ตอนที่ 304 แปรเปลี่ยนฟ้าดิน
เมื่อฟังคำพูดนี้เยี่ยนเฟยพลันผงะในใจทันที ในใจนึกถึง ‘เมืองผี’ โดยปริยาย เขามองไปทางจี้หยวนตามจิตใต้สำนึก เห็นท่านจี้ทำท่าครุ่นคิดเช่นกัน
เมื่อมองจากมุมของทั้งสามคนซึ่งห่างไกล สามารถเห็นเมืองล้อมด้วยกำแพงเมืองแห่งหนึ่ง ตั้งแต่ประตูเมืองถึงภายในเมืองทุกแห่งล้วนมีแสงโคมสว่างไสว ประดับด้วยโคมไฟมากมาย
ถ้าภาพนี้ปรากฏในเมืองทั่วไปคงมีแค่เทศกาลใหญ่อย่างเทศกาลโคม มิน่าตอนเยี่ยนเฟยเห็นจากจุดที่ห่างออกไป เริ่มแรกจึงเข้าใจผิดว่าเป็นกองไฟของคนเดินทางกลุ่มอื่น
“ท่านจี้เห็นว่าอย่างไร”
หนิวป้าเทียนเอ่ยถามจี้หยวน ภายในกลุ่มทั้งสามคนผู้ตัดสินใจได้อย่างแท้จริงก็คือจี้หยวน นี่เป็นเรื่องที่ซึมซับจากเวลายี่สิบกว่าวัน
จี้หยวนไม่ได้เอ่ยปากทันที เขามองเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป ทั้งมองไปเหนือเมือง มีเมฆดำเลือนรางชั้นหนึ่งรวมตัวอยู่ ต้านแสงจากดวงดาวจันทราบนฟ้าไว้ คืนนี้สถานที่ส่วนใหญ่ล้วนปลอดโปร่ง
“ปราณหยินกลายเป็นเมฆ แต่ด้านนอกกลับไม่มีกลิ่นอายชัดเจน ดูท่าว่าไม่ใช่ปราณหยินพุ่งสู่ฟ้าเอง แต่เป็นผลจากการชักนำเปลี่ยนแปลง ในเมืองน่าจะมีผีบำเพ็ญฝีมือล้ำเลิศ”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้ก่อนครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“ตรงนั้นแสงโคมสว่างไสว น่าจะไม่ใช่วันธรรมดา พวกเรารอดูอีกหน่อย หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปผสมโรง”
“อืม!”
เยี่ยนเฟยตอบรับคราหนึ่ง ต่อให้เป็นจอมยุทธ์สุดท้ายก็เป็นคน แหล่งรวมหมื่นภูตผีอย่างเมืองผีเช่นนี้ เขาไม่อยากไปจากก้นบึ้งหัวใจ
แต่หนิวป้าเทียนกลับสงสัยอยู่บ้าง ตอนนี้เมื่อได้ยินจี้หยวนบอกว่าไม่ลงไป ในใจมันอยากรู้อยากเห็นจนทนไม่ไหว
“โธ่เอ๋ย ท่านจี้ดูสิ ข้าคนแซ่หนิวไม่เคยไปเมืองผีแดนปรโลกอย่างศาลมืดมาก่อน ดูเหมือนว่าตรงนั้นครึกครื้นทีเดียว พวกเราไม่ไปเดินเล่นหน่อยเล่า น้องเยี่ยนน่าจะอยากไปดูมากกระมัง”
เยี่ยนเฟยรีบส่ายหัวเล็กน้อย มองข้ามการส่งสายตาของหนิวป้าเทียน
“พี่หนิว ข้าเป็นคนธรรมดา เข้าไปสำรวจเมืองผีหรือ ข้าคนแซ่เยี่ยนไม่มีความคิดเช่นนั้นเด็ดขาด!”
จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิบนเนินดินทั้งอย่างนั้น
“รอฟ้าสว่างค่อยลองดูเถอะ ถึงตอนนั้นค่อยดูว่าจะมองสิ่งที่เมืองนี้พึ่งพาได้หรือไม่ พวกเขากำลังอึกทึกครึกครื้น ตอนนี้ถ้าพวกเราบุ่มบ่ามเข้าไปอาจล่วงเกินคนอื่น”
จี้หยวนกล่าวเช่นนี้แล้ว หนิวป้าเทียนไม่สะดวกพูดอะไรอีก ได้แต่ถอนใจอย่างเสียดาย
ยามรัตติกาลจี้หยวนนั่งขัดสมาธิพักผ่อน หนิวป้าเทียนและเยี่ยนเฟยกลับมองเมืองที่อยู่ห่างไกลตลอด ตั้งแต่พวกเขามาถึงตอนนี้ ไม่เห็นใครเข้าออกเมืองโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้เยี่ยนเฟยบอกว่าเห็นรถม้าคงเป็นข้อยกเว้น
“เฮ้ยๆๆ น้องเยี่ยน มีคน อ๊ะ ไม่ใช่ มีผีเข้าไปแล้ว!”
