ตอนที่ 6 ฝนสังหาร
หนิงอี้ไม่ได้ร่วมพิธีศพของสวีจั้ง
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เขากางร่ม เดินกับเผยฝานเลียบไปตามถนนภูเขาฝั่งตรงข้าม ออกจากเขาน้ำค้างเล็กไปอีกเส้นทางหนึ่ง
หนิงอี้รู้ดีว่าพิธีศพในครั้งนี้ไม่ใช่พิธีศพเลย
เขาได้ยินเสียงหัวเราะของบางคนมาจากทางนั้น
คนหนึ่งคนตายไปก็ยังฝากอะไรเอาไว้ในโลกนี้บ้าง หากเป็นนักกระบี่ อาจจะฝากกระบี่ที่ตนรักมากที่สุด หากเป็นบัณฑิต อาจจะฝากตำราบางส่วนไว้…ต่อให้เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย ก็ยังฝากร่องรอยที่ตนเคยเดินเอาไว้
สวีจั้งเกิดมาในโลกนี้ เขาไม่ได้ฝากไว้แค่กระบี่
มีคนรังเกียจ มีคนรัก นี่เป็นมรดกของอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่ง…อาจจะฝากเอาไว้หลายปีก็ยังไม่เสื่อมสลายไป นี่ต่างหากเป็นของที่มนุษย์ฝากไว้ในโลกนี้ ความทรงจำ มีคนจำเขาได้ เช่นนั้นต่อให้เขาตายไป…ก็ยังถือว่าได้เกิดใหม่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
นี่เป็นคำพูดของท่านพันกร ถือเป็นการปลอบใจ
หนิงอี้จดจำไว้ แต่ไม่คิดเช่นนั้น ในใจเขา สวีจั้งให้ตนกอดพินิจเหมันต์ไปบุกเขาอนันต์เล็กในคืนนั้น บุรุษคนนั้นฝากจิตใจที่ไม่อาจลบล้างได้บางอย่าง คนที่ร่วมงานศพนี้มองไม่เห็น ศิษย์พี่หญิงพันกรก็มองไม่เห็น ฉีซิ่วกับเวินเทาก็มองไม่เห็น…ต่อให้เป็นเด็กสาวที่ใกล้ชิดที่สุดข้างตนก็มองไม่เห็นเช่นกัน
นี่เป็นสิ่งที่สวีจั้งให้ตนเห็น
หนิงอี้ไม่ไปร่วมพิธีศพของสวีจั้ง เพราะเขาคิดว่าสวีจั้งไม่ได้ตาย
แค่เห็นบุรุษที่นอนหน้าซีดขาวในโลงไม้ ก็ยิ่งมั่นใจในจุดนี้
หนิงอี้กลัวว่าตนจะสงสัย
เขากลัวว่าตนจะสั่นคลอน…ดังนั้นเขาจึงไม่มอง ไม่ฟัง ไม่คิด
เด็กสาวเงียบมากไม่พูดเลย นางอยู่ข้างกายหนิงอี้ เบียดอยู่ใต้ร่ม รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของหนิงอี้ปกติมาก วันนี้เป็นพิธีศพของสวีจั้ง ผู้บำเพ็ญของเขาสู่ซานย่อมเศร้าเสียใจอยู่บ้าง หนึ่งปีมานี้ โลงศพของสวีจั้งกับคุณชายเจ้าหรุยถูกผนึกอยู่บนเขาน้ำค้างเล็ก ความจริงเผยฝานก็เคยคิดจะร่วมงานศพนี้…แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ นางพลันรู้สึกว่าหนิงอี้เลือกถูกต้องมาก
แต่หนิงอี้ซ่อนความเสียใจไว้ได้ดีมาก เขาเดินช้ามาก ไผ่น้ำค้างทั้งสองข้างถนนบนภูเขาพลิ้วไหว น้ำฝนเปียกชื้นถนน ถนนลื่นมาก เดินลำบาก หนิงอี้ไม่มองไผ่ภูเขาทั้งสองข้าง เขามองตรงไปข้างหน้า ไม่มองอะไร ไม่ฟังอะไร…ในมุมมองของเผยฝาน ก็เหมือนเด็กปัญญาอ่อนที่มีจิตใจเหม่อลอย
เดินหน้าไปเช่นนี้
เผยฝานขมวดคิ้ว มองดวงตาหนิงอี้ค่อยๆ เปล่งประกาย นางรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงดาราฟ้าดินรอบๆ…เหมือนกำลังร้องเรียกอะไรบางอย่างอย่างร้อนใจ
นางเห็นขลุ่ยกระดูกที่ห้อยตรงอกหนิงอี้ กำลังสั่นไหวเบาๆ ผ่านอาภรณ์
