ตอนที่ 272 การเดิมพันครั้งที่สอง
ภายในโถงคนสนิทของอู๋อ๋องอ่านกระดาษแล้วหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
“ที่แท้เป็นเช่นนี้…”
“คิดไม่ถึงจริงๆ เดิมข้าคิดว่าอิ๋นจ้าวเซียนเป็นคนที่ไม่มีทางถูกดึงเข้ามาพัวพันกับการต่อสู้ของราชวงศ์ คิดไม่ถึงเลย…”
“หึๆ ตามสถานการณ์ปกติคงเป็นเช่นนั้น แต่ก่อนหน้านี้ตอนอิ๋นจ้าวเซียนเป็นสามัญชน จิ้นอ๋องเคยดึงเขาเป็นพวกแล้ว นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ”
อู๋อ๋องมองท้องฟ้าอึมครึมนอกประตูโถง ความรู้สึกยิ่งยากบรรยาย นอกจากความเดือดดาลและกระวนกระวายแล้ว ยังรู้สึกว่าถูกหยามเหยียดอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนั้นเขายังเคยโน้มน้าวดึงอิ๋นจ้าวเซียนมาเป็นพวกอย่างจริงใจหลายครั้ง ตอนนี้คิดว่าทุกอย่างคงถูกอิ๋นจ้าวเซียนเห็นเป็นเรื่องตลก แน่นอนว่าถูกน้องสามของตนเห็นเป็นเรื่องน่าขัน ทั้งถูกเสด็จพ่อของตนมองเป็นตัวตลกด้วย
‘หึๆ… ทำให้ข้าเกือบกลายเป็นตัวตลกแล้ว’
อู๋อ๋องนึกออกว่าน้องสามของตนเยาะเย้ยเขาลับหลังอย่างไร ถึงขั้นจินตนาการออกว่าเมื่อเห็นพฤติกรรมน่าขันของเขา เสด็จพ่อของตนมองมาด้วยแววตาเย็นชาจากหลังโต๊ะห้องทรงงานอย่างไร
อู๋อ๋องหยางชิ่งรู้ดีว่าเสด็จพ่อของตนเป็นคนแบบไหน มีอุปนิสัยอย่างไร ด้วยเขาเองมีนิสัยเดียวกัน การถูกคนหยามเหยียดดูหมิ่นเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นการลดคุณสมบัติสืบทอดบัลลังก์
‘มิน่าช่วงนี้น้องสามถึงเงียบสงบเช่นนี้… เกรงว่าคงรออิ๋นจ้าวเซียนเข้าเมืองอยู่!’
“อิ๋นจ้าวเซียนซ่อนคมล้ำลึกจริงๆ เรื่องนี้ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน…”
ยามเอ่ยคำนี้อู๋อ๋องกำหมัดแน่นแล้ว เขาสูดหายใจลึกก่อนกล่าวต่อ
“แต่เหยื่อจะตายในมือใครยังไม่อาจรู้ได้ ข้ายอมรับว่าน้องสามมีความสามารถจริงๆ แต่อาศัยแค่อิ๋นจ้าวเซียนคนเดียว ไม่ส่งผลต่อเสด็จพ่อเท่าไหร่ นิสัยของเสด็จพ่อข้ารู้ดี…”
“องค์ชายกล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง! แค่จือโจวตัวเล็กๆ ต่อให้ฝ่าบาทโปรดปรานแค่ไหน มีหรือจะเทียบเท่าโอรส”
“ไม่ผิด ตอนนี้พวกเราไม่อาจเสียการควบคุม!”
