ตอนที่ 322 ไม่รังเกียจๆ
“ฮู่… ฮู่… ฮู่… พะ พายุ สงบแล้วหรือ”
นายเรือผู้เฒ่าจางหอบหายใจหมอบอยู่ตรงหางเสือ ยามนี้ความอ่อนเพลียทั่วร่างถาโถมเหมือนพายุเมื่อครู่
หลายคนมองผืนทะเลกับท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ทั้งมีคนดีใจจนร้องไห้
“สวรรค์มีตา! สวรรค์มีตา…”
“สวรรค์ช่วยพวกเราแล้ว!”
“อาจเป็นราชันมังกรแห่งท้องทะเลเมตตา!”
“พวกเรายังมีชีวิตอยู่! ฮ่าๆๆๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่…”
คนบนเรือมีสติกลับมาทีละน้อย พากันตื่นเต้นจนโห่ร้องยินดี นายเรือเริ่มตรวจสอบจำนวนคน ทั้งมีคนสอดส่ายสายตามองหาเรือลำอื่น
“เฮ้ย… ตรงนั้นน่ะ พวกเจ้ามีคนหายหรือไม่ มองเห็นเรือลำอื่นบ้างไหม”
บนเรือประมงด้านข้างลำหนึ่งมีคนตะโกนลั่น ผู้เฒ่าจางรีบตอบกลับเสียงดัง
“เห็น… ด้านซ้ายข้ามีสามลำ ส่วนอีกลำยังไม่เจอ!”
ตอนนี้ผืนทะเลใกล้เคียงแทบไม่มีลม พวกชาวประมงซึ่งรอดพ้นเคราะห์ร้ายพากันตรวจสอบโถงเรือและจัดระเบียบ ควานหาไม้พายออกมา ยื่นพายยาวออกจากช่องพายพร้อมแจวอย่างหนักแน่น
เรือบางลำเข้ามาใกล้ทีละน้อย โชคดีว่าเรือหกลำไม่มีขาด อีกลำแค่ถูกคลื่นซัดไปไกลมาก สุดท้ายค่อยเข้ามาใกล้ช้าๆ
แต่คนบนเรือหกลำกลับไม่ครบ รวมกันแล้วสูญหายสามคน พวกบาดเจ็บเกิดแผลถลอกฟกช้ำถือว่าเป็นเรื่องเล็ก
แม้ว่าสามคนเป็นตายไม่อาจรู้ กว่าครึ่งมักฝังร่างกลางมหาสมุทร แต่เทียบกับวิกฤติซึ่งอาจตายกันหมดลำก่อนหน้านี้ นี่ถือว่าโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
ผู้รอดชีวิตบนเรือหกลำร่วมกันพิจารณาสักพัก สุดท้ายค่อยตั้งแท่นบูชากลางเรือลำหนึ่ง วางของเซ่นไหว้กับกระถางธูป จากนั้นชาวประมงทุกคนต่างคุกเข่าไหว้สวรรค์ไหว้ทะเลบนเรือ
จี้หยวนเห็นทิศทางเรือประมงหกลำจากยอดเขาบนเกาะห่างไกล แม้มองไม่ชัดว่าตรงนั้นทำอะไรกันแน่ แต่กลับเห็นว่ามีกำยานกับแรงปรารถนาพวยพุ่ง แปดส่วนคงเซ่นไหว้ขอบคุณเทพเซียนที่ช่วยพวกเขาพลิกสถานการณ์
เขาถึงขั้นเห็นว่ามีแรงปรารถนาบางส่วนลอยมาทางเขา เขามองผ่านตาทิพย์แล้วสะบัดมือพัดมันจนซ่านสลาย เขาไม่อยากพัวพันกับมรรคานี้
เรือพวกนั้นล่องหาตรงบริเวณใกล้เคียงครู่หนึ่ง ไม่พบร่างไร้วิญญาณของผู้สูญหายสามคน พวกเขาค้างแรมใกล้เกาะ วันต่อมาค่อยกลับเรือไปทางแผ่นดินใหญ่
กลางอากาศคำบัญชาก่อนหน้านี้กลับไม่ซ่านสลาย
จี้หยวนเข้าฌานใหม่อีกครั้ง ก่อนยื่นมือสะบัดโบก คลื่นอักษรมหึมาซึ่งเดิมแผ่รัศมีร้อยจั้งเหมือนถูกชักนำลอยกลับมา อักษรไร้รูปคล้ายเผยรูปลักษณ์ กระแทกเกาะดังครั่นครื้น ทำให้ต้นไม้ในป่าไหวสั่นจนสุดท้ายค่อยหายไปโดยไร้ร่องรอย จากนั้นจี้หยวนค่อยเข้าฌานอีกครั้ง
ถึงตอนนี้จี้หยวนเพิ่งเข้าใจความหมายของห้าปราณรวมศูนย์อย่างแท้จริง นี่คือเนื้อหาซึ่งกลยุทธ์เจิดจรัสกับคัมภีร์นอกรีตอธิบายไม่ชัดเจน แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะผู้เขียนตำราไม่เคยหยั่งรู้นัยเร้นลับเช่นนี้
