ตอนที่ 310 เกือบกำจัดแล้ว
แน่นอนว่าจี้หยวนรังเกียจเสียงฮือฮาโดยรอบอย่างยิ่ง แม้เขารู้ว่าตนไม่อาจกำจัดภูตผีปีศาจมากมายขนาดนี้ได้ทันที ทั้งยังอยู่ตรงค่ายทัพใหญ่เปี่ยมปราณหยินชั่วร้ายอย่างเมืองผีไร้ขอบเขตด้วย
แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าจี้หยวนจะกลัว ความจริงเขารู้ดีว่าแม้แต่ซินอู๋หยาเจ้าเมืองผีไร้ขอบเขตหรือใครก็ตามในที่นี้ ไม่มีใครต้านกระบี่เครือเขียวยามแผ่คมประกายทั้งหมดได้
ไม่อาจพลิกสถานการณ์ทั้งหมด เช่นนั้นก็เชือดไก่ให้ลิงดู หรือกล่าวว่าเชือดผีให้ปีศาจดู จี้หยวนมีเหตุผลพอจะเชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรวมพล ปีศาจแข็งแกร่งส่วนน้อยล้วนเป็นพวกรักตัวกลัวตาย อย่างน้อยพวกยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อซินอู๋หยาก็ไม่มาก
ขอแค่เขาใช้กระบี่สังหารซินอู๋หยาอย่างคล่องแคล่วหมดจด พวกเอะอะโวยวายเก้าส่วนย่อมไม่กล้าก่อคลื่นลมอะไร ต่อให้มีคนไม่พอใจบางส่วน เขาก็มี ‘วิชาอสนี’
ทว่าจี้หยวนหรี่ตากวาดมองโดยรอบ มองปราณผีอบอวลกลางเมือง หากสูญเสียข้อผูกมัดกับเจ้าเมืองผีซินอู๋หยาแล้ว เกรงว่าภูตผีนับไม่ถ้วนทั้งเมืองคงไม่มีทางอยู่ในเมืองอย่างสงบ
“ฮ่าๆๆๆๆ… เกาเทียนหมิง แม้ว่าเจ้าเป็นเจียวร้ายแห่งทะเลสาบวารีนภา แต่สุดท้ายที่นี่คือเมืองไร้ขอบเขต มีแค่เจ้าเมืองซินเป็นผู้ตัดสินใจ!”
“หึๆๆๆๆ… แขกย่อมตามใจเจ้าภาพ ต่อให้เจ้าเมืองเปลี่ยนงานเลี้ยงตอนนี้ ท่านเกาก็คงไม่คัดค้านกระมัง”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายและเสียงเย้ยหยันโดยรอบดังระงมไม่ขาดหู ความเงียบของเกาเทียนหมิงตอนนี้ถูกมองว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอ ทำให้เหล่าผีโฉดปีศาจร้ายยิ่งเหิมเกริม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เหล่าภูตผีปีศาจแข็งแกร่งโดยรอบคิดว่าเป็นจริงอยู่บ้างแล้ว
สุดท้ายมีพวกเทพผีทนดูต่อไปไม่ไหว แค่นเสียงเย็นชากวาดสายตามองโดยรอบ ทำให้ปีศาจบางส่วนสำรวมลงบ้าง
ในฐานะศูนย์กลางความขัดแย้ง แน่นอนว่าโต๊ะจี้หยวนกับพวกเกาเทียนหมิงย่อมถูกจับตามองมากที่สุดเป็นธรรมดา ถึงขั้นว่าซินอู๋หยาเจ้าเมืองผีซึ่งไม่ตอบสนองชั่วคราวยังมองมาทางนี้