อู๋อ๋องหันหลังกลับมา ยิ้มพลางพยักหน้า
“ขุนนางใหญ่ในราชสำนักสนับสนุนข้ามากกว่าน้องสาม เชื่อว่าจากมุมมองคนส่วนใหญ่ ถ้าสนับสนุนข้าย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า อัครเสนาบดีหลายคนเองสนับสนุนให้โอรสองค์โตสืบทอดบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีโอกาสชนะมากกว่า”
อู๋อ๋องพูดถึงตรงนี้แล้วเก็บรอยยิ้ม จ้องมองคนสนิทสองคน
“ต่อให้ขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักสนับสนุนข้า แม้สร้างความเชื่อมั่นให้ข้า แต่ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเช่นกัน ด้วยความร้ายกาจของน้องสาม หากใช้วิธีอะไรล่อลวงจิตใจเสด็จพ่อ กระทั่งออกราชโองการสืบทอดบัลลังก์ให้เขาจริง ฐานะองค์ชายของข้าสามารถคุ้มครองข้าให้ปลอดภัย แต่วันหน้าเหล่าขุนนางซึ่งสนับสนุนข้าต้องถูกคิดบัญชีแน่”
อู๋อ๋องหรี่ตาลงเล็กน้อย มองกระบี่สมบัติเล่มหนึ่งซึ่งแขวนอยู่กลางห้องโถง
“เพื่อเป็นการเผื่อไว้ ควรเตรียมตัวสักหน่อย… พวกท่านว่าอย่างไร”
อู๋อ๋องกดเสียงต่ำ สายตากวาดมองขุนนางใหญ่กระทรวงกลาโหมกับเสนาบดีฝ่ายบริหาร อีกฝ่ายสันหลังร้อนผ่าว สบตากันคราหนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดจา
…
ต่อให้ร่างกายฮ่องเต้หยวนเต๋อย่ำแย่ลง แต่หลังจากนั้นเจ็ดแปดวันกลับออกว่าราชการถึงสามครั้ง
แม้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนเป็นจือโจวแห่งรัฐหวั่น แต่เข้าเฝ้ายังท้องพระโรงเช่นกัน
ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักหลายคนต่างรับรู้แน่ชัดว่าฮ่องเต้เตรียมการเรื่องอนาคตบางส่วนแล้ว เช่นเรื่องบางอย่างที่แต่ก่อนไม่เคยวางอำนาจ ตอนนี้เริ่มปล่อยให้ขุนนางใหญ่ทุกกระทรวงรับช่วงต่อเรื่องที่เดิมพวกเขาควรจัดการแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นนักโทษอุกฉกรรจ์ภายในคุกบางคนที่ฮ่องเต้จำชื่อได้ บ้างรับโทษสถานหนัก บ้างกลับมารับราชการ ภายหน้าจะได้ไม่ต้องพระราชทานอภัยโทษ บางคนที่ไม่ได้ทำผิดอาจถูกจัดอยู่ในขั้นลดโทษ
หรือการกล่าวถึงผลงานของอิ๋นจ้าวเซียนกับเสนาบดีฝ่ายบริหารและกระทรวงขุนนาง เตรียมย้ายเขาเข้าเมืองหลวงเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
แต่ระหว่างนี้กลับไม่กล่าวถึงรายละเอียดการแต่งตั้งรัชทายาทสักคำ ถึงขั้นไม่ถามแม้แต่รายชื่อขององค์ชายสักคน เมื่อเข้าเฝ้ายามเช้ายิ่งมองข้ามองค์ชายทุกพระองค์ นอกเสียจากว่ามีคนก้าวออกมาถวายฎีกาจึงจะสนใจบ้าง