ปราณห้าธาตุในตัวจี้หยวนเปี่ยมท้น กลายเป็นวัฏจักรทั้งภายในและภายนอกกาย ฟ้าดินเล็กใหญ่ชิดเข้าหายิ่งกว่าเดิม คล้ายก่อตัวเป็นสะพานทองฟ้าดินอีกแห่ง ตอบสนองและใกล้เคียงการเปลี่ยนแปลงห้าธาตุของโลกภายนอกอย่างยิ่ง
ก้อนหินต้นไม้บนเกาะ รวมถึงดินโคลนกับน้ำทะเลโดยรอบ ผสานกลิ่นอายห้าธาตุเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างฟ้ากับคน
พูดตามตรงโดยไม่กล่าวเกินจริง สำหรับวิชาอภินิหารบางส่วน ขอแค่ไม่พ้นเรื่องห้าธาตุ จี้หยวนสามารถทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและใช้งานได้ตามใจ ขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมบางอย่างถ้ามีคนสำแดงวิชาจนเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขายิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
จี้หยวนไม่แน่ใจว่าบรรดาผู้ฝึกเซียนตอนนี้ ผู้ฝึกปราณสำเร็จแล้วเรียกตัวเองว่าระดับรวมศูนย์ ถือว่ามีประสบการณ์คล้ายคลึงกันหรือไม่
แต่ตอนนี้เขากล้าพูดว่าปราณห้าธาตุหรือปราณหลังจากฝึกสำเร็จ ไม่ได้หมายความว่ามรรควิถีเหล่านี้สมบูรณ์แบบ ด้วยมรรคที่ก่อเกิดไม่โคจรเป็นวัฏจักร ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยกลับสร้างผลลัพธ์ห่างกันไกล ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสสัมผัสความอัศจรรย์ซึ่งจี้หยวนรับรู้ตอนนี้
แม้กลยุทธ์เจิดจรัสเคยเยาะเย้ยผู้ฝึกปราณห้าธาตุสำเร็จในปัจจุบันว่ากล้าเรียกตนอย่างภาคภูมิว่าอยู่ระดับรวมศูนย์ แต่ความจริงไม่ได้กล่าวเรื่องรายละเอียดมากเกินไป ตอนนี้จี้หยวนเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างยิ่ง ได้แค่บอกว่าระดับรวมศูนย์บนโลกบำเพ็ญเซียน ระดับแตกต่างกับห้าปราณรวมศูนย์ที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ปราณห้าธาตุของจี้หยวนมีชีวิตชีวามาก แต่สุดท้ายยังไม่อาจนับว่าฝึกสำเร็จอย่างแท้จริง แม้ว่าแก่นแท้ของฝันท่องเมฆาคือความอิสระท่องฟ้าดิน แต่สิ่งที่เห็นและได้ยินไม่แฝงการเปลี่ยนแปลงของห้าธาตุ ถือว่าช่วยผลักดันจี้หยวน ทำให้ระดับรวมศูนย์ของเขาสมบูรณ์แบบ ทั้งยังมีผลกระทบลึกซึ้งต่อเขตแดนด้วย แต่นั่นเป็นแค่การหยั่งรู้ด้านสภาวะจิต ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานฝึกปราณ
กระทั่งฤดูร้อนปีที่สอง จี้หยวนค่อยสิ้นสุดการฝึกปราณ เขาลืมตาพลางถอนใจเบาๆ ภายในนั้นมีประกายขาวเหลือบทองหลายสายลอยตามลมออกมา ราวกับสายรุ้งพาดผ่านอากาศ
ผ่านมาห้าปี ในที่สุดจี้หยวนก็ลุกขึ้นยืนบนยอดเขาของเกาะ เผยแสงเทพจากดวงตาชั่วขณะ รับมุมกันเป็นทรงเหลี่ยม ดวงตาซึ่งเดิมเป็นสีเทาอ่อนเจือสีเขียวมรกตตรงม่านตารางๆ แค่จี้หยวนหรี่ตาเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงนี้พลันลับหายไป
“เนตรมรกต?”
