ตอนที่ 261 หยดน้ำปลิดหัวใจ
“หากคุณชายออกหน้าช่วย แซ่อวี้รับรองว่าจะไม่เผยตัวตนของคุณชาย เรื่องลงมือในวันนี้ก็จะไม่บอกกับใครเด็ดขาด” อวี้ฮวนพูดเสียงต่ำ “เถ้าแก่ใหญ่เบื้องหลังร้านน้ำชา…จะให้คุณชายเป็นแขกคนสำคัญ”
หนิงอี้หัวเราะ
กับสิ่งที่อวี้ฮวนพูดและสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเพียงแค่ส่ายหน้า ไม่ได้ใส่ใจ
อวี้ฮวนรับรองว่าจะไม่เผยเรื่องที่ตนลงมือ คำพูดนี้ความจริงซ่อนอันตรายไว้เล็กๆ
จนถึงตอนนี้ อวี้ฮวนยังคงไม่ได้คุยโวโอ้อวดอะไรมาก หากท่านอวี้คนนี้อ้าปาก รับปากคำสัญญาที่ไม่เป็นจริง หนิงอี้จะไม่คิดออกหน้าช่วยเด็ดขาด
เขาเพียงแค่รับรองเรื่องที่หนิงอี้ลงมือในวันนี้ว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ไม่รับรองว่าแดนบูรพาจะเลิกสืบเรื่องนี้หรือไม่
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าสี่แดนต้าสุยในตอนนี้ แดนบูรพาเป็นใหญ่จริงๆ ฝ่ามือของหลี่ไป๋จิงยื่นไปได้ไกลที่สุด ข้างกายมีคุณชายน้ำค้างคอยช่วย รูปแบบการลงมือก็บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
อย่างเช่นวันนี้ ถึงขั้นส่งพวกเดนตายถือป้ายคำสั่งมาจะเด็ดหัวเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยอันดับหนึ่งอย่างโจ่งแจ้ง
เรื่องบ้าคลั่งเช่นนี้ยังลงมือทำได้
หากตนเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันจริงๆ ตอนนี้ออกหน้าช่วยเหลือ ทำแดนบูรพาเสียแผน ไม่ถูกตรวจสอบก็ดี แต่หากถูกตรวจสอบ ต่อให้อยู่ไกลพันลี้หมื่นลี้ แดนบูรพาที่ไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกรานั้น คนที่ก่อเรื่องจะไม่มีทางอยู่ในเมืองหลวงได้ ได้แต่เร่ร่อนในสี่แดนเรื่อยๆ หากถูกจับได้จะถูกดึงเส้นเอ็นลอกหนัง แขวนเป็นโคมไฟในหลอดแก้ว
ใครจะอยากล่วงเกินแดนบูรพาล่ะ
หนิงอี้ไม่สนใจข้อตกลงข้างหน้าของอวี้ฮวนเลย
เขาสนใจคนลึกลับที่อยู่เบื้องหลังท่านอวี้คนนี้มากกว่า
“เถ้าแก่ใหญ่เบื้องหลังร้านน้ำชาที่ท่านว่า”
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกดด้ามร่มกระดาษมัน ส่งกระแสจิตไปเรียบๆ
“เถ้าแก่ใหญ่คนนั้น…เป็นใคร”
นี่สิที่เขาสนใจจริงๆ
ในเมืองหลวง สามกรมต่อสู้กันเองภายใน กลายเป็นสองฝ่ายลับๆ อวี้ฮวนไม่ยอมเลือกข้างบนเวที แต่สถานการณ์ตอนนี้ คนที่ไม่เลือกข้างจะเอากำลังที่ไหนมาช่วย บูรพาหรือประจิม ไม่เลือกสักฝ่ายก็เท่ากับตายแล้ว
ไม่มีใครรนหาที่ตาย
ตอนนี้ดูแล้ว ท่านอวี้ฮวนใกล้จะถึงทางตันแล้ว
หากท่านอวี้คนนี้เป็นตัวหมากของค่ายแดนประจิม หนิงอี้ก็จะไม่ออกหน้าเป็นคนดี แดนประจิมยังคิดถึงหนิงอี้อยู่ตลอด ท่านอวี้คงจะกลายเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี ถึงตอนที่จะหาโอกาสเด็ดหัวตน ก็อาจจะลงมือนุ่มนวลหน่อย เหลือศพสมบูรณ์ไว้ ทว่าแดนบูรพาเองก็คงจะไม่จดจำน้ำใจนี้ไว้
