ตอนที่ 231 ท้าสู้เขาลั่วเจีย
ฝูเหยามีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
กระบี่เทพมรรคสามคน เป็นที่รู้กันว่าศักยภาพของนางเหนือกว่าโจวโหยวและสวีจั้ง หลายปีมานี้เขาลั่วเจียจะต้องเป็นเจ้าของเขาศักดิ์สิทธิ์ใต้หล้า
โจวโหยวเป็นคนเงียบ
สวีจั้งยิ่งเป็นคนที่ไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอม
ช่วงหนุ่มสาว นางจะต้องต่อสู้แย่งชิงทุกอย่าง ชิงที่หนึ่ง ทำอะไรไม่เคยเกรงกลัวใคร สวีจั้งเคยหยอกล้อว่านางเป็นหญิงบ้า และเพราะคำพูดนี้เองทำให้นางไล่ล่าสวีจั้งสิบวันสิบคืน สุดท้ายก็ไม่รู้ผล ต้องปล่อยผ่านไปก่อน
พิธีศพของสวีจั้ง โจวโหยวไป แต่นางไม่ไป
ไม่ใช่ว่าถือตน ดูถูกบุรุษคนนั้น
แต่นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะไปพิธีศพของสวีจั้งด้วยฐานะอะไร
สหาย? ศัตรู?
คนตายก็เหมือนตะเกียงดับ เมื่อฝุ่นธุลีทั้งหมดตกลงพื้น ฝูเหยาก็รู้แก่ใจตัวเองว่านักกระบี่คนนั้นที่ตนเคยรังเกียจที่สุด บุรุษที่ชื่อสวีจั้งคนนั้น ได้รับความเคารพจากตนจริงๆ
น่าเสียดาย การต่อสู้ระหว่างสองคนไม่เคยรู้ผลแพ้ชนะในความหมายแท้จริงเลย
หากสวีจั้งยังมีชีวิต รู้ว่าเรื่องในอดีตระหว่างศิษย์ตนกับเขา จะมีท่าทีอย่างไรกัน
ฝูเหยามีสีหน้าไม่แน่ใจนิดๆ ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีไอชั่วร้ายสีดำรวมเข้ามาข้างหลังตนทีละนิด ไหลลงมาจากชั้นเจ็ดของแดนเทวาปรโลก
เยี่ยหงฝูเลิกคิ้วขึ้นก่อนรีบตะโกน “อาจารย์ระวัง!”
เจ้าภูเขาลั่วเจียน้อยขมวดคิ้ว เรียกสติกลับมา
นางหมุนตัวกลับ พบว่าเป็นน้ำตกไอชั่วร้ายไหลมาจากชั้นเจ็ดแดนเทวาปรโลก น้ำตกพลันถูกร่างกำยำพุ่งชน คนยักษ์สูงหลายสิบจั้งก้าวออกมาจากนอกชั้นเจ็ด
ขอบเขตราชันดารามาได้เพียงชั้นหก
ขึ้นไปสูงกว่านี้จะเป็นเขตต้องห้ามของแดนเทวาปรโลก ในสนามรบโบราณตอนนั้น ได้ยินว่าผู้เป็นอมตะที่อยู่สูงสุดเคยต่อสู้เป็นตายกันที่ชั้นเก้า ชั้นเจ็ดก็เป็นบุคคลน่าสะพรึงขอบเขตนิพพานแล้ว
คนยักษ์ในตอนนี้ดูเหมือนขาครึ่งก้าวเหยียบเข้าเขตต้องห้ามแล้ว
เยี่ยหงฝูหน้าขาวซีด เสียงฟ้าดินพังทลายดังขึ้นข้างหู
ความรู้สึกกดดันมหาศาลถาโถมลงมาที่ศีรษะ
คนยักษ์พุ่งชนน้ำตกออกมา ก็วิ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเล สองมือถือขวานสงครามยักษ์ ฟันลงพร้อมกับอำนาจคุกคามไร้พ่าย
เกิดเสียงดัง ‘แก๊ง’
เยี่ยหงฝูเอาสองมือบังหน้า เตรียมพร้อมจะต้านคลื่นลมรุนแรงที่จะถาโถมเข้ามาได้ทุกเมื่อ กลางแสงตะเกียงอ่อนนั้น ฟ้าดินกลับสงบนิ่งอย่างเหนือความคาดหมาย
ฝูเหยาหน้านิ่ง ยังคงถือตะเกียงด้วยมือเดียว อีกมือยกขึ้น ห้านิ้วมือเปล่งแสงสว่างสีขาว ปะทะกับตรงขอบคมขวานยักษ์ ตัวนางกับคนยักษ์ไอชั่วร้ายนั้นเทียบกันไม่ได้เลย ดูแล้วเหมือนกับ ‘มดเขย่าต้นไม้ใหญ่’
ฝูเหยาบีบขวานยักษ์ก่อนจะออกแรงที่ฝ่ามือ
พายุคลั่งความเป็นเทพพุ่งออกไป
ขวานยักษ์นั้นพลันเกิดรอยแตกร้าวขึ้น คนยักษ์ไอชั่วร้ายมีจิตสำนึกแล้ว ดวงตาเบิกโต แผดเสียงร้องแปลกใจดังมาจากในลำคอ
ฝูเหยาโบกมือทันควัน ขวานยักษ์ถูกความเป็นเทพกัดเซาะ รอยแตกร้าวลุกลามไปทันทีก่อนจะแตกลงทีละชิ้น ระเบิดออกทั้งหมด!