สำหรับองค์ชายทั้งสองอย่างจิ้นอ๋องกับอู๋อ๋องแล้วสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นการทรมาน
จี้หยวนไม่ใช่พวกถ้ำมอง แม้เดิมเขามาเพื่อดูฉากนี้ แต่ระหว่างนั้นแค่ไปจวนจิ้นอ๋องกับจวนอู๋อ๋องเพื่อสำรวจโดยคร่าว ไม่สืบหารายละเอียด ทั้งไม่เคยเข้าพระราชวัง
เรื่องน่าสนใจคือตั้งแต่อิ๋นจ้าวเซียนเข้าเมือง องค์ชายสองคนมีท่าทีมองผลแต่งตั้งรัชทายาทของฮ่องเต้ชราในแง่ร้าย ถึงขั้นครัดเคร่งระดับหนึ่ง แต่ละฝ่ายต่างซ่อนหมากตาท้าย ทว่าบ้างเกินเหตุบ้างสมเหตุสมผล ต้องพูดว่าถึงแม้ไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่เป็นพี่น้องกันจริงๆ
อิ๋นจ้าวเซียนหลีกเลี่ยงอย่างรู้จักกาลเทศะ ระหว่างนี้นอกจากเข้าเฝ้าหรือไปจัดการงานหลวงตามแต่ละกระทรวงในราชสำนักแล้ว ส่วนใหญ่อยู่แต่ที่พักไม่ออกไปข้างนอก อู๋อ๋องกับจิ้นอ๋องต่างส่งคนมาพูดกับเขา แต่ล้วนปิดประตูไม่รับแขก
วันที่เก้าเดือนเก้า คืนฉงหยาง[1]
ภายในเรือนพักซึ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดจิงจี อิ๋นจ้าวเซียนอยู่คนเดียวเพียงลำพัง ด้านนอกมีทหารผู้คุ้มกันคอยเฝ้า ด้านในมีบ่าวปรนนิบัติดูแล ตอนนี้เขากำลังเขียนอักษรอยู่ในห้อง
ก๊อกๆๆ…
“ใครกัน”
เสียงราบเรียบนิ่งสงบหนึ่งดังอยู่นอกประตู
“ข้าเอง”
ภายในห้องอิ๋นจ้าวเซียนได้ยินเสียงแล้วหยุดมือ รีบวางพู่กัน เดินอ้อมโต๊ะหนังสือ มาหน้าประตูเพื่อเปิดรับด้วยตัวเอง เห็นจี้หยวนยืนอยู่ข้างนอกดังคาด กำลังยิ้มพลางประสานมือ
“อาจารย์อิ๋น ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
“ท่านจี้? ท่านอยู่จังหวัดจิงจีหรือ เชิญเข้ามาก่อน!”
อิ๋นจ้าวเซียนคารวะตอบก่อนเบี่ยงตัวเชิญ ทั้งสอดส่องสายตามองด้านนอกเล็กน้อย แต่คิดว่าจี้หยวนไม่ใช่คนธรรมดา ผู้คุ้มกันกับบ่าวรับใช้ไม่ตอบสนองอะไรถือว่าปกติ ด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดมากอีก
รอเมื่อจี้หยวนเข้ามาในห้อง อิ๋นจ้าวเซียนค่อยพูดคุยกับจี้หยวนอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ท่านจี้ ตอนนั้นจากกันที่รัฐหวั่น เพียงพริบตาผ่านมาเกือบสามปีแล้ว! ครั้งนี้ท่านมาเมืองหลวงเพื่อหาข้าโดยเฉพาะ หรือว่ามาหาชิงเอ๋อร์ แม้ว่าผลสอบขุนนางเขาได้แค่รองอันดับหนึ่ง แต่ต้องซ่อนคมแน่ แบบนี้ก็ดี ชื่อเสียงข้าโดดเด่นเกินไปสุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร…”
