปิดร้านอาหารบนยานข้ามแดนแห่งยุค หากไม่รู้จักเซียนสองท่านจากเขาเก้ายอด เช่นนั้นก็ไม่ตาหามีแววไม่เกินไปแล้ว
เห็นฉือกุยและหลินเจี้ยนพาคนเข้ามาที่ร้านด้วยตนเอง ย่อมเข้าใจโดยปริยายว่าหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเป็นผู้โดยสารวาฬบนทะเลที่เพิ่งสร้างความคึกคักไปหมาดๆ
จี้หยวนกวักมือแล้ว หลงจู๊จึงเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ลูกค้า ท่านจะสั่งอะไรหรือ”
จี้หยวนถามทันที
“ร้านอาหารของเจ้าเปิดบนเรือเหาะที่มีผู้ฝึกเซียนรวมตัวกัน ต้องมีความสามารถอยู่บ้าง มีอาหารแนะนำอะไรหรือ”
“ฮ่าๆ ลูกค้าเอาที่ไหนมาพูดกัน อาหารของพวกข้าเป็นอาหารบ้านๆ แค่ตั้งใจและทำอย่างประณีต อาหารทำจากพืชผลมีปราณวิญญาณเช่นที่ท่านเซียนหลินพูดเมื่อครู่นี้ ร้านข้าก็มีเหมือนกัน”
จี้หยวนพยักหน้า ตบหน้าโต๊ะบอกให้ธิดามังกรและเซียนจากเขาเก้ายอดสองคนนั่งลง
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลงจู๊นำอาหารแนะนำที่คิดว่าไม่เลวมาสักหลายจาน อาหารเก้าอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่างก็ได้ จริงสิ นำสุรามาสักสองกาด้วย”
“ได้เลย!”
หลงจู๊ตอบรับเสียงหนึ่ง เดินไปกำชับที่หลังครัวด้วยครัวด้วยตนเอง รออยู่ครู่หนึ่งก็กลับมาคอยท่าอยู่ข้างๆ
จี้หยวนมองเขา ถามอย่างอดไม่ได้
“พวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ”
หลงจู๊ยิ้ม
“บางคนเพิ่งมา บางคนไปๆ มาๆ ตระกูลหม่าของข้าเป็นเช่นนี้”
ราวกับรู้ว่าจี้หยวนอยากถามอะไร หลงจู๊พลันพูดต่อ
“บนเรือเซียนลำนี้ไม่มีการเก็บภาษีมั่วซั่ว ไม่มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ได้มองเห็นทิวทัศน์สวยงามซึ่งหาชมยากบนโลกมนุษย์ การทำมาหากินของพวกข้าก็อยู่ที่นี่ หากมีสักวันได้สานสัมพันธ์อันดีกับเซียนคนหนึ่ง ชี้แนะคนรุ่นหลังเข้าสู่มรรคเซียนได้ เช่นนั้นสุนัขระกาขึ้นวิมานคงได้อยู่ท่ามกลางเทพเซียนแล้ว”
ท่านจี้มองไปทางฉือกุย
“มีตัวอย่างหรือไม่”
ฝ่ายหลังพยักหน้า
“มีจริงๆ อย่างไรบนเรือเหาะก็มีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมกว่าโลกภายนอก อาศัยอยู่ระยะยาวส่งผลดีกับคนอย่างแท้จริง แต่ความจริงแล้วเว้นระยะสักพักค่อยกลับมาใช้ชีวิตบนนี้จะดีที่สุด เรือเหาะเคลื่อนที่บนท่องฟ้า ไม่อาจเหยียบย่างบนพื้นดินได้ สุดท้ายห้าธาตุก็จะไม่เพียงพออยู่ดี”