คนยักษ์ไอชั่วร้ายมหึมานั่นถูกพลังมหาศาลจู่โจม มันร้องเสียงดังก่อนจะกระเด็นออกไป กระแทกเข้าน้ำตกชั้นเจ็ด แม่น้ำปรโลกสาดกระจาย ร่างลอยขึ้นข้างบน กลับไปในชั้นเจ็ด
หากมีราชันดารายืนอยู่ชั้นหก จะต้องเบิกตาโตด้วยความตกใจแน่
ฟ้าดินเงียบสงัด
แดนเทวาปรโลกเงียบงัน
ฝูเหยาถือตะเกียง เปลวเพลิงในนั้นจุดด้วยความเป็นเทพ สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกกลับเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุด มันอยู่ในมือฝูเหยาอย่างเชื่อฟัง ไม่มีสั่นไหวเลยสักนิด
“หลังผู้บำเพ็ญจุดดาราชะตา การจะเดินหน้าต่อต้องการความเป็นเทพ หากเจ้าฝึกเส้นทางความเป็นเทพ ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างมาก” ฝูเหยาก้มหน้าลง เอ่ยเนิบนาบ “อาจารย์พาเจ้าไปอีกแดนเทวาได้ ที่นั่นคือแดนเทวาแดนผาสุกที่แท้จริง ต่างจากแดนเทวาปรโลกแดนอุดร กลิ่นอายที่นี่เย็นยะเยือก แค่ฝึกบำเพ็ญอายุขัยก็จะถูกกลิ่นอายมรณะกัดกินและก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ”
“เจ้าเองก็เห็นว่าวิถีแห่ง ‘เทพ’ ของข้าไม่แพ้ให้วิถีกระบี่ใดในโลกนี้”
ฝูเหยามองเยี่ยหงฝูพลางพูดนิ่งๆ “เป็นอย่างไร”
ฝูเหยาชอบเยี่ยหงฝูมาก
นางชอบความหัวดื้อนั้นที่ซ่อนในใจเยี่ยหงฝู ชอบความ ‘บ้า’ นั้นในตัวเยี่ยหงฝู คล้ายกับตนในตอนนั้น แต่ก็ต่างกัน
ตนในตอนนั้นไม่สนใจถูกผิดหรือดำขาว แต่เยี่ยหงฝูฉลาดกว่า เป็นผู้ใหญ่กว่า
นางเห็นเงาคุ้นเคยของตนในตัวเยี่ยหงฝู
ฝูเหยาอยากให้เยี่ยหงฝูเปลี่ยนดาวประจำตัว ไม่ใช่เพราะนางดูถูกวิถีกระบี่ของสวีจั้ง…แต่วิถีกระบี่สายนี้รวมไอชั่วร้ายขึ้นเป็นปราณกระบี่ ถูกมองว่าฝึกฝนไม่ได้มาตลอด ต่อให้เป็นตัวสวีจั้งเอง สุดท้ายก็ต้องตายจากไป
นางอยากให้ศิษย์ของตนเดินไปได้ราบรื่นกว่านี้
อย่างน้อยก็อย่าเดินหาทางตัน
ในชั้นหกแดนเทวาปรโลก แม่น้ำปรโลกไหลหลาก ศิษย์อาจารย์สองคนยืนอยู่ใต้น้ำตกแม่น้ำปรโลก ฝูเหยาถือตะเกียงส่องแสงสว่าง
เสียงเยี่ยหงฝูยังคงแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง
“อาจารย์ หลังก้าวสู่ขอบเขตมายา ชีวิตข้าจะรวมดาราชะตาสามดวง”
หญิงสาวชุดกระโปรงแดงตัดสินใจครั้งใหญ่ก่อนจะกัดฟันพูด “ข้าอยากให้ดาวประจำตัวดวงนี้…สำเร็จปณิธานก่อนตายในอดีต และข้าจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด รวมดาราชะตาดวงนี้ อย่างน้อยข้าก็สู้จิตมารแล้วก็ฝันร้ายนั้นได้”