จี้หยวนพึมพำประโยคหนึ่ง นึกถึงบันทึกเซียนโบราณในบทประพันธ์เก่าแก่ที่เคยอ่านบนอินเทอร์เน็ตเมื่อชาติก่อนโดยไม่ตั้งใจ ภาพลักษณ์ต่างจากเซียนทั่วไปบนภาพยนตร์วรรณกรรมยอดนิยม สมัยก่อนอธิบายว่าเซียนโบราณมีเนตรมรกต
แน่นอนว่าชาติก่อนจี้หยวนไม่เข้าใจอะไร แต่ตอนนี้เขาเข้าใจเหตุผลแล้ว ดังคำกล่าวว่าดวงตาสื่อถึงการทำงานของตับ ตับสร้างธาตุไม้บำรุงตา เมื่อปราณไม้เขียวห้าธาตุสมบูรณ์แสงเทพเพียงพอ แน่นอนว่าดวงตาย่อมเผยลักษณ์เนตรมรกต ถ้าชาวบ้านทั่วไปเห็นอาจรู้สึกพิกล ความจริงคือหนึ่งในสัญลักษณ์ของผู้ฝึกเซียนชั้นยอด
จี้หยวนนับนิ้วคำนวณเวลาครู่หนึ่ง พบว่าปีมังกรน้ำใกล้ผ่านพ้นแล้ว ทว่าเวลาไม่ถือว่าล่วงเลยนานเกินไป แต่ผ่านพ้นไปน้อยนัก ถ้าผู้ฝึกปราณทั่วไปอยากบรรลุระดับปัจจุบันของเขา ไม่รู้ว่าต้องลำบากฝึกปราณกี่ปี ระหว่างนั้นอาจมีพิบัติ เคราะห์ จุดคอขวด แต่เขาจี้หยวนนับรวมทั้งหมดแล้วถือว่าฝึกปราณแค่ไม่ถึงยี่สิบปี
‘ฝันท่องเมฆาช่วยเราได้มาก อนาคตหากเจอจ้งผิงซิวจำเป็นต้องตอบแทน!’