อวี้ฮวนที่นั่งบนรถเข็น ผมยาวดอกเลาเปลี่ยนเป็นสีขาวหิมะทีละนิด สมาธิส่วนใหญ่ใช้ไปกับการควบคุมโซ่เพลิงสี่เส้นในร้าน ร่างของผังซานขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าปริแตก ผ้าลุกไหม้ โซ่กระทบเสียงดัง ในนั้นมีรอยแตกแล้ว คละปนกับเสียงรับภาระหนักเกินไป
คนชราหน้าซีดขาวขึ้นมา
เขาจ้องเขม็งใส่ผังซานที่อยู่ตรงหน้าสุด เสียงหนิงอี้ดังเข้ามาในหู ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจ สุดท้ายเผยแววตาจนปัญญา ได้แต่ส่ายหน้า “คนเบื้องหลังแซ่อวี้ ข้าบอกไม่ได้”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอวี้คิดให้ดีเถอะ”
ท่านอวี้คนนี้ ความตายมาเยือนแล้วยังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ขอให้คนช่วย แต่ไม่ยอมบอกเบื้องหลัง ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยคนนี้ซ่อนเทพเซียนใดเอาไว้จริงหรือไม่ ว่ากันตามตรง หากจับหมาป่ามือเปล่า เบื้องหลังอวี้ฮวนไม่มีใคร ถึงตอนนั้นบัญชีทั้งหมดจะตกอยู่ที่หนิงอี้ เพลิงโทสะของแดนบูรพาจะถาโถมลงมาทันที
นอกจากยอมรับความซวยแล้ว หนิงอี้ยังจะทำอะไรได้อีก
เขาไม่โง่ถึงขนาดนั้น
หนิงอี้ปล่อยมือที่จับด้ามร่มกระดาษมัน ก่อนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “หากท่านอวี้ไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็อภัยให้ข้าที่ปฏิเสธ ‘เจตนาดี’ ด้วย”
อวี้ฮวนพูดเสียงแหบด้วยความขมขื่น “คุณชายมีความแค้นกับแดนประจิมหรือไม่”
ถามถึงตรงนี้ หนิงอี้ก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยเนิบนาบ “ข้ามีบุญคุณความแค้นกับทั้งแดนประจิมและบูรพา”
อวี้ฮวนพยักหน้า “ดี ในเมื่อคุณชายยอมพูดมาตรงๆ ข้าก็วางใจจะพูดความจริงเช่นกัน…เบื้องหลังข้า ไม่ใช่แดนบูรพากับประจิม”
อวี้ฮวนบอกว่าเบื้องหลังเขาไม่เกี่ยวกับบูรพาและประจิม
หนิงอี้ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอวี้ ไฟลุกโชนในร้านแล้ว ข้างนอกจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในนี้เกิดอะไรขึ้น หากวันนี้ท่านหลอกข้า เช่นนั้นทุกคนที่นี่จะถูก ‘ผู้ถือคำสั่งผัง’ คนนี้ฆ่าตายกันหมด”
อวี้ฮวนฟังความหมายของบุรุษวัยหนุ่มในห้องออก
คนคนนั้นแฝงความหมายไว้ว่าต่อให้ผังซานตาย เขาก็มีวิธีฆ่าตนเหมือนกัน
หนิงอี้ถอนหายใจ “ข้าต้องรู้ชื่อเขา”
คนชราผมยาวสีขาวดอกเลาใช้แรงใจไปทั้งหมดแล้ว แต่ติดที่กฎ เขาใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่าสุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “คุณชาย ข้าพูดไม่ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น