ซินอู๋หยาพลันพบว่านอกจากพวกคนธรรมดาที่ถูกช่วยไปเกาะกลุ่มตัวสั่นงันงกแล้ว พวกเกาเทียนหมิงกับหนิวป้าเทียนแค่มองโดยรอบด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองใด ถึงขั้นเผยสีหน้าเย้ยหยันเจือแววถากถาง
แต่จี้หยวนไม่สนใจคนอื่นโดยสิ้นเชิง แค่จ้องมองเจ้าเมืองอย่างเขา ดวงตาสีเทาคู่นั้นไม่มีคลื่นทรงสง่าใดแม้แต่น้อย ทว่าคล้ายตัวเขาสามารถดูดซับความเปล่งประกายใดก็ได้
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อซินอู๋หยาเห็นดวงตาคู่นี้ ในใจเครียดขมึงเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก นิ่งสงบเกินไปหน่อยแล้ว ไม่มีแววข่มขู่ทั้งไม่เผยแววหวั่นหวาด ต่อให้วางมาดตบตาก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้
จี้หยวนมองซินอู๋หยาครู่หนึ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นมาอย่างเนิบช้า
“เจ้าเมืองซิน ข้าคนแซ่จี้มาโดยไม่ได้รับเชิญถือว่าไม่ใช่แขก แต่ยังอยากถามสักประโยค บรรยากาศชั่วร้ายเช่นนี้คือสิ่งที่เจ้าเมืองปรารถนาหรือ”
คำพูดของจี้หยวนเหมือนคำบัญชา ตั้งแต่ต้นจนจบเผยเสียงมรรคราบเรียบดุจเข้าฌาน แต่กลับดังเข้าหูภูตผีปีศาจทุกตนในที่นั้นอย่างชัดเจน
เห็นชัดว่าเสียงไม่ดัง แต่กลบเสียงหัวเราะเยาะเย้ยทั้งหมดในงานทันที ทำให้ทั้งงานเงียบลงอย่างน่าประหลาด
สิ่งนี้ทำให้สายตาทุกคนมองมาทางจี้หยวนกับเจ้าเมือง
เมื่อเห็นซินอู๋หยาหรี่ตาคิดตอบทันที จี้หยวนกลับยกมือห้ามเขา เบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากแผ่วเบาอีกครั้ง
“หวังว่าเจ้าเมืองจะกล่าวอย่างรอบคอบ อย่าใช้โทสะ อย่าพูดด้วยความโมโห ข้าคนแซ่จี้จริงจัง”
ยามจี้หยวนกล่าวคำพูดนี้ ภายในหูพวกหนิวป้าเทียนกับคู่สามีภรรยาเกาเทียนหมิง เสียงก้องหูแผ่วเบานั่นห่างออกไป แต่บนตัวกลับรู้สึกหนาวสะท้านมากขึ้น
เจ้าวัวกับเกาเทียนหมิงสบตากัน คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากแววตาอีกฝ่าย
บนฟ้าสูงกระบี่เครือเขียวยังลอยอยู่เหนือเมฆ ยันต์แสงอสนีเลือนรางวิวัฒน์ออกมาจากกระบี่เครือเขียว ผลุบเข้ากลางเมฆดำบนฟ้า
ครืน… ครืน…
เมฆดำทั้งแถบทอดยาวหลายสิบลี้ เดิมแค่วิวัฒน์จากปราณหยิน แต่ตอนนี้กลับมีแสงอสนีคลุมเครือมากมายกำลังสาดส่องบนฟ้าสูงอย่างต่อเนื่อง มีอักษรเวทสร้างจากแสงทองสายหนึ่งปรากฏกลางชั้นเมฆรางๆ
ตอนนี้ถ้ามีคนพุ่งตัวไปเหนือชั้นเมฆ ทั้งมองยันต์คาถาตรงชั้นเมฆออก ย่อมเห็นอักษรใหญ่สี่ตัวที่สร้างจากแสงทองนั่น กลายเป็นคำว่า ‘ขับไล่สิ่งชั่วร้าย’