หนิวป้าเทียนพลันตื่นเต้นจนร้องเสียงเบา หลังจากฝึกปราณเป็นปีศาจสำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นผีจึงตื่นเต้นเช่นนี้
“หา? ตรงไหน”
เยี่ยนเฟยเบิกตากว้างแต่มองไม่เห็น เห็นชัดว่าครั้งนี้เขาไม่อาจเห็นภูตผี เจ้าวัวตระหนักถึงเรื่องนี้ รีบขยับเข้าใกล้เขา
“มาๆ ข้าผู้เป็นพี่ช่วยเจ้าเอง!”
หนิวป้าเทียนพูดจบแล้วยื่นมือใช้นิ้วชี้ดีดหน้าผากเยี่ยนเฟยดังป๊อก
เยี่ยนเฟยพลันรู้สึกว่ามึนหัวเล็กน้อย เมื่อศีรษะถูกดีดเบื้องหน้ามืดมัวทั้งเหมือนมีแสงขาววาบผ่าน
รอเมื่อบรรเทาค่อยมองไปด้านล่าง เขาเห็นจุดที่อยู่ห่างจากเมืองไป มีกลุ่มคนเหมือนทหารขี่ม้ามา ด้านหลังใช้เชือกมัดเงาร่างกลุ่มหนึ่ง บ้างลอยมาบ้างเดินมา บ้างคอยาวบ้างแขนขาดขาแหว่ง
“เฮือก… นะ นี่มัน…”
“หึ เป็นผีเร่ร่อนทั้งสิ้น หลายคนตายข้างนอกโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งไม่มีญาติมิตรเก็บศพ หลายแห่งมรรคเทพเสื่อมลง ผู้ตายกลายเป็นผีเร่ร่อนโดยง่าย สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทั่วอาณาจักรจู่เยวี่ย”
เยี่ยนเฟยเพิ่งเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขารู้สึกหวาดหวั่นทันที
“ผีพวกนี้ไม่ทำร้ายคนหรือ”
ตอนนี้จี้หยวนลืมตาขึ้น มองไปนอกเมืองที่อยู่ห่างไกล
“มีคำกล่าวว่าคนกลัวผีสามส่วน ผีกลัวคนเจ็ดส่วน ทั้งกล่าวว่าหากไม่ทำเรื่องผิดมโนธรรม ย่อมไม่กลัวผีมาเยือนถึงที่ ความจริงล้วนมีเหตุผล ส่วนใหญ่หมายถึงผีเร่ร่อนไร้ที่พึ่งพิงพวกนี้ นอกเสียจากว่าจะตายด้วยความอาฆาตพยาบาท มิฉะนั้นถ้าไม่ระวังอาจหายตัวไป หากคนไม่อ่อนแอถึงขีดสุดก็ไม่ต้องกลัว”
จี้หยวนพูดพลางมองไปทางเมือง เข้าใจองค์ประกอบของเมืองผีแห่งนี้บ้างแล้ว อย่างน้อยถ้ามาจากแดนใต้แห่งอาณาจักรจู่เยวี่ย สถานที่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ขาดแคลนผีเร่ร่อน
‘ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย!’
นอกจากผีเร่ร่อนกลุ่มนี้ถูกส่งเข้าเมืองแล้ว กระทั่งฟ้าสางครึ่งคืนหลังไม่มีอุปสรรคใดอีก ยามเยี่ยนเฟยกำลังงีบหลับ เมืองผีแห่งนี้จางลงทีละน้อย หายวับไปจากสายตา
เยี่ยนเฟยถูกทำให้ตกใจจนหายง่วงทันที
“ท่านจี้ พี่หนิว เมืองหายไปแล้ว?”
“ยังอยู่ เมฆดำยังไม่ซ่านสลาย แค่กลางวันแสงสาดส่องปราณหยางแทรกสลับ เมืองอาศัยวิชาผีอย่างหนึ่งซ่อนตัวระหว่างหยินหยาง”
จี้หยวนกล่าวอธิบายแล้วลุกขึ้นมา เดินลงเนินไปยังจุดที่ห่างไกลก่อน หนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยรีบตามไป
ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงตำแหน่งที่ตั้งเมือง เห็นชัดว่าโดยรอบรกร้างกว่าที่อื่นเล็กน้อย ทั้งไม่มีต้นไม้สูงใหญ่อะไร อาศัยแค่ความรู้สึกของเยี่ยนเฟย เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
“ท่านจี้ ท่านดูตรงนั้นสิ!”
