เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 91 คืนฝนตกยุทธภพ ไม่ค่อยสงบ

ตอนที่ 91 คืนฝนตกยุทธภพ ไม่ค่อยสงบ

ตอนที่ 91 คืนฝนตกยุทธภพ ไม่ค่อยสงบ

ดินแดนกลางต้าสุย เมืองหลวง โลกมนุษย์สามเดือน ฝนตกหนัก

โรงเตี๊ยมเก่าแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลผู้คนฝนตกหนัก ห่างจากเมืองหลวงราวยี่สิบลี้ ในยุทธภาพของต้าสุย ผู้บำเพ็ญขอบเขตกลางมีเยอะเป็นพิเศษ ผู้บำเพ็ญที่คลุกคลีกับระดับล่าง จ่ายตำลึงเงินค่าที่พักในเมืองหลวงไม่ไหว ส่วนใหญ่จะเลือกไปชานเมืองเช่นนี้ หาโรงเตี๊ยมเก่าพักผ่อน

คนโตกับคนเล็กเบียดกันในร่มกระดาษมัน น้ำฝนเต็มฟ้าไหลผ่านใบร่ม รวมเป็นเส้นสีเงินตกลงมาเหมือนน้ำตก สองคนยืนนอกโรงเตี๊ยม ประกายสายฟ้าวูบผ่าน ส่องสะท้อนใบหน้าขาวผ่องสองคน

เด็กหนุ่มที่ถอดความเยาว์วัยออกไปหลายส่วน กางร่มกระดาษมัน มือข้างหนึ่งวางอยู่นอกประตูไม้ ลังเลอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้รีบร้อนผลักประตูเข้าไป

ตอนนี้ยังไม่ถือว่าดึกมาก เพียงแค่ฝนตกหนักมาก นอกโรงเตี๊ยม คอกม้าส่งเสียงร้องแหลมเล็ก โลกมืดครึ้ม ทั้งหนาวทั้งชื้น

เด็กหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม “ส่งที่นี่ก็ได้”

เด็กสาวใต้ร่มเอ่ยเบาๆ “จะเข้าไปดูเป็นเพื่อนเจ้า”

หนิงอี้ยืนนอกโรงเตี๊ยมนิ่งๆ

เผยฝานพูดราบเรียบ “องค์ชายรองไม่มีเจตนาดี ให้ป้ายคำสั่งแดนบูรพาแล้วยังนัดเจอกันที่นี่ จะไปแดนอุดรในเมืองหลวงต้องมีค่ายกลเคลื่อนย้ายได้แน่ ในโรงเตี๊ยมมีคนดีเลวปะปนกัน ข้าว่า…เขาเหมือนจะไม่ไว้ใจเจ้า”

“รับเงินเขาแล้วก็ต้องทำงานให้เขา” หนิงอี้ยิ้ม “ดูท่า เขาคงอยากลองดูฝีมือข้าหน่อย ดูว่าข้าจะมีความสามารถทำงานให้เขาได้หรือไม่”

เด็กสาวเม้มริมฝีปาก สีหน้าเฉยชา

หนิงอี้กดงอบของเผยฝาน ใต้ผ้าดำซ่อนดวงตาเฉียบคมไว้

เขายัดร่มกระดาษมันใส่มือเด็กสาว ยื่นสองมือมาอ้อมหลังศีรษะ ผูกผ้าบางสีดำไว้บนหน้า ก่อนหัวเราะเบาๆ “ในนี้มีแต่คนยุทธภพที่หากินไปวันๆ อยู่ในเมืองหลวงไม่ง่าย…”

หนิงอี้นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับประตูไม้เสียงเบา “หวังว่าทุกคนจะต้อนรับกันอย่างดี เป็นมิตรกัน คืนนี้ก็จะผ่านไปเอง”

ผลักประตู

กลิ่นคาวแสบจมูกโชยเข้ามา

เทียนแดงที่ใกล้จะดับหกเล่ม ไส้ตะเกียงแกว่งไกว ลมหนาวข้างนอกพัดเข้ามา มืดสลัว แสงสว่างดับลงพร้อมกับประกายสายฟ้าวูบวาบข้างนอก