วิชาอสนีของจี้หยวนแย่มาก แทบพูดว่าเป็นวิชาซึ่งแย่ที่สุดในบรรดาวิชาของเขา แต่วิชาอสนีของจี้หยวนแข็งกลับแกร่งมาก
เวทอสนีนี้คือสิ่งที่ก่อเกิดจากปราณโลกาสวรรค์เมื่อปีนั้น ทั้งดูดซับสารพลังวารีอสนีเกือบทั้งหมดยามเจียวดำใกล้ตาย ตอนนั้นหลังจากใช้กำจัดวิชามารบนตัวเจียวดำก็ถูกจี้หยวนหล่อเลี้ยงมาตลอด
วิชาอสนีข่มสิ่งชั่วร้ายได้ดีที่สุด ถ้าให้เวลาจี้หยวนสักหน่อย รอเวทอสนีประสานกับเมฆดำทั้งแถบ หากสลายเวทอสนีเป็นวิชาอสนีชั่วพริบตา ถึงตอนนั้นย่อมเผยอานุภาพดุจอสนีบาตหมื่นสาย
ในฐานะที่เกาเทียนหมิงเป็นมังกรเจียว เขาไวกับปราณวารีและกลิ่นอายอสนีมาก ตอนนี้นอกจากความหนาวเย็นเมื่อเห็นคมประกายก่อนหน้านี้ เขาถึงกับพบว่าเส้นผมตนเริ่มโบกสะบัดรางๆ ความรู้สึกชาผุดขึ้นมา
เขาเงยหน้ามองฟ้ากะทันหัน แม้ว่ายังเป็นเมฆดำแถบนั้น แต่คล้ายว่าเหนือชั้นเมฆเป็นอสนีแกร่งป่วนหยินแปรหยาง
‘ใครกำลังใช้วิชาอสนี อานุภาพกดดันน่ากลัวและซ่อนเร้นเช่นนี้… ท่านจี้!’
เกาเทียนหมิงหายใจติดขัดจนกลืนน้ำลายดังอึก บังเอิญเห็นภรรยาตนมองมาทางเขาด้วยสีหน้าบอกไม่ถูกเสี้ยวหนึ่ง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ขยับปากไร้เสียงบอกซย่าชิว
‘ถึงเวลาตัดสินความเป็นตายของเหล่าอู๋หยาแล้ว!’
เดิมซินอู๋หยาคิดกล่าวเหน็บแนมจริงๆ แต่ประโยคหลังของจี้หยวนทำให้เขาเกิดสัญญาณเตือนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขามองเกาเทียนหมิงกับหนิวป้าเทียน ทันใดนั้นพลันพบว่าท่าทางสองคนนี้ประหลาดเกินไป เกาเทียนหมิงเปลี่ยนจากแววข่มขู่บีบบังคับก่อนหน้านี้ สีหน้าคล้ายเจือความหวาดกลัวและตื่นตระหนก จากนั้นค่อยกลับมาเป็นปกติทันที แต่เจียวเฒ่าตัวนี้ไม่มีทางกลัวปีศาจโดยรอบแน่
ส่วนชายซื่ออย่างหนิวป้าเทียน สายตากวาดมองโดยรอบไปมา เผยแววเย้ยหยันและมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น
ท่าทางเช่นนี้คือความรู้สึกอยากดูเรื่องสนุก แต่คนกลุ่มนี้อยู่ตรงปากเหว คงไม่ถึงขั้นอยากเห็นตัวเองเล่นละครกระมัง
ความแปลกประหลาดทำให้ซินอู๋หยาไม่เป็นสุข เก็บปราณผีรอบตัวตนลงบ้าง ไม่ได้ตอบคำถามของจี้หยวนซึ่งหน้า หากแต่มองเหล่าภูตผีปีศาจโดยรอบ