หนิวป้าเทียนชี้ไปยังจุดที่ห่างไกล จากนั้นจึงรีบวิ่งไปก่อน จี้หยวนกับเยี่ยนเฟยตามหลังไปติดๆ ด้านหลังเศษหินมหึมานอกระยะหนึ่งลี้ ทั้งสามคนพบรถม้าคันหนึ่ง
รถม้าคันนี้ไม่เพียงงดงามประณีต แต่ยังกว้างขวางมาก อย่างน้อยต้องใช้ม้าสองตัวขึ้นไปลากจึงเหมาะสม แต่ตอนนี้บนรถไร้คน หน้ารถไม่มีม้า
หนิวป้าเทียนยื่นมือสัมผัสรถม้า ทั้งเลิกม่านรถม้าออกดู ก่อนหันกลับมากล่าวกับจี้หยวน
“ท่านจี้ ถือว่ายังสะอาด ไม่เหมือนของถูกทิ้งร้าง…”
หนิวป้าเทียนพูดถึงตรงนี้แล้วพบว่าแววตาเยี่ยนเฟยผิดปกติ มันขมวดคิ้วถามประโยคหนึ่ง
“น้องเยี่ยน เจ้าเป็นอะไรไป”
เยี่ยนเฟยมองหนิวป้าเทียนทั้งมองจี้หยวน จากนั้นค่อยสังเกตรถม้าคันนี้โดยละเอียดอีกครั้ง กล่าวตอบอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง
“รถม้าคันนี้… คล้ายคันที่ข้าเห็นเมื่อคืน!”
“เจ้าแน่ใจหรือ”
หนิวป้าเทียนอึ้งงันครู่หนึ่ง จากนั้นพลันนึกอะไรขึ้นมาได้
“มิน่าเจ้าถึงเห็นรถม้ามุ่งตรงเข้าเมือง ด้วยรถม้าคันนี้ไม่ใช่รถม้าวิญญาณแต่แรก แต่เป็นรถม้าของคนธรรมดา!”
“เช่นนั้นคนบนรถเล่า”
เยี่ยนเฟยเอ่ยถามตามจิตใต้สำนึก สายตามองไปทางหนิวป้าเทียนกับจี้หยวน
จี้หยวนจ้องรถม้าแล้วขมวดคิ้วแน่น มองเข้าไปในรถม้าว่างเปล่า ทั้งมองคอกไม้ว่างเปล่าปราศจากม้าสักตัวหน้ารถม้า
“เกรงว่าคงอยู่ในเมืองผีนั่นแล้ว…”
หนิวป้าเทียนดวงตาวาววาบ กล่าวอย่างเคร่งครัดทันที
“ท่านจี้ คนพวกนี้เข้าสู่เมืองผีโดยไม่ทราบเรื่องราว เกรงว่าออกมาเองไม่ได้ ทั้งมีโอกาสสูงที่จะถูกพบว่าคือคนเป็น ภายใต้การถูกภูตผีรุมล้อมถือว่าอันตรายมาก พวกเราควรพาพวกเขาออกมาจากเมืองผี หากเจอผีร้ายบางส่วนค่อยถือโอกาสจัดการด้วยเลย!”
เดิมจี้หยวนยังพิจารณาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ตอนนี้เมื่อฟังคำพูดของหนิวป้าเทียน เขามองเจ้าวัวพลางยิ้มน้อยๆ
“เจ้าซื่อสัตย์มีน้ำใจนัก”
“เรียนรู้ความกล้าหาญมาจากน้องเยี่ยนทั้งสิ้น แม้ว่าข้าคนแซ่หนิวเป็นปีศาจ แต่ยังมีความเป็นคนบางส่วน! ท่านจี้คิดเห็นอย่างไร”
“อืม… จอมยุทธ์เยี่ยนเล่า”
จี้หยวนมองเยี่ยนเฟย ฝ่ายหลังกุมกระบี่ เคลื่อนสายตาจากรถม้ามาทางจี้หยวนก่อนพยักหน้ากล่าว
“หากบังเอิญเจอรถม้าที่นี่ ข้าคนแซ่เยี่ยนอาจไม่สนใจ แต่เมื่อคืนข้าเห็นรถม้ามุ่งเข้าเมือง วันนี้รู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว คิดว่าตนมีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน หากท่านจี้กับพี่หนิวไม่รังเกียจ โปรดพาข้าคนแซ่เยี่ยนร่วมทางไปด้วย!”