สะท้อนภาพในโรงเตี๊ยมตอนนี้

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้นนิ่งๆ

ภายในโรงเตี๊ยมวางโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมหกตัว สองฝั่งสามแถว ตั่งยาวยี่สิบสี่ตัว เสียงคนดังเจี๊ยวจ๊าว

บนโต๊ะหกตัววางอาหารไว้เต็มไปหมด หม้อเดือด ในนั้นต้มเนื้อสีแดงกลิ้งไปมา แขกยุทธภพที่วางดาบและกระบี่ไว้ติดตัวไม่ห่างมือมีราวสี่ห้าสิบคน ส่วนไม้พลองและหอกที่พกพาลำบากพวกนั้น บางคนห่อผ้า บางคนไม่ พิงไว้ข้างกำแพงไม่ไกลกันหมด

ข้างโต๊ะต้อนรับมีบุรุษผอมสูงงัวเงียจะหลับยืนอยู่ ใบหน้าเว้าลงไป กระบอกตาดำ เขาเอาสองมือประสานกันวางไว้บนด้ามไม้พลองเรียวยาว คางวางบนหลังมือ โคลงเคลงจะล้มลงเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก ปลายไม้พลองต่อกับคราดฟันตะปู ไม่มีตะปูกลับด้าน ยัดผ้าเก่าไว้เต็มไปหมดด้วยความหลักแหลม จะได้สะดวกในการถูพื้น พร้อมทำความสะอาดโรงเตี๊ยมตลอดเวลา

หนิงอี้ถอนหายใจเงียบๆ ความคิดไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายโรงเตี๊ยมนี้ทำไปก็ไม่สะอาด บนพื้นยังเห็นคราบน้ำสีแดงเลือดจางๆ เลี้ยวลดคดเคี้ยว สุดทางไปอยู่ที่คนนั้นที่พิงไม้พลองจะหลับ

องค์ชายรองจัดสถานที่พบกันที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้

ส่วนสิ่งที่เดือดพล่านในอากาศไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นหอมของหม้อไฟหรือไม่…เพียงแต่กลิ่นนี้ชวนอาเจียนจริงๆ ยากจะบอกว่ามีคนดวงซวยเพิ่งถูกโยนลงไปในหม้อไฟบนโต๊ะหรือไม่

โรงเตี๊ยมที่เดิมทีคึกคัก ตอนนี้เงียบลงทันที

เด็กสาวที่เก็บร่มกระดาษมัน หุบใบร่ม การกระทำเบามือ เคาะบนธรณีประตูโรงเตี๊ยมเบาๆ ทำให้น้ำฝนไหลผ่านใบร่มลงมา

โต๊ะหกตัว สี่สิบห้าดวงตามองคนรุ่นเยาว์สองคนที่เพิ่งเข้าโรงเตี๊ยมมาด้วยแววตาเฉยชา

เด็กสาวยังคงใจจดจ่อกับการเคาะใบร่ม นางไม่กลัวแววตาที่มองหน้านางเป็นส่วนใหญ่พวกนั้น

หนิงอี้เดินมาข้างโต๊ะยาวต้อนรับ เอานิ้วเคาะโต๊ะด้วยรอยยิ้ม

บุรุษผอมสูงที่กำลังสัปหงกพลันตื่นขึ้น เขาลืมตา ความขุ่นมัวอยู่ในดวงตาสองข้าง ไม่รู้ว่ามองเห็นหรือไม่

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา หนิงอี้หันหลังให้โต๊ะหกตัวข้างหลัง ยกแขนขึ้นเล็กน้อย นิ้วกลางของเขาผูกกับเชือกสีแดง ในนั้นผูกกับป้ายคำสั่งยาวดอกบัวแดนบูรพานั้นในแขนเสื้อ ตอนนี้เผยออกมาส่วนเล็กๆ

เขาพูดเสียงเบา “พบปะพรุ่งนี้ ค้างคืนนี้”

บุรุษผอมสูงมีแววตาเฉยชา ได้ยินเสียงหนิงอี้ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง รีบขานรับด้วยรอยยิ้ม “ขอรับๆ พบปะพรุ่งนี้ ค้างคืนนี้”