“เมืองไร้ขอบเขตของข้าไม่เคยนิยมเรื่องการสังเวยชีวิต บรรดาแขกมีใต้เท้าเทพผีมากมายมาเยือน ถือว่าเห็นแก่หน้าข้าซินอู๋หยา หากพวกท่านคิดว่าอาหารเมืองไร้ขอบเขตไม่ล้ำเลิศเห็นแล้วไม่เจริญอาหาร รอออกจากเมืองค่อยตามสบาย”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบดวงตาซินอู๋หยาเผยแสงสลัวมองจี้หยวน แผ่ปราณผีเหี้ยมเกรียมออกมา ปกคลุมท้องฟ้าเหนือลานกลางจวนกว่าครึ่ง
ฮูม…ฮูม…
ปราณหยินเย็นม้วนตลบ ยิ่งทำให้อาหารน้ำแกงบนโต๊ะโดยรอบบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง
ตอนนี้เสียงซินอู๋หยาเจือปราณผีแน่นขนัดดังสะท้อนเป็นระลอก
“แต่คำพูดเมื่อครู่ของท่านเซียน ถือว่าข่มขู่ข้าคนแซ่ซินหรือไม่ งานเลี้ยงนี้มีผีปีศาจเทพมาร ดูจากวิชาเสียงมรรคเมื่อครู่ มีเพียงผู้ฝึกเซียนอย่างท่านคนเดียว ข้าอยากถามว่าถ้าข้าคนแซ่ซินมองสถานการณ์ไม่ออกหรืออยากทำร้ายท่านเซียนจริง ท่านเซียนมีวิชาเทียมฟ้าใดมาต่อกร”
แต่จี้หยวนต้องการแค่ประโยคก่อนหน้า เมื่อได้ยินซินอู๋หยาพูดเช่นนี้ ในใจเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดูท่าว่าหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้แล้ว ทั้งสามารถระงับเวทอสนีนั้นลงได้
“มิน่าเจ้าเมืองซินถึงเชิญบุคคลระดับเทพผีมาร่วมยินดีได้ไม่น้อย เมืองไร้ขอบเขตมีมรรคาของตนจริงๆ เมื่อครู่หากคำพูดของข้าคนแซ่จี้ล่วงเกินไป หวังว่าเจ้าเมืองจะอภัยให้!”
จี้หยวนไม่ตอบว่าข่มขู่หรือไม่ ทั้งไม่ตอบคำถามสุดท้ายของซินอู๋หยา ประสานมือยิ้มพลางกล่าวเสร็จค่อยนั่งลงอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังมองหนิวป้าเทียนกับเกาเทียนหมิงด้วยสายตาตักเตือนเล็กน้อย สองคนนี้จะได้ไม่ก่อเรื่องอีก
เจ้าวัวกับเกาเทียนหมิงผงะในใจทันที โดยเฉพาะฝ่ายหลังตอนนี้ยังคงหวาดกลัว หวนนึกว่าท่าทางของตนเมื่อครู่แทบอยากให้อีกฝ่ายยั่วโมโหท่านจี้ ย่ามใจจนลืมตัวทั้งมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น เห็นชัดว่าไม่เป็นที่พอใจของท่านอย่างยิ่ง
ซินอู๋หยาเผชิญหน้ากับท่าทางเช่นนี้ของจี้หยวน เห็นชัดว่ารู้สึกเหมือนเหวี่ยงหมัดใส่อากาศ ด้านข้างยังมีขุนพลผีสายตาเหี้ยมเกรียม เข้ามาใกล้แล้วกล่าวพึมพำข้างกายเขา
เกาเทียนหมิงเห็นท่าทางจี้หยวน เขาขับเคลื่อนความคิด ด้านหนึ่งรีบก้มหน้าก้มตา อีกด้านใช้วิชาสื่อจิตบอกซินอู๋หยา
‘เหล่าอู๋หยา รู้จักวางมือเถอะ!’