“โอ้ แหะๆ ไม่รังเกียจๆ! น้องเยี่ยนวิชายุทธ์เหนือพิภพ ผีทั่วไปมีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า ถ้าเจอตัวร้ายกาจก็ยังมีข้าคนแซ่หนิวกับท่านจี้อยู่!”
ตอนนี้หนิวป้าเทียนปิติยินดี สถานการณ์ปัจจุบันท่านจี้มีโอกาสรับปากเข้าเมืองผีแปดส่วนแล้ว
จี้หยวนแสดงท่าทีทันทีดังคาด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราเข้าเมืองตามหาคน ข้าเคยติดต่อกับเทพผีศาลมืดหลายครั้ง ตามสถานการณ์ปกติภูตผีในเมืองไม่คุยกับคนทั่วไป เมื่อเข้าเมืองปราณหยางคนเป็นจะถูกปราณหยินกดทับ หากไม่เข้าใกล้ภูตผีมากเกินไป ไม่แน่ว่าจะถูกสังเกตเห็น ถึงขั้นว่าตอนนี้ยังมีโอกาสสูงที่พวกเขายังไม่รู้ว่าตนอยู่ในเมืองผี”
“ถ้าอย่างนั้น… พวกเราต้องรอฟ้ามืดจนเมืองปรากฏหรือ”
หนิวป้าเทียนเจตนาถามเช่นนี้ แม้ว่าตอนนี้มันหาวิธีเข้าเมืองไม่ได้จริงๆ แต่เชื่อว่าท่านจี้ต้องมีวิธีแน่ แน่นอนว่าลองใช้วิชาปีศาจโจมตีทำลายเมืองโดยไม่สนผลลัพธ์ได้ แต่วิธีนี้ย่อมไม่เหมาะสม
“เวลายิ่งล่าช้าถือว่าอันตรายกับพวกเขาอยู่บ้าง จำเป็นต้องลองเข้าไปตอนนี้”
ตอนนี้จี้หยวนมีสองวิธีที่อยากลอง อย่างหนึ่งคือใช้กระบี่เซียนผ่าผนึกหยินหยางของเมืองผี ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ศาลมืดแดนปรโลกที่แท้จริง มีกระบี่เครือเขียวอยู่ การทำเรื่องนี้ไม่ถือว่ายาก แต่อาจทำให้ภูตผีร้ายกาจบางส่วนตกใจ
อีกอย่างคือจำลองสภาพกลางคืน ปลอมตัวเข้าเมืองผีโดยตรง สิ่งเดิมพันก็คือผนึกเมืองผีคงประณีตสู้จวนเซียนไม่ได้ รับอิทธิพลจากฟ้าดินโลกภายนอกค่อนข้างมาก พูดตามตรงคือลอง ‘หลอก’ เมืองผีแห่งนี้ดู
จี้หยวนนึกถึงตรงนี้แล้วไม่ลังเลอีก เขาขับเคลื่อนความคิดวิวัฒน์ฟ้าดิน ภายใต้การควบคุมของจิตใจ เขตแดนภูผาธาราไร้สิ้นสุดปรากฏ
ในความรู้สึกของหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟย คล้ายฟ้าดินโดยรอบพลันเปลี่ยนแปลง ร่างกายตนรู้สึกเหมือนถูกดึงไปไกลไร้ขอบเขต ทั้งเหมือนอยู่แดนประหลาด มองเห็นฟ้าดินซึ่งอยู่ห่างออกไปได้
ความรู้สึกนี้เด่นชัดและทำให้จิตใจเป็นอิสระเช่นนั้น ยามทั้งสองคนกำลังงุนงง จี้หยวนขับเคลื่อนความคิด ชี้ท้องฟ้าของเขตแดน
พริบตานั้นหมากมายามากมายส่องสว่าง บนท้องฟ้าเหมือนดวงดาวเจิดจรัส สีฟ้าดินเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ…
เวลานี้ทัศนียภาพโดยรอบปรากฏ ท้องถนน บ้านเรือน คนสัญจร… เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นเหมือนคงอยู่จริงช้าๆ
เยี่ยนเฟยรู้สึกแค่น่าเหลือเชื่อ ส่วนหนิวป้าเทียนตกตะลึงอ้าปากค้างลืมหายใจแล้ว
‘ดาวเคลื่อนดาราคล้อย แปรเปลี่ยนฟ้าดิน…’