ตอนที่ 311 หิมะตกหนักใต้หล้า (1)
“ศิษย์น้อง”
วิหารผู้คุมกฎตำหนักทะเลสาบกระบี่ หลิ่วสือที่เพลิงมรรคลุกไหม้ทั้งตัวเดินมาหน้าสวีไหล
เนื่องจากสัมผัสถึงกระบี่ยอดเหมันต์ ชีวิตนิรันดร์ในมือสวีไหลจึงสั่นไม่หยุด บุรุษชุดดำเผยแววตาซับซ้อน เพ่งมองศิษย์พี่ในชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้มที่สูงกว่าตนช่วงหนึ่ง
หลิ่วสือวางมือซ้ายบนบ่าสวีไหล
สวีไหลไม่ขัดขืนอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลิ่วสือยกมือขวาขึ้น กระบี่ยอดเหมันต์ลอยขึ้น
“ระหว่างทะเลตะวันตกกับทะเลสาบกระบี่ไม่มีความขัดแย้งใดที่จบกันไม่ได้…เจ้ากับข้าก็เช่นกัน”
บุรุษชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้มเผยแววตาอ่อนโยน มองไปที่ร่างกระบี่จากพายุหิมะนั้น
ยอดเหมันต์
หลิ่วสือเอ่ยเสียงเบา “ให้มันกลับฝักเถอะ ข้าจะไม่แย่งชิงกระบี่ยอดเหมันต์แล้ว หากเจ้าอยากได้ก็เอาไป…แม้แต่ตำแหน่งเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่นี่ ข้าก็ให้เจ้าได้”
เมื่อเอ่ยจบ
แววตาคนคลั่งกระบี่ชุดขาวเปลี่ยนไป เขาร้องตกใจออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “อาจารย์!”
ไม่ใช่แค่หลิ่วสืออี หนิงอี้ เผยฝานไปจนถึงราชันดาราพันกรก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ตำหนักทะเลสาบกระบี่เป็นสิบเขาศักดิ์สิทธิ์ต้าสุย หลิ่วสือกลับโยนตำแหน่งเจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ให้คนอื่นไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ
แววตาของพันกรซับซ้อนเล็กน้อย
ความจริงกระบี่ยอดเหมันต์หมายถึงตำแหน่งเจ้าทะเลสาบกระบี่อยู่แล้ว หลิ่วสือยอมยกกระบี่ยอดเหมันต์ย่อมหมายความว่าเขายินดียกตำแหน่งเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ให้…บุรุษชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้มคนนั้น ตอนนี้จุดเพลิงนิพพานแล้ว ชีวิตคนขึ้นๆ ลงๆ ลงทีก็หลายสิบปี ในที่สุดผู้ครองยอดเหมันต์แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็ทำการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิต
มอบกระบี่
ตอนนั้นที่หลังเขาสู่ซาน หลิ่วสือมาร่วมพิธีศพของสวีจั้ง หลังจากทุกคนกลับ เขาก็ไปหาพันกร…สองคนพูดคุยกันลับๆ ระหว่างนั้นหลิ่วสือได้ถามตรงๆ ในสิ่งที่ไม่ควรถาม นั่นคือเขาตั้งใจว่าอีกไม่นานจะเลือกทะลวงขอบเขตนิพพานที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด บุตรศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็คือหลิ่วสืออี หลังจากหลิ่วสือปิดด่านบำเพ็ญนิพพานก็จะแต่งตั้งให้หลิ่วสืออีเป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่น้อย ส่วนผู้อาวุโสใหญ่หยวนฝูอินรับตำแหน่งเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่แทน มีอำนาจของเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ทุกอย่าง
คำพูดของหลิ่วสือกับพันกรคือคำพูดของยอดผู้บำเพ็ญสองคน และหมายถึงสองขุมอำนาจที่แกร่งที่สุดในแดนประจิม