เมื่อเสียงของเกาเทียนหมิงดังขึ้นข้างหูอย่างกะทันหัน ซินอู๋หยาซึ่งกำลังฟังขุนพลผีด้านข้างเอ่ยกล่าวอึ้งงันเล็กน้อยเช่นกัน มองเกาเทียนหมิงแต่กลับพบว่าอีกฝ่ายแค่นั่งมองโต๊ะอยู่กับที่ ไม่ได้มองมาทางตน
‘อย่ามองเลย ข้าคนแซ่เกาเอง เหล่าอู๋หยา ข้าเตือนเจ้าสักประโยค เจ้าเอาชีวิตรอดมาได้แล้ว อย่าไม่รู้จักดีชั่ว ข้าคนแซ่เกาไม่ได้ข่มขู่เจ้า แค่เมื่อครู่ข้าย่ามใจจนลืมตัวอยู่บ้าง ทำให้ท่านไม่พอใจ ครั้งนี้จึงมาเตือนเจ้าโดยเฉพาะ ท่านจี้ไม่ใช่คนที่เจ้าหาเรื่องได้ ชั้นเมฆเหนือศีรษะมีอสนีแกร่งปั่นป่วน จุดล่มสลายของเมืองไร้ขอบเขตขึ้นอยู่กับเวลาครู่เดียว ข้าคนแซ่เกาขอกล่าวเพียงเท่านี้ เชื่อหรือไม่แล้วแต่เจ้า!’
เกาเทียนหมิงสื่อจิตกล่าวประโยคนี้โดยไม่เผยสีหน้า แต่กลับมีผลต่อการตัดสินใจของซินอู๋หยาอย่างมาก
เขาหรี่ตามองโต๊ะนั้นแล้วเหลือบมองฟ้าสูงอย่างคลุมเครือ มองไม่ออกว่าบนชั้นเมฆเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่กลับแปลงปราณผีของตนเป็นเส้นสายหนึ่งอย่างฉับไว พุ่งตัวจากเหนือศีรษะไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจ
แปลบ…
ร่างกายซินอู๋หยาชาหนึบเล็กน้อย ในใจยิ่งเครียดขมึง หันหน้ามองขุนพลผีซึ่งกล่าวว่าร้ายพวกจี้หยวนตลอด
“พูดจบหรือยัง”
“ท่านเจ้าเมือง พวกเราอยู่ห่างจากทะเลสาบวารีนภาไกลขนาดนี้ อีกทั้งผู้ฝึกเซียนนั่น…”
“ไสหัวไป!”
ซินอู๋หยาเผยความเดือดดาล ขุนพลผีไม่กล้าพูดต่อทันที ได้แต่ถอยไปอยู่ด้านข้าง
“สมเป็นผู้ฝึกเซียนชั้นยอด ท่าทางโดดเด่น ในเมื่อท่านจี้เป็นถึงผู้ฝึกเซียน แต่ยังให้เกียรติมาร่วมงานฉลอง ข้าคนแซ่ซินไม่ใช่ผีวิสัยทัศน์แคบ เรื่องก่อนหน้านี้ถือเป็นความเข้าใจผิดแล้วกัน!”
หลังจากกล่าวประโยคนี้จบ ซินอู๋หยากลับสู่สภาพปกติ มองข้ามเรื่องก่อนหน้านี้ เชิญแขกเหรื่อกินดื่มกันอีกครั้ง
แขกกับเจ้าภาพไม่มีใครก่อกวนกันอีก เสียงแตรฉินเส้อดังขึ้นในที่นั้น ทั้งงานเลี้ยงฉลองตึงเครียดชั่วขณะ ไม่นานค่อยกลับสู่บรรยากาศอึกทึกครึกครื้น
หากพูดว่าเป็นงานฉลอง มิสู้บอกว่าเป็นการประกาศว่าเจ้าเมืองไร้ขอบเขตพลังปราณรุดหน้ายังดีกว่า ทำให้ผีปีศาจเทพในรัศมีโดยรอบรู้อิทธิพลของเมืองไร้ขอบเขต
ระหว่างนี้เกิดเรื่องน่าสนใจบางส่วน ภูตผีส่วนใหญ่ไม่สนใจพวกเกาเทียนหมิง ส่วนปีศาจนอกจากพวกคบค้ากับทะเลสาบวารีนภาแล้ว คนอื่นต่างแสร้งขีดเส้นความสัมพันธ์ แต่พวกเทพผีกลับมาชนจอกกับเกาเทียนหมิงไม่น้อย
กระทั่งผ่านพ้นยามอิ๋น[1] ความคึกคักของงานเลี้ยงซาลงทีละน้อย จี้หยวนพาทุกคนขอตัวจากไป
ยังไม่พ้นคืนขบวนรถของทะเลสาบวารีนภาตัดผ่านความอึกทึกบนถนนเมืองไร้ขอบเขต ออกจากประตูเมืองไปหลังจากจบงานเลี้ยง
เมื่อถึงข้างนอกความคึกคักของเมืองไร้ขอบเขตเปลี่ยนจากพอได้ยินเป็นห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นค่อยหายไปโดยสิ้นเชิง ภายในขบวนเห็นชัดว่าพวกคนธรรมดาอย่างเยี่ยนเฟยเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ ต่อให้ข้างนอกมีลมรัตติกาลหนาวเย็น แต่เห็นชัดว่าอบอุ่นกว่าในเมืองมาก
ถึงตรงนี้หนิวป้าเทียนอดกล่าวไม่ได้แล้ว
“ท่านจี้ ไม่จัดการเมืองผีแห่งนี้แล้วหรือ”
“หืม? เจ้าคิดจัดการอย่างไร”
“ด้วยวิชาอภินิหารของท่าน ข้าไม่เชื่อว่าจะกำจัดเมืองผีไม่ได้!”