หนิงอี้ขมวดคิ้ว

เขาถามเสียงเบา “กี่ห้อง”

บุรุษผอมสูงตอบเบาๆ “อักษรฟ้าสามห้อง อักษรดินสิบห้อง ทั้งหมดสิบสามห้อง”

หนิงอี้ยิ้ม “ข้าเอาสองห้อง”

บุรุษผอมสูงส่ายหน้า “ไม่มีเลยสักห้อง”

หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองชั้นสองที่เชื่อมกับบันไดเก่า เขาพูดงึมงำ “ตรงนั้นคนเต็มแล้วรึ”

บุรุษผอมสูงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

หนิงอี้ถอนหายใจ เขาถามด้วยน้ำเสียงเสียดายอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นแขกของใคร”

บุรุษผอมสูงพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า พูดเสียงเบา “ในแดนบูรพามีคนมากมายต้องการโอกาสนี้ คุณชายน้ำค้างหานเยวียต้องการคนอัจฉริยะ คนที่มาที่นี่ในคืนนี้อยากจะลองดูกันทั้งนั้น ดังนั้นท่านเป็นแขกของใครไม่สำคัญ หากท่านมีความสามารถ เช่นนั้นนับจากคืนนี้ก็จะเป็นแขกของแดนบูรพา”

หนิงอี้เงียบอยู่ชั่วครู่ “ดังนั้นข้าจะพักได้อย่างไร”

บุรุษผอมสูงยิ้ม “ท่านลูกค้า หากท่านมีความสามารถก็ไปลองเคาะห้องที่ชั้นสองดู ดูว่ามีใครยินดียกตำแหน่งให้ท่านหรือไม่ แต่ขอให้พูดคุยกันดีๆ ไม่ว่าจะมีความสามารถมากกว่านี้ ขอแนะนำว่าท่านอย่าล่วงเกินแขกในห้องอักษรฟ้า ที่นั่นเป็นคนใหญ่โตที่มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาจริงๆ”

หนิงอี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาเป็นคนใหญ่โตจริงๆ หากข้าไม่มีความสามารถล่ะ”

บุรุษผอมสูงยังคงไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ถึงตอนนี้ น้ำเสียงเขาเย็นขึ้นทีละนิด

“ท่านเลือกยืนค้างแรมในชั้นหนึ่งได้ บางที…”

เขาชี้ไปที่หม้อไฟนั้นบนโต๊ะ ก่อนพูดเสียงเบา “บางทีการค้างแรมในหม้อไฟก็อาจจะหลับสบาย”

หนิงอี้ยังคงยิ้ม

เด็กสาวที่กำลังเคาะร่มตรงปากประตูโรงเตี๊ยมถอนหายใจยาวเบาๆ “ข้าก็บอกแล้ว เจ้านั่นไม่ใช่คนดี แดนบูรพาไม่มีคนดีสักคน”

เมื่อเอ่ยจบ แขกยุทธภาพที่นั่งเต็มโต๊ะในโรงเตี๊ยม คนร่างกำยำพลันหน้ามืดลง ต่างมองไปที่เด็กสาวผอมเล็กกันเป็นตาเดียว เด็กสาวกางสองแขนด้วยความเมื่อยล้าเล็กน้อย พูดเบาๆ “ฝนตกหนักแล้ว” ก่อนจะปิดประตูไม้ดังแอ๊ด

แสงไฟตะเกียงวูบไหว กลับมาสงบนิ่ง

ทัศนวิสัยในโรงเตี๊ยมไม่ดี

ครั้งนี้หนิงอี้นำป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพาออกมาทั้งหมด แกว่งตรงหน้าบุรุษผอมแห้งรอบหนึ่ง อีกฝ่ายก็ยังมีใบหน้าราบเรียบ

หนิงอี้เก็บป้ายคำสั่งยาว ถอนหายใจ ใจนึกเจ้านี่อาจจะตาบอดจริงๆ

หลังเอ่ยพวกนี้จบ บุรุษก็กลับไปสัปหงกจะหลับอีกครั้ง เกาะไม้พลองศีรษะส่ายไปมา ก้มหัวเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก สายน้ำเล็กไหลจากมุมปาก ทำหน้าเหมือนคนปัญญาอ่อน