แน่นอนว่าบุคคลระดับเซียนแท้ไม่มีทางเป็นอมตะ แต่ความเป็นไปได้ว่ายังอยู่บนโลกถือว่ามีมาก
จี้หยวนคิดเสร็จแล้วมองออกนอกฝั่งเล็กน้อย ก่อนหันกลับมาก้าวกระโดดแหวกอากาศ ย่างเหยียบสายลมเย็นลอยล่องไปทางตะวันตก
…
หมู่บ้านเฉียนกั่งกับหมู่บ้านเพียนวานคือหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลตะวันออก ทั้งสองหมู่บ้านค่อนข้างอยู่ใกล้กันมาก มีการแต่งงานกันบ่อยครั้ง ถือว่าเป็นหมู่บ้านซึ่งค่อนข้างสนิทสนมกัน
ดังคำกล่าวว่าอยู่ใกล้สิ่งใดหากินกับสิ่งนั้น ตามสถานการณ์ทั่วไปชาวประมงล้วนจับปลาใกล้ฝั่งเลี้ยงชีพ
แต่หนึ่งถึงสองปีมานี้หาปลาใกล้ฝั่งได้น้อยมาก คนสองหมู่บ้านรวมถึงหมู่บ้านชาวประมงตรงชายฝั่งใกล้เคียงจำต้องพากันออกทะเลไปไกลกว่าเดิมเพื่อยังชีพ
ด้วยออกนอกฝั่งผ่านเส้นทางน้ำไปไกล เวลาเดินทางไปกลับรอบหนึ่งเนิ่นนาน ทั้งยังเสี่ยงต่อการเจออันตรายโดยง่าย ขบวนเรือประมงของหมู่บ้านเฉียนกั่งกับหมู่บ้านเพียนวานเคยเจอพายุจนเรือเกือบอับปางตายทั้งลำมาก่อน
แต่ครั้งนั้นเรือประมงหกลำของสองหมู่บ้านพลิกสถานการณ์มาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งเรือออกทะเลไกลใกล้เคียงยังรู้จักเกาะอัศจรรย์แห่งหนึ่งทีละน้อย
ไม่ว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไร ลมฝนใกล้เกาะจะเบาลงมาก ถ้าเจอลมพายุกะทันหัน ขอแค่หลบเข้าใกล้เกาะทันเวลา ย่อมมีโอกาสฝ่าออกไปมากขึ้น
พวกชาวประมงเชื่อว่าบนเกาะมีเทพเซียนคุ้มครอง เรียกเกาะแห่งนี้ว่าเกาะลมสงบ ทุกครั้งยามมีเรือประมงซึ่งรู้เรื่องนี้มาใกล้เกาะย่อมตั้งแท่นเซ่นไหว้ขอพรบนเรือคราหนึ่ง
แม้ว่าเรือประมงมีแดนมงคลอย่างเกาะลมสงบ แต่เรือตรงชายฝั่งโดยรอบออกทะเลมักมุ่งไปตรงนั้น ไม่ช้าก็เร็วปลารอบเกาะย่อมถูกจับเกลี้ยง จำต้องไปยังน่านน้ำซึ่งอันตรายกว่า
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ว่าใครก็รับไม่ไหว สาเหตุสำคัญคือพื้นที่กว้างขวางใกล้ฝั่งจับปลาไม่ได้ ดังนั้นช่วงผลัดเปลี่ยนปีนี้ หมู่บ้านชาวประมงโดยรอบจึงช่วยกันระดมทุนแก้ปัญหา
วันนี้เองจี้หยวนขี่ลมกลับมาถึงแผ่นดินใหญ่
ยามเหาะเหินกลางอากาศ จี้หยวนกวาดสายตามองหมู่บ้านใกล้เคียงด้วยความเคยชิน บังเอิญเห็นหมู่บ้านข้างล่างตีฆ้องร้องป่าวครื้นเครงอย่างยิ่ง คนเข้าร่วมเยอะมาก ไม่ใช่จำนวนคนจากหมู่บ้านเดียว ทั้งยังมีคนจากนอกหมู่บ้านมาร่วมต่อเนื่อง
‘ประเพณีปีใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหรือ’
จี้หยวนคิดเช่นนี้แล้วโรยตัวลงจากฟ้า เขาไม่ได้ร่วมสนุกเช่นนี้มานานมาก ไปเปิดหูเปิดตาหน่อยก็ดี ไม่แน่ว่าอาจได้กินข้าวในงานฉลอง เมื่อก่อนเรื่องแบบนี้เขาเคยทำมาไม่น้อย
จี้หยวนสวมชุดคลุมเทาทั้งตัว โรยตัวหลังเนินแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นชาวประมงหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดนวมถูมือผ่านทางมา เขาแสร้งทำเป็นเดินผ่านทางออกมา
“โอ้ น้องชายท่านนี้โปรดหยุดก่อน!”