หนิงอี้พาเผยฝานมาถึงทางเข้าหุบเขาแห่งหนึ่ง ส่วนลึกของเขาสู่ซานเหมือนถูกตัดออก แบ่งทั้งภูเขาเป็นสองส่วน หลังเส้นขอบฟ้า สายลมหนาวเงียบสงัดพัดมา
ทั้งสองคนยืนกางร่มกันฝนอยู่ตรงทางเข้า ร่มกันฝนกลายเป็นภาระ ฝนที่ตกหนักถูกตัวภูเขาหนาใหญ่ขวางไว้ แต่ลมแรงมาก พัดมาจากเส้นขอบฟ้านั้นอย่างรุนแรง ชุดคลุมของเผยฝานถูกพัดจนพองไปข้างหลัง
ยันต์ลอยฟ้าแผ่นหนึ่งแกว่งไกวตามสายลม ดูอ่อนแอจนลมพัดปลิว
นางเหมือนจะเข้าใจหน่อยๆ ว่าเหตุใดช่วงนี้จิตใจของหนิงอี้ถึงไม่สงบ ออกไปนอกเขาน้ำค้างเล็กกลางดึก
เด็กหนุ่มริมฝีปากแห้งเลิกคิ้วขึ้น อยากจะยื่นมือหนึ่งไปสัมผัสยันต์คำสั่งนั้น
จากนั้นพลันตั้งสติกลับมาได้
หนิงอี้เหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ กำด้ามร่มแน่น ทะเลวิญญาณกลับมาสงบนิ่ง มองเผยฝานที่สับสนและงุนงงข้างกายตน ทุกภาพตั้งแต่ออกจากเขาน้ำค้างเล็กจนมาถึงที่นี่ลอยขึ้นมาเหมือนมารเข้าสิง
เผยฝานมองเขาพลางถามทีละคำ “นี่คือ หลังภูเขารึ”
หนิงอี้มีเหงื่อเย็นๆ ซึมมาจากหน้าผาก เขานึกไปถึงการกระทำหลังจากที่ตนรับร่มมา ก็เหมือนท่องในความฝัน ขลุ่ยกระดูกกำลังเรียกตนมาที่นี่
ทุกวันเป็นเช่นนี้
ทุกวันตนจะมาถึงหลังภูเขาโดยไม่รู้ตัว ความจริงนี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
ตอนที่หนิงอี้จะสัมผัสยันต์คำสั่งนั้น ทะเลวิญญาณจะกลับมาสงบนิ่ง ให้สิทธิ์ตนเลือกเอง
หนิงอี้สูดหายใจเข้าลึก
เขามองเผยฝาน ไม่ได้เลือกปิดบัง แต่พูดอย่างจริงจัง
“นี่คือหลังภูเขา”
“ข้าอยากเข้าไป”
……
ภายในสำนักเขาสู่ซาน วันนี้คึกคักมาก
คนส่วนใหญ่มารวมกันที่เขาน้ำค้างเล็ก โลงศพของสวีจั้งถูกเปิดออก พวกเขารวมกันหน้าโลงนั้นนานมาก ทั้งวันเป็น ‘พิธีศพ’ ที่ว่าของเขาสู่ซาน วันนี้โลงไม้เปิดออก แขกมาเยี่ยมเยือน เขาสู่ซานพิสูจน์ต่อผู้บำเพ็ญและขุมอำนาจเบื้องหลังทั้งหมดที่สงสัยว่าสวีจั้งอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน…ตายแล้ว
ยักษ์ดาราที่รวมขึ้นจากความคิดพันกรนั่งขัดสมาธิข้างโลงสีดำ รับการลงทัณฑ์จากป้ายคำสั่งของคุณชายเจ้าหรุยเงียบๆ ต้านอำนาจคุกคามสายฟ้า มือข้างหนึ่งจับโลงไม้ของสวีจั้งกันคนออกมือทำลาย
สตรีชุดคลุมดำจากสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวตาแดงก่ำ เดินเข้ามาวางดอกไม้ขาวขนาดเล็กช่อหนึ่งเงียบๆ จากนั้นจากไปโดยไม่หันกลับมา เขาน้ำค้างเล็กลมแรงมาก หลังสตรีคนนั้นจากไป พายุพัดดอกไม้ขาวหน้าโลงศพสวีจั้งกระจายเต็มฟ้า ดูไม่น่าเศร้า แต่มีกลิ่นอายสังหารเย็นยะเยือก
เจ้าลัทธิเฉินอี้ถอนหายใจเบา ออกจากกลุ่มคนเช่นกัน โจวโหยวไม่ได้ตามเขาไป แต่ยังคงยืนมองอย่างเคร่งขรึม หลังสตรีคนนั้นแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวจากไป เขาก็เป็นผู้เคร่งขรึมเพียงคนเดียว นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบส่วนใหญ่ฟังคำสั่งของเฉินอี้ อยู่ที่นี่ไว้อาลัยให้สวีจั้งที่จากไปแทนท่านเจ้าลัทธิ