ดาวประจำตัว เมื่อรวมขึ้นแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้อีก
ต่อให้รวมดาวสามดวงออกมาได้อย่างราบรื่น ดาวประจำตัวนั้นที่รวมตอนแรกสุดก็จะเป็นตัวสำคัญที่สุดตลอดกาล
แสงไฟวูบไหว
ฝูเหยาเงียบไปชั่วครู่ก่อนถามเสียงเบา “จะไม่เสียใจภายหลังจริงๆ รึ”
“ข้าไม่เสียใจ”
เยี่ยหงฝูเงยหน้าขึ้น นางมองอาจารย์ของตนพลางพูดทีละคำ “ข้าจะเดินเส้นทางของข้าเอง ข้าจะพิสูจน์กับทุกคน…ว่านี่คือวิถีของข้า!”
ฝูเหยาพยักหน้า
“ขอให้ท่านตอบกลับทางเมืองหลวงให้ข้าด้วย”
เยี่ยหงฝูมีสีหน้าเด็ดขาด นางเก็บกระบี่ยาวเข้าฝัก หลังทะลวงพลังครั้งนี้นางก็จะเดินทางกลับแล้ว ต่อให้เฉาหลันไม่พูดท้าสู้ นางก็จะพูดเอง
ตอนนี้คือช่วงที่จิตต่อสู้พร้อมมากที่สุด
แดนเทวาปรโลก หญิงสองคน
งอบผ้าขาวสะบัด ฝูเหยากดมือข้างหนึ่งลงบนศีรษะเยี่ยหงฝูเบาๆ
เยี่ยหงฝูพูดขึ้นช้าๆ ทีละคำ
ฝูเหยาที่เอามือกดศีรษะนางมองไปทางแดนเทวาปรโลก
มองไปนอกฟ้า
ก่อนหน้านี้ นางใช้มือเดียวก็กำจัดคนยักษ์ไอชั่วร้ายจากชั้นเจ็ดได้
ตอนนี้ฝูเหยาใช้จิตข้ามผ่านออกไป ตามการคาดการณ์ปกติแล้ว ต้องเป็นขอบเขตนิพพานถึงจะสำแดง ‘ฟ้าดินสะเทือน’ ได้ แต่นางกลับทำได้สบายๆ
…..
เมืองหลวง
ค่ำคืนยาวนานจะสิ้นสุดลง เมืองหลวงต่างคึกคักขึ้นมา
คำพูดนั้นของเฉาหลันทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ในเมื่อคุณชายหยวนฉุนบอกว่าจะส่งคำพูดนี้ไปทุกที่ในใต้ฟ้า เช่นนั้นเยี่ยหงฝูจะต้องได้ยินแน่นอน
เฉาหลันไม่ไปไหนทั้งนั้น ยืนกอดอกรอคำตอบอยู่หน้าประตูจวนของหนิงอี้
คนชราดอกบัวม่วงมีความอดทนสูงยิ่ง ยืนอยู่หน้าเฉาหลันเช่นนี้ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ลวดลายตรงหน้าผากขยายออกช้าๆ เหมือนกำลังรออยู่เช่นกัน
ทุกคนกำลังรอ
รอเสียงตอบกลับนั้น
บุรุษร่างใหญ่ที่นั่งยองทางเข้าตรอกเล็ก เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่ขู่เช่อเลิกคิ้วขึ้น พึมพำกับตัวเอง “คนอื่นไม่รู้ แต่อาจารย์พูด หญิงสองคนนั้นจะต้องได้ยินแน่ แต่ทุกคนกำลังรออะไรอยู่ รอตอบกลับรึ หญิงบ้าฝูเหยาเจอกันครั้งก่อนยังเป็นราชันดารา หรือจะใช้วิชา ‘ฟ้าดินสะเทือน’ ได้รึ”
หลงหวงที่พิงกำแพงหินทางเข้าตรอกปรายตามองขู่เช่ออย่างเย็นชา “ดูถูกคนรุ่นหลังรึ ครั้งก่อนเจ้าโดนฝูเหยาชกหมัดเดียวสลบ ลืมไปแล้วรึ”