หลงจู๊ฟังอยู่ข้างๆ ถึงตอนนี้แล้วรีบประสานมือขอบคุณพวกจี้หยวน
ข้อมูลแบบนี้เมื่อก่อนเคยได้ยินอยู่เหมือนกัน แต่ไม่นับว่าแน่ใจสักเท่าไหร่ ตอนนี้ได้ยินฉือกุยพูดแล้วน่าจะไม่มีทางผิดไปได้
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ อาหารส่งกลิ่นหอมโดดเด่นหลายจานถูกยกมาถึง เสี่ยวเอ้อร์วางถาดอาหารไว้ที่ข้างโต๊ะ ฝ่ายหลงจู๊ยกอาหารขึ้นโต๊ะด้วยตนเอง สุราดีสองกาก็มาถึงอย่างพร้อมเพรียงกันด้วย
เซียนสองคนจากเขาเก้ายอดเพียงขยับตะเกียบเป็นเชิงสัญลักษณ์ ส่วนใหญ่แล้วจี้หยวนกินเพียงลำพัง ฝ่ายอิงรั่วหลีถกแขนเสื้อเทสุราให้เขาอยู่ข้างๆ
ในร้านอาหาร จี้หยวนไม่รู้สึกเก้ๆ กังๆ อะไร สนใจเพียงกินอาหารคำใหญ่และยกถ้วยดื่มสุรา ฉือกุยกับหลินเจี้ยนกล่าวตอบคำถามด้วยรอยยิ้มเป็นครั้งคราว ส่วนธิดามังกรคอยดูแลไม่ให้ถ้วยสุราของจี้หยวนว่างเปล่า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มหลายคนมองธิดามังกรผู้งดงามอย่างโง่งม
ภาพนี้ดูกลมเกลียวมีความสุข หากศิลปินชอบวาดภาพอยู่ที่นี่ ต้องไม่มีทางพลาดภาพนี้อย่างแน่นอน
หลังจากดื่มสุราสามถ้วยและลิ้มรสอาหารหลากหลายแล้ว พลันมีเสียงร้องเรียกดังสนั่นจากข้างใต้เรือเหาะ
“เทพีรั่วหลี ท่านจี้ พวกท่านไปไหนแล้ว เรือเหาะแปลกๆ ลำนั้นลักตัวพวกท่านไปใช่หรือไม่ คืนท่านจี้กับเทพีรั่วหลีมาเดี๋ยวนี้นะ…วี้ด…วี้ด…”
วาฬยักษ์ส่งเสียงร้องที่รุนแรงและแปลกหูอย่างต่อเนื่อง แสบแก้วหูเป็นอย่างยิ่งชัดเจน ต่อให้อยู่บนเรือเหาะก็มีมนุษย์และผู้ฝึกปราณหลายคนปิดหูแล้ว
ถ้วยชามบนโต๊ะของจี้หยวนส่งเสียงกึกกักๆ ไม่หยุด
สองมือฉือกุยทำท่ามุทรา พลันใช้วิชาขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเสียงทั้งหมดหายไป น่าจะเป็นเพราะถูกเขตอาคมของเรือเหาะกั้นไว้
ทว่าหลังจากนั้นครู่หนึ่ง
ครืน…
เสียงนี้ดังขึ้นก่อนที่อาหารบนโต๊ะจะห่างออกไปสองชุ่นโดยตรง เรือเหาะทั้งลำสั่นไหว พนักงานร้านคนธรรมดาในร้านอาหารล้วนซวดเซ ถึงขนาดมีคนล้มก้นจ้ำเบ้าด้วย
“เจ้าตัวนี้ภักดีเสียจริงๆ บ้าคลั่งแล้ว รั่วหลีเจ้าไปปลอบมันหน่อยเถอะ”
“เจ้าค่ะ!”
ธิดามังกรลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ตอบรับแล้วบินออกไปทันที เนื่องจากนางจะออกไป ฉือกุยจึงเปิดเขตอาคมออก เสียงวี้ดๆ ดังสั่นแสบแก้วหูของวาฬดังมาอีกครั้ง
“แม่ทัพวาฬยักษ์ อย่าส่งเสียงดังหนวกหู ข้ากับท่านอาจี้เป็นแขกอยู่บนเรือเหาะ!”