หนิงอี้ก็กดร่มกระดาษมันกลับไปใหม่ ไม่พูดอีก
อวี้ฮวนสิ้นหวังนิดๆ น่องขาแห้งสองข้างของเขากลายเป็นสีแดงทั้งหมดแล้ว ผ้าพันแผลปริแตก ทั้งตัวเขามีเปลวเพลิงไร้รูปลุกโชน ยื้อมาได้จนถึงตอนนี้ เขาจ่ายไปมากแล้ว
ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังที่ฝึกกายจิตถึงจุดสูงสุดคนนั้นมาจากภูเขาใหญ่แสนลี้แดนทักษิณ เป็นศิษย์สำนักวิญญาณยักษ์จริงๆ ทั้งยังมีพรสวรรค์เหนือชั้นยิ่ง ร่างกายผ่านการหล่อหลอมขัดเกลามานับครั้งไม่ถ้วน อย่าว่าแต่เปลวเพลิงไม่เข้าขั้นของอวี้ฮวนตอนนี้เลย ต่อให้เพิ่มไปอีกขั้น ขอแค่ไม่มีเพลิงแท้ดาราของขอบเขตดาราชะตา เขาก็รับไหว
ไม่มีความสามารถอย่างอื่น มีแต่เนื้อหนังหนา
สิ่งที่สองคนทำก็ง่ายมาก ประชันกัน
อวี้ฮวนชราภาพมาก หากประชันการระเบิดพลังในพริบตา เขาก็ยังมีโอกาสรอด
ตอนนี้อยู่ในช่วงการประชันกัน พลังลดลงไป เลือดไหลออกมาจากรูจมูกเขา ไหลยาวลงมาเหมือนงูเล็กสองตัว ไม่นานก็อาบใบหน้า แววตาพร่าเลือนทีละนิด
เกิดเสียงแตกหักดังแก๊ง
ผังซานใช้มือข้างหนึ่งดึงโซ่เส้นหนึ่ง ก่อนจะฟาดร่างเปลวเพลิงลงกับพื้นเหมือนกับจับงู พื้นกับโซ่ถูกฟาดแตกกระจายไปพร้อมกัน กระแสไฟร้อนแผดเผาแตกออกเป็นสองสาย จากนั้นผู้ถือคำสั่งแซ่ผังก็ก้าวเดิน ทั้งร้านน้ำชาสั่นสะเทือน กายจิตของผู้ฝึกหลอมกายขอบเขตที่เก้าคนนี้ผ่านการหล่อหลอมจากสำนักวิญญาณยักษ์ แกร่งกว่าผู้ฝึกหลอมกายปกติมาก ตัวโน้มไปข้างหน้าต้านแรงเฉื่อยมหาศาล โซ่อีกสามเส้นที่เหลือพลันตึงจนขาดกระจาย ฝนเพลิงพุ่งเข้าไปในห้องร้านน้ำชา ขุนนางหนุ่มสาวที่ไม่เลือกหนีออกไปพวกนั้น บ้างกำแพงเหนือศีรษะถูกเศษโซ่พุ่งใส่แตกเป็นหลุม บ้างอาภรณ์ถูกไฟเผา ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ ขดตัวซ่อนอยู่ตรงมุม ลนลานถอดอาภรณ์ออก รีบปัดมือดับไฟ
คนชราขาแดงบนรถเข็นตรงสุดทางเดินคนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดแล้ว
อวี้ฮวนนั่งแผ่บนรถเข็น ม่านตาปิดลง พลังแทบจะหมดสิ้นแล้ว หายใจรวยริน
ในความวุ่นวายนั้น ผังซานมองไปรอบๆ ก่อนเอ่ยอย่างเฉยเมย “ตามหลักแล้ว ตอนนี้ควรจะให้โอกาสทุกท่านหนีเอาชีวิตรอด ใครยินดีเข้าแดนบูรพา ก็ออกจากประตูไม้ ร่ำรวยมั่งคั่งเหมือนกับคุณชายโจวทิงฉาวคนนั้นได้”
เขานิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “น่าเสียดายที่ข้าเป็นคนหยาบ ชาติกำเนิดต่ำต้อย มีชีวิตในการเข่นฆ่ามาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่สอง ดังนั้นทุกคนในร้านน้ำชาต้องตาย”
เมื่อพูดคำนี้จบ ผังซานเดินหน้า เขาไม่ได้รีบร้อนฆ่าคนชราผมขาวดอกเลาบนรถเข็นนั้น แต่เลือกห้องที่ใกล้ตนที่สุด ไม่มองดูอะไรก็ชกหมัดออกไป ผ้าม่านขาดกระจายโดยพลัน
คลื่นลมถาโถมออกไป