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบสองคนตามหลังเฉินอี้ กางร่มดำประกบซ้ายขวา ออกจากม่านฝนมืดครึ้ม
“สวีจั้งแห่งเขาสู่ซาน เป็นคนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกเจ็บปวด”
เฉินอี้เดินใต้ร่ม เขาพูดเสียงเบา “คนเช่นนี้ไม่ควรตายไปเช่นนี้…ทว่าความจริงก็โหดร้ายแบบนี้ ทะเลวิญญาณกับกายเนื้อสูญสิ้นไปแล้ว ตายสนิทยิ่งกว่าคนตาย”
นัยน์ตาเฉินอี้มีประกายซับซ้อนเข้าใจยากอย่างหนึ่ง นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบที่ถือร่มสองคนไม่กล้าตอบ สามคนเดินออกจากเขาน้ำค้างเล็ก ตู้รถไม้ขาวกับผู้ติดตามรออยู่ข้างนอก
เจ้าลัทธิหนุ่มโบกมือ ก่อนพูดเสียงนุ่มนวล “ที่นี่คือเขตแดนเขาสู่ซาน เราเป็นแขก ไม่สะดวกจะออกเดินทางเช่นนี้…ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย”
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบถือร่มสองคนมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย มองหน้ากัน ต่างเห็นถึงความคิดกันและกัน
คนหนึ่งจึงพูดเสียงเบาและเด็ดขาด “ท่านเจ้าลัทธิ…นี่เป็นการฝ่าฝืนกฎ”
เฉินอี้รู้อยู่แล้วว่าต้องมีคำพูดเช่นนี้ เขายิ้มอ่อนโยน “กฎเป็นสิ่งที่คนกำหนดขึ้น ข้านั่งรถม้ามาจนเมื่อยไปหมด อยากจะไปเดินเล่นบ้าง…หรือว่าจะไม่ได้กัน”
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบตอบอย่างระมัดระวัง “ท่านเจ้าลัทธิอยากเดินเล่น น่าจะรอพวกเรามากันครบก่อน จากนั้นติดตามคุ้มกัน ขอแค่ท่านเจ้าลัทธิอยากไป…ไม่ว่าที่ใดในใต้ฟ้าต้าสุยก็จะไปได้”
เฉินอี้มองใบหน้างดงามละเอียดอ่อนนั้นในชุดคลุมหยาบ คนที่ถือร่มให้ตนเป็นสตรีสาวงดงาม มองอายุกับรูปร่างในชุดคลุมหยาบไม่ออก แค่รู้สึกว่าใต้ร่างนั้นซ่อนจิตวิญญาณที่เหมือนกันไว้
เขาถอนหายใจเบา “ท่านพันกรแห่งเขาสู่ซานเป็นผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งด้านประสาทสัมผัสในใต้ฟ้าต้าสุย…ตอนนี้เป็นพิธีศพสวีจั้ง ยอดฝีมือในสี่ทิศมีมากมาย ใครจะพ้นจากสายตาท่านพันกรได้ ใครจะกล้าเสี่ยงตรงนี้”
แม่นางคนนั้นในชุดคลุมหยาบเอ่ยเสียงเบา “ท่านเจ้าลัทธิ เพื่อความปลอดภัย ท่านโปรดรอสักครู่…ข้าจะไปเรียกคุณชายโจวโหยวมาเดี๋ยวนี้”
เฉินอี้พยักหน้า นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบคนนั้นถือร่มรีบจากไป รถม้าไม้ขาวที่รออยู่ข้างนอก ม้างามสีขาวบริสุทธิ์ทำเสียงขึ้นจมูก กระทืบเท้าอย่างรำคาญ
“ไปเถอะ”
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบอีกคนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เขามองเฉินอี้ ได้ยินท่านเจ้าลัทธิพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “นี่เป็นคำสั่งของข้า”
เฉินอี้เดินออกจากร่มกันฝน ใช้มือถือชุดคลุมขาว ย่ำหลุมน้ำเล็ก นักพรตเต๋าที่เหม่อไปชั่วครู่รีบถือร่มตามมา กันท่านเจ้าลัทธิผู้สูงศักดิ์เปียกฝนพลางพูดอย่างร้อนใจ “ท่านเจ้าลัทธิ…ท่านโปรดรอสักครู่…ท่านโปรด…หยุดก่อน”
เฉินอี้เลิกคิ้วขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาพูดเสียงเย็นชาเล็กน้อย “คุณชายโจวโหยวละทิ้งการบำเพ็ญ ออกเดินทางมากับข้า ไม่ใช่ข้ารับใช้ของข้า แต่อยากมาร่วมพิธีศพนี้…อย่ารบกวนคุณชายโจวโหยวเลย ข้าแค่อยากออกไปเดินเล่นหน่อย อีกอย่าง อย่ามาพูดเรื่องกฎกับข้า ข้าไม่ชอบคำพูดเช่นนี้”
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบคนนั้นกัดฟัน ก่อนจะกลืนคำว่ากฎในปากกลับไป
“ทะเลวิญญาณของพันกรปกคลุมเขาสู่ซาน ที่นี่ปลอดภัยมาก…ข้าแค่อยากดูทิวทัศน์ของที่นี่หน่อย” เฉินอี้พูดจาเย็นชาเมื่อครู่นี้ก็เพื่อสยบนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบ เขาพูดเสียงนุ่มนวลขึ้น “ไม่ต้องกังวล ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
เฉินอี้มองหมอกบนเขาสู่ซาน เค้าโครงภูเขาผลุบๆ โผล่ๆ นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบข้างกายเขาถือร่มอย่างระมัดระวัง เปียกปอนไปทั้งตัว ไม่กล้าให้เฉินอี้เปียกฝนแม้แต่น้อย ท่านเจ้าลัทธิก้าวเร็วมาก ดูอยากจะเห็นทิวทัศน์เขาสู่ซานจริงๆ
ต้องบอกว่า…แดนศักดิ์สิทธิ์พันปีนี้ เป็นสถานที่ที่งดงามยิ่งจริงๆ
ฝนภูเขาสั่นไหวตามแรงลม ผู้คนน้อย มีเสียงนกร้องดังขึ้นเป็นบางครั้ง เย็นยะเยือกและเงียบ ไม่รบกวนโลกมนุษย์
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบพลันอึ้งไป เขารู้สึกว่าฝนเบาลง…แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เขาเพ่งมองไปที่ตัวท่านเจ้าลัทธิตลอด รีบร้อนถือร่มมาตลอดทาง จนถึงตอนนี้ถึงรู้ตัวว่าที่แท้ข้างหน้าเป็นภูเขาสูงใหญ่ขวางไว้
บังฝนทั้งหมด
ไกลออกไปจะเห็นเป็นเค้าโครงตัวภูเขา ถูกตัดแบ่งเป็นสองส่วน เหมือนเกิดจากธรรมชาติ น่าเหลือเชื่อ
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบพึมพำ “นี่คือ…หลังภูเขาสู่ซานรึ”
เฉินอี้ยิ้ม เขาได้ยินเสียงแปลกหูและเลือนราง
“ใช่”
เสียงนั้นมีความเย็นเยือกเสี้ยวหนึ่ง เฉยชาและไร้ความรู้สึก ซ่อนอยู่กลางหมอกข้างหลังเขา
เจ้าลัทธิหนุ่มหันไปมองด้วยความสับสน เห็นเงาหนึ่งพุ่งเข้ามา ชั่วพริบตาที่นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบตั้งตัวไม่ทัน ก็ถูกฉีกชุดคลุมหยาบขาดทั้งตัว
ไม่มีเสียงร้องใด ไม่มีเสียงกรีดร้องหรือเสียงตะโกน
เงาของหุบเขาปกคลุม ร่มกันฝนที่ไม่ได้ใช้กันฝนนั้นตกลงพื้น
เฉินอี้สังเกตเห็นเงาที่ก้าวออกมาจากหมอกนั้น กระแทกนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบลงกับพื้น ไม่มีเสียงใดๆ แล้ว
เจ้าลัทธิหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ความตื่นตระหนกและสงสัยในความคิด ตอนนี้ถูกโยนไว้ข้างหลัง
เขามีสีหน้าจริงจัง ถามทีละคำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
เงานั้นที่ก้าวมาจากหมอกหัวเราะ ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ย่อมรู้…ท่านเจ้าลัทธิที่ข้าเคารพ”
………………………