หลิ่วสือปิดด่านบำเพ็ญในตำหนักทะเลสาบกระบี่เป็นประจำ แต่ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้น เห็นชัดเจน เข้าใจแจ่มแจ้ง ใจคนเป็นอย่างไรเขาย่อมรู้ดี…เขาอยากให้พันกรช่วยดูแลศิษย์ของเขาเล็กน้อย หากเป็นไปได้ก็รับไปฝึกที่เขาสู่ซานจะดีที่สุด ผู้อาวุโสใหญ่คนนั้นเป็นคนรุ่นเดียวกับอาจารย์เขา ต้องไว้หน้าจึงกำจัดไม่ได้ แต่ก็หวังตำแหน่งเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่มานาน ไม่ช้าก็เร็วจะเป็นภัย
หลิ่วสือเป็นคนใจอ่อน
ด้วยความต่างของรุ่น เขายังต้องเรียกผู้อาวุโสใหญ่หยวนฝูอินว่าอาจารย์ลุง
จิตใจหยวนฝูอินลึกดุจมหาสมุทร ศิษย์ของตนก็ดันเป็นคนคลั่งกระบี่ที่สนใจแต่วิถีกระบี่…คำว่าอุบายสองคำนี้ หากไม่มีศักยภาพควบคุมก็จะใช้ไม่ได้ อยู่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ไปจะเป็นภัยกับตัวเอง
พันกรเคยเสนอว่าแค่หลิ่วสือลงมือ นางก็จะลงมือแทนหลิ่วสือได้ ตอนที่หยวนฝูอินทรยศ แค่ฝ่ามือเดียวก็สังหารผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่คิดคดคนนี้ได้
แต่หลิ่วสือปฏิเสธเจตนาดีของพันกร ทั้งยังขอร้องอย่าให้พันกรทำเช่นนั้น
จากจุดนี้สามารถเห็นความใจดีของหลิ่วสือได้…
คนมีความใจดีสามส่วน
แต่ความใจดีของหลิ่วสือไม่ใช่สามส่วน แต่เหนือกว่านั้นมาก
เพราะใจดีเกินไป ดังนั้นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่คนก่อนถึงไม่ยอมยกตำแหน่งเจ้าตำหนักให้เขา
…….
หลิ่วสือมองไปที่หลิ่วสืออีที่กำลังตกใจ ก่อนใช้สายตาบอกให้หลิ่วสืออีนิ่งไว้
คนคลั่งกระบี่เงียบลง สองมือกำหมัดในแขนเสื้อเงียบๆ
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ สุดท้ายมองสวีไหล
“ว่าอย่างไร”
หลิ่วสือถามด้วยรอยยิ้ม
ทะเลสาบกระบี่ต้องการเจ้าตำหนักคนใหม่
คนนั้นจะเป็นหยวนฝูอินไม่ได้
และศิษย์น้องสวีไหลจากทะเลตะวันตกก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
สวีไหลยิ้ม “คนแซ่หลิ่ว ข้าเพิ่งรู้นะว่าที่แท้ข้าก็ติดกับของเจ้า…นี่กำลังทำตัวน่าสงสารอยู่รึ”
หลิ่วสือไม่ปฏิเสธ
“เมื่อก่อนข้าแค่อยากเป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ ข้าไม่ได้สนใจยอดเหมันต์นั่น…” สวีไหลชะงักไปก่อนจะพูดงึมงำเสียงแหบ แววตาซับซ้อนเข้าใจยาก “แต่ตอนนี้ข้าแค่ต้องการกระบี่นั่น ข้าไม่อยากได้ภาระที่มากับกระบี่นั่น ข้าอยากพิสูจน์ว่าข้าถูก เจ้าผิด…ตอนนี้ดูแล้วเหมือนเราจะผิด ถ้าอย่างนั้นยังจะมีอะไรน่าสนใจอีก”
สวีไหลเลิกคิ้วทรงกระบี่ขึ้น ก่อนพูดอย่างเย็นชา “เอาชีวิตนิรันดร์คืนไป!”
หลิ่วสือถูกพายุถาโถมจนลืมตาไม่ได้ เขาเอามือข้างหนึ่งบังหน้า
สวีไหลที่ชุดคลุมใหญ่พลิ้วไหวไปข้างหลังไม่หยุดแผ่คลื่นลมออกมาเป็นชั้นๆ ใต้เท้าแตกเป็นรอยใยแมงมุม
ในวิหารผู้คุมกฎตำหนักทะเลสาบกระบี่
พายุหิมะพัดมา
ไม่มีศึกตัดสินระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ว่านั้น
และไม่มีเหตุการณ์กระบี่แตกหัก
ท่ามกลางเสียงพายุหิมะร้องคร่ำครวญ…
สวีไหลสะบัดแขนเสื้อขึ้น ชีวิตนิรันดร์เล่มนั้นกลายเป็นเงาพุ่งออกไปเหมือนลูกธนู พุ่งเข้าไปกลางหิมะอย่างแรง
กลับฝัก
ส่งเสียงร้องดัง