คนชราอวี้ฮวนที่นั่งแผ่บนรถเข็นตรงสุดทางไอโขลกด้วยความเจ็บปวด เขาไม่มีแรงจะยื้อวิชาขวางคนคลั่งแดนบูรพาที่ทำเลวอย่างไม่เกรงกลัวคนนี้แล้ว ตอนนี้เงยหน้าขึ้นช้าๆ แต่พบว่าทั้งห้องเงียบสงบ
คลื่นลมส่งเสียงดัง
ผ้าม่านลุกไหม้ เผยเป็นลักษณะประตู
หมัดของผังซานไม่ได้สังหารสองคนในห้องเป็นเศษเนื้อ
ยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ควบคุมผ้าม่านไว้ หมัดนี้ทำลายผ้าม่านได้ แต่ทำลายยันต์นี้ไม่ได้
วิถีค่ายกลกับยันต์รึ คนนี้เป็นอัจฉริยะค่ายกลรึ
ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังครุ่นคิดอย่างหนัก แค่พริบตาเดียวเขาก็หรี่ตาลง ถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านยังมีใจดื่มชาอีกรึ”
ควันลอยโชย
เขามองเห็นใบหน้าสองคนในนั้นไม่ชัด
แต่เห็นเค้าโครงคร่าวๆ
หญิงสวมหมวก มือข้างหนึ่งจับหัวเข่าอย่างไม่เป็นสุข ผ้าปิดหน้าโบกสะบัด อีกมือวางในมือคนหนุ่ม
หนิงอี้ที่นั่งท่าทางสบายยิ้มบางๆ มือที่ว่างนั้นไม่ได้จับด้ามกระบี่ แต่ยกถ้วยน้ำชามาเป่าเบาๆ “เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ”
“ในเมื่อท่านมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้” ผังซานพูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “อีกเดี๋ยวส่งท่านไปแล้ว อย่าลืมไปขอดื่มกับพญายมอีกสองถ้วยล่ะ”
หนิงอี้ขานรับว่า “ดี” ด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีใครเห็นว่าเขาเคลื่อนไหวมืออย่างไร ถ้วยลายครามนั่นพลันหายไป ครู่ต่อมา ก็เกิดหมอกโลหิตกระจายตรงหน้าผังซาน ถ้วยลายครามนั้นแตกกระจายตรงดวงตาซ้ายของบุรุษร่างใหญ่ พลังความเป็นเทพเล็กน้อยไหลเข้าไปในดวงตา!
นี่คือวิชาความเป็นเทพที่สวีชิงเยี่ยนพูดถึง หนิงอี้เหมือนตระหนักรับรู้ถ้วยลายครามนี้ได้ ตอนนี้สะบัดมือปาออกไป ไม่นึกเลยว่าจะได้ผลดีเกินคาด ความเป็นเทพออกไป หยดน้ำก็ปลิดหัวใจได้
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสุดขีดดังขึ้น
ทั้งร้านน้ำชาสั่นสะเทือน
“ข้าจะฉีกเจ้า!”
ผังซานเอามือข้างหนึ่งกุมดวงตาซ้าย เลือดไหลมาตามซอกมือ อีกมือเปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่ามือคว้ายันต์ไว้อย่างแรง
ยันต์เขาไท่ซานที่มีระดับไม่สูงพลันถูกฉีกขาด
หลังฉีกยันต์แล้วก็กดฝ่ามือเข้าใส่!
เงามืดบดบังฟ้าแผ่คลุมลงมากดบนศีรษะหนิงอี้ในพริบตาราวกับตราพลิกฟ้า
นัยน์ตาหนิงอี้ทอแสงเย็นชาขึ้นมาทันที
เขาไม่ได้ใช้มือเดียวกดกระบี่ เพราะท่านี้ดูเด่นตาเกินไป
จนถึงตอนนี้มือที่ปาถ้วยชาออกไปลดระดับลง ในที่สุดก็วางตรงเอวช้าๆ
ดวงตาขวาที่เหลืออยู่ของผังซานหรี่แคบลง
เขาเห็นใบหน้าคนคนนั้นชัดเจนแล้ว และก็เห็นตรงเอวของคนนั้นชัดเจนเช่นกัน
นั่นคือร่มคันหนึ่ง
นั่นคือกระบี่เล่มหนึ่ง
………………………..