‘เอาเถอะ เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น’
จี้หยวนทอดถอนใจอย่างจนปัญญา ความจริงค่อนข้างเข้าใจที่สหายสนิทตื่นเต้นเช่นนี้ เขาฟังอิ๋นจ้าวเซียนพูดพลางเดินมาถึงหน้าโต๊ะหนังสือ เห็นสิ่งที่อิ๋นจ้าวเซียนกำลังเขียนอยู่ก่อนหน้านี้
ไม่ใช่สาสน์ราชสำนัก ไม่ใช่เอกสารราชการเร่งด่วน ทั้งไม่ใช่บทประพันธ์สําบัดสํานวนอะไร แต่เป็นบทความการสอน
“อ้อ นี่คือ ‘หลักการศึกษา’ ที่ช่วงนี้ข้าคนแซ่อิ๋นร่างขึ้นมา อนาคตหากมีการผลักดัน ย่อมมีประโยชน์กับศิษย์ทั่วหล้า”
จี้หยวนมองอิ๋นจ้าวเซียนพลางกล่าว
“สะดวกให้ข้าคนแซ่จี้อ่านหรือไม่”
“เชิญท่านจี้ตามสบาย!”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย เดินมาถึงหน้าโต๊ะหนังสือ หยิบกระดาษสองสามแผ่นขึ้นมาอ่าน
อิ๋นจ้าวเซียนมีปราณต้านทานยิ่งใหญ่ อักษรทุกบรรทัดเผยกลิ่นอาย ดูเหมือนอักษรเปี่ยมจิตวิญญาณของผู้ฝึกเซียน ในสายตาจี้หยวนถือว่าชัดเจนหาใดเปรียบ
เนื้อหาพวกนี้ยังไม่เย็บรวมเป็นตำรา นับเป็นโครงร่างโดยคร่าว สำหรับจี้หยวนเนื้อหาถือว่ามองปราดเดียวก็เข้าใจ ถึงแม้ว่าภายในยังมีเนื้อหานานัปการ แต่ส่วนใหญ่คือหวังจะยกระดับความรู้ ทั้งยังกล่าวทวนเนื้อหาบางส่วนอย่างเรื่อง ‘หกศาสตร์ปัญญาชน’ ดูเหมือนเรียบง่ายแต่เปี่ยมนัยลึกซึ้ง
ถ้าจี้หยวนใช้คำพูดเมื่อชาติก่อน อิ๋นจ้าวเซียนอยากสร้าง ‘จิตวิญญาณ’ ให้กับเหล่าบัณฑิต นำสิ่งที่เรียกว่า ‘ศักดิ์ศรี’ มาช่วยเหลือประชาชน ทำให้ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย
“ก้มหน้าถือพู่กันเขียนบทความ ถือกระบี่ออกรบสังหารศัตรู ไม่เลว!”
เมื่อจี้หยวนเอ่ยปาก อิ๋นจ้าวเซียนดวงตาวาววาบ ประสานมือคารวะมาทางเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง
“สุดท้ายแล้วยังคงเป็นท่านจี้ กล่าวได้ดี สื่อความคิดของข้าคนแซ่อิ๋นได้เหมาะสมเช่นนี้!”
จี้หยวนอ่านต่ออีกสองสามหน้าก่อนวางกระดาษกลับจุดเดิม ความรู้สึกดีกว่าตอนมามาก
สหายคนนี้ของตน สุดท้ายถ้าเทียบกับการเป็นขุนนาง ถือว่าให้ความสำคัญกับการสอนมากกว่า เหมือนตอนเขาเลือกก้าวสู่หนทางการเป็นขุนนาง หลายปีนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน ดังนั้นหลายปีมานี้คำเรียกอิ๋นจ้าวเซียนจึงเหมือนแต่ก่อน
“อาจารย์อิ๋น ภารกิจหนักหน่วงหนทางยาวไกลนัก!”