หนิงอี้หมุนตัวกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยิ้มให้กับกลุ่มคนที่เงียบสงัดในโรงเตี๊ยม “ทุกท่าน ข้าไม่อยากสร้างปัญหากับทุกท่าน ขยับโต๊ะ ให้เก้าอี้ข้าตัวหนึ่ง ผ่านคืนนี้ไปเช่นนี้ ว่าอย่างไร”

หนิงอี้พลันเอียงศีรษะ

เสี่ยวเอ้อร์ของร้านพลันลืมตาขึ้น บนโต๊ะต้อนรับวางสุราเก่ากองรวมกัน ตัวไหเก่าใบหนึ่งพลันแตกกระจาย น้ำสุราสาดใส่ตัวเขา

ดาบยาวแทงไหสุราแตก ตัวดาบตอกกับผนัง ส่งเสียงดังชิ้งๆ

บุรุษผอมสูงพูดด้วยใบหน้าเฉยชา “สุราหนึ่งไห สิบทองแดง”

บุรุษคนนั้นที่ปาดาบยาว ดึงมือนั้นที่ปาดาบกลับไป เอนไปข้างหลังเล็กน้อย พูดหัวเราะด้วยน้ำเสียงสบายใจ “กลับจากที่ราบสูงแดนอุดร ข้าจะให้เจ้ายี่สิบทองแดง”

บุรุษผอมสูงไม่มีรอยยิ้ม เขาลูบเส้นผม ถอนหายใจเบา “กฎของแดนบูรพายังคงเดิมมาตลอด…จ่ายเงินก่อน รับของทีหลัง ท่านหมายความว่าตอนนี้ไม่มีเงินรึ”

หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง ตบบนโต๊ะเบาๆ ปล่อยมือออกก็เป็นตำลึงเงินสีขาว

หนิงอี้หัวเราะเบาๆ “ข้าให้เจ้าสิบตำลึง”

บุรุษผอมสูงตกใจเล็กน้อย แม้เขาจะตาบอด แต่ก็รู้สึกแปลกไปเล็กน้อย

ครั้งสุดท้ายหนิงอี้พูดด้วยความอารมณ์ดีอย่างยิ่ง “ทุกคนที่นี่ ขอแค่ยินดีออกไป ทุกคนจะมีสิบตำลึงเงิน”

เขานำธนบัตรเงินปึกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พูดด้วยรอยยิ้ม “ให้พวกเจ้าคิดสิบลมหายใจ”

เผยฝานพิงประตูโรงเตี๊ยม นางกอดร่มกระดาษมัน หลังชิดประตูไม้ รู้สึกถึงพายุฝนโคลงเคลงข้างนอก มองสีหน้ากลุ่มคนในโรงเตี๊ยม พร้อมจะเปิดประตูทุกเมื่อ ให้คนที่ไม่รู้จักวางตัวพวกนี้ออกไป จะได้ไม่กลายเป็นสุนัขเสียบ้าน หรือสุนัขเสียชีวิต

คนพวกนั้นในโรงเตี๊ยมมีสีหน้าดีใจและโกรธต่างกัน แต่ในดวงตามีประกายขยับไหวบางๆ

พวกเขาเดินในยุทธภพมาหลายปี ส่วนใหญ่ไม่เคยพบหน้ากัน บ้างรู้จักกัน ร่วมโต๊ะเดียวกัน ก็ได้สืบข่าวจากแดนบูรพามาก่อนแล้ว จึงรีบมาเมืองหลวงเพื่อมา ‘งานเลี้ยงหงเหมิน’ ในคืนนี้ ทุกคนรู้กลอุบายของคุณชายน้ำค้างหานเยวีย เหี้ยมโหดอำมหิตก็เรื่องหนึ่ง แต่มีฐานะสูงส่ง ให้คำสัญญาไว้ไม่เคยคืนคำ

หลังจากคืนนี้ไป หากได้ติดตามองค์ชายรองไปที่ราบสูงแดนอุดร ในอันตรายมีโชคอยู่ ขอแค่มีชีวิตกลับมาแดนบูรพา ครึ่งชีวิตจากนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม นี่คือโอกาสใหญ่ที่จะเป็นปลากระโดดข้ามประตูมังกร