เสียงเย็นชาของอิงรั่วหลีแม้ไม่นับว่าดังมาก แต่จี้หยวนกลับได้ยินชัดเจน เสียงวาฬหยุดลงในทันที ก่อนจะมีเสียงยินดีและหวาดกลัวดังขึ้น
ความวุ่นวายนี้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานธิดามังกรก็กลับมา แม่ทัพวาฬยักษ์ว่ายน้ำวนเวียนอยู่ข้างใต้เรือเหาะ ดึงดูดคนไม่น้อยเท้ากาบเรือมองดู
ท่ามกลางยามค่ำคืนมีแสงจากเรือเหาะและแสงจากดวงดาวเต็มท้องฟ้า ทัศนวิสัยค่อนข้างดี
คืนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สงบสุข ตอนจี้หยวนกำลังเพลิดเพลินกับมื้ออาหารที่หาได้ยาก เสียงคล้ายกับเสียงกลองค่อยๆ ดังขึ้นชัดเจน เหมือนกับอะไรบ้างอย่างกำลังเข้ามาใกล้
ตึง…ตึง…ตึง…ตึง…
นี่เป็นเสียงกลองที่ดังไปทั่วทุกที่ ในค่ำคืนบนท้องทะเลนี้ดังชัดเจนเป็นพิเศษ จากที่ไกลค่อยๆ เข้ามาใกล้ ทำให้จี้หยวนหยุดขยับตะเกียบในมือแล้ว
จี้หยวนมองไปรอบๆ พบว่าฉือกุยและหลินเจี้ยนล้วนไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง แม้แต่ธิดามังกรที่เพิ่งกลับมาก็มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเห็นจี้หยวนมองตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ อิงรั่วหลีจึงกล่าวถามอย่างเป็นกังวล
“ท่านอาจี้ เป็นอะไรไปหรือ”
จี้หยวนมุ่นคิ้ว วางตะเกียบลง มองเซียนจากเขาเก้ายอดสองคนแล้วค่อยมองอิงรั่วหลี
“รั่วหลี รวมถึงพวกเจ้าสองคนด้วย พวกเจ้าไม่ได้ยินเสียงกลองเลยหรือ”
อิงรั่วหลีมองเซียนสองคน ดูจากสีหน้าแล้วแสดงให้เห็นว่าเห็นด้วยกับนาง ส่ายหน้าทันควัน
“ไม่เห็นได้ยิน!”
ตึง…ตึง…ตึง…
เสียงกลองดังขึ้นเรื่อยๆ จี้หยวนไม่อาจมองข้ามได้จึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอก เดินไปที่ด้านข้างเรือเพื่อมองไปทางเสียงกลอง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิด ทว่ามีแสงดาวส่องสว่าง จี้หยวนเปิดตาทิพย์และโคจรพลังทั่วร่างร่วมด้วย ขอบฟ้าในดวงตาเขาค่อยๆ ปรากฏสีแดงเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา
ราวกับอยู่ห่างไกลออกไปอย่างไร้ขอบเขต มีแสงที่ลอยอยู่ราวกับไฟ
ไม่มีเมฆ ไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไร แสงนี้จากไกลเข้ามาใกล้ เสียงกลองดังขึ้นเรื่อยๆ
ตึง…ตึง…ตึง…
“พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่”
อิงรั่วหลีโคจรพลังเต็มที่ มองไปทางที่จี้หยวนมองอย่างแม่นยำ นางยังคงมองไม่เห็นอะไร เซียนสองคนข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน
จี้หยวนมองไปรอบๆ แสงสีแดงตรงขอบฟ้าผ่านศีรษะไปทางทิศตะวันออก มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ไกลๆ เหมือนจะเคลื่อนที่ช้า ทว่าความจริงรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
เขาเหยียบเมฆลอยขึ้น มุ่งหน้าไปทางแสงสีแดงตรงขอบฟ้าโดยตรง แต่ไม่ว่าเขาจะเหาะอย่างไรก็ยังไม่เข้าไปใกล้เลยสักนิด
แสงสีแดงตรงที่ไกลยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ ทว่าสว่างจ้ายิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เสียงกลองหายไปแล้ว
“วี้ด…”
แม่ทัพวาฬยักษ์ข้างล่างส่งเสียงแผ่วเบา
“ฮูก…”
นอกจากเสียงกลองแล้ว มีเสียงนกร้องแปลกประหลาดดังมาจากแสงสีแดงทางนั้น จากนั้นแสงสว่างหายไปจนหมดสิ้น เสียงทั้งหมดก็หายไปด้วยเช่นกัน
‘วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง…นั่นมันอะไรกัน’
จี้หยวนก้มหน้ามองเรือเหาะข้างล่าง แม่ทัพวาฬยักษ์ในคอนนี้สงบเสงี่ยมมากอย่างชัดเจน
‘เมื่อครู่เป็นเสียงสะท้อนหรือ’