“หึๆ การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก”
จี้หยวนนั่งลงด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ อิ๋นจ้าวเซียนรินชาให้จี้หยวนตามปกติก่อนนั่งบนเก้าอี้อีกตัว
“อาจารย์อิ๋น ท่านคิดว่าศึกชิงอำนาจฮ่องเต้แห่งต้าเจิน จิ้นอ๋องกับอู๋อ๋องใครจะชนะ”
อิ๋นจ้าวเซียนพลันอึ้งงัน หลุดขำอย่างหมดคำพูด
“ท่านจี้เองก็ถามปัญหานี้ ถึงแม้ว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา แต่ครั้งนี้ข้าคนแซ่อิ๋นรู้ดีกว่าท่านเล็กน้อย ตั้งแต่วันที่เข้าเมือง ข้ารู้แล้วว่าใครเป็นรัชทายาท”
“อ้อ… ข้าคนแซ่จี้ใคร่รู้นัก มิสู้เดิมพันกับอาจารย์อิ๋นเป็นอย่างไร”
จี้หยวนยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง
…
ภายในพระราชวัง ณ ห้องทรงงาน ฮ่องเต้หยวนเต๋อเอนกายอยู่บนเตียงฟูก
แสงตะเกียงสาดส่องจนห้องทรงงานสว่างไสว ฮ่องเต้ชราอ่านตำรารวมเล่มหนึ่งในเวลานี้อย่างหาได้ยาก แม้ว่าสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่จิตใจกลับพอใช้ได้
ไม่นานขันทีเฒ่าซึ่งติดตามฮ่องเต้หยวนเต๋อมานานที่สุดเดินมาใกล้ห้องทรงงาน ในมือถือกระดาษมาม้วนหนึ่ง
“ฝ่าบาท หัวหน้าเฉียนส่งสารมาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชรามองขันทีเฒ่า ฝ่ายหลังซอยเท้ามาข้างหน้าอย่างรู้ทัน คลายกระดาษเผยเนื้อหาต่อหน้าฮ่องเต้ชราช้าๆ
ฝ่ายหลังอ่านด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนนวดขมับเล็กน้อย
“หึ… หึๆ… หึๆๆๆ…”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อหัวเราะเหมือนคนบ้าครู่หนึ่ง
…
ผ่านไปหนึ่งเค่อกว่า ขันทีชราที่ส่งสารลับคนนั้นพาขันทีน้อยกับผู้คุ้มกันสองสามคนมากลางวังด้วยท่าทางรีบร้อน
ภายในห้องพักบางแห่งของราชวัง ขันทีชราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงฟูกกินผลไม้เชื่อมดื่มชาพลางดูภาพลามก
เวลานี้ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆๆ
“ใครกัน”
“ข้าเอง”
ขันทีเฒ่าด้านนอกตอบรับคราหนึ่ง ส่งสายตาบอกคนอื่น ขันทีน้อยช่วยเปิดประตู
“โอ้ หลี่กงกง! ท่านมาได้อย่างไร…”
เมื่อขันทีเฒ่าภายในห้องเห็นผู้มาเยือน เขารีบลงจากเตียงฟูกมาต้อนรับ ล้วนเป็นขันทีเฒ่าซึ่งติดตามฮ่องเต้หยวนเต๋อมานานปี แต่อีกฝ่ายได้รับความโปรดปรานมากกว่าตนหน่อย
“หานกงกง ฝ่าบาทรู้สึกว่ากงกงคอยปรนนิบัติมานานปี รับสั่งให้ข้านำรางวัลบางส่วนมาโดยเฉพาะ ท่านก็รู้ว่าฝ่าบาทมักนึกครึ้มชั่วคราว ข้าไม่กล้าล่าช้า แค่วิ่งเต้นทำงานให้เท่านั้น”
“อะ อ้อ ฝ่าบาทหวังดีกับข้าน้อยนัก เชิญหลี่กงกงเข้ามาก่อน ไม่ทราบว่าเป็นรางวัลอะไรหรือ”
ขันทีเฒ่าแย้มยิ้ม มองถาดไม้ซึ่งขันทีน้อยข้างกายหลี่กงกงยกมา ด้านบนมีผ้าแดงผืนหนึ่งคลุมอยู่ พอเห็นรูปร่างของด้านในแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
หลี่กงกงยิ้มพลางหลีกทางกล่าว
“พระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท หานกงกงลองดูด้วยตัวเองเถอะ”
ขันทีชราแซ่หานคนนั้นมองเขาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังเดินยิ้มไปข้างหน้าสองก้าว
ชั่วพริบตายามเปิดผ้าแดงอย่างแผ่วเบา มือขวาพลันสั่นสะท้าน ผ้าแดงทิ้งตัวเผยให้เห็นแพรขาวและกาสุรา…
[1] ฉงหยาง คือ เทศกาลดั้งเดิมของจีน มีประเพณีปีนเขา ชมดอกเก๊กฮวย ปัจจุบันคือวันผู้สูงอายุ