ขู่เช่อเกาศีรษะ เขาแอบโมโหแต่ไม่กล้าพูดกับการถากถางของหลงหวงมาตลอด หญิงคนนี้เป็นพวกนักสู้ตัวจริง สองคนเรียนกับอาจารย์มาหลายปี เขารู้แก่ใจดีว่าต่อให้ตนหนังหนา เวลาสู้จริงก็มีแต่จะถูกทุบตี อีกอย่างจะรับมือกับหลงหวงได้หรือไม่ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลย
ผนวกกับเขามีแนวคิดว่า ‘บุรุษดีไม่สู้กับสตรี’…
ชายร่างใหญ่คลึงใบหน้า หาเหตุผลให้ตัวเองได้แล้วก็กระแอมไอ เลี่ยงเรื่องน่าอายในตอนนั้น พูดอุบอิบในลำคอ “ยอดฝีมือนิพพาน จะทำอะไรก็ฟ้าดินสั่นสะเทือน แต่ฝูเหยาเป็นเพียงราชันดารา…นางจะทำได้รึ”
เสียงโอนอ่อนดังขึ้นในตรอกเล็ก
“เจ้าภูเขาลั่วเจียน้อยไม่ใช่ราชันดาราธรรมดา”
อวิ๋นสวินเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าตรอกเล็กเช่นกัน ทำท่าทางแหงนหน้ามองเหมือนกับอาจารย์พลางพูดอย่างจริงจัง “ฝูเหยาเกิดมาพร้อมกับคลังสมบัติที่พวกเราได้แต่แหงนหน้ามอง…นั่นคือความเป็นเทพที่ใช้ได้เฉพาะขอบเขตนิพพาน เขาลั่วเจียทุ่มกำลังทั้งหมด จ่ายไปมหาศาลเพื่อสร้างครึ่งเทพคนนี้ขึ้น ความเป็นเทพพวกนี้ลิขิตไว้ว่าเมื่อนางก้าวสู่ขอบเขตนิพพาน ก็จะกลายเป็นคนที่เข้าใกล้ความเป็นอมตะมากที่สุดได้อย่างง่ายดาย”
เขาลั่วเจียมีอะไรถึงเรียกตัวเองว่าเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งได้
ที่พำนักเทพเขาเชียงยังได้แต่ยอมถอย
ฝูเหยาที่เติบใหญ่ขึ้นมา นี่ก็คือความมั่นใจที่เขาลั่วเจียเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง!
“นางหยุดอยู่ขอบเขตราชันดาราช่วงหนึ่ง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ประตูใหญ่ความเป็นเทพนั้นจะเปิดให้นาง” อวิ๋นสวินหรี่ตาลงก่อนพูดช้าๆ “เกรงว่า…ฟ้าดินสะเทือนคงไม่ยากสำหรับนางเลย”
ขู่เช่อมีสีหน้างุนงง ได้ยินคำอธิบายเช่นนี้ก็ยกนิ้วโป้งขึ้น ทำเสียงจิ๊ๆ “เสี่ยวอวิ๋นจื่อ เจ้าอธิบายได้ดีจริงๆ ดีกว่าบางคนเยอะ อย่างน้อยข้าก็ฟังเข้าใจ”
จวนของหนิงอี้ไม่ได้เงียบนานนัก
คุณชายหยวนฉุนที่เงยหน้าขึ้นยกมุมปากเล็กน้อย
อวิ๋นสวินที่เงยหน้ามองในตรอกเล็กหรี่ดวงตาลงเล็กน้อย
แสงสว่างจ้าสายหนึ่งเหมือนกับแสงเทพพลันตกลงมาจากฟ้า
เสียงของเยี่ยหงฝูดังกระเพื่อมจากความเป็นเทพ
“เฉาหลัน ข้าอยู่แดนเทวาปรโลก จะกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้แล้ว วันที่เขาลั่วเจียเปิดภูเขา เจ้ากับข้ามาสู้กัน!”
เฉาหลันที่กอดอกรออยู่นานมากเงยหน้าขึ้น ประกายไฟงอบลอยขึ้น
เขาพูดเสียงดังกังวาน
“ดี! ข้าจะรอสู้กับเจ้าบนเขาลั่วเจีย!”
………………………..