หนิวป้าเทียนลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา คู่สามีภรรยาเกาเทียนหมิงฟังอยู่ด้านข้าง จี้หยวนแค่ยิ้มพลางส่ายหัว เขามีความสามารถเช่นนี้จริงๆ แต่คงปวดใจอีกช่วงหนึ่ง ไม่ทำเช่นนั้นได้ย่อมดีที่สุด
แต่เกาเทียนหมิงได้ยินแล้วกลับกล่าวในใจ
‘ไม่แน่ว่าเกือบกำจัดแล้ว…’
จี้หยวนยังไม่ตอบ ฮูหยินเกาซย่าชิวครุ่นคิดพลางกล่าว
“ท่านอาหนิวไม่รู้ความลำบากใจของท่านจี้ สำหรับท่านการทำลายเมืองผีไร้ขอบเขตอาจไม่ยาก แต่ผีโฉดวิญญาณร้ายภายในเมืองมีมากนับไม่ถ้วน ไม่แน่ว่าจะกำจัดได้หมด เมื่อเมืองไร้ขอบเขตพังทลายก็มีสถานที่ผูกมัดรับผีร้ายน้อยลง ทางตอนเหนือของอาณาจักรจู่เยวี่ยวุ่นวายโกลาหล เดิมย่อมก่อเกิดสิ่งชั่วร้าย อนาคตหากโลกมนุษย์เกิดภาวะสงคราม แดนหยินมีผีร้ายเตร็ดเตร่ ขุนนางชั่วโจมชุม มรรคเทพอ่อนแอ โลกมนุษย์ย่อมรกร้างว่างเปล่า!”
“ฮูหยินกล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง ข้าคนแซ่เการู้แจ้งยามอยู่ในงานเลี้ยง ตอนนี้พี่หนิวเข้าใจแล้วหรือไม่”
ด้านหนึ่งเกาเทียนหมิงส่งสายชื่นชมซย่าชิว อีกด้านตบไหล่หนิวป้าเทียนว่าชี้แนะจากใจ
จี้หยวนมองซย่าชิวแล้วพยักหน้าพลางกล่าว
“ฮูหยินเกาปัญญาเฉียบแหลม ส่วนเจ้าเมืองซินนั่นถือว่าอัจฉริยะปราดเปรื่องในหมู่ผีบำเพ็ญ”
จี้หยวนพูดพลางมองหนทางข้างหน้า ที่นั่นมีเงาผีมากมายปรากฏ ซินอู๋หยาคือหนึ่งในนั้น มีเทพผีชุดฟ้าประดับเกี้ยวสูงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา
เมื่อเห็นขบวนรถมา เทพผีค้อมตัวคารวะก่อน
“เทพหลักเมืองเชวี่ยหลิวเขตเยวี่ยจิ้ง คารวะท่านจี้!”
[1] ยามอิ๋น หมายถึงช่วงเวลา 03:00 – 05:00 น.