เสียงเรียกนี้ทำให้ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์หยุดชะงักดังคาด ด้วยประสบการณ์ของจี้หยวน คนรุ่นเยาว์ตามชนบทเช่นนี้จิตใจบริสุทธิ์จริงๆ แน่นอนว่าขาดความระวังตัวอยู่บ้าง บางครั้งอาจวู่วาม แต่หากมีคนขอร้องย่อมยินดีช่วยเหลือ
ชายหนุ่มเห็นจี้หยวนสวมชุดคลุมยาวแขนกว้าง ดูเหมือนว่าเป็นคนมีความรู้ ทั้งพูดจาค่อนข้างสุภาพ
“คุณชายท่านนี้ ท่านเรียกข้าหรือ”
“ใช่ๆๆ น้องชายท่านนี้ ข้าน้อยจี้หยวน เดินทางมาจากสถานที่ห่างไกล เมื่อมาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้วหลงทางอยู่บ้าง ข้าเห็นว่ามีคนมากมายเดินไปหมู่บ้านนั้น ทั้งได้ยินเสียงครึกครื้นตีฆ้องร้องป่าว ขอถามว่าที่นี่จัดประเพณีปีใหม่สำคัญหรือ”
จี้หยวนประสานมือเอ่ยถามอย่างสุภาพนัก เดินมาอยู่ข้างกายชายหนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติมาก
ชายหนุ่มรีบประสานมือตอบอย่างไม่ค่อยถูกหลักปฏิบัติ
“ตรงนั้นไม่ใช่ประเพณีปีใหม่อะไรหรอก อีกสองสามวันก็คือวันส่งท้ายปีเก่า ถือเป็นช่วงบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ บางหมู่บ้านร่วมกันออกเงิน เชิญนักพรตมาช่วยปัดรังควาน ให้ปีหน้าตรงชายฝั่งมีปลาบ้าง นี่คือข้อเรียกร้องจากนักพรต บอกว่ามีปราณมนุษย์เปี่ยมท้นจึงจะดี คนมากมายจากหมู่บ้านชาวประมงโดยรอบมากันหมด พรุ่งนี้ยังมีงานเลี้ยงพันคนกับตั้งกระบวนคบเพลิงด้วย!”
“อ้อ… น่าแปลกนัก…”
จี้หยวนกล่าวตอบรับอย่างเข้าใจกระจ่าง แต่ครึ่งประโยคหลังกลับเอ่ยเสียงเบาอย่างใคร่ครวญ มองไปทางหมู่บ้านนั้น เพียงสองสามประโยคก็ทำให้เขาวิเคราะห์ข้อมูลได้มากมาย ตัวอย่างเช่นตรงชายฝั่งไม่มีปลาเป็นต้น
แต่สีหน้าใคร่ครวญปรากฏเพียงชั่วพริบตา ไม่นานจี้หยวนแสร้งทำท่ากลัดกลุ้ม
“เดิมคิดว่าเป็นงานฉลองปีใหม่ คิดบากหน้าไปร่วมงานครื้นเครงเพื่อขอกินข้าว ไม่คิดเลยว่าเป็นงานปัดรังควาน เฮ้อ เกรงว่าคงไม่ให้คนนอกอย่างข้าเข้าร่วมแน่ ข้าพลัดหลงกับสหาย เดินวนตามชนบทคนเดียวมานาน ทั้งหิวทั้งเหนื่อย…”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างเกาหัวกล่าวอย่างลังเล
“คะ ความจริงงานปัดรังควานคนยิ่งมากยิ่งดี ถ้าท่านไม่รังเกียจว่าอาจเปื้อนสิ่งสกปรก ไปกินงานเลี้ยงพันคนด้วยกันคงไม่มีปัญหากระมัง…”
จี้หยวนเผยสีหน้ายินดี เดินเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว
“ไม่รังเกียจๆ ไม่ได้กินข้าวมานานแล้ว มีหรือจะวางมาดอีก! ไปๆๆ น้องชาย พวกเราไปพร้อมกัน ถ้ามีคนถามรบกวนเจ้าช่วยคุ้มกันข้าด้วย!”