ตอนนี้ ดูท่าแล้ว คนหนุ่มที่แบกฝักกระบี่หนักคนนั้น เหมือนคุณชายที่กำเนิดและเติบโตในเมืองหลวง และยังพาหญิงรับใช้มาด้วยอีก น้ำเสียงดูถูก ทว่าแม้แต่ชั้นสองยังไปไม่ได้ นี่จะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของแดนบูรพาได้อย่างไร

ไม่เปิดเผยทรัพย์สินติดตัว เทียบกับสิบตำลึงแล้ว พวกเขาอยากได้พันตำลึงมากกว่า หรืออาจจะมากกว่านั้น

คุณชายที่มีท่าทีดูถูกกันคนก่อน กำลังต้มอยู่ในหม้อไฟ…ศพยังอุ่นๆ อยู่เลย

สิบลมหายใจ ผ่านไปเร็วมาก

หนิงอี้นับถึงหนึ่งเงียบๆ

เขาเก็บธนบัตรเงินนั้นกลับไป ก่อนพูดเสียงเบา “ครบเวลาแล้ว ดูท่าคงจะไม่สนใจกัน”

เขาหลังชิดกับโต๊ะต้อนรับ ปลด ‘ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า’ นั้นออกมาจากข้างหลัง กดลงพื้นช้าๆ บิดข้อมือเล็กน้อย เกิดเสียงถั่วระเบิดเปาะแปะมาจากในตัว

เสี่ยวเอ้อร์พลันเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าสงสัย

“ถึงจะให้เวลาทุกท่านอีก ผลลัพธ์ก็คงไม่เปลี่ยนแปลง…” หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม

“ทุกท่านอยากจะตามหลี่ไป๋จิงไปแดนอุดรให้ได้ ส่วนตอนนี้…คิดจะอาศัยน้ำลึกของยุทธภพทำให้มังกรน้ำจมน้ำตาย ให้ ‘เทพนาจา’ แห่งแดนบูรพาได้เห็นศักยภาพของพวกเจ้ารึ”

……………………………..

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Score 10
Status: Completed
ขลุ่ยกระดูกธรรมดาที่เด็กหนุ่มครอบครอง กลับเป็นยอดสมบัติที่จะทำให้เขากลายเป็นเชียนกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า หนิงอี้' เด็กหนุ่มยากจนจากเทือกเขาประจิมลอบเข้าไปปลันสุสานใต้ดินกับน้องสาว 'เผยฝาน' โชคดีเก็บ 'ไข่มุกตะวันคร้าน' สมบัติที่ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักใหญ่ตามหาได้ แต่เขาดันทำมันแตก! ซ้ำยังสลบไปจนน้องสาวต้องลากออกมา แม้จะรอดชีวิตจากสุสานใต้ดินมาได้ แต่กลับต้องมาถูกปีศาจแมงมุมตามล่า เพราะมันเข้าใจว่าไข่มุกตะวันคร้านอยู่ที่เขา หนิงอี้ไม่กลัว ถ้ำเกิดอะไรขึ้นเขายังมี 'ขลุ่ยกระดูก' ที่แม้ภายนอกจะดูเหมือนขลุ่ยใบไม้ธรรมดา ทว่าคมจนตัดเหล็กกล้ำได้ แต่หนิงอี้ไม่ทันได้ควักขลุ่ยกระดูกออกมาใช้ก็มีคนมาช่วยพวกเขาไว้เสียก่อน ผู้ใหม่คือ 'สวีจิ้ง ผู้บำเพ็ญอันดับ 3 แห่งต้สุยที่ถูกหลายสำนักหมายหัว และการได้พบกับสวีจั้งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของหนิงอี้เปลี่ยนไป ประตูสู่โลกของผู้บำเพ็ญที่เขาไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปได้เปิดออก ขลุ่ยกระดูกธรรมดาๆ ที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดกลับกลายเป็นยอดสมบัติ! ทั้งยังมีความลับเบื้องหลังชาติกำเนิดที่รอวันเปิดเผย เส้นทางสู่การอยู่เหนือคนทั้งใต้หล้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

Options

not work with dark mode
Reset