ยอดเหมันต์กลับฝักลอยอยู่บนฟ้าเหนือวิหารผู้คุมกฎตำหนักทะเลสาบกระบี่ เหมือนดวงตะวันเยือกแข็ง เสาโบราณหลายสิบต้นปกคลุมด้วยน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ศิลาโบราณที่สลักคำว่า ‘ชีวิตนิรันดร์ใต้ฟ้า สี่ฤดูยอดเหมันต์’ ก็กลายเป็นสีขาวหิมะเช่นกัน
หลิ่วสือเผยแววตาซับซ้อน เขาถอยไปสองก้าว มองศิษย์น้องของเขา
สวีไหลพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าเจ้ายังไม่รับกระบี่อีก บางทีข้าอาจจะเปลี่ยนใจเอายอดเหมันต์ไปก็ได้ ข้าไม่อยากพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ใครจะสนใจตำหนักทะเลสาบกระบี่บ้านี่กัน”
หลิ่วสือยิ้มแห้งๆ
เขาพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลอีก ยื่นมือออกไปต่อหน้าทุกคน
มือนั้นจะคว้าด้ามกระบี่ยอดเหมันต์แล้ว ทว่าทันใดนั้นกลับมีเสียงปราณกระบี่แสบแก้วหูดังขึ้นกลางพายุหิมะบนฟ้าวิหารผู้คุมกฎ
เกิดเสียงดังฉึก
แก้มหลิ่วสือถูกเฉียดเป็นเลือดออกมาเบาบาง
เขาขมวดคิ้ว มองเงาที่พุ่งเข้ามาในอกตน
เงานั้นเร็วมากแทบจะมองเห็นไม่ชัด ไม่ใช่แค่หลิ่วสือที่ตั้งตัวไม่ทัน สวีไหลที่ยืนอยู่ก็ยังเห็นแค่หลิ่วสือหันหลังให้ตน ตัวหยุดนิ่งไปเล็กน้อย
แม้แต่พันกรที่ยืนอยู่ มีสัมผัสอันดับหนึ่งในใต้ฟ้ายังไม่รู้สึกถึง…พลังเคลื่อนย้ายที่เบาบางยิ่งบนฟ้าเหนือวิหารผู้คุมกฎ
วิหารผู้คุมกฎมีค่ายกลมากมาย คนที่ใช้ได้ทุกอย่างราวกับฝ่ามือคือผู้อาวุโสวิหารผู้คุมกฎซูชี แต่คนที่วางค่ายกลกระจายกัน ซึ่งมีค่ายกลเคลื่อนย้ายสามร้อยเจ็ดสิบเอ็ดค่ายกล รวมถึงค่ายกลลงทัณฑ์อีกหกร้อยเก้าสิบหกค่ายกล ก็คือผู้อาวุโสใหญ่
หยวนฝูอิน
ก่อนหน้านี้หยวนฝูอินซ่อนอยู่ในค่ายกลอำพรางของวิหารผู้คุมกฎตลอด มองทุกอย่างที่เกิดขึ้นเงียบๆ รอโอกาสออกโรงที่ดีที่สุด…ความจริงตอนที่เขารู้สึกว่าป้ายชีวิตของซูชีแตก ก็เดาได้แล้วว่าเจ้าภูเขาสู่ซานน้อยคนนี้จะมาตำหนักทะเลสาบกระบี่
ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่ด้วยความกระวนกระวายใจ
ถ้าบอกว่าตำหนักทะเลสาบกระบี่ยังมีอีกที่หนึ่งที่หลบสัมผัสของพันกรได้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นที่นี่
นั่นคือวิหารผู้คุมกฎที่ตนปรับแก้ด้วยตัวเอง
เขารอจนถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกโรง
ยอดเหมันต์กลับฝัก เดิมทีหยวนฝูอินคิดว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปีจะเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งสมบัติประจำตำหนักทะเลสาบกระบี่ สู้กันจนแตกพ่ายกันไปสองฝ่าย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องออกมือด้วยซ้ำ แค่นั่งรอรับผลประโยชน์…แต่ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายหลิ่วสือกับสวีไหลจะจบลงอย่างสันติ
ไม่เข้าใจเลย!
แขกจากวิมานเทพแซ่สวีคนนั้น ตนเฝ้าดูสวีไหลเติบใหญ่มากับตา ในกระดูกมีความดุร้ายที่ไม่ยอมก้มหัว ก่อนกลับมาจากทะเลตะวันตก เขาก็เคยติดต่อกับสวีไหล ตอนแรกคิดว่าสวีไหลกับตนจะเป็นคนประเภทเดียวกัน แสวงหารากฐานและทรัพยากรของตำหนักทะเลสาบกระบี่ รวมถึงชื่อเสียงโด่งดังที่มาพร้อมกับตำแหน่งเจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ทว่าสวีไหลกลับยกยอดเหมันต์ให้คนอื่นรึ
นี่ไม่เข้าใจยิ่งกว่า!
เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้ ก็ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้…
ยอดเหมันต์นั่นต้องไม่ใช่ของสวีไหล และไม่ใช่ของหลิ่วสือเด็ดขาด
แต่เป็นของเขาหยวนฝูอิน!
หลังได้ยอดเหมันต์ เขาก็จะเป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ เปิดค่ายกลทั้งหมดในตำหนักทะเลสาบกระบี่ได้ ให้เขาใช้งานได้
เจ้าภูเขาสู่ซานน้อยนั่นแกร่งเพียงใดก็ต้องถูกขังในแดนเทวายอดเหมันต์ ที่นั่นคือแดนต้องห้ามพันปีของตำหนักทะเลสาบกระบี่ ผนึกแสงดารา สำแดงวิชาใดไม่ได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าพันกรจะรอดไปได้!
หยวนฝูอินพ่นลมหายใจยาว
หลิ่วสือเอ่ยเสียงแหบ “อาจารย์…ลุง”
หยวนฝูอินเลิกคิ้วขึ้น มองใบหน้าหลิ่วสือที่ทั้งสับสนและเจ็บปวด
เขาเอ่ยด้วยเสียงเฉยชาเนิบๆ
“ศิษย์หลานรักของข้า ทุกอย่างจบแล้ว…”
แสงกระบี่โค้งสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายแขนเสื้อหยวนฝูอิน แทงที่หน้าอกหลิ่วสืออย่างไม่ลังเล
…..
บนพื้นวิหารผู้คุมกฎ
สวีไหลหรี่ตาลง
พันกรพลันหน้ามืดทะมึนลง
หลิ่วสือเผยแววตาสับสน หัวใจพลันเต้นตึกตัก
ชุดคลุมใหญ่เพลิงสีฟ้าเข้มลุกโชนหันหลังให้ทุกคน แสงกระบี่ของยอดเหมันต์นั้นสว่างมาก บดบังสายตาทุกคน
ชุดคลุมเต๋านั้นเริ่มตกลง
เกิดไอหนาวลอยขึ้นกลางอากาศ ในระหว่างที่หลิ่วสือตกลงมา เลือดที่กระจายออกแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง ถูกปราณกระบี่พัดจนสลายเป็นผุยผง
นิ้วมือแก่ชราห้านิ้วคว้ายอดเหมันต์ที่ลอยอยู่บนอากาศไว้
พริบตาเดียว
แทบจะเป็นทันทีที่ห้านิ้วมือคว้ายอดเหมันต์
เมฆลมบนฟ้าเปลี่ยนสี
บนฟ้าเหนือตำหนักทะเลสาบกระบี่ ชั้นเมฆหมุนตลบ ไอหนาวพลิกกลับ
ดวงตะวันใหญ่บดบัง ไอหนาวลอยขึ้น
คนถือกระบี่ใช้ปราณกระบี่ยอดเหมันต์อย่างไม่ลังเล ชั่วอึดใจเดียวในระยะสิบลี้ก็มืดมิดลง
ประชากรที่ใช้ชีวิตในเมืองน้ำหลาก ตอนนี้เงยหน้าขึ้นมอง สงสัยเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ฟ้าถึงเปลี่ยนสี…สายลมเย็นพัดผ่านตรอกเล็ก พัดตะกร้าไผ่ปลิว
ระเนระนาดไปหมด
ศิษย์ที่ฝึกฝนในตำหนักทะเลสาบกระบี่ตื่นจากการเข้าฌาน มองไปทางวิหารผู้คุมกฎด้วยสีหน้างุนงง
ร่างเงาแก่ชรายืนอยู่บนฟ้าเหนือวิหารผู้คุมกฎ ชุดคลุมใหญ่ถูกพายุคลั่งพัดปลิวไสว
คนผู้นั้นเอามือจับตรงกลางฝักกระบี่ อีกมือกดด้ามกระบี่ช้าๆ
ใบหน้าคนชราเต็มไปด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและชีวิตที่ดูไม่ง่าย
เขาลำบากรอมานานมาก…ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง มือคว้ายอดเหมันต์ ปกครองทะเลสาบกระบี่
ใบหน้าหยวนฝูอินเต็มไปด้วยไอสังหาร เขาเก็บกลับมาช้าๆ ก่อนกวาดสายตามองทุกคนที่ยืนบนพื้นวิหารผู้คุมกฎ
พันกร สวีไหล…และยังมีพวกเด็กน้อยยังไม่ถึงขอบเขตที่สิบอีกสองสามคน
เขาพลันยิ้ม
คนชราถามด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเหมันต์ประกบฝักอยู่ในมือข้าแล้ว…ไม่รู้ว่าใต้ฟ้ายังมีกระบี่ใดเทียบได้หรือไม